บทที่ 243 ต่อยน้ำตกใต้แสงจันทร์ สายรุ้งพาดกลางนภา
ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาปกคลุม แสงไฟในหมู่บ้านวารีกระบี่ถูกจุดสว่างไสว ไม่ว่าจะเรือนหลังเล็กหรือหลังใหญ่ก็ล้วนมีแขกเหรื่อนั่งกันแน่นขนัด เสียงจอกเหล้ากระทบกันคลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะพูดคุย เหล้าหมักของหมู่บ้านถูกดื่มหมดไปหลายไหจนนับไม่ถ้วน ภายหลังว่ากันว่าต่อให้อยู่ไกลถึงเมืองเล็กก็ยังได้กลิ่นหอมของสุราที่ลอยไปจากหมู่บ้าน
เฉินผิงอันถามผู้ดูแลฉู่เรื่องท่าเรือของตระกูลเซียนจึงรู้ว่าแคว้นซูสุ่ยมีสถานที่แบบนี้อยู่จริง อยู่ห่างจากหมู่บ้านวารีกระบี่ไปอีกหกร้อยกว่าลี้ ตั้งอยู่ตรงชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซี ได้ยินมาว่ามักจะมีผู้ฝึกลมปราณเข้าออกเป็นประจำ แต่ในรัศมีสามร้อยลี้โดยรอบได้กลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้ามของเชื้อพระวงศ์แคว้นซูสุ่ยนานแล้ว หากไม่มีเอกสารผ่านทางที่เขตการปกครองออกให้ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือผู้ฝึกยุทธ์ที่บุกเข้าไปก็ล้วนต้องถูกสังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น ผู้ดูแลเฒ่ารู้จักคนมากมาย มีประสบการณ์โชกโชน อีกทั้งยังเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเองว่าหมู่บ้านวารีกระบี่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจวนผู้ตรวจการของชายแดน เป็นสหายที่สนิทกันมาก ขอแค่อดีตผู้นำหมู่บ้านเขียนจดหมายหนึ่งฉบับก็สามารถนำมาใช้แทนเอกสารผ่านด่าน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเฉินผิงอันเปลืองแรงกายแรงใจ
จางซานเฟิงถามเพิ่มไปอีกประโยคหนึ่งว่า ที่ท่าเรือมีร้านที่เป็นของผู้ฝึกลมปราณซึ่งใช้แลกเปลี่ยนสินค้าหรือไม่ พ่อบ้านเฒ่าบอกว่ามี เพราะหลังจากที่กระบี่เล่มเดิมของซ่งเฟิ่งซานนายน้อยผู้นำหมู่บ้านถูกทำลายไป เขาก็เคยไปที่ท่าเรือด้วยตัวเองหนึ่งรอบ และนำกระบี่สั้นที่ห้อยติดเอวเวลานี้กลับมา ผู้ดูแลเฒ่าพูดเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมาหมดไม่มีหมกเม็ด ไม่เพียงแต่เปิดเผยเรื่องวงในของแคว้นซูสุ่ย แม้แต่เรื่องลับที่เพื่อซื้ออาวุธเทพตระกูลเซียนอย่าง ‘วารีสีคราม’ เล่มนั้นกลับมา ซ่งเฟิ่งซานต้องสูญเงินเกล็ดหิมะไปถึงเก้าร้อยเหรียญซึ่งเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของเงินทองที่สะสมไว้ในหมู่บ้าน เขาก็เล่าให้คนทั้งสามฟังหมดเหมือนเทถั่วจากกระบอกไม้ไผ่
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะผู้ดูแลเฒ่าถูกคำว่าคุณธรรมในยุทธภพพุ่งขึ้นหัวจนสมองเลอะเลือน ถึงขนาดไม่รู้ข้อห้ามที่ว่าไม่ควรพูดคุยลึกซึ้งกับคนที่รู้จักเพียงผิวเผิน แต่เป็นเพราะอริยะซ่งเคยมากำชับกับเขาเป็นการส่วนตัวว่า การปฏิบัติตัวต่อคนทั้งสาม โดยเฉพาะกับเฉินผิงอันเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ สามารถปฏิบัติเหมือนสหายที่เขาซ่งอวี่เซาสนิทมานานจนลืมเวลาทางหมู่บ้านไม่จำเป็นต้องมีการระแวงป้องกันใดๆ
คำพูดหนักดุจทองพันชั่ง ความสัมพันธ์ที่เป็นตายแทนกันได้ สองคำว่าสหายจึงหนักอึ้งดุจขุนเขา
นี่คือคุณธรรมในยุทธภพที่คนรุ่นเก่าอย่างซ่งอวี่เซาเลื่อมใส ผู้ดูแลเฒ่าแซ่ฉู่ติดตามอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยมาเป็นเวลาหกสิบปีแล้ว ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาพร้อมกับหมู่บ้าน แล้วจะไม่ถูกกลิ่นอายในยุทธภพนี้ของซ่งอวี่เซาแพร่มาสู่ตัวได้อย่างไร นี่ถึงทำให้เขาสุขุมรอบคอบ ระมัดระวัง ไร้ความแค้นไร้ความเสียใจอย่างทุกวันนี้
ในห้องของจางซานเฟิง คนทั้งสามกินอาหารค่ำเต็มโต๊ะที่อุดมสมบูรณ์อิ่มแล้ว เฉินผิงอันก็เตรียมจะไปฝึกหมัดที่น้ำตก แต่จู่ๆ กลับถูกจางซานเฟิงเรียกตัวเอาไว้ บอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ ชายฉกรรจ์วางเท้าข้างหนึ่งลงบนม้านั่งตัวยาว ใช้ซีกไม้ไผ่บางๆ แคะฟัน ถามจางซานเฟิงว่าต้องให้เขาเลี่ยงไปที่อื่นหรือไม่ นักพรตหนุ่มวิ่งไปเปิดห่อสัมภาระพลางพูดไปด้วยว่าไม่ต้อง เพียงไม่นานจางซานเฟิงก็หยิบตะเกียบไม้ไผ่คู่หนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ ผลักไปให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “เอามาทำไม? ข้าวก็กินอิ่มแล้ว เจ้าเอาตะเกียบมาให้ข้าทำอะไร?”
ตะเกียบไม้ไผ่คู่ที่อยู่บนโต๊ะก็คือหนึ่งในของเชลยศึกที่จางซานเฟิงได้รับมาจากเมืองแยนจือ ข้างหนึ่งสลักคำว่าภูเขาชิงเสิน อีกด้านหนึ่งสลักคำว่าไม้ไผ่เสินเซียว
จางซานเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ยกให้เจ้า ถือว่าเป็นดอกเบี้ยของเสื้อเกราะกวางหมิงสำนักโม่เม็ดนั้น ชีวิตนี้ข้าผู้เป็นนักพรตกลัวว่าจะต้องติดเงินคนอื่นมากที่สุด พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วจะต้องกินนอนไม่เป็นสุข แล้วนับประสาอะไรกับที่ติดหนี้ครั้งหนึ่งมากถึงห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะ ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเงินทองจริงๆ ก็ตั้งห้าแสนตำลึงเงิน ตามคำบอกของผู้ดูแลฉู่ ในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของยุทธภพแคว้นซูสุ่ย ทรัพย์สินที่สั่งสมมาหนึ่งร้อยปีของหมู่บ้านวารีกระบี่ก็ยังรวมกันได้ไม่เกินสองล้านตำลึงเงินกว่าๆ หากไม่คืนอะไรให้เจ้าบ้าง คืนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตต้องนอนไม่หลับแน่ๆ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าโง่หรือไง หากตะเกียบคู่นี้ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวของถ้ำสวรรค์ชิงจู๋ (ไผ่เขียว) จริง ไม่แน่ว่าอาจเอาไปขายได้หลายร้อยเงินเกล็ดหิมะ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ไม่ใช่ไม้ไผ่จากภูเขาชิงเสิน แต่บนตะเกียบเล่มนี้มีปราณวิญญาณที่หลายร้อยปีก็ไม่สลายไปไหน อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้ ในเมื่อเป็นวัตถุวิเศษหลังกำเนิดชิ้นหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องขายได้หลายสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะกระมัง? ดอกเบี้ย? มีดอกเบี้ยที่ไหนสูงขนาดนี้? เจ้าจางซานเฟิงเห็นว่าข้าเป็นพ่อค้าชั่วไร้คุณธรรมที่เก็บดอกเบี้ยสูงลิ่วหรือไง?”
เฉินผิงอันยิ่งพูดยิ่งโมโห ผลักตะเกียบคืนให้นักพรตหนุ่ม “อีกอย่าง เดี๋ยวพวกเราก็ต้องไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนของแคว้นซูสุ่ยแล้ว ในเมื่อมีร้านรับแลกเปลี่ยนสมบัติอาคมอยู่ ก็รอให้มั่นใจในราคาของตะเกียบไม้ไผ่ก่อนค่อยว่ากัน หากมีค่าแค่ไม่กี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ข้าค่อยรับเอาไว้ แต่ถ้าเกินห้าสิบเหรียญ เจ้าก็ห้ามคืนมันเป็นดอกเบี้ยให้ข้าเด็ดขาด”
จางซานเฟิงส่ายหน้า น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ไม่ได้! มโนธรรมในใจข้าผู้เป็นนักพรตไม่อาจสงบลงได้ มรรคาที่ลัทธิเต๋าแสวงหา หวาดกลัวมารในใจเป็นที่สุด เจ้าเฉินผิงอันอย่าได้มาทำให้เส้นทางการฝึกตนของข้าผู้เป็นนักพรตเอนเอียง!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด่าอย่างไม่จริงจังนัก “เจ้าพูดจาส่งเดชแล้ว ไป๊ๆๆ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดกันแล้ว เอาเก็บกลับไป! ไม่อย่างนั้นแน่จริงก็มาสู้กันสักตั้ง ใครชนะต้องทำตามคนนั้นไหมล่ะ?”
จางซานเฟิงถึงได้เงียบเสียงลง
เฉินผิงอันผลักประตูเดินออกไปฝึกหมัดที่น้ำตก
จางซานเฟิงถอนหายใจ มองไปยังชายฉกรรจ์เคราดก “ข้าจะทำอย่างไรดี?”
สวีหย่วนเสียกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “มาแข่งนิสัยสุธนกุมารชอบแจกเงินกับเฉินผิงอัน เจ้ายังห่างไกลอีกหนึ่งหมื่นแปดพันลี้”
จางซานเฟิงกลัดกลุ้มเล็กน้อย รินเหล้าต้มให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ก้มหน้าจิบคำเล็กๆ คำเดียวก็หน้าแดงก่ำไปหมด
เดิมทีในศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายที่ไล่ฆ่าลูกศิษย์ใหญ่ของมารเฒ่าหมี่ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีครั้งนั้น ระหว่างเส้นแบ่งความเป็นความตาย นักพรตหนุ่มพลันบังเกิดความคิด กรอกปราณวิญญาณเข้าไปในเม็ดเสื้อเกราะ ใช้เสื้อเกราะกวางหมิงปกป้องกาย ถึงรับการโจมตีเอาชีวิตของปีศาจตนนั้นแทนนักพรตจงเมี่ยวไว้ได้ นักพรตเฒ่าที่มองของสิ่งนั้นออกแสดงความตื่นตะลึงเต็มใบหน้า ร้องอุทานอย่างเหลือเชื่อ บอกว่าสมบัติล้ำค่าของสำนักการทหารชิ้นนี้ แค่เคยได้ยินมาว่าสิบกว่าแคว้นตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีไว้ด้วยนั้น มีแค่ในคลังสมบัติเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋เท่านั้นที่มีเม็ดเสื้อเกราะมูลค่าควรเมืองเก็บไว้หนึ่งชิ้น เล่าลือกันว่าเคยมีบุคคลอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธ์ของแคว้นซงซียอมจ่ายเงินหิมะน้อยถึงหกพันเหรียญเพื่อขอซื้อจากฮ่องเต้แคว้นกู่อวี่ แต่ก็ยังโดนปฏิเสธ
หลังจากนั้นมาในใจของนักพรตหนุ่มก็คิดถึงแต่เรื่องนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเฉินผิงอันอย่างไร ภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในวัดโบราณ ระยะทางเจ็ดร้อยกว่าลี้ที่เดินทางกันมา เฉินผิงอันเงียบขรึมผิดปกติ จางซานเฟิงก็ยิ่งไม่มีโอกาสได้พูดคุยเปิดอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมา
ตอนนี้เมื่อมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ และอีกไม่นานก็จะไปที่ท่าเรือของตระกูลเซียน ด้วยทนรับความทรมานในใจนี้ต่อไปไม่ไหวจริงๆ จางซานเฟิงจึงเล่าเรื่องนี้ให้ชายฉกรรจ์เคราดกซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพมาอย่างโชกโชนฟัง สวีหย่วนเสียช่วยนักพรตหนุ่มยืนยันสองเรื่อง หนึ่งคือเฉินผิงอันต้องแน่ใจในราคาที่แท้จริงของเม็ดเสื้อเกราะนั้น ตอนนั้นที่บอกว่ามันมีราคาแค่ห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะก็เพราะตั้งใจจะกึ่งขายกึ่งยกให้จางซานเฟิง ข้อสองก็คือตามคำบอกของจางซานเฟิง ตอนที่เฉินผิงอันนั่งเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวจากอุตรกุรุทวีป ได้พักอยู่ในห้องอักษรตัวเทียน แม้จะไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กหนุ่มที่แบกกระบี่มุ่งหน้าลงใต้มีชาติกำเนิดยากจนจากชั้นชนล่างสุด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าต้องมีโชควาสนาเป็นของตัวเอง อีกอย่างดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินเงินทองเท่าไหร่นัก อย่างน้อยกับเพื่อนก็เป็นแบบนี้
ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างการติดเงิน แต่เป็นการติดหนี้น้ำใจใหญ่เทียมฟ้า
สุดท้ายสวีหย่วนเสียไม่ได้บอกจางซานเฟิงว่าควรทำอย่างไร แต่พูดแค่สองประโยค ประโยคแรกคืออย่าได้เห็นว่าการทุ่มเทอย่างจริงใจของสหายเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ประโยคที่สองก็คือพี่น้องต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน ความสัมพันธ์ถึงจะยืนยาวได้ อย่าได้คิดเด็ดขาดว่าเป็นเพื่อนกันแล้วก็ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อย เพราะนั่นคือความคิดไร้เดียงสาของเด็กที่ยังไม่เติบโต
ดังนั้นจางซานเฟิงถึงคิดจะอาศัยข้ออ้างว่าจ่ายดอกเบี้ย หวังจะมอบตะเกียบไม้ไผ่มหัศจรรย์ที่มาจากภูเขาชิงเสินคู่นั้นให้เฉินผิงอัน
การที่เขาไม่ได้มอบถ้วยขาวที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินให้เป็นน้ำค้างหวานหยดหนึ่งอย่างช้าๆ ก็เพราะตัวจางซานเฟิงเองคือผู้ฝึกลมปราณ สำหรับจางซานเฟิงแล้ว ถ้วยขาวถือเป็นของจำเป็นบนเส้นทางการฝึกตน สามารถเรียกได้ว่าเป็นน้ำค้างหวานที่รอมานานท่ามกลางความแห้งแล้ง เป็นดั่งการยื่นถ่านให้ในวันหิมะตก แต่เฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่จำเป็นต้องใช้ หากมอบให้เขาก็เป็นแค่การเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร ต่อให้รับถ้วยขาวไป อย่างมากก็เอาไปขายแลกเงินหิมะน้อยมาเท่านั้น
จางซานเฟิงดื่มเหล้า ใบหน้าแดงก่ำ พูดเสียงอ้อแอ้ด้วยความเมามาย “พี่ใหญ่สวี เจ้าช่วยคิดวิธีหน่อยเถอะ ข้านักพรตน้อยคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ”
ชายฉกรรจ์เคราดกกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่ได้จริงๆ เจ้าก็สวมชุดผู้หญิงดีไหม? ข้าเห็นว่าตลอดทางมานี้เฉินผิงอันไม่มีความสนใจในตัวหญิงสาวหรือผีสาวเลยแม้แต่นิดเดียว ใครควรฆ่าก็ฆ่า ไม่เคยเลอะเลือนเลยสักครั้ง…”
ได้ยินชายฉกรรจ์เคราดกพูดจาเหลวไหล นักพรตหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือก เอาศีรษะโขกหน้าโต๊ะ เมาหลับไปทันที
สมกับคำว่าวันนี้มีเหล้าวันนี้เมา พรุ่งนี้มีทุกข์ค่อยทุกข์พรุ่งนี้อย่างแท้จริง
สวีหย่วนเสียใช้ฝ่ามือลูบหนวดเครา ในสมองมีภาพสองภาพลอยขึ้นมา ล้วนเป็นภาพในวัดร้างที่เด็กหนุ่มพูดกับหญิงสาวร่างอวบอิ่มคนหนึ่งว่า หากอากาศหนาวก็ยื่นมือไปอังไฟ
จากนั้นก็เป็นภาพที่หลังจากหญิงสาวกลายเป็นผี เด็กหนุ่มบีบคออีกฝ่ายแล้วต่อยหมัดรัวจนวิญญาณของผีสาวแหลกสลาย
แล้วสวีหย่วนเสียก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อครู่ตอนที่คุยกันบนโต๊ะกินข้าว เฉินผิงอันพูดถึงความขัดแย้งตรงน้ำตก บอกว่ามีหญิงสาวห้อยดาบกลับด้านคนหนึ่งถูกเขาต่อยจนปลิวไปตกในบ่อน้ำ
ชายฉกรรจ์สะดุ้งโหยง กล่าวอย่างอกสั่นขวัญผวา “เฉินผิงอัน! เจ้าคงไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ หรอกกระมัง?”
……
ในห้องโถงของเรือนหลักหมู่บ้านวารีกระบี่ เสียงแก้วชนแก้วดังไม่ขาดสาย เจ้าบ้านและแขกต่างก็กินดื่มกันอย่างสำราญ กลิ่นหอมของสุราทำให้คนเมามาย
ในห้องโถงใหญ่ปูพรมหลากสีผืนใหญ่ ซึ่งก็คือ ‘เสื้อปูพื้น’ ที่มีเฉพาะในเมืองจือหนวี่ (สาวทอผ้า) แคว้นไฉ่อี
ซ่งอวี่เซาอดีตหัวหน้าหมู่บ้านยังคงไม่ยอมปรากฎตัวมารับแขก นายน้อยผู้นำหมู่บ้านอย่างซ่งเฟิ่งซานจึงนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ข้างกายคือภรรยาผู้เพียบพร้อมที่คอยจัดการดูแลเรื่องราวทั้งในและนอกหมู่บ้าน แม้ว่าสตรีแต่งงานแล้วจะควบคุมดูแลบ้านได้อย่างเป็นระบบระเบียบ แต่รู้จักความเหมาะสมดีเยี่ยม ไม่เพียงแต่รับรองแขกได้อย่างครอบคลุมไร้ข้อบกพร่อง ทั้งยังไม่เคยบดบังรัศมีของสามีตัวเอง เป็นเหตุให้ต่อให้ซ่งเฟิ่งซานจะปิดด่านเพื่อทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่ตลอดทั้งปี ชื่อเสียงของเซียนกระบี่น้อยในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยกลับยิ่งโด่งดัง สุดท้ายดังจนถึงขั้นที่สามารถจัดงานประชุมครั้งใหญ่รวมคนในยุทธภพได้
บุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจของพรรคลำดับต้นๆ ในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยล้วนพากันมาร่วมงานคืนนี้ นอกจากพวกผู้อาวุโส ยักษ์ใหญ่สายขาวที่มาจากสำนักดั้งเดิมที่ถูกต้องของยุทธภพแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนอิสระจำนวนมากจนน่าทึ่ง รวมถึงผู้เฒ่าบางส่วนที่ไม่ปรากฏตัวในยุทธภพมานานมากแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนมีอายุประมาณเจ็ดสิบปี และยังมีผู้เฒ่าสองคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่ต่างก็อาศัยโอกาสนี้มารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ร่วมดื่มร่วมฉลองอย่างสำราญใจ ให้เกียรติแก่หมู่บ้านวารีกระบี่อย่างเพียงพอ
คู่พี่น้องสกุลหานที่มาจากภูเขาเสี่ยวฉง บัณฑิตหานหย่วนซ่าน เด็กสาวหานหยวนเสวีย ตำแหน่งที่นั่งของคนทั้งสองไม่ได้อยู่หน้าสุด เพราะว่าสถานะของพวกเขาค่อนข้างพิเศษ ถือเป็นคนจากตระกูลขุนนาง หากตำแหน่งที่นั่งในคืนนี้สะดุดตาเกินไป อันที่จริงล้วนไม่ส่งผลดีต่อทั้งหมู่บ้านวารีกระบี่และสกุลหาน ย่อมต้องนำมาซึ่งคำนินทาจากจอมยุทธ์มากมายในยุทธภพ
คู่พ่อลูกหวังอี้หรานหัวหน้าหมู่บ้านเหิงเตาและบุตรสาวหวังซานหูนั่งอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นกว่าคู่พี่น้องสกุลหาน ห่างกันเพียงแค่สองโต๊ะกั้น
สำหรับเรื่องนี้เด็กสาวหานหยวนเสวียไม่ใคร่จะพอใจนัก นางรู้สึกว่าถูกเมินจากทางหมู่บ้าน ไม่ว่าสกุลหานจะไปอยู่ที่ไหนในแคว้นซูสุ่ยก็ไม่ควรพบเจอกับสภาพเหตุการณ์เช่นนี้ถึงจะถูก ส่วนหานหยวนซ่านที่ลักษณะคล้ายปัญญาชนผู้สุภาพอ่อนโยน มือหนึ่งถือพัดโบกเบาๆ อีกมือหนึ่งยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม ไม่ถือสาเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย และสถานะอีกอย่างหนึ่งของคนผู้นี้ก็ยิ่งน่าตะลึงพริงเพริดเข้าไปอีก เพราะเขาคือหนึ่งในสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ ‘บนภูเขา’
แม้ว่าแคว้นซูสุ่ยจะมีท่าเรือของตระกูลเซียน แต่ในอาณาเขตของแคว้นกลับไม่มีสำนักบนภูเขานั่งบัญชาการณ์ ดังนั้นเอาเข้าจริงแล้วสี่พิฆาตที่ชื่อเสียงไม่ค่อยน่าฟังเท่าใดนี้จึงมีความหมายถึงยอดฝีมือกลุ่มเล็กๆ ในยอดบนสุดของแคว้นซูสุ่ย หลุบตาลงต่ำมองยุทธภพ ก้มมองผู้ฝึกยุทธ์อย่างโอหัง อีกทั้งหานหยวนซ่านยังมีสถานะที่สะอาดไร้มลทินจากสกุลหานภูเขาเสี่ยวฉง มีญาติมิตรอยู่มากมายดุจขนวัวในราชสำนักอันเป็นใจกลางสำคัญและในวงการขุนนาง เป็นเหตุให้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เดินได้อย่างราบรื่น แน่นอนว่าในหมู่บ้านวารีกระบี่ที่มีบารมีสะเทือนไปทั้งยุทธภพก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
บนโต๊ะตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมีผู้นั่งคือชายร่างกำยำกับเด็กสาวอายุน้อย พวกเขานั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางค่อนไปทางฝั่งซ้ายมือ ค่อนข้างห่างไกลกับโต๊ะที่ขนาบอยู่สองฝั่งอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนในยุทธภพต่างก็รู้สถานะที่ชัดเจนของคนผู้นี้ บุคคลอันดับหนึ่งของสายดำแคว้นซูสุ่ย มีชื่อว่าโต้วหยาง ลักษณะคล้ายชายฉกรรจ์ แต่เล่าลือกันว่าเขามีอายุสูงถึงหนึ่งร้อยปีมานานมากแล้ว เขาเรียกตัวเองต่อภายนอกว่าเป็นเจ้าแห่งลัทธิมาร มารใต้บังคับบัญชาที่เป็นผู้คุ้มกันมีมากหลายสิบคน สามารถเรียกลมเรียกฝนทางแถบตอนใต้ของแคว้นซูสุ่ย ยังดีที่สำนักของเขาอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตั้งอยู่บนเส้นชายแดนระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซี หลายปีมานี้ถือว่าอยู่อย่างสงบพอสมควร ไม่ได้สร้างฝนคาวลมเลือดอะไรขึ้นมา แต่คนในยุทธภพรุ่นเก่าที่อยู่ตรงนี้ต่างก็เคียดแค้นคนผู้นี้อย่างลึกล้ำ ทว่าขณะเดียวกันกลับหวาดกลัวและกริ่งเกรงเขามากกว่า เพราะแคว้นซูสุ่ยเมื่อห้าสิบปีก่อน ฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรมเปิดศึกนองเลือดกันสามครั้งเพื่อช่วงชิงอาณาเขตในยุทธภพ พวกเขาเข่นฆ่ากันจนมืดฟ้ามัวดิน ยอดฝีมือฝ่ายธรรมะนับพันคนต้องตายไปในศึกครั้งนั้น
หมู่บ้านวารีกระบี่กล้าจัดที่นั่งแบบนี้ ไม่ได้ให้โต้วหยางและสาวใช้ของเขานั่งในตำแหน่งประธาน ก็ทำให้ทุกคนเกิดความนับถือ รู้สึกเลื่อมใสในตัวของซ่งเฟิ่งซานที่อายุยังน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน
แม้ว่าซ่งเฟิ่งซานจะเป็นประธานในครั้งนี้ เขานั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด แต่กลับพูดน้อยมาก เพียงแค่ดื่มเหล้าช้าๆ ไม่ได้จงใจพูดคุยกับใครเป็นพิเศษ บางครั้งมีคนยกความสัมพันธ์กับอริยะกระบี่เฒ่ามาพูดถึง หวังจะตีสนิทกับว่าที่ผู้นำแห่งยุทธภพผู้นี้ ซ่งเฟิ่งซานที่สวมชุดดำพกกระบี่สั้นก็ทำเพียงแค่คารวะสุรากลับหนึ่งจอกเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นสตรียังสาวข้างกายเขาที่ชวนคุย นางรู้เรื่องราวในยุทธภพดุจสมบัติในบ้านตัวเอง บวกกับคำวิจารณ์ที่เคยได้ยินมาจากผู้อาวุโสในตระกูล แม้แต่ความสำเร็จของเด็กรุ่นหลังในตระกูลตน นางก็รู้อย่างชัดเจน นี่จึงทำให้อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าถูกเพิกเฉย กลับยังปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว รู้สึกมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด
คนอื่นเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าเคารพกลับหนึ่งจั้ง
สตรียังสาววางตัวได้อย่างดีเยี่ยมจนใครก็หาข้อตำหนิไม่ได้
บนใบหน้างดงามที่อ่อนเยาว์เหมือนเด็กของหมัวมัวในวัดร้างที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสาวใช้ประจำกายของมารใหญ่โต้วหยางมีประกายแสงสดใสวาบผ่าน นางแอบกวาดสายตามองไปตามใบหน้าของแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน บางครั้งประสานสายตาเข้ากับหานหยวนซ่านก็จะรีบผละออกทันที ทว่ามุมปากของเด็กสาวกลับตวัดโค้ง สายตาหวานหยาดเยิ้ม ส่วนบัณฑิตนั้นก็รู้ใจนางเป็นอย่างดี จึงตอบสนองกลับคืนด้วยท่าทางแบบเดียวกัน หัวใจรักของเด็กสาวยิ่งผลิบาน ตอนที่ก้มหน้าจิบเหล้าจึงแอบแลบลิ้นเลียรอบปากแก้วครึ่งรอบ ทำเอาหานหยวนซ่านที่มองอยู่ถึงกับหรี่ตาลง ปากคอแห้งผาก ฝีไม้ลายมือบนเตียงของปีศาจชราตนนี้ เขาเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาก่อนแล้ว แถมยังติดใจจนต้องคอยเรียกหาผีสาวร่างกายสะโอดสะองงดงามหลายตนให้มาปรนนิบัติอยู่บ่อยๆ ต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์โดดเด่น อีกทั้งยังฝึกเวทลับของพรรคมาร ไม่อยากยอมแพ้ก็ยังยาก
โต้วหยางเก็บภาพทั้งหมดนี้อยู่ในสายตา แค่นเสียงหยันกล่าวว่า “นังแพศยาร่านราคะ เจ้านี่มันเกิดอารมณ์ใคร่ได้ทุกเวลาจริงๆ !”
เด็กสาวตอบด้วยรอยยิ้ม “โอ๊ะโอ เจ้าลัทธิโต้วหึงหรือนี่?”
โต้วหยางคีบอาหารรสจืดขึ้นมากิน ไม่สนใจคำหยอกเย้าจากคนบนมรรคาเดียวกันผู้นี้
อารมณ์รักใคร่ระหว่างชายหญิง ความรื่นรมย์ระหว่างปลาและน้ำ เมื่อเทียบกับการช่วงชิงบนมหามรรคา การเดินขึ้นสู่ยอดสูงเพียงลำพัง จะนับเป็นอะไรได้!
หวังอี้หรานสัมผัสถึงอารมณ์เซื่องซึม รวมไปถึงสายตาอาลัยรักและผิดหวังอย่างเข้มข้นที่คอยแอบมองซ่งเฟิ่งซานอยู่หลายครั้งของบุตรสาวที่นั่งข้างกายได้อย่างชัดเจน
ความรักระหว่างชายหญิงที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางจบลงด้วยดีนี้ หวังอี้หรานรู้ชัดเจนอยู่แก่ใจ แต่ชายฉกรรจ์ไม่คิดว่าตนจำเป็นต้องยื่นมือเข้าแทรก ตีคู่ยวนยางให้แยกจากกัน หนึ่งก็เพราะกรอบป้ายทองคำของหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่ใช่สิ่งที่หมู่บ้านเหิงเตาซึ่งต่ำกว่าหนึ่งระดับจะสามารถวิจารณ์ได้ตามใจชอบ อีกอย่างหากบุตรสาวคิดจะเป็นผู้นำหมู่บ้านที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในอนาคต เจ็บปวดกับความรักบ้างเล็กน้อย หรืออย่างวันนี้ที่ถูกคนต่อยสลบด้วยหมัดเดียว ขายหน้าผู้คนมากมาย ก็ล้วนไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้าย อย่างไรก็ดีว่าทำผิดมหันต์ ต้องลำบากยิ่งกว่าเดิมในอนาคต
หวังอี้หรานตัดสินใจว่าจะทำเป็นมองข้ามเรื่องนี้ ในยุทธภพ ปรมาจารย์ใหญ่ในสายตาชาวโลกอย่างพวกเขา ใครบ้างที่ตอนเป็นหนุ่มสาวไม่เคยมีคนในใจ? สุดท้ายคนที่สามารถประคับประคองช่วยเหลือกันจะเหลืออยู่สักกี่คน แล้วคนที่ถูกลืมเลือนไปในยุทธภพล่ะมีกี่คน? รอจนได้ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของยุทธภพอย่างแท้จริงแล้วก็จะค้นพบเองว่า ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงหมอกและควันที่ลอยผ่านไปเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นหานหยวนซ่านลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่มีอุบายลึกล้ำคนนั้น ว่ากันว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องการเอาอกเอาใจสตรีมากที่สุด ประเด็นสำคัญคือยังทำให้สตรีติดตามเขาด้วยความยินยอมพร้อมใจ สตรีที่เป็นขุนนางซึ่งกุมอำนาจไว้ในมือ สตรีลูกหลานของปรมาจารย์ในยุทธภพ ปีศาจสาวอายุยังน้อยที่หน้าตางดงามแต่กระหายการเข่นฆ่า เทพธิดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธจักร ทุกคนล้วนถูกรวบเก็บไว้ในกระเป๋าของเขา
หากหวังซานหูบุตรสาวของเขาหลงรักคนผู้นี้ หวังอี้หรานถึงจะยื่นมือก้าวก่าย ไม่มีทางอนุญาตให้นางมีความเกี่ยวข้องอะไรกับหานหยวนซ่านเด็ดขาด หาไม่แล้วถึงเวลานั้นเกรงว่าแม้แต่หมู่บ้านเหิงเตาก็คงต้องยกสองมือประคองมอบให้เป็นสินสอดแก่เขาด้วยกระมัง? เห็นได้ชัดว่าหานหยวนซ่านวางแผนไว้อย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังลึกล้ำกว้างไกล แน่นอนว่าเบื้องหลังเขาต้องมียอดฝีมือตัวจริงคอยให้การช่วยเหลือ หากคิดจะทำการค้ากับคนผู้นี้ไม่มีปัญหา เพราะไม่มีทางที่จะได้กำไรน้อย แต่อย่าคิดจะเป็นเพื่อนกับเขาเด็ดขาด เพราะนั่นคือการรนหาที่ตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนเรื่องที่บุตรสาวแอบรักซ่งเฟิ่งซาน หวังอี้หรานกลับไม่คิดมาก เพราะซ่งเฟิ่งซานต่างหากที่ถือว่าเป็นคนในยุทธภพที่แท้จริง หากมีวันหนึ่งซ่งเฟิ่งซานยินดีแต่งบุตรสาวของเขาไปเป็นภรรยาที่เท่าเทียมกัน (มาจากคำว่าผิงชี 平妻เป็นคำเรียกภรรยาของพ่อค้าที่แต่งเข้ามาภายหลัง แม้จะบอกว่าเท่าเทียม แต่ในความเป็นจริงแล้วสถานะก็เท่ากับภรรยารอง หรืออนุภรรยา) หวังอี้หรานไม่ถือสาหากจะควบรวบหมู่บ้านเหิงเตาเป็นหนึ่งเดียวกับหมู่บ้านวารีกระบี่ แต่ชื่อของหมู่บ้านใหม่นี้จะต้องมีคำว่าเตาหนึ่งตัว รวมไปถึงในบรรดาบุตรของลูกสาวเขา จำเป็นต้องให้คนหนึ่งใช้แซ่หวัง เมื่อเป็นเช่นนั้นยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยในอนาคตอีกร้อยปีข้างหน้าก็จะมีแค่สองแซ่ นั่นคือซ่งและหวังเท่านั้น!
มีใครบางคนตะโกนเสียงดังว่าขอดื่มคารวะ หวังอี้หรานจึงยิ้มแล้วยกจอกเหล้าคาระกลับคืน แม้ว่าหวังซานหูจะใจลอย แต่ก็ยังคงรักษามารยาทในข้อนี้ไว้เป็นอย่างดี ดื่มเหล้าคารวะพร้อมบิดาไปด้วย
หลังวางแก้วเหล้าลง สายตาของหวังอี้หรานมองตรงไปข้างหน้า แต่ปากกลับเอ่ยเบาๆ ว่า “ยังคิดถึงเรื่องเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นอีกหรือ? รู้สึกว่าหากไม่ฆ่าอีกฝ่ายก็ไม่สามารถระบายความอัปยศที่ได้รับออกไปได้หมด? พ่อขอแนะนำเจ้าสักคำ เด็กหนุ่มไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้แต่ซ่งเฟิ่งซานก็ยังแอบมองเขาเป็นคู่ต่อสู้อย่างลับๆ แล้ว เพียงแต่ว่าดูเหมือนอริยะกระบี่ผู้เฒ่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเด็กหนุ่ม มีข้อหนึ่งที่หานหยวนซ่านเดาไม่ผิด นั่นคือมีความเป็นไปได้มากว่าเด็กหนุ่มจะเป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเทพกระบี่แคว้นไฉ่อี เพราะอาจารย์ผู้มีพระคุณตายเฉียบพลัน ศัตรูมีพละกำลังมากกว่า เด็กหนุ่มออกเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อหลบเลี่ยงอันตราย อริยะกระบี่ซ่งสนิทสนมกับเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีมาก ดังนั้นถึงได้ลงมือสั่งสอนหม่าลู่ด้วยตัวเองอย่างไม่ไว้หน้าใคร”
หญิงสาวกำด้ามดาบไว้แน่น หลุบสายตาลงต่ำ “ท่านพ่อ จะให้ข้าปล่อยเขาไปแบบนี้น่ะหรือ? หากเจ้าคนน่ารังเกียจที่อำพรางตัวตนคนนั้นต่อยข้าให้ตายในศาลาด้วยหมัดเดียว ข้าก็ยอมแพ้ ต่อให้หนึ่งหมัดของเขาทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัส ข้าก็ยอม! แต่เขากลับหมิ่นเกียรติข้าแบบนี้! แถมยังมีคนนอกอยู่ตั้งมากมายขนาดนั้น วันหน้าข้าจะยังมีหน้าเดินอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร? หรือว่าข้าต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเหิงเตาไปตลอดชีวิต?”
หวังอี้หรานกระแทกจอกเหล้าลงบนโต๊ะแรงๆ แค่นเสียงหยัน “ไอ้เรื่องหน้าตาเนี่ย ต้องอาศัยชัยชนะที่ได้มาจากศึกใหญ่ในยุทธภพ ยุทธภพคือสถานที่ที่คนความจำดีที่สุดแล้วก็แย่ที่สุดเช่นกัน หลายสิบปีให้หลัง รอจนเจ้าหวังซานหูกลายเป็นปรมาจารย์วิชาดาบที่แข็งแกร่งกว่าพ่อ เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตปรมาจารย์ใหญ่ขั้นหกในตำนานได้เหมือนเทพกระบี่แคว้นไฉ่อี หรืออริยะกระบี่ซ่ง ก็ลองดูเถอะว่าใครจะพูดถึงเรื่องขี้หมาในศาลาวันนี้? มีแต่จะจำได้ว่าเจ้าหวังซานหูเอาชนะปรมาจารย์วิถีกระบี่คนไหนได้ สังหารมารสายดำไปได้กี่ตน หนึ่งดาบชักออกจากฝัก พายุดาบซัดกระหน่ำดุจน้ำตก คนที่ชมศึก ใครบ้างจะไม่ปรบมือร้องให้กำลังใจ? ใครยังจะกล้า?!”
ไหล่ของหญิงสาวสั่นสะท้านเบาๆ ก้มหน้าพูดอย่างหม่นหมอง “แต่ขนาดมือกระบี่ที่อายุน้อยกว่าข้า ข้ายังเอาชนะไม่ได้ แค่หมัดเดียวของเขายังรับไม่ไหว ในอนาคตจะยืนเคียงบ่ากับท่านพ่อได้อย่างไร? ยังจะพูดถึงขอบเขตปรมาจารย์ใหญ่ในตำนานได้อย่างไร?”
สำหรับแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปนี้ วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกก็คือขีดสุดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากจะพูดถึงระดับสูงกว่านี้ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีใครได้เห็นทัศนียภาพของขอบเขตนั้นมานานแล้ว ถือว่าเป็น ‘เทพนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่’ ที่ไร้ศัตรูใดจะทัดทานได้แล้ว เล่าลือกันว่าช่วงที่เทพกระบี่แคว้นไฉ่อียืนอยู่บนจุดสูงสุดก่อนจะเร้นกายเข้าป่า เคยได้สัมผัสกับธรณีประตูนั้น แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมขอบเขตถึงถดถอย หมดอาลัยตายอยาก ถอนตัวออกจากยุทธภพอย่างสิ้นเชิง
ส่วนซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าก็เคยพูดอย่างชัดเจนว่า ชีวิตนี้เขาไม่มีหวังที่จะได้เลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้แล้ว
หากเฉินผิงอันรู้เรื่องพวกนี้ บางทีเขาอาจจะอ้าปากค้าง เพราะถึงอย่างไรจูเหอชาวบู๊ขอบเขตสี่ที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยังรู้ว่าขอบเขตที่เก้าต่างหากถึงเป็นขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์ แน่นอนว่าจูเหอเองก็ไม่เคยเห็นภาพรวมทั้งหมดของวิถีวรยุทธ์ และในความเป็นจริง ไม่นานหลังจากนั้นซ่งจ่างจิ้งกับหลี่เอ้อร์ก็ทยอยกันเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตสิบ ขอบเขตสิบเอ็ดต่างหากที่ถึงจะถือว่าเป็นยอดบนสุดของวิถีวรยุทธ์ที่แท้จริง ถึงจะเรียกได้ว่าเทพแห่งการต่อสู้อย่างสมชื่อ และผู้เฒ่าแซ่ชุยที่ถ่ายทอด ‘ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุด’ ให้กับเฉินผิงอันก็เพิ่งจะพลาดจากขอบเขตสิบเอ็ดไปต่อหน้าต่อตา
น้ำมีตื้นลึก ภูเขามีสูงต่ำ
ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเฉินผิงอัน หรือเขตการปกครองหลงเฉวียนของต้าหลีในปัจจุบันถือเป็นสถานที่ประหลาดที่น้ำลึกที่สุด ภูเขาสูงที่สุด สถานการณ์ยุ่งเหยิงที่สุดของแจกันสมบัติทวีป
เมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนั้น เด็กชายชุดเขียวผู้แข็งแกร่งที่เป็น ‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตหกซึ่งวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในพื้นที่แถบหนึ่งของแคว้นหวงถิงยังถึงขั้นไม่กล้าทักทายใครตอนออกจากบ้าน เพราะกลัวว่าอยู่ดีๆ จะถูกคนต่อยตายด้วยหมัดเดียว ตอนนี้ความฝันสูงสุดของเขาก็คือตั้งใจฝึกตนเพื่อให้ตัวเองได้กลายเป็นวีรบุรุษที่ถูกคนต่อยตายด้วยสองหมัด
ก็ไม่แปลกที่เด็กชายชุดเขียวจะสับสนงงงวย คิดเรื่องหนึ่งจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจว่า “นายท่านของข้ามีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?”
อันที่จริงตัวเฉินผิงอันเองก็ไม่รู้คำตอบ แค่เหมือนว่าเขาค่อยๆ อดทนผ่านมันมาทีละนิด
ในความเป็นจริงแล้ว แรกเริ่มมีคนไม่ต้องการให้เขาตาย มาภายหลังเมื่อถึงเวลาสุดท้ายที่นกสิ้นเก็บเกาทัณฑ์ บุคคลยิ่งใหญ่บางส่วนที่ต้องการให้เขาตายได้เจอกับอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งหลายครั้ง อาจารย์คนนั้นบอกกับเฉินผิงอันว่าอย่าสิ้นหวังกับโลกใบนี้ ส่วนชายฉกรรจ์พกดาบสวมงอบก็บอกกับเฉินผิงอันว่าควรจะคบค้าสมาคมกับโลกใบนี้อย่างไร ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็เติบโตอย่างรวดเร็ว สุดท้ายจึงหลุดพ้นจากการเป็นหมากในกระดานมาได้แต่เนิ่นๆ
แต่ความทุกข์ทนยากเข็ญของชีวิต การเลือกที่ยากลำบากหลายครั้งหลายคราที่เกี่ยวพันกับเจตจำนงเดิม คลื่นใต้น้ำและสภาพแวดล้อมที่อันตรายมากมาย การขัดเกลาเรือนกายและจิตใจที่เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงต้องเผชิญท่ามกลางการเติบโตนี้ มากเกินกว่าจะบอกกล่าวแก่คนนอกได้
ตอนนี้เมื่อเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่มีสมบัติอาคมและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ล้ำค่าติดกายต้องออกมาท่องยุทธภพเพียงลำพัง เขาก็ยังเต็มใจซื้อแค่สุราราคาถูกอย่างเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าตอนนี้เขาเริ่มฝึกวิชาหมัดรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนกับการเดินนิ่งหกก้าวและยืนนิ่งเจี้ยนหลูแล้ว
ตรงศาลาริมน้ำตก ครั้งนี้เฉินผิงอันไม่ได้สะพายกล่องกระบี่มาด้วย เขาเลือกจะทิ้งไว้ที่เรือน เพราะที่นั่นมีชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มที่เขาเชื่อใจอยู่
แต่น้ำเต้าบรรจุเหล้าใบนั้นยังคงพกห้อยไว้ที่เอว
ระหว่างที่เดินทางท่ามกลางแม่น้ำและภูเขานอกบ้าน อย่าหาเรื่องใส่ตัว อย่ากลัวว่าจะเกิดเรื่อง จากนั้นให้ระวังในทุกๆ เรื่อง รักษาชีวิตเป็นอันดับหนึ่ง นี่ก็คือยุทธภพของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันขึ้นไปเหยียบบนราวระเบียงศาลาอีกครั้ง เขาจะอาศัยแรงดีดตัวกระโจนเข้าหาน้ำตกที่สาดเทลงมาอย่างน่าครั่นคร้ามสายนั้น แต่คิดดูแล้วก็เลือกจะเดินไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว เหยียบลงบนพื้นหินฐานของศาลา จะได้ไม่เหยียบให้ราวระเบียงหักเพราะออกแรงเต็มกำลัง ต่อให้ผู้อาวุโสซ่งจะไม่เก็บเงินจากเขา แต่หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงย่อมไม่ดี
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก ใช้พื้นรองเท้าถูพื้นหิน หมุนข้อมือเบาๆ สองสามที
หมัดแรกนี้ลองหยั่งเชิงระดับความหนาบาง ความหนักเบาของกระแสน้ำที่ตกลงมาดูก่อน
ลองใช้พละกำลังสักเจ็ดแปดส่วน
เท้าหนึ่งของเฉินผิงอันเหยียบออกไป พื้นดินก็เกิดเสียงปังกัมปนาท ยังดีที่เสียงของน้ำตกดังพออยู่แล้ว จึงสามารถกลบทับเสียงจากฝีเท้าข้างนี้ได้
ครั้นแล้วร่างของเฉินผิงอันก็กระโจนเข้าหาน้ำตกดุจลูกธนูที่พุ่งออกจากสาย
หนึ่งหมัดต่อยออกไปด้วยพละอำนาจอันกร้าวแกร่ง
หมัดทะลุทะลวงไปยังจุดลึกของน้ำตก แต่ตอนที่แขนทั้งแขนลอดผ่านม่านน้ำ หัวและไหล่ล้วนถูกน้ำตกกระแทกใส่อย่างรุนแรง ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันถูกบีบให้เอนเอียงลงมา พริบตาเดียวก็ถูกสายน้ำกดให้จมหายไปในจุดลึกของบ่อน้ำ ถูกกระแสน้ำที่ซัดลงมาอย่างไร้ระเบียบกระชากดึงจนร่างพลิกตลบไม่รู้หัวรู้หาง สุดท้ายศีรษะก็มาโผล่อยู่ตรงผิวน้ำที่ค่อนข้างราบเรียบใกล้กับศาลา เฉินผิงอันตบผิวน้ำหนึ่งครั้ง ร่างก็ดีดผลุงขึ้นไปทางศาลา พลิ้วกายยืนอยู่บนหินฐานนอกราวระเบียง รู้สึกเพียงหัวสมองมึนงงหนักอึ้ง โดยเฉพาะแขนข้างที่ออกหมัดและไหล่สองข้างที่ปวดแสบปวดร้อน ประเด็นสำคัญคือในบ่อน้ำยังมีหินตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด ศีรษะของเฉินผิงอันจึงโดนกระแทกไม่เบานัก
ยังดีที่การขัดเกลาร่างกายในเรือนไม้ไผ่ทำให้เฉินผิงอันกินความเจ็บปวดเหมือนกินอาหารพื้นๆ อาการบาดเจ็บภายนอกที่อยู่ไกลเกินว่าจะทำร้ายไปถึงรากฐานของร่างกายและส่วนลึกของจิตวิญญาณนี้ ต่อให้ไม่ถือว่าแค่เจ็บๆ คันๆ แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าอดทนได้สบายมาก
หมัดที่สองเฉินผิงอันใช้แรงเก้าส่วน อีกทั้งยังเปิดทางด้วยกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยสอนเขา พยายามจะพาทั้งหมัดทั้งตัวคนแหวกม่านน้ำไปพร้อมกัน หมัดเดียวกระแทกโดนผนังหินที่อยู่ด้านหลังม่านน้ำ
เสียดายก็แต่หมัดนั้นสัมผัสพื้นผิวของผนังหินได้แค่ผิวเผิน ร่างทั้งร่างก็ถูกกระแสน้ำที่หนักอึ้งดุจขุนเขากระแทกให้จมลงไปใต้น้ำโดยแรงอีกครั้ง
เฉินผิงอันโผล่พ้นผิวน้ำเป็นครั้งที่สอง ย้อนกลับไปยืนนอกศาลา คราวนี้เขาไม่ได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วเฮือกนั้น แต่ฝืนกลั้นปราณที่แท้จริงซึ่งเป็นดั่งมังกรไฟลาดตระเวนไปสี่ทิศนี้ ปล่อยหมัดใส่น้ำตกด้วยพละกำลังเต็มสิบส่วนอีกครั้งในรวดเดียว
คราวนี้หมัดของเฉินผิงอันกระแทกบนผนังหินที่เย็นเฉียบอันเป็นปลายทางของม่านน้ำตกได้สำเร็จ แต่กลับแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรงเต็มที อย่าว่าแต่ต่อยให้เกิดหลุมเว้าได้เลย เกรงว่าแม้แต่ร่องรอยสักนิดก็คงไม่เหลือทิ้งไว้
ภายใต้แสงจันทร์
เฉินผิงอันที่มหาสมุทรลมปราณจุดตันเถียนโหมสัดซาดยากสงบทำได้เพียงพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมา ค่อยๆ หายใจผ่อนช้าตามวิธีการของหยางเหล่าโถว การโคจรของปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่เกิดขึ้นเองอย่างเคยชินได้กลายมาเป็นสัญชาตญาณของเฉินผิงอันนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องจงใจโคจรก็สามารถไหลรินไปตามช่องต่างๆ หลายสิบช่องที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เหมือนกับช่องโพรงลมปราณในตอนนี้ได้เอง ก่อนหน้านี้ติดขัดอยู่ที่ระหว่างหกเจ็ดหยุด ตอนนี้มาติดอยู่ที่สิบสองสิบสามหยุด เสมือนถูกร่องลึกกั้นขวาง ยากที่จะขยับเดินไปด้านหน้าได้
เฉินผิงอันกลั้นลมหายใจทำสมาธิ แล้วปล่อยหมัดที่สี่เข้าใส่น้ำตก
ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนได้หลายสิบหมัด เฉินผิงอันก็จำต้องเอนหลังพิงราวระเบียงถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง เขาจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ในช่วงเวลาที่ปรับมหาสมุทรลมปราณให้สงบก็ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าออกจากเอวแล้วเริ่มดื่มช้าๆ
เฉินผิงอันแหงนหน้ามองดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะ ในตำราบอกว่าดวงจันทร์คือแสงแห่งบ้านเกิด บอกว่าดวงจันทร์ลอยไปตามสายนที และยังบอกว่าดวงจันทร์ผุดเหนือมหาสมุทรดุจกระแสน้ำขึ้น
ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพ ไม่รู้ว่าคอยมองพระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์เต็มดวงของบ้านเกิดมาแล้วกี่ครั้ง เคยดูกับหลิวเสี้ยนหยาง แล้วก็เคยดูกับเด็กขี้มูกยืดกู้ช่าน ดูครั้งหนึ่งก็ใช้เวลานาน นอกจากวันที่เป็นวันเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว อันที่จริงช่วงเวลาอื่นๆ เฉินผิงอันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ ออกเดินทางไกลสองครั้งก็ได้เห็นภาพธรรมชาติยิ่งใหญ่อย่างดวงดาวดารดาษที่อยู่ใกล้ราวกับเอื้อมมือคว้าก็ถึง เห็นพื้นที่ราบกว้างไกล เห็นดวงจันทร์ที่ไหลไปตามกระแสนที ซึ่งเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ คราวนี้ต้องเอากระบี่ไปส่งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปยังนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้ที่สุดก่อน ไม่รู้ว่าภาพของดวงจันทร์และดวงดาวที่อยู่เหนือมหาสมุทรจะงดงามเพียงใด
เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหมดลงไป ลุกขึ้นยืน รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย แล้วเริ่มเหวี่ยงหมัดรอบต่อไป เขาตั้งกฎให้ตัวเองว่าจะต้องปล่อยกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบสามหมัดให้เสร็จในรวดเดียว ผู้เฒ่าเปลือยเท้าในเรือนไม้ไผ่เคยพูดกลั้วหัวเราะว่า การเข่นฆ่าในสมรภูมิรบ ทวนทองม้าเหล็ก พลทหารม้ามือดีอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งนี้ไม่เคยมีพวกกระจอกที่โดนเจาะขบวนรบแค่ครั้งสองครั้งก็ลงไปนอนพังพาบ
ถูกแรงมหาศาลของน้ำตกสายยักษ์กระแทกใส่ศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายของเฉินผิงอันจึงเริ่มสัมผัสกับความเจ็บปวดได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยหมัดครั้งนี้เสร็จ เฉินผิงอันถึงกับนอนเหยียดยาวอยู่บนหินฐานศาลา หอบหายใจฮักๆ เสียงดัง
หากตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ผู้เฒ่าแซ่ชุยแค่ปล่อยหมัดทุบตีหล่อหลอมร่างกายของเฉินผิงอัน ให้เขาทนมือทนเท้าได้อย่างเดียว โดยที่ไม่ได้เรียกร้องให้เฉินผิงอัน ‘กรีดหนังเลาะเส้นเอ็น’ ด้วยมือตัวเอง ไม่มีการกระทำทั้งหลายแหล่ที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าจนมิอาจทนมอง บางทีการฝึกหมัดของเฉินผิงอันในวันนี้อาจจะต้องหยุดลงเพียงเท่านี้ ไม่เหลือความดึงดันที่จะออกหมัดอีกต่อไป
มีครั้งหนึ่งผู้เฒ่าเปลือยเท้ายืนค้ำหัวหลุบตามองเฉินผิงอันที่นอนจมกองเลือด แค่นเสียงหยันพูดว่า “ความลำบากแค่นี้ก็ทนไม่ได้ ยังคิดจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ขอบเขตสิบอีกรึ?”
ตอนนั้นเฉินผิงอันแค่รู้สึกอยากด่าตาเฒ่าหลายๆ คำ น่าเสียดายที่เรี่ยวแรงเหลือไม่มากพอ แม้แต่คำเดียวก็พูดไม่ออก
เมื่อเทียบกับความลำบากที่เคยได้รับบนภูเขาลั่วพั่วแล้ว ตอนนี้จึงเรียกได้ว่าเสวยสุข!
ไม่ใช่ว่ายิ่งเดินไปบนยุทธภพไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ชินกับความลำบากมากเท่านั้น
เฉินผิงอันที่พูดอยู่กับตัวเองในใจค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กัดฟันปล่อยหมัดอีกครั้ง
หนึ่งเค่อต่อมา น้ำตกใต้แสงจันทร์ยังคงมีเสียงบ่อน้ำถูกกระแทกดังตูมตามเป็นระลอกราวกับกำลังเย้ยหยันความไม่เจียมตัวของเด็กหนุ่ม เป็นเพียงมดตัวน้อยริอ่านจะเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่
เฉินผิงอันแหงนหน้าโผล่พ้นผิวน้ำ ลืมตามองท้องฟ้าเบื้องบน
ปีนขึ้นฝั่งมาแล้วก็ออกหมัดอีกครั้ง เฉินผิงอันคำรามกร้าวดุดัน “จงเปิดออกให้ข้า!”
ม่านน้ำตกถูกพายุหมัดที่ดุดันต่อยจนเกิดเป็นช่องโพรงขนาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง ทว่าก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เพราะหลังจากที่หมัดของเฉินผิงอันกระแทกใส่ผนังหินหนักๆ ร่างทั้งร่างแทบจะลอดผ่านน้ำตกไปได้ เขาก็ถูกสายน้ำพัดพาให้จมดิ่งลงไปใต้บ่ออีกครั้ง หลังจากที่ล่องลอยหมุนซ้ายเวียนขวาไปตามกระแสน้ำของบ่อลึกก็ปีนขึ้นมาบนฐานหินของศาลาอีกรอบ
ต่อยๆ หยุดๆ อยู่แบบนี้จนกระทั่งถึงช่วงครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันที่สภาพเหมือนไก่ตกน้ำก็มานั่งอยู่บนราวระเบียง ทำได้เพียงยกกาเหล้าขึ้นมาด้วยมือสั่นๆ แหงนหน้ากรอกเหล้าหมักฮวาเตียวเข้าปากหนึ่งคำก็รู้สึกว่าลำคอแสบร้อน กระเพาะเดือดพล่าน จำต้องเก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ไม่กล้าดื่มอีกต่อให้จะเป็นแค่จิบเล็กๆ ก็ตาม
หมู่บ้านวารีกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลแขวนโคมไฟสูงส่องแสงสว่าง อีกนานกว่างานเลี้ยงจะยุติ หญิงสาวลูกศิษย์ของหมู่บ้านที่พกกระบี่ซึ่งควบหน้าที่เป็นผู้คุมกันช่วยรำกระบี่ให้แขกเหรื่อได้ชม เรียกเสียงไชโยโห่ร้องให้กำลังใจไม่หยุด
เฉินผิงอันเอียงศีรษะ จ้องนิ่งไปยังน้ำตกที่เป็นราวกับยอดฝีมือซึ่งไร้ศัตรูใดในโลกจะทัดทาน
การออกหมัดครั้งสุดท้าย เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า พลิ้วตัวดีดเท้าเหยียบไปบนผิวน้ำเป็นเส้นทางคดเคี้ยว ตอนที่ขยับเข้าไปใกล้น้ำตกก็ปล่อยทั้งหมัดทั้งแขนทะลุม่านน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า…
พละกำลังของคนย่อมมีวันที่ใช้หมดลง เฉินผิงอันรู้ว่าการฝึกหมัดในคืนนี้สามารถยุติได้แล้ว เพราะตนเหนื่อยล้าเต็มที หากยังต่อยน้ำตกต่อไป ไม่แน่ว่าครั้งไหนอาจถูกพัดจมลงไปก้นบ่อ หมดสติแล้วตายไปเลย สุดท้ายพอโผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็คือกลายเป็นศพขึ้นอืดไปแล้ว
เฉินผิงอันเดินออกจากศาลาด้วยร่างที่เปียกโชก เดินผ่านศาลาภูเขาแม่น้ำกลับไปที่เรือนพักของตัวเอง
นอนหลับไปไม่ถึงสามชั่วยาม เช้าตรู่วันถัดมา เฉินผิงอันกินอาหารเช้าแบบลวกๆ แล้วก็เดินนิ่งหกก้าวไปยังศาลาริมน้ำตก
จนกระทั่งเที่ยงวันถึงย้อนกลับมาทางเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันจำต้องให้จางซานเฟิงไปบอกกับทางหมู่บ้านว่า เขาต้องการถังน้ำใบใหญ่ใบหนึ่ง รอจนพ่อบ้านฉู่ส่งสาวใช้ที่เขาไว้ใจให้ยกถังน้ำซึ่งบรรจุน้ำร้อนไว้เต็มถังมาให้ เฉินผิงอันจึงปิดประตูห้อง แช่ตัวอยู่ในถังน้ำ
ตัวยาที่เว่ยป้อซื้อมาจากร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยวมีพอให้ใช้ได้แค่สามครั้งเท่านั้น ใช้ที่เมืองแยนจือไปแล้วหนึ่งครั้ง หลังจากใช้ครั้งนี้ไปแล้วก็เหลือโอกาสแค่ครั้งสุดท้ายเท่านั้น
วันนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ยังคงต้อนรับคนในยุทธภพจากสถานที่ต่างๆ ที่พากันมาเยือนไม่ขาดสาย พรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันฤกษ์ดีที่เหมาะแก่การคัดเลือกผู้นำในยุทธภพ
พวกวีรบุรุษและจอมยุทธ์ผู้กล้าง่วนอยู่กับการแวะเวียนไปมาหาสู่กัน หากไม่ประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการต่อสู้ ก็ขอคำแนะนำปัญหายากๆ จากผู้อาวุโส บ้างก็เอาหน้าเอาตาไปให้ปรมาจารย์ใหญ่ได้คุ้นหน้า จับคู่กันเป็นกลุ่ม ไปๆ มาๆ ครึกครื้นมากเป็นพิเศษ
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันกินอาหารเย็นร่วมกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเสร็จก็ไปที่น้ำตกเพียงลำพังอีกครั้ง
คราวนี้นอกจากเฉินผิงอันจะใช้ท่าหมัดที่ผู้อาวุโสแซ่ชุยถ่ายทอดให้แล้ว เนื่องด้วยตำแหน่งหนึ่งในบ่อน้ำที่ห่างจากผิวน้ำประมาณสองฉื่อ ไม่ใช่พื้นที่ตรงกลางที่ตรงกับสายน้ำตก มีหินสูงงอกขึ้นมาก้อนหนึ่ง ใหญ่ประมาณกระดานหมากล้อม ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อถูกสายน้ำจู่โจมนานนับร้อยนับพันปี แต่กลับไม่ถูกกัดเซาะ เฉินผิงอันจึงบังเกิดความคิดดีๆ เขาไปยืนอยู่บนหินก้อนนั้น ใช้ท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ปล่อยให้น้ำตกกระแทกศีรษะของตัวเอง เฉินผิงอันที่ถูกสายน้ำซัดกระหน่ำใส่จำต้องเปลี่ยนจากท่ายืนมาเป็นท่านั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายนั่งไม่มั่นคงจึงพลัดตกลงไปน้ำ
พอหลายครั้งเข้า เฉินผิงอันก็สามารถใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูยืนหยัดอยู่ได้ประมาณเกือบครึ่งก้านธูป จากนั้นก็สามารถยืดอกนั่งตัวตรงได้อีกครึ่งก้านธูป สุดท้ายก้มหัวลง ยื่นออกไปให้พ้นสายน้ำตก ใช้แผ่นหลังรองรับแรงโจมตี เมื่อรวมกันแล้วก็พอจะประคับประคองตนได้ประมาณหนึ่งก้านธูป เมื่อเทียบกับการออกหมัดต่อยน้ำตกแล้ว เฉินผิงอันค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าการใช้น้ำขัดเกลาโดยที่ตัวเอง ‘นิ่งดุจขุนเขา’ นี้ มีประโยชน์มากยิ่งกว่า ช่องโพรงลมปราณในร่างกายคล้ายถูกสายลมแรงพัดผ่าน ช่องโพรงแต่ละแห่งคลายตัวออกเล็กน้อย การโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดยิ่งรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
เมื่อค้นพบเรื่องน่ายินดีนี้ เฉินผิงอันก็กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ ผลกลับกลายเป็นว่าในท้องรู้สึกเหมือนถูกไฟร้อนแผดเผา เฉินผิงอันกระโดดเหยงๆ อยู่ในศาลา แสยะปากแยกเขี้ยว
จากนั้นก็ไปยืนนิ่งอยู่ใต้น้ำตกอีกหลายรอบ ครึ่งคืนหลังแสงจันทร์ยังคงเดิม เสียงร้องรำทำเพลงที่หมู่บ้านวารีกระบี่ยิ่งดังครึกครื้น เด็กหนุ่มเดินกลับเรือนที่พักของตัวเองด้วยความฮึกเหิม ในห้องมีถังน้ำ รวมไปถึงสาวใช้พกกระบี่สองคนของหมู่บ้านที่สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา เฉินผิงอันใช้ตัวยาของร้านผ้าห่อบุญส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่
ครั้งนี้เฉินผิงอันเกียจคร้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขานอนหลับยาวไปจนตะวันลอยสูงสายโด่ง
กินข้าวอิ่มหนึ่งมื้อก็เดินออกจากเรือนไปด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า ผงกศีรษะยิ้มให้สาวใช้พกกระบี่ทั้งสองคน เริ่มท่าเดินนิ่งอย่างเชื่องช้า เดินผ่านศาลาภูเขาแม่น้ำไปถึงศาลาริมน้ำที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับน้ำตกมาหลายร้อยปี ได้ยินมาว่าหมู่บ้านวารีกระบี่เพิ่งสร้างขึ้นได้แค่หกสิบเจ็ดสิบปี แต่ศาลาไร้นามแห่งนี้กลับมีมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่นานวันเข้า ผู้คนจึงเคยชินที่จะวาดเขตให้ศาลาเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านวารีกระบี่
ขณะที่เฉินผิงอันเดินนิ่งจากไปไกล
เด็กสาวองค์รักษ์พกกระบี่สองคนที่ว่างงานก็ขยับเข้ามากระซิบกระซาบกัน
เด็กสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้ารูปไข่ห่านบอกว่าเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นคนนั้นเป็นคนประหลาดจริงๆ อีกคนหนึ่งก็พูดยิ้มๆ ว่าหากไม่ใช่คนประหลาด จะเข้าตาอดีตผู้นำหมู่บ้านได้อย่างไร?
เด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านจึงเอ่ยหยอกเย้าสหายว่า ถึงแม้คุณชายคนนี้จะหน้าตาสู้นายน้อยท่านผู้นำไม่ได้ แต่ก็สะอาดสะอ้านชวนมอง เจ้าชอบหรือไม่?
เด็กสาวพกกระบี่อีกคนหนึ่งตอบว่าเคยเห็นความหล่อเหลาโดดเด่นของนายน้อยเจ้าหมู่บ้านมาก่อนแล้ว บุรุษคนอื่นก็ไม่เข้าตาอีก
เด็กสาวสองคนฉวยโอกาสที่รอบกายไม่มีใครหัวเราะคิกคักสนุกสนาน สำหรับพวกนางแล้ว สามารถฝึกวิชากระบี่อยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่ได้ถือเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว วันหน้าภายใต้การจัดการของฮูหยินผู้มีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ท่านนั้น บางทีพวกนางอาจจะได้แต่งให้กับบุรุษรูปงามมากฝีมือในยุทธภพที่มีอนาคตยาวไกล แต่หมู่บ้านวารีกระบี่จะเป็นบ้านเดิมของพวกนางตลอดไป ไม่ต้องคอยกังวลกับมรสุมคลื่นลมในยุทธภพไปตลอดกาล
วันนี้ตอนที่เฉินผิงอันใกล้จะเดินไปถึงศาลาพบว่าผู้อาวุโสซ่งมานั่งรออยู่ที่ม้านั่งยาวอยู่ก่อนแล้ว
เขาเดินเร็วๆ ขึ้นบันไดไป นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย ซ่งอวี่เซาที่นั่งหันข้างจ้องมองไปทางน้ำตกตลอดเวลาดึงสายตากลับมามองประเมินเฉินผิงอัน พยักหน้าเอ่ยชื่นชม “เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ช่างน่าทึ่งจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
ซ่งอวี่เซาเอ่ยถาม “เหล้าที่หมู่บ้านของข้าผู้อาวุโสหมักด้วยตัวเอง รสชาติดีกว่าใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันเกาหัว “ดีกว่าเยอะเลย เพียงแต่ว่าวันหน้าเวลาหาซื้อเหล้า ข้าคงปวดหัวเป็นแน่”
ซ่งอวี่เซาหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ทำไม เจ้าขาดเงินหรือไง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบไปตามตรงว่า “ตอนนี้ไม่ขาดเงิน แต่เรื่องอย่างการดื่มเหล้านี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกหมัด ข้าก็เลยรู้สึกว่าเงินที่ต้องจ่ายไปกับเรื่องนี้คือเงินที่ฟุ่มเฟือย เพียงแต่ว่าดื่มไปดื่มมาก็ดันชินซะแล้ว หากน้ำเต้าข้างกายไม่มีเหล้าอยู่ คงรู้สึกว่างเปล่าพิกล”
ซ่งอวี่เซาเอ่ยสัพยอก “เจ้าไม่ใช่พวกสตรีที่ต้องแต่งให้คนอื่นสักหน่อย ชายชาตรีมีเงินก็ดื่มเหล้า ดื่มเหล้าที่ดีที่สุด นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ยังจะต้องพิถีพิถันหลักการครองเรือนอะไรอีก?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างแรง “เรื่องการใช้เงินยังไงก็ควรต้องประหยัดสักหน่อย ตอนนี้ดื่มเหล้าจนติดเป็นนิสัยแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ แต่ถ้าหากยังติดนิสัยใช้เงินมือเติบอีก ข้าคงเสียใจตายเลย”
ซ่งอวี่เซายื่นนิ้วชี้หน้าเด็กหนุ่ม “ไม่มีทางเป็นเศรษฐีที่เสพความสุขสบายไปได้ตลอดชีวิต”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “ขอแค่มีข้าวให้กินทุกมื้อ มีสุราให้ดื่มทุกวันก็ดีมากแล้ว”
ซ่งอวี่เซาถูกอารมณ์ของเด็กหนุ่มแพร่มาสู่ตัว จึงคลี่ยิ้มตามไปด้วย “ถ้าอย่างนั้นใครทำอาหารให้เจ้า ใครซื้อเหล้าให้เจ้า?”
เฉินผิงอันหลุดปากตอบโดยเร็ว “ต่อให้มีเมียแล้ว ข้าก็ยังทำอาหาร ข้าเป็นคนซื้อเหล้า!”
ซ่งอวี่เซาร้องเพ้ยหนึ่งที หันมาถลึงตาใส่ “เจ้าทึ่ม! เจ้าโง่หรือเปล่าเนี่ย แต่งภรรยามาแล้วจะยกนางขึ้นหิ้งบูชาเป็นพระโพธิสัตว์หรือไง? ไม่รู้หรือว่าพวกผู้หญิงไม่ว่าจะสาวหรือแก่ หากสามวันไม่ตี พวกนางจะขึ้นไปรื้อกระเบื้องบนหลังคาน่ะ?”
เฉินผิงอันมีท่าทางหวั่นเกรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปลดน้ำเต้ามาจิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำ
แม่นางที่เขาชอบเคยพูดว่ามือข้างเดียวของนางก็ตีเฉินผิงอันได้ร้อยคนเชียวนะ
หากเขากล้ามีความคิดนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องถูกนางตีจนตายเลยหรือ?
อีกอย่างตอนนี้แม้แต่จะบอกชอบอีกฝ่าย เขาก็ยังไม่เคยได้พูดออกจากปาก สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าภรรยาของเขาในอนาคตจะแซ่อะไร
แน่นอนว่าหากแซ่หนิงย่อมดีที่สุดของที่สุด
เฉินผิงอันหัวเราะเฮอๆ อย่างโง่งม
ซ่งอวี่เซามองเด็กหนุ่มที่ใจลอยไปไกลหมื่นลี้ กล่าวอย่างจนใจว่า “ที่แท้ก็เป็นคนโง่จริงๆ ด้วย”
ซ่งอวี่เซาคร้านจะกรอกความคิดที่ว่าชายชาตรีในยุทธภพต้องกำราบภรรยาให้อยู่หมัดใส่หัวเด็กหนุ่มอีก เขาเก็บสีหน้าความคิดทั้งหมด พูดอย่างจริงจังว่า “จากสามฝ่าไปสี่ นอกจากจำเป็นต้องกำจัดสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในร่างายของผู้ฝึกยุทธ์ออกไปทีละนิดแล้ว ยังต้องเริ่มพิถีพิถันด้านสภาพจิตใจด้วย วิชาหมัดต้องราบรื่นไร้อุปสรรค บรรลุสองคำที่เป็นแก่นสำคัญอย่างคำว่าทะลุปรุโปร่ง ยืนหยัดในจิตใจที่พร้อมจะบุกฝ่าทุกสิ่งกีดขวางให้พังราบเป็นหน้ากลอง ก่อให้เกิดพลังอำนาจดุจหนึ่งทหารเฝ้าด่าน หมื่นทหารมิกล้าย่างกรายผ่าน! ส่วนมือกระบี่นั้นต้องมีจิตใจใสกระจ่าง ลืมสิ้นทั้งวัตถุและตัวตน มีเพียงกระบี่ที่ไร้ความละอายต่อฟ้าดิน ฟาดฟันปีศาจกำราบเทพมาร! เฉินผิงอัน เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเองได้ยืนหยัดในเจตจำนงนี้แล้วจริงๆ ?”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด สีหน้าของซ่งอวี่เซาเฉียบขาดดุดัน น้ำเสียงดังมาก เขาหันมามองเฉินผิงอันด้วยสีหน้าที่แทบจะถมึงทึง
ทั้งร่างกายและจิตใจของเฉินผิงอันหนักแน่นไม่สะทกสะท้าน เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นปกติ “เรื่องใดก็ตามที่ข้าแน่ใจแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ซ่งอวี่เซาลุกขึ้นยืน พลังอำนาจทั่วร่างเอ่อท่วมท้น ประหนึ่งปราณกระบี่ที่ใหญ่โตดุจม่านน้ำตกพุ่งลงกดทับเด็กหนุ่ม “พูดจาใหญ่โตนัก แถมยังพูดได้ง่ายถึงเพียงนี้! ข้าว่าเจ้าเฉินผิงอันไม่เคยทะลุปรุโปร่งอย่างแท้จริงเลยต่างหาก!”
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นตาม สายตาเป็นประกายสดใส “ผู้อาวุโสซ่ง อันที่จริงข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าสภาพจิตใจไร้อุปสรรค ทะลุปรุโปร่งที่ท่านพูดสักเท่าไหร่ แต่ข้าแค่รู้สึกว่า…”
เฉินผิงอันกล่าวมาถึงตรงนี้ก็หันหน้าไปอีกทาง ชี้นิ้วไปยังน้ำตกที่เหมือนปราณกระบี่ซึ่งห้อยตกลงมาจากชายแขนเสื้อของเซียนสายนั้น “ข้าจะต้องต่อยหนึ่งหมัดทะลุน้ำตกทั้งสาย ต่อยให้เกิดรอยหมัดประทับลงบนผนังหิน ข้าถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าสักวันหนึ่งข้าจะต้องต่อยให้น้ำตกไหลย้อนกลับ ต่อยให้สะเก็ดน้ำระเบิดกระจาย จนไม่อาจกดทับลงมาที่ศีรษะของข้าได้อีกแม้แต่นิดเดียว!”
ซ่งอวี่เซาพลันตวาดกร้าวเสียงเฉียบขาด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากไม่ออกหมัดตอนนี้ เจ้าจะรอไปถึงเมื่อไหร่?!”
เฉินผิงอันเบี่ยงตัวหันข้างเผชิญหน้ากับน้ำตกนอกศาลาแทบจะทันทีตามสัญชาตญาณ เขาถอยไปด้านหลังหลายก้าว ไปยืนอยู่ตรงบันไดขั้นบนสุด ตั้งท่าหมัดโบราณซึ่งไม่เคยมีชื่อของผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นท่าตั้งต้น ทำทุกอย่างในรวดเดียวอย่างว่องไวคุ้นชิน
ต่อให้ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยจะอยู่ในศาลาด้วย แต่ในสายตาของเฉินผิงอันกลับไม่มีซ่งอวี่เซาอยู่นานแล้ว แม้แต่ศาลาทั้งหลังก็ยังไม่เหลืออยู่อีกต่อไป ระหว่างฟ้าดินมีเพียงเป้าหมายที่หมัดจะพุ่งไปถึง นั่นคือน้ำตกที่หล่นจากม่านฟ้ามาสู่โลกมนุษย์สายนั้น!
การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ทุกครั้งที่ฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว เฉินผิงอันล้วนเน้นในด้านความช้า ช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แต่คราวนี้เฉินผิงอันเน้นเร็ว เร็วที่สุด!
ฝีเท้าของเขาขยับเร็วจี๋ เป็นเหตุให้ก้าวสุดท้ายของท่าเดินนิ่งหกก้าวพุ่งชนราวระเบียงศาลาแตกกระจายโดยตรง เท้าเหยียบลงบนฐานหินของศาลา ตั้งแต่บันไดไปจนถึงริมขอบฐานหินนอกราวศาลาเกิดเป็นรอยเท้าหกรอยที่เด็กหนุ่มย่ำออกไป จากนั้นเขาก็ทะยานตัวไปข้างหน้าพร้อมพายุหมัดข้นคลั่ก ประหนึ่งในชายแขนเสื้อมีมังกรเขียวรัดพัน
หนึ่งหมัดแหวกผ่าสายน้ำ ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันพุ่งเข้าไปในม่านน้ำตก หมัดกระแทกลงบนผนังหิน
ผนังหินระเบิดเปรี้ยง เศษก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนดีดกลับซัดกระแทกม่านน้ำ สะเก็ดน้ำแตกกระจายซ่านเซ็น
นี่ยังไม่หมด เฉินผิงอันเปลี่ยนหมัดซ้ายขวาต่อยรัวลงไปบนผนังหินครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่ต่างหากถึงจะเป็นภาพบรรยากาศที่ควรมียามปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่แท้จริง
เศษหินนับไม่ถ้วนปลิวว่อน กระแสน้ำตกไหลปั่นป่วนวุ่นวาย
เนื่องด้วยไอน้ำกระจายเป็นวงกว้าง สุดท้ายความว่างเปล่าเหนือศาลาไปจนถึงจุดสูงของน้ำตกจึงถึงกับมีสายรุ้งพร่างพราวเส้นหนึ่งพาดโค้งขึ้นมา
พายุลมกรดรุนแรงพัดมากระแทกหน้าซ่งอวี่เซาที่ยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่กลางศาลา พัดพาให้จอนสองข้างของเขาปลิวไสว ชายแขนเสื้อทั้งสองก็ยิ่งสะบัดดังฟึ่บฟั่บ ผู้เฒ่าแหงนหน้ามองสายรุ้งที่เกิดขึ้นเพราะพละกำลังของคนแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจ “ประเสริฐ!”