บทที่ 245 เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่ที่นี่
กระบี่ที่พกอยู่ตรงเอวของซ่งอวี่เซา เขาไปเอามาจากน้ำตกเมื่อวาน คืออาวุธเทพที่ผู้ฝึกลมปราณทุกคนต้องหลบเลี่ยงประกายแหลมคม มีชื่อว่า ‘ตั้งตระหง่าน’
ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ซ่งอวี่เซาพบกระบี่เล่มนี้คือที่บ่อลึกเบื้องใต้น้ำตก อีกอย่างในหินยักษ์ที่เป็นดั่งเสาเอกของบ่อน้ำที่เฉินผิงอันใช้ฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูก็มีกลไกลับซ่อนอยู่ ปีนั้นเพราะโชควาสนาซ่งอวี่เซาจึงได้เจอกับกระบี่เล่มนี้โดยบังเอิญ ทั้งเวทกระบี่และชื่อกระบี่ต่างก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน กาลต่อมาถึงได้มีอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ย
หลังจากซ่งเกาเฟิงบุตรชายตายไป ซ่งอวี่เซาก็เปลี่ยนกระบี่เล่มใหม่ เอากระบี่ตั้งตระหง่านที่ฝักกระบี่ทำขึ้นจากไม้ไผ่เขียวเล่มนี้กลับไปซ่อนไว้ในหินยักษ์อีกครั้ง ซ่งอวี่เซาเคยพลิกเปิดตำรามากมาย สุดท้ายพบบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ว่ากันว่ากระบี่เล่มนี้ถูกเทพแห่งการต่อสู้คนหนึ่งของทวีปอื่นสร้างขึ้นมาเองกับมือ แต่มาทำหายที่แจกันสมบัติทวีป จากนั้นก็ไม่พบร่องรอยอีก มีบันทึกท่อนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ประกายแสงผ่าห้าขุนเขา ปราณกระบี่ฟันแม่น้ำใหญ่’
ซ่งอวี่เซาในเวลานี้พกกระบี่เล่มยาวที่ฝักกระบี่เริ่มกลายเป็นสีเหลือง ทอดสายตาไปทางขบวนทัพของราชสำนักที่พลันลดความเร็วลง ไม่ผิดต่อนามของกระบี่คู่ใจ ผู้เฒ่าชุดดำก็ยืนตระหง่าน สีหน้าไร้ความกริ่งกลัวเช่นกัน
‘ทัพใหญ่ปราบกบฏ’ ที่มีเกือบหมื่นคนของแคว้นซูสุ่ยทัพนี้ พลทหารม้าสามพันนายในนั้นคือญาติสายตรงของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว ทุกคนล้วนมีชาติกำเนิดมาจากสมรภูมิชายแดน คือทหารกล้าอันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย นอกจากนี้ยังมีทหารกล้าที่ระดมมาจากฐานทัพของท้องถิ่นอีกสี่ห้าพันนาย ส่วนอีกพันกว่าคนคือมือปราบที่ดึงตัวมาจากที่ว่าการของเมือง รวมไปถึงจอมยุทธ์ในยุทธภพที่ถูกซื้อตัวมาด้วยเงินจำนวนมาก แน่นอนว่ายังมียอดฝีมือในยุทธภพอีกบางส่วนที่แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวรวบรวมมาด้วยตัวเอง ซึ่งทุกคนแทบจะมาจาก ‘สินเจ้าสาว’ ที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งปีนั้นโอรสสวรรค์เป็นพ่อสื่อสู่ขอสตรีผู้นั้นให้เขาด้วยตัวเอง แม้ว่าพ่อตาของเขาจะตายไปเพราะถูกตามล้างแค้น แต่ก่อนหน้านั้นจะดีจะชั่วเขาก็เคยเป็นผู้นำในยุทธภพมานานถึงยี่สิบปี แถมยังมีราชสำนักเป็นที่พึ่ง แอบเลี้ยงกองกำลังอย่างลับๆ ไว้มากมาย หลังจากเขาตาย กองกำลังเหล่านั้นก็กลายมาเป็นข้ารับใช้ เป็นหน่วยกล้าตายของลูกเขยอย่างฉู่หาว
ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สตรีที่นอนเคียงหมอนฉู่หาวก็ยังอาฆาตแค้นหมู่บ้านวารีกระบี่อย่างลึกล้ำ กลายเป็นเงื่อนตายในใจที่ไม่อาจคลายออกได้
สำหรับเรื่องนี้ฉู่หาวเองก็รู้ดี แม้ปากจะเออออคล้อยตาม แต่เขาไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน หากฮ่องเต้ยังไม่เปิดปาก เขาก็ไม่มีทางใช้สถานะของจวนแม่ทัพใหญ่ออกหน้าไปท้าทายปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ที่มีวิชากระบี่เป็นเลิศของแคว้นซูสุ่ย ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงคอยพร่ำตำหนิอย่างไม่พอใจ ยังดีที่คราวนี้หมู่บ้านวารีกระบี่รนหาที่ตายเอง ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ฉู่หาวจึงได้โอกาสนำทัพตามคำบัญชา ทุกอย่างจึงสอดคล้องกันไปหมด
บอกตามตรง ภรรยามีปมในใจที่ยากจะคลายออก ฉู่หาวที่เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลซึ่งใช้ชีวิตอยู่ริมชายแดนมานานหลายปี เคยเห็นการวางแผนเพื่อความสามัคคีและความแตกแยกในวงการขุนนางมาก่อน เขาเองก็มีปมในใจเหมือนกัน เจ้าเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าซ่งเกาเฟิงแต่งงานนานแล้ว พวกเขาสองสามีภรรยารักใคร่กันดี แถมยังมีบิดาเป็นอริยะกระบี่ เจ้าอาศัยอะไรถึงจะทำให้เขาต้องหย่าภรรยามาแต่งงานกับเจ้า เพียงแค่เพราะเจ้าเป็นบุตรสาวของผู้นำยุทธภพ? จากนั้นพอเจ้าโมโห ก็เลยจ้างคนไปทำลายสวนดอกไม้? ทำลายชีวิตของผู้หญิงคนนั้น? หากเปลี่ยนมาเป็นเขาฉู่หาวก็คงยกทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเข่นฆ่าให้เลือดนองเป็นสายน้ำไปแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว ฉู่หาวก็ไม่ใช่ซ่งเกาเฟิงผู้น่าสงสารที่ต้องรับเคราะห์กรรมอย่างไร้สาเหตุผู้นั้น ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ได้แต่งงานกับสตรีที่งดงามดุจบุปผา ในมือยังมียอดฝีมือของยุทธภพให้เรียกใช้งานอีกหลายสิบคน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ทำการค้าที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแบบนี้ ฉู่หาวผู้กล้าแกร่งจึงไม่ได้ยึดติดกับปมในใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ อีกอย่างวันที่อดีตผู้นำยุทธภพล้างมือลาจากวงการ ซ่งเกาเฟิงที่รูปโฉมถูกทำลายใช้กำลังของเขาคนเดียวสังหารผู้เฒ่า ก็ทำให้สตรีผู้นั้นสงบสำรวมขึ้นกว่าเก่าเยอะมาก โดยรวมแล้วก็พอจะเรียกได้ว่าเป็นภรรยาที่ดี ช่วยเหลือสามีดูแลอบรมบุตร ผูกสัมพันธไมตรีกับผู้คนในเมืองหลวงและฮูหยินตราตั้งคนอื่นๆ เป็นวงกว้าง ช่วยเพิ่มเกียรติยศหน้าตาให้กับฉู่หาวไม่น้อย หนทางในอนาคตของเขาจึงราบรื่นกว้างไกลขึ้นมาก ฉู่หาวรู้สึกว่าข้อนี้ต้องขอบคุณเจ้าคนแซ่ซ่งผู้นั้นที่มอบบทเรียนให้นาง หาไม่แล้วคนที่ต้องลำบากย่อมเป็นตน
ครั้งนี้ก่อนจะออกจากเมืองหลวง ภรรยาของเขาแอบติดตามมาด้วย ตอนนี้นางแอบอาศัยอยู่ในเมืองอย่างลับๆ นางเสนอว่าหลังจากเหยียบย่ำหมู่บ้านวารีกระบี่ให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าไม่ต้องตายก็ได้ หากเขาหนีได้ก็ปล่อยไป แต่เจ้าเศษสวะซ่งเฟิ่งซานที่ว่ากันว่าหน้าตาเหมือนมารดาผู้นั้นต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ถึงเวลานั้นนางจะเอาโกศใส่อัฐิของซ่งเฟิ่งซานไปทุบทำลายที่หน้าหลุมศพสุนัขชายหญิงคู่นั้นให้เละ ให้พวกเขาได้เห็นว่าควันธูปของสกุลซ่งขาดหายไปกับตาตัวเอง
พิษงูเขียวใบไม้ หรือพิษตัวต่อเหลือง หากรักษาทันเวลายังหายได้ แต่พิษที่ร้ายที่สุดก็คือใจของสตรี
ไม่เสียแรงที่เป็นภรรยาเอกซึ่งเขาฉู่หาวแต่งเข้าบ้านมา ดีจริงๆ !
ฉู่หาวเก็บความคิดทั้งหมดลง มือหนึ่งดึงเชือกบังคับม้า อีกมือหนึ่งยกขึ้นบังแสงอาทิตย์ ควบม้าเหยาะย่างพลางมองไกลไปเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์
ถนนทางหลวงของที่แห่งนี้กว้างขวาง สองข้างทางก็เป็นพื้นที่ราบเรียบ ไม่เพียงแต่เหมาะให้พลเดินเท้าเดินขบวนผ่าน ต่อให้ควบม้าศึกพุ่งไปก็ไม่ลำบากมากนัก ตาแก่ซ่งที่ถืออำนาจวางโตในยุทธภพช่างเป็นคนบุ่มบ่ามไม่รู้จักกลัวตาย ไม่เข้าใจการทำสงครามเลยจริงๆ แล้วยังกล้าทำตัวเป็นวีรบุรุษ สมควรจะแหลกเป็นจุลไปพร้อมกับหมู่บ้านวารีกระบี่ของเขานั่นแหละ
ฉู่หาวมองผู้เฒ่าที่ต่อให้เป็นคนอยู่ไกลถึงเมืองหลวงก็ยังเคยได้ยินชื่อแล้วกระตุกมุมปาก ลดมือลง ใช้ฝ่ามือถูดาบตัดกระดาษสีทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ เอ่ยพร้อมยกยิ้ม “น่าเสียดายมาดที่ห้าวหาญนี้นัก ก็ดีเหมือนกัน วันหน้าเวลาคนรุ่นหลังพูดถึงเรื่องนี้ก็มีแต่จะพูดว่าข้าฉู่หาวสังหารอริยะกระบี่คนหนึ่งหน้ากองทัพ”
คำกล่าวที่ว่าต้านทานศัตรูนับหมื่นในสนามรบก็เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูเกินจริงของนักประพันธ์ห่วยๆ เท่านั้น บนอาณาเขตที่กว้างขวางของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นซูสุ่ยนี้ มีทหารกล้าที่ไม่อาจดูแคลน พละกำลังเปี่ยมล้น เชี่ยวชาญการวางกับดักหลุมพรางก็จริง หากมีม้าเทพ (เป็นคำเปรียบเปรยถึงม้าที่ดีมีพละกำลังแข็งแรง เดินทางได้พันลี้) ให้ขี่ก็ยิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก ทว่าหนึ่งคนต่อกรหมื่นศัตรู? ไม่เคยมีอยู่จริง
ฉู่หาวมีประสบการณ์การต่อสู้มาเป็นร้อยๆ ครั้ง ไม่ใช่ปัญญาชนที่ดีแต่นอนเสพสุขอยู่บนเตียง แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นใครที่เทพขนาดนั้นมาก่อน
ซ่งอวี่เซายืนอยู่ที่เดิม ในเมื่อเดินมาถึงที่นี่แล้ว ผู้เฒ่าก็ไม่คิดจะถอยกลับแม้เพียงก้าวเดียว เพียงแต่ว่าพอหันมองไปข้างหลังก็ให้รู้สึกจนใจไม่น้อย
เจ้าเฉินผิงอันจะมาร่วมวงสนุกอะไรด้วย?
คราวนี้เฉินผิงอันสะพายกล่องกระบี่ที่บรรจุกำจัดปีศาจปราบมารมาด้วย อีกทั้งยังรัดเชือกไว้อย่างแน่นหนา
เขาวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทางจนมาถึงข้างกายของซ่งอวี่เซา
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงมีโทสะเล็กน้อย “ตอนที่เจ้าทะเลาะกับคนของหมู่บ้านเหิงเตาที่ศาลาริมน้ำ ข้าเคยพูดว่า ‘เดินทางอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง’ เฉินผิงอัน เจ้ารู้ความหมายของประโยคนี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ซ่งอวี่เซาโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าเข้าใจกะผีน่ะสิ! หวังซานหูผู้นั้นชี้ปลายฝักดาบเข้าใส่เจ้า นี่ก็คือการท่องอยู่ในยุทธภพของนาง ข้ารับใช้ของหัวหน้าหมู่บ้านที่ง้างธนูยิงใส่คนลับหลัง นี่ก็ใช่ ทุกครั้งที่หลานชายของข้าซ่งเฟิ่งซานหาคนมาประลองกระบี่ก็ใช่เหมือนกัน และการที่ข้าซ่งอวี่เซามาขวางอยู่หน้ากองทัพใหญ่ในวันนี้ก็ยิ่งไม่แตกต่าง!”
ซ่งอวี่เซากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดรวบรัด สุดท้ายหลงเหลือเพียงเสียงถอนหายใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ควรมา”
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ไม่ว่าวันนี้ผู้อาวุโสซ่งจะทำอะไร เรื่องที่ข้าต้องรับผิดชอบมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือพาผู้อาวุโสซ่งออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่นี้เท่านั้น ข้าจะไม่ฆ่าใคร”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “จะพยายามไม่ฆ่าใคร”
ซ่งอวี่เซาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พยายามปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งเพื่อพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย “ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเท่ากับเป็นสองทัพที่คุมเชิงกันอยู่ เจ้าบอกว่าจะไม่ฆ่าคนก็ไม่ฆ่าคนได้หรือ? เจ้าคิดว่านี่เป็นเหมือนเด็กเล่นขายของหรือไง ในกองทัพใหญ่มีทหารม้าหลายพันนายที่สามารถควบตะบึงอย่างอิสระเสรี มีพลเดินเท้าสวมเกราะหนักที่จัดขบวนรบยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา และยังมีพลธนูอีกหลายพันที่เล็งธนูมาที่เจ้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พร้อมระดมยิงใส่เจ้าเหมือนฝนห่าใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมือดีอีกหลายสิบคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉู่หาว รวมไปถึงพวกนายกองที่ได้ครอบครองธนูเทพของสำนักการทหารอยู่ในมือ ธนูเทพนี้คืออาวุธหนักที่ทางราชสำนักสร้างขึ้นเพื่อใช้รับมือกับผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์ในยุทธภพโดยเฉพาะ ต่อให้เป็นข้าซ่งอวี่เซา หากโดนยิงเข้าที่จุดสำคัญก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน!”
เฉินผิงอันถามกลับ “ในเมื่ออีกฝ่ายร้ายกาจขนาดนี้ ผู้อาวุโสมาที่นี่ก็เพื่อพาตัวเองมาตายหรือ?”
ซ่งอวี่เซาพูดเสียงหนัก “ข้าจะใช้หลักคิดจะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน จะพยายามจับตัวฉู่หาวแม่ทัพใหญ่ให้ได้ในคราวเดียว กองทัพใหญ่จะได้เป็นดั่งมังกรหัวขาด จากนั้นก็ข่มขู่ฉู่หาวให้มอบตัวสตรีผู้นั้นมา หากข้าทำเรื่องนี้คนเดียวก็มีความมั่นใจห้าส่วน แต่หากเจ้าติดตามข้าบุกเข้าไปใจกลางวงล้อมศัตรู หากถูกล้อมขึ้นมา ก็มีแต่จะกลายเป็นภาระของข้า ดังนั้นฟังข้าสักคำ รีบกลับไปที่หมู่บ้าน พาเพื่อนสองคนของเจ้าออกห่างจากสถานที่อันตรายแห่งนี้”
ซ่งอวี่เซาเงยหน้าขึ้น ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่ยังมีท้องนภางดงามกับแสงแดดอบอุ่นแบบนี้ได้ นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ เขาหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มจากทิศเหนือ ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย “เฉินผิงอัน ความหวังดีของเจ้า ข้ารับไว้แล้ว แต่ข้าซ่งอวี่เซาจะเป็นหรือตาย หมู่บ้านวารีกระบี่จะอยู่หรือรอด เมื่อเจ้าถามใจตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องละอาย ท่องอยูในยุทธภพ แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ? พอมากแล้ว!”
เฉินผิงอันตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว กล่าวพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ แต่หากข้าวิ่งขึ้นมา ขาสองข้างของข้าต้องเร็วกว่าสี่ขาของม้าศึกอย่างแน่นอน อีกอย่างข้ายังมีสมบัติก้นกรุที่ช่วยคุ้มครองชีวิต ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วงข้า เชิญท่านจัดการกับฉู่หาวผู้นั้นได้ตามสบาย หากไม่มีความมั่นใจนี้ วันนี้ข้าก็คงไม่ปรากฏตัว”
ซ่งอวี่เซาร้อนใจอย่างยิ่ง ใจคิดอยากจะเขกมะเหงกใส่ศีรษะของเจ้าเด็กบื้อผู้นี้แรงๆ “เจ้าทึ่ม! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่ากาเหล้าผุๆ ของเจ้าคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเทพเซียน? อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่หล่อหลอมเรือนกาย ต่อให้มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จริง แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เฉินผิงอันขยับเท้ามายืนอยู่ด้านหลังซ่งอวี่เซาตรงตำแหน่งที่กองทัพของราชสำนักซูสุ่ยจะมองไม่เห็น แล้วตบลงไปบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ด้านใต้สลักคำว่า ‘เจียงหู’ หนักๆ หนึ่งที เอ่ยเสียงทุ้ม “ชูอี มีคนดูถูกเจ้าแน่ะ ออกมา”
ซ่งอวี่เซายืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
ทำอะไรน่ะ?
น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “สืออู่”
เสียงสวบดังหนึ่งครั้ง แสงกระบี่สีมรกตน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วนั้นเทียบเคียงได้กับสายฟ้าลมกรด กระบี่เล่มเล็กที่เป็นสีใสแวววาวพลันหยุดนิ่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง จากนั้นก็ส่ายไหวน้อยๆ ราวกับจะขอรางวัลจากเจ้านายอย่างเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าบรรพบุรุษน้อยสองตนในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนี้ กระบี่บินสืออู่อ่อนโยนว่าง่าย เฉินผิงอันเล็งเป้าหมายไปที่ไหน ปลายกระบี่ของสืออู่ก็จะชี้ไปที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นเหมือนสำลีน้อยผู้เอาใจใส่ ส่วนนายท่านใหญ่อย่างชูอีนั้นชอบวางมาดใหญ่โตยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีก เว้นเสียแต่ว่าเป็นสถานการณ์อันตรายที่ตัดสินเป็นตาย หรือตัวมันเองเกิดความสนใจ นอกเหนือจากนี้เฉินผิงอันก็แทบจะเรียกใช้งานมันไม่ได้ แต่เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะบีบบังคับ ไม่คาดหวังให้ชูอีทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการอย่างสืออู่ อย่างน้อยในช่วงเวลาสำคัญหลายครั้งที่ผ่านมา ชูอีก็ไม่เคยกลั่นแกล้งเล่นงานเขามาก่อน
ซ่งอวี่เซากล่าวอย่างตกตะลึง “นี่คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่จริงๆ รึ?!”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
แต่การตัดสินใจและคำพูดถัดมาของซ่งอวี่เซาก็ยังคงเต็มไปด้วยความคร่ำครึของยุทธภพเก่า เขาตบไหล่เฉินผิงอันพลางกล่าวว่า “เฉินผิงอัน จำเอาไว้ ผู้มีสถานะสูงส่งไม่มีทางพาตัวเข้าหาอันตรายง่ายๆ ! ไปเถอะ แค่เจ้ามาส่งข้าที่นี่ก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้ว ในเมื่อเส้นทางวิถีวรยุทธ์ของเจ้าราบรื่นมากแล้ว อีกทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าติดกาย ก็ยิ่งควรถนอมความปลอดภัยที่มีในเวลานี้เอาไว้ ไปๆๆ ไม่ต้องพูดจู้จี้จุกจิกแล้ว ไม่อย่างนั้นเชื่อหรือไม่ว่าก่อนจะประมือกับกองทัพใหญ่ ข้าจะตบให้เจ้าหน้าทิ่มเปื้อนดินไปซะก่อน?!”
ซ่งอวี่เซาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ข้าซ่งอวี่เซาพูดคำไหนคำนั้น!”
แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น
กลิ่นอายแห่งยุทธภพที่เปี่ยมล้นอยู่ทั่วกายของเด็กหนุ่มผู้เพิ่งออกมาผจญโลกกว้างกลับไม่เป็นรองซ่งอวี่เซาคนเก่าแก่ในยุทธภพเลยแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มจากทิศเหนือที่สวมรองเท้าแตะ สะพายกล่องกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ในน้ำเต้ามีกระบี่บิน เดินข้ามพันภูเขาหมื่นแม่น้ำมาแล้วคนนี้กล่าวกับผู้เฒ่าด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเฉินผิงอันที่มาจากตรอกหนีผิงอำเภอไหวหวางเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีก็กำลังท่องอยู่ในยุทภพเช่นกัน!”
ผู้เฒ่าหมุนตัวกลับ กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กน้อย เจ้าโง่หรือไง?”
เฉินผิงอันก้าวไปข้างหน้า ขยับมาเดินเคียงไหล่ผู้เฒ่า “ข้ายังต้องเลี้ยงหม้อไฟท่านคืนหนึ่งมื้อ”
ผู้เฒ่ายังคงไม่วางใจ แม้ว่าสายตาจะทอดมองไปข้างหน้า แต่ก็ยังจำต้องถามว่า “หากท่าไม่ดี เจ้าคิดหนีก็จะหนีได้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าไม่เพียงแต่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่บินป้องกันกาย เมื่อคืนวานข้ายังเขียนยันต์ย่อพื้นที่รวดเดียวยี่สิบแผ่น สามารถช่วยให้ข้าย่อพื้นที่ให้สั้นลง หากคิดจะหนีจริงๆ ความเร็วนั้นรับรองว่าดังสวบๆๆ แม้แต่ข้าเองก็ยังอดยกนิ้วโป้งให้ไม่ได้”
แม้ฟังดูแล้วจะเหมือนพูดตลก แต่ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองประเมินสีหน้าของเด็กหนุ่มอย่างละเอียดก็เห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่กำลังล้อเล่นเลยสักนิด
ผู้เฒ่าจึงวางใจลงได้ พลังอำนาจของเขาพลันทะลุสู่ชั้นเมฆ เอามือกดลงบนด้ามกระบี่ ‘ตั้งตระหง่าน’ “ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรอเจ้าเลี้ยงหม้อไฟ!”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ไปกินหม้อไฟที่ภัตตาคาร เอาเหล้าไปเองได้หรือไม่?”
มีทั้งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ กระบี่บินและยันต์ย่อพื้นที่อะไรนั่น ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมของคนขี้งก
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ทำไมจะเอาไปไม่ได้เล่า ต้องได้อยู่แล้ว!”
ซ่งอวี่เซากระโจนไปข้างหน้า ชักกระบี่ยาวออกจากฝัก ปราณกระบี่ล้อมวนไปทั่วฟ้าดิน กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงกังวาน “ขอให้ข้านำหน้าไปก่อน เจ้าตามหลังข้ามาก็พอ!”
ฝ่ายหนึ่งมีแค่สองคน แต่อีกฝ่ายคือกองทัพใหญ่หมื่นคน
แต่คนของฝ่ายหลังที่เมื่อเผชิญหน้ากับหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มคู่นี้ แต่ละคนกลับทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เมื่อกลองรบลั่นขึ้น นายทหารหนุ่มบางคนที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพประจำแต่ละพื้นที่ก็ถึงกับกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
เพราะปราณกระบี่ขยับเข้ามาใกล้
รับมือกับชาวยุทธ์ที่บุ่มบ่ามสองคน แค่เผาผลาญพละกำลังของอีกฝ่ายให้หมดลงก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่องการจัดขบวนค่ายกลอะไรทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไรก็คงต้องใช้ทหารม้าบุกเปิดทางไปก่อน จากนั้นค่อยแยกตัวเรียงเป็นเส้นกองหน้าอย่างเหมาะสม ซ้ายขวาขนาบรับมือ พยายามให้ฝนลูกธนูกลบทับเส้นทางการฝ่าขบวนรบของอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ให้ทหารเดินเท้าที่อยู่ด้านหลังตั้งขบวนรับ มือโล่พกดาบบังอยู่ด้านหน้า แทงทวนยาวออกไป สร้างผนังเหล็กที่ทับซ้อนกันหลายชั้น
นอกจากธนูของพลเดินเท้าที่กองทัพแคว้นซูสุ่ยเป็นผู้สร้างขึ้นแล้ว ยังมีธนูเทพอีกหลายสิบคันที่เอาออกมาจากคลังสมบัติเชื้อพระวงศ์ปะปนอยู่ด้วย ธนูเหล่านี้ ช่างของสำนักโม่เป็นผู้สร้างขึ้นอย่างตั้งใจ เป็นอาวุธสำคัญที่แม่ทัพของสำนักการทหารใช้มาโดยตลอด ปลายธนูสลักลายเมฆ ตัวธนูทำมาจากเหล็กกล้าชั้นดี หางลูกธนูคือขนนกสีทอง ลูกธนูลูกหนึ่งทนทานและหนักมาก เป็นเหตุให้พลธนูทั่วไปไม่สามารถบังคับได้ มีเพียงมัลละในกองทัพที่มีพรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ไม่ธรรมดาเท่านั้นถึงจะสามารถง้าวธนูได้สุดสาย พลานุภาพยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุด ความเร็ว ระยะการยิงและระดับความแม่นยำล้วนเหนือกว่าธนูแข็งแกร่งทั่วไป
สุดท้ายจึงเป็นผู้ติดตามในยุทธภพเกือบยี่สิบคนที่มารวมตัวกันอยู่รอบกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว ยอดฝีมือห้อมล้อมให้การอารักขา ซ่งอวี่เซาคิดจะใช้กำลังของคนคนเดียวฝ่าขบวนรบ สังหารมาจนถึงเบื้องหน้าฉู่หาวนั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
แต่ฉู่หาวรู้ดีว่าตัวเองกำชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว ญาติสายตรงพลทหารม้าใต้บังคับบัญชาสามพันนายที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ต่างก็ไม่กลัวตำแหน่งอริยะกระบี่ของคนผู้หนึ่ง ฉู่หาวอยู่ในสมรภูมิรบมานาน เข้าใจดีว่าการที่กล้าบุกเป็นทัพหน้าไม่ได้หมายความว่านายทหารคนอื่นๆ จะเก่งกล้าไม่กลัวตาย ดังนั้นเขาจึงส่งคนนำความไปบอกแม่ทัพที่ตั้งฐานบัญชาการณ์ประจำท้องที่แห่งต่างๆ ว่า ม้าศึกที่เหยียบย่ำยุทธภพในครั้งนี้ ทุกคนในกองทัพที่ตายไป ทางราชสำนักจะมอบเงินช่วยเหลือด้วยจำนวนที่ทำให้คนอ้าปากค้าง ซึ่งมากถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน คนในตระกูลของทหารที่ตายไปไม่ต้องเขาร่วมกองทัพเป็นเวลาสิบปี!
แต่ใครก็ตามที่กล้าหนีทัพจะถูกสังหารทันที อีกทั้งยังจะถูกลงโทษตามกฎของกองทัพ คนในตระกูลถูกเนรเทศไปไกลพันลี้!
มีทั้งรางวัลและการลงโทษ เมื่อเป็นเช่นนี้คนทั้งกองทัพก็มีแค่ทางเลือกเดียวคือรบจนตัวตายเท่านั้น
แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวบังคับม้ายืนตระหง่านรับลมภายใต้ธงทัพที่โบกสะบัดเปี่ยมบารมี สีหน้าเต็มไปด้วยความฮึกเหิมลำพองใจ
กองทัพใหญ่บุกประชิดพรมแดน ผู้เฒ่าที่บุ่มบ่ามคนนี้ก็ไม่ต่างจากตั๊กแตนที่ขวางหน้ารถ ฮ่องเต้เคยให้คำสัญญากับตนว่า ทรัพย์สินทั้งหมดในหมู่บ้านวารีกระบี่ เขาฉู่หาวสามารถเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองได้ครึ่งหนึ่ง เป็นการให้รางวัลพิเศษแก่ทัพใหญ่สกุลฉู่ที่เคลื่อนทัพในครั้งนี้ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งต้องมอบให้แก่ท้องพระคลังของแคว้น แต่ความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับกองทัพท้องถิ่น เขาฉู่หาวต้องเป็นผู้แก้ไขเพียงลำพัง ห้ามไปรบกวนกรมโยธาธิการและกรมการคลัง
ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ขอแค่ริบทรัพย์มาจากหมู่บ้านวารีกระบี่จนเกลี้ยงแล้ว ฉู่หาวก็ยังได้กำไรก้อนใหญ่อยู่ดี
ซ่งอวี่เซาไม่ได้ทะยานขึ้นกลางอากาศสูงให้กลายเป็นเป้าสายตาในทันที เขาค้อมเอวลงต่ำ ในมือถือตั้งตระหง่าน ห้อตะบึงไปเบื้องหน้าตลอดทางด้วยพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
พุ่งปะทะกองทหารม้าสกุลฉู่ที่แยกตัวเรียงเป็นแถวกองหน้าอย่างเป็นระเบียบโดยตรง
ฝนลูกธนูห่าแรกสาดเทลงมา ท้องฟ้าเห็นเป็นเพียงจุดสีดำแน่นขนัด เมื่อลูกธนูยิงออกมาแล้ว สายง้าวที่ขึงจนตึงก็พลันคลายลงเกิดเป็นเสียงดังอื้ออึง
และนี่ยังเป็นแค่การยิงของพลธนูบนหลังม้าในรอบแรกเท่านั้น
ซ่งอวี่เซากระทืบเท้าลงบนพื้นหนักๆ หนึ่งที ร่างที่เดิมทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอยู่แล้วยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอย กระโจนออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็บิดข้อมือ พลิกตัวหมุน ปราณกระบี่กลิ้งตลบหลุนๆ ในรัศมีรอบด้านหลายสิบจั้ง ปราณกระบี่มหาศาลก่อตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อน จากนั้นก็ระเบิดกระจายไปสี่ทิศ
พื้นดินด้านหลังซ่งอวี่เซาถูกลูกธนูที่ตีวงโค้งลงมาจากท้องฟ้าปักเต็มในชั่วพริบตา ดินปริแตก เศษฝุ่นคลุ้งตลบ
ลูกธนูที่เหลือซึ่งเพิ่งจะพุ่งมาถึงก็ถูกปราณกระบี่ที่แผ่ไปสี่ทิศของซ่งอวี่เซาโจมตีเป็นผุยผง
แม้ว่าความเร็วของซ่งอวี่เซาจะเหนือเกินกว่าใครจะคาดการณ์ ปราณกระบี่ที่พลุ่งพล่านก็ยิ่งทำให้เหล่าทหารแห่งสมรภูมิรบได้เปิดโลกกว้าง ทว่าลูกธนูกลุ่มที่สองก็ยังสาดยิงตามมาติดๆ อย่างเป็นระเบียบประหนึ่งฝนที่ตกกระหน่ำ
ในมือของซ่งอวี่เซาถือตั้งตระหง่าน ร่างพลันหมุนคว้างหนึ่งตลบดุจลูกข่าง เห็นเพียงว่ารอบกายของอริยะกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยผู้นี้มีกระบี่ ‘ตั้งตระหง่าน’ อีกนับร้อยนับพันเล่มผุดเพิ่มขึ้นมาในชั่วพริบตา ปลายกระบี่แหลมคมพุ่งไปยังนอกวงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ปราณกระบี่แยกตัวเป็นกระบี่นับร้อยนับพันได้ในรวดเดียว
ในมือของซ่งอวี่เซาไม่ถือกระบี่อีกต่อไป แต่ประกบสองนิ้วเป็นท่ามุทรากระบี่ ชี้ไปที่ท้องฟ้าสูงพลางตวาดเบาๆ “ไป!”
จากนั้นก็กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง กระบี่ยาวที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณกระบี่ซึ่งตั้งแถวเป็นค่ายกลกระบี่ครึ่งวงเบื้องหน้าเขาสาดโปรยไปยังทหารม้าถือหอกที่ควบตะบึงดาหน้ากันเข้ามา ครู่ขณะเดียวก็ตัดขาม้าไปหลายสิบตัว ทั้งยังแทงทะลุลำคอของทหารที่นั่งอยู่บนหลังม้าถึงยี่สิบนาย บนเส้นทางที่ทหารม้ากองหน้าพุ่งทะยานมาพลันเกิดภาพคนผงะกลิ้งม้าพลิกหงาย
กระบี่ตั้งตระหง่านเล่มหนึ่งบินโผนสู่ฟากฟ้า ภายใต้การชักนำจากคาถากระบี่ของซ่งอวี่เซา ปราณกระบี่จากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันเป็นเหมือนร่มคันใหญ่บังเม็ดฝน เมื่อลูกธนูทั้งหลายตกกระทบลงบนร่มคันนี้ก็แตกย่อยยับไม่ต่างจากเอาไข่ไปกระทบหิน
ทหารม้าที่เรียงเป็นปีกสองข้างควบตะลุยมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วพากันยิงธนูเข้าใส่ซ่งอวี่เซาจากทางด้านข้าง ปราณกระบี่ครึ่งวงที่เหลืออยู่ด้านหลังผู้เฒ่าเข้ามาชดเชยค่ายกลกระบี่ครึ่งวงก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะสาดยิงออกไปอีกครั้ง ในกลุ่มทหารม้าที่อยู่สองปีกข้างจึงมีม้าศึกตายคาที่ไปอีกหลายสิบตัว พลทหารพลัดตกลงมาจากหลังม้า เพียงแต่ว่าความสามารถในการฝึกทหารของฉู่หาวก็ได้ปรากฎให้เห็นในนาทีนี้ ในบรรดาทหารม้าเหล่านั้น นอกจากคนจำนวนน้อยนิดที่หมดสติไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนพลิ้วกายลงบนพื้น บ้างก็กลิ้งตัวแล้วลุกขึ้นยืน ดึงดาบที่อยู่ตรงเอวออกมา กระโจนเข้าสังหารซ่งอวี่เซาโดยตรง
ตำแหน่งอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพเพียงคนเดียวไม่สามารถทำให้ทหารกล้าห้าวหาญที่เคยแช่อยู่ในเลือด นอนอยู่ในกองกระดูกเหล่านี้หวาดกลัวได้
พื้นที่ตอนกลางรวมไปถึงแถบตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป สิบกว่าแคว้นรอบด้านซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อี แคว้นไฉ่อีถือเป็นแคว้นที่มีทหารและม้ามากที่สุด มองภายนอกคือแคว้นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะจำนวนทหารม้าที่มีมากเหนือกว่าทุกแคว้น เพียงแต่ว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงนั้น ไม่ว่าจะเป็นแคว้นกู่อวี๋ที่มีพลเดินเท้าเกราะหนักจำนวนมาก หรือแคว้นซงซีที่เชี่ยวชาญการยิงธนูบนหลังม้า คุ้นชินกับการใช้ม้าสู้รบ หรือแม้แต่แคว้นซูสุ่ยที่มีขนบธรรมเนียมดุดัน ทั้งพลทหารเดินเท้าและพลทหารม้าต่างก็เป็นยอดฝีมือ ก็ล้วนมีคุณสมบัติที่จะหัวเราะเยาะว่ากองทัพชายแดนแคว้นไฉ่อีเป็นเพียงหมอนปักลายดอกไม้ กว่าจะมีแม่ทัพฝีมือร้ายกาจอย่างแม่ทัพแซ่หม่าโผล่ขึ้นมาสักคนก็ดันถูกพวกตำแหน่งสูงที่ชายแดนขับไสไล่ส่งให้ไปพักรักษาตัวอยู่ในเมืองแยนจือ เนื้อติดมันชิ้นโตขนาดนี้ มากพอจะทำให้สามแคว้นที่มีชายแดนติดกับแคว้นไฉ่อีร่วมมือกันจนกินอิ่มหนำไปหนึ่งมื้อ
คราวนี้ฉู่หาวยกทัพนำทหารมาสยบยุทธภพด้วยตัวเอง นอกจากจะเพราะความแค้นส่วนตัวของภรรยาแล้ว อันที่จริงยังเป็นเพราะเขาต้องการจะช่วงชิงสถานะผู้บัญชาการณ์ใหญ่ที่ยกทัพไปขยี้แคว้นไฉ่อีด้วย ด้วยหวังให้ตัวเองมีชื่อเสียงที่ดีในราชสำนักมากขึ้น หาไม่แล้วต่อให้ตัวเลือกในพระทัยของฮ่องเต้จะเอนเอียงมาทางฉู่หาว แต่ก็คงหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากผู้เฒ่าผู้มีคุณูปการต่อแคว้น หรือไม่ก็จากเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ไม่ได้
หัวของอริยะกระบี่ที่พาตัวมาส่งด้วยตัวเองนี้ มีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าหมู่บ้านวารีกระบี่เลย
ฉู่หาวที่ถูกกองทัพใหญ่ปกป้องไว้อย่างแน่นหนาหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “สวรรค์ช่วยข้าแท้ๆ ซ่งอวี่เซา ฆ่า ฆ่าให้เต็มที่ รอจนเจ้ากลายเป็นม้าตีนปลาย ดูสิว่าเจ้าจะยังเหลืออำนาจบารมีอะไรอีกไหม อีกไม่นานข้าฉู่หาวก็จะได้กุมกองทัพชายแดนหลายแสนคนไว้ในมือ บัญชาทัพขึ้นเหนือ รอจนข้าได้คุณความชอบอันดับหนึ่งมาจากการโค่นล้มแคว้นไฉ่อีเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าคำวิจารณ์อันสูงส่งที่มีต่อแม่ทัพฝ่ายบู๊ทุกๆ สิบปีจากสำนักศึกษากวานหูก็อาจมีที่ว่างให้สำหรับข้าฉู่หาว! ซ่งจ่างจิ้งของต้าหลีที่อยู่ทางเหนือก็แค่อาศัยว่าตัวเองเป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น หากว่ากันด้วยความสามารถที่แท้จริงในการยกทัพจับศึกแล้วล่ะก็ แค่คนเถื่อนชาวเหนือที่ไม่มีอารยธรรมคนหนึ่ง จะนับเป็นตัวอะไรได้!”
ฉู่หาวกำดาบตัดกระดาษพระราชทานเล่มนั้นไว้แน่น รอยยิ้มยิ่งกดลึก พูดประโยคเดิมซ้ำอีกรอบอย่างอดไม่ได้ “สวรรค์ช่วยข้าโดยแท้!”
บนถนน หลังจากสกัดกั้นห่าธนูสองชุดไปได้สำเร็จ ซ่งอวี่เซาที่รับมือกับทหารม้าทั้งกองทัพเพียงลำพังก็ทิ้งระยะห่างจากทหารม้ากองหน้าอีกไม่ถึงห้าสิบก้าว ด้วยความเร็วในการเคลื่อนหน้าของเขา ทหารม้าล้มเลิกความคิดที่จะยิงธนูใส่เขาแล้ว เปลี่ยนมาใช้ท่าบุกโจมตีทะลวงขบวนรบที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดพุ่งเข้าใส่ผู้เฒ่าชุดดำอย่างป่าเถื่อนแทน
จิตของซ่งอวี่เซากระตุกเล็กน้อย ระหว่างที่วิ่งไปข้างหน้าก็ขยับเบี่ยงไปด้านข้างหลายก้าว หลบธนูลูกหนึ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วได้อย่างหวุดหวิด ธนูลูกนี้มีพลังอำนาจเหนือกว่าลูกธนูจำนวนมากที่ถูกระดมยิงก่อนหน้านี้ไปไกล หลังจากนั้นผู้เฒ่าก็สลับตำแหน่งสามครั้ง ล้วนสามารถหลบเลี่ยงธนูพิเศษมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ สองนิ้วที่ประกบเป็นท่ามุทรากระบี่ตวัดหนึ่งที บังคับให้กระบี่ยาวที่อยู่กลางอากาศเล่มนั้นลดลงต่ำและพุ่งไปข้างหน้า พลางหัวเราะเสียงดัง “ฟันม้าแหวกขบวน!”
พลทหารถือดาบที่พลัดตกลงม้าจากหลังม้าเตรียมใจพร้อมสู้ตายแล้ว แต่ดาบของทุกคนกลับฟันลงไปในความว่างเปล่า รู้สึกเพียงว่ามีควันดำกลุ่มหนึ่งที่ล่องลอยจับต้องไม่ได้พุ่งผ่านไหล่ของตัวเองไป แล้วข้างหน้าก็ไม่มีร่างของผู้เฒ่าชุดดำเหลืออยู่อีก
ตั้งตระหง่านเป็นดั่งกระบี่บินที่พุ่งไปข้างหน้า ดุจดั่งมังกรที่แหวกว่ายอยู่ในธารา ม้าศึกจำนวนมากถูกตัดขาในเสี้ยววินาที กระบี่ยาวสนแต่จะเปิดทางให้เจ้านายที่อยู่ด้านหลังได้บุกขึ้นหน้ามาอย่างสะดวกเท่านั้น บ้างก็แทงทะลุหลังม้าศึก บ้างก็กรีดร่องเลือดลึกใหญ่ตรงสีข้างของม้า บ้างก็กรีดท้องม้าพาให้ตับไต้ไส้พุงของมันทะลักออกมา ทุกที่ที่ผ่าน ม้าศึกล้มคว่ำ หทารร่วงระนาว จากนั้นก็ตามมาด้วยเงาร่างที่เป็นดั่งควันบางๆ เส้นหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างสง่างาม
พลทหารม้าทัพหน้าที่ฝีมือการต่อสู้เลิศล้ำถูกอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยแหวกทะลวงไปทั้งอย่างนี้
หลังจากเจาะขบวนทัพกลุ่มแรกมาได้สำเร็จ ด้านหน้าซ่งอวี่เซากลับเป็นโล่เหล็กที่เรียงแถวยาวดุจภูเขา ตรงช่องว่างมีแสงดาบวาววับ และยังมีทวนยาวตั้งเอียงๆ สูงเท่ากับหนึ่งคนครึ่งจำนวนมากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า เมื่ออยู่ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ปลายหอกที่ตั้งอย่างเป็นระเบียบนั้นก็ส่องประกายแวววาว ปลดปล่อยพลังอำนาจอันน่ากริ่งเกรงที่มีเฉพาะในสนามรบออกมา
หากกระโดดขึ้นสูง โฉบเข้าหาธงใหญ่อันเป็นที่บอกตำแหน่งของแม่ทัพหลักผ่านกลางอากาศ สิ่งที่กองทัพใหญ่สกุลฉู่จะใช้ต้อนรับแขกย่อมต้องเป็นพลธนูเดินเท้าที่อยู่ด้านหลังขบวนทวนซึ่งจะระดมยิงขึ้นฟ้าอย่างเต็มกำลัง
ก่อนหน้านี้เนื่องจากซ่งอวี่เซาทำลายขบวนรบเร็วเกินไป พลธนูเดินเท้าจึงไม่ทันได้ลงสนาม แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีพลังสยบอันน่าครั่นคร้าม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงธนูเทพสำนักโม่ซึ่งทางราชสำนักเก็บรักษาเป็นอย่างดีที่ปะปนอยู่ในธนูเหล่านี้ด้วย
ซ่งอวี่เซาฝืนเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่ ลมปราณในร่างไหลเวียนดุจน้ำป่าไหลกราก และเวลานี้เอง ด้านหลังขบวนรบของพลเดินเท้าที่สายตาซ่งอวี่เซามองไปไม่เห็น ยอดฝีมือในยุทธภพแคว้นซูสุ่ยที่พึ่งพิงราชสำนักหลายคนที่เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วก็พากันเหยียบศีรษะและไหล่ของทหารที่อยู่เบื้องหน้า จับมือกันพุ่งเข้ามาสังหาร พวกเขาคำนวณช่วงเวลาการเปลี่ยนลมปราณของซ่งอวี่เซาไว้ก่อนแล้ว แต่ละคนที่พกพาอาวุธไว้กับตัวจึงกระโดดสูงข้ามกำแพงทวนออกมา พุ่งเข้าแสกหน้าซ่งอวี่เซาอย่างพอดิบพอดี
ซ่งอวี่เซาดีดปลายเท้าเบาๆ ไม่เพียงแต่ไม่ถอยกลับรุกขึ้นหน้า มือข้างหนึ่งกำกระบี่ยาวตั้งตระหง่าน ปาดกระบี่ไปในแนวขวาง ปล่อยปราณกระบี่ผ่าไปกลางอากาศ
แม้จะคำนวณได้ว่าซ่งอวี่เซาต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่ขอบเขตวิถีวรยุทธ์มีความต่าง ปรมาจารย์แห่งยุทธภพในสายตาคนทั้งโลกผู้นี้เหมือนไม่รู้จักคำว่าช่องว่างการหมุนเวียนลมปราณของชาวบู๊ขอบเขตหกเลยแม้แต่น้อย!
ปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่ที่พกอาวุธแตกต่างกันสามคนถูกปราณกระบี่ครึ่งวงกลมนั้นผ่าครึ่งร่างตายคาที่
เกิดในยุทธภพ ตายในสนามรบ
ไม่รู้ว่าคนทั้งสามจะตายตาหลับหรือไม่
ซ่งอวี่เซาตวัดกระบี่ไปในแนวตรงดิ่งอีกครั้ง ทหารเดินเท้าห้าหกคนที่สวมเกราะหนักยืนเรียงเป็นขบวน รวมไปถึงคนอีกหลายคนด้านหลังพวกเขาถูกปราณกระบี่ที่แหวกตรงมากลางอากาศเส้นนี้ฟาดฟันจนทั้งตัวคนที่สวมเสื้อเกราะและอาวุธที่พกพาแหลกสลาย ทหารที่ยืนอยู่รอบๆ ซึ่งแม้จะสวมเกราะเหล็กก็แขนขาขาดเลือดไหลนอง ยังดีที่ทหารเดินเท้าเกราะหนักมีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งมั่นคงมาโดยตลอด หลังจากที่ขบวนรบถูกปราณกระบี่ฟันจนแหวกออกเป็นทางหนึ่งเส้น ทหารที่อยู่ด้านหลังก็กรูกันขึ้นมาปิด อุดรูรั่วนั่นอย่างทันท่วงที ทหารที่อยู่สองฝั่งซ้ายขวาก็ขยับเข้ามาใกล้ตรงกลางตามจิตใต้สำนึก
การเข่นฆ่าในสนามรบ คนที่ไม่กลัวตาย ไม่แน่เสมอไปว่าจะรอดชีวิต แต่พวกคนที่กลัวตาย ย่อมต้องตายอย่างแน่นอน
ซ่งอวี่เซาอาศัยช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตาที่ขบวนทัพแหวกออกเป็นเส้นแล้วประกบปิดเข้าด้วยกันนี้มองไปเห็นระดับความหนาของขบวนรบคร่าวๆ แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ เตะปลายเท้าเล็กน้อย มือถือตั้งตระหง่าน ยังคงกระโดดขึ้นสูง สาดปราณกระบี่ออกไปอย่างกำเริบเสิบสาน สะบั้นกำแพงทวนหลายแถวเบื้องหน้า ขณะเดียวกันก็พลันกำด้ามกระบี่ยาวไว้แน่น ปณิธานกระบี่เอ่อล้นท่วมร่าง ปราณกระบี่สยบสี่ทิศ ชั่วเวลานั้นซ่งอวี่เซาเหมือนถือพระจันทร์เต็มดวงไว้ในมือดวงหนึ่ง แสงของมันราวกับจะสามารถประชันกับแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะได้!
ซ่งอวี่เซาตวาดกร้าวหนึ่งครั้ง ร่างทะยานขึ้นสูงหนึ่งจั้งกว่า ปณิธานกระบี่และปราณกระบี่เพิ่มพรวดในเวลาเดียวกัน ดวงจันทร์เต็มดวงที่เดิมทีใหญ่เท่าถาดหยกก็เปลี่ยนมาใหญ่มหึมาเกินจะเปรียบ ปกคลุมร่างของซ่งอวี่เซาไว้ภายใน ปล่อยให้ลูกธนูที่เป็นดั่งห่าฝนสาดยิงเข้าใส่ ยังคงใช้กฎเกณฑ์เดิมคือพุ่งไปข้างหน้า กลิ้งเป็นเส้นตรงไปกลางอากาศ มุ่งหน้าเข้าหาธงทัพ ส่วนลูกธนูที่พอยิงมาโดนพระจันทร์เต็มดวงแล้ว ปลายลูกธนูก็ถูกทำลาย ตัวลูกธนูปริแตก
ขณะที่ผู้เฒ่าชุดดำทลายขบวนรบด่านที่สอง เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ห่างไปไกลก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เขาเองก็เริ่มวิ่งห้อไปด้านหน้า ว่องไวดุจกระต่ายที่หนีออกจากกรง คล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างถึงที่สุด
กองทัพม้าสายตรงของสกุลฉู่ไม่มีความจำเป็นต้องหันหัวม้ากลับ เพราะมีแต่จะไปรบกวนพลเดินเท้า ทำให้เสียรูปขบวนเปล่าๆ ดังนั้นผู้ที่รองรับไฟโทสะซึ่งอัดแน่นอยู่เต็มอกพวกเขาย่อมต้องเป็นเด็กหนุ่ม
เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า อริยะกระบี่คนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในแคว้นซูสุ่ยมานานถึงหกสิบปี สามารถทลายขบวนรบได้อย่างแกร่งกร้าวก็ยังพอทำเนา แต่นี่เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนในยุทธภพก็ยังรับมือยากไม่ต่างกัน เรือนกายของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ปราดเปรียวว่องไวเกินไป ก้าวเดียวก็ขยับไกลถึงสองสามจั้ง อีกทั้งยังสามารถพลิกกายเปลี่ยนท่าอยู่ในพื้นที่แคบๆ อย่างคล่องแคล่ว ไม่เพียงแต่หลบธนูจากสำนักโม่สี่ห้าดอกที่พุ่งเป้ามาอย่างแม่นยำได้ แม้แต่ลูกธนูที่พุ่งมาดั่งห่าฝน เขาก็ยังฝ่าออกไปได้เช่นกัน
ระหว่างนี้ขอแค่เป็นลูกธนูที่พุ่งมาบนเส้นทางของเขาซึ่งไม่สามารถหลบเลี่ยงได้พ้นจริงๆ เด็กหนุ่มก็จะใช้สองมือปัดลูกธนูที่พุ่งมาด้วยน้ำหนักมหาศาลออกไปโดยตรง เมื่อเด็กหนุ่มปะทะเข้ากับกองทัพม้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ม้าศึกกองหน้าที่อาศัยแรงของฝีเท้าม้าควบม้าตะบึงมา เดิมทีคิดว่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
แต่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่ามาจากฝ่ายไหนในยุทธภพผู้นั้นกลับเหมือนปลาหนีชิวที่ไหลลื่นจับตัวไม่ได้ เขาพาร่างของตัวเองลอดผ่านไประหว่างช่องว่างของม้าศึก มีบางครั้งที่ประมือกัน หากไม่ปล่อยหมัดต่อยใส่ด้านข้างของม้าศึก ต่อยจนทั้งคนทั้งม้าปลิวไปสองสามจั้ง ก็ใช้ไหล่กระแทกใส่เอียงๆ ม้าหงายผลึ่ง คนผงะกลิ้งหลายหลัง จุดจบอเนจอนาถไม่ต่างกัน
สุดท้ายเขาถึงกระโดดขึ้นเบาๆ เหยียบลงบนหลังม้าแล้วดีดตัวไปตามหัวหรือหลังของม้าศึกที่อยู่ด้านหลังไปตลอดทางเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ ทำให้พวกทหารม้ารู้สึกเพียงว่ามีลมเย็นๆ พัดผ่านใบหน้า ดาบก็ฟันออกไป ทวนก็แทงเสือกออกไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่ปลายเสื้อของเด็กหนุ่มผู้นั้น
ย่อมต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ขั้นสูงสุด หรืออาจถึงขั้นห้าอย่างแน่นอน!
ทหารม้าคนหนึ่งเล็งหอกยาวใส่ลำคอของเด็กหนุ่มที่ทะยานตัวอยู่กลางอากาศ แทงเสือกขึ้นมาพลางตวาดเสียงดังก้อง “ไปตายซะเถอะ!”
เฉินผิงอันเอียงคอหลบการจ้วงแทงของหอกยาวมาได้พอดี ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปกำด้ามหอกที่ทหารม้าในสนามรบทุกคนปรารถนาอยากครอบครองแม้แต่ในยามหลับฝันเอาไว้ ทหารม้าผู้นั้นกำด้ามหอกเอาไว้แน่น ทว่าต่อให้จะกำจนเลือดนองฝ่ามือ หอกยาวอันเป็นสมบัติที่รักซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษก็ยังถูกแย่งชิงไป เฉินผิงอันที่อยู่กลางอากาศเปลี่ยนมาใช้สองมือกำหอก แล้วปักมันลงไปบนพื้นแรงๆ หอกยาวที่มีระดับความยืดหยุ่นสูงพลันโค้งงอดุจสายธนูที่ถูกง้าว เสียงปังทึบหนักดังหนึ่งครั้ง ร่างของเฉินผิงอันก็ถูกดีดให้ลอยขึ้นไปกลางอากาศสูงอีกเจ็ดแปดจั้ง
ในมือยังคงถือปลายหอกอีกฝั่งหนึ่งไว้ ไม่ยอมปล่อยมันทิ้งไป
ภายใต้สายตาของกองทหารม้ากลุ่มใหญ่ที่หันหน้ากลับมามอง และภายใต้การจับจ้องของผู้คนมากมายรอบด้าน เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ผู้มีสีหน้าเด็ดเดี่ยวดูคล้ายเทพเซียนที่เหินทะยานอยู่กลางสายลม พอหล่นลงบนพื้นที่ว่างด้านหน้าทหารเดินเท้าซึ่งรออยู่ด้านหลังทหารม้า อาภรณ์ของเด็กหนุ่มปลิวสะบัด สองเท้าสัมผัสพื้นแล้วก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ควงแขนเหวี่ยงหอกยาวเล่มนั้นขึ้นไปกลางอากาศสูงเต็มแรง จากนั้นตบลงบนน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่เอวหนึ่งที กระโดดขึ้นสูง ร่างก็หายวับไป เหมือนกับเซียนที่ใช้วิชาอภินิหารย่อพื้นที่พันลี้ ต่อมาทุกคนก็เห็นว่าเด็กหนุ่มเหยียบลงบนด้ามหอก เท้าหนึ่งอยู่หน้า เท้าหนึ่งอยู่หลังได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ท่าทางเช่นนั้นคล้ายท่วงท่าของเซียนที่ขี่กระบี่ในตำนาน เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองของความอิสระเสรีที่ชาวยุทธ์ในสนามรบยากจะทำความเข้าใจได้
หากไม่เพราะคือศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม เกรงว่าคงมีคนส่งเสียงไชโยโห่ร้องอย่างอดใจไม่ไหวไปแล้ว
จากนั้นภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนเต้นผางสบถด่าเสียงดังก็เกิดขึ้น
เด็กหนุ่มคนนั้นเหยียบบนหอกยาวที่ทะยานไปข้างหน้าเหนือขบวนรบใหญ่ไม่พอ เขายังปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าจากเอว แหงนหน้ากระดกขึ้นดื่มหนึ่งอึกด้วย!
แม้ทุกคนจะกัดฟันกรอดๆ อย่างแค้นเคือง แต่ลึกๆ ในใจหรือจะไม่รู้สึก…ปรารถนาอยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้นบ้าง?!
สนามรบเหี้ยมโหดไร้ปราณี กลิ่นอายแห่งความห้าวหาญของยุทธภพแผ่อบอวล
เดิมทีทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ก็เหมือนการทำลายขบวนรบของอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะตอนที่ใช้ปราณกระบี่ฟันผ่าขบวนของทหารเดินเท้า นั่นเป็นภาพที่อำมหิตคลุ้งไปด้วยคาวเลือดขนาดไหน?
แต่ตลอดทางที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนี้พุ่งไปข้างหน้า เขากลับไม่ได้สังหารใครแม้แต่คนเดียว เพียงแค่แหวกขบวนรบไล่ตามผู้เฒ่าชุดดำไปติดๆ โดยไม่พูดไม่จา ฝ่าขบวนรบเหมือนกัน แต่กลับมีมาดสง่างามถึงเพียงนี้
เพราะหอกยาวพุ่งไปข้างหน้าเร็วเกินไป อีกอย่างการกระทำนี้ของเขาก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คน เป็นเหตุให้มือธนูพลเดินเท้ามึนงง แต่เมื่อแม่ทัพผู้นำขบวนทัพตวาดออกคำสั่ง มือธนูในกองทัพที่มีพละกำลังแขนแข็งแกร่งที่สุดก็ง้างธนูมุ่งสังหารเฉินผิงอัน แน่นอนว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกผู้แข็งแกร่งในสนามรบที่มีคุณสมบัติได้ถือธนูเทพของสำนักโม่ พวกเขาง้างธนูสุดสายจนเป็นพระจันทร์เต็มดวงอยู่นานแล้ว สมบัติหนักของสำนักการทหารหลายชิ้นถูกสาดยิงตามไปติดๆ
แล้วภาพเหตุการณ์ประหลาดไม่คาดฝันที่ทำให้คนปากอ้าตาค้างก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เห็นเพียงว่าระหว่างที่เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ผูกน้ำเต้าไว้ที่เอวดังเดิมได้มีแสงพร่างพราวสีขาวหิมะและสีเขียวมรกตสองเส้นพุ่งออกมาอยู่ด้านล่างหอกยาว ไล่โจมตีลูกธนูทั้งหลายให้แตกกระจาย
เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง ลูกธนูจำนวนน้อยนิดแต่กลับมีพลานุภาพมากไพศาลก็ล้วนตกลงเบื้องล่างอย่างเปล่าประโยชน์
หลังบินทะยานไปได้หลายสิบจั้ง หอกยาวที่สองขายืนเหยียบอยู่เริ่มลดระดับลงต่ำ เฉินผิงอันกระทืบลงบนหอกยาวหนึ่งที ไม่สนใจแล้วว่าหอกยาวด้ามนี้จะตกกระแทกพื้น ร่างของเขาโผบินเป็นเส้นตรงดีดขึ้นสูง หลบพ้นการพุ่งเข้ามาปลิดชีพของมือกระบี่ยอดฝีมือคนหนึ่งในยุทธภพได้พอดิบพอดี ฝ่ายหลังพลิ้วกายลงพื้นด้วยความเสียดาย หันกลับไปมองด้านหลัง สายตาฉายความอำมหิต ใบหน้าเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
หากก่อนหน้านี้การที่ตนขวางซ่งอวี่เซาไว้ไม่ได้ ถูกปราณกระบี่มากไพศาลที่แทบจะไม่มีช่องว่างให้โจมตีของอีกฝ่ายผ่าแสกหน้าเข้ามาจนต้องถอยไปชนกับขบวนรบด้านหลัง ยังถือว่าเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่กับเด็กหนุ่มไร้นามคนหนึ่งก็ยังแตะต้องอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ นี่มันเรื่องอะไรกัน!
ฝึกทหารพันวัน ใช้ทหารเพียงชั่วครู่ชั่วยาม วันหน้าตนจะสามารถเสพสุขกับลาภยศอยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวอย่างเปิดเผยได้อย่างไร?
ขยับไปด้านหน้า ห่างจากธงใหญ่ของแม่ทัพหลักแค่ร้อยกว่าก้าว เดิมทีปราณกระบี่ขุ่นมัวที่ปกคลุมซ่งอวี่เซาไว้ภายในได้ถูกทวนและลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนสกัดขวางจนเกิดความเสียหายอย่างหนัก บวกกับที่มีชาวยุทธ์ฝีมือดีสิบกว่าคนร่วมมือกันพุ่งเข้ามาประหัตประหาร ดังนั้นเมื่อปราณกระบี่สีเขียวสายหนึ่งที่มาพร้อมกับเสียงลมและฟ้าร้องพุ่งมาถึง ซ่งอวี่เซาจึงยกกระบี่พาดขวางไว้ตรงหน้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วปราณกระบี่ที่เป็นดั่งงูหลามสีเขียวจะสามารถทำลายค่ายกลกระบี่จันทร์เต็มดวงของผู้เฒ่าได้สำเร็จ แต่ก็ถูกกระบี่ยาวตั้งตระหง่านฟันออกเป็นสองท่อน จึงพุ่งผ่านสองข้างกายของผู้เฒ่าไป เป็นเหตุให้พลเดินเท้าสวมเกราะหนักหลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังตายคาที่
ซ่งอวี่เซาเก็บท่ากระบี่วางพาดหน้าลง มุมปากมีเลือดสดไหลซึม ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าก็ยังไม่กล้าเปลี่ยนลมปราณง่ายๆ
เพราะคนที่ออกกระบี่เมื่อครู่นี้ก็คือปรมาจารย์วิถีกระบี่ซึ่งอย่างน้อยต้องมีขอบเขตห้าคนหนึ่งซึ่งยืนห่างออกไปหนึ่งร้อยก้าว
คนผู้นั้นยืนอยู่ใต้ธงผืนใหญ่ ข้างกายแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว สวมชุดคลุมยาวสีเขียว มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งชี้ปลายกระบี่เข้าใส่ซ่งอวี่เซา
คนผู้นี้อายุไม่มาก มองดูแล้วประมาณสามสิบปี แต่อายุที่แท้จริงอาจสี่สิบปี กระบี่ยาวในมือไม่ใช่อาวุธเทพที่ตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลนอะไร แต่เป็นไม้ไผ่สีเขียวท่อนหนึ่งที่เรียบลื่นแวววาวน่ามอง ยาวสองฉื่อหกชุ่น ระดับความยาวเท่ากับกระบี่ทั่วไป
เขายืนอยู่บนหลังม้าอย่างเย่อหยิ่ง แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวที่ถูกอีกฝ่ายยืนค้ำศีรษะกลับไม่ถือสา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม
มือกระบี่ที่ใช้ไม้ไผ่เขียวแทนกระบี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฝักกระบี่ไม้ไผ่อันนั้นของซ่งอวี่เซาไม่เลวเลยทีเดียว แม่ทัพฉู่ ยกมันให้ข้าได้ไหม?”
ฉู่หาวกล่าวอย่างใจกว้าง “ทำไมจะไม่ได้เล่า? อย่าได้แต่ฝักไม้ไผ่เลย แม้แต่กระบี่ก็จะมอบให้เจ้าไปพร้อมกันด้วย!”
มือกระบี่ส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอก ตั้งตระหง่านเล่มหนึ่ง หากแม่ทัพฉู่สามารถนำมันไปมอบให้กับฮ่องเต้ของพวกเจ้า เพื่อเป็นการแสดงว่ายุทธภพปาวรณาตัวเป็นข้ารับใช้ของราชสำนัก ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”
ฉู่หาวพลันกระจ่างแจ้ง ปรบมือหัวเราะชอบใจ “ยังคงไปเซียนไผ่เขียวที่คิดได้รอบคอบ ทำแบบนี้ได้ย่อมดีที่สุด!”
ซ่งอวี่เซากลั้นลมหายใจทำสมาธิ ยืนอยู่บนพื้นที่ว่างขนาดเล็กซึ่งทหารตรงจุดหนึ่งเบี่ยงหลบให้ด้วยตัวเอง
มือกระบี่หนุ่มที่เป็นเซียนกระบี่ไผ่เขียวของแคว้นซงซีถามยิ้มๆ “อริยะกระบี่ซ่ง เชื่อหรือไม่ว่าตอนที่เจ้าผลัดเปลี่ยนลมปราณ ก็คือช่วงเวลาที่เจ้าสิ้นลมหายใจ”
สีหน้าของซ่งอวี่เซาเย็นชา
ด้านหลังมีเสียงอึกทึกดังขึ้นมาเป็นระลอก
ฉู่หาวหรี่ตาลง ควักของเล็กๆ ลักษณะเหมือนก้อนเงินออกจากชายแขนเสื้อมากำไว้ในฝ่ามือ จากนั้นก็บิดลำคอหนึ่งที เพียงไม่นานก็มีผู้เฒ่าผมขาวสองคนที่ลมหายใจทอดยาวเดินออกมา คนผู้หนึ่งสวมชุดยาวผ้าแพร ระหว่างนิ้วสองข้างคีบยันต์สีเขียวไว้หนึ่งแผ่น ตัวยันต์เขียนด้วยอักษรสีทอง อีกคนหนึ่งเรือนกายล่ำสัน มือถือขวานคู่ บนขวานสลักลายเมฆมงคล คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้สวมเกราะ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของกองทัพ
คนทั้งสองมองไปด้านหลังของซ่งอวี่เซา เมื่อเทียบกับความสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านของเซียนกระบี่ไผ่เขียวแล้ว ผู้เฒ่าสองคนที่ติดตามมมากับกองทัพกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียด
ในฐานะผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่รับใช้เชื้อพระวงศ์แคว้นซูสุ่ย พวกเขารู้ดีว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่สามารถบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ ไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ หากยอมสละชีวิตต่อสู้ดั่งสัตว์ที่ติดกับดักแล้ว จะหมายความว่าอะไร
ฉู่หาวเอ่ยเบาๆ “พวกเจ้าคนหนึ่งช่วยเซียนกระบี่ไผ่เขียวสังหารซ่งอวี่เซา รีบรบรีบจบ อีกคนหนึ่งต้องถ่วงเวลาเด็กหนุ่มผู้นั้นไว้ให้ได้”
ชายร่างยักษ์ที่ถือขวานคู่ก้าวยาวๆ เข้าหาซ่งอวี่ซาน ยิ้มเหี้ยมกล่าวว่า “ข้าจะเป็นคนบีบให้ตาแก่นี่ต้องเปลี่ยนลมปราณเอง!”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าแพรยิ้มฝาดเฝื่อน เก็บความคิดทั้งหมดลง ขว้างยันต์กระดาษเขียวที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมาหลายปีแผ่นนั้นไปยังกลางอากาศ เมื่อศัตรูตัวฉกาจมาอยู่ตรงหน้า ต่อให้จะเสียดายแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
หลังจากที่ยันต์ลอยขึ้นกลางอากาศก็หายวับไปในชั่วพริบตา
ทันใดนั้นมันก็มาโผล่ห่างออกไปหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว แสงสีทองระเบิดกระจาย สุดท้ายกลายเป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่งที่ทิ้งร่างลงบนพื้นดังโครม เรือนกายของเขาสูงสองจั้ง เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มของทหารเดินเท้าก็โดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่ มือของเขาถือง้าวขนาดใหญ่ด้ามหนึ่ง ด้านในเสื้อเกราะสีทองที่หนักอึ้งนั้นมีเพียงประกายแสงสีเงินไหลวน แม่ทัพฝ่ายบู๊ผู้นี้ไม่ได้มีเรือนกายที่แท้จริง
เฉินผิงอันห้อตะบึงมาตลอดทาง มองดูเหมือนวิ่งอยู่กลางอากาศ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกก้าวที่เท้าเหยียบลงไปล้วนเหยียบลงบนกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีและสืออู่
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันคือคนหัวรั้นดื้อดึง ย่อมไม่ผิดแน่นอน
แต่เมื่อเขาเริ่มออกเดินทางในยุทธภพเพียงลำพัง เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงที่ชอบกระโดดข้ามธารน้ำแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันเปลี่ยนไปเยอะมาก
เวลานี้มองเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีมัลละร่างเงินสวมเกราะทองที่ในมือถือง้าวใหญ่สีทองเล่มหนึ่ง ตั้งท่าพร้อมต่อสู้ กำลังจ้องมาที่ตนเขม็ง
จิตใจของเฉินผิงอันก็ยังคงนิ่งสงบไม่ไหวติง นักพรตจงเมี่ยวของเมืองแยนจือก็มีมัลละร่างทองเหลืองสองตนคอยให้การปกป้อง ดูเหมือนว่าหากเป็นมัลละร่างทองเหลืองของพรรคมหายันต์ซึ่งมีระดับสูงตนหนึ่งจะสามารถทัดเทียมได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม มัลละเกราะทองที่ร่างสูงสองจั้งตรงหน้าตนนี้คาดว่าอย่างน้อยน่าจะมีพลังการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ หรืออาจจะถึงขอบเขตห้าก็เป็นได้
เพียงแต่ว่าขนาดตอนเพิ่งเริ่มฝึกวิชาหมัด เฉินผิงอันยังกล้างัดข้อกับวานรย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง
เมื่อเฉินผิงอันคิดจะดื้อดึงขึ้นมา เขาก็ไม่เคยกลัวใครเลยจริงๆ
สั่งสมให้มากแล้วเอาออกมาใช้ทีละน้อย เมื่อคำนี้ผุดขึ้น หัวสมองของเฉินผิงอันก็สว่างวาบ
เฉินผิงอันเอื้อมมือไปจับกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ
ขณะเดียวกันก็พูดกับตัวเองในใจว่า “ชูอี สืออู่ ไปช่วยผู้อาวุโสซ่งรับมือกับมือกระบี่และชายร่างยักษ์ผู้นั้น มัลละตนนี้ข้าจะจัดการเอง”
อยู่ห่างอีกแค่ยี่สิบก้าว แสงกระบี่สองเส้นใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันก็แยกออกไปหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา วาดวงโค้งอ้อมผ่านมัลละเกราะทองมือถือง้าวใหญ่ที่เริ่มกระทืบเท้าหนักๆ แล้ววิ่งตะบึงมาด้านหน้า
เฉินผิงอันที่ยังค้างอยู่ในท่าจับด้ามกระบี่ไม้ด้านหลังกระโดดผลุงออกไปพลางตะโกนว่า “ผู้อาวุโสซ่ง เชิญท่านเปลี่ยนลมปราณให้สบายใจ!”
มีศัตรูฝีมือร้ายกาจอยู่ตรงหน้า ขวานคู่ของชายร่างยักษ์ล่ำสันกำลังจะฟันลงมา อีกทั้งเซียนกระบี่ไผ่เขียวยังจ้องเขม็งพร้อมตะครุบ ซ่งอวี่เซากลับยกยิ้มเชื่อใจ แล้วก็เริ่มเปลี่ยนลมปราณจริงๆ !
เซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ยืนอยู่บนหลังม้าปล่อยกระบี่ฟันฉับทันควัน
เฉินผิงอันที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศพึมพำด้วยถ้อยคำที่ใครก็ไม่ได้ยิน จากนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็จมสู่สภาวะอัศจรรย์อย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
ลืมสิ้นทั้งวัตถุและตัวตน จิตแห่งกระบี่ใสกระจ่าง
ครานั้นในวัดร้าง กระบี่ไม้ไหวฟันลงไปอย่างง่ายๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถผ่าทลายค่ายกลใหญ่แสงทองของปีศาจใหญ่ชุดสีชมพูได้
ในเมื่อไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ การออกกระบี่ของข้าในวันนี้ก็เหมือนกับการเรียนวิชาหมัด ค่อยๆ ฝึกไปทีละหมัด ทีละหมัด สักวันย่อมต้องต่อยได้หนึ่งล้านหมัด แค่เลียนแบบความหมายของมันก่อน ยังไม่ต้องเลียนแบบรูปลักษณ์ของมัน!
แค่ส่งกระบี่ออกไปก็พอ!
มีภูเขาผ่าภูเขา มีน้ำสะบั้นน้ำ!
ปราณกระบี่สิบแปดหยุดในร่างพุ่งโคจรอย่างไม่มีกักไว้ ประหนึ่งน้ำที่ท่วมทะลักเขื่อนกั้น ไหลกรากเข้าโจมตีช่องโพรงลมปราณห่างไกลที่ถูกผู้ฝึกกระบี่ในปัจจุบันมองเป็นดั่งซี่โครงไก่
เฉินผิงอันดึงกระบี่ไม้ไหวออกจากฝัก ฉับพลันนั้นกระบี่พร้อมปราณกระบี่เจิดจ้าที่ตัวเขาเองมองไม่เห็นก็พากันฟาดฟันเข้าใส่มัลละเกราะทองสูงสองจั้งตนนั้น
ทั้งง้าวใหญ่ยักษ์และแม่ทัพบู๊ในเสื้อเกราะทองต่างก็ถูกฟันไปพร้อมกันเสียงดังฟั่บ!
เฉินผิงอันที่สองเท้าสัมผัสพื้นเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าบนร่างของมัลละเกราะทองเกิดร่องลึกพาดเอียง แสงสีเงินปริพุ่ง เกราะทองแตกร้าว
ครั้นแล้วร่างของมันก็หล่นเอนลงมาตรงหน้าเขา ก่อนจะระเบิดตูม แสงสีเงินและสีทองปลิวว่อนคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะ สองเข่างอเล็กน้อยอึ้งงันไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็คืนสติ เขายืดเอวขึ้นตรง กำกระบี่ไม้ไหวที่อยู่ในมือแน่น
ท่องในยุทธภพ ข้ามีหนึ่งกระบี่!
เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกสะใจอย่างเต็มคราบแบบนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงอยากระบายความอัดอั้นในใจ ท่ามกลางกองทัพใหญ่นับหมื่น เด็กหนุ่มที่มือข้างหนึ่งถือกระบี่ไม้ไหวซึ่งเพิ่งจะโจมตีสำเร็จตะโกนออกไปเสียงดังว่า “เฉินผิงอันแห่งต้าหลีอยู่นี่แล้ว!”