Skip to content

Sword of Coming 246

บทที่ 246 เสียงสวบสาบดังในป่า ลมฟ้าลมฝนมืดทะมึน

สนามรบพลันเงียบงัน หลังจากความตกตะลึงของคนในขบวนทัพที่ห้อมล้อมเด็กหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลางผ่านพ้นไป ก็เกิดเป็นเสียงเกราะเหล็กที่ดังสะเทือนอย่างพร้อมเพรียงกัน การทำสงครามของทัพใหญ่ไม่ใช่การมาร่วมวงดูเรื่องครึกครื้น ทันใดนั้นทวนยาวก็หันปลายแหลมเข้าหา ธนูถูกง้าวขึ้น ล้วนเล็งมาที่เซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่บอกว่าตัวเองเป็นคนของต้าหลี

จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำในสิ่งที่ไม่ถูกกาลเทศะอย่างยิ่ง มือซ้ายสอดกระบี่ไม้ไหวกลับเข้ากล่องไม้ มือขวาปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมาอย่างคุ้นเคย แล้วชูมือซ้ายขึ้นสูงราวกับกำลังบอกกองทัพใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยว่า ‘ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ให้ข้าดื่มเหล้าก่อนค่อยตีกันต่อก็ยังไม่สาย’

เสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่เหมือนเสียงกระแสน้ำขึ้น ต่อให้เป็นแม่ทัพนายกองที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ก็ยังหันมามองหน้ากันเอง หรือว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่ฟันเกราะทองแหลกสลายด้วยกระบี่เดียวจะสามารถใช้กำลังของคนคนเดียวต่อกรกับคนนับหมื่นได้จริงๆ ? ถึงได้มีท่าทางสบายใจเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวน ตั้งแต่ต้นจนจบเอาแต่พุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างเดียว ราวกับมองไม่เห็นกองทัพใหญ่ที่มีทหารนับหมื่นนายอยู่ในสายตา? สงครามที่น่าอัดอั้นตันใจแบบนี้จะสู้กันต่อได้อย่างไร! ถึงอย่างไรก็คงไม่ควรให้พี่น้องเอาชีวิตไปเต็มเติมหลุมที่ไร้ก้นหรอกกระมัง? เงินช่วยเหลือหนึ่งร้อยตำลึงเงินสูงมากก็จริง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสหายร่วมสมรภูมิรบในใต้หล้าแห่งนี้ ใครเล่าจะเต็มใจอยากเห็นคนคุ้นเคยที่มีชีวิตชีวาอยู่ข้างกายกลายมาเป็นเงินทองที่ไร้ชีวิต?

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ต่างก็สร้างคุณความชอบ ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของผู้ไร้เทียมทานลวงตาให้แก่เฉินผิงอัน

ปราณกระบี่ของเซียนไผ่เขียวที่ฟันเข้าหาซ่งอวี่เซาประหนึ่งกระแสน้ำขึ้นที่ซัดมาเบื้องหน้า แต่กลับถูกชูอีที่บินอย่างกำเริบเสิบสานลอดทะลวงอยู่ในกระแสน้ำอย่างต่อเนื่อง คอยลดทอนกลืนกินพลังของอีกฝ่ายทีละนิดจนไม่มีเหลือ ส่วนผู้ฝึกตนสำนักการทหารแคว้นซูสุ่ยที่สองมือถือขวานยักษ์ก็ถูกสืออู่ที่มีความเร็วจนน่าตะลึงแทงเข้าใส่หว่างคิ้ว ทำเอาชายร่างกำยำตกใจรีบหดท่าจู่โจม เขาไม่คิดจะแลกชีวิตกับซ่งอวี่เซา ดังนั้นจึงจำต้องใช้ขวานคู่สกัดไปรอบกายตัวเองทำให้เกิดเสียงเคร้งๆๆ ดังกังวานเสนาะหู ประกายไฟแลบกระเซ็นจากขวานคู่ไม่หยุด

ซ่งอวี่เซาที่ได้โอกาสเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่จนเสร็จยื่นมือออกไป กำตั้งตระหง่านที่สาดประกายคมกริบ ตรงเอวห้อยฝักกระบี่ไม้ไผ่ ปณิธานกระบี่ทั่วร่างเพิ่มพูน ชุดสีดำของผู้เฒ่าปลิวไสวทั้งๆ ที่ไร้ลม สามารถปลดปล่อยตัวเองต่อสู้อย่างเต็มที่ ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก

หลังจากที่เฉินผิงอันยกมือทำให้ผู้คนงุนงงแล้ว ขณะเดียวกันกับที่แหงนหน้าดื่มเหล้า เขาก็พูดในใจตัวเองไปด้วยว่า “ชูอี สืออู่ โรมรันกับคู่ต่อสู้ของพวกเจ้าต่อไป จะเล่นท่าวาดลวดลายมากหน่อย…ก็ไม่เป็นไร!”

กระบี่บินชูอีเป็นดั่งอันธพาลที่ชอบตามตอแยไม่เลิกราซึ่งหมายตา ‘สาวน้อย’ อย่างเซียนกระบี่ไผ่เขียว ส่วนสืออู่ก็ยิ่งฟาดฟันขวานคู่อาวุธหนักของชายร่างกำยำจนไม่เหลือสภาพเดิม พื้นผิวของขวานเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทำเอาเจ้าของเสียดายอย่างถึงที่สุด

เซียนกระบี่ไผ่เขียวมีทั้งสายตาและตบะที่สูงกว่าผู้อื่น ระหว่างที่ต้านทานชูอี ปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่หมายมาดศีรษะของอริยะกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยก็แผดเสียงเดือดดาลเปิดโปงความลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร “สองครั้งที่เด็กหนุ่มคนนั้นดื่มเหล้าเป็นเรื่องหลอก ผลัดเปลี่ยนลมปราณต่างหากที่เป็นของจริง!”

ศึกระหว่างปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ เมื่อโอกาสมาแล้วไม่ควรพลาด พลาดไปแล้วก็ไม่มีโอกาสอีก

เฉินผิงอันวางมือลง เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่รัดไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย กระโดดข้ามขบวนของพลเดินเท้า ส่งยิ้มเจิดจ้าให้กับเซียนกระบี่ไผ่เขียวผู้นั้น

ซ่งอวี่เซาที่เปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “เจ้าทึ่ม!”

หลังจากเสียสมบัติก้นกรุไป ผู้เฒ่าชุดแพรที่ก่อนหน้านี้ใช้ยันต์เชิญมัลละเกราะทองตนหนึ่งออกมาก็ยิ้มขื่น สองนิ้วคีบยันต์สีเขียวออกมาสามแผ่น เพียงแต่ว่ายันต์พวกนี้ไม่ได้เขียนด้วยตัวอักษรสีทอง หนึ่งแผ่นคือตัวอักษรสีเงิน สองแผ่นตัวอักษรสีแดง โยนพวกมันออกไปอีกครั้ง มัลละพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าอีกสามตนก็ร่วงกระแทกพื้นดังโครม พวกมันยืนเคียงไหล่กันสกัดขวางอยู่ด้านหน้าธงรบผืนใหญ่ของแม่ทัพหลัก มัลละตนหนึ่งสวมเกราะสีเงิน อีกสองตนสวมเกราะสีทองเหลือง

เมื่อซ่งอวี่เซาและเซียนกระบี่เด็กหนุ่มร่วมมือกันบุกสังหารมาถึงธงใหญ่ สองฝ่ายที่เป็นศัตรูกันเริ่มเปลี่ยนสถานะจู่โจมและป้องกันอย่างไร้รูปลักษณ์

หากไม่มีฝ่ายหลัง อันที่จริงซ่งอวี่เซาคงต้องรบตายอยู่ที่นี่ไปแล้ว

ทว่าเมื่อมีคนคนหนึ่งเข้ามาป่วนสถานการณ์ กลับทำให้ซ่งอวี่เซาเป็นฝ่ายได้เปรียบ

ฉู่หาวตัดสินสภาพการณ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ได้อย่างชัดเจน อยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิต เคยลงสนามรบทั้งเล็กและใหญ่มากว่าสามสิบสนาม ยังไม่เคยพ่ายแพ้ สายตาแค่นี้จึงยังพอมีอยู่บ้าง

ดังนั้นแม่ทัพใหญ่ที่สีหน้าอึมครึมท่านนี้จึงแอบกรอกลมปราณที่แท้จริงใส่เข้าไปในอาวุธหนักสำนักการทหารลักษณะเหมือนก้อนเงินที่อยู่ในมือ เม็ดเสื้อเกราะที่เป็นของล้ำค่าที่สุดในบรรดาสินเจ้าสาวอันอุดมสมบูรณ์ของฮูหยินเขาในปีนั้นทำให้เวลานี้เหมือนมีปรอทสีเงินไหลวนเวียนอยู่ด้านนอกเสื้อเกราะที่ฉู่หาวสวมใส่ เสื้อเกราะหนักของฝ่ายทหารที่เดิมทีเป็นสีดำสนิทกลายมาเป็นเสื้อเกราะวิเศษสีขาวหิมะที่เต็มไปด้วยลวดลายเมฆโบราณ มีชื่อว่าเทพรับน้ำค้าง บนภูเขาเรียกกันว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน

แม้ว่าจะเป็นระดับล่างสุดในบรรดาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร แต่มองไปทั่วหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นซูสุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นก็ไม่มีแม่ทัพคนใดที่สามารถครอบครองวัตถุชิ้นนี้ได้ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะในกระเป๋าของพวกเสาหลักแห่งแคว้นที่กุมอำนาจสำคัญไว้ในมือไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะมีราคาแต่ไม่มีวางขาย อย่าว่าแต่มูลค่าของมันที่เท่ากับหนึ่งพันห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะเลย ต่อให้ราคาสูงกว่านี้ไปอีกหนึ่งเท่าตัว พวกแม่ทัพฝ่ายบู๊ก็ยินดีทุบหม้อขายเหล็กเอาเงินมาซื้อสักเม็ด เงินเกล็ดหิมะสามพันเหรียญสำหรับบนภูเขาเท่ากับสามแสนตำลึงเงิน แลกมาด้วยยันต์ป้องกันชีวิตที่ดีที่สุด ใครบ้างจะไม่ยอมควักเงินนี้? แค่เพราะหาซื้อไม่ได้ก็เท่านั้น

ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนบนภูเขาแทบจะยึดครองเม็ดเสื้อเกราะไว้เองทั้งหมด นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกลมปราณที่ด้านการหล่อหลอมเรือนกายไม่อาจเทียบเคียงกับผู้อื่นได้ก็ยิ่งอยากซื้อเม็ดเสื้อเกราะไว้เป็นยันต์ป้องกันตัว ไหนเลยจะตกมาถึงมือของชาวบู๊ด้านล่างภูเขาได้? หากไม่เรียกว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้เสียเปล่าจะเรียกว่าอะไร?

ซ่งอวี่เซาเริ่มออกวิ่ง เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องพะวงหลัง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ก็ยิ่งบุกตะลุยได้อย่างราบรื่น

เพราะมีเฉินผิงอันคอยช่วยระวังหลังให้อยู่

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวไกลถึงสองจั้งกว่า “กลับมา!”

ชูอีไม่เต็มใจจะปล่อยเซียนกระบี่ไผ่เขียวไป จึงลอยกลับมาอย่างอืดอาด เห็นได้ชัดว่ากำลังกวนโมโหเฉินผิงอัน

แต่กระบี่บินสืออู่กลับพุ่งมาล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที ช่วยสกัดกั้นปลายทวนและลูกธนูที่กรูเข้ามาให้เขา

เซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ยืนอยู่บนหลังม้าตลอดเวลาถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ชำเลืองตามองฝักกระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวของซ่งอวี่เซาอย่างอาลัยอาวรณ์ เซียนกระบี่แคว้นซงซีที่ชื่อเสียงในยุทธภพเหนือกว่าซ่งเฟิ่งซานระดับหนึ่งผู้นี้เอนตัวไปด้านหลัง ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ร่างก็พุ่งออกไปด้านหลังทันที จากนั้นเขาก็พลิกตัวกลางอากาศ เหยียบลงบนหัวของทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังธงใหญ่หัวแล้วหัวเล่า ล่องลอยหนีจากไปไกลทั้งอย่างนี้ หลังถอยห่างจากกองทัพใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เซียนกระบี่หนุ่มก็เก็บไม้ไผ่เขียวท่อนนั้นห้อยไว้ที่เอว แล้วค่อยๆ เดินไปทางเมืองใหญ่ หันหน้ากลับมามองทางธงรบอีกครั้งก็เอ่ยด้วยความเสียดายว่า “หากคิดจะฉวยโอกาสช่วงชิงฝักกระบี่ไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินนั้นมา ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน หากครั้งนี้ซ่งอวี่เซารอดชีวิตไปได้ จะอย่างไรก็คงต้องมีชีวิตอยู่อีกยี่สิบสามสิบปีกระมัง?”

พอเซียนกระบี่ไผ่เขียวหนีไป กองทัพใหญ่ของราชสำนักแคว้นซูสุ่ยก็เริ่มระส่ำระส่าย สายตาของฉู่หาวแสดงความกังขา หันหน้าไปมองขบวนพลเดินเท้าจากฐานทัพประจำท้องถิ่นที่ทหารแตกฮือ สภาพดีกว่าระเบิดลงค่ายเล็กน้อย ตามหลักแล้วไม่ควรจะวุ่นวายโกลาหลขนาดนี้ถึงจะถูก แม้ว่าพลังการต่อสู้ของทหารประจำด่านแคว้นซูสุ่ยสี่สายนี้จะเทียบกับทหารสายตรงของตัวเองไม่ได้ แต่พลทหารเท้าสองสายเป็นทหารเก่าแก่ เคยผ่านศึกอยู่ในชายแดนมาแล้วหลายปี ก็ไม่น่าจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวขนาดนี้

เมื่อฉู่หาวเห็นว่าแม่ทัพคนหนึ่งที่ประจำการอยู่ในท้องถิ่นไม่เพียงแต่ไม่หยุดยั้งสถานการณ์ย่ำแย่ที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเละเทะนี้ กลับยังนั่งกอดอกอยู่บนหลังม้าสบายใจเฉิบราวกับเป็นคนที่อยู่นอกสถานการณ์ สีหน้าของฉู่หาวก็พลันเขียวคล้ำ กัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโห ใจอยากจะควบม้าตะบึงไปโบกดาบฟาดฟันอีกฝ่ายให้เละเป็นโจ๊กยิ่งนัก

แต่แล้วฉู่หาวก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กระดกก้นขึ้น ทอดสายตามองไปไกล ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ขบวนเดินเท้าซึ่งส่วนใหญ่แล้วปักหลักไม่ขยับกลับกลายมาเป็นฝ่ายที่สกัดกั้นการช่วยเหลือจากทหารม้าสายตรงสกุลฉู่ กั้นขวางตนที่อยู่ใต้ธงผืนใหญ่และผู้ติดตามคนสนิทหลายสิบคนให้แยกห่างจากทหารม้าสามพันนาย

ซ่งอวี่เซาคนเดียวรับมือกับชายกำยำถือขวานและมัลละที่ผู้เฒ่าชุดแพรเชิญมาจากแผ่นยันต์ก็ยังมีพลังเหลือเฟือ จึงคอยสังเกตทุกการกระทำของฉู่หาวอยู่ตลอดเวลา

เฉินผิงอันเริ่มค้นพบว่าสถานการณ์พัฒนาไปอย่างแปลกประหลาด การจู่โจมที่ดุดันรุนแรงของขบวนเดินเท้าค่อยๆ ลดความเร็วลง นอกจากยอดฝีมือในยุทธภพที่ล้อมกันเข้ามาโจมตีตน ลูกธนูและทวนจากกองทัพยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายทหารเหล่านั้นก็เปลี่ยนมาเป็นคล้ายดูไฟชายฝั่ง เหมือนกำลังชมงิ้วอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังมีขุนพลฝ่ายบู๊ที่ลักษณะเหมือนแม่ทัพนายกองควบม้าผ่านช่องว่างระหว่างขบวนเดินเท้า คอยกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับทหารใต้บัญชาการณ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งกระบี่ของซ่งอวี่เซาตัดมัลละร่างทองเหลืองตนหนึ่งขาดครึ่งท่อน ยันต์ที่กลับคืนสู่สภาพเดิมระเบิดเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ แล้วอีกกระบี่หนึ่งก็ตวัดผ่านขวานยักษ์สองเล่ม สะเก็ดไฟยาวเส้นหนึ่งเหยียดระเบิดตัวแล้วสาดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ สะเก็ดไฟร้อนลวกที่เป็นเศษชิ้นส่วนของขวานไปตกกระทบลงบนเสื้อเกราะของทหารที่อยู่ห่างไปไกล สองฝ่ายโจมตีกันเกิดเป็นเสียงโลหะกระทบเบาๆ นี่แสดงให้เห็นว่าตบะของบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธ์ของแคว้นซูสุ่ยผู้นั้นน่าครั่นคร้ามมากเพียงใด

หลังจากหนึ่งกระบี่บีบให้ผู้ฝึกตนของสำนักการทหารที่รับใช้ราชสำนักแคว้นซูสุ่ยผู้นั้นถอยไปได้ ซ่งอวี่เซาก็ชี้ปลายกระบี่ไปที่ฉู่หาว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าผู้อาวุโสเดินทางไกลมาต้อนรับในครั้งนี้จะขอเชิญแค่แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวไปเป็นแขกที่หมู่บ้านคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ที่เหลือ หากเต็มใจตายก็จงสู้จนตัวตาย อยู่ภายใต้ตั้งตระหง่าน เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง!”

ทันใดนั้นภายใต้ธงรบผืนใหญ่ที่โบกสะบัดก็เกิดเสียงดังกัมปนาท

ที่แท้เฉินผิงอันที่ทั้งสู้ทั้งรุดหน้าก็ได้ย้ายสนามต่อสู้กับยอดฝีมือในยุทธภพสิบกว่าคนมาอยู่ห่างจากธงใหญ่ไปอีกแค่ห้าสิบก้าวโดยที่ไม่มีใครได้ทันรู้ตัวแล้ว จากนั้นก็ฝากการต่อสู้เบื้องหลังไว้ที่กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีและสืออู่ แอบเอายันต์ย่อพื้นที่แผ่นหนึ่งออกมา ข้ามสนามต่อสู้เล็กๆ ระหว่างซ่งอวี่เซากับผู้ฝึกลมปราณสองคนไปปรากฏตัวห่างจากเบื้องหน้าแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานอีกแค่สิบก้าว! ครั้นแล้วก็กระโจนพรวดออกไป เท้าเหยียบลงพื้นหนักๆ เอียงตัวไปข้างหน้า เหวี่ยงหมัดขวาต่อยลงบนศีรษะของม้าสูงใหญ่ กะโหลกศีรษะของม้าตัวนั้นแตกย่อยยับ ขาสองข้างทรุดลงกับพื้น ฉู่หาวที่มีความสามารถในการฝึกนำทัพเป็นอันดับต้นๆ ของแคว้นซูสุ่ย แต่แท้จริงแล้วกลับมีวิถีวรยุทธ์แค่ขอบเขตสามพลันล้มหน้าทิ่มมาข้างหน้า ผลกลับกลายเป็นว่าโดนหมัดซ้ายของเฉินผิงอันต่อยเข้าที่หน้าอกพอดี แม้ว่าปราณวิญญาณที่อยู่ในเสื้อเกราะน้ำค้างหวานจะมารวมตัวกันตรงตำแหน่งที่เฉินผิงอันต่อยไปแทบจะพร้อมเพรียงกัน แต่ฉู่หาวก็ยังคงถูกหนึ่งหมัดต่อยกระเด็นขึ้นฟ้า แล้วร่วงกระแทกลงบนพื้นห่างออกไปสามสี่จั้งอย่างแรง พาเอาฝุ่นดินบนถนนทางหลวงคลุ้งตลบ

เฉินผิงอันห้อตะบึงไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ผู้ติดตามซึ่งเป็นทหารม้าสกุลฉู่คนหนึ่งกระชากสายบังเหียนควบม้ามาดักขวางหน้าอย่างเดือดดาล ก่อนจะบังคับม้าให้ชูสองขาหน้าขึ้นสูง หมายเหยียบลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มผู้นั้นโดยแรง!

เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วกระโจนไปข้างหน้า ค้อมเอวมาปรากฏตัวตรงท้องม้า จากนั้นก็ยืดเอวตรงทันใด ใช้ไหล่กระแทกชนจนสี่ขาของม้าตัวนั้นลอยกลางอากาศ ร่างกระเด็นไปข้างหลัง!

เฉินผิงอันพุ่งไปด้านหน้าเป็นเส้นตรง พลันเพิ่มพละกำลังลงบนขาสองข้าง แล้วดีดตัวขึ้นท่าทางเหมือนในปีนั้นที่เด็กหนุ่มกระโดดข้ามธารน้ำดุจอินทรีถลาลมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ฉู่หาวที่เพิ่งดิ้นรนลุกขึ้นมาได้ถูกหมัดหนึ่งกระแทกเข้าใส่ศีรษะ ประกายแสงวิเศษของเสื้อเกราะน้ำค้างหวานจากสำนักการทหารเปล่งวาบ เจิดจ้าพร่าตา ส่วนตัวของฉู่หาวเองนั้นผงะหงายไปด้านหลัง ตาเหลือกค้างครู่หนึ่งก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง

และเฉินผิงอันเองก็มาถึงข้างกายของคนที่สาบานตนว่าจะเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบแม่ทัพใหญ่ของทวีปให้ได้ผู้นี้ เขาย่อตัวลง เอื้อมมือไปจับลำคอของฉู่หาวแล้วลุกขึ้นยืน หิ้วลำคอของแม่ทัพใหญ่แคว้นซูสุ่ยให้ลอยอยู่ระดับเดียวกับไหล่ของตัวเอง แกว่งเบาๆ หันหน้าไปพูดกับซ่งอวี่เซาด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสซ่ง จับตัวเขาได้แล้ว!”

สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว ผู้ฝึกลมปราณสองคนที่รับใช้เชื้อพระวงศ์หันมาสบตากัน ต่างคนต่างมองออกถึงความจนใจในดวงตาของอีกฝ่าย

ซ่งอวี่เซาไม่ได้บีบบังคับใคร เขาเก็บกระบี่ตั้งตระหง่านกลับเข้าฝัก กุมมือคารวะให้สองผู้ฝึกลมปราณระดับสูงสุดของแคว้นซูสุ่ย “ล่วงเกินพวกเจ้าแล้ว รบกวนนำความไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าด้วยว่า วันหน้าไม่ว่าราชสำนักจะจัดการอย่างไร ข้าผู้อาวุโสและหมู่บ้านวารีกระบี่ต่างก็พร้อมน้อมรับไว้”

จากนั้นผู้เฒ่าก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ปราณกระบี่ดุจสายฝนที่สาดกระเซ็น ขาม้าทุกตัวของทหารม้าซึ่งเป็นข้ารับใช้ตระกูลฉู่หลายสิบคนที่พยายามสุดชีวิตเพื่อพุ่งเข้าหาเฉินผิงอันล้วนถูกตัดขาด

ผู้เฒ่าพลิ้วกายไปหยุดอยู่ข้างเฉินผิงอัน “ไป! ขอแค่ไปจากสนามรบแห่งนี้ กลับไปที่หมู่บ้าน เจ้ากับข้าก็ปลอดภัยแล้ว จิตใจทหารของกองทัพจากราชสำนักแตกระส่ำกันไปหมดแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีภัยคุกคามอะไรอีก”

พลเดินเท้าของแคว้นซูสุ่ยตกอยู่ในความเงียบงัน

ทหารม้าสกุลฉู่ที่ถูกขวางอยู่นอกขบวนพลเดินม้าคงจะตระหนักได้ถึงความผิดปกติทางแถบธงใหญ่นี้ หลังจากที่ไม่สามารถติดต่อกับขบวนเดินเท้าได้ก็เริ่มบุกฝ่าขบวนรบที่ขวางหน้าภายใต้การนำของแม่ทัพทหารม้าคนหนึ่ง ทว่าพวกเขาทั้งไม่กล้าหันหอกหันคมดาบเข้าใส่ทหารม้าสายอื่น แล้วก็ไม่กล้าสั่งยกเลิกขบวนเดินเท้าเบื้องหน้าโดยพละการ จึงได้แต่ค่อยๆ แยกออกเป็นสองสาย พยายามเปิดทางเส้นหนึ่งให้ม้าเร็วได้ห้อตะบึง

เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ข้ายังมียันต์ย่อพื้นที่ให้ใช้ได้อีกหนึ่งครั้ง”

ซ่งอวี่เซากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ข้าจะระวังหลังให้เอง จำไว้ว่าอย่าหันกลับไปเจาะขบวนรบด้านหลังอีก พยายามถอยไปทางฝั่งขวามือ พวกเราจะกลับผ่านเส้นทางภูเขา ไม่อย่างนั้นคงยากจะรับมือกับทหารม้าสกุลฉู่ทั้งสามพันนาย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กระชากลำคอของฉู่หาวพาใช้ยันต์ย่อพื้นที่ไปด้วยกัน

นั่นถึงทำให้ทุกคนรู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่เด็กหนุ่มถึงสามารถหายตัวไปจากที่เดิมได้หลายครั้ง

ร่างของเด็กหนุ่มหายไปไม่เหลือเงา แต่ร่างของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวแทบจะเรียกได้ว่าลอยขวางไปกลางอากาศ คล้ายกระโปรงยาวที่ลากตามหลังสตรีคนหนึ่งอยู่กลางฟากฟ้า

หลังจากที่เซียนกระบี่เด็กหนุ่มปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็เริ่มแสดงมาดแห่งเซียนที่ทะยานลมเดินทางไกลอีกรอบ

เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนแรกเด็กหนุ่มถึงได้เซไปทีก้าว หลังจากนั้นค่อยเดินกลางอากาศได้เหมือนเดินบนพื้นราบ

ซ่งอวี่เซาเองก็พุ่งตัวติดตามเฉินผิงอันหนีห่างออกจากสมรภูมิรบแห่งนี้ ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง เพียงไม่นานเขากับเฉินผิงอันก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ สองจุด สุดท้ายลับหายเข้าไปในผืนป่าด้านข้างที่ห่างไกลจากถนนทางหลวง

เข้ามาในป่าแล้ว สถานการณ์ก็ถือว่ามั่นคงแล้ว ซ่งอวี่เซานึกถึงที่เฉินผิงอันเดินเซก่อนหน้านี้ก็ถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล “ได้รับบาดเจ็บภายในหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “มีบรรพบุรุษน้อยท่านหนึ่งกำลังกลั่นแกล้งข้าน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”

ครั้งแรกที่เหินลมอยู่เหนือหัวของกองทัพใหญ่ อันที่จริงเขาเหยียบบนชูอีกับสืออู่ แต่ครั้งที่สองชูอีอารมณ์ไม่ดีแล้ว จึงจงใจทำให้เฉินผิงอันเหยียบลงบนความว่างเปล่า จากนั้นมันก็กลับไปนอนหลับอุตุอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ โชคดีที่ความเร็วของสืออู่มากพอจึงตามทันฝีเท้าของเฉินผิงอัน

ซ่งอวี่เซากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ว่ากันว่าทางทิศเหนือมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่เลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่สามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้สมใจปรารถนา ยังสามารถเหินลมได้เหมือนเซียนกระบี่ที่บังคับกระบี่อีกด้วย”

นึกถึงสิ่งที่จูเหอเคยพูดตอนอยู่บนภูเขาฉีตุนได้ เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งทีแล้วหลุดปากพูดไปว่า “นั่นคือขอบเขตแปดของวิถีวรยุทธ์ เรียกว่าขอบเขตจำแลงขนนก เพราะว่าสามารถทะยานลมได้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ขอบเขตเดินทางไกล’ สง่างามมากเลยล่ะ”

ซ่งอวี่เซาพูดด้วยน้ำเสียงฉงน “เหนือขอบเขตหกขึ้นไปไม่ใช่เรียกรวมกันว่าขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้หรอกหรือ?”

เฉินผิงอันเองก็มึนงงเหมือนกัน เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “เท่าที่ข้าได้ยินมาไม่ใช่แบบนั้น เหนือขอบเขตหกขึ้นไปเริ่มพิถีพิถันด้านการหล่อหลอมจิตใจแล้วก็จริง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีคุณสมบัติให้ถูกเรียกว่าเทพแห่งการต่อสู้ ข้ารู้แค่ว่าขอบเขตที่เจ็ดขอบเขตร่างทองถึงจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าปรมาจารย์น้อย ขอบเขตที่แปดจำแลงขนนก ขอบเขตที่เก้ายอดภูเขา จากนั้นยังมีขอบเขตสิบ ตอนนี้ต้าหลีของพวกเรามีขอบเขตสิบอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็คืออ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้ง เป็นเสด็จอาของคนผู้หนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านข้าในตรอกหนีผิง ข้าเคยพบซ่งจ่างจิ้งในตรอกหนึ่งครั้ง ร้ายกาจมาก แค่มองก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือ”

อริยะกระบี่เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์ที่ไม่เข้าใจเลยสักคำเดียว

เฉินผิงอันเห็นสีหน้าของผู้เฒ่าก็รีบกลืนคำพูดที่มารอตรงปากกลับลงท้องไป

ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ถ่ายทอดวิชาหมัดและปูรากฐานวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามให้กับตนก็คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเอ็ด อีกอย่างผู้เฒ่าแซ่ชุยในอดีตยังเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสิบคนแรกของแจกันสมบัติทวีปหลังจากเว้นระยะเวลาห่างมาหลายร้อยปี…

แต่เพียงไม่นานซ่งอวี่เซาก็เข้าใจได้ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กบใต้บ่อก็แค่มีดีนี้เอง ไม่เป็นไรๆ ขอแค่เหนือขอบเขตที่หกยังมีทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า! หาไม่แล้วหากทัศนียภาพงดงามทั้งหมดบนโลกล้วนมีแต่เทพเซียนบนภูเขาที่ได้เห็น ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราก็คงไม่มีหน้าเหลืออยู่เลยกระมัง? เดิมทีก็ไม่ควรเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว!”

เฉินผิงอันที่มือข้างหนึ่งยังหิ้วฉู่หาวพยักหน้ารับอย่างแรง

ในใจคิดว่าหากผู้อาวุโสซ่งได้ไปที่บ้านเกิดของตน ต้องเข้ากับตาแก่ในเรือนไม้ไผ่ผู้นั้นได้ดีอย่างแน่นอน

ถึงอย่างไรก็ยังมีคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีทางดื่มเหล้าแยกโต๊ะเพียงเพราะความต่างด้านขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของสองฝ่าย

ในสายตาของเฉินผิงอัน ผู้อาวุโสซ่งข้างกายของเขาผู้นี้ร้ายกาจมาก ดังนั้นไม่ว่าผู้เฒ่าจะไปอยู่ที่ไหน พบเจอใครก็ล้วนได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนเสมอ

หลังจากลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นของฉู่หาวไหลหายจนหมดสิ้น เสื้อเกราะน้ำค้างหวานก็กลับคืนสู่สภาพของก้อนเงินแล้วหล่นร่วงลงบนพื้น เฉินผิงอันใช้ปลายเท้าตวัดขึ้นมา เก็บใส่กระเป๋าตัวเอง

จากนั้นเขาก็ออกแรงสะบัดข้อมือเล็กน้อย ทำให้แม่ทัพใหญ่ฉู่ที่ฟื้นคืนสติแล้วแต่ไม่กล้าลืมตาผู้นั้นหมดสติไปอีกครั้ง

ซ่งอวี่เซายิ้มอย่างรู้ใจ

ได้มาเจอกับ ‘เซียนกระบี่เด็กหนุ่มจากต้าหลี’ ผู้นี้ก็ถือว่าเป็น ‘โชคดีมหาศาล’ ของฉู่หาวแล้ว

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อ?”

ซ่งอวี่เซาถอนหายใจ “ต่อให้หทารม้าสามพันนายจะมีใจเป็นห่วงเจ้านายมากแค่ไหน ก็ไม่โง่เง่าถึงขนาดกล้าบุกเข้าไปสังหารถึงในหมู่บ้านวารีกระบี่ เห็นได้ชัดว่าหลานชายของข้าวางกำลังคนของตัวเองไว้ในกองทัพใหญ่นี้แล้ว ภายในถึงได้เละเป็นโจ๊ก ยิ่งไม่ต้องหวังว่าพวกเขาจะช่วยเหลือทหารม้าสกุลฉู่ มีแต่จะถอยไปที่เมืองใหญ่เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ”

ใบหน้าของซ่งอวี่เซาเหมือนมีพยับเมฆบางๆ เคลื่อนมาปกคลุม “แต่เทพกระบี่ของแคว้นไฉ่อีตายแล้ว เมืองแยนจือมีมารร้ายก่อความวุ่นวาย บวกกับที่หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเรา…ข้ารู้สึกว่าสำนักศึกษาคงต้องลงมือแล้ว”

เฉินผิงอันถาม “สำนักศึกษา? หมายถึงสำนักศึกษากวานหู หนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อน่ะหรือ?”

ซ่งอวี่เซากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ใช่สิ นับพันปีที่ผ่านมา ทั้งบนและล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็อยู่กันอย่างสงบสุขปลอดภัย ราชสำนักของแต่ละแคว้นต่างก็มีคุณูปการของสำนักศึกษาอยู่ เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้กลับมีความเป็นไปได้ว่าหมู่บ้านวารีกระบี่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสำนักศึกษากวานหู หากเหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาต่างก็ออกหน้า เกรงว่าหมู่บ้านวารีกระบี่ก็คงเป็นเหมือนกองทัพในวันนี้ที่ใจคนระส่ำระส่าย ชื่อเสียงที่สั่งสมมานับร้อยปีของหมู่บ้านพังทลายลงในวันเดียว”

เฉินผิงอันพอจะมีความทรงจำเกี่ยวกับสำนักศึกษากวานหูอยู่บ้าง หนึ่งก็เพราะสำนักศึกษาแห่งนี้มีชื่อเสียงเท่าเทียมกับสำนักศึกษาซานหยาที่อาจารย์ฉีเป็นผู้สร้าง สองก็เพราะหลังจากมรสุมเรื่องผีสาวสวมชุดแต่งงาน ระหว่างที่เดินทางจากต้าสุยกลับไปที่แคว้นหวงถิงด้วยกัน เด็กหนุ่มชุยฉานอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงเล่าเรื่องวงในที่น่าเหลือเชื่อบางอย่างให้ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่เรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษากวานหู สุดท้ายคือชุยหมิงหวง วิญญูชนอันดับหนึ่งของสำนักศึกษากวานหูที่เคยเป็นตัวแทนของลัทธิขงจื๊อในแจกันสมบัติทวีปเดินทางเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู

แต่ทำไมพอพูดถึงสำนักศึกษากวานหู ผู้อาวุโสซ่งที่กล้าเด็ดหัวผู้นำของกองทัพใหญ่ถึงแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้

ซ่งอวี่เซาเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เผชิญหน้ากับสำนักศึกษา อาจไม่ถึงขั้นยอมให้จับแต่โดยดี แต่จะให้สู้สุดชีวิตก็ไม่มีความกล้ามากพอ กลุ้มจริง”

เฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก

ดูเหมือนซ่งอวี่เซาจะมองความคิดของเด็กหนุ่มออก เขาเอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเดินเนิบช้าอยู่ในป่า มองไปยังแสงอาทิตย์บางตาที่ส่องลอดมาตามร่องใบไม้คล้ายเม็ดสีทองที่สาดกราวลงบนพื้นดิน ผู้เฒ่าเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าถ้อยคำของเหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาคือเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า? ข้าเคยเห็นกับตาตัวเองว่านักปราชญ์คนหนึ่งสำนักศึกษากวานหูที่อายุยังน้อย กลับสามารถทำให้เทพกระบี่ของแคว้นไฉ่อีต้องออกเดินทางไกลมาสอบถามความรู้หลักคุณธรรมจากเขา นักปราชญ์หนุ่มสวมกวานสูงรัดเข็มขัดหยก นั่งตัวตรงอย่างสำรวม นั่งอยู่ตรงข้ามกับเทพกระบี่ที่เพิ่งเริ่มหัดเรียน บุคลิกอันสง่างามยิ่งใหญ่นั้น ช่างสมกับคำว่าไร้เทียมทานในอีกรูปแบบหนึ่งจริงๆ”

ซ่งอวี่เซาคลี่ยิ้ม “เพราะฉะนั้นซ่งอวี่เซาหนึ่งร้อยคน หนึ่งพันคน ก็สู้ประโยคเดียวของอาจารย์ในสำนักศึกษาที่บอกว่า ‘เจ้าผิดแล้ว เจ้าต้องถูกลงโทษ’ ไม่ได้”

เฉินผิงอันถามคำถามข้อหนึ่ง “แล้วถ้าพวกอาจารย์ของสำนักศึกษาพูดจาไม่มีเหตุผลล่ะ? หากนักปราชญ์และวิญญูชนก็ทำผิดเหมือนกัน ควรจะทำอย่างไร?”

ซ่งอวี่เซาพูดยิ้มๆ “เบื้องบนย่อมมีคำสอนของอริยะอยู่”

เฉินผิงอันครุ่นคิดตาม หิ้วคอของแม่ทัพใหญ่เดินไป สองเท้าของฝ่ายหลังลากไปตามพื้นดินเสียงดังสวบสาบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version