Skip to content

Sword of Coming 248

บทที่ 248 จากลากันตรงนี้ ภูเขาสูงน้ำไหลยาว

โจวจวี่นักปราชญ์ของสำนักศึกษาเดินออกจากห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้าน อริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยเดินเข้ามาในโถง หนึ่งไปหนึ่งมานี้พอจะชดเชยพลังอำนาจที่ดิ่งลงเหวของหมู่บ้านได้บ้างเล็กน้อย ถึงอย่างไรสำนักศึกษาก็อยู่ไกลสุดขอบฟ้า นักปราชญ์คนหนึ่งจากไปแล้วก็คือจากไป แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาไม่ได้ซักไซ้เอาความผิดจากหมู่บ้านวารีกระบี่ นี่จึงหมายความว่ากิจการร้อยปีของหมู่บ้านยังคงอยู่ ไม่ได้รับความเสียหาย อีกอย่างขอแค่ซ่งอวี่เซายังอยู่ในยุทธภพแคว้นซูสุ่ย ต่อให้เขาไม่ออกกระบี่ ไม่อยู่ในหมู่บ้าน ขอแค่ยังออกไปหาประสบการณ์อยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของยุทธภพสิบกว่าแคว้นนี้ ถ้าเช่นนั้นซ่งเฟิ่งซานก็ยังจะนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำยุทธภพได้อย่างมั่นคง

แต่ว่าวินาทีนี้ ซ่งอวี่เซาพลันหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วก้าวเร็วๆ ออกไปหลายก้าว บังเฉินผิงอันไว้ด้านหลังตัวเองคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่มีเจตนา จากนั้นค่อยก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูออกไป จัดระเบียบเสื้อผ้า ผู้เฒ่าค้อมตัวลง กุมมือคารวะให้กับความว่างเปล่าตรงจุดที่โจวจวี่เดินอยู่

จนกระทั่งเวลานี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงถึงได้ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า บนอากาศสูงนอกประตูใหญ่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อนที่ผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวของลัทธิขงจื๊อสูงสามจั้งคนหนึ่งจะเผยตัวออกมา เรือนกายของเขาล่องลอย แผ่กลิ่นอายของเซียนเต็มเปี่ยม

อริยะเยื้องกรายมาถึงหมู่บ้านด้วยตัวเอง

เปล่งรัศมียิ่งใหญ่น่าเลื่อมใส ลุ่มลึกเกินจะหยั่ง

ก่อนหน้าที่ซ่งอวี่เซาจะจับความความลี้ลับนี้ได้ โจวจวี่ก็รีบถอนสายตากลับมาจากเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ สะบัดชายแขนเสื้อคลายตราผนึกที่ร่ายใส่แผ่นหยกปลอดภัยของสำนักศึกษาชิ้นนั้น เมื่อเส้นไหมถูกสาวออกจึงเผยให้เห็นหยกประดับที่สลักตัวอักษรสองตัวว่า ‘ระงับโทสะ’ เขาเอามันมาผูกตรงเอวอย่างไม่ให้กระโตกระตาก ขณะที่ซ่งอวี่เซาคารวะตามพิธีใหญ่ของยุทธภพ เขาก็ค้อมหัวประสานมือคารวะแทบจะเวลาเดียวกัน “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์”

ผู้เฒ่าหลุบตาลงต่ำมองโจวจวี่ลูกศิษย์ของตนประหนึ่งเทวรูปสูงใหญ่ที่ทางราชสำนักตั้งบูชาไว้ในศาล เอ่ยเนิบช้าด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “เรื่องที่หานหยวนซ่านลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแห่งแคว้นซูสุ่ยฝึกวิชามาร ข้าจะมอบให้คนอื่นจัดการ เจ้าจงกลับไปที่สำนักศึกษาในทันที”

โจวจวี่ถอนหายใจหนึ่งที ยืดเอวขึ้นตรงแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “อาจารย์ ปรึกษากันก่อนไม่ได้หรือ?”

อริยะสำนักศึกษาตอบชัดเจน “ไม่ได้”

โจวจวี่หน้าม่อย “กลุ้มจริง”

อริยะมองไปทางผู้ฝึกกระบี่เฒ่าแคว้นซูสุ่ยที่ยืนอยู่ตรงธรณีประตู หลังจากคำนับกลับคืนอีกฝ่ายแล้วก็เอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “หัวหน้าหมู่บ้านซ่งใกล้จะได้ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่หัวหน้าหมู่บ้านซ่งออกเดินทางไปหาประสบการณ์ในยุทธภพจะต้องจุดธูปกราบไหว้ศาลบุ๋นของสถานที่ทุกแห่ง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจ หากมีเวลาว่าง หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านซ่งฝ่าขอบเขตแล้วก็สามารถไปฝึกตนที่สำนักศึกษาของพวกเราสักระยะหนึ่ง เพื่อสร้างขอบเขตร่างทองให้มั่นคงขึ้นได้”

ซ่งอวี่เซาที่ยังคงค้างอยู่ในท่ากุมหมัดนั้นยิ่งรู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่าย “ขอขอบคุณในความเมตตาของท่านอริยะมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย”

แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษากวานหูผู้นี้ใช้วิชาอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ชนิดใดของลัทธิขงจื๊อถึงสามารถออกจากสำนักศึกษามาเยือนแคว้นซูสุ่ยได้เร็วขนาดนี้ ระยะทางยาวไกลหลายพันหลายหมื่นลี้ แต่กลับเหมือนไม่กี่ก้าวของอริยะแห่งสำนักศึกษาเท่านั้น

อริยะลัทธิขงจื๊อที่รับผิดชอบนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษากวานหูท่านนี้คลี่ยิ้ม เพราะเวลานี้เรือนกายสูงใหญ่ของเขาลอยอยู่กลางอากาศ จึงมองเห็นคนในยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยที่นั่งอยู่ด้านในของธรณีประตูแทบทุกคน ผู้เฒ่าที่สง่างามสูงศักดิ์มองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ด้านหลังซ่งอวี่เซาด้วยสายตาล้ำลึก ในดวงตาที่ฉายแววซับซ้อนเกินจะหยั่งถึงมีประกายแสงเปล่งวาบหนึ่งที ราวกับว่าทั้งรู้สึกชื่นชมอีกฝ่าย แต่ก็ทั้งเสียดาย และยังมีการหวนนึกถึงเรื่องในอดีตอีกหลายส่วน สุดท้ายผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไร เขาดึงสายตากลับมา หันไปเอ่ยเตือนโจวจวี่อีกครั้งว่า “ห้ามจงใจเดินทางล่าช้า รีบกลับไปที่สำนักศึกษาโดยเร็ว มีภารกิจสำคัญอย่างอื่นรอเจ้าอยู่”

ดวงตาโจวจวี่เป็นประกายจ้า “เรื่องทางทิศเหนือหรือ?”

สำหรับคำพูดเปิดเผยความลับสวรรค์ที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายหลุดปากพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ อริยะลัทธิขงจื๊อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาไม่ต้องการจะพูดมากต่อหน้าคนนอกสำนักศึกษา เพียงหันไปยิ้มบางๆ เอ่ยกับจอมยุทธ์ที่นั่งกันอยู่เต็มห้องโถงว่า “มหามรรคามีเส้นทางแตกต่างแต่มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ฝึกวรยุทธ์ก็สำคัญที่การฝึกอบรมจิตใจเช่นกัน เมื่อมองความมหัศจรรย์แห่งวิถีสวรรค์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็จะสามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงรากฐานแห่งวิถีวรยุทธ์ หวังว่าทุกท่านจะไม่ลืมจิตแห่งคุณธรรม สำนักศึกษากวานหูของข้ายินดีเปิดประตูกว้างให้สำหรับทุกท่าน ใช้ย้อนมองตนเพื่อบรรลุมรรคา พยายามเปิดปัญญาให้ได้มากที่สุด”

คำแนะนำจากอริยะเป็นดั่งลมฤดูใบไม้ผลิที่แปรเปลี่ยนเป็นสายฝน เมื่อไม่ได้แจกแจงอย่างละเอียดก็ยิ่งทำให้คนเกิดความรู้สึกมหัศจรรย์จนไม่อาจบรรยายได้

ทุกคนในห้องโถงใหญ่รู้สึกศรัทธาจากใจจริง นี่ต่างหากถึงจะเป็นสายลมพัดสูงแห่งสำนักศึกษา คือมาดของอริยะที่แท้จริง ดังนั้นเหล่าผู้กล้าจากสองสายขาวดำของแคว้นซูสุ่ยที่ลุกขึ้นยืนนานแล้วต่างก็ประสานมือคารวะอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อเทียบกับความประหวั่นพรั่นพรึงต่อสถานะของโจวจวี่ก่อนหน้านี้ การคารวะในคราวนี้กลับมีความชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธาด้วยความจริงใจมากกว่า

เรือนกายของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาสลายหายไปกลางอากาศ จากนั้นก็ตามมาด้วยริ้วแสงสีทองที่กระเพื่อมเป็นระลอก

ก่อนจะจากไปอริยะใช้วิชาอภินิหารเนตรทิพย์มองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่อีกครั้งด้วยความรู้สึกสะทกสะท้อนใจ ฉีจิ้งชุนแห่งซานหยาเลือกเด็กหนุ่มต้าหลีที่เพิ่งจะยืนเหยียบอยู่บนธรณีประตูของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่คนนี้เป็นผู้ปกป้องมรรคาของเหล่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาจริงๆ

เรื่องนี้นอกจากคนไม่กี่หยิบมือของสำนักศึกษากวานหูแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องอีก ส่วนอริยะท่านนี้ก็เพราะได้เห็นมากับตาตัวเองถึงได้ไล่สืบมาตามเบาะแสแล้วอนุมานเป็นภาพเหตุการณ์ในระยะไกล

ขณะเดียวกันอริยะก็ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนโจวจวี่ “จวี้หรัน ไม่ว่าเจ้าเห็นอะไรจากตัวของเด็กหนุ่ม ก็ห้ามทำอะไรวู่วามเด็ดขาด จำไว้ว่าต้องระวังทั้งคำพูดและการกระทำ!”

โจวจวี่ตอบกลับกลั้วหัวเราะด้วยเสียงหัวใจ “อาจารย์ เรียนรู้ข้อดีจากผู้มีคุณธรรมและมีความสามารถ หลักการเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ศิษย์จะไม่รู้ได้อย่างไร?”

อริยะจากไปแล้ว โจวจวี่ค้นพบว่าหยกประดับตรงเอวตัวเองหายไปด้วย ที่แท้อาจารย์ของตนก็เป็นคนเอาไป

โจวจวี่ไม่ได้หันกลับไปมองห้องโถงใหญ่อีก เพียงแค่ทอดถอนใจไม่หยุด

จนกระทั่งเขาเดินออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่แล้วถึงได้หันกลับไปมองพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่เลยทีเดียว”

แม้ว่าตอนนี้เขาโจวจวี่ หรือเรียกอีกชื่อว่าโจวจวี้หรันจะเป็นเพียงแค่นักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหู แต่ต่อให้เป็นวิญญูชนใหญ่แห่งแจกันสมบัติทวีปอย่างชุยหมิงหวงก็ยังไม่กล้าดูถูกโจวจวี่แม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงแต่ตบะของโจวจวี่ในลัทธิขงจื๊อที่ไม่อาจดูถูกได้ แล้วก็ไม่ใช่แค่เพราะประสบการณ์ที่นักปราชญ์เลื่อนเป็นวิญญูชน แล้วก็เปลี่ยนจากวิญญูชนกลับไปเป็นนักปราชญ์อีกครั้ง แต่เป็นเพราะโจวจวี่สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างที่อริยะผู้เป็นอาจารย์ของเขามองไม่เห็น สำหรับพรสวรรค์อันเลิศล้ำข้อนี้ ขนาดอริยะของสถานศึกษาก็ยังเคยสั่งความเจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูด้วยตัวเองว่า จะต้องปกป้องโจวจวี่อย่างระมัดระวัง ห้ามให้โจวจวี่เดินทางผิดเด็ดขาด

คนบนโลกในสายตาโจวจวี่สมกับคำว่า ‘มนุษย์มีนับร้อยรูปแบบ’ อย่างแท้จริง ทุกคนที่ฝึกบำเพ็ญตน โดยเฉพาะลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อที่จะนำกลิ่นอายแห่งจิตวิญญาณอันเป็นรูปธรรมซึ่งแฝงความหมายพิเศษบางอย่างมาจำแลงกลายเป็นภาพที่มหัศจรรย์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาพของคนจิ๋วที่ใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสาร หรือไม่ก็เท่าเล็บมือซึ่งจะอยู่บนร่าง หรือไม่ก็ในช่องโพรงลมปราณของคนที่อยู่เบื้องหน้าโจวจวี่

ยกตัวอย่างเช่นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่คนจิ๋วของเขากลับเป็นคนหลังงอขาเป๋ เหมือนแบกภูเขาลูกใหญ่เอาไว้ เหงื่อหยดเต็มร่องสันหลัง

อาจารย์ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านความคร่ำครึ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเข้มงวด บริเวณใกล้ศีรษะกลับมีนางฟ้าสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสบินวนเวียนคอยอาศัยอยู่ใกล้ๆ ไม่จากไปไหน

ลูกศิษย์สำนักศึกษาคนหนึ่งที่แผ่กลิ่นอายแห่งความตาย ท่าทางเซื่องซึมไม่กระฉับกระเฉง ในหัวใจกลับมีคนจิ๋วที่เป็นมือกระบี่เคราดกคนหนึ่งเดินท่องเที่ยวอยู่ตามช่องโพรงลมปราณ

นักปราชญ์คนหนึ่งที่โจวจวี่เคยอัดเสียน่วม ปากเขาพร่ำพูดแต่คุณธรรมน้ำใจ เวลาอยู่ในสำนักศึกษามีชื่อเสียงด้านความเป็นระเบียบระมัดระวัง มีฝีมือเลิศล้ำในการประพันธ์ผลงาน แต่โจวจวี่กลับเห็นว่าระหว่างหน้าหนังสือของนักปราชญ์ผู้นั้นเต็มไปด้วยผีเสื้อและผึ้งบินล้อมวน แผ่กลิ่นอายของความงดงามจอมปลอม และเขายังมีกระบี่บินแหลมคมที่อาบไปด้วยน้ำผึ้งอีกเล่มหนึ่งบินว่อนไปทั่ว

โจวจวี่เกลียดคนแบบนี้ที่สุด เพียงแต่เพราะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์จึงอดทนแล้วอดทนอีก จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง หลังจากสำนักศึกษาซานหยาถูกถอดยศจากหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา เล่าลือกันว่าฉีจิ้งชุนร่างสลายมรรคามอดดับ อีกทั้งสำนักศึกษาซานหยายังต้องย้ายจากต้าหลีไปอยู่ต้าสุย สำนักตกต่ำ คนในสำนักโหรงเหรง ควันธูปของสายบุ๋นสายนั้นแทบจะถูกตัดขาด นักปราชญ์ผู้นี้ถึงได้เผยสันดานเดิมออกมา เขาโจมตีความรู้ของฉีจิ้งชุนที่เคยเผยแพร่ตอนยังมีชีวิตอยู่อย่างกำเริบเสิบสาน ใช้มันเป็นวิธีในการเพิ่มชื่อเสียงให้กับตัวเอง หวังว่าจะใช้โอกาสนี้มาทำให้พวกอาจารย์ผู้เฒ่าบางคนพึงพอใจ แล้วตัวเองก็เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชนได้สำเร็จ ทัศนคติที่โจวจวี่มีต่อสายบุ๋นที่เป็นศัตรูสายนั้นไม่อาจพูดได้ว่าดีหรือร้าย แต่สำหรับนักปราชญ์ที่ปากหวานก้นเปรี้ยวคนนี้ ประเด็นสำคัญคือคนผู้นี้ยังอาศัยบทความของอาจารย์เขาไปโจมตีสำนักศึกษาซานหยา เป็นการกระทำที่ทำให้เขารังเกียจอย่างแท้จริง สุดท้ายโจวจวี่จึงลงมือทำร้ายคน ซ้อมเสียจนไอ้หมอนั่นไม่มีหน้าออกจากสำนักนานถึงครึ่งปี

ส่วนชุยหมิงหวงคือแผนที่บ้านเมืองแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก แต่กลับมีควันดินปืนผุดขึ้นสี่ทิศ แตกกระจัดกระจายเป็นเสี่ยงๆ ในจิตใจของคนผู้นี้ไม่มีคนจิ๋วเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารอยู่แม้แต่คนเดียว

ส่วนวิญญูชนใหญ่ผู้ครองอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ผู้ซึ่งสง่างามและมีความรู้ มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปผู้นั้น รูปลักษณ์ที่แท้จริงกลับเป็นชาวนาผู้เฒ่าท่าทางซื่อสัตย์ที่ขยันทำนา คอยเฝ้าอยู่ที่ไร่นาเสมอ

โจวจวี่มีวิชาอภินิหารที่ไม่เคยได้รับการสืบทอดนี้มาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งหากได้เห็นแล้วจะไม่มีทางลืม ความคิดผุดพุ่งดุจน้ำพุ ตอนอายุเก้าขวบก็เข้ามาอยู่ในสำนักศึกษาอย่างลับๆ ติดตามอาจารย์เรียนวิชาความรู้ของอริยะ อายุสิบสี่ปีได้เป็นนักปราชญ์ หลังจากนั้นก็ยังคงอยู่ในหอพักแห่งหนึ่งที่อาจารย์สร้างขึ้นเอง เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ ตลอดทั้งปีคบค้าสมาคมอยู่แค่กับพวกศิษย์พี่ชายหญิง หลังจากอายุยี่สิบได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชน ผ่านการทดสอบจากภาชนะที่ใช้ในพิธีกรรมชิ้นหนึ่งของศาลบุ๋น เพียงไม่นานโจวจวี่ก็ถูกค้นพบว่ามีร่องรอยของ ‘ผู้เที่ยงตรง’ มีความหวังว่าจะไล่ตามวิญญูชนใหญ่สองท่านของแจกันสมบัติทวีปได้

โจวจวี่ที่เดินอยู่บนถนนใหญ่ของหมู่บ้านวารีกระบี่ซึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กถอนหายใจ “รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้นิดๆ แหะ”

เดินอยู่บนถนนว่างเปล่าที่กว้างขวาง เรือนกายหนึ่งโผล่จากความว่างเปล่ามาปรากฎอยู่ข้างกายนักปราชญ์โจวจวี่ แล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “จวี้หรัน เจ้าเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดอะไร?”

โจวจวี่ตอบยิ้มๆ “อาจารย์คนดีของข้า ท่านอย่าทำให้ศิษย์ตกใจแบบนี้จะได้ไหม? หากท่านทำให้ต้นกล้าที่ดีอย่างข้าตกใจจนโง่ไป อาจารย์คงต้องเสียน้ำตาแน่ๆ”

เรือนกายล่องลอยของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาเดินเคียงไหล่ไปกับโจวจวี่

โจวจวี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์ ครั้งนี้ข้าไม่บอกท่านหรอก จะปล่อยให้ท่านอยากรู้นี่แหละ”

ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ก็ดีเหมือนกัน เจ้าก็รอกลับไปโดนโบยที่สำนักศึกษาเถอะ”

อริยะถึงได้จากไปอย่างแท้จริง

โจวจวี่เดินอยู่บนทางต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง จุ๊ปากพลางโคลงศีรษะ

มีจิตแห่งบุ๋นร่างทองดวงหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นมอบให้ แต่กลับเชื่อมประสานกับจิตวิญญาณของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ไม่มีการต่อต้านกันแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งมีกลิ่นอายของลัทธิขงจื๊อ มีภาพปรากฎการณ์ของวิญญูชนผู้เที่ยงตรงปรากฏขึ้นเสี้ยวหนึ่ง

ระหว่างที่เด็กหนุ่มก้าวเดิน ชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็น บนไหล่ทั้งสองคล้ายแบกดอกทานตะวัน บุปผาเบ่งบานวิหคบินล้อมวนก็ยิ่งเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจ

มีคนจิ๋วคนหนึ่งกำลังนั่งเรอหลังจากดื่มเหล้า แกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด มีคนจิ๋วสวมรองเท้าสานที่ฝึกยืนนิ่งอยู่ริมน้ำ เดินนิ่งข้ามขุนเขา…

มีคนจิ๋วคนหนึ่งที่พลิกเปิดหน้าตำรา ตรงมวยผมปักปิ่น กำลังก้มหน้าอ่านตำรา บทความที่อ่านคล้ายจะเข้าใจยากไปเสียทุกบทตอน ถึงได้ขมวดคิ้วแน่น เกาหัวอย่างกลัดกลุ้ม

และยังมีคนจิ๋วที่กำลังนั่งขัดสมาธินับเงิน หน้าบานเป็นกระด้ง บางครั้งหยิบเหรียญขึ้นมากัด หรือไม่ก็ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเหรียญเงิน

คนจิ๋วอีกคนหนึ่งเต็มไปด้วยรัศมีแห่งอัญมณีของมีค่า กำลังวิ่งวุ่นไปสี่ทิศ ส่งของชิ้นหนึ่งอยู่ตรงนี้ สองมือประคองมอบของชิ้นหนึ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายกำลังมอบของที่ตัวเองรักให้กับคนอื่นไม่หยุด…

ทั้งๆ ที่มีความคิดอันน่าอัศจรรย์ใจมากมายขนาดนั้น แถมแต่ละความยึดมั่นถือมั่นยังหยั่งรากลึก แต่กลับยังมีจิตใจที่ใสกระจ่าง ใต้หล้านี้มีเด็กหนุ่มที่ประหลาดขนาดนี้ได้อย่างไร?

โจวจวี่หุบยิ้ม ถอนหายใจหนึ่งที ปากเขาพูดว่าต้องเรียนรู้จากคนมีความสามารถ แต่เขากลับไม่อยากเป็นเหมือนเด็กหนุ่มคนนั้นเลยสักนิดเดียว เพราะเป็นคนแบบนั้นน่าจะต้องเหนื่อยมาก

แต่หากสามารถได้เป็นเพื่อนสนิทกับคนแบบนี้น่าจะดีมาก

โจวจวี่นึกถึงเรื่องหนึ่ง แล้วพลันกระโดดขึ้นสูงทะยานเข้าสู่ชั้นเมฆ บังคับลมเดินทางไกล ใต้ฝ่าเท้าก็คือแผ่นดินของแคว้นซูสุ่ย ระหว่างก้อนเมฆพอจะมองเห็นเทือกเขาสูงต่ำได้อย่างเลือนราง โจวจวี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “ครั้งนี้ได้พบเทียนจวินลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีป หรือว่าข้าควรฟังคำแนะนำของคนผู้นั้น เลือกพื้นที่มงคลขนาดใหญ่หน่อย ใช้สถานะของเจ๋อเซียน (เดิมหมายถึงเซียนที่ถูกลดขั้นมาเป็นมนุษย์ ภายหลังหมายถึงคนของลัทธิเต๋าที่สูงส่ง หลุดพ้นทางโลก) ลงไปหาประสบการณ์ในสถานที่ถัดไป? หาไม่แล้วด้วยขอบเขตของข้าตอนนี้ที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่ขยับมานานหลายปี นั่งยองในห้องส้วมแล้วยังขี้ไม่ออกอยู่แบบนี้ คงไม่มีความเคลื่อนไหวสักนิดเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันย่อมไม่รู้ว่าวิชาอภินิหารนั้นของนักปราชญ์โจวจวี่ทำให้เขามองเห็นความลับของตัวเองมากมายถึงปานนั้น

การที่อริยะของสำนักศึกษากวานหูมาเยือนถึงที่ บางทีอาจเป็นภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่หนึ่งร้อยปีจะพานพบสักครั้งสำหรับผู้คนในยุทธภพแคว้นซูสุ่ย แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตะลึงสักเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะที่ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิด หรือที่ต้าสุยที่เคยเดินทางไปเยือนในภายหลัง เฉินผิงอันก็ล้วนเคยเห็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมามากมาย แม้แต่ในม้วนภาพวาดแม่น้ำและภูเขาของซิ่วไฉเฒ่า เฉินผิงอันก็ยังเคยเห็นภูเขาเทพสุ้ยซานของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาแล้ว ตนยังถึงขั้นส่งกระบี่ผ่าภูเขาไปด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง

เฉินผิงอันไม่ได้หยุดอยู่ในห้องโถงใหญ่ของหมู่บ้านนานนัก เพราะหลังจากที่ซ่งอวี่เซาเอ่ยประโยคหนึ่งแล้วก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว

ประโยคนั้นของผู้เฒ่าสร้างลูกคลื่นที่โถมตัวสูงนับหมื่นจั้งอยู่ในใจของทุกคน

“ทหารนับหมื่นของราชสำนักที่มาล้อมหมู่บ้านได้ถอยจากไปเองแล้ว”

อันที่จริงหมัวมัวเด็กสาวหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยก็ตามพวกเขากลับมาที่หมู่บ้านด้วย แต่เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับนักปราชญ์ของสำนักศึกษา ตอนนั้นจึงไปหลบอยู่ในมุมมืด ยังดีที่ทั้งอริยะและนักปราชญ์ต่างก็ไม่ถือสา นี่ทำให้นางรู้สึกลิงโลดที่ตัวเองรอดพ้นหายนะครั้งใหญ่มาได้ หลังจากแน่ใจว่าคนจากสำนักศึกษาสองคนนั้นไปจากหมู่บ้านแล้วจริงๆ นางถึงได้เข้ามาในห้องโถงใหญ่ พอนั่งลงเรียบร้อยก็ใช้เสียงในใจสื่อสารกับซ่งเฟิ่งซาน เพียงแต่ว่าเด็กสาวใช้เวทลับของผู้ฝึกลมปราณ ชักนำทะเลสาบในหัวใจ ส่วนซ่งเฟิ่งซานนั้นใช้วิชายุทธ์ รวมเสียงร้อยเรียงเป็นถ้อยคำ คนหนึ่งต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า อีกคนหนึ่งต้องมีวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่

ภรรยาของซ่งเฟิ่งซานเริ่มใช้แผนกลยุทธสร้างผลประโยชน์โดยการปลอบใจเหล่าผู้กล้า

ซ่งเฟิ่งซานที่ไม่เอ่ยคำใดมีสีหน้ามาดมั่น

นอกจากจะโล่งอกแล้ว ซ่งเฟิ่งซานยังรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย

ซ่งอวี่เซาท่านปู่ของเขาใช้หนึ่งกระบี่หนึ่งคนไปสกัดขวางอยู่หน้ากองทัพใหญ่จริงๆ อีกทั้งยังเจาะขบวนรบไปจับตัวแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวมาได้ ช่วยลดแผนการอีกหลายอย่างให้กับเขาซ่งเฟิ่งซาน ไม่เพียงเท่านี้ ท่านปู่และเซียนกระบี่เด็กหนุ่มที่ลึกลับผู้นั้นยังร่วมมือกับซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ได้รับจดหมายลับจากตนจึงย้อนกลับมาสังหารหลินกูซานราชันกระบี่แคว้นกู่อวี๋และเจ้าของหอหม่ายตู๋ในป่าลึก หลินกูซานถูกซูหลางใช้หนึ่งกระบี่ตัดศีรษะ ไข่มุกมรกตเล่มนั้นกลายเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดซึ่งบอกว่า ‘เซียนกระบี่สังหารราชันกระบี่’ น่าเสียดายที่นักฆ่าหอหม่ายตู๋ใช้เวทลับหนีไปทั้งที่บาดเจ็บ และนี่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ซ่งเฟิ่งซานเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเด็กสาวผู้นั้น “ตามข้อตกลง หลังทำสำเร็จ ข้าจะช่วยให้เจ้าได้กลายเป็นเทพภูเขาที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักแคว้นซูสุ่ย ได้ครอบครองร่างทอง เสวยสุขอยู่กับควันธูป แต่คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน พอกลายเป็นองค์เทพร่างทองแล้ว หากเจ้าอยากให้ขอบเขตเพิ่มพูน นอนรอเสวยสุข ยังจำเป็นต้องทำตามแผนการของข้า ในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้า ต้องฝืนใจทำเรื่องดีที่ขัดต่อนิสัยดั้งเดิมของเจ้า เพื่อสะดวกในการช่วงชิงใจคน หากเจ้าละเมิดข้อตกลง ยากที่จะเปลี่ยนนิสัยอำมหิต ทำลายงานใหญ่ของข้าเพียงแค่เพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าแมลงวันตัวหนึ่ง ถึงเวลานั้นเจ้ากับข้าก็คงได้แต่หันหน้าเข้าห้ำหั่นกันเองแล้ว”

เด็กสาวหัวเราะเสียงหวานผ่านเสียงในใจ “นายน้อยวางแผนได้อย่างรอบคอบรัดกุม ข้าน้อยมิกล้าหาเรื่องใส่ตัวหรอก”

ซ่งเฟิ่งซานรวบเสียงกล่าวว่า “ยังต้องรบกวนเจ้าไปแจ้งหานหยวนซ่านที่เมืองใหญ่อีกรอบหนึ่งว่าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง ตามหลังโจวจวี่แห่งสำนักศึกษายังต้องมีคนอื่นมาหาเรื่องเขาอีก ส่วนเขาจะยังใช้ตัวตนของฉู่หาวเบียดแทรกเข้าไปในราชสำนักแคว้นซูสุ่ยหรือไม่ ก็อยู่ที่การตัดสินใจของเขาเองแล้ว”

เด็กสาวถอนหายใจหนึ่งที แล้วจึงลุกขึ้นยืนเตรียมจะไปเตือนหานหยวนซ่านที่เมืองใหญ่ “เดี๋ยวก็บนเตียง เดี๋ยวก็ล่างเตียง ข้านี่ยุ่งจริงๆ อ้อ ใช่แล้ว เจ้าอย่าลืมทวงเม็ดเสื้อเกราะที่อยู่บนร่างของฉู่หาวมาจากเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันด้วยล่ะ ไม่ว่านายน้อยต้องจ่ายเงินซื้อมา หรือจะแลกเปลี่ยนของเป็นสินน้ำใจ ก็ต้องเอาของชิ้นนั้นมาให้ได้ วันหน้าหากหยวนซ่านของข้าดึงดันจะเสี่ยงอันตรายหวังความร่ำรวย ปลอมตัวเป็นฉู่หาว เสื้อเกราะน้ำค้างหวานชิ้นนั้นก็คือวัตถุสำคัญ”

ซ่งเฟิ่งซานตอบกลับ “ข้าจะจัดการเอง”

เด็กสาวรู้ดีถึงนิสัยเลือดเย็นอำมหิตของคนผู้นี้จึงออกไปจากห้องโถงใหญ่ ไม่วาดงูเติมหางพูดอะไรให้มากความ

หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งคนแก่เดินไปยังเรือนพักที่ทางหมู่บ้านจัดไว้ให้เฉินผิงอัน

ก่อนหน้านี้ระหว่างเส้นทางภูเขาที่กลับมายังหมู่บ้าน เจ้าหอหม่ายตู๋ที่แฝงตัวมานานได้ลอบโจมตีเฉินผิงอันก่อน จากนั้นหลินกูซานราชันกระบี่ที่ตามมาทีหลังถึงเข้ามาโรมรันกับซ่งอวี่เซา

หากเฉินผิงอันกับซ่งอวี่เซาอยู่ในสภาวะสูงสุดย่อมชนะได้อย่างไม่ต้องสงสัย และต้องสามารถบดขยี้นักฆ่าที่ได้รับคำสั่งมาจากแคว้นกู่อวี่สองคนนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่จิตวิญญาณของเฉินผิงอันถูกเผาผลาญไปมาก การควบคุมชูอีกับสืออู่จึงไม่คล่องแคล่วสมใจปรารถนาเหมือนตอนที่ทะลวงขบวนรบ เป็นเหตุให้ครั้งที่สองที่ประมือกับเจ้าของหอหม่ายตู๋ ฝีมือคนทั้งสองทัดเทียมกัน ซ่งอวี่เซาได้เปรียบเล็กน้อย แต่พลังอำนาจของหลินกูซานเปี่ยมล้น จึงยังไม่สามารถสลัดตัวออกมาช่วยเฉินผิงอันสังหารนักฆ่าอันดับหนึ่งที่ทำตัวลึกลับคนนั้นได้

หลังจากนั้นเซียนกระบี่ไผ่เขียวและหมัวมัวเด็กสาวก็ทยอยกันปรากฏตัว ทั้งสองฝ่ายต่างก็เหมือนมีพันธมิตรคนหนึ่งมาช่วย ตามหลักแล้วโอกาสที่ฝ่ายของหลินกูซานจะชนะนั้นย่อมมีมากกว่า

ซูหลางกับหลินกูซานร่วมมือกันออกกระบี่รับมือกับซ่งอวี่เซา ส่วนเด็กสาวก็ร่วมมือกับเฉินผิงอันเล่นงานเจ้าของหอหม่ายตู๋

แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ซูหลางตัดหัวหลินกูซานด้วยหนึ่งกระบี่ เจ้าหอหม่ายตู๋เห็นท่าไม่ดีจึงเผ่นหนีไปอีกครั้ง ถูกเฉินผิงอันที่พยายามสุดกำลังบังคับกระบี่บินสืออู่ให้แทงทะลุหน้าท้องของอีกฝ่าย แต่นักฆ่าคนนี้ก็ยังหนีไปได้สำเร็จ มองดูเหมือนเด็กสาวหมัวมัวลงแรงเต็มที่ ตบะวิถีมารของทั้งร่างถูกนำมาใช้ต่อสู้จนฟ้าดินสะท้านสะเทือน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนหนึ่งจะเป็นหรือตายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ของแคว้นซูสุ่ยสักเท่าไหร่ อีกทั้งหากเขาตายอยู่ในป่าลึก คนที่รู้เรื่องวงในซึ่งยากจะควบคุมได้ก็จะลดน้อยไปหนึ่งคน ไม่แน่ว่าอาจส่งผลดีต่อสถานการณ์ของทางฝ่ายนางมากกว่าเดิม

เมื่อมาถึงเรือนพัก วันนี้ชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มต่างก็ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน พวกเขาถูกเฉินผิงอันเกลี้ยกล่อมให้ไปที่เมืองเล็กล่วงหน้าก่อนนานแล้ว บอกว่าวันนี้ต้องไปจากที่นี่ เดินทางไปยังท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ริมชายแดน เฉินผิงอันเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้สหายทั้งสองฟังตามตรงอย่างไม่มีปิดบัง จางซานเฟิงจะตามมาให้ได้ แต่ถูกสวีหย่วนเสียห้ามไว้แล้วลากไปที่เมืองเล็กด้วยกัน

หลังจากนั่งลงข้างโต๊ะหิน ซ่งอวี่เซาก็เอ่ยเบาๆ ว่า “มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวจะตายแล้ว”

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

ก็เหมือนก่อนหน้านี้ตอนอยู่ศาลาริมน้ำที่สตรีสะพายดาบใช้ปลายฝักดาบชี้มาที่ตน นั่นก็คือการท่องอยู่ในยุทธภพของชาวยุทธ์

ถ้าเช่นนั้นการที่ครั้งนี้ฉู่หาวนำทัพลงใต้มาบุกหมู่บ้านวารีกระบี่ก็เท่ากับแม่ทัพฝ่ายบู๊ที่อยู่ในสมรภูมิรบ

เฉินผิงอันหยิบเม็ดเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างออกจากชายแขนเสื้อมาส่งมอบให้กับผู้เฒ่า ก่อนหน้านี้หมัวมัวเด็กสาวต้องการของสิ่งนี้ แต่เฉินผิงอันไม่เต็มใจเอาออกมาให้

ซ่งอวี่เซาโบกมือกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนจับตัวฉู่หาวได้ เม็ดเสื้อเกราะชิ้นนี้ย่อมต้องเป็นของเจ้า”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ผู้อาวุโสรับไปเถอะ ในเมื่อมารหญิงผู้นั้นต้องการเม็ดเสื้อเกราะเม็ดนี้ แสดงว่าต้องไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน ข้าก็แค่ไม่ชอบการกระทำของนางถึงได้ไม่อยากมอบให้นาง”

ซ่งอวี่เซายิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะยกเงินหิมะน้อยทั้งหมดที่เก็บสะสมไว้ในหมู่บ้านให้กับเจ้า? ไม่อย่างนั้นจะผิดกฎเกณฑ์แล้ว ข้าคงไม่สบายใจ ทั้งติดค้างน้ำใจทั้งติดเงิน ส่วนเฟิ่งซานจะมีเรื่องให้ต้องใช้เงินหรือไม่ก็ปล่อยให้เขาหาวิธีไปเองเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็มีความสามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเทียมดินอยู่แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าแค่เงินหิมะน้อยไม่กี่พันเหรียญ เขาจะหาไม่ได้”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “หากเป็นเพื่อนกันจริงๆ ต่อให้ติดค้างน้ำใจกันก็ไม่เป็นไร ครั้งหน้าที่ข้ามาเยือนหมู่บ้าน ท่านผู้อาวุโสเลี้ยงเหล้าข้าก็พอแล้ว”

ซ่งอวี่เซาจุ๊ปากพูด “ติดค้างน้ำใจไม่สบายใจยิ่งกว่าติดเงิน เจ้าเป็นคนพูดเอง ตอนนี้เจ้ายังพูดว่าเป็นเพื่อนกันติดค้างน้ำใจก็ไม่เป็นไร ทำไม เหตุผลใต้หล้านี้ล้วนเป็นของเจ้าเฉินผิงอันทั้งหมดงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ดื่มเหล้าอย่างผ่อนคลายสบายใจ ไร้ความกังวล แล้วก็ไร้ซึ่งความกดดัน หลังจากท่องอยู่ในยุทธภพ ได้ดื่มเหล้ารสเลิศอย่างสาแก่ใจ โดยที่ไม่ใช่เพื่ออำพรางหูตาของใครขณะที่เปลี่ยนลมปราณในสนามรบ รสชาติของเหล้าก็ช่างดีเยี่ยมจริงๆ “หากผู้อาวุโสซ่งไม่เห็นข้าเป็นเพื่อนก็เชิญคืนเงิน คืนน้ำใจข้าได้ตามสบาย คืนให้หมดรวดเดียว เอาให้เกลี้ยงเกลา อย่างมากวันหน้าเมื่อข้าเดินทางผ่านแคว้นซูสุ่ยก็จะไม่มาดื่มเหล้าฮวาเตียว กินหม้อไฟที่หมู่บ้านอีกแล้ว”

ซ่งอวี่เซาลังเลอยู่เล็กน้อย ด้วยความจนใจจึงได้แต่รับเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารชิ้นนั้นมา พลางเอ่ยหยอกเย้าว่า “เจ้านี่เป็นคนยังไงกันแน่ ข้าเริ่มจะสับสนแล้วนะ”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “ตอนเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรที่บ้านเกิด อาจารย์ที่สอนข้าเผาเครื่องปั้นเคยพูดหลักการข้อหนึ่งว่า หากเป็นน้ำใจ ยกวัวให้ไม่มีปัญหา หากเป็นการค้า เข็มเล่มหนึ่งต้องคิดราคา”

ซ่งอวี่เซาอึ้งตะลึง “หมายความว่าอะไร?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินๆ ว่า “ความหมายคือบอกว่าหากสนิทสนมกัน จะยกวัวให้เพื่อนเปล่าๆ ก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นการค้า แม้แต่เข็มเล่มหนึ่งก็ยังต้องจดลงในบัญชี”

หลักการที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายบ้านนอกบ้านนานี้ของหยางเหล่าโถวไม่มีบอกในตำรา แต่ตอนอยู่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ก่อนตายนักพรตจงเมี่ยวเคยได้พูดประโยคทำนองเดียวกันนี้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกว่าหลักการที่ค่อนข้างเรียบง่ายนี้ น่าจะไม่ผิด

ซ่งอวี่เซาหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ชี้หน้าเด็กหนุ่ม “เจ้าเด็กน้อย วันหน้าเจ้าต้องรวยมากแน่ๆ”

เฉินผิงอันยกสองมือกุมเป็นหมัด คลี่ยิ้มสดใส “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

ซ่งอวี่เซาลุกขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทางหมู่บ้านคงไม่รั้งตัวเจ้าไว้แล้ว ข้าจะไปสั่งความบางอย่าง จากนั้นไปที่เมืองเล็กด้วยกัน จะเลี้ยงหม้อไฟเจ้า หลังจากนั้นเจ้ากับเพื่อนก็ไปที่ท่าเรือเถอะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หลังจากผู้เฒ่าไปหาผู้ดูแลฉู่ เขาก็กลับไปที่ห้องของตัวเองในเรือนหลังเล็ก เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ ทิ้งยันต์สีทองที่เขียนไว้เรียบร้อยแล้วไว้บนโต๊ะแผ่นหนึ่ง คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ เด็กหนุ่มใช้จอกเหล้าวางทับมันเอาไว้

ตอนนั้นที่คนทั้งสองออกมาจากสนามรบ ยอมรับเงินหิมะน้อยจากผู้เฒ่าไว้สามร้อยเหรียญก็เพราะเฉินผิงอันต้องการให้ผู้เฒ่าสบายใจเท่านั้น

ไม่ว่าตอนนี้นิสัยของเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนไปมากน้อยเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่เคยแตะเหล้าสักหยดมาเป็นผีขี้เหล้าน้อยที่รู้ว่าสุราแบบไหนดีหรือไม่ดี ระดับสูงหรือต่ำ แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังคงตรงกับคำว่าแผ่นดินเปลี่ยนง่าย สันดานคนเปลี่ยนยาก บางทีต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปีหรือพันปีก็ยังอาจจะเป็นเช่นนี้

เสียเปรียบคือโชคอย่างหนึ่ง ความโลภคือการเสียผลประโยชน์ หลักการเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในตำรา อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ในตำราเล่มเดียวด้วย

สุดท้ายอริยะกระบี่ผู้เฒ่าของแคว้นซูสุ่ยก็หิ้วห่อเล็กๆ หนึ่งห่อและเหล้ารสเลิศมาสองไห คนทั้งสองมาเจอกันในลานบ้าน เฉินผิงอันบรรจุเหล้าใส่ไว้ในน้ำเต้าบรรจุเหล้าอีกครั้ง ยังเหลืออีกไหหนึ่งให้เอาไปกินที่ร้านหม้อไฟได้พอดี ผู้เฒ่าบอกว่าจะช่วยเขาถือห่อผ้าที่บรรจุเงินหิมะน้อยและของเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเอาไว้ก่อน

หลังออกมาจากลานบ้านของเรือนหลังเล็ก ผู้ดูแลเฒ่าที่มีเส้นผมขาวโพลนยืนอยู่ตรงหน้าประตู กุมหมัดเอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “จอมยุทธ์น้อยเฉิน วันหน้ามาเป็นแขกที่หมู่บ้านบ่อยๆ นะขอรับ นับจากปีนี้ไป หมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเราจะเตรียมเหล้าฮวาเตียวไว้ให้มากๆ หมักเก็บไว้เพื่อจอมยุทธ์น้อยโดยเฉพาะ รับรองว่าทุกครั้งที่มาจะได้ดื่มเหล้าหมักหลายปีที่มีรสชาติดั้งเดิมที่สุด”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะตอบ “จะไม่เกรงใจแน่นอน!”

ซ่งอวี่เซากับเฉินผิงอันพุ่งทะยานออกจากหมู่บ้านอีกครั้ง

ผู้ดูแลเฒ่ายืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหนเป็นนาน รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม หัวหน้าหมู่บ้านผู้เฒ่าวันนี้ช่างแตกต่างไปจากความเซื่องซึมของเมื่อหลายปีก่อนจริงๆ หัวหน้าหมู่บ้านผู้เฒ่าในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม มีชีวิตชีวาสดใสไม่ต่างจากในปีนั้นที่ท่องไปในยุทธภพ

ดังนั้นยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยเราจะต้องยังรุ่งโรจน์ไปอีกหลายสิบปีแน่นอน

ผู้เฒ่าเดินทอดน่องกลับไป ระหว่างทางได้เจอกับสาวใช้สองคนที่รับผิดชอบดูแลบ้านหลังนั้น ผู้ดูแลเฒ่าที่เดิมทีไม่ค่อยชอบพูดคุยยิ้มแย้ม เวลานี้กลับมีรอยยิ้มประดับใบหน้า ทำให้สาวใช้พกกระบี่คู่นั้นตกใจที่ได้รับความปราณีอย่างไม่คาดฝัน รู้สึกว่าพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตก

คนทั้งสองมาถึงเมืองเล็ก พอได้ข่าวพวกสายลับที่ราชสำนักสั่งให้แฝงตัวมาอยู่ที่นี่ก็ถอยกันออกไปเอง

ไปพบกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงที่ภัตตาคารแห่งนั้น คนทั้งสี่ยังคงมานั่งอยู่ที่ชั้นสอง กินหม้อไฟด้วยกัน เพราะคราวก่อนซ่งอวี่เซาป่าวประกาศชื่อแซ่ เจ้าของร้านจึงค่อนข้างมีท่าทีระมัดระวัง ถูกผู้เฒ่าด่ายิ้มๆ ด้วยคำพูดติดปากว่าเจ้าทึ่ม ถึงได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองสองสามส่วน จางซานเฟิงกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ จึงกินพลางน้ำตาไหลไปด้วย เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่ากินเหล้าช่วยแก้เผ็ดได้ ผลคือนักพรตหนุ่มพ่นเหล้าพรวดใส่เฉินผิงอันเต็มตัว

บนโต๊ะอาหาร ผู้เฒ่าเองก็ดื่มจนเมามาย ไม่ได้ใช้วรยุทธ์ขับไล่ฤทธิ์สุราที่อัดแน่นอยู่เต็มท้อง คอยยกจอกเหล้าชนกับเฉินผิงอันและอีกสองคนไม่หยุด

แถมยังพูดความในใจกับเฉินผิงอันมากมายไม่จบไม่สิ้น คิดถึงเรื่องไหนได้ก็พูดเรื่องนั้น

“เฉินผิงอันเอ๋ย เรื่องการพูดคุยด้วยเหตุผลนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนชื่นชอบนัก เด็กสาวไม่ชอบฟัง กับบุรุษก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ โลกนี้อยู่ยาก ความอัดอั้นสุมใจจนกลายเป็นไฟโทสะ ถึงเวลายังต้องฟังคนบ่น เจ้าว่าน่ารำคาญหรือไม่ล่ะ? เหตุผลไม่ถูกก็ยังพอทำเนา ทั้งๆ ที่รู้ว่าถูกแล้ว ทว่าตัวเองกลับทำไม่ได้ นั่นจะไม่ยิ่งทิ่มแทงใจกว่าหรอกหรือ?”

เด็กหนุ่มดื่มเหล้าบวกกับกินเผ็ดจนลิ้มเริ่มพันกันแล้ว เขาโต้กลับไปว่า “มีบางครั้งที่ข้าอาจจะยกเหตุผลมาพูด แต่ไม่เคยทะเลาะกับใครมาก่อนจริงๆ อย่างมากสุดก็แค่ตีกันเท่านั้น!”

ผู้เฒ่ายังกล่าวต่อว่า “หากวันหน้ามีแม่นางคนหนึ่งพูดกับเจ้าว่า เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคนดี…”

สีหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความรอคอย “แบบนั้นก็สำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ?”

ผู้เฒ่าตบโต๊ะ กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “เจ้าโง่หรือไง! สำเร็จกะผีน่ะสิ นั่นแสดงว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคนจบเห่แน่แล้ว!”

เด็กหนุ่มอึ้งงันเป็นไก่ไม้ จากนั้นก็รีบดื่มเหล้าระงับความตกใจ

หลังจากกินดื่มกันอิ่มหนำแล้ว คนทั้งสามก็บอกลากับซ่งอวี่เซาที่ปลายทางของถนนสายเล็ก

หลังจากที่เงาร่างของคนทั้งสามค่อยๆ จากไปไกล ซ่งเฟิ่งซานที่ตรงเอวมีกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาก็มาปรากฏกายอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเงียบๆ

ผู้เฒ่าทอดสายตามองไปไกล ถอนหายใจหนึ่งที

ซ่งเฟิ่งซานพูดเสียงเย็น “สรุปว่าข้าหรือเขากันแน่ที่เป็นหลานของท่าน?”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ

แม้คำพูดของซ่งเฟิ่งซานจะฟังดูคล้ายขุ่นเคือง แต่มุมปากกลับยกยิ้ม

ที่แท้ในห่อผ้าห่อนั้นของผู้เฒ่าบรรจุเงินหิมะน้อยเกือบสองพันเหรียญของหมู่บ้านวารีกระบี่ โดยที่ไม่มีเหลือไว้ในหมู่บ้านแม้แต่เหรียญเดียว

ตอนที่นั่งกินอาหาร เฉินผิงอันถูกผู้เฒ่าคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าตลอดเวลา ดื่มจนเมาแปล้ ตอนที่เดินฝีเท้ายังโซเซ ทั่วร่างคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจห่อผ้าใบเล็กที่สะพายเอียงๆ อยู่ด้านหลัง

คนเก่าแก่ในยุทธภพก็ยังเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ เด็กหนุ่มยังอ่อนหัดนัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version