Skip to content

Sword of Coming 242

บทที่ 242 ดื่มเหล้าของเซียนกระบี่แล้วก็เอาไปคุยอวดได้

หวังอี้หรานสีหน้าเคร่งเครียด บิดตัวหมุนกลับไป ดีดปลายเท้าขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียงโดยไม่สนใจว่าสตรีคนอื่นๆ ที่อยู่ในศาลาจะตกใจหรือไม่ ครั้นจึงเหินร่างพุ่งไปยังบ่อน้ำเพื่องมบุตรสาวของตัวเองขึ้นมา

หัวหน้าหมู่บ้านหนุ่มของหมู่บ้านวารีกระบี่สีหน้าเป็นปกติ ฝ่ายบัณฑิตหนุ่มที่โบกพัดจุ๊ปากพูดว่า “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นยอดฝีมือที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ”

บัณฑิตหุบพัดดังพรึ่บ มองไปยังเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ค่อยๆ จากไปไกลบนถนนสายเล็ก อีกฝ่ายต้องเป็นปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์อย่างแน่นอน! หรือว่าเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเทพกระบี่แคว้นไฉ่อี? เพียงแต่ว่ายุทธภพอันตราย บวกกับที่เทพกระบี่ผู้เป็นอาจารย์เพิ่งตายอยู่ในป่าเขา จึงจำต้องแกล้งปลอมตัวเป็นคนต่างถิ่นที่ท่องเที่ยวในยุทธภพเพียงลำพังเพื่อหลบภัย? หาไม่แล้วเขาก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครที่สามารถสั่งสอนผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ที่อายุน้อยขนาดนี้ให้เลื่อนสู่ขอบเขตปรมาจารย์ได้เร็วกว่าซ่งเฟิ่งซาน

ภรรยาของซ่งเฟิ่งซาน สตรีอายุยังน้อยที่หน้าตางดงามกิริยาสำรวมเรียบร้อยผู้นั้นถามขึ้นมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “จะเกิดเรื่องกับซานหูหรือไม่?”

ซ่งเฟิ่งซานใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูด้ามกระบี่สั้นชื่อว่า ‘วารีสีคราม’ ที่พกไว้ตรงเอวเงียบๆ เพียงยิ้ม แต่ไม่ตอบ

บัณฑิตจึงเป็นคนอธิบายด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฮูหยินโปรดวางใจ แม่นางหวังไม่ได้เป็นอะไรมาก หมัดนั้นของเด็กหนุ่มต่อยด้วยแรงที่ไม่มาก แค่ใช้แรงภายนอกของพายุหมัดโจมตีให้แม่นางหวังหมดสติไปเท่านั้น เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงร่างกายและจิตวิญญาณของนาง การประลองฝีมือในครั้งนี้ เด็กหนุ่มออมแรงไว้กะทันหัน คงอยากทำเหมือนที่หัวหน้าหมู่บ้านหวังกล่าวไว้ นั่นคือไม่ต้องการให้เส้นทางในยุทธภพของตัวเอง ยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลง”

แล้วก็จริงดังคาด หวังอี้หรานอุ้มบุตรสาวกลับเข้ามาในศาลา และเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากหวังอี้หรานด้วยการจี้ไปตามจุดบนร่างกายไม่กี่ครั้ง หญิงสาวก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ นอกจากที่นางจะมีสภาพกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าเปียกปอน มองเห็นความสาวได้วับแวม ต้องอับอายขายหน้าผู้คนครั้งใหญ่แล้ว สีหน้าและท่าทางก็ยังคงดีอยู่เหมือนเดิม หญิงสาวที่ห้อยดาบกลับด้านดิ้นรนลุกขึ้นยืนกลางศาลา หน้าผากบวมเป่ง นางหันหลังให้กับทุกคน มือหนึ่งยันเสากลางศาลา อีกมือหนึ่งปิดปากของตัวเอง ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวร่างสูงโปร่งที่เปียกโชกไปทั้งตัวมีไอน้ำเอ่อคลอ เมื่อเทียบกับความเย็นชาในเวลาปกติแล้ว เวลานี้กลับมีความน่าสงสารเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน

เด็กสาวที่กลัวว่าเรื่องราวจะครึกครื้นไม่มากพอยืดคอยาวออกไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังดื่มเหล้าเดินอยู่บนทางสายเล็ก แล้วทอดถอนใจด้วยความทึ่ง “ว้าว สมกับเป็นยอดฝีมือจริงๆ”

บัณฑิตชำเลืองตามองแผ่นหลังอรชรของหญิงสาวแบบเร็วๆ แวบหนึ่ง หญิงสาวที่สภาพเหมือนไก่ตกน้ำเปิดเผยส่วนเว้าส่วนโค้งบนร่างออกมาจนหมดสิ้น มุมปากของบัณฑิตตวัดขึ้นสูง ถอนหายใจให้กับขาที่อวบยาวได้อย่างน่าตะลึงของอีกฝ่าย เกรงว่าเด็กหนุ่มซื่อบื้อคนนั้นคงไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลกในมุมนี้ ต้องลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนแบบเขานี่แหละที่รู้ว่าภาพแบบนี้ทำร้ายร่างกายของบุรุษได้ดีที่สุด

มรสุมแรกยังไม่สงบ มรสุมใหม่ก็บังเกิดขึ้น

ยุทธภพให้ความสำคัญกับคำว่านายได้รับความอัปยศบ่าวสมควรตายมากที่สุด ในบรรดาผู้ติดตามของแต่ละฝ่ายที่ยืนอยู่นอกศาลา บุรุษคนที่สะพายธนูเขาวัวคันใหญ่ไว้ด้านหลังคล้ายมองเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันอันคลุมเครือจากผู้ติดตามคนอื่น เมื่อโทสะบังเกิดความกล้าจึงตามมา เขาตวาดกร้าวเสียงดัง ปลดธนูแข็งล้ำค่าที่ช่างใช้เวลาสิบปีกว่าจะสร้างเสร็จลงมา ดึงลูกธนูในถุงซึ่งมีลูกธนูขนนกสีขาวเบียดเสียดกันเต็มแน่นออกมาหนึ่งดอก ง้าวสายจนธนูวาดโค้งเป็นทรงพระจันทร์เต็มดวง “เจ้าคนชั่วบังอาจทำร้ายคุณหนูของข้า กินลูกธนูของข้าซะ!”

เหตุการณ์น่าตกใจเกิดขึ้นติดต่อกัน มาจนถึงตอนนี้หวังอี้หรานหัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตามีชื่อเสียงด้านความสุขุมหนักแน่น อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์ด้านวิชากระบี่ที่วิชากระบี่มี ‘กลิ่นอายแห่งขุนเขา’ ก็เริ่มเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว เขาแผดเสียงตะคอกเดือดดาล “หม่าลู่! ห้ามใช้อาวุธลับทำร้ายคนอื่น!”

เฉินผิงอันที่เดินห่างออกไปได้ร้อยก้าวกำลังจะหันตัวมาอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย เพราะหางตาเหลือบไปเห็นว่าบนกิ่งไม้สูงยอดบนสุดของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีคนยืนเอาสองมือไพล่หลัง เมื่อลมภูเขาพัดโชย ร่างของผู้เฒ่าชุดดำก็แกว่งไกวตามกิ่งไม้คล้ายคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเบาๆ เกิดเป็นภาพชวนมอง เพียงไม่นานสายตาของคนทั้งสองก็สบประสานกัน ผู้เฒ่าผงกศีรษะให้ เฉินผิงอันจึงล้มเลิกความคิดที่จะลงมือ เพียงหมุนตัวกลับ หันหน้าเข้าหาศาลาริมน้ำอีกครั้ง

ร่างของผู้เฒ่าพกกระบี่สะบัดวูบหนึ่งครั้งก็หายวับไป นาทีถัดมาจึงมาปรากฏตัวอยู่บนทางเส้นเล็ก พุ่งสวนไหล่ของเฉินผิงอันไปดุจควันสีดำหนึ่งกลุ่ม เขายกมือ ตั้งนิ้วข้างหนึ่งขึ้นตรงแล้วยื่นไปด้านหน้า

ลูกธนูขนนกที่แหวกอากาศเข้ามาถูกผู้เฒ่าชุดดำสกัดไว้ด้วยนิ้วเดียว ลูกธนูที่พกพาพละกำลังอันหนักอึ้งปริแตกทีละชุ่นอยู่กลางอากาศ ส่วนนิ้วของผู้เฒ่ากลับยังปกติดังเดิม ไม่มีความเสียหายแม้แต่นิดเดียว

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วออกมาอีกหนึ่งนิ้ว คว้าลูกธนูที่เป็นม้าตีนปลายซึ่งเหลือเพียงปลายลูกศรแหลมคมไว้แล้วขว้างกลับไปส่งๆ ลูกศรแหลมพุ่งกลับไปแทงทะลุฝ่ามือข้างหนึ่งของชายฉกรรจ์ที่ถือคันธนู ชายฉกรรจ์เองก็มีความหาญกล้าเต็มเปี่ยม เขายังคงไม่ปล่อยธนูเขาวัวทิ้ง แขนข้างที่ฝ่ามือโชกไปด้วยเลือดถูกปล่อยลงข้างกาย ถือธนูด้วยมือข้างเดียว ถลึงตากว้างจ้องมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นอย่างดุดัน

ผู้เฒ่าชุดดำสีหน้าเฉยชา “ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง! ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนสอนหลักการข้อนี้ให้พวกเจ้าหรือ? อยู่ในยุทธภพแห่งอื่นของแคว้นซูสุ่ย ไม่ต้องทำตามกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น เอาแค่ที่พวกเจ้าสบายใจก็พอ แต่เมื่ออยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่ของข้า จะทำอย่างนั้นไม่ได้”

สตรียังสาวลุกขึ้นยืน ยอบตัวคารวะอย่างดงาม เอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม “ท่านบรรพบุรุษ”

หวังอี้หรานหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบกุมหมัดคารวะ ก้มหน้าลงนิดๆ “หวังอี้หรานผู้นำหมู่บ้านเหิงเตา คารวะอริยะกระบี่ซ่ง!”

บัณฑิตรีบลุกขึ้นตามมาติดๆ หันไปตบศีรษะของเด็กสาวเบาๆ เพื่อให้นางลุกขึ้นต้อนรับอีกฝ่าย จากนั้นบัณฑิตก็วางมือทับซ้อนกันทำท่าคารวะของลัทธิขงจื๊อ เอ่ยเสียงดังกังวาน “หานหยวนซ่านลูกหลานสกุลหานจากภูเขาเสี่ยวฉงคารวะอดีตท่านผู้นำหมู่บ้าน”

เด็กสาวมีนิสัยร่าเริง ไม่เคยหวั่นกลัวเรื่องใด นางทำท่าคารวะเลียนแบบพี่ชาย แม้จะสอดมือประสาน แต่กลับไม่ก้มหัว เอาแต่จ้องเป๋งไปยังเทพเซียนผู้เฒ่าที่ชื่อเสียงระบือก้องไปทั่วยุทธภพผู้นั้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “หานหยวนเสวียลูกหลานสกุลหานจากภูเขาเสี่ยวฉง คารวะอดีตท่านผู้นำหมู่บ้าน”

ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าปรากฏกาย ในฐานะหลานชายคนโตของผู้เฒ่า ซ่งเฟิ่งซานกลับเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นยืน เขาเอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงที่ไร้คลื่นอารมณ์ “ท่านปู่ออกจากบ้านคราวนี้กลับมาค่อนข้างเร็ว เดิมทีหลานนึกว่าต้องรอให้เรื่องของทางหมู่บ้านเงียบสงบลง ไม่มีแขกเหลืออยู่แล้ว ท่านปู่ถึงจะยอมกลับมา”

ผู้เฒ่ากวาดตามองไปรอบด้าน ทิ้งประโยคที่มีความหมายลึกล้ำไว้ว่า “บรรยากาศเลวร้าย” แล้วหมุนกายเดินจากไปพร้อมกับเฉินผิงอัน จะสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉงเสาเอกของราชสำนักแคว้นซูสุ่ยหรือหมู่บ้านเหิงเตาอะไร เขาล้วนไม่สนใจ ราวกับว่าไม่มีใครเข้าตาเขาได้สักคน เป็นเหตุให้อดีตผู้นำหมู่บ้านไม่แม้แต่จะชายตามามอง

ซ่งอวี๋เซาเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน พอหันหลังให้ทุกคนแล้ว สีหน้าของเขาถึงได้แสดงความหงอยเหงาออกมาเล็กน้อย หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่งจึงเอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “หลักคุณธรรมในครอบครัวบิดเบี้ยวไม่เป็นท่า ยังสู้น้ำตกสายหนึ่งไม่ได้ ขายหน้าเจ้าแล้ว”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะรับคำต่ออย่างไร จึงได้แต่เอ่ยคำพูดตามมารยาทที่ไม่สร้างความระคายใจให้อีกฝ่าย “อันที่จริงคนในหมู่บ้านก็ดีมาก ไม่ได้เกินทนอย่างที่ท่านผู้อาวุโสพูด”

ทุกครอบครัวล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก ต่อให้ผู้เฒ่าจะเป็นคนใจกว้างตรงไปตรงมาแค่ไหนก็ไม่ยินดีเอาเรื่องน่าอายในบ้านมาป่าวประกาศแก่คนนอก จึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่นแทนว่า “หมัดที่ปล่อยไปนอกศาลาริมน้ำ เหตุใดถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ใช้พลังแค่สามสี่ส่วนจากในสิบส่วน? ว่าที่ผู้นำหมู่บ้านเหิงเตาคนนั้นหัวแข็งถือทิฐิ ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน วันนี้เจ้าออมมือให้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะรับน้ำใจ และก็เป็นไปได้ว่าจะกวนใจเจ้าไม่เลิกรา พวกหนุ่มสาวในยุทธภพสมัยนี้มักจะทำอะไรตามอำเภอใจตัวเองเสมอ ข้าผู้อาวุโสไม่ชอบอย่างยิ่ง แต่คนอย่างเจ้าที่ไม่ลงมือให้สาแก่ใจ ข้าผู้อาวุโสก็ชื่นชมไม่ลงเหมือนกัน”

เฉินผิงอันดื่มเหล้า ใช้หลังมือเช็ดปาก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เพียงแค่ตัวเองไม่สบอารมณ์ก็จะต่อยให้คนอื่นตายด้วยหมัดเดียว แบบนั้นก็เผด็จการเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกไม่นานข้าก็จะไปจากแคว้นซูสุ่ยแล้ว หมู่บ้านเหิงเตาคิดจะหาเรื่องข้าย่อมไม่ง่าย อย่างมากสุดก็แค่ถูกผู้หญิงคนนั้นด่าลับหลังเท่านั้น ข้าไม่ได้ยินด้วยซ้ำ”

ซ่งอวี่เซาหันมามองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าจริงใจ ทั้งรู้สึกแปลกใจ แล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลไปในคราวเดียวกัน จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คำพูดแบบนี้ หากคนแก่อายุเท่าข้าผู้อาวุโสเป็นคนพูดยังพอเข้าใจได้ เพราะตอนนี้ก็ถือว่าร่างของข้าลงไปอยู่ในดินครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เคยผ่านมาหมด ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก? แต่เด็กน้อยอายุสิบห้าสิบหกอย่างเจ้า พูดจาเป็นคนแก่แบบนี้ไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือ”

เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไร พอได้ปล่อยไปหนึ่งหมัด อารมณ์อึมครึมที่ล้อมวนอยู่ในใจก็ลดไปได้มาก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเตือนเสียงเบา “หมัวมัวในวัดร้างที่บอกว่าตัวเองคือสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยเข้ามาในหมู่บ้านของพวกท่านพร้อมกับชายร่างกำยำคนหนึ่ง ท่านผู้อาวุโสต้องระวังตัวไว้บ้าง”

ซ่งอวี่เซาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นี่จะนับเป็นอะไรได้ หากรวมคุณชายสกุลหานในศาลาผู้นั้นเข้าไปด้วย สี่พิฆาตที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องลือไปทั้งแคว้นซูสุ่ยก็ถือว่ามารวมตัวกันครบแล้ว”

เฉินผิงอันสงสัย “แล้วมารอีกคนคือใคร?”

ซ่งอวี่เซาส่ายหน้ายิ้มขื่น “อย่าพูดถึงเลย”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าพลางครุ่นคิดไปด้วย

ผู้เฒ่ารู้ว่าเฉินผิงอันคิดอะไร จึงพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมา “เชิญพวกเจ้ามาเป็นแขกในครั้งนี้ ไม่ได้มีแผนการใดๆ เพียงแค่หวังว่าหมู่บ้านแห่งนี้จะไม่ได้มีแต่พวกคนระยำต่ำช้าที่ร่างเป็นคนใจเป็นสุนัข ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็เป็นคนสร้างหมู่บ้านวารีกระบี่แห่งนี้ขึ้นมากับมือตัวเอง ไม่อยากเห็นขี้หมากองอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ตรงนี้หนึ่งกอง ตรงนั้นอีกกอง จนแม้แต่ข้าผู้อาวุโสที่เดินอยู่ในบ้านตัวเองยังรู้สึกขยะแขยง มีพวกเจ้ามาเป็นแขกที่บ้าน ข้าผู้อาวุโสเห็นแล้วก็สบายตาขึ้นมาก”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ผู้อาวุโสคนนี้พูดจาเหมือนขวานผ่าซากเกินไปแล้ว

เฉินผิงอันไม่รู้ว่า ซ่งอวี่เซาที่อยู่ในยุทธภพ นอกจากตำแหน่งอริยะกระบี่ที่ยิ่งนานก็ยิ่งโด่งดังแล้ว เขายังได้รับฉายาว่า ‘ก้อนเหล็ก’ จากคนวัยเดียวกันด้วย ที่เรียกเขาอย่างนี้ก็เพราะซ่งอวี่เซาไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุยกับใคร อยู่ในบ้านเป็นเช่นนี้ อยู่ในยุทธภพนอกบ้านก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ หากจะบอกว่าซ่งเฟิ่งซานนิสัยไม่เหมือนซ่งอวี่เซาเลยสักนิดก็คงไม่ยุติธรรมกับเซียนกระบี่น้อยเท่าใดนัก เพียงเพราะว่าบนร่างของซ่งอวี่เซามีกลิ่นอายของคนในยุทธภพรุ่นเก่า คร่ำครึตายตัวเกินไป ทำอะไรได้ไม่เต็มที่เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ซ่งเฟิ่งซานที่แสวงหาจุดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่จึงดูแคลนที่จะปฏิบัติตามเขาก็เท่านั้น

ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบปีอย่างซ่งอวี่เซาเห็นความชั่วร้ายของจิตใจคนและมรสุมในยุทธภพมามากมาย เขาจึงยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นคือเหตุผลพูดให้กับคนที่มีเหตุผลฟังได้เท่านั้น หาไม่แล้วกระบี่เหล็กโบราณสนิมเขรอะที่ห้อยอยู่ตรงเอวก็จะกลายมาเป็นเหตุผลของเขาซ่งอวี่เซา ซ่งอวี่เซาชอบพกกระบี่ท่องไปในยุทธภพเพียงลำพัง หลายปีมานี้ได้พบเจอคนรุ่นหลังที่มีความสามารถและฉายประกายเฉียบคมมามากมาย พรสวรรค์ของพวกเขาเหล่านั้นดีมากจริงๆ แต่คุณธรรมกลับไม่ได้เรื่อง ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองดี คนในยุทธภพที่ชื่นชมพวกเขามีมากประดุจปลาที่แหวกว่ายในแม่น้ำ ซ่งอวี่เซาไม่ค่อยเข้าใจนัก หากอีกสามสิบปีหรือห้าสิบปีให้หลังต้องมอบยุทธภพให้กับมือของคนเหล่านี้ จะยังเหลืออะไรให้คาดหวังได้อีก?

เพียงแต่ว่าต่อให้วิชากระบี่ของซ่งอวี่เซาจะสูงส่งแค่ไหน เขาก็มีแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น คนวัยเดียวกันพากันล้มหายตายจาก แล้วก็พากฎเกณฑ์เก่าๆ คำพูดเก่าๆ ที่เด็กรุ่นหลังไม่ชอบฟังฝังกลบลงดินตามไปด้วย ตอนนี้ขนาดเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งศัตรู และยิ่งเป็นผู้อาวุโสก็ยังตายไปแล้ว ซ่งอวี่เซาจึงแทบไม่เหลือความสนใจให้กับเรื่องใดอีก

เขารู้สึกว่ายุทธภพในทุกวันนี้ เหมือนน้ำที่จืดชืด ไม่มีรสชาติของสุราเหลืออีกต่อไป

หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มเดินเล่นอย่างไม่มีอะไรทำ แล้วจู่ๆ ซ่งอวี่เซาก็เอ่ยขึ้นว่า “คนกลุ่มนั้นที่อยู่ในศาลาริมน้ำตกสายตาต่ำ มองไม่ออกถึงความสูงต่ำของปณิธานหมัดเจ้า แต่ข้าผู้อาวุโสกลับเห็นอย่างชัดเจน ดังนั้นก็ขอปากมากพูดสักประโยค ตอนนี้สภาพจิตใจของเจ้ามีปัญหา ขอบเขตสามฝ่าทะลุสู่ขอบเขตสี่คือธรณีประตูใหญ่แห่งแรกของผู้ฝึกยุทธ์อย่างเราๆ เจ้าปูรากฐานมาแน่นหนามากเท่าไหร่ ยิ่งพาปมในใจพยายามฝ่าขอบเขตก็ยิ่งเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย เสียงที่ภูเขาหิมะถล่มลงมาย่อมดังกว่า น่ากลัวว่าหินและดินโคลนที่กลิ้งลงมาจากภูเขาลูกเล็กนับร้อยนับพันเท่า ไอ้หนู เจ้าต้องระวังให้มาก!”

เฉินผิงอันพลันตื่นรู้ เขายื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เงียบคิดไปครู่หนึ่งก็หันหน้ามาเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เอ่ยเตือน”

ซ่งอวี่เซาครุ่นคิดอีกเล็กน้อยก็พูดไปอีกเรื่อง “การเก็บหมัดก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเจ้ามีคุณธรรมก็จริง แต่กลับไม่ดีต่อการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า ตามหลักเกณฑ์ทั่วไปในยุทธภพ หากเจ้าปล่อยหมัดนั้นออกไปอย่างเต็มกำลัง ต่อยให้เด็กสาวคนนั้นบาดเจ็บสาหัสหรือถึงขั้นตายไป หลังจากนั้นชักนำให้เกิดความเดือดดาลจากฝูงชน นำมาซึ่งศึกใหญ่ตัดสินเป็นตาย ไม่แน่ว่านั่นจะเป็นโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโชควาสนาของเทพเซียนบนภูเขา”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลัง ยังคงเอ่ยด้วยประโยคที่เหมือนกับคนแก่อีกครั้ง “ไม่เป็นไร อะไรที่ควรเป็นของข้าย่อมหนีไม่พ้น อะไรที่ไม่ควรเป็นของข้า คว้าไว้ก็คว้าไม่อยู่”

อันที่จริงซ่งอวี่เซาคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เห็นว่าสีหน้าของเขาเป็นปกติ ดวงตาใสกระจ่าง ผู้เฒ่าก็แอบพยักหน้ากับตัวเอง

วิถีกระบี่ที่เด็กหนุ่มตรงหน้ากับซ่งเฟิ่งซานหลานชายของตนศรัทธา แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้ตอนนี้จะยังบอกไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก ใครจะเดินได้เร็วกว่า ไปได้ไกลกว่า แต่ในความรู้สึกของซ่งอวี่เซาเองนั้น เด็กหนุ่มต่างถิ่นที่สะพายกระบี่ท่องยุทธภพ แต่วิชากระบี่กลับไม่ได้เรื่องผู้นี้ถูกใจเขามากกว่า ในเรื่องการสั่งสอนบุตรหลาน ตระกูลของบัณฑิตผู้มีความรู้มีความสามารถมากกว่าพรรคต่างๆ ในยุทธภพจริง สำหรับเรื่องนี้ซ่งอวี่เซายอมศิโรราบจากใจจริง สำหรับการปลูกฝังวิถีกระบี่ของตระกูลในช่วงต้น ตัวเขาเองมองมันเป็นดั่งเงาใต้โคมไฟ (มองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญ) หรือจะพูดอีกอย่างก็คือไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างมากก็แค่ดุด่าเท่านั้น ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว ผู้เฒ่าก็มีเพียงความละอายและความเสียดาย

อันที่จริงผู้เฒ่าก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดีกว่าหวังอี้หรานหัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตาสักเท่าไหร่

มารยาทมาจากตระกูล กฎเกณฑ์มาจากสำนัก

มารยาทกฎระเบียบ หากเป็นลูกหลานตระกูลเซียนที่แท้จริงจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเด็ก วิชาอาคมของเทพเซียน ตระกูลเซียนบนภูเขาสืบทอดต่อกันมาอย่างมีระบบ

สำหรับเรื่องนี้ซ่งอวี่เซามีประสบการณ์อย่างลึกล้ำ เขาเคยเดินทางไกลไปที่แคว้นหนันเจี้ยน เคยคบค้าสมาคมกับคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังของที่แห่งนั้น ต่อให้จะมีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ทุกคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ต่อให้เป็นเพียงบัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่ก็ยังทำให้คนรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้

ข้างทางระหว่างน้ำตกกับหมู่บ้านวารีกระบี่มีศาลาริมทางที่ชายคาตวัดโค้งงอขึ้นอย่างน่ารัก ห้อยกรอบป้ายคำว่า ‘ภูเขาแม่น้ำ’ กลอนคู่ที่ติดเอาไว้คือประโยคว่า ‘หินขาววับแวววาว น้ำใสไหลระริก’ เรียบง่ายแต่มีท่วงทำนองแปลกใหม่

เห็นได้ชัดว่าซ่งอวี่เซาชื่นชอบศาลาแห่งนี้มากเป็นพิเศษ เขาลากเฉินผิงอันไปนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวในศาลา คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ผู้เฒ่าวางกระบี่พาดหัวเข่า เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง คนหนึ่งมีเวทกระบี่ที่เลื่องลือไปทั้งยุทธภพว่าอยู่ในขอบเขตของอริยะ อีกคนหนึ่งตอนนี้แม้แต่จะออกกระบี่ยังไม่มีความมั่นใจ

การมองเห็นเปิดกว้าง เทือกเขายาวไกลดุจคิ้วของสาวงาม

ลมภูเขาพัดโชยเย็นสบาย ทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่ง

ซ่งอวี่เซานั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ไม่ได้คิดจะพูดคุยตามมารยาทกับเด็กหนุ่ม เพียงแค่คิดเรื่องในใจตัวเองไปเรื่อยๆ

ซ่งเฟิ่งซานหลานชายของเขาไม่ถือว่ามีความทะเยอทะยานต่อเรื่องราวในยุทธภพเท่าใดนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหลานสะใภ้คนนั้นที่คอยยุแยงอยู่เบื้องหลัง คอยเป่าหูอยู่ข้างหมอนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เป็นเหตุให้หลานชายของตนรู้สึกว่าการเป็นผู้นำของยุทธภพเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ถือโอกาสทำไปพร้อมกันได้เลย อีกทั้งไม่ว่าจะขาวหรือดำก็เอาหมด ยังถึงขั้นคิดยื่นมือเข้าไปในราชสำนัก หาไม่แล้วด้วยนิสัยของซ่งเฟิ่งซาน ตอนนั้นไหนเลยจะสนใจองค์หญิงใหญ่ของแคว้นซูสุ่ย ไม่ฟันนางให้ตายด้วยกระบี่เดียวก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว

คำเรียกขานว่าสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยเพิ่งจะมีเมื่อสิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้เผยแพร่ในยุทธภพอย่างกว้างขวางเท่าใดนัก โดยทั่วไปแล้วมีเพียงปรมาจารย์ที่อยู่ในตำแหน่งอย่างหวังอี้หรานเท่านั้นที่พอจะเคยได้ยินมาบ้าง คนที่เป็นผู้นำก็คือชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่เดินทางมาพร้อมกับ ‘หมัวมัว’ มารผู้นั้น เขามีง้าวเงินที่เป็นสมบัติอาคมของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่ง สร้างพรรคมารพรรคหนึ่งขึ้นมาในแคว้นซูสุ่ย ส่วนอันดับที่สองคือหญิงสาวปีศาจในวัดโบราณ จากนั้นก็เป็นลูกหลานสกุลหานแห่งภูเขาเสี่ยวฉงที่วางตัวถ่อมตน มีชาติกำเนิดจากตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่กลับฝึกวิชามาร ผูกมัดจิตใจและควบคุมขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูงของแคว้นซูสุ่ยไว้มากมาย

คนสุดท้ายของสี่พิฆาต ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้แค่ตรงหน้า ก็คือหลานสะใภ้ของซ่งอวี่เซา

มีครั้งหนึ่งที่ซ่งอวี่เซาออกเดินทางไกล นางได้รู้จักกับซ่งเฟิ่งซาน ‘โดยบังเอิญ’ คนทั้งสองจึงแต่งงานเป็นสามีภรรยากันลับหลังซ่งอวี่เซา ป่าวประกาศให้คนทั่วหล้ารับรู้ รอจนซ่งอวี่เซากลับมาถึงหมู่บ้าน ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว ที่น่าจนใจที่สุดเลยก็คือซ่งเฟิ่งซานที่รู้ทั้งรู้ว่าภรรยาเป็นมาร แต่ก็ยังหลงมัวเมา ครั้งนั้นซ่งอวี่เซาออกกระบี่แล้ว หนึ่งกระบี่ฟันให้กระบี่เล่มเดิมที่หลานชายพกติดตัวขาดท่อน แล้วแทงอีกกระบี่ทะลุหน้าท้องของหญิงสาว ซ่งเฟิ่งซานสู้ตายกับปู่ของตัวเองราวกับเสียสติ ด้วยความโมโห ซ่งอวี่เซาจึงจะใช้กระบี่ตัดเส้นเอ็นข้อมือของหลานชายไม่เอาไหนคนนี้ให้ขาด จะได้สะบั้นหนทางแห่งวิถีกระบี่ของเขาลง วันหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นภัยแก่คนบนโลก คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นจะเอาตัวมาขวางเบื้องหน้าซ่งเฟิ่งซาน ปล่อยให้ผู้เฒ่าแทงกระบี่ทะลุหัวใจ แม้ว่านางจะไม่ได้ตายคาที่ แต่สะพานแห่งความเป็นอมตะกลับขาดลงอย่างสิ้นเชิง นับแต่นั้นมากลายเป็นเพียงคนขี้โรคที่แม้แต่ลมหนาวของฤดูใบไม้ผลิก็ยังทนรับไม่ไหว

เรื่องราวเละเทะในครอบครัวที่น่าอับอายเหล่านี้ ซ่งอวี่เซารู้ดีว่าหลักการที่ต้องใช้ความรู้สึกทำให้คนซาบซึ้ง ใช้เหตุผลทำให้คนเข้าใจนั้นไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเขาถึงขนาดออกกระบี่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจน จนมันกลายมาเป็นบัญชีเลอะเลือนที่เกิดขึ้นโดยที่ใครก็ไม่ทันได้ตั้งตัว

ซ่งอวี่เซาถอนหายใจยาวเหยียด

ศาลาภูเขาแม่น้ำเอยศาลาภูเขาแม่น้ำ ภูเขาทับซ้อน สายน้ำไหลริน ทัศนียภาพนั้นสวยงาม แต่เรื่องราวบนโลกมนุษย์กลับเป็นดั่งลมมรสุม ไม่เคยง่ายสมใจคนปรารถนา

จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสซ่ง หลังจากนี้ข้าสามารถไปฝึกวิชาหมัดที่น้ำตกได้หรือไม่?”

ซ่งอวี่เซาตอบรับทันทีโดยไม่ต้องคิด “ทำไมจะไม่ได้เล่า ข้าจะป่าวประกาศออกไปว่า ตั้งแต่ศาลาภูเขาแม่น้ำไปจนถึงน้ำตกแห่งนั้นถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของหมู่บ้านวารีกระบี่ ใครละเมิดเข้ามาต้องตาย”

เฉินผิงอันเกาหัว รู้สึกเกรงใจไม่น้อย “ข้าแค่ไปฝึกวิชาหมัดตอนกลางคืนเวลาที่ไม่มีคนไปชมทัศนียภาพของน้ำตกก็พอแล้ว ตอนกลางวันไม่ต้องปิดทางหรอก ไม่อย่างนั้นจะดูไร้น้ำใจเกินไป”

ซ่งอวี่เซาส่ายหน้าหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่ใจไม่ถึงเอาซะเลย ข้าผู้อาวุโสคิดจะขีดเส้นแบ่งพื้นที่ไม่ให้ใครมาขี้ในบ้านของตัวเอง ยังจำเป็นต้องอธิบายเหตุผลกับคนนอกอีกหรือ?”

เฉินผิงอันจึงได้แต่กล่าวว่า “หากทางหมู่บ้านต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไร ท่านผู้อาวุโสก็สั่งมาได้เลย”

ผู้เฒ่าตบกระบี่เหล็กบนเข่า กล่าวเสียงขุ่น “กระบี่ของข้าผู้อาวุโส ไม่เหมือนกับกระบี่สองเล่มที่เจ้าสะพายอยู่”

เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอามาดื่มเหล้า ไม่ได้พูดอะไร

ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม เก็บกระบี่แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ฝึกวิชาหมัดไปตามสบาย อยากอยู่ในหมู่บ้านนานแค่ไหนก็ได้ ใช่แล้ว ดมจากกลิ่นก็รู้ว่าเหล้าของเจ้าคงไม่อร่อยเท่าไหร่ เดี๋ยวกลับไปข้าผู้อาวุโสจะให้คนนำเหล้าฮวาเตียว (เหล้าเหลืองชนิดหนึ่ง) ที่ฝังไว้ใต้ดินนานถึงยี่สิบปีไปส่งยังที่พักของเจ้าหลายๆ ไห นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเหล้าที่ดี! ไอ้ที่เจ้าดื่มอยู่ตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าน้ำเปล่าเลย ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าจะมีคนหรือไม่มีคน มีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง เด็กน้อยอย่างเจ้าก็ชอบดื่มอึกสองอึกอยู่เป็นระยะ ข้าผู้อาวุโสล่ะอายแทนเจ้า”

ผู้เฒ่าเตะปลายเท้า ร่างล่องลอยออกไป พริบตาเดียวก็ไปปรากฏตัวอยู่บนกิ่งไม้สูงในป่าที่ห่างไปไกล ทะยานตัวขึ้นๆ ลงๆ อยู่แค่ไม่กี่ครั้งก็หายตัวไปไม่เห็นเงาอีก

เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาภูเขาแม่น้ำเพียงลำพัง

ได้เจอกับผู้อาวุโสในยุทธภพท่านนี้สองครั้ง เฉินผิงอันอดนึกไปถึงเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีไม่ได้ แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพ อีกคนคือองค์เทพฝ่ายบุ๋นที่เสวยสุขกับควันธูป อ้อ ใช่แล้ว ยังรวมถึงผู้ฝึกลมปราณคนที่รับหลวนหลวนเป็นลูกศิษย์ด้วย เขามักจะรู้สึกว่าพวกเขาสามคนมีบางอย่างคล้ายกัน แต่คล้ายกันตรงไหน เฉินผิงอันก็บอกไม่ถูกอีกเหมือนกัน แต่สรุปก็คือหลังจากที่เฉินผิงอันได้รู้จักพวกเขาแล้วถึงได้รู้สึกว่าเหล้าในน้ำเต้าของตัวเอง จะซื้อประเภทเหล้าต้มที่ถูกที่สุดอีกไม่ได้แล้วจริงๆ

ฮ่าๆ ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวเขาก็จะได้ดื่มเหล้าที่ดีที่สุดของหมู่บ้านวารีกระบี่แล้วไม่ใช่หรือ?!

ประเด็นสำคัญก็คือเฉินผิงอันไม่ต้องจ่ายเงินด้วย!

ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันออกจากศาลาภูเขาแม่น้ำกลับไปยังที่พักจึงอารมณ์ดีสุดขีด

ไปถึงลานบ้าน สวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเห็นเฉินผิงอันที่ใบหน้าแปะคำว่าดีใจเด่นหราก็หันมามองหน้ากันเอง อะไรกัน? ไปดูน้ำตกได้ผลดีขนาดนี้เชียวหรือ?

เฉินผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะหินอย่างสุขใจ เอ่ยกับพวกเขายิ้มๆ “ตอนกลางคืนข้าจะไปฝึกวิชาหมัดที่น้ำตก พวกเจ้าใครจะไปเป็นเพื่อนข้าบ้าง?”

ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะชั่วร้าย “หรือว่าตอนไปน้ำตก เจ้าไปแอบเห็นสาวงามอาบน้ำมา? ถ้ามีทัศนียภาพสวยงามแบบนี้ก็นับข้าไปด้วยอีกคน!”

จางซานเฟิงกะพริบตาปริบๆ “ข้าผู้เป็นนักพรตช่วยดูต้นทางให้พวกเจ้าได้”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ใช่ที่ไหนกัน เมื่อครู่ข้ายังทะเลาะกับคนที่น้ำตกด้วย ต่อยตีกันไปรอบหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นคนของหมู่บ้านเหิงเตา ยังดีที่ผู้อาวุโสซ่งลงมือช่วยสกัดกั้นลูกธนูจากผู้ติดตามคนหนึ่งให้ข้า ไม่อย่างนั้นคาดว่าข้าคงต้องลงมืออย่างเต็มกำลังแล้ว ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองคนอาจถูกข้าลากลงน้ำไปด้วย…”

ชายฉกรรจ์เคราดกจุ๊ปากพูด “เฉินผิงอัน ถึงกับลากลงน้ำเลยหรือ ข้าเป็นชายชาตรีร่างกำยำปานนี้ก็ทำให้เจ้าน้ำลายไหลด้วยความปรารถนาได้หรือ? ข้าว่าจางซานเฟิงต่างหากที่พอจะดูมีความงามอยู่หลายส่วน เดี๋ยววันหน้าข้าจะช่วยซื้อชุดผู้หญิงจากเมืองเล็กมาให้เขาใส่ ถึงเวลานั้นให้เขาเดินไปเดินมาอยู่ตรงน้ำตก ไม่แน่ว่าข้าอาจช่วยทำหน้าที่เป็นผู้เฒ่าจันทราโยงด้ายแดงให้พวกเจ้าได้แต่งงานครองคู่กัน…”

เฉินผิงอันกำลังดื่มเหล้าเกือบจะพ่นเหล้าออกมา

จางซานเฟิงทำหน้าพะอืดพะอม รีบลุกขึ้นเดินออกห่างคนทั้งสอง แล้วกล่าวเสียงขุ่น “กระต่ายไม่กินหญ้าใกล้รังตัวเอง พวกเจ้ากลับดีนัก แม้แต่พี่น้องตัวเองก็ยังไม่ยอมละเว้น นี่มันเกินไปแล้วนะ”

ส่วนเฉินผิงอันก็ขยับเปลี่ยนเก้าอี้นั่งให้อยู่ห่างจากสวีหย่วนเสียอีกนิด…

ชายฉกรรจ์เคราดกลูบเครา “ทำไมเล่า ขนาดชีวิตยังสละให้พี่น้องได้ แค่เปลี่ยนมาสวมชุดผู้หญิงทำไม่ได้หรือไง? แบบนี้ก็ไม่มีน้ำใจพอน่ะสิ!”

จางซานเฟิงยกสองมือกุมหมัดวิงวอน เดินถอยหลังห่างออกไป “ข้าผู้เป็นนักพรตจะไปอ่านตำราในห้องแล้ว พวกเจ้ามีน้ำใจพอก็คุยกันไปเถอะนะ”

สวีหย่วนเสียหัวเราะชอบใจเสียงดัง

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ

และเวลานี้ผู้ดูแลแซ่ฉู่ก็มาเรียกที่นอกลานบ้านพอดี เขานำคนยกไหเหล้ารสเลิศมาด้วยตัวเองถึงสี่ไห พอวางไว้แล้วก็จากไปทันที สีหน้าที่ผู้เฒ่ามีต่อเฉินผิงอันยิ่งมีไมตรีจิตมากขึ้น

อันที่จริงจางซานเฟิงไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า เฉินผิงอันจึงคิดจะแบ่งกับสวีหย่วนเสียคนละครึ่ง หนึ่งคนสองไห สวีหย่วนเสียลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าเอาแค่ไหเดียวก็พอแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าเอาไปสามไห”

เฉินผิงอันแปลกใจเล็กน้อย

สวีหย่วนเสียกวาดตามองรอบด้าน เมื่อไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงชี้ไปยังน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่อยู่ตรงเอวของเฉินผิงอันแล้วเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “คิดว่าข้ามองสายสนกลในอะไรไม่ออกเลยจริงๆ น่ะหรือ ถ้าอย่างนั้นเกินครึ่งชีวิตที่ข้าใช้มาในยุทธภพก็เสียเปล่าน่ะสิ ก็แค่ก่อนหน้านี้เกรงใจที่จะพูดเท่านั้น ก็เหมือนกับเรื่องที่จางซานเฟิงเรียกตัวเองว่าจางซานนั่นแหละ ใครบ้างที่ท่องอยู่ในยุทธภพแล้วจะไม่มีความลับเสียเลย? กาเหล้าใบนี้ของเจ้า หากไม่ใช่วัตถุฟางชุ่นของตระกูลเซียนในตำนาน ก็ต้องเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีค่ามากยิ่งกว่า ถูกไหม?”

ชายฉกรรจ์เคราดกยื่นนิ้วไปชี้ที่ดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง “ข้าน่ะมีตาทิพย์มาตั้งนานแล้วนา”

เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า “ปิดบังมานานขนาดนี้ ต้องขอโทษพวกเจ้าสองคนแล้ว”

สวีหย่วนเสียค้อนปะหลับปะเหลือก “พูดเหมือนผายลม มีอะไรให้ต้องขอโทษกัน คลุกคลีอยู่ในยุทธภพแล้วไม่รู้จักระวังตัวเองต่างหากที่ผิดต่อสหายอย่างแท้จริง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของชายฉกรรจ์เคราดกก็เปลี่ยนมาเป็นเซื่องซึม เขาเปิดจุกไหเหล้ารสเลิศของหมู่บ้านที่ถูกปิดผนึกมานาน เทเหล้ากรอกใส่กาเหล้าธรรมดาของตนใบนั้น เทจนเต็มแล้วก็แกว่งเบาๆ “นี่ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยไปตามมารยาทหรอกนะ แต่เป็นเพราะข้าเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาก่อนแล้ว”

สวีหย่วนเสียดื่มเหล้าอึกใหญ่ ถึงอย่างไรก็ยังมีเหล้าเหลืออีกเกินครึ่งไห ก่อนจะดื่มจนเมาล้มพับ รับรองว่ามากพอให้ดื่มจนอิ่ม!

เฉินผิงอันเห็นว่าชายฉกรรจ์อารมณ์ไม่แจ่มใสนักก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนสวีหย่วนเสียไปเงียบๆ เพียงแต่ว่าเขาดื่มช้า ส่วนชายฉกรรจ์นั้นดื่มเหมือนวัวกินน้ำ

สวีหย่วนเสียดื่มเหล้ากาหนึ่งหมดรวดเดียว เคราที่รกครึ้มเต็มใบหน้าเปรอะไปด้วยสุรา เขาเอามือปาดลวกๆ ถามพร้อมรอยยิ้ม “ในกาเหล้าของเจ้าบรรจุเหล้าเหมือนกัน แต่รสชาติจะต่างกันไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มพลางโยนน้ำเต้าไปให้ชายฉกรรจ์ “ลองชิมเองเลย”

สวีหย่วนเสียชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง แหงนหน้ากรอกเข้าปากอึกใหญ่ พอโยนกลับคืนไปให้เฉินผิงอันแล้วก็กล่าวอย่างสาแก่ใจว่า “รสชาติดีกว่าเล็กน้อย!”

เฉินผิงอันหัวเราะชอบใจ “ผายลม! เหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าของข้าตอนนี้ยังเป็นเหล้าที่ราคาถูกที่สุดซึ่งซื้อมาจากเมืองเล็ก ยังจะเทียบกับเหล้าฮวาเตียวยี่สิบปีของหมู่บ้านได้หรือ?”

สวีหย่วนเสียเริ่มเมามาย ใบหน้าแดงก่ำ ลุกขึ้นยืนเดินโซเซไปทางห้องตัวเอง กะว่าจะนอนหลับเอาแรงสักงีบ แต่ก็ยังหันหน้ามายิ้มกว้าง พูดว่า “เหล้าของเซียนกระบี่ใหญ่ในอนาคตจะไม่อร่อยได้หรือ? ต้องอร่อยสิ!”

สวีหย่วนเสียหันหน้ากลับไป เดินเซไปเซมา ส่ายศีรษะโคลงเคลง พึมพำกับตัวเอง “วันหน้าข้าสวีหย่วนเสียก็เอาเรื่องนี้ไปโอ้อวดกับคนได้ทั้งชีวิตแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version