Skip to content

Sword of Coming 244

บทที่ 244 อยู่เบื้องหน้ากองทัพที่เกรียงไกร ข้าดื่มเหล้าหนึ่งคำ

แค่การฝ่าทะลุจากขอบเขตสามสู่ขอบเขตสี่ของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งกลับมีทัศนียภาพที่น่ามองถึงเพียงนี้ ซ่งอวี่เซาพลันรู้สึกว่าต่อให้ยุทธภพในทุกวันนี้จะน่าชิงชังแค่ไหน แต่หากมีชีวิตอยู่ได้นานอีกสักสองสามปีก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว

ซ่งอวี่เซาตบกระบี่โบราณที่ห้อยเอวไว้เบาๆ เพื่อให้ชักนำลมปราณอันยิ่งใหญ่เข้มข้นมาจากน้ำตก กระบี่ยาวในฝักที่มีจิตเชื่อมโยงเป็นหนึ่งกับผู้เฒ่ามานานกลับเซื่องซึมเล็กน้อย ซ่งอวี่เซาที่ยืนอยู่ในศาลาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “หากเกาเฟิงยังอยู่บนโลกใบนี้ คืนนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้”

ผู้นำหมู่บ้านวารีกระบี่รุ่นที่สอง ซ่งเกาเฟิง ซึ่งก็คือบิดาแท้ๆ ของซ่งเฟิงซานนายน้อยผู้นำหมู่บ้าน เขาเองก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกกระบี่ของโลกเช่นกัน น่าเสียดายก็แต่สวรรค์อิจฉาคนเก่ง เขาถูกความรักบังตา จึงเลือกเดินทางผิด และนี่ก็เป็นปมที่ใหญ่ที่สุดในใจของซ่งอวี่เซา โศกนาฎกรรมครั้งนั้น สามารถพูดได้ว่าซ่งอวี่เซาสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ เพราะมารดาของซ่งเฟิ่งซานก็มีชาติกำเนิดเป็นภูตแห่งขุนเขาและแม่น้ำ เป็นสิ่งมีชีวิตต้องห้ามที่ไม่เป็นที่ยอมรับของคนในโลกเช่นกัน แต่ซ่งอวี่เซาในเวลานั้นกล้าหาญฮึกเหิมมากเพียงใด เขาไม่เคยสนใจสายตาของคนในโลก แค่มีหนึ่งกระบี่ก็สามารถมองราชสำนักแคว้นซูสุ่ยได้ด้วยสายตาโอหัง คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานในยุทธภพ จึงเริ่มออกเดินทางขึ้นเขาไปเยี่ยมหาเทพเซียนเพียงลำพัง สุดท้ายได้ช่วยเหลือแม่นางน้อยที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ไว้คนหนึ่ง นางคือภูตพืชหญ้าที่กลายร่างมาเป็นคน ซ่งอวี่เซาไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจชาติกำเนิดของนาง ยังพานางกลับมาอยู่ด้วยกันที่หมู่บ้าน นางกับซ่งเกาเฟิงรักใคร่ชอบพอกัน ซ่งอวี่เซาก็ไม่คัดค้าน สุดท้ายเขาก็นั่งบนตำแหน่งประธานในโถงงานแต่ง รับสุราคารวะจากคู่รักชายหญิงคู่นั้น

หากทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นบุพเพวาสนาที่ดีงามครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าเรื่องราวบนโลกยากจะคาดเดา สวนดอกไม้แห่งหนึ่งที่ภูตสาวตั้งใจเพาะปลูกเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ ดอกไม้ใบหญ้าผลิบานตลอดทั้งสี่ฤดูกาล และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนในยุทธภพเอาไปพูดกันปากต่อปาก สวนดอกไม้หลังหมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นสมุนไพรยาวิเศษที่ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนในยุทธภพปรารถนาแม้แต่ยามหลับฝัน กินไปต้นหนึ่งก็สามารถเพิ่มพลังไปได้อีกหลายสิบปี หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากมีคนขโมยต้นไม้ไปต้นสองต้น หญิงสาวผู้มีจิตใจเปี่ยมเมตตาก็จะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ปล่อยให้โจรเหล่านั้นขโมยไป ทางหมู่บ้านก็เคยป่าวประกาศออกไปว่า พืชพรรณทั้งหมดที่ปลูกไว้ในสวนดอกไม้ไม่ได้มีสรรพคุณเพิ่มพลังให้แก่ใคร แค่ต่ออายุขัยให้ยืนยาวได้เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเวลาผันผ่าน ปรมาจารย์ยอดฝีมือในยุทธภพที่คิดจะขโมยของในสวนดอกไม้ก็เริ่มพากันลดเลิกความคิดสกปรกเหล่านั้นไป แต่มีวันหนึ่ง นอกจากสวนดอกไม้จะถูกคนขโมยจนหายไปเกินครึ่งแล้ว โจรผู้นั้นยังไม่พอใจ ถึงกับทำลายต้นไม้ดอกไม้ที่เหลือจนสิ้นซาก ทิ้งไว้เพียงซากระเกะระกะเละเทะ สวนดอกไม้ไม่มีประโยชน์ต่อการเลื่อนขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพ แต่กลับเป็นโชควาสนาแห่งมหามรรคาของภรรยาซ่งเกาเฟิง เมื่อเจอกับหายนะครั้งนี้ หญิงสาวเจ็บปวดรวดร้าวเจียนขาดใจ ร่างกายทรุดโทรมผ่ายผอม

ซ่งเกาเฟิงตามเบาะแสไปจนพบตัวการร้ายที่อยู่เบื้องหลัง คนผู้นั้นก็คือสตรีในยุทธภพที่รักเขาจนกลายเป็นเคียดแค้น กระบี่นั้นซ่งเกาเฟิงส่งออกไปอย่างไม่ลังเล แต่กลับถูกบิดาของหญิงสาวขวางเอาไว้ ต้องรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้นำยุทธภพในเวลานั้น คือปรมาจารย์วิชาหมัดที่มีชื่อเสียงก้องไปหลายทวีป อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพจากชายแดน ความสัมพันธ์ในวงการขุนนางจึงแน่นแฟ้นหยั่งรากลึก ลึกจนฮ่องเต้เชื่อใจและให้ความสำคัญมาก เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งผู้นำกลุ่มพันธมิตรในยุทธภพที่ทุกคนฝากความคาดหวังไว้ก็เป็นแค่วิธีการหนึ่งที่ฮ่องเต้ใช้ควบคุมยุทธภพเท่านั้น

ไม่ว่าซ่งเกาเฟิงจะพยายามสุดชีวิตแค่ไหนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้น หลังกลับมาถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ ทั้งสตรีผู้นั้นและบิดาของนางต่างก็มาขอโทษถึงบ้าน ในฐานะผู้นำที่เป็นคนรุ่นเดียวกับซ่งอวี่เซา ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำแห่งยุทธภพคนนั้นถึงขั้นยอมตัดแขนตัวเองขาดข้างหนึ่ง ร่างที่โชกไปด้วยเลือดของเขายืนอยู่นอกหมู่บ้าน บอกว่าใช้สิ่งนี้เพื่อไถ่โทษแทนบุตรสาว ต่อให้เวทกระบี่ของซ่งอวี่เซาจะสูงกว่าคนผู้นั้นหนึ่งระดับ แต่เขาจะยังทำอะไรได้อีก? ตัดแขนของคนผู้นั้นขาดอีกข้างหนึ่ง? จากนั้นก็ใช้กระบี่ตัดหัวหญิงสาวที่เป็นตัวการแห่งหายนะคนนั้นตามไปด้วย?

สุดท้ายจึงได้แต่ยอมเลิกราเพียงเท่านี้

ซ่งเกาเฟิงไม่ได้พูดอะไรสักคำ แม้แต่จะปรากฏตัวก็ยังไม่ทำ เขาเอาแต่เฝ้าอยู่ข้างเตียงของภรรยาที่ล้มป่วย

หลังจากที่พ่อลูกคู่นั้นจากไป ซ่งอวี่เซาหมุนตัวกลับไปอย่างเงียบงัน ไปบอกกับลูกชายถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้ ซ่งเกาเฟิงปิดประตูไม่ยอมพบหน้า พูดแค่สามคำว่า ข้าทราบแล้ว

สุดท้ายซ่งอวี่เซาถึงได้รู้ว่า บุตรชายซ่งเกาเฟิงเลือกเดินสู่วิถีมาร ฝึกตำราลับเล่มหนึ่งของวิชามาร การเดินทางในยุทธภพเป็นครั้งสุดท้ายของเขาคือการทำลายรูปโฉมตัวเองเพื่อแลกมาด้วยอาวุธชิ้นหนึ่ง นำกระบี่ที่ตัวเองพกเล่มนั้นทิ้งไว้ในบ้าน วันที่ปรมาจารย์วิชาหมัดล้างมือลาจากตำแหน่งผู้นำยุทธภพ ซ่งเกาเฟิงก็แอบเข้าไปในจวนของเขา แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่กลับสังหารศัตรูได้สำเร็จ รอจนซ่งเกาเฟิงย้อนกลับมาที่หมู่บ้านก็เป็นเพียงตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด สุดท้ายนอนหายใจรวยรินเคียงข้างภรรยา หลับตาจากโลกนี้ไปเคียงคู่กัน

ตอนนั้นซ่งอวี่เซายืนอยู่ด้านนอก ซ่งเฟิ่งซานหลานชายที่อายุยังน้อยนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงบิดามารดาเงียบๆ ไม่มีน้ำตา และไม่พูดไม่จา

คนในยุทธภพไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่ไม่มีอิสระ แม้แต่ใจก็ถูกพันธนาการไม่เป็นของตัวเองตามไปด้วย

ความรู้สึกผิดที่ซ่งอวี่เซามีต่อซ่งเกาเฟิงถูกถ่ายทอดมายังซ่งเฟิ่งซานผู้เป็นหลานชาย โดยเฉพาะเมื่อซ่งเฟิ่งซานยืนกรานว่าจะแต่งภูตตนหนึ่งเป็นภรรยา หลังการเปลี่ยนแปลงคราวนั้น ซ่งอวี่เซาก็หมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง และยิ่งเจ็บแค้นรังเกียจตัวเอง ดังนั้นต่อให้ซ่งเฟิ่งซานจะสมคบคิดกับสามพิฆาตของแคว้นซูสุ่ย ซ่งอวี่เซาก็ยังไม่คิดจะลงมือสังหารเขา ไม่ใช้กฎเกณฑ์ในยุทธภพของตัวเองไปบังคับกะเกณฑ์ซ่งเฟิ่งซานอีก

ซ่งเฟิ่งซานคิดจะทำอะไร ซ่งอวี่เซารู้ดีอยู่แก่ใจ

คืนนั้นซ่งเกาเฟิงสังหารอดีตผู้นำยุทธภพที่มีคนรู้จักอยู่ในราชสำนัก แต่ตัวการร้ายที่แท้จริงกลับลอยนวลไปได้ ด้วยฮ่องเต้ไม่ต้องการผิดใจกับหมู่บ้านวารีกระบี่ แล้วก็คงเป็นเพราะรู้สึกละอายใจ จึงทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อ ให้หญิงสาวน่าสงสารที่หนีพ้นเคราะห์ร้ายมาได้ผู้นั้นแต่งงานเป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่ผู้มีคุณูปการต่อแคว้นซูสุ่ย กลายเป็นฮูหยินตราตั้งที่มีระดับขั้นสูงสุด

ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าซ่งอวี่เซารักษากฎเกณฑ์ในยุทธภพเป็นอย่างดี ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นซูสุ่ยจึงไม่จำเป็นต้องกังวลใจกับอริยะกระบี่อันดับหนึ่งของแคว้นผู้นี้ ส่วนหลานชายของซ่งอวี่เซา ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่มาก ทุกคนจึงรู้สึกว่าความทรงจำของเขาย่อมต้องพร่าเลือนเต็มที ยากที่จะกลายมาเป็นภัยร้ายในวันหน้าได้

ด้วยเหตุนี้ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยหลังจากนั้นจึงสงบสุขมานานถึงยี่สิบกว่าปี และก็เป็นยี่สิบกว่าปีที่ตำแหน่งผู้นำแห่งยุทธภพว่างเปล่าไร้คนนั่งครอง

จนกระทั่งซ่งเฟิ่งซานเปิดประตูหมู่บ้านวารีกระบี่ จัดงานเลี้ยงใหญ่รับรองยอดฝีมือจากทั่วสารทิศ และพรุ่งนี้ก็จะจัดพิธีแต่งตั้งผู้นำแห่งยุทธภพอย่างเป็นทางการ

ซ่งอวี่เซาไม่เหลือความสนใจในยุทธภพมานานมากแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจกับเรื่องใดเลย ทำไมหลายปีมานี้เขาถึงชอบท่องไปในยุทธจักรเพียงลำพัง? หรือแค่ต้องการผ่อนคลายจิตใจจริงๆ ? ไม่เห็นหลานชายแล้วไม่หงุดหงิดใจ?

ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน

แต่ทั้งๆ ที่ซ่งอวี่เซารู้ดีว่าสักวันหนึ่งเมฆดำจะเคลื่อนมาสู่หมู่บ้านวารีกระบี่ที่เขาทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจสร้างมันขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์อันดีงามที่เหมือนกลุ่มดอกไม้สีสันสดใสรวมตัวกัน ซ่งเฟิ่งซานหลานชายของเขาจะต้องล้ำเส้นจนกลายเป็นเป้าหมายที่คนทั่วทั้งราชสำนักหมายหัว ทั้งหมดนี้ก็คือปมในใจนอกเหนือปมในใจอีกชั้นหนึ่ง ปมในใจแรกคือความละอายใจที่มีต่อซ่งเกาเฟิงบุตรชาย ปมในใจที่สองก็คือกฎเกณฑ์ในยุทธภพที่ตนศรัทธาและเฝ้ารักษามาแตกต่างกับการกระทำของหลานชายราวฟ้ากับเหว

อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยท่านนี้เกิดความลังเลขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าควรจะออกกระบี่ใส่ราชสำนักดีหรือไม่ หากออกกระบี่แล้วจะเป็นการท้าทายอำนาจของฮ่องเต้หรือไม่ อันที่จริงซ่งอวี่เซาไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่ที่เขาสนคือมันละเมิดต่อเจตจำนงเดิมของตัวเขาเอง

เพราะส่วนลึกในใจของผู้เฒ่าไม่เคยยอมรับยุทธภพของซ่งเฟิ่งซาน

แต่ทั้งหมดนี้กลับไม่สามารถระบายให้ใครฟังได้

การเดินทางในยุทธภพก่อนหน้านี้ เดิมทีคิดจะไปหาผู้อาวุโสที่เป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู เทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ทั้งวรยุทธและคุณธรรมต่างก็สูงทะลุชั้นเมฆผู้นั้น ซ่งอวี่เซาทั้งอยากจะขอความรู้ด้านวิถีกระบี่ ทั้งอยากจะคลายปมในใจนี้ น่าเสียดายก็แต่ผู้เฒ่าที่เวทกระบี่ค้ำฟ้าได้ตายไปแล้ว ซ่งอวี่เซาที่ไปได้แค่ครึ่งทางจึงจำต้องย้อนกลับทางเดิม ถึงได้มีเหตุการณ์ที่วัดร้างเกิดขึ้น

ความคิดนับร้อยนับพันประดังประเดเข้าหาผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ในศาลาริมน้ำ จิตใจเหม่อลอยไปไกล เป็นเหตุให้ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ออกหมัดเพื่อฝ่าทะลุขอบเขตคนนั้นหายเข้าไปในม่านน้ำตกนานมากแล้ว

รอจนซ่งอวี่เซาสัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี เตรียมจะตามเข้าไปดูให้รู้แน่ชัดถึงได้เห็นว่าเฉินผิงอันเดินออกมาจากน้ำตกช้าๆ แล้วกระโดดผลุงพลิ้วกายกลับมายืนในศาลา มือทั้งคู่ที่โชกไปด้วยเลือดทายาสมุนไพรและพันทับด้วยผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว

ซ่งอวี่เซาเก็บความคิดวุ่นวายใจลง ถามยิ้มๆ ว่า “เหล้ารสเลิศของหมู่บ้านก็ชิมไปแล้ว ตอนนี้เลื่อนสู่ขอบเขตปรมาจารย์น้อยแล้ว เป็นอย่างไร? ดีกว่าเดิมหรือเปล่า?”

แต่ประโยคถัดมาของเฉินผิงอันกลับทำให้ผู้เฒ่าอ้าปากค้าง “ดูเหมือนว่ายังขาดอีกนิดหน่อยถึงจะฝ่าทะลุขอบเขต ตอนนี้เหมือนว่าต่อยหนึ่งหมัดทะลุน้ำตกไปแล้ว ยังขาดขาที่ยังไม่ได้ข้ามไป”

ซ่งอวี่เซามองประเมินลมปราณที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในของเด็กหนุ่ม ปณิธานหมัดทั้งร่างไหลกรากเหมือนน้ำตกที่พรั่งพรู คู่ควรวิจารณ์ด้วยคำว่าแผ่กลิ่นอายบรรยากาศยิ่งใหญ่งดงามอย่างแท้จริง ผู้เฒ่าจึงกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าคือขอบเขตสี่แน่นอนแล้ว ข้าผู้อาวุโสถึงขั้นตบอกพูดได้ด้วยว่า ไม่เคยเห็นขอบเขตสามคนไหนที่รากฐานหนักแน่นมั่นคง รวมไปถึงมีขอบเขตสี่ที่ใหม่เอี่ยมอ่องอย่างเจ้ามาก่อน เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงรู้สึกว่าขาดไปอีกก้าวหนึ่งได้?!”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ผู้อาวุโสซ่ง ขาดไปอีกนิดหนึ่งจริงๆ ข้าเองก็อธิบายต้นสายปลายเหตุไม่ออก ข้าแค่รู้ แต่ตอนนี้ข้าพอจะรู้ทิศทางคร่าวๆ แล้ว ใต้ฝ่าเท้ามีเส้นทางให้เดินแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เหมือนแมลงวันไร้หัวพุ่งไปไม่รู้ทิศทาง คาดว่าก่อนถึงนครมังกรเฒ่าก็น่าจะค่อยๆ ข้ามผ่านไปได้ หากโชคดี ตอนไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนของแคว้นซูสุ่ยพวกท่านก็อาจจะฝ่าทะลุขอบเขตแบบฉับพลันกะทันหัน แต่ข้าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีโชค ความเป็นไปได้ที่ต้องไปถึงนครมังกรเฒ่าก่อนแล้วค่อยฝ่าทะลุขอบเขตน่าจะมีมากกว่า”

ซ่งอวี่เซายืนสองมือไพล่หลัง เดินวนรอบร่างของเด็กหนุ่มสองรอบถึงหยุดเดิน จุ๊ปากพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า วันนี้ถือว่าข้าได้เปิดโลกกว้างแล้ว”

ซ่งอวี่เซาหัวเราะเสียงดัง “ไป ไปดื่มเหล้ากัน ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้ยังไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตอย่างสมบูรณ์แบบ นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่ควรต้องฉลอง!”

เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้า เหล้ายังเหลืออีกเยอะ จึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ”

ซ่งอวี่เซาพลันถามขึ้นว่า “ในเมืองเล็กนอกหมู่บ้านมีหม้อไฟร้านหนึ่งที่รสชาติยอดเยี่ยม อาหารอร่อยจนลูกค้าแทบจะกลืนลิ้นตัวเองตามไปด้วย เหล้าก็ไม่เลว เจ้าอยากจะไปลองกินหน่อยไหม? ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอาหารพอดี ข้าผู้อาวุโสสนิทกับเถ้าแก่ของร้านนั้น สามารถลดได้แปดส่วน”

เฉินผิงอันที่พอได้ยินว่าลดแปดส่วนก็กล่าวอย่างฮึกเหิมทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าเลี้ยงเอง!”

ซ่งอวี่เซาหัวเราะร่า “อ้อ? แต่บอกไว้ก่อนนะ อาหารมื้อหนึ่งที่ร้านหม้อไฟ บวกกับเหล้ารสเลิศ อย่างน้อยต้องจ่ายเงินห้าสิบหกสิบตำลึง”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ พูดหน้าตาเฉยว่า “เมืองเล็กค่อนข้างไกลจากหมู่บ้านนะ ไม่สู้พวกเราแค่กินเหล้าอยู่ในเรือนก็พอแล้ว”

ซ่งอวี่เซายกนิ้วโป้งให้ “ช่างมีมาดของวีรบุรุษที่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยจริงๆ !”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะก๊าก “ไปก็ไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า? มื้อกลางวันนี้กินหม้อไฟแล้ว!”

ซ่งอวี่เซาอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ให้โอกาสเฉินผิงอันได้เปลี่ยนใจ หัวเราะเสียงดัง เอ่ยประโยคหนึ่งว่าตามข้ามา แล้วก็พุ่งตัวออกไปจากศาลา เหยียบลงบนกิ่งไม้สูงของต้นไม้ใหญ่ มุ่งหน้าไปนอกหมู่บ้าน

เฉินผิงอันได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะไปเรียกสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิง จำต้องตามหลังเขาไปติดๆ

ตอนที่ทะยานผ่านยอดศาลา เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางน้ำตกแล้วหัวเราะหึหึ

บนผนังหินด้านหลังม่านน้ำ เด็กหนุ่มแอบใช้นิ้วสลักอักษรไว้สองบรรทัด เขียนจากบนลงล่าง บรรทัดหนึ่งเขียนชื่อของแม่นางคนหนึ่ง อีกบรรทัดหนึ่งเขียนว่า ‘เฉินผิงอันเคยมาเยือนที่นี่’ เด็กหนุ่มหวังว่าคราวหน้าที่มาเยือนหมู่บ้านวารีกระบี่ ข้างกายตนจะมีแม่นางคนนั้นมาด้วย

แน่นอนว่าเฉินผิงอันแค่กล้าแอบคิดเท่านั้น

ทางฝั่งของตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวา ขอแค่บ้านใดมีงานมงคล เพื่อนบ้านก็ล้วนยินดีให้ความช่วยเหลือ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่เหล่าบรรพบุรุษตั้งไว้เหมือนกฎการเติมดินให้กับหลุมศพผู้ตาย ซึ่งไม่ต้องใช้หลักการเหตุผลอะไรให้มากความ วันนี้ที่ตรอกซิ่งฮวามีคนแต่งงาน สู่ขอหญิงสาวร่ำรวยคนหนึ่งจากตรอกเถาเย่ คนตระกูลนี้ของตรอกซิ่งฮวามีชื่อเสียงที่ดีงามมาก ในอดีตแม้แต่แม่เฒ่าหม่าที่มีชื่อเสียงเลวร้ายก็ยังสนิทกับคนตระกูลนี้ ดังนั้นลำพังเพียงแค่โต๊ะอาหารรับรองแขกก็มีเกือบยี่สิบโต๊ะ ขอแค่มอบอั่งเปาที่ไม่ว่าจะเศษเงินก้อนหรือเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญก็ล้วนสามารถมานั่งร่วมโต๊ะทานอาหาร รับกลิ่นอายมงคลได้

บนโต๊ะจัดเลี้ยงมีคนแปลกหน้านั่งอยู่หลายคน แต่คนที่เป็นผู้นำยังพอจะถือว่าคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง เขาคือผู้เฒ่าจากบ้านเก่าแก่หลังหนึ่งของตรอกหนีผิง มักจะแต่งกายด้วยชุดหรูหราร่ำรวยเดินเล่นอยู่ในเมืองเล็กเป็นประจำ นานวันเข้าผู้คนจึงจดจำใบหน้าได้ แซ่เฉา พวกเพื่อนบ้านชอบเรียกเขาว่าเหล่าเฉา ไม่ว่ากับใครเหล่าเฉาก็มีท่าทางปรองดอง ใบหน้าแต้มรอยยิ้มตลอดเวลา ไม่มีมาดหยิ่งยโสของคนมีเงินแม้แต่น้อย สามารถพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับชาวบ้านร้านตลาดได้เป็นครึ่งๆ วัน มักจะมาคุยเล่นกับผู้เฒ่าหานของตระกูลบ้านงานในวันนี้เป็นประจำ ดังนั้นวันนี้มาดื่มสุรามงคลจึงเอาอั่งเปาซองใหญ่มาให้ นับว่าให้หน้าเจ้าภาพอย่างเต็มที่ ผู้เฒ่าหานที่สวมชุดใหม่เอี่ยมยังตั้งใจเรียกบุตรชายและลูกสะใภ้มาดื่มสุราคารวะเขาโดยเฉพาะ

เหล่าเฉาพาคนมาด้วยสามคน ต่างก็แซ่เฉา เฉาจวิ้นคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็อาศัยอยู่ในบ้านเก่าตระกูลเฉาตรอกหนีผิงเช่นกัน และยังมีปู่หลานอีกคู่หนึ่งที่มาจากต่างถิ่น ว่ากันว่าล้วนเป็นญาติของเหล่าเฉาที่อยู่ในเมืองหลวง ดูท่าทางแล้วน่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่เลว ลักษณะเหมือนบัณฑิต อีกทั้งยังเหมือนจะเป็นขุนนางด้วย แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ที่คนในเมืองหลวงจะเป็นอย่างนี้กันหมด

เหล่าเฉาเป็นคนชอบความครึกครื้นสนุกสนานจึงคอยถือจอกเหล้าเดินไปดื่มคารวะคนนู้นทีคนนี้ที ส่วนปู่หลานสกุลเฉาที่มาจากเมืองหลวงคู่นั้นเห็นได้ชัดว่าปรับตัวเข้ากับความคึกคักอึกทึกแบบนี้ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ จึงไม่ได้ทำตัวตามสบายนัก พวกเขานั่งอยู่ที่เดิม มีบางครั้งที่คีบอาหารหรือจิบเหล้าต้มราคาระดับปานกลางของเมืองเล็ก กลับเป็นเฉาจวิ้นที่เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ยกเท้าวางเหยียบบนม้านั่งยาว กินดื่มอยู่กับตัวเอง สายตาคอยชำเลืองมองเหล่าเฉาที่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับผู้เฒ่าบางคนแล้วคลี่ยิ้มมีเลศนัย

ตระกูลจากตรอกเถาเย่ที่แต่งด้วยนั้น แม้ว่าตระกูลจะตกต่ำ แต่เมื่อเทียบกับตรอกซิ่งฮวาแล้ว ฐานะทางบ้านก็ถือว่ามั่นคงกว่ามาก ดังนั้นจึงค่อนข้างจะวาดมาดหยิ่งยโสอยู่บ้าง แต่เพื่อนบ้านในตรอกซิ่งฮวาและตรอกหนีผิงกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ ต่อให้ตระกูลที่ตั้งอยู่บนฝูลวี่และตรอกเถาเย่จะไม่รุ่งโรจน์เหมือนดังแต่ก่อน ตระกูลธรรมดาก็อย่าหวังว่าจะปีนป่ายได้ถึง หากไม่เป็นเพราะบุตรชายของผู้เฒ่าหานได้ดิบได้ดี ตอนนี้ทำงานอยู่ในที่ว่าการเขตการปกครองหลงเฉวียน ไหนเลยจะมีโชควาสนาได้แต่งงานกับคุณหนูจาตรอกเถาเย่แบบนี้?

เหล่าเฉาไปนั่งกินดื่มกับคนโต๊ะอื่น เฉาจวิ้นดื่มเหล้าร้อนแรงหนึ่งอึกแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก รีบคีบขาหมูหนึ่งชิ้น ก่อนหันหน้าไปมองปู่หลานคู่นั้น ถามยิ้มๆ ด้วยภาษาทางการของต้าหลี “ทำไม อาหารไม่คุ้นปาก? ไม่อย่างนั้นพวกเราเปลี่ยนไปกินกันที่ภัตตาคารกันดีหรือไม่?”

ผู้เฒ่าที่สวมชุดสะอาดสะอ้านส่ายหน้ายิ้ม “ไม่ต้องมากเรื่องขนาดนั้น ข้าก็แค่กินอาหารเจในเมืองหลวงมาจนชิน ไม่คุ้นเคยกับอาหารคาวที่มีแต่เนื้อในงานเลี้ยงฉลองเท่านั้น หาใช่ดูแคลนขนบธรรมเนียมของสถานที่แห่งนี้ไม่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีอำเภอไหวหวงเขตการปกครองหลงเฉวียนก็เป็นมาตุภูมิของสกุลเฉาเรา พวกเราที่เป็นลูกหลานจะลืมกำพืดของตัวเองได้อย่างไร”

เฉาจวิ้นผู้มีหน้าตาหล่อเหลาพยักหน้ารับ ยิ้มตาหยีพูดว่า “มาเจอกับบรรพบุรุษที่พึ่งพาไม่ได้แบบนี้ ถือเป็นความโชคร้ายของพวกเราอย่างแท้จริง”

ผู้เฒ่าไม่กล้าต่อคำเขาเด็ดขาด

ปากมากวิจารณ์บรรพบุรุษในตระกูลที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่ง ต่อให้ผู้เฒ่าจะมีฐานะสูงส่งเป็นถึงขุนนางสำคัญผู้เป็นเสาหลักของราชสำนักต้าหลี ก็ยังไม่มีความกล้าหาญนี้

คนหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญ บุคลิกแตกต่างกับเฉาจวิ้นอย่างสิ้นเชิงผู้นั้นมีนามว่าเฉาเม่า เขาก็คือผู้ตรวจการงานเตาเผาคนใหม่ของเขตการปกครองหลงเฉวียน เป็นขุนนางที่ขึ้นตรงกับกรมพิธีการ สง่างามผึ่งผาย ได้รับสมญานามอันงดงามจากวงการขุนนางว่าเป็นต้นไม้หยกแห่งตระกูลเฉา ตอนนั้นที่ไปต้อนรับราชครูต้าหลีที่จุดพักม้าไหวจ่ายก็เป็นเฉาเม่าที่ขี่ม้ามาเพียงลำพัง ทั่วกายอบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา ลงจากม้าเดินโซเซเข้าไปในจุดพักม้า มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเขากับคุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวงคนอื่นๆ

เฉาซีกลับมานั่งที่โต๊ะ ต่อให้เป็นเฉาเม่าก็ยังยืดตัวขึ้นตรงโดยไม่รู้ตัว ผู้เฒ่าชุดเขียวก็ยิ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวม วางตะเกียบลง หยิบกาเหล้าขึ้นมารินเหล้าให้กับเฉาซีผู้เป็นบรรพบุรุษซึ่งอายุห่างจากเขาหลายรุ่นจนนับไม่ถ้วนด้วยตัวเอง

เฉาซีดื่มรวดเดียวหมด วางจอกเหล้าลง มองแขกเหรื่อที่เดินเข้าประตูมาร่วมงานอย่างไม่ขาดสายแล้วลุกขึ้นยืน “อย่ามัวนั่งแช่ในส้วมแล้วไม่ขี้ ยกที่นั่งให้คนที่เพิ่งมาทีหลังบ้าง ไปเถอะ”

คนทั้งสี่เดินออกจากลานบ้านจึงเห็นว่าลานบ้านของบ้านหลังอื่นที่อยู่ติดกันต่างก็มีโต๊ะจัดเลี้ยงวางไว้เต็มลาน เฉาซีพาคนทั้งสามเดินเข้าไปในตรอกหนีผิง เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฮ่องเต้ของพวกเจ้ากลับเมืองหลวงไปแล้วรึ?”

ผู้เฒ่าตอบอย่างนอบน้อม “ตอบท่านบรรพบุรุษ พระพลานามัยของฝ่าบาทไม่ใคร่จะดีนัก จึงใช้ทางเดินม้าของเขตการปกครองหลงเฉวียนเสด็จกลับเมืองหลวงทางเหนือไปแล้ว”

ตอนที่เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษตระกูลกู้ เฉาซีหันไปมองบ้านที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยซึ่งภาพเทพทวารบาลฉีกขาด กลอนคู่ปีใหม่เก่าซีดแล้วหยุดเดิน “ได้ยินมาว่าสองแม่ลูกบ้านนี้ถูกสกัดคงคาเจินจวินพาตัวไปอยู่ที่เกาะชิงเสียทะเลสาบเจี่ยนซูแล้ว ก่อนจะออกจากเมืองเล็ก เจ้าเด็กน้อยที่ชื่อกู้ช่านผู้นั้นได้รับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า สามารถควบคุมเจียวน้ำที่มีตบะทัดเทียมกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบได้? อีกทั้งเจียวน้ำตัวนั้นยังเลื่อนขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว มีความเป็นไปได้มากว่าในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่สิบปีจะสามารถฝ่าคอขวดของขอบเขตสิบไปได้?”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ภายใต้การจัดการของท่านราชครูแห่งราชสำนักต้าหลี ได้สร้างองค์กรสืบข่าวแห่งใหม่ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบหน้าที่บันทึกประวัติการเจริญเติบโตของเด็กๆ ในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้โดยเฉพาะ นอกจากกู้ช่าน ยังมีหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลวี่ เซี่ยหลิงชี่เด็กหนุ่มคิ้วยาวของตระกูลเซี่ย รวมทั้งหมดสิบหกคน ซึ่งส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ แต่ก็มีผู้ฝึกลมปราณจากต่างถิ่นที่ได้รับโชควาสนาไปจากที่นี่ ยกตัวอย่างเช่นเกาเซวียนองค์ชายแห่งต้าสุย”

เฉาซีเดินไปข้างหน้าเนิบช้า แต่แล้วก็หยุดเดินอีกครั้ง “แล้วคนจากสองตระกูลนี้ล่ะ?”

เจ้าของบ้านสองหลังที่อยู่ติดกัน คนหนึ่งกลายเป็นซ่งมู่ที่ได้รับการบันทึกชื่อลงในลำดับวงศ์ตระกูลของสกุลซ่งต้าหลี เพิ่งจะติดตามฮ่องเต้กลับเมืองหลวงไป อีกคนหนึ่งชื่อเฉินผิงอัน ได้ออกเดินทางลงใต้ไปแล้ว แต่ยังมีร้านค้าอยู่ในเมืองสองร้าน และมีภูเขาอีกห้าลูกทางทิศตะวันตก

ผู้เฒ่ากล่าวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ในสิบหกคนนี้น่าจะไม่รวมองค์ชายกับเฉินผิงอัน”

เฉาซีร้องอ้อรับหนึ่งที “แล้วหลี่ซีเซิ่งล่ะ?”

ผู้เฒ่าชุดเขียวที่เป็นพลเอกเสาหลักแคว้นต้าหลีส่ายหน้า “ไม่มีเหมือนกัน”

เฉาซีหันหน้าไปมองเฉาจวิ้นที่ตรงเอวพกทั้งกระบี่สั้นและกระบี่ยาว “เจ้าเคยประมือกับหลี่ซีเซิ่ง เขาใช้ตบะขอบเขตหกทำให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าอย่างเจ้าได้แต่กลับมามือเปล่า รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

เฉาจวิ้นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังจะรู้สึกอะไรได้อีก? เขาร้ายกาจ ส่วนข้ามันเศษสวะ”

เฉาซีหัวเราะหึหึ “อีกเดี๋ยวเศษสวะอย่างเจ้าก็ต้องไปสมัครเข้าร่วมกับกองทัพชายแดนแล้ว หากโชคดีก็คงได้อยู่ข้างกายซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี ติดตามทหารม้าเหล็กต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ ไม่แน่ว่าอาจต้องบุกสังหารไปจนถึงตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปถึงจะได้หยุดพัก ทีนี้รู้สึกอย่างไร?”

เฉาจวิ้นตอบอย่างตรงไปตรงมา “กินข้าวฟรีรอวันตายน่ะสิ”

เฉาเม่าบุตรหลานตระกูลอันดับต้นๆ ของต้าหลีอดรู้สึกนับถือพี่ชายอย่างเฉาจวิ้นผู้นี้ไม่ได้ แม้ว่ามองดูเหมือนตนจะอายุใกล้เคียงกับผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ แต่อันที่จริงกลับห่างกันถึงหกสิบปี ช่วงที่ผ่านมาพวกเขามักจะไปกินดื่มด้วยกันเป็นประจำ รู้ดีว่าเฉาจวิ้นเป็นคนไม่แยแสโลก ไม่เคยเก็บเรื่องใดมาใส่ใจ ซึ่งเป็นนิสัยที่ออกมาจากแก่นแท้ ไม่ใช่แค่พูดแต่ปากอย่างเดียวเท่านั้น

เฉาซีกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด “ภายในสิบปีนี้ หากเจ้าสังหารตะพาบเฒ่าขอบเขตสิบ-สองคนไม่ได้ ถึงเวลานั้นข้าผู้อาวุโสจะสังหารเจ้าเองกับมือ!”

เฉาจวิ้นสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เอ่ยยิ้มๆ กับเฉาเม่าว่า “หลังจากข้าตายไป จำไว้ว่าช่วยเก็บศพให้ข้าด้วย เอาไปฝังไว้ที่สุสานเทพเซียน ข้ารู้สึกว่าฮวงจุ้ยตรงนั้นไม่เลวเลย อยู่ร่วมกับพระโพธิสัตว์ดินเผาของศาสนาพุทธ เป็นเพื่อนบ้านกับเทพสวรรค์ลัทธิเต๋า อยู่ที่นั่นต้องอารมณ์ดีแน่นอน เพราะไม่ต้องฟังคนบ่น หูก็จะสะอาด แล้วก็ไม่มีใครมารบกวนความฝันอันงดงามด้วย”

ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเสียใจกับความโชคร้ายของอีกฝ่าย แต่โมโหที่อีกฝ่ายไม่ฮึดสู้นั้นมีแน่นอน เฉาซีจึงตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “เจ้าตะพาบน้อยระยำ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อซ่อมแซมบ่อดอกบัวปราณกระบี่ที่มีมาตั้งแต่เกิดในทะเลสาบหัวใจของเจ้า ข้าผู้อาวุโสต้องจ่ายค่าตอบแทนไปด้วยอะไร?!”

เวลาที่เฉาจวิ้นยิ้ม ดวงตาของเขาจะหยีลงเป็นเส้นคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง “ข้าจะรู้ได้ยังไง ไหนท่านลองเล่ามาสิ?”

เฉาซีหัวเราะหยัน “มีลูกหลานอย่างเจ้าก็ถือเป็นความโชคร้ายของตระกูลเหมือนกัน ต่อให้ควันเขียวจะผุดเหนือหลุมศพมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ห่าอะไรเลย! ไสหัวไปซะ รีบไปหาซ่งจ่างจิ้งที่เมืองหลวง จากนั้นก็ไปที่ชายแดนใต้ สิบปีต่อจากนี้ข้าผู้อาวุโสไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก”

เฉาจวิ้นคิดจะไปก็ไป เขากระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศ หัวเราะเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสาน ทะยานลมมุ่งหน้าไปทางเหนือ

เฉาเม่าขุนนางผู้ตรวจการที่รู้กฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้เป็นอย่างดีกำลังจะออกปากเตือน แต่กลับไม่ทันแล้ว

ริมลำคลองหลงซวีทางทิศใต้ของเมืองเล็ก อริยะสำนักการทหารในร้านตีกระบี่หัวเราะเสียงเย็น “ไอ้พวกไม่รู้จักจำ”

มุมหนึ่งของท้องฟ้าสีครามเหนือเขตการปกครองหลงเฉวียนปรากฏเป็นภาพน้ำพุสายหนึ่งผุดพุ่ง ก่อนที่กระบี่ยาวเล่มหนึ่งจะลอยขึ้นไปช้าๆ

“หร่วนฉง แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้เจ้าก็ยังไม่ยอมให้หน้ากันรึ?”

สีหน้าเฉาซีมืดคล้ำ สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เดิมทีเป็นเหมือนเชือกสีเขียวมรกตเส้นหนึ่ง หรือก็คือที่พึ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้เซียนกระบี่เฉาจวิ้นวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในทักษินาตยทวีปได้ อาวุธกึ่งเซียนที่เกิดจากเทพบรรพกาลหล่อหลอมแม่น้ำใหญ่ยาวหมื่นลี้มาไว้เป็นภาชนะบรรจุกระบี่ เมื่อจิตของเฉาซีขยับเคลื่อน เชือกเล็กสีเขียวมรกตบนข้อมือไม่ได้เผยร่างจริง แต่ขยับไหวเล็กน้อย แผ่ไอน้ำสีเขียวเป็นเส้นๆ ออกมา แล้วพุ่งไปยังท้องฟ้าสูงที่ร่างของเฉาจวิ้นหายวับไป

กระบี่ที่พุ่งออกมาจากน้ำพุของหร่วนฉง หมายตัดหัวเฉาจวิ้นที่ทำผิดกฎนั้นมีความเร็วเหนือกว่าการทะยานลมของเฉาจวิ้นมากนัก หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เฉาจวิ้นไม่ทันพ้นออกไปจากขอบเขตของถ้ำสวรรค์หลีจูก็ต้องถูกกระบี่นั้นตัดคอขาด

โชคดีที่ระหว่างกระบี่ของหร่วนฉงและร่างของเฉาจวิ้นมีแม่น้ำสีเขียวมรกตสายใหญ่โผล่ขึ้นมากั้นขวางกลางอากาศ สกัดทางไปของกระบี่หร่วนฉง

กระบี่แทงทะลุน้ำของแม่น้ำที่ยาวแค่ไม่กี่ลี้ไปตลอดทาง ทว่าแม่น้ำสีมรกตที่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนกลับทบเข้าด้วยกัน แล้วกดทับลงบนกระบี่บินที่ยังคงทะยานไปข้างหน้าอย่างดุดัน แม่น้ำใหญ่ซัดใส่กระบี่ พยายามขัดขวางไม่ให้กระบี่บินที่เป็นดั่งเรือลำน้อยเคลื่อนไปข้างหน้า ต่อให้น้ำในแม่น้ำจะมากมายไร้ที่สิ้นสุด กระบี่บินที่อริยะสำนักการทหารศาลลมหิมะเป็นผู้ควบคุมก็ยังคงผ่าสายน้ำ บุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

เฉาจวิ้นไม่หยุดชะงัก แต่หันหน้ากลับมา กระบี่ยาวที่อยู่ข้างเอวพุ่งออกจากฝัก ปะทะกับปลายกระบี่ของหร่วนฉงพอดี กระบี่ยาวของเฉาจวิ้นเด้งกระเด็นปลิวไปไกล เขากระอักเลือดสดออกมาหนึ่งคำ แต่ร่างกลับถอยกรูดไปด้านหลังด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

แม่น้ำยาวร้อยลี้เส้นหนึ่งที่กลิ้งหลุนๆ รวมตัวกันกลายเป็นก้อนห่อหุ้มกระบี่เล่มนั้นของหร่วนฉงไว้อย่างแน่นหนา ท่ามกลางก้อนน้ำยักษ์สีเขียวมรกตมีปราณกระบี่สาดยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสุดท้ายน้ำแม่น้ำแตกกระจาย กลายเป็นหยาดฝนพร่างพรมเต็มฟ้า เพียงแต่ว่าไม่ทันรอให้หยดฝนร่วงลงพื้นก็กลับมารวมตัวกันกลายเป็นปราณกระบี่สีเขียวที่ลอยกลับตรอกหนีผิงของเมืองเล็กอย่างเนิบช้า

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไร้ความเสียหายของหร่วนฉงลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ หยุดชะงักเล็กน้อย ด้านล่างกระบี่เล่มยาวก็มีบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่งปรากฏขึ้น กระบี่บินลดตัวลงเบื้องล่าง จมลงไปในบ่อน้ำ หายไปจากกลางอากาศ

เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งทักษินาตยทวีปที่ก่อนหน้านี้เคยกินหมัดหร่วนฉงไปหนึ่งครั้งอาศัยโอกาสนี้หนีไปจากสนามต่อสู้ หัวเราะร่าเสียงดัง “อาศัยพละกำลังของสายลม ส่งข้าขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า! ขอบพระคุณอริยะหร่วนและท่านบรรพบุรุษที่ร่วมกันมาส่งข้าเดินทาง!”

ในตรอกหนีผิง ความคิดนับร้อยประดังเข้าหาผู้เฒ่านายพลเอกสกุลเฉา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็ไม่เคยขาดการคบค้าสมาคมกับยอดฝีมือบนภูเขา ทว่าการได้เห็นเทพเซียนตีกันอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดินกับตาตัวเองแบบนี้กลับมีน้อยครั้ง เฉาเม่าผู้ตรวจการงานเตาเผาหลานสายตรงรุ่นนี้ของตระกูลเฉาเอ่ยถาม “ท่านบรรพบุรุษ หากท่านต้องผิดใจกับอริยะของที่แห่งนี้ด้วยสาเหตุนี้?”

เฉาซีแค่นเสียงหยัน “เอาชนะเทียนจวินลัทธิเต๋าขอบเขตสิบสองของอุตรกุรุทวีปไม่ได้ ข้าผู้อาวุโสจะยังเอาชนะขอบเขตสิบเอ็ดคนใหม่ของแจกันสมบัติทวีปไม่ได้อีกงั้นหรือ? เฉาจวิ้นทำให้ตระกูลเฉาขายหน้าได้ แต่ข้าผู้อาวุโสไม่มีทางทำให้ผู้ฝึกตนของนาตยทวีปต้องขายหน้า!”

บัดนี้นายพลเอกสกุลเฉาและเฉาเม่าผู้ตรวจการถึงเพิ่งจะตระหนักได้อย่างแท้จริงว่า เหตุใดบรรพบุรุษที่ดูเหมือนจะจิตใจดีผู้นี้ถึงสามารถเป็นคนเฝ้าพิทักษ์หอพิทักษ์เมืองที่อยู่ริมทะเลแห่งนั้นได้

ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิง “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู?”

เฉาซีแสยะปาก “ได้สิ เจ้าเลือกสถานที่มาเลย ข้าเลือกเวลา!”

ชายฉกรรจ์ที่ออกจากร้านกระบี่มาเอาเรื่องกล่าวอย่างไม่ลังเล “กลางภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกมีเนินดินซึ่งอยู่ในรัศมีร้อยลี้ ไม่มีผู้คน ตอนนี้ยังมีเขตอาคมที่ต้าหลีสร้างเอาไว้ มากพอที่เจ้าและข้าจะต่อสู้จนรู้แพ้รู้ชนะ”

เฉาซีพยักหน้ารับอย่างแรง “ตกลง อีกหนึ่งร้อยปีค่อยตีกัน!”

หร่วนฉงอึ้งค้าง ก่อนจะถ่มน้ำลายลงบนพื้นหนักๆ หนึ่งทีแล้วหมุนตัวเดินจากไป

เฉาเม่ายกมือปิดหน้า

นายพลเอกสกุลเฉาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เฉาซีค้อนประหลับประเหลือก “ทำไม? นี่เรียกว่าต่อสู้ด้วยปัญญา พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”

เฉาซีเดินนำเข้าไปในบ้านของตัวเองก่อน ปู่หลานที่เดินตามมาด้านหลังกำลังจะเดินตามเข้าไปข้างใน แต่ประตูบ้านกลับปิดดังปัง

เฉาเม่าและปู่ของเขาที่เป็นนายพลเอกต้าหลีหันมายิ้มจืดให้กัน ได้แต่ออกจากตรอกหนีผิงไปยังที่ว่าการจวนผู้ตรวจการ ปรึกษากันถึงแผนการขั้นต่อไปของตระกูลอย่างลับๆ

มรสุมทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปก่อตัวขึ้นแล้ว สถานการณ์ส่งผลดีต่อราชสำนักต้าหลี แน่นอนว่ายิ่งลงสนามเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ผลประโยชน์มหาศาลมากเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้สกุลเฉายังมีข่าวดีใหญ่เทียมฟ้า บรรพบุรุษเฉาซีจะอยู่ในแจกันสมบัติทวีปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์จะเข้าร่วมกองทัพชายแดนของต้าหลี คิดดูแล้วฮ่องเต้คงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปนี้ไม่มากก็น้อย ในอนาคตอีกร้อยปี การที่สกุลเฉาจะกดหัวข่มทับสกุลหยวนที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักได้อย่างมั่นคงก็คือสถานการณ์ที่แน่ชัดแล้ว

……

หลังจากที่ลู่เฉินนักพรตเต๋าสวมกวานดอกบัวมาเยือนครั้งหนึ่ง ผู้เฒ่าแซ่ชุยในเรือนไม้ไผ่ที่สวมผ้าป่าน เปลือยเท้าเดินอย่างเคยชินก็เปลี่ยนนิสัยใหม่ เปลี่ยนมาสวมผ้าชุดเขียวของบัณฑิต ทำไม้เท้าไม้ไผ่ไว้ใช้เวลาเดินให้ตัวเองชิ้นหนึ่ง สวมรองเท้าพื้นไม้หนึ่งคู่ มักจะลงจากเขาไปซื้อตำราโบราณและข้าวของเครื่องใช้ในห้องหนังสือมาเป็นประจำ จัดชั้นสองของเรือนไม้ไผ่จนเป็นเหมือนห้องหนังสือของตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ เวลาอยู่ว่างๆ ก็มักจะจับพู่กันขึ้นเขียนตัวอักษร

ทำเอาเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่เห็นอยู่ในสายตาหันมามองหน้ากัน เข้าใจผิดนึกว่าธาตุมารเข้าแทรกผู้เฒ่า ภายหลังเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูได้เห็นภาพเขียนตัวอักษรที่เลิศล้ำของผู้เฒ่า จึงมักจะพูดคุยกับผู้เฒ่าเป็นประจำ นั่นถึงได้ค้นพบว่าที่แท้ผู้เฒ่าคือผู้มากความรู้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นพิณ หมากล้อม พู่กันจีนหรือภาพวาดก็ล้วนเชี่ยวชาญมีฝีมือเป็นเอก สำหรับความรู้ของระบบลัทธิขงจื๊อก็ยิ่งลึกล้ำ

เด็กชายชุดเขียวเป็นคนประเภทไม่ใส่ใจใครทั้งนั้น แถมยังรักตัวกลัวตาย คิดอย่างเดียวว่าหากผู้เฒ่าตั้งใจฝึกวรยุทธ์ให้ดี กลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่มีวรยุทธ์สูงส่งในฟ้าดินน้อยๆ แห่งนี้ ตนถึงจะสบายใจ จึงมักจะคอยพูดหว่านล้อมแบบอ้อมๆ กับผู้เฒ่าว่า เขตการปกครองหลงเฉวียนคือสถานที่ที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด พร่ำพูดว่าสถานการณ์ในยุทธภพของต้าหลีแปลกประหลาดอย่างมาก ต้องอาศัยตบะขั้นสูงสุดถึงจะสยบพวกคนถ่อยได้

น่าเสียดายก็แต่ผู้เฒ่าไม่สนใจเจ้าหมอนี่แม้แต่น้อย อย่างมากก็แค่คุยเล่นกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่มักจะมาสอบถามขอความรู้ สำหรับคำว่าวิถีวรยุทธ์ ดูเหมือนเขาจะโยนมันลงพื้นแล้วไม่คิดจะเก็บขึ้นมาอีก เด็กชายชุดเขียวจนใจเป็นอย่างยิ่ง คร่ำครวญว่าขอร้องคนอื่นไม่สู้พยายามด้วยตัวเอง จึงได้แต่มุมานะฝึกตนต่อไป พยายามอย่างสุดกำลังในการย่อยหินดีงูชั้นเยี่ยมสองก้อนที่กลืนลงท้องไป

หมู่นี้เว่ยป้อทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการต้อนรับขับสู้แขกที่มาเยือน แต่ก็ยังคอยมาที่เรือนไม้ไผ่เป็นระยะ เฝ้ามองบ่อน้ำขนาดเล็กที่โยนเมล็ดพันธ์ดอกบัวม่วงทองดอกหนึ่งลงไป

ตอนนั้นเฉินผิงอันยังฟังคำแนะนำของเว่ยป้อ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่ว นอกจากทิ้งเมล็ดพันธ์ดอกบัวม่วงทองเมล็ดนั้นไว้ในเรือนไม้ไผ่แล้ว เขายังทิ้งตราประทับชิ้นหนึ่งไว้เพื่อใช้เป็นวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะแห่งภูเขาและแม่น้ำ ตราประทับชิ้นนั้นก็คือ ‘เฉินสืออี’ (เฉินสิบเอ็ด) ที่ฉีจิ้งชุนเป็นผู้แกะสลัก ตราประทับชิ้นนี้ไม่มีความลี้ลับใดๆ เป็นเพียงแค่ความคาดหวังต่ออนาคตอันดีงามที่ฉีจิ้งชุนมอบให้แก่เฉินผิงอันเท่านั้น

เหนือขอบเขตปลายทางขอบเขตที่สิบของวิถีวรยุทธ์ ก็คือเทพแห่งการต่อสู้ของโลก สามารถยืนเคียงไหล่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสูงสุดในใต้หล้าได้แล้ว

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเกินกว่าสิ่งใด เหนือกว่าตำราที่ปีนั้นเด็กหนุ่มชุยฉานมอบไว้ให้นางดูแล ทุกๆ วันนางจะต้องแอบหยิบตราประทับอันน้อยที่นายท่านของนางมอบให้ออกมา ใช้ผ้าแพรเช็ดอย่างละเอียดและตั้งใจสามเวลาเช้า กลางวันและเย็น ไม่ว่าเด็กชายชุดเขียวจะหลอกล่ออย่างไร นางก็ไม่มีทางยอมให้เขาแตะแม้แต่ปลายเล็บ

ตอนนี้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่มีชาติกำเนิดจากหอจือหลันแคว้นหวงถิงได้อาศัยหินดีงูที่เฉินผิงอันมอบให้ฝ่าธรณีประตูสุดท้ายของห้าขอบเขตล่าง เลื่อนสู่ขอบเขตแรกของห้าขอบเขตกลางอย่างขอบเขตถ้ำสถิตไปแล้ว หลังจากนี้ก็คือขอบเขตเจ็ดชมมหาสมุทร ขอบเขตแปดประตูมังกร ขอบเขตเก้าโอสถทอง ขอบเขตสิบก่อกำเนิด มหามรรคายังอีกยาวไกล ไกลเกินกว่าจะเอื้อมมือคว้าได้ถึง

เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเด็กชายชุดเขียวที่มีขอบเขตชมมหาสมุทรซึ่งจู่ๆ ก็ฮึกเหิมอยากพัฒนาก้าวหน้า เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูกลับปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติมากกว่า ทุกวันนอกจากจะทำความสะอาดจนเรือนไม้ไผ่ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดแล้ว ก็จะพลิกเปิดตำราหาความรู้ จิตใจผ่อนคลายเป็นสุข เมื่อเทียบกับงูน้ำแม่น้ำอวี้เจียงที่มีนิสัยดุดัน งูหลามไฟจากหอหนังสือตนนี้จึงดูใจเย็น สบายๆ มากกว่า

ดังนั้นตอนนี้จึงกลับกลายเป็นว่าเด็กชายชุดเขียวเป็นฝ่ายรังเกียจที่นางโง่เขลาเกียจคร้าน ไม่รู้จักแสวงหาความก้าวหน้า

คืนวันนี้เด็กชายชุดเขียวเข้าฌานฝึกตนอยู่ริมหน้าผา เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ผู้เฒ่าแซ่ชุยเดินลงจากเรือนไม้ไผ่ หยิบเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งข้างเด็กหญิง เอ่ยเบาๆ ว่า “สกุลชุยอยู่มาพันปี เป็นตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป แต่ก็ยังไม่สามารถสั่งสอนอบรมคนให้ฉลาดเฉลียวได้อย่างงูหลามไฟเช่นเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า เรื่องของโชควาสนานั้นแข่งขันกันไม่ได้จริงๆ”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยิ้มรับอย่างว่าง่าย เอ่ยถามว่า “ท่านปู่ชุย ท่านว่าตอนนี้นายท่านของข้าฝ่าทะลุขอบเขตหรือยัง?”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งข้าผู้อาวุโสเป็นคนปูรากฐานให้เอง ไหนเลยจะฝ่าไปได้ง่ายขนาดนั้น ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ไม่แน่ว่าไปถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดแล้ว ขอบเขตของเฉินผิงอันก็ยังแน่นิ่งไม่ขยับ ติดอยู่บนคอขวดของขอบเขตสาม ทุกวันเอาแต่ดื่มเหล้าดับทุกข์ จากนั้นก็กลายมาเป็นผีขี้เหล้าที่ปณิธานถดถอย”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูบ่นเสียงเบา “วิชาหมัดของนายท่านข้า ถือว่าท่านเป็นคนสอนให้ครึ่งหนึ่ง หากนายท่านไม่เลื่อนขอบเขต ท่านจะยังมีความสุขอยู่ได้อย่างไร?”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าน่ะไม่ใช่คนบนวิถีวรยุทธ์อย่างพวกเรา จึงไม่รู้น้ำหนักของคำกล่าวที่ว่า ‘ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก’ ตอนนั้นหมัดเดียวของข้าผู้อาวุโสก็สามารถฆ่าซุนซูเจียนข้ารับใช้สกุลชุยที่เป็นขอบเขตหกขั้นสูงสุดได้ โดยที่ใช้แค่ความสามารถของขอบเขตห้าเท่านั้น ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ก็เพราะว่ารากฐานของผู้ฝึกยุทธ์มีหนาบาง หากวางรากฐานไว้ไม่ดี ก็เหมือนหอสูงที่พอถูกลมพัดก็ส่ายโงนเงน หากปูรากฐานไว้ดี นั่นก็เป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน ลมพัดมาเล็กน้อยไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ก็แค่คันๆ เท่านั้น”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “ข้างกายนายท่านข้าไม่มีคนคอยดูแล ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องทำด้วยตัวเอง จะถ่วงเวลาการฝึกหมัดของเขาหรือเปล่า?”

ผู้เฒ่าปรายตามองแผ่นหลังของเด็กชายชุดเขียว ก่อนจะดึงสายตากลับมามองเด็กหญิงตัวน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ แล้วทอดถอนใจพูดว่า “สามารถทำให้พวกเจ้าสองคนมาอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ทะเลาะกัน ก็ถือว่าเฉินผิงอันอบรมสั่งสอนได้ดี ไม่รู้ว่าวันหน้าเมื่อครอบครัวใหญ่โตกิจการรุ่งเรืองแล้ว เฉินผิงอันจะยังคงปฏิบัติต่อทั้งคนและสิ่งของได้อย่างเป็นกลาง มีความยุติธรรมอย่างตอนนี้หรือไม่ กฎเกณฑ์ของตระกูลเล็กๆ ดีหรือไม่ดี กับขนบธรรมเนียมในตระกูลใหญ่ถูกต้องหรือไม่ หากต้องจัดการขึ้นมาก็เป็นคนละเรื่องกันเลย”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแหงนหน้า กล่าวอย่างน่ารักไร้เดียงสา “หากมีวันนั้นจริงๆ ท่านปู่ชุยช่วยนายท่านของข้าหน่อยได้หรือไม่?”

ผู้เฒ่าลูบศีรษะของงูหลามไฟน้อย “เรื่องในบ้านบางเรื่อง คนนอกช่วยไม่ได้”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนช้าๆ ยื่นนิ้วชี้ไปไกล “ลองจินตนาการดู หากมีวันนั้นจริงๆ เฉินผิงอันก่อตั้งสำนัก มีเจ้าและงูน้ำน้อย มีงูดำภูเขาฉีตุนที่ใต้ท้องมีเส้นสีทอง มีขาสี่ขางอกออกมาตัวนั้น มีภูเขามากมายขนาดนี้ หากวันหน้าภูเขาทุกลูกมียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนที่รับเฉินผิงอันเป็นอาจารย์…และยังมีพวกเด็กๆ ที่เรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย จากนั้นพวกเจ้าก็กลายเป็นตระกูลเซียนในสายตาของคนบนโลก มีผู้อาวุโสในสำนัก ต้องรับลูกศิษย์ เฉินผิงอันมีคนใต้บังคับบัญชาสิบคน ร้อยคนหรืออาจถึงพันคน หมื่นคน หากคนในครอบครัวตัวเองเกิดทะเลาะกันขึ้นมา จะหน้ามือหรือหลังมือก็เป็นเนื้อ เฉินผิงอันไม่สามารถใช้หนึ่งหมัดหนึ่งกระบี่แก้ไขปัญหาได้แล้ว ควรจะจัดการอย่างไร?”

ตอนอยู่หอจือหลัน เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์ของแต่ละแคว้นมาจนปรุ รู้ดีถึงความยุ่งยากของปัญหาข้อ แม้แต่อารมณ์จะแทะเมล็ดแตงก็ไม่เหลืออีกต่อไป

ผู้เฒ่าแซ่ชุยเอ่ยยิ้มๆ “อันที่จริงเจ้าก็ไม่ต้องกังวลให้มากไป เฉินผิงอันมีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็น…”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูรออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคถัดไปจากผู้เฒ่า จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ “ท่านปู่ชุย นายท่านของข้ามีข้อดีมากมายขนาดนั้น ยังมีข้อไหนที่ข้าไม่รู้อีกหรือ?”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “นังหนูน้อย เจ้าน่ะมีข้อหนึ่งที่ดีมากจริงๆ นั่นคือการประจบเอาใจ โดยเฉพาะเวลาประจบนายท่านของเจ้าที่เป็นดั่งสายฝนฤดูใบไม้ผลิหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเขินอายเล็กน้อย คิดในใจว่าตนไม่ได้ประจบสักหน่อย นายท่านของนางดีแบบนั้นจริงๆ

ผู้เฒ่านั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ พูดด้วยรอยยิ้มไม่เล่นแง่อีกต่อไป “เฉินผิงอันเป็นคนที่พูดง่ายมาก ทุกคนที่สนิทกับเขามักจะมองข้อดีนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน แต่สักวันหนึ่ง กับเรื่องบางเรื่อง เฉินผิงอันจะกลายเป็นคนที่ไม่ได้พูดง่ายอีกต่อไป หรืออาจถึงขั้นพูดยากที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นเรื่องประหลาดจะเกิดขึ้น ทุกคนจะรู้สึก…ร้อนตัวและหวาดกลัว และจะไม่มีทางกล้าตอบโต้อะไรกลับไป”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูรีบยกสองมือขึ้นประกบกัน “ข้าไม่อยากเห็นนายท่านโกรธเลย”

ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งครั้ง

ครั้งหนึ่งหลังจากที่เขาฆ่าคนนอกเรือนไม้ไผ่ เคยพูดกับเฉินผิงอันอย่างดุดันว่า “เจ้าจะเรียนหมัดกับข้า หรือจะเรียนรู้วิธีเป็นคนกับข้า”

นี่เป็นทั้งคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของผู้เฒ่า แล้วก็เป็นเพราะผู้เฒ่าที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครคิดว่าในด้าน ‘การเป็นคน’ นี้ไม่อาจโน้มน้าวเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาได้

หากไม่เป็นเช่นนี้ แล้วผู้เฒ่าจะเต็มใจให้เฉินผิงอันเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาหมัดของตัวเองได้อย่างไร

คิดจะรับลูกศิษย์ก็ต้องรับคนที่ในอนาคตมีหวังว่าจะเหนือกว่าตัวเอง แค่คนเดียวก็เพียงพอ! หาไม่แล้วต่อให้รับลูกศิษย์ขอบเขตเก้า ขอบเขตสิบมาเป็นกลุ่ม แล้วอย่างไร? ก็ยังเป็นแค่มดไม่กี่ตัวภายใต้สถานการณ์ใหญ่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?!

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูพลันถามอย่างขลาดกลัว “หากมีวันหนึ่งท่านปู่ชุยทำเรื่องที่ผิด แล้วนายท่านของข้าโกรธ ท่านจะกลัวหรือไม่?”

ผู้เฒ่าเขกมะเหงกใส่ศีรษะของเด็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินจากไปพลางพูดเสียงขุ่น “นังหนูนี่ไม่รู้จักพูดเลยจริงๆ !”

เด็กชายชุดเขียวที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่ตรงริมหน้าผามาโดยตลอดหันหน้ามายิ้มชั่วร้าย ยกนิ้วโป้งให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแทะเมล็ดแตงอย่างอารมณ์ดี นี่ไม่ใช่ว่าข้าร้ายกาจ เป็นนายท่านของข้าต่างหากที่ร้ายกาจ

หยางเหล่าโถวแห่งร้านตระกูลหยางเฝ้าอยู่ในเรือนเล็กด้านหลังมาปีแล้วปีเล่า นานจนนับวันเวลาได้ไม่ถ้วน ลูกหลานสกุลหยางแต่ละรุ่น นอกจากประมุขที่รับผิดชอบดูแลตระกูล รวมไปถึงคนในตระกูลบางคนที่ได้กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณซึ่งไม่เปิดเผยตัว คนที่รู้ความลับอันน่าตื่นตะลึง รวมไปถึงคนที่ช่วยผู้เฒ่าปกปิดความลับอย่างระมัดระวังแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ตระกูลหยางที่เกิดแก่เจ็บตาย หรือลูกจ้างร้านยาที่เดินเข้าๆ ออกๆ ในแต่ละรุ่นล้วนรู้แค่ว่าร้านตระกูลหยางมีผู้อาวุโสที่ ‘อายุเท่ากับผู้อาวุโสในตระกูลตัวเอง’ อยู่คนหนึ่งเท่านั้น

รู้แค่ว่าผู้เฒ่าไม่เคยออกจากบ้าน นิสัยประหลาด เข้ากับคนได้ยาก แต่ฝีมือในการรักษาช่วยชีวิตคนกลับดีเยี่ยม แน่นอนว่าราคาก็ไม่ธรรมดา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ขอแค่ไม่มีเงินจ่าย ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมโลงศพรอไว้เลย ถึงอย่างไรร้านขายโลงศพก็ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันอยู่แล้ว

วันนี้หยางเหล่าโถวยังคงนั่งสูบยาอยู่ในเรือนด้านหลัง เพียงแต่ว่าในมือมีหนังสือเล่มเล็กที่เพิ่งพิมพ์ใหม่ของต้าหลีอยู่หนึ่งเล่ม หนังสือเล่มนี้มาจากสำนักผู้ประพันธ์ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในเก้าสาขาสิบสำนักวิทยาของใต้หล้าไพศาล

เพียงแต่ว่าเมื่อวันเวลาผันผ่านก็เป็นเหมือนสำนักโม่หนึ่งในสี่สำนักแห่งความรู้ที่ไม่โดดเด่นอีกต่อไป และสำนักผู้ประพันธ์ก็กลายมาเป็นหนึ่งในเมธีร้อยสำนักที่ธรรมดามากที่สุด ส่วนใหญ่จะเขียนตำราประวัติศาสตร์เกร็ดพงศาวดารที่ไม่เข้าพวก รวมไปถึงนิยายรักประโลมโลกที่พวกชาวบ้านร้านตลาดชื่นชอบ ดึงเอาความรู้ในวงกว้างมาสร้างเป็นมุขตลก แน่นอนว่ายังมีการชี้นำให้เห็นถึงปัญหาของสังคมในแต่ละยุคสมัยและเสนอแนะให้มีการแก้ไขปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชื่อเสียงของฮ่องเต้ อัครเสนาบดีหลายคนในประวัติศาสตร์ล้วนมาจากคำวิจารณ์ของสำนักผู้ประพันธ์ที่ใส่ร้ายเสียจนไม่เหลือดี

ยกตัวอย่างเช่นขุนนางผู้มีความสามารถคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตมีปณิธานอยู่ที่การปฏิวัติราชสำนัก ถึงท้ายที่สุด เรื่องของเขาที่คนรุ่นหลังรับรู้กลับไม่ใช่นโยบายอันดีในการปกครองประเทศ แต่เป็นเรื่องที่หนึ่งคืนเขาใช้สตรีสิบคน คืนใดไร้สตรีไม่มีความสุข

หรือยกตัวอย่างเช่นปราชญ์วิญญูชนแห่งลัทธิขงจื๊อที่ยึดหลักสามอมตะได้แก่สร้างคุณความดี สร้างคุณธรรม รังสรรค์ถ้อยคำที่กลายมาเป็นคนชอบหลับนอนกับนางชีในตอนกลางคืน สุดท้ายได้เป็นเพียงตาแก่หน้าไม่อายที่ชอบร่วมประเวณีแบบผิดศีลธรรม ดังนั้นสัจธรรมแห่งพิธีการยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในบทความคำสอนของคนผู้นี้จึงกลายเป็นเพียงเรื่องตลกไร้แก่นสาร

ดังนั้นอริยะของสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อจึงจำเป็นต้องออกมาประนามอย่างเดือดแค้น “สำนักผู้ประพันธ์ปลายแถว เป็นอันดับหนึ่งด้านการชักนำแคว้นและชาวประชาไปในทางที่ผิด!”

เพียงแต่ว่าหลี่เซิ่งผู้กำหนดและควบคุมกฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้กลับสามารถใจกว้างกับเรื่องนี้ไม่ต่างจากท่าทีที่มีต่อเผ่าปีศาจ

ดังนั้นสำหรับหยางเหล่าโถวที่เปิดหนังสืออ่านในเวลานี้ จึงไม่เห็นดีเห็นงามกับใครในศึกตรีจตุของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางทั้งนั้น อย่างมากสุดก็แค่เต็มใจยกนิ้วโป้ง พูดคำว่าดีต่อจตุที่หมายถึงวัตถุประสงค์ของความรู้ ‘สี่’ ประการเท่านั้น ส่วนคำว่า ‘ตรี’ ของอริยะลัทธิขงจื๊อที่ถึงแม้จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหย่าเซิ่ง (อริยะลำดับรอง) แต่ตำแหน่งในศาลบุ๋นกลับอยู่เป็นอันดับที่สาม หยางเหล่าโถวรับไม่ได้อย่างยิ่ง เขาคิดว่าคำว่า ‘วางมาดภูมิฐาน’ ที่เปลี่ยนจากคำชมเป็นคำเหน็บแนมนั้นเหมาะสมกับคนผู้นี้ที่สุด

หนังสือนิยายที่มีกลิ่นหมึกหอมอ่อนๆ ในมือหยางเหล่าโถวเล่มนี้ ลูกจ้างในร้านไปซื้อมาจากร้านหนังสือใหญ่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ในหนังสือเล่มนี้เขียนบรรยายประวัติของจอมยุทธ์มากมายในยุทธภพที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง เวลาที่พวกเขาเผชิญกับสภาวะจนตรอกยากลำบากมักจะต้องเอ่ยประโยคที่สร้างความฮึกเหิม ทำให้เลือดร้อนเดือดพล่านอยู่เสมอ ส่วนใหญ่ก็มีแต่คำพูดทำนองว่าสวรรค์ไม่มีตา ทุกครั้งที่หยางเหล่าโถวเห็นประโยคพวกนี้ก็คล้ายจะอารมณ์ดีไม่น้อย เพียงแต่ว่าสุดท้ายเมื่อปิดหน้าหนังสือลง เขากลับหัวเราะรื่นเริงพลางกล่าวว่า “คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าน่ะ ปล่อยสวรรค์ไปเถอะ”

หลังหยุดหัวเราะ ผู้เฒ่าก็เก็บตำรา พ่นควันขาวคลุ้งโขมง จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ วัตถุลักษณะคล้ายศาลเจ้าขนาดเล็กหล่นลงมาบนพื้น ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ใช้กระบอกยาสูบเคาะลงบนพื้นข้างเท้า เอ่ยเรียกเบาๆ “ซ่งชิ่ง เจ้าออกมานี่”

ตรงหน้าประตูศาลขนาดเล็กที่อยู่บนพื้นมีควันสีเขียวกลิ้งหลุนๆ และไม่นานก็ก่อตัวกันเป็นลักษณะของผู้เฒ่าใบหน้าเหี่ยวย่น พอเห็นหยางเหล่าโถวก็ประสานมือคารวะ กล่าวเสียงทุ้ม “คารวะเสินจวิน” (คำเรียกขานเทพเซียนฝ่ายชาย)

หยางเหล่าโถวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงเอ่ยสั่งความว่า “อนุญาตให้เจ้าออกไปจากเขตพื้นที่นี้ แต่ให้อยู่ในอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป ขอบเขตของเจ้ายังคงเดิมเหมือนในอดีต การเดินทางของเจ้าครั้งนี้คือทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์มรรคาของเฉาจวิ้นบุตรหลานสกุลเฉาตรอกหนีผิง ขอแค่บ่อกระบี่ในทะเลสาบหัวใจของเฉาจวิ้นถูกซ่อมแซมจนกลับคืนมามีสภาพเดิม ลูกหลานสกุลซ่งสายของเจ้าก็จะได้ลุกผงาด ได้เสพสุขกับความรุ่งโรจน์ในโลกมนุษย์อย่างน้อยหนึ่งร้อยปี หลังจากนี้สภาพการณ์ของลูกหลานตระกูลเจ้าจะเป็นดั่งคำว่าโชคเคราะห์เกิดขึ้นเองไม่ได้ นอกจากคนจะสร้างมันขึ้นมา”

ผู้เฒ่าคนนั้นอยู่ในสภาพของวิญญาณหยินเท่านั้น แต่กลับยังมีควันเขียวก่อตัวเป็นกระบี่เล่มยาวห้อยไว้ตรงเอว ปราณกระบี่ไม่มีแล้ว แต่ปณิธานแห่งกระบี่กลับเปี่ยมล้น เห็นได้ชัดว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้เฒ่าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งอย่างแน่นอน พอได้ยินคำสัญญาจากหยางเหล่าโถว สีหน้าของผู้เฒ่าก็เผยความยินดี ประสานมือคำนับอีกครั้ง “ขอบพระคุณเสินจวิน!”

จากนั้นหยางเหล่าโถวก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ยันต์สีทองหลายแผ่นพลันแปะไปทั่วร่างของผู้เฒ่าควันเขียว คือยันต์คุ้มกันกายที่รับประกันว่าผู้เฒ่าวัตถุหยินจะเดินทางอยู่ท่ามกลางฟ้าดินได้อย่างปลอดภัย จิตใจของฝ่ายหลังสงบลงได้มาก พลังอำนาจพลันเพิ่มพูน ปณิธานกระบี่ท่วมท้น หากไม่เป็นเพราะหยางเหล่าโถวพ่นควันกลุ่มใหญ่มาบดบังเอาไว้ เกรงว่าพลังของเขาที่ทะยานขึ้นมาคงจะสร้างความแตกตื่นให้กับผู้ฝึกลมปราณทุกคนในเขตการปกครองหลงเฉวียนไปแล้ว

หยางเหล่าโถวกล่าว “ไปเถอะ ตอนนี้เฉาจวิ้นเดินทางไปที่เมืองหลวงต้าหลีแล้ว เจ้าสามารถบอกเรื่องนี้กับเขาได้โดยตรง ซ่งชิ่ง หากเจ้ากล้าละเมิดกฎ อย่าว่าแต่เจ้าซ่งชิ่งที่จะวิญญาณแหลกสลายในทันที ข้ายังรับรองด้วยว่าจะตัดรากถอนโคนสกุลซ่งสายของเจ้าให้สิ้นซาก จะทำให้ควันธูปของเจ้าขาดหาย ในอนาคตอีกพันปีหมื่นปีจะไม่เหลือร่องรอยของสกุลซ่งสายเจ้าอีกแม้แต่นิดเดียว”

ผู้เฒ่ากุมหมัดกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าไม่กล้าล่วงเกินเสินจวินแน่นอน!”

หยางเหล่าโถวแค่นเสียงหยัน “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะดูที่การกระทำของเจ้าเอง”

ผู้เฒ่ารับคำสั่งแล้วหายวับไป

หลังจากวัตถุหยินในศาลหลังน้อยจากไป หยางเหล่าโถวก็เงยหน้าขึ้นมองม่านฟ้าหนาหนักของใต้หล้าไพศาล เงียบงันไปนาน สุดท้ายถึงพูดว่า “เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพอยู่ คนกระทำ ฟ้ากำลังมอง หากเป็นเช่นนี้จริง แล้วจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?”

……

ชั้นสองของภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองเล็กนอกหมู่บ้านวารีกระบี่ ตรงตำแหน่งที่นั่งติดกับหน้าต่าง หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่มนั่งกินหม้อไฟอยู่ฝั่งตรงกันข้าม บนโต๊ะวางจานอาหารไว้จนเต็มแน่น มีทั้งหน่อไม้ กระเพาะหมู เนื้อแกะ ไส้ห่าน เลือดเป็ด…

แน่นอนว่ายังมีสุรารสดีอีกสองกา รวมไปถึงเครื่องปรุงรสเผ็ดจัดจ้านสีแดงเข้มข้นที่ปรุงด้วยตัวเอง สามารถทำให้คนที่ไม่กินเผ็ดหนังศีรษะชาหนึบได้ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้กินเผ็ดขนาดนี้ แต่ทนคำโน้มน้าวจากผู้อาวุโสซ่งที่นั่งอยู่ใกล้กันไม่ไหว เขาบอกว่ามาที่ภัตตาคารแห่งนี้หากไม่ตักน้ำจิ้มรสเผ็ดเจ็ดแปดชนิดหลากสีปรุงกินเอง ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เฉินผิงอันถึงได้แข็งใจตักน้ำจิ้มทุกชนิดใส่ลงไปในถ้วยอย่างละหนึ่งช้อน

เนื่องจากซ่งอวี่เซาไม่เคยเผยตัวตนที่แท้จริงในหมู่บ้านและในเมืองเล็ก ดังนั้นเถ้าแก่ร้านอาหารที่ร่างอ้วนฉุจึงไม่รู้ว่าเขาคืออริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ย ถึงขั้นไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นอดีตท่านผู้นำของหมู่บ้านวารีกระบี่ รู้เพียงว่าเป็นพี่ชายแซ่ซ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจการกินเป็นอย่างดี ไม่ผิดต่อหม้อไฟและเหล้าเลิศรสของเขา ดังนั้นพอเห็นว่าผู้เฒ่าพาเพื่อนมาเยือนจึงดีใจมาก พาพวกเขาขึ้นไปบนชั้นสองด้วยตัวเอง เลือกตำแหน่งที่นั่งดีๆ แบบนี้ให้ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ต้องให้ลูกจ้างร้านยกอาหารมาวาง ล้วนเป็นเถ้าแก่ที่ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันกินจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็อดใจกับอาหารอร่อยตรงหน้าไม่ได้ อีกอย่างครั้งนี้ตนเป็นคนจ่ายเงิน หากไม่กินให้มากๆ หน่อย ในใจเฉินผิงอันคงไม่ใคร่จะเป็นสุข

ซ่งอวี่เซามองเด็กหนุ่มที่กินอย่างเต็มคราบ กินจนทนความเผ็ดไม่ไหวแล้วยังหันไปดื่มเหล้าอย่างโง่งม เผ็ดบวกเผ็ดจึงเผ็ดสุดๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมวางตะเกียบ สายตาจ้องเป๋งไปยังอาหารในหม้อที่ใกล้จะสุก ทำเอาซ่งอวี่เซาอารมณ์ดีตามไปด้วย เมื่อเทียบกับในอดีตที่ตนต้องกินดื่มอย่างเดียวดายแล้ว ผู้เฒ่าจึงจ้วงตะเกียบเร็วกว่าเวลาปกติไปมาก

ซ่งอวี่เซายกเหล้าขึ้นมาหนึ่งจอก ไม่เรียกตัวเองว่า ‘ข้าผู้อาวุโส’ อีกต่อไป เขาเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงตามกฎเก่าแก่ ข้าไม่ควรปรากฏตัวในศาลาริมน้ำ เพราะการฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์ก็เหมือนกับการปิดด่านของผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่มีข้อห้ามไม่ให้คนนอกมาเฝ้าดู ดังนั้นข้าจึงปรับดื่มหนึ่งจอก”

ผู้เฒ่ากระดกจอกดื่มเหล้ารวดเดียวหมด

เฉินผิงอันยกจอกเหล้าตามติดๆ รีบกลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไป ดื่มเป็นเพื่อนเขาหนึ่งจอก อีกทั้งยังรินใหม่อีกจอกดื่มคารวะผู้เฒ่ากลับคืน “หากไม่เป็นเพราะผู้อาวุโส ตอนนี้แม้แต่ธรณีประตูขอบเขตสี่ ข้าก็คงข้ามผ่านไปไม่ได้ ข้าต่างหากที่ควรจะดื่มคารวะผู้อาวุโสหนึ่งจอก”

ผู้เฒ่าก็ดื่มตามไปด้วย

ซ่งอวี่เซามองไปยังบรรยากาศนอกหน้าต่างที่ผู้คนเดินสัญจรกันไม่ขาดสาย บางครั้งจะหยุดสายตาไว้ชั่วขณะหนึ่ง ครั้งหนึ่งมีคนผู้หนึ่งที่พอประสานสายตากับเขาก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว

ซ่งอวี่เซายิ้มบางๆ แล้วถอนสายตากลับมา “ตอนนั้นที่ข้าไปศาลาริมน้ำก็เพราะมีเรื่องที่จำเป็นต้องพูดกับเจ้าต่อหน้า ไม่ว่าวันนี้เจ้าจะฝ่าทะลุขอบเขตหรือไม่ก็ต้องไปจากหมู่บ้านเสียตั้งแต่คืนนี้ ห้ามเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งผู้นำในยุทธภพวันพรุ่งนี้เด็ดขาด”

เฉินผิงอันยังคงรินเหล้าไม่หยุด แต่ความเร็วในการคีบอาหารลดลงเล็กน้อย เอ่ยถามเบาๆ ว่า “มีคนคิดจะทำไม่ดีต่อหมู่บ้าน?”

ซ่งอวี่เซาไม่ได้ปิดบัง ตอบตามตรงด้วยรอยยิ้ม “ภูมิหลังของพวกเขายิ่งใหญ่มาก แล้วก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน รู้แค่ว่าไม่เกี่ยวกับเจ้าเฉินผิงอันก็พอ”

ผู้เฒ่ายกจอกเหล้าขึ้นจิบ “ไม่ใช่ว่าดูถูกเจ้ากับสหาย แต่เป็นเพราะเรื่องในบ้านบางเรื่องของหมู่บ้านวารีกระบี่ไม่สะดวกให้สหายในยุทธภพยื่นมือเข้าแทรก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในฐานะเจ้าบ้าน การไล่แขกกลับอย่างนี้ก็ไม่มีคุณธรรมอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก ส่วนเจ้าเฉินผิงอันก็ตามสบาย”

เฉินผิงอันทำตัวตามสบายจริงๆ เขาเพียงแค่ยกจอกเหล้าขึ้นมาจิบคำเล็กๆ เท่านั้น

ผู้เฒ่าเองก็ไม่ถือสา ใช้ตะเกียบคีบไส้ห่านสดใหม่อ่อนนุ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แกว่งใส่ในหม้อไฟครู่เดียวก็เอาไปจิ้มใส่จานน้ำจิ้มรสเผ็ด คนเบาๆ หนึ่งทีแล้วจับพลิกหมุนในน้ำจิ้มรสเด็ดหนึ่งตลบ ก่อนยกตะเกียบยัดใส่ปาก

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

ซ่งอวี่เซาจึงเอ่ยยิ้มๆ “พวกเราแค่กินอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องคุยเรื่องอื่นกันแล้ว ในโลกนี้มีแค่คนสวย ทิวทัศน์งดงาม และอาหารรสเลิศ สามอย่างนี้เท่านั้นที่ไม่ควรทำผิดด้วย”

เฉินผิงอันจึงก้มหน้าก้มตากิน มีบางครั้งที่ยกเหล้าขึ้นดื่ม

ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา

ต่อให้จะเป็นหม้อไฟที่อร่อยแค่ไหนก็ยังต้องมีคำสุดท้าย

กินดื่มเต็มอิ่ม เฉินผิงอันวางตะเกียบลง เหล้าหนึ่งกาก็ดื่มจนหมด และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งจินครึ่งหมดในรวดเดียว อย่าว่าแต่ใบหน้าเลย แม้แต่ใบหูและลำคอก็แดงก่ำไปหมด กล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ว่า “ดูเหมือนคู่พ่อลูกจากหมู่บ้านเหิงเตาจะไม่ได้มาหาเรื่องข้า”

ซ่งอวี่เซาเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ภูเขาเขียวน้ำใส อนาคตยังอีกยาวไกล บุญคุณความแค้นในยุทธภพก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ยังดีที่เจ้าไม่ใช่คนของแคว้นซูสุ่ย อีกไม่นานก็จะจากไปแล้ว วันหน้าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องกลับมาอีก ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเจอปัญหายุ่งยากรุมเร้า”

ซ่งอวี่เซานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ความขัดแย้งในศาลาริมน้ำครั้งนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะสั่งสมไฟโทสะไว้จนเต็มท้อง ข้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หากข้าซ่งอวี่เซาใช้สายตาของคนนอกที่เป็นเพียงคนในยุทธภพธรรมดาคนหนึ่งมามอง ตามหลักแล้ว ถ้ายังไม่รู้รากฐานของเจ้า หวังอี้หรานเป็นถึงผู้นำแห่งหมู่บ้านเหิงเตา เป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพมานาน สามารถปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มเช่นเจ้าอย่างมีมารยาท ไม่เพียงแต่ไม่อาศัยกำลังที่มากกว่ารังแกคนอื่น ยังยินดีขอโทษแทนบุตรสาว เหตุใดถึงดูเหมือนว่าเจ้าจะ…ไม่ค่อยเต็มใจอยากยอมแพ้?”

เฉินผิงอันเรอเอิ้กหนึ่งที ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลง แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้มีอคติต่อหวังอี้หราน แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีจุดที่ไม่ถูกต้อง”

ซ่งอวี่เซาถามอย่างแปลกใจ “หมายความว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งคำตามจิตใต้สำนึก อาศัยฤทธิ์เหล้าที่ทำให้มึนงงเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าเคยได้ยินอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยถึงเรื่องของลำดับขั้นตอน ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ ตัวอักษรที่อ่านออกมีไม่มาก ความเข้าใจจึงตื้นเขินมาก แต่เวลาที่ไม่มีอะไรทำก็ยินดีเอาความรู้พวกนี้มาขบคิด รู้สึกว่าผิดถูกมีก่อนหลัง แน่นอนว่ายังมีแบ่งเล็กใหญ่ ไม่สามารถเอาความถูกต้องในภายหลังมากลบทับความผิดในเบื้องหน้า ต่อให้ความถูกต้องในภายหลังจะมีสูงมาก ความผิดในช่วงก่อนหน้ามีน้อยนิด แต่ก็ยังต้องเอาความผิดในตอนแรกมาพูดคุยกันให้กระจ่างเสียก่อน เมื่ออธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจนครบถ้วนแล้ว ความถูกต้องในภายหลังถึงจะสามารถหยัดยืนได้อย่างมั่นคง นี่ก็เหมือนกับการที่…คนคนหนึ่งไม่สามารถเดินด้วยการกระโดดได้”

“แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ที่ข้าใคร่ครวญออกมาได้ อาจจะไม่มีเหตุผลเลย เพราะการเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ข้าได้อ่านตำรามากมาย ในตำราล้วนไม่มีเรื่องพวกนี้กล่าวไว้ ดังนั้นข้าก็เลยไม่กล้าแน่ใจว่าตัวเองคิดผิดหรือคิดถูก แต่หากอิงตามหลักการของข้า ยกตัวอย่างเช่นเรื่องในศาลาริมน้ำ อันที่จริงเจ้าหวังอี้หรานไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าเลย แค่ให้ลูกสาวของเจ้าเดินออกมาพูดกับข้าว่าขอโทษ แค่คำเดียวก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นพอถึงท้ายที่สุดเจ้าหวังอี้หราน ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพผู้มีชื่อเสียงต้องคอยมาขอโทษแทนคนอื่น แล้วข้าจำเป็นต้องรับไว้ด้วยหรือไง? ต่อให้ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ข้ายินดียอมรับคำขอโทษ ก็จะถือว่าลูกสาวของเจ้าไม่มีความผิดแล้วอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าไม่ควรเป็นอย่างนี้ ต่อให้เจ้าหวังอี้หรานจะทำถูกแค่ไหน คำพูดและการกระทำของลูกสาวเจ้าผิด ก็คือผิด วันนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้เป็นอย่างนี้ วันหน้าอีกสิบปีเปลี่ยนคู่กรณีเป็นคนอื่น หญิงสาวพกดาบที่ชื่อว่าหวังซานหูคนนั้นก็อาจจะยังทำผิดอยู่ดี”

เฉินผิงอันมือหนึ่งถือน้ำเต้าบรรจุกระบี่ อีกมือหนึ่งเกาหัว “ผู้อาวุโสซ่ง เรื่องพวกนี้ข้าพูดไปส่งเดชอย่างนั้นเอง ขายหน้าท่านแล้ว”

ซ่งอวี่เซาอึ้งตะลึงไปก่อน จากนั้นก็เลื่อนลอย สุดท้ายเผยสีหน้ากระจ่างแจ้ง รู้สึกเพียงว่ายุทธภพที่ตนเคยรู้จักพลิกคว่ำคะมำหงายไปอย่างสิ้นเชิง

สุดท้ายซ่งอวี่เซาย้อนนึกถึงเรื่องราวตลอดชีวิตที่ผ่านมา โดยเฉพาะความทรงจำเกี่ยวกับบุตรชายซ่งเกาเฟิงที่เขาไม่อยากหวนนึกถึง เดิมทีผู้เฒ่าไม่อยากจะคิดถึงมันอีกต่อแล้ว ยิ่งไม่อยากสืบสาวราวเรื่องถึงบุญคุณความแค้นทั้งหลาย แต่จนกระทั่งวันนี้ จนกระทั่งบัดนี้ ผู้เฒ่าถึงได้ค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วปมในใจของตนอยู่ตรงไหน แล้วเหตุใดทั้งๆ ที่ตนละอายใจเจ็บแค้นถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่เคยคลายปมในใจนี้ได้เลย

ผู้เฒ่าตาแดงก่ำ มือสั่นๆ ยกตะเกียบขึ้นคีบอาหารชิ้นหนึ่งที่อยู่ในก้นหม้อไฟ ยัดใส่ปากเคี้ยวช้าๆ บนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้ม

กฎเกณฑ์เก่าแก่ที่คนรุ่นเก่าในยุทธภพตั้งเป็นมาตรฐาน ถูกมองเป็นกฎเหล็กไม่อาจเปลี่ยนแปลง ที่แท้ ที่แท้ก็มีส่วนที่ผิดอยู่เหมือนกัน!

ปีนั้นซ่งเกาเฟิงบุตรชายของตนผิดตรงไหน? ต่อให้มีความผิด ก็เป็นคนสันดานหยาบช้าในยุทธภพที่ผิดก่อน!

เป็นอดีตผู้นำยุทธภพที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพแห่งสมรภูมิรบคนนั้นที่ผิดก่อน ความแค้นครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่แขนข้างเดียวจะหายกันได้!

เป็นลูกสาวของเจ้าที่ติดค้างลูกชายของข้าซ่งอวี่เซา ติดค้างคำว่าขอโทษกับลูกสะใภ้ของข้า!

ซ่งอวี่เซาที่ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มต่อหน้าเด็กหนุ่มโดยไม่อายค่อยๆ วางตะเกียบลง ลุกขึ้นยืน หัวเราะเสียงดังอย่างปล่อยวางกับเฉินผิงอัน “อาหารมื้อนี้ ข้าซ่งอวี่เซาขอเป็นตัวแทนลูกชายและลูกสะใภ้ เป็นตัวแทนของหมู่บ้านวารีกระบี่เลี้ยงเจ้าเอง!”

เสียงฮือฮาดังขึ้นบนชั้นสองของภัตตาคาร

เพราะคำว่าซ่งอวี่เซาและคำว่าหมู่บ้านวารีกระบี่!

เพราะนี่หมายถึงชื่อเสียงและความสง่างามครึ่งหนึ่งของยุทธภพแคว้นซูสุ่ย

สุดท้ายผู้เฒ่ากุมหมัดเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับหลานชาย คงต้องขอตัวกลับหมู่บ้านก่อน หลังจากนี้อาจไม่ได้บอกลาเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็ขอเอ่ยประโยคเก่าแก่ในยุทธภพ ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยน น้ำใสไหลยาว หวังว่าวันหน้าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันใหม่!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยความมึนงง เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าพุ่งตัวออกจากหน้าต่าง ทะยานตัวไปตามหลังคา

ซ่งอวี่เซาพกกระบี่เหล็กที่มีสนิมเขรอะเล่มนั้นมานานหลายปีแล้ว ผู้เฒ่าเหินทะยานไปจนถึงหน้าประตูของหมู่บ้านภายใต้การจับจ้องมองมาของคนมากมาย จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป ไม่สนใจคำทักทายอย่างมีมารยาทจากใครอื่น มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่มีคนอยู่อาศัยมานานหลายปี แล้วจึงเจอกับคนหนุ่มที่กำลังยืนหลับตาทำสมาธิอยู่ห่างไปไกล ซึ่งก็คือซ่งเฟิ่งซานหลานชายของเขา

ซ่งเฟิ่งซานลืมตาขึ้น ไม่เอ่ยคำใดเหมือนปีนั้นที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียงของบิดามารดาที่ป่วยไข้ตอนเขายังเป็นเด็ก

ซ่งอวี่เซาปลดกระบี่เหล็กตรงเอวลง กำไว้ในมือข้างเดียว ยื่นส่งมันให้กับซ่งเฟิ่งซานที่สีหน้าเฉยเมย ฝ่ายหลังถามว่า “ทำไม?”

ซ่งอวี่เซากล่าวเสียงหนัก “นี่คือกระบี่ของซ่งเกาเฟิงบิดาของเจ้า บุตรสืบทอดกิจการของบิดา ก็ควรมอบมันให้กับมือของเจ้าซ่งเฟิ่งซาน”

ซ่งเฟิ่งซานไม่ได้ยื่นมือมารับ เขากล่าวเย้ยหยันว่า “อ้อ มีเรื่องประหลาดอีกแล้วหรือนี่ ก่อนหน้านี้ท่านปู่กลับมาถึงก่อนกำหนด ร่วมแสดงความยินดีกับข้าเรื่องงานพิธีแต่งตั้งผู้นำยุทธภพ ตอนนี้ยังจะมามอบกระบี่ผุๆ เล่มหนึ่งให้ข้าอีก ทำไม จู่ๆ ท่านปู่ก็อยากปลดภาระที่มีต่อแคว้นซูสุ่ยและหมู่บ้านวารีกระบี่ คิดจะหาความสงบสุขในบั้นปลายแล้วอย่างนั้นหรือ?”

คนหนุ่มยืนสองมือไพล่หลัง สายตาเฉียบคม ทว่าใบหน้ากลับคลี่ยิ้มบางๆ “แต่ต้องขอโทษด้วย หลานอกตัญญูต้องบอกข่าวร้ายข่าวหนึ่งแก่ท่านปู่ ฮ่องเต้เขียนราชโองการลับหลายฉบับ กองทัพใหญ่นับหมื่นคนของราชสำนักได้มารวมตัวกันอยู่นอกเมืองเรียบร้อยแล้ว วันพรุ่งนี้คงจะยกทัพเข้ามาล้อมปราบผู้นำยุทธภพคนใหม่ที่เป็นคนเนรคุณอย่างข้า ท่านปู่ หลานไม่หวังให้ท่านออกหน้าช่วยเหลือ จริงๆ นะ นี่คือคำพูดจากใจจริงของหลาน ขอแค่ท่านปู่ยืนดูอยู่เฉยๆ หวังแค่ท่านอย่าได้แทงข้าเพิ่มอีกหนึ่งแผลก็พอ”

ซ่งอวี่เซาจ้องนิ่งไปบนใบหน้าของหลานชายแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น ก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ตบไหล่เขาหนักๆ หนึ่งที ไม่ปกปิดรอยยิ้มและความปลาบปลื้มของตัวเองแม้แต่น้อย ผู้เฒ่ากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรชายของซ่งเกาเฟิงและหลิ่วเชี่ยน! ปู่รู้ว่าคนที่นำทัพในครั้งนี้ก็คือแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว สามีของสตรีผู้นั้น”

ใบหน้าของซ่งเฟิ่งซานเต็มไปด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วเป็นปม

ซ่งอวี่เซาเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อสตรีจิตใจอำมหิตผู้นั้นได้คืบจะเอาศอก นี่ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่ควรฉวยไว้ ข้าซ่งอวี่เซาเองก็จะมีเหตุผลในการขอคำอธิบายจากยุทธภพและราชสำนัก!”

กรอบตาผู้เฒ่าเปียกชื้น ยังคงกำมือไว้ข้างเดียว ยกมือข้างที่เหลืออยู่มาลูบหัวคิ้วที่ขมวดแน่นของหลานชายเบาๆ พลางพึมพำว่า “ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ปู่ก็ควรจะทำอะไรเพื่อเจ้าบ้าง”

คนหนุ่มถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลง ยกมือข้างหนึ่งมาบังหน้าตัวเอง

ผู้เฒ่าเอ่ยเบาๆ “เฟิ่งซาน นับจากวันนี้ไป ปู่จะไม่พร่ำพูดถึงกฎเกณฑ์เก่าๆ พวกนั้นกับเจ้าอีกแล้ว แต่สุดท้ายหวังว่าเจ้าจะฟังปู่สักครั้ง ยุทธภพเก่าก็มีส่วนที่ไม่ถูกต้อง แต่ส่วนที่ถูกต้อง เรื่องที่ดีงามก็ยังมีเหลืออยู่ หวังว่าวันหน้าเจ้าที่อยู่ในยุทธภพจะไม่ปฏิเสธไปซะทุกอย่าง”

ผู้เฒ่าวางกระบี่เหล็กโบราณที่ให้ตายหลานชายก็ไม่ยอมรับไปวางลงบนโต๊ะหินกลางลานบ้าน จากนั้นก็เดินไปทางประตูเพียงลำพัง ระหว่างนี้ผู้เฒ่ายังหันไปมองที่ห้องหลักของเรือนเล็ก เพียงแต่ว่าคำพูดมารออยู่ตรงปากแล้ว ผู้เฒ่ากลับพูดไม่ออก

ซ่งเฟิ่งซานเอ่ยถามเสียงแหบ “ท่านปู่ ท่านจะไปไหน?”

ผู้เฒ่าที่ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้าเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “หลายปีที่ผ่านมา กระบี่ของปู่ถูกเก็บอยู่ในบ่อน้ำใต้น้ำตกมาโดยตลอด ปู่จะไปเอากระบี่!”

จนกระทั่งผู้เฒ่าจากไปไกลแล้ว ซ่งเฟิ่งซานก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ประตูห้องถูกเปิดออกช้าๆ สตรีแต่งงานแล้วที่ยังอายุน้อยเดินออกมา เอ่ยถามว่า “ไม่ห้ามท่านปู่หรือ?”

ซ่งเฟิ่งซานเช็ดน้ำตา ยื่นมือมากดลงบนกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะเบาๆ พูดพร้อมยิ้มบางๆ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “ในเมื่อพวกเราวางแผนกันมานานแล้ว ทุกอย่างก็ล้วนอยู่ในการควบคุม เจ้าไม่อยากเห็นคนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ขวางอยู่หน้าขบวนรบจนกองทัพนับหมื่นไม่อาจเคลื่อนหน้าหรอกหรือ? แต่ข้าที่เป็นหลานอยากจะเห็น แล้วก็แอบคิดอย่างนี้มานานหลายปีแล้วด้วย”

สตรียังสาวพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ท่านบรรพบุรุษคิดตกได้อย่างไร?”

จากนั้นนางก็กล่าวอย่างเป็นกังวล “ทุกการกระทำของหมู่บ้านเราในอนาคต ท่านบรรพบุรุษอาจจะไม่ชอบก็ได้”

ซ่งเฟิ่งซานแค่นเสียงเย็น “อย่างมากก็ให้ท่านปู่แทงข้าอีกสักสองสามที ถึงเวลานั้นหากไม่ได้จริงๆ ก็เอากระบี่ของท่านพ่อข้าเล่มนี้ออกมา ดูสิว่าท่านปู่จะตัดใจลงมืออย่างอำมหิตได้อีกหรือไม่!”

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยสัพยอก “โอ้โห ไม่ได้เรียกท่านปู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว วันนี้ดูท่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เรียกซะคล่องปากเชียวนะ”

ซ่งเฟิ่งซานหันหน้ามาถลึงตาใส่นางหนึ่งที

สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะเสียงหวาน

อันที่จริงนางเป็นหน่วยกล้าตายคนหนึ่งของต้าหลี สักวันหนึ่งเมื่อกีบม้าของต้าหลีย่ำลงบนพื้นที่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป นางก็สามารถชูป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางราชสำนักต้าหลีออกให้อย่างเปิดเผย

ข้อนี้ซ่งเฟิ่งซานเองก็รู้ดี

วันต่อมา งานคัดเลือกผู้นำยุทธภพคนใหม่ของแคว้นซูสุ่ยในหมู่บ้านวารีกระบี่ยังคงดำเนินไปตามกำหนด

จากถนนของเมืองแห่งหนึ่งในแคว้นซูสุ่ยมาจนถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ กองทัพม้าควบตะบึง ฝุ่นคลุ้งตลบอบอวล มืดฟ้ามัวดิน

ท่ามกลางขบวนรบยิ่งใหญ่ มีแม่ทัพใหญ่สวมเสื้อเกราะหนักใหม่เอี่ยมคนหนึ่ง ขี่ม้าสูงใหญ่ มุมปากของบุรุษแต้มยิ้ม ทอดสายตามองไกลๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเปี่ยมไปด้วยความลำพองห้าวเหิม หากครั้งนี้เหยียบหมู่บ้านวารีกระบี่ระยำนั่นให้ราบคาบได้ ตนก็จะกลายเป็นผู้มีคุณความชอบอันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย

แต่แล้วจู่ๆ แม่ทัพใหญ่ท่านนี้ก็หรี่ตาลง

เบื้องหน้ากองทัพใหญ่

หลังจากไปนำกระบี่ประจำกายมาจากน้ำตกแล้ว ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าอริยะกระบี่ของแคว้นซูสุ่ยก็มายืนขวางอยู่หน้าขบวนรบเกรียงไกร

เพียงแต่ด้านหลังผู้เฒ่ามีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าเดินตามมาไกลๆ ด้วย

ก่อนจะออกหมัดใส่กองทัพที่มีทั้งคนทั้งม้านับหมื่น เด็กหนุ่มปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง แหงนหน้ากรอกเหล้าอึกใหญ่เข้าปาก ดื่มอักๆ อย่างสาแก่ใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version