บทที่ 241 พระโพธิสัตว์ดินเผามีไฟโทสะ
สุดท้ายเฉินผิงอันที่ชมน้ำตกจนพอใจก็ไม่ได้ชักกระบี่ไม้ไหวออกมาฟาดฟันอย่างที่อาจารย์ฉีกระทำต่อปีศาจใหญ่ชุดสีชมพูในวัดโบราณ
เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเอง “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหากออกกระบี่จะต้องผิดอย่างแน่นอน? หรือว่าฝึกหมัดกับฝึกกระบี่คือสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อันหนึ่งหากมุมานะสามารถชดเชยในส่วนที่ขาด ส่วนอีกอันหนึ่งต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น?”
ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่า นี่ไม่ใช่เพราะเขาโง่เขลาเกินไป และยิ่งไม่ใช่เพราะไร้พรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ แต่เป็นเพราะกระบี่ที่เขาได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถือกระบี่ หรือวิชากระบี่อันไร้เทียมทานที่พวกเขาใช้ สำหรับเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามแล้ว มันทั้งสูงและอยู่ไกลเกินไป
แต่ปัญหาอยู่ที่สายตาของเฉินผิงอันดีเยี่ยม จึงมองเห็นจุดที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปหลายคนมองไม่เห็นอย่างชัดเจน นี่จึงยิ่งกลายมาเป็นภาระไร้รูปลักษณ์สำหรับเฉินผิงอัน ทุกครั้งที่เขาอยากจะออกกระบี่ เฉินผิงอันที่เคยชินกับการแสวงหาความสมบูรณ์แบบไร้ข้อผิดพลาดจึงมักจะรู้สึกว่ากระบี่ที่อยู่ในฝักหนักอึ้งนับพันชั่ง นับหมื่นจิน
สิ่งที่เฉินผิงอันได้พบเห็นมาตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่พสุธา ตัวคนยังไม่ทันมาถึง กระบี่ก็ฟันให้ม่านฟ้าในอาณาเขตของผีสาวสวมชุดแต่งงานปริแตก มาภายหลังคือกระบี่ยาวของสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่ออกจากฝักเพียงเล็กน้อยก็สามารถอาศัยเทือกเขาสายหนึ่งที่นึกถึงในความคิดมาต้านทานกระบี่ของเว่ยจิ้นได้ หรือจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉีจิ้งชุนออกกระบี่อย่างสบายๆ ผ่อนคลายตามใจปรารถนาก็สามารถฟันให้ค่ายกลแสงทองผสานพลังต้นกำเนิดที่สืบทอดมาจากระบบเต๋าของนครจักรพรรดิขาวแตกสลายในครั้งเดียว
นี่ไม่ค่อยเหมือนกับตอนที่หนิงเหยาอยู่ในบ้านบรรพบุรุษ แล้วเดินท่าเดินนิ่งขั้นพื้นฐานของตำราหมัดเขย่าขุนเขาไม่กี่ครั้ง เฉินผิงอันก็พอจะทำตามนางได้อย่างถูไถ หรือถึงขั้นพอจะใคร่ครวญถึงสัจธรรมของวิชาหมัดออกมาได้หลายส่วน เพราะหลังจากที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยอ่านตำราหมัดเล่มนั้นก็ได้ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงไว้นานแล้วว่า อันที่จริงกระบวนท่าหมัดของวิชาหมัดเขย่าขุนเขานั้นหยาบมากจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง ดังนั้นไม่ว่าใครก็สามารถเลียนแบบได้ ก็เหมือนจ้าวซู่เซี่ยของเมืองแยนจือที่พอแอบมองเฉินผิงอันเดินนิ่งแล้ว ก็สามารถหล่อหลอมเรือนกายของตัวเองให้แข็งแกร่งได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของหมัดเขย่าขุนเขานั้นอยู่ที่ลมปราณหนึ่งเฮือกของ ‘ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเรา’ ดังนั้นหมัดเขย่าขุนเขาจึงอยู่ในวิชาประเภทที่เริ่มต้นง่าย แต่หากจะฝึกให้ประสบความสำเร็จสูงและกระจ่างแจ้งจนถึงแก่นกลับ…ยาก
ยากแค่ไหน?
พูดถึงแค่เจตจำนงของหมัดเขย่าขุนเขาที่กล่าวไว้ว่า ‘ผู้ที่เรียนวิชาหมัดของข้า เผชิญหน้ากับศัตรูที่เป็นมรรคาจารย์เต๋า แพ้ได้แต่ถอยไม่ได้’ ปู่ของชุยฉานที่เป็นสุดยอดผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งพลังกลับคืนสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสิบอีกครั้ง เมื่อเจอกับลู่เฉิน ได้ปล่อยหมัดออกไปหรือไม่? ไม่เลย ไม่ว่าผู้เฒ่าจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องเป็นกังวล หากมองแค่ผลลัพธ์ สุดท้ายแล้วผู้เฒ่าก็ไม่ได้ปล่อยหมัดนั้นออกไป นี่จึงแสดงให้เห็นว่า หากคนรุ่นหลังที่ฝึกวิชาหมัดคิดจะทำตามแก่นสำคัญที่ตำราเขย่าขุนเขายกย่องเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากจะบรรยายด้วยคำว่ายากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
น้ำตกตกกระทบลงบนบ่อน้ำ สะเก็ดน้ำแตกกระเซ็นไปรอบด้าน ประหนึ่งไข่มุกนับล้านเม็ดที่แตกโพล๊ะอย่างพร้อมเพรียงกัน พาให้ไอน้ำลอยตัวกรุ่นขึ้นมา
“อาเหลียง ฝึกกระบี่ยากจังเลย”
เฉินผิงอันยกมือเกาหัวอย่างเหม่อลอย ดื่มเหล้าอีกอึกหนึ่งเพื่อดับทุกข์ รู้สึกจนใจไม่น้อย เขายืนอยู่บนราวระเบียงของศาลาริมน้ำ หันมองไปรอบด้าน สุดท้ายหยุดสายตาจ้องนิ่งไปยังด้านบนของน้ำตก แม้ว่าจะไม่มีความคิดอยากออกกระบี่อีกแล้ว แต่ก็จำได้ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ช่วยขัดเกลาเรือนกายขอบเขตสามให้ตนเคยเอ่ยไว้ว่า ตอนที่กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ปรากฎขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก เคยต่อยให้ม่านฝนที่ตกลงมาท่ามกลางฟ้าดินถอยย้อนกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า
เฉินผิงอันมองน้ำตกใหญ่ยักษ์ที่ตกกระทบพรั่งพรูลงมาเบื้องล่างแล้วก็ให้อยากรู้ว่า หากผู้เฒ่าในเรือนไม้ไผ่ปล่อยหมัดหนึ่งครั้ง จะสามารถต่อยให้น้ำตกกระเพื่อมขึ้นสู่ด้านบน กระแสน้ำเกิดพลิกตาลปัตรได้หรือไม่?
เมื่อเปลี่ยนความคิดจากการชักกระบี่ที่ไม่เคยชินมาเป็นการออกหมัดที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เฉินผิงอันก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ความมั่นใจนี้มาจากการฝึกเดินนิ่งที่เขานับในใจได้หลายแสนครั้ง และมาจากการเผชิญหน้ากับศัตรูโดยไม่เคยถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉินผิงอันมองไปยังน้ำตกยิ่งใหญ่สายนั้นแล้วพลันเกิดจินตนาการบรรเจิด หากตนออกแรงเต็มกำลัง จะสามารถต่อยทะลุม่านน้ำตกที่หนาใหญ่นั้นไปได้ด้วยหมัดเดียวหรือไม่? แล้วหลังจากที่โชคดีต่อยทะลุม่านน้ำไปได้แล้ว จะยังมีพายุหมัดเหลือให้กระแทกลงบนผนังหินด้านหลังม่านน้ำหรือไม่? ไม่รู้ว่าสวีหย่วนเสียที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณแล้วจะต่อยหนึ่งหมัดให้ผนังหินเกิดเป็นแอ่งเว้าได้ไหม?
เฉินผิงอันเริ่มเกิดความคิดดีๆ บางอย่าง
แต่เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็กระโดดลงจากราวระเบียง มานั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวของศาลา ยกเหล้าขึ้นดื่มคล้ายนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในทัศนียภาพอันงดงาม
เฉินผิงอันมองไปยังทางเดิน ครู่หนึ่งต่อมาก็มีกลุ่มคนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเดินมาช้าๆ บางคนกำลังหัวเราะสนุกสนานเสียงดัง ท่วงท่าองอาจห้าวหาญ บางคนท่าทางสุภาพสง่างาม กิริยางดงามผ่าเผย แล้วก็มีสตรีที่สงบสำรวม ใบหน้าแย้มยิ้มดุจบุปผาผลิบาน สามคนที่เป็นผู้นำ มีคนหนึ่งคือคุณชายหน้าหยกหล่อเหลา ตรงเอวห้อยหยกประดับไว้ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งห้อยกระบี่สั้นที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก บุคลิกลักษณะทระนงองอาจ ทางฝั่งซ้ายมือของเขาคือบุรุษที่พกดาบเล่มหนึ่ง ก้าวย่างของเขาหนักแน่นประดุจพยัคฆ์ ท่าทางลำพองใจ ฝั่งขวามือคือบัณฑิตหนุ่มที่สวมหมวกอ่อน (หมวกที่ทำจากผ้า ลักษณะคล้ายผ้าโพกหัว) ในมือถือพัดพับ
ด้านหลังคนทั้งสามมีเด็กสาวและผู้หญิงโตเต็มวัยหลายคนที่ทั้งบุคลิกและหน้าตาต่างก็ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด
ขยับไปด้านหลังอีกก็คือข้ารับใช้ผู้ติดตามหนึ่งกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มแข็งแรงที่ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายเฉียบคม พลังอำนาจบีบคั้นผู้คน คนหนึ่งในนั้นที่สะพายธนูเขาวัวแข็งแกร่งโดดเด่นสะดุดตามากที่สุด
กลิ่นอายยุทธภพที่ไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายกรูเข้ามาทางศาลาริมน้ำแห่งนี้
เส้นทางชมน้ำตกของหมู่บ้านวารีกระบี่คือทางตัน จุดหมายปลายทางก็คือศาลาริมน้ำ พอคนทั้งกลุ่มเดินเบียดกันมา บนถนนเส้นเล็กก็แทบไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ เฉินผิงอันจึงได้แต่รออยู่ในศาลาไปชั่วคราว คิดว่ารอให้พวกเขาเข้าศาลามาก่อน ตัวเองค่อยหาโอกาสออกไป สามคนที่เป็นผู้นำกับพวกผู้หญิงทยอยกันเดินขึ้นมาบนบันได ส่วนพวกข้ารับใช้ก็แยกย้ายกันไปเฝ้าอยู่ใต้ต้นไม้คนละตำแหน่ง สำหรับเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้นั่งอยู่ในศาลา คนส่วนใหญ่เพียงแค่ปรายตามองครั้งเดียวแล้วก็ไม่สนใจอีก
พอเห็นเฉินผิงอัน คุณชายที่เป็นผู้นำซึ่งลักษณะคล้ายลูกหลานตระกูลร่ำรวยก็หยุดสายตาค้างไว้เล็กน้อย ราวกับกำลังรอให้เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน เพียงแต่ว่าหลังจากประสานสายตากับคุณชายท่านนี้ เฉินผิงอันกลับเฉยเมยอย่างเห็นได้ชัด คุณชายจึงเป็นฝ่ายยิ้มบางๆ พลางผงกศีรษะทักทาย แต่ในใจกลับค่อนข้างจะแปลกใจ จอมยุทธ์ในยุทธภพที่เข้ามาในหมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้ได้ มีคนที่ไม่รู้จักตนด้วยหรือ?
เฉินผิงอันผงกศีรษะทักทายกลับคืน
ขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะเดินออกไปจากศาลา สตรียังสาวที่นั่งอยู่ข้างกายคุณชายผู้หล่อเหลามองมาทางเฉินผิงอันแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “หากคุณชายมาชมทัศนียภาพ แล้วยังไม่หมดความสนใจ ก็ไม่จำเป็นต้องออกไป”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เพราะว่าสตรีผู้นั้นพูดภาษาทางการของแคว้นซูสุ่ย เขาจึงฟังไม่เข้าใจ
สตรีสาวเข้าใจได้ทันที จึงรีบพูดซ้ำด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป
เฉินผิงอันถึงได้ฟังเข้าใจ
สตรีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งที่ตัวสูงไม่แพ้บุรุษ สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็ง ตรงเอวห้อยดาบยาวที่ฝักดาบประณีตงดงาม รัดพันด้วยด้ายสีทองเล่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าการห้อยดาบของนางประหลาดมาก เป็นการห้อยแบบกลับด้าน ข้อนี้เหมือนกับชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้นั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
นางปรายตามองกล่องกระบี่ที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน แล้วค่อยมอง ‘น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด’ ที่อยู่ตรงเอวของเฉินผิงอัน เมื่อมองความสูงต่ำของขอบเขตและรากฐานในยุทธภพของอีกฝ่ายไม่ออก หญิงสาวก็หมดสิ้นซึ่งความสนใจ
ชายฉกรรจ์พกดาบกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องชาย นั่งให้สบายเถอะ ควรดื่มเหล้าก็ดื่ม ควรชมวิวก็ชม ไม่ต้องอึดอัด หากจะนับลำดับมาก่อนมาหลัง ก็เป็นพวกเราต่างหากที่มารบกวนการพักผ่อนอย่างสงบของน้องชาย แน่นอนว่าหากอีกเดี๋ยวน้องชายรำคาญที่พวกเราพูดคุยกันเสียงดัง น้องชายคิดจะจากไปก็ยังไม่สาย”
หากเป็นคนทั่วไปก็คงนั่งอยู่ที่เดิม แต่เฉินผิงอันกลับกุมมือบอกลา “ข้ามาอยู่ตรงนี้ได้ครึ่งวันแล้ว น้ำตกก็ชมไปแล้ว ตอนนี้อยากจะย้อนกลับไปทางเดิมพอดี”
ชายฉกรรจ์พกดาบหัวเราะเสียงดัง ถึงกับลุกขึ้นยืนกุมหมัดบอกลาอย่างมีมารยาท “ไม่เป็นไรๆ เชิญน้องชายตามสบาย”
เด็กสาวที่อายุน้อยที่สุดเบิกตากว้าง รู้สึกว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนี้สายตาแย่มาก และก็วางท่าใหญ่โตมากเช่นกัน หรือเขาไม่รู้จริงๆ ว่าหัวหน้าบูรพาที่นั่งอยู่ในศาลาผู้นั้นก็คือซ่งเฟิ่งซานนายน้อยผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านวารีกระบี่? เซียนกระบี่น้อยอันดับหนึ่งในยุทธภพแคว้นซูสุ่ย คนเล่าลือกันว่ามีองค์หญิงคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยชื่นชอบเขามากจนแทบจะหนีตามเขาไป ต่อให้แขกไม่รู้จักเจ้าบ้าน ทว่าบุคคลยิ่งใหญ่ที่กล้าห้อยดาบกลับด้านอยู่ในแคว้นซูสุ่ยแบบนี้ ก็ไม่รู้จักงั้นหรือ? ชายฉกรรจ์ที่กุมหมัดบอกลาคนนั้น อย่าเห็นแค่ว่าเขาดูเข้ากับคนได้ง่าย ไม่คล้ายยอดฝีมือผู้หยิ่งยโสในยุทธภพเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเขาคือหัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบันของหมู่บ้านเหิงเตา (ดาบแนวขวาง หรือชื่อดาบชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) ซึ่งมีชื่อเสียงทัดเทียมกับหมู่บ้านวารีกระบี่ คือปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิชาดาบที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นซูสุ่ย ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่ว เคยท่องไปในยุทธภพของหลายสิบแคว้น มีชื่อเสียงระบือไกลขนาดที่อริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาก็ยังเคยเอ่ยปากชื่นชมวิชาดาบของคนผู้นี้ว่า ขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวก็สามารถเข้าสู่จุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบแห่งวิถีวรยุทธ์ได้แล้ว
เด็กสาวแอบหัวเราะอยู่ในใจ คิดในใจว่าเด็กหนุ่มที่ยากจนคนนี้คงไม่ใช่ลูกนกที่เพิ่งมาเผชิญโลกกว้างของยุทธภพหรอกกระมัง? หรือว่าจะเป็นหัวขโมยตัวน้อยที่ใจกล้าแอบดอดเข้ามาในหมู่บ้านวารีกระบี่ ก็เลยไม่กล้ารั้งรออยู่นาน? ฮ่าๆ หากเป็นเช่นนี้จริงก็สนุกแล้ว
เฉินผิงอันเดินออกมาจากศาลา เดินลงบันไดมา แต่จู่ๆ ด้านหลังก็มีน้ำเสียงใสเย็นดังขึ้น “ช้าก่อน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เป็นหญิงสาวที่ห้อยดาบกลับด้านคนนั้น นางเดินมาตรงบันไดขั้นบนสุด หลุบตาลงต่ำมองตน “อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร? ใช่สำนักผู้ฝึกกระบี่ในแคว้นไฉ่อีหรือแคว้นกู่อวี๋หรือไม่?”
แม้ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวค่อนข้างจะข่มคนอื่น แต่เฉินผิงอันที่หันกลับไปส่ายหน้าให้นางยังคงตอบอย่างมีมารยาทโดยพยายามไม่ให้สร้างความบาดหมางมากที่สุด “ข้ามาจากทางทิศเหนือ ครั้งนี้เดินทางมาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่พร้อมกับสหายก็เพราะได้ยินว่าเจ้าหมู่บ้านจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำแห่งยุทธภพแคว้นซูสุ่ย ก็เลยอยากจะหาโอกาสมาแสดงความยินดี”
คุณชายหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นยิ้มบางๆ
บัณฑิตที่โบกพัดเอ่ยเย้าเสียงเบา “เทพเซียนอยู่ตรงหน้า แต่คนดันไม่รู้จัก”
ชายพกดาบมองแผ่นหลังของหญิงสาวแล้วให้โมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าเด็กบ้าพลังผู้นี้ ห้ามเสียมารยาทกับแขก! ก่อนหน้านี้พูดกับเจ้าไว้ว่าอย่างไร ออกจากหมู่บ้านของตัวเองแล้วห้ามหาเรื่องประลองฝีมือกับคนอื่นไปทั่ว!”
หญิงสาวพกดาบใช้ฝ่ามือกดไว้ที่ด้ามดาบ ปลายฝักดาบจึงส่ายไหวเบาๆ ตามไปด้วย และมันก็ชี้มายังเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บันไดขั้นล่างพอดี นางทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของชายฉกรรจ์ จ้องหน้าเฉินผิงอันแล้วถามว่า “เจ้ามีขอบเขตวรยุทธ์ขั้นที่สองหรือขั้นที่สาม? ฝึกกระบี่มากี่ปีแล้ว?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว เพียงกุมมือคารวะแล้วหมุนตัวจากมาทันที ไม่คิดจะสนใจหญิงสาวที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูงของยุทธภพแคว้นซูสุ่ยผู้นี้
เฉินผิงอันเป็นคนพูดง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหลักการกับทุกคน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเฉินผิงอันไม่เคยไปหาเรื่อง แต่ก็ไม่เคยเกรงกลัวเช่นกัน
ไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัว วานรย้ายภูเขา งูยักษ์ภูเขาฉีตุนที่หัวระเบิดแตก ข้ารับใช้ขุนนางบนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา แน่นอนว่ายังมีเด็กหนุ่มชุยฉานที่ตอนนั้นไปหลบอยู่ใต้บ่อน้ำแคว้นหวงถิง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมโผล่หน้าออกมา รวมไปถึงผีสาวในวัดร้างที่ก่อนหน้านี้ไม่นานถูกเขาบีบคอแล้วต่อยรัวจนวิญญาณแหลกสลายซึ่งต่างก็ได้รับบทเรียนไปแล้ว
หญิงสาวพกดาบสีหน้าเย็นชา ทิ้งประโยคหนึ่งไว้เบาๆ ว่า “เศษสวะอย่างนี้ก็มีหน้าสะพายกระบี่ท่องอยู่ในยุทธภพ แถมยังกล้าเข้ามาในหมู่บ้านวารีกระบี่ คิดดูแล้วคนที่สอนเจ้าฝึกกระบี่คงสอนให้เจ้าขี้ขลาดตาขาวมากกว่ากระมัง?”
ชายฉกรรจ์ห้อยดาบกลับด้านรู้สึกระอาใจ นิสัยเจ้าอารมณ์ที่พกมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ของบุตรสาวคนนี้เป็นอันตรายกับตัวนางเองไม่น้อย
แต่บ่นก็ส่วนบ่น เอาเข้าจริงแล้วชายฉกรรจ์ก็ภาคภูมิใจในพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ของบุตรสาวเพียงคนเดียวของตัวเองมาโดยตลอด ไม่เคยปิดบังความคาดหวังที่ตัวเองมีต่อนาง เคยป่าวประกาศด้วยว่าวันหน้าบุตรสาวจะไม่แต่งออกนอกบ้านเด็ดขาด หมู่บ้านเหิงเตาจะแต่งเขยเข้าบ้านอย่างเดียวเท่านั้น เพราะบุตรสาวของเขาถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องสืบทอดตำแหน่งเจ้าหมู่บ้านคนต่อไป
ชายฉกรรจ์พกดาบไม่คิดจะอาศัยกำลังที่มีมากกว่ารังแกคนอื่น จึงลุกขึ้นยืน หมายจะเกลี้ยกล่อมบุตรสาวว่าอย่าไปพูดท้าทายเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนนั้น คนที่ฝึกวรยุทธ์ควรจะมีคุณธรรมเป็นหลัก วรยุทธ์สูงต่ำเป็นเรื่องรองลงมา
แต่ชายฉกรรจ์เองก็รู้ดีว่า คำพูดเดิมๆ ในยุทธภพเหล่านี้ ไม่เพียงแต่บุตรสาวของเขาเท่านั้นที่ฟังไม่เข้าหู อันที่จริงตอนนี้พวกคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ในยุทธภพ มีใครบ้างที่ไม่ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ใบหน้าไม่สบอารมณ์ พ่นเสียงขึ้นจมูกใส่ด้านหลังของพวกผู้อาวุโส?
ยอดฝีมือคนหนุ่มที่ฉายประกายเฉียบคมที่สุดในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของแคว้นซูสุ่ยก็ไม่ใช่เจ้าหมู่บ้านหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายตนผู้นี้หรอกหรือ? อายุน้อยๆ ก็เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ ช่วงชิงคำเรียกขานที่งดงามว่าเซียนกระบี่น้อยให้กับตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ทุกครั้งก่อนที่ซ่งเฟิ่งซานจะออกกระบี่ ไม่ว่าจะถูกคนท้ารบหรือเป็นฝ่ายไปหาคนประลองกระบี่ด้วยตัวเอง เขาจะต้องอบธูปหอม อาบน้ำผลัดเสื้อผ้า เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยใส่มาก่อน อีกทั้งหากออกกระบี่แล้วจะไม่มีทางทิ้งให้ใครรอดชีวิตภายใต้คมกระบี่เด็ดขาด
แต่ว่าผู้มากพรสวรรค์วิถีกระบี่ที่ฆ่าคนอย่างเด็ดขาดแบบนี้กลับมีความเป็นไปได้สูงสุดว่าจะกลายเป็นปรมาจารย์ขอบเขตห้าที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นซูสุ่ย
ปรมาจารย์ขอบเขตห้าอายุสามสิบ ถึงเวลานั้นหากเอาชนะเซียนกระบี่ไผ่เขียวได้ ซ่งเฟิ่งซานก็จะได้ยึดครองตำแหน่ง ‘เซียนกระบี่’ เพียงลำพังอย่างถูกต้องเหมาะสม ถึงเวลานั้นปู่ของเขา ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีได้ตายไปแล้ว แล้วในอาณาเขตของสิบกว่าแคว้นนี้ยังจะมีใครที่สามารถต้านทานหมู่บ้านวารีกระบี่ได้อีก?
และนี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยยินดีทำตัวนอบน้อมต่อเด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง
แต่การที่อดีตเจ้าหมู่บ้านซ่งอวี่เซาปรากฏตัวน้อยครั้งนักในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่เพราะผิดหวังต่อยุทธภพที่มีบรรยากาศใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่หรอกหรือ
เล่าลือกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองปู่หลานไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะกับหลานสะใภ้ซุนซึ่งเป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มที่อริยะกระบี่ผู้เฒ่ายิ่งไม่ชอบใจ
ได้ยินคำพูดเหน็บแนมระคายหูจากเด็กสาวที่พกดาบกลับด้าน ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่มีนิสัยดุจดั่งรูปปั้นพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังหยุดฝีเท้า หันขวับไปมองทางศาลา
เขาไม่ค่อยรู้กฎเกณฑ์ในยุทธภพก็จริง อีกทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมของแคว้นซูสุ่ย แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าใต้หล้าแห่งนี้มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของสี่สมุทรก็เป็นหลักการที่ถูกต้อง และเรื่องบางเรื่องก็ยิ่งควรต้องแยกแยะถูกผิดให้ชัดเจน
ยังดีที่ชายฉกรรจ์เดินมาถึงข้างกายเด็กสาวและสั่งสอนนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้ว “นิสัยอวดดีจองหองถึงเพียงนี้ พ่อจะกล้าปล่อยให้เจ้าเดินทางในยุทธภพเพียงลำพังได้อย่างไร ชะลอไว้อีกหนึ่งปีค่อยว่ากัน!”
เด็กสาวเดือดดาลอย่างหนัก สีหน้าที่เย็นชาดุจน้ำค้างแข็งยิ่งเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัว แต่ถึงอย่างไรคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือบิดาของนาง อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาดาบของวิถีวรยุทธ์ให้นางเองกับมือ เป็นทั้งบิดาเป็นทั้งอาจารย์ นับประสาอะไรกับที่อยู่ต่อหน้าคนนอกมากมายขนาดนี้
ต่อให้เด็กสาวพกดาบที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวในยุทธภพมาตั้งแต่เล็กจะไม่เต็มใจแค่ไหนก็ยังทำแค่แค่นเสียงหึหนึ่งครั้ง ไม่พูดจาทำร้ายจิตใจใครอีก เพียงหมุนกายเดินกลับไปนั่งบนม้านั่งยาวในศาลา หันหน้าไปมองน้ำตกสายนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดขุ่นเคือง
ชายฉกรรจ์หันไปเอ่ยขออภัยเฉินผิงอัน “น้องชาย ข้าหวังอี้หรานต้องขอโทษเจ้าแทนบุตรสาวด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้า หมุนตัวกลับแล้วเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้ย่ำแย่ถึงขีดสุด เพราะนางทำให้เขานึกถึงพ่อลูกจูเหอจูลู่ที่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่บิดาคือคนดีที่มีเหตุมีผล ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจเปิดเผย แต่ทำไมถึงสั่งสอนให้ลูกสาวกลายมาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจแบบนี้ได้?
แปลกซะจริง!
พอเฉินผิงอันนึกถึงจูลู่ที่คิดจะลอบสังหารตน ก็ไพล่นึกไปถึงคนที่บงการอยู่เบื้องหลังอย่างหลี่เป่าเจินพี่ชายคนรองของหลี่เป่าผิง นี่คือความแค้นที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ และนี่ก็ทำให้เฉินผิงอันต้องทอดถอนใจไม่หยุด
เฉินผิงอันจากไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา ภาพนี้ทำให้เด็กสาวพกกระบี่ที่โทสะสุมแน่นอยู่เต็มท้องไม่อาจอดทนได้อีก นางลุกพรวดขึ้นยืน กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “หัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตาผู้ยิ่งใหญ่ยอมขอโทษเจ้า แต่เจ้ากลับไม่แม้แต่จะผายลม? ไอ้พวกมีแม่ให้กำเนิดแต่ไม่มีพ่อสั่งสอน!”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รัดสายเชือกเส้นเล็กผูกกับกล่องกระบี่ด้านหลังให้แน่น “เจ้าอยากจะประลองฝีมือก็มาประลอง”
ในระยะทางเจ็ดร้อยลี้ตั้งแต่ที่วัดโบราณมาจนถึงหมู่บ้านวารีกระบี่แห่งนี้ เฉินผิงอันพูดน้อยมาตลอดทาง อารมณ์ของเขาไม่ใคร่จะดีนัก สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงต่างก็มองออก ชายฉกรรจ์เคราดกถึงกับระงับใจไม่ดื่มเหล้าให้มากเกินไป คำพูดหยาบคายเวลาเมามายก็ยิ่งไม่เอ่ยจากปาก ดังนั้นครั้งนี้พอเฉินผิงอันบอกว่าจะมาชมน้ำตก คนทั้งสองที่แท้จริงแล้วต่างก็สนใจกลับพากันพูดว่าไม่อยากออกไปไหนอย่างคนที่ความรู้สึกไว เพราะทั้งสองคนต่างก็อยากให้เฉินผิงอันได้ออกมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เพียงลำพัง
หญิงสาวก้าวยาวๆ มายังบันไดขั้นบนสุด หัวเราะหยัน “ดีสิ รอคำนี้ของเจ้าอยู่นี่แหละ!”
แต่ประโยคถัดมาของเฉินผิงอันกลับทำให้ทุกคนที่อยู่ทั้งในและนอกศาลาต้องหันมามองเขาเสียใหม่ ในใจบังเกิดความพรั่นพรึง “สัญญาเป็นตายปากเปล่า นับได้หรือไม่?”
หวังอี้หรานปรมาจารย์วิชาดาบที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้นซูสุ่ยเอ่ยเสียงหนัก “น้องชาย ประลองฝีมือกันน่ะได้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก แต่ข้าหวังว่าจะไม่ต้องต่อสู้กันถึงเป็นถึงตาย เมื่อพอสมควรก็หยุด ตกลงไหม?”
เด็กสาวพกดาบเตรียมจะอ้าปากพูด หวังอี้หรานกลับถลึงตามองนางด้วยสายตาดุดัน เด็กสาวที่แทบไม่เคยเห็นสีหน้าเข้มงวดแบบนี้ของบิดามาก่อนตกใจจึงเงียบกริบเป็นจั๊กจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าพูดจาดุร้ายใส่เด็กหนุ่มจากต่างถิ่นที่สมควรตายผู้นั้นอีก
หวังอี้หรานจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “หากจะต้องลงนามสัญญาเป็นตายถึงจะยอมต่อสู้กันในครั้งนี้ ข้าไม่มีทางตอบรับเด็ดขาด แต่หากเป็นแค่การประลองฝีมือ ต่อให้จะลงมือหนักไปสักหน่อย ข้าก็เต็มใจจะให้บุตรสาวเผชิญกับความยากลำบากนี้ หวังว่าทางที่ดีที่สุดนางจะอาศัยโอกาสนี้มาเรียนรู้ความตื้นลึกของน้ำในยุทธภพ ไม่ทำตัวอวดดีไม่เห็นหัวใครอีก ไม่ใช่ว่าเรียนรู้วรยุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ แล้วจะนึกว่าตัวเองไร้เทียมทานอยู่ในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว!”
กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย ชายฉกรรจ์หันไปมองบุตรสาว อยู่ต่อหน้าคนนอกมากมายถึงเพียงนี้ คำพูดเหล่านี้ของเขานับว่าแรงมาก
สั่งสอนบุตรต่อหน้า สั่งสอนภรรยาลับหลัง
นี่น่าจะเป็นกฎเกณฑ์เก่าแก่ในยุทธภพกระมัง
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ประลองฝีมือ!”
หวังอี้หรานที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวกดเสียงพูดเบาๆ “ซานหู จำไว้ว่าตอนลงมือต้องรู้จักหนักเบา เป็นคนต้องรู้จักเหลือพื้นที่ว่างให้แก่กัน อย่าทำให้เส้นทางในยุทธภพของตัวเองยิ่งเดินก็ยิ่งคับแคบลง”
เห็นได้ชัดว่า หวังอี้หรานยังคงเห็นดีในตัวบุตรสาวของตัวเองมากกว่า เพียงแต่ว่าในฐานะบิดา หลักการสำคัญที่ควรพูดก็ยังต้องพูด
หญิงสาวพกดาบมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนทางเล็กนอกศาลาแล้วกระตุกมุมปาก “ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”
มือของนางกดด้ามดาบ ยิ้มบางๆ สะกิดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ทะยานตัวขึ้นสูงกระโจนเข้าหามือกระบี่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ดาบในมือของนางออกจากฝักในเสี้ยววินาที
บนทางเส้นเล็กเกิดแรงสั่นสะเทือนดังอื้ออึง เงาร่างที่ทุกคนเห็นผ่านหางตาหายวับไปทันใด นาทีถัดมาเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังก็รับหน้าหญิงสาวถือดาบด้วยหมัดที่กระแทกเข้าใส่หน้าผากของนาง เฉินผิงอันอาศัยแรงดีดสะท้อนลอยตัวกลับไปยืนอยู่ที่เดิม เก็บหมัดลง ยืนนิ่งอย่างสง่างาม ส่วนหญิงสาวคนนั้นร่างทั้งร่างคล้ายว่าวที่สายป่านขาด ถูกต่อยจนลอยลิ่วไปกลางอากาศ ลอยข้ามผ่านยอดศาลาไปโดยตรง สุดท้ายหล่นกระแทกลงในบ่อน้ำเบื้องล่างน้ำตก ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
สองฝ่ายที่ประลองฝีมือกัน
ฝ่ายหนึ่งมีเสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่น แต่สายฝนกลับบางเบาจนกระทั่ง…ไม่มีเลย
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งรวดเร็วฉับไวไร้เสียงฟ้าคำรณ ทว่าเมื่อลงมือกลับเป็นดั่งพายุฝนโหมกระหน่ำที่กระแทกแสกหน้า
เฉินผิงอันหมุนกายเดินจากไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชูขึ้นสูง กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังให้ทุกคนได้เหลียวมอง
ที่แท้พระโพธิสัตว์ดินเผาก็มีไฟโทสะได้เหมือนกัน