บทที่ 249 เทพเซียนซื้อขาย วันหน้าพบกันใหม่
มาถึงระยะทางเจ็ดร้อยลี้ก่อนหน้าจะถึงหมู่บ้านวารีกระบี่ เนื่องด้วยเฉินผิงอันมีเรื่องให้คิดหนัก คนทั้งสามจึงเดินทางกันอย่างเซื่องซึม การเดินทางไปยังท่าเรือตระกูลเซียนที่ชายแดนในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งราวฟ้ากับเหว นั่นเพราะคนทั้งสามพูดคุยกันอย่างเปิดอกมากขึ้น ทุกคนต่างก็เปิดเผยความลับมากมายของตัวเอง ความสัมพันธ์จึงยิ่งแน่นแฟ้น ต่อให้เป็นโศกนาฎกรรมที่สหายตายเกลี้ยง คืนหนึ่งที่นอนพักค้างแรมบนยอดเขา สวีหย่วนเสียก็เล่ามาบางส่วน ส่วนจางซานเฟิงเองก็เล่าถึงตระกูลและสำนักของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เขารับน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่เฉินผิงอันมอบให้มาแล้วดื่มเหล้าอึกใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงฮั่วหลงเจินเหรินอาจารย์ของเขาที่เอ่ยถึงแต่เรื่องร้ายๆ ของอีกฝ่าย สบถด่าไม่หยุด เพียงแต่ว่าแม้ปากจะไม่ไว้ไมตรี แต่บนใบหน้าของนักพรตหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความคิดถึง วางกระบี่ไม้ท้อพาดขวางไว้บนหัวเข่า ตอนที่พูดถึงเรื่องที่ซาบซึ้งใจก็ได้แต่ดื่มเหล้าปกปิดน้ำตาที่เอ่อคลอ
ระหว่างนี้นักพรตหนุ่มยังจามอยู่หลายครั้ง ชายฉกรรจ์เคราดกเอ่ยเย้าว่า ทำไม อาจารย์เจ้าอยู่ไกลถึงหนึ่งทวีปกางกั้น ยังจะได้ยินคำบ่นของเจ้าด้วยหรือ? หรือว่าเป็นเทียนซือฝ่ายนอกคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์? จางซานเฟิงตอบอย่างขุ่นเคืองว่า เทียนซืออะไรกัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตาแก่นั่นไม่เคยไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเลยสักครั้ง วันๆ เอาแต่พร่ำพูดว่าจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่ภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นปฐมสำนัก แต่ถ้าวันนี้ไม่ปวดเอว พรุ่งนี้ก็ปวดขา ไม่ก็นอนกรนครอกๆ ทุกครั้งที่นอนก็นอนได้นานถึงสิบวันครึ่งเดือน ครั้งที่ยาวที่สุดคือด้านล่างภูเขามีหิมะตกหนักติดต่อกันถึงสองเดือน ตาแก่นั่นก็ยืนอยู่ริมหน้าผาท่ามกลางลมหิมะหลับไปนานถึงสองเดือนเต็ม รอจนหิมะละลายจนสิ้นแล้วถึงได้ตื่นขึ้นมา ก่อนหน้านั้นเดิมทีพวกลูกศิษย์ได้เตรียมตัวกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะติดตามอาจารย์เดินทางไกลไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์ตามหมายกำหนดการ ผลกลับกลายเป็นว่าทุกอย่างที่เตรียมการไปล้วนเสียเวลาเปล่า สรุปก็คือผู้เฒ่าไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่นิดเดียว เสียงบ่นด้วยความไม่พอใจของเหล่าลูกศิษย์กระหึ่มไปทั่ว พวกเขาพยายามจะพูดถึงเรื่องนี้อ้อมๆ อยู่หลายครั้ง แต่ตาเฒ่ากลับทำเป็นหูทวนลม ประมาณว่าพวกเจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดไป ก็แค่ลมโชยพัดผ่านขุนเขา
เฉินผิงอันเองก็เป็นฝ่ายเล่าถึงฉีจิ้งชุน เพราะถึงอย่างไรคืนนั้นฉีจิ้งชุนได้ปรากฎตัวในวัดร้างของแคว้นซูสุ่ยก็ถือว่าได้พบหน้าสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงแล้ว
แต่พอพูดถึงถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเป็นบ้านเกิดของตน เขากลับเล่าแค่ว่าตนเกิดและโตมาที่นั่น บอกว่าฉีจิ้งชุนสอนหนังสือมากมายที่โรงเรียน
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่เต็มใจที่จะเล่า เพียงแค่ไม่กล้าพูดมาก เพราะหากให้เล่าแบบหมดเปลือกจริงๆ และยิ่งมีสุราให้ดื่มแบบนี้ เขาคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ฉีให้สหายทั้งสองฟังได้ทั้งคืน
ระยะทางสั้นๆ ระหว่างที่เดินทางกับเด็กหนุ่มชุยฉาน ลูกศิษย์หน้าหนาผู้นั้นค่อนแคะที่เฉินผิงอันเงียบขรึมไม่ชอบพูดชอบคุย จึงมักจะแกล้งมาบ่นให้เขาฟังต่อหน้า พูดเรื่องมากมายเกี่ยวกับบนภูเขา ยกตัวอย่างเช่นแผนการ ‘น่าสนใจ’ ที่เหล่าอริยะของเมธีร้อยสำนักวางไว้ในแต่ละทวีปใหญ่ ต่อให้ทุกครั้งเด็กหนุ่มชุยฉานจะพูดแค่ครึ่งๆ กลางๆ พูดทีละเล็กทีละน้อย จงใจไม่พูดอย่างชัดเจน เป็นเหตุให้เรื่องวงในที่แท้จริงเหล่านั้นเป็นดั่งมังกรที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ แต่เฉินผิงอันกลับรู้ถึงความหนักเบาและความจริงจังของเรื่องเหล่านี้แล้ว
เฉินผิงอันยังเล่าเรื่องที่ตัวเองต่อยน้ำตกและขอบเขตเพิ่มสูงขึ้นด้วย
สวีหย่วนเสียเป็นคนบนวิถีวรยุทธ์จึงตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะพอคาดการณ์ได้มาก่อนแล้ว แต่ก็ยังยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน บอกว่าอนาคตยาวไกล ตำแหน่งปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตหลอมจิตวิญญาณย่อมหนีไปไหนไม่พ้นแน่นอน
เห็นสีหน้ามึนงงของจางซานเฟิงแล้ว สวีหย่วนเสียก็ยกตัวอย่างให้ฟัง บอกว่าด้วยขอบเขตของเฉินผิงอันในเวลานี้ หากเอาไปไว้บนภูเขา นั่นก็เท่ากับว่าใกล้จะฝ่าคอขวดของห้าขอบเขตล่างไปได้แล้ว เพียงแค่ก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าวก็อาจจะเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตขอบเขตที่หกได้ทุกเมื่อ จางซานเฟิงถึงเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง จากนั้นนักพรตหนุ่มก็เริ่มโอดครวญ บอกว่าตนมุมานะฝึกตนทุกวัน แต่ความสำเร็จถูกสุนัขคาบไปกินหมดเลยหรือไง?
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ ร่วมด้วยช่วยกันกับชายฉกรรจ์เคราดกถากถางจางซานเฟิง
เพราะจางซานเฟิงไม่จำเป็นต้องให้ใครปลอบใจ อันที่จริงไอ้หมอนี่มีจิตใจแข็งแกร่งไม่ต่างจากเฉินผิงอัน ไม่เคยกลัวฟ้าไม่เคยเกรงดิน กลัวแค่เรื่องเดียวคือ ในกระเป๋าไม่มีเงิน กินไม่อิ่มท้อง
หากจะให้เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ของนักพรตหนุ่ม หลายครั้งที่กำจัดปีศาจปราบมารล้วนทำได้ไม่ดีพอ มโนธรรมในใจเขาจึงยากที่จะสงบลงได้
หลังจากนั้นมาคลื่นลมก็สงบไปตลอดทาง เมื่อผ่านมรสุมเรื่องประหลาดที่เมืองแยนจือมาได้แล้วยังได้ไปชมความครึกครื้นที่หมู่บ้านวารีกระบี่ เวลาเดินทางจึงกลับกลายเป็นว่าคนทั้งสามรู้สึกเหงาเล็กน้อย ยังดีที่ไม่นานก็มาถึงด่านริมชายแดนแห่งนั้น อีกอย่างคนทั้งสามก็มีเอกสารผ่านแดนที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ แม้ว่าจะยังมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่ก็ยังสามารถเดินผ่านประตูเมืองเข้าไปยังจวนแม่ทัพภาคได้อย่างราบรื่น
ในห่อผ้าที่ซ่งอวี่เซามอบให้ นอกจากเงินหิมะน้อยเกือบสองพันเหรียญแล้ว ยังมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับที่ผู้เฒ่าเขียนเองกับมือ ขอแค่เฉินผิงอันมอบให้กับจวนแม่ทัพภาคของแคว้นซูสุ่ยที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนก็จะได้รับการอนุญาตจากทางราชสำนักให้เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามเอง
พอมาถึงหน้าประตูจวนที่ปิดสนิท เฉินผิงอันก็เดินไปพูดคุยกับคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตู คิดไม่ถึงว่าพวกทหารชายแดนเหล่านี้จะฟังภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปไม่รู้เรื่อง ส่วนเฉินผิงอันก็พูดภาษาทางการของแคว้นซูสุ่ยไม่เป็น จึงเหมือนไก่กับเป็ดที่คุยกันคนละภาษา สถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง ยังดีที่ทหารหน้าประตูบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ แล้วให้คนเข้าไปรายงานด้านใน เพียงไม่นานผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราคนหนึ่งก็เดินออกมา ผู้เฒ่าเชี่ยวชาญภาษาทางการของทวีป เฉินผิงอันส่งมอบจดหมาย ‘สำหรับแม่ทัพภาคใหญ่’ ลงท้ายด้วยชื่อของซ่งอวี่เซาแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ไปให้ผู้เฒ่า
กุนซือเฒ่ารับจดหมายฉบับนั้นมาด้วยสองมือ แล้วรีบพาคนทั้งสามไปนั่งที่ห้องรับรองแขกอย่างไม่กล้าเพิกเฉย หลังจากยกน้ำชามาวางแล้วถึงได้รีบวิ่งเร็วๆ ไปยังห้องทำงานที่แม่ทัพภาคใช้จัดการงานในกองทัพ ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็มีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยผิวดำเกรียมคนหนึ่งเดินมา เขาทั้งไม่ได้สวมเสื้อเกราะ แล้วก็ไม่ได้สวมชุดขุนนางฝ่ายบู๊ สีหน้าเฉยเมย ในมือกำตราประทับทองสัมฤทธิ์สามชิ้น มาถึงก็มอบมันให้กับเฉินผิงอันแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
ตอนที่คนทั้งสามออกมาจากจวนแม่ทัพภาคมณฑล เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงยังมึนงงอยู่เล็กน้อย แม่ทัพภาคแคว้นซูสุ่ยที่หน้าตาไม่โดดเด่นคนนั้นทำอะไรรวดเร็วฉับไวเกินไปแล้ว
ชายฉกรรจ์เคราดกที่ตรงเอวพกทั้งดาบสั้นและดาบยาวเอ่ยอธิบายว่า “แม่ทัพในสนามรบที่ไต่จากระดับล่างสุดไปยังตำแหน่งสูงได้นั้น ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีนิสัยชอบคุยโวโอ้อวด”
จากนั้นเขาก็หัวเราะ “หากเป็นในวงการขุนนาง นี่เรียกว่าพวกผู้ดีพูดจาเนิบช้า” (พวกผู้ดีเวลาจะพูดอะไรต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดเสียก่อน กว่าจะพูดได้จึงช้ามาก)
จางซานเฟิงพูดเสียงขุ่น “เขาไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว เนิบช้าอะไรกัน”
เฉินผิงอันเคยเล่าเรื่องมรสุมในหมู่บ้านวารีกระบี่มาก่อน พวกเขาจึงรู้ท่าทีที่ราชสำนักมีต่อหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้สวีหย่วนเสียจึงอดทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังไม่ได้ “ในช่วงเวลาแบบนี้ยังยอมพบหน้าพวกเรา แถมยังยอมมอบตราประทับผ่านด่านมาให้สามชิ้น ก็ถือว่าแม่ทัพภาคผู้นี้มีคุณธรรมมากแล้ว และแสดงว่าต้องสนิทสนมกับอริยะกระบี่ซ่งมากแน่ๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย “คนที่เป็นเพื่อนกับผู้อาวุโสซ่งได้ ต้องไม่ใช่คนเลวร้ายแน่นอน”
สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงหันมายิ้มให้กัน ฝ่ายหลังจุ๊ปากพูดว่า “เฉินผิงอัน ประโยคนี้ของเจ้าเข้าใจพูดนักนะ รู้จักพูดชมตัวเองอ้อมๆ แล้ว?”
เฉินผิงอันจึงพูดอีกว่า “คนที่เป็นเพื่อนกับเพื่อนของผู้อาวุโสซ่งได้ก็ไม่น่าจะแย่”
สวีหย่วนเสียชูนิ้วโป้ง “ประโยคนี้กล่าวได้อย่างมีคุณธรรม น่าเชื่อถือ!”
จางซานเฟิงโอบไหล่เฉินผิงอัน กล่าวชื่นชมว่า “พลิกแพลงได้ดังใจปรารถนา ไม่มีช่องว่างให้โจมตี!”
คนทั้งสามหัวเราะเสียงดังเดินออกจากด่านผ่านทางประตูทิศใต้ มุ่งหน้าลงใต้ต่ออีกครั้ง ตรงเอวของคนทั้งสามต่างก็ห้อยตราประทับชิ้นนั้น
หลังจากเดินทางไปได้อีกร้อยกว่าลี้ก็จะเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามอันเป็นอาณาเขตของท่าเรือตระกูลเซียน
มาถึงบนภูเขาลูกเล็กแห่งหนึ่งหลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง คนทั้งสามก็หยุดพัก เฉินผิงอันก่อไฟทำอาหาร ระหว่างนี้มีคนแอบมองพวกเขาอยู่ไกลๆ แต่คงเป็นเพราะเห็นตราประทับตรงเอว จึงจากไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่กล้ามีความคิดชั่วร้ายแอบแฝงอีก
คนทั้งสามกินข้าว แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า กำลังจะเข้าสู่ท่าเรือที่มีผู้ฝึกลมปราณมากมายมารวมตัวกัน ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า
สวีหย่วนเสียเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อมาส่งเฉินผิงอันกับจางซานเฟิงเสียมากกว่า แต่หากมีเรือข้ามฟากไปยังแคว้นชิงหลวนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปย่อมดีที่สุด ส่วนเรื่องร้านขายสมบัติอาคมที่ท่าเรือ สวีหย่วนเสียคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง อีกทั้งตอนนี้ยังมีอาวุธเทพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น เขาจึงไม่รู้สึกสนใจอีกต่อไปแล้ว
ส่วนจางซานเฟิงที่นอกจากจะซื้อกระบี่ที่สามารถทั้งรุกและรับได้แล้ว ยังต้องการซื้อยันต์หายากประเภทเดียวกับยันต์เทพเดินทางอีกส่วนหนึ่ง รวมไปถึงหาคนตั้งราคาตะเกียบไม้ไผ่เสินเซียวจากภูเขาชิงเสินคู่นั้น ส่วนถ้วยขาวที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณให้เป็นน้ำค้างหวาน รวมไปถึงเม็ดเสื้อเกราะแคว้นกู่อวี๋ที่เฉินผิงอันกึ่งขายกึ่งยกให้ชิ้นนั้น นักพรตหนุ่มไม่มีทางขายอย่างแน่นอน สมบัติสองชิ้นนี้เขาไม่คิดจะหยิบออกมาด้วยซ้ำ คนอื่นจะได้ไม่เกิดใจละโมบคิดอยากครอบครอง แทนที่จะเป็นเรื่องดีอาจกลายเป็นสร้างหายนะให้กับตัวเอง
ส่วนทางฝ่ายของเฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีทางแตะต้องของที่เอามาจากภูเขาลั่วพั่วแม้แต่ชิ้นเดียว
หินดีงูชั้นดีที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพนำไปคืนให้บนเรือคุนย่อมต้องเก็บไว้ หลังจากถ้ำสวรรค์หลีจูหล่นลงสู่พื้นดิน ในลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝูต่างก็ไม่เหลือหินดีงูให้เห็นแม้แต่ก้อนเดียว ล้วนกลายเป็นหินธรรมดาไปทั้งหมด ได้ยินว่าหินดีงูมีเฉพาะในถ้ำสวรรค์หลีจู นี่หมายความว่าทุกครั้งที่ใช้หมดไปหนึ่งก้อนก็เท่ากับว่าลดน้อยลงไปหนึ่งก้อน ตอนนี้เฉินผิงอันรู้จักหลักการกักตุนของไว้เก็งกำไรแล้ว ยิ่งเอาออกขายช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กำไรมากเท่านั้น
หัวใจแห่งบุ๋นร่างทองที่เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองเมืองแยนจือมอบให้ยิ่งต้องเก็บไว้ให้ดี เศษชิ้นส่วนร่างทองสีเงินและสีทองที่ทยอยได้มาสองครั้งก็ห้ามเอาออกมาให้ใครเห็นเช่นกัน
ตราเทียนซือที่ด้านบนสลักคำว่า ‘ตราประทับเสี่ยวโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ เสิ่นเวินให้ความสำคัญมากที่สุด ถึงขนาดเอ่ยคำว่า ‘มีเพียงผู้มีคุณธรรมถึงจะได้ครอบครองอาวุธเทพ’ ว่ากันว่าตราประทับนี้ต้องใช้พร้อมกับเวทห้าอสนีถึงจะสามารถสำแดงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ อันที่จริงตอนแรกเฉินผิงอันนึกถึงจางซานเฟิงนักพรตฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ รวมไปถึงหลินโส่วอีที่ตอนนี้ไปขอศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาซานหยา แต่ก็ฝึกตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ไปพร้อมกันด้วย แต่พอเฉินผิงอันลองใคร่ครวญดูแล้ว ใช่ว่าเขาจะตัดใจมอบให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ แค่รู้สึกว่าไม่เหมาะ เขาคิดว่าต่อให้จะมอบให้ใครก็ควรต้องไว้ว่ากันภายหลัง คงต้องรอให้เฉินผิงอันเข้าใจก่อนว่าอะไรคือ ‘ผู้มีคุณธรรม’ แล้วค่อยดูว่าเมื่อถึงเวลานั้น ระหว่างจางซานเฟิงกับหลินโส่วอี ใครที่คู่ควรกับสามคำนี้มากกว่ากัน
หากเป็นเมื่อก่อน เฉินผิงอันคงยกให้ทันทีโดยไม่คิดอะไรให้ยุ่งยาก
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
ส่วนท่อนไม้สีดำที่ถูกสายฟ้าฟาด แต่ก็ยังมีพลังชีวิตเหลืออยู่ ถ้วยใหญ่สีขาววาดภาพห้าขุนเขา ยันต์แผ่นที่เก็บร่างของผีงามโครงกระดูก เฉินผิงอันจะเอาออกมาสอบถามราคาว่าแต่ละชิ้นสามารถซื้อได้กี่เหรียญเงินหิมะน้อย ส่วนจะขายได้คุ้มค่าหรือไม่ ถึงเวลานั้นเชื่อว่าว่าร้านค้าที่ท่าเรือคงไม่ถึงกับบังคับซื้อขายกัน
เงินเกล็ดหิมะเกือบสองพันเหรียญจากหมู่บ้านวารีกระบี่ บวกกับเงินเกล็ดหิมะและเงินร้อนน้อยจากเด็กชายชุดเขียว เมื่อเอามารวมกันแล้วก็ได้ประมาณสี่พันเหรียญเงินหิมะน้อย
พอเฉินผิงอันคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้อารมณ์ดีขึ้นมา
เพียงแต่ว่าพอเขาคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งก็อารมณ์ดีไม่ออกอีก
เว่ยป้อและผู้เฒ่าแซ่ชุยต่างก็เคยพูดในทำนองเดียวกันว่า ก่อนที่เฉินผิงอันจะไปถึงภูเขาห้อยหัวต้องเลื่อนสู่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ให้ได้เสียก่อน เพราะมีเพียงทำแบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะหยัดยืนอยู่บนกำแพงเมืองได้อย่างมั่นคง ใช้ปณิธานกระบี่อันไร้รูปลักษณ์ที่เปี่ยมล้นของใต้หล้าไพศาลมาหล่อหลอมเรือนกาย สร้างพื้นฐานของจิตวิญญาณให้แน่นหนา ซึ่งไม่ว่ากับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสามหลอมลมปราณคนใดก็ล้วนมีผลประโยชน์มหาศาล ตามคำบอกของผู้เฒ่า หากยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็อย่าไปที่กำแพงเมืองให้อับอายขายขี้หน้าคนอื่นเลย ต่อให้เดินขึ้นไปได้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถคลานกลับลงมา มอบกระบี่ให้แม่นางคนนั้นที่ด้านล่างกำแพงเมืองปราณกระบี่เสร็จ เขาเฉินผิงอันก็คงได้แต่เบิกตากว้างๆ มอง แล้วรีบไสหัวกลับมาเป็นราชันแห่งขุนเขาลั่วพั่วแต่โดยดีเท่านั้น
แต่เฉินผิงอันอยากจะอยู่ที่นั่นให้นานสักหน่อย
เพียงไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านถนนเบื้องล่างภูเขา มีประมาณเจ็ดแปดคน ทั้งเด็กและคนแก่ล้วนมีหมด การแต่งกายแตกต่างกันไป แต่ละคนดูไม่เหมือนคนธรรมดา คนทั้งสามที่อยู่บนเนินเพียงแค่ชำเลืองมองครั้งเดียวแล้วก็ไม่มองอีก
ออกมานอกบ้าน ต้องระวังนักพรตเต๋าและหลวงจีน ขึ้นเขาข้ามแม่น้ำ หลีกเลี่ยงเด็กและสตรีแต่งงานแล้ว
นี่คือกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของบนภูเขา หากเจอคนบนเส้นทางเดียวกันที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว เพราะสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเจอกับคนที่อารมณ์ร้ายหรือไม่
คนพวกนั้นก็กวาดตามองคนทั้งสามแล้วก็ไม่พินิจพิจารณาอะไรให้มากความเช่นกัน
แม้ว่าจะยังไม่ถึงท่าเรือ แต่ระยะทางแค่ไม่กี่สิบลี้ จะเดินได้อีกนานเท่าไหร่กัน? การจากลาใกล้จะมาถึง เดิมทีตกลงกันแล้วว่าจะไม่ดื่มเหล้า แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันเคยชินที่จะดื่มเหล้าแล้ว จางซานเฟิงจึงพูดว่าจะดื่มเหมือนกัน เฉินผิงอันจึงส่งน้ำเต้าไปให้ ผลคือสวีหย่วนเสียก็ขอดื่มหนึ่งคำ จึงเวียนกันไปมาอยู่แบบนี้ คนทั้งสามนั่งอยู่บนยอดเขาขนาดเล็ก ผลัดกันดื่มเหล้าคนละคำ ดื่มเงียบๆ ไม่หยุด
สุดท้ายชายฉกรรจ์เคราดกพึมพำว่า “ข้าเคยเป็นคนในกองทัพ แถมยังอยู่ในกองทัพชายแดนที่มีสงครามไม่ว่างเว้น แค่เพราะทนรับกับการที่คนข้างกายต้องตายทุกวันไม่ไหว ถึงได้เริ่มออกมาท่องอยู่ในยุทธภพ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังมีคนตายอยู่ดี พวกเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ข้าสวีหย่วนเสียเกิดในตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ จึงถือเป็นคนประเภทโยนพู่กันไปเข้าร่วมกับกองทัพ แน่นอนว่าตระกูลของข้าไม่ใช่ตระกูลใหญ่สูงศักดิ์อะไร แต่ก็ถือว่ามีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น หลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้กลับบ้าน ครอบครัวดีๆ ที่บิดามารดาต่างก็มีสุขภาพแข็งแรง ตอนนี้กลับเหมือนกลายไปเป็นภูมิลำเนาเดิมไปแล้ว”
ชายฉกรรจ์ดื่มเหล้าจนเหล้าเปรอะไปทั่วเคราที่รกรุงรัง เขานั่งขัดสมาธิ สายตาหม่นมัว “ช่วงเวลาที่เป็นทหารอยู่ชายแดน ตำราที่ข้าเคยเล่าเรียนมามีการอธิบายถึงความจงรักภักดีต่อบ้านเมืองอยู่บ้าง พวกสหายในกองทัพส่วนใหญ่ล้วนไม่พูดคุยเรื่องพวกนี้ พวกเขาเอาแต่สร้างคุณความชอบทางการทหาร มุ่งมั่นเก็บเงิน ไม่ก็พยายามแก้แค้นให้กับพี่น้องที่ตายไป ฆ่าศัตรูในสนามรบก็คือแค่ฆ่าจริงๆ มีแต่ความสะใจ ทว่าหากถูกศัตรูฟันหนึ่งดาบ ยิงลูกธนูใส่หนึ่งดอก เวลาที่ดึงลูกธนูออกแล้วเย็บแผลกลับไม่สะใจแล้ว ลูกผู้ชายตัวโตๆ นอนอาบเลือดอยู่ในกระโจมทหารบาดเจ็บ ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ใครก็หัวเราะเยาะใครไม่ออก…”
นักพรตหนุ่มทิ้งตัวนอนไปข้างหลัง เขาดื่มเหล้าอีกไม่ได้จริงๆ แล้ว เฉินผิงอันคงแบกคนสองคนพร้อมกันไม่ไหวกระมัง เหม่อมองท้องฟ้าสีครามสดใสพลางเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์มักจะบอกว่าข้าฉลาด มีฐานกระดูก ปีนั้นไม่ไปสอบเคอจวี่ แต่ขึ้นเขามาฝึกตน ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางเสียเปรียบแน่ แต่ข้ารู้ซะเมื่อไหร่ว่าความฉลาดและฐานกระดูกของข้าอยู่ที่ไหน หากพวกมันถูกสุนัขคาบไปกินเหมือนกัน ข้าก็อยากจะขอสุนัขพวกนั้นจริงๆ ว่าคืนมันมาให้ข้าเถอะ พวกเจ้าเอาไปก็ใช้ไม่ได้ แต่ข้าจางซานเฟิงที่ต้องลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารต้องใช้มันนี่นา เมื่อมีตบะก็ไม่ต้องรู้สึกละอายใจอีกแล้ว ไม่ต้องกลัวอีกแล้วว่าพวกชาวบ้านที่จ่ายเงินจ้างข้าจะต้องพลัดพรากจากครอบครัว ไร้ที่พึ่งที่ปลอดภัยอีก…”
เฉินผิงอันมีข้อดีอย่างหนึ่งเวลาดื่มเหล้า นั่นคือต่อให้ดื่มมากแค่ไหน ก็จะยิ่งพูดน้อยมากกว่าเดิม
ดังนั้นเขาจึงรับฟังความในใจจากเพื่อนทั้งสองเงียบๆ เขานั่งอยู่บนพื้น ใช้สองมือกอดน้ำเต้าบรรจุเหล้า ทอดสายตามองไปไกล มองไปทางทิศเหนือครู่หนึ่ง แล้วก็หันกลับไปมองทางทิศใต้ นาทีนี้เฉินผิงอันกลับไม่มีความกลัดกลุ้มมากนัก
สุดท้ายตอนที่ลงจากภูเขาไปท่าเรือตระกูลเซียน นักพรตหนุ่มที่คิดว่าตัวเองจะเมาจนขาดสติไม่ได้เด็ดขาดก็ต้องให้ชายฉกรรจ์เคราดกเป็นคนแบกลงไป
ฝีเท้าของสวีหย่วนเสียนับว่ายังมั่นคง เพียงแต่ว่ายังพูดจ้อไม่หยุด ท่องบทกลอนของกองทัพชายแดนหลายบท สุดท้ายพูดว่า “เหล้าอร่อยพันจอกขาด เอิ้ก…”
เรอหนึ่งทีแล้วก็ไม่มีประโยคถัดไปอีก
เฉินผิงอันจึงรับคำต่อด้วยรอยยิ้ม “สาวงาม…แค่สองคนก็มากแล้วนะ”
สวีหย่วนเสียมองค้อน “น่าเสียดายตำแหน่งเซียนกระบี่โดยแท้!”
เฉินผิงอันรีบแก้ไขให้ถูกทันที “ต้องเซียนกระบี่ใหญ่!”
นักพรตหนุ่มละเมอพูดเบาๆ ว่า “ยังมีเทียนซือใหญ่ด้วย…”
……
ท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซีนี้กลับเป็นเมืองเล็กๆ เจริญรุ่งเรืองที่ไม่มีกำแพงเมืองโอบล้อมแห่งหนึ่ง นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเห็นภาพลวงตาเหมือนได้ย้อนกลับยังหลงเฉวียนบ้านเกิด บนถนนมีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ อันที่จริงผู้ฝึกลมปราณไม่ถือว่ามีมากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนธรรมดาที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มานานหลายปี รวมไปถึงพวกพ่อค้าจากสถานที่ต่างๆ บนถนนทุกเส้นมีแต่ร้านค้า เมื่อมาถึงเมืองเล็ก จางซานเฟิงก็ตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ส่วนเฉินผิงอันและสวีหย่วนเสียต่างก็สร่างเมากันนานแล้ว
สวีหย่วนเสียเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “พวกเราไม่ต้องหาสามร้านเพื่อเปรียบเทียบราคากันแล้ว เอาร้านที่อยู่ในทำเลดีที่สุดและร้านใหญ่ที่สุดไปเลย”
นี่คือประสบการณ์ที่มีค่าในยุทธภพ
จากนั้นคนทั้งสามก็เจอร้านใหญ่ที่แขวนกรอบป้ายหน้าร้านว่า ‘หอชิงฝู’ (ชิงฝูคือเงินเหรียญกษาปณ์ของสมัยโบราณ) ตัวร้านสูงห้าชั้น มีลักษณะคล้ายนกกระเรียนในฝูงไก่ที่โดดเด่น อีกทั้งพื้นที่ยังกว้างขวางอย่างมาก ด้านหลังหอยังมีเรือนขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่ง ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า และดูเหมือนว่าจะมีเสียงน้ำไหลด้วย เพียงแต่ยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของมัน
หน้าประตูมีกลอนคู่แปะไว้ว่า ‘ไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา ราคาร้านข้ายุติธรรม ใจเขาใจเรา ลูกค้าโปรดกลับมาใหม่’
ตกลงว่าเลือกหอชิงฝูแห่งนี้นี่แหละ!
หน้าประตูร้านไม่มีลูกจ้างคอยเรียกลูกค้า แต่พอคนทั้งสามเดินเข้าไปในห้องโถงที่เย็นฉ่ำ เพียงไม่นานก็มีสตรียังสาวสวมอาภรณ์หรูหราคนหนึ่งเดินนวยนาดมาหา บนไหล่ทั้งสองข้างของนางมีแมลงสีเขียวตัวหนึ่งเกาะอยู่ข้างละตัว ประหนึ่งทำมาจากหยกสลัก นางถามโดยใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปโดยตรง “ลูกค้าทั้งสามท่านต้องการนำสมบัติมาตรวจสอบหรือต้องการซื้อของในร้านเจ้าคะ?”
เมื่อสตรีเอ่ยถาม แมลงสีเขียวสองตัวก็เริ่มขยับปีกบินวนเวียนไปรอบคนทั้งสี่ ส่งเสียงหวี่ๆ แผ่วเบา
ทำอย่างนี้ก็เพื่ออำพรางบทสนทนาของสองฝ่าย ไม่ให้ลูกค้าคนอื่นในร้านได้ยิน
สวีหย่วนเสียยิ้มตอบ “ตรวจสอบของก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยดูของสะสมในร้านของพวกเจ้า หากมีชิ้นไหนที่เหมาะสม อีกทั้งราคายังยุติธรรม พวกเราค่อยซื้อก็ยังไม่สาย”
สตรีแต่งงานแล้วชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่ง เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “ตรวจสอบอาวุธหนักที่ชั้นหนึ่ง อาวุธวิเศษอยู่ที่ชั้นสอง สมบัติอาคมอยู่ที่ชั้นสาม บันไดอยู่ตรงนั้น ทั้งสามท่านเลือกได้ตามสบาย ข้าจะติดตามไปตลอดทาง”
สวีหย่วนเสียพยักหน้ารับแล้วก้าวยาวๆ ไปทางบันได แน่นอนว่าต้องหยุดอยู่ที่ชั้นสอง ต่อให้อาวุธวิเศษจะดีแค่ไหนก็ยังต้องมีราคาตั้งต้น หากในร่างมีสมบัติอาคมตระกูลเซียน? ต่อให้เฉินผิงอันและจางซานเฟิงคิดจะซื้อ ชายฉกรรจ์เคราดกก็ไม่มีทางแนะนำให้มาทำการซื้อขายกันที่ท่าเรือแห่งนี้
สตรีแต่งงานแล้วติดตามมาด้านหลังคนทั้งสามพร้อมรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าตลอดเวลา
ในเมื่อตรงไปที่ชั้นสอง ถ้าอย่างนั้นตนก็โชคดีไม่น้อย เพราะพอจะได้กำไรบ้างแล้ว
สายตาของหญิงสาวหน้าตาดีคนอื่นๆ ที่ถูกจัดไว้ในชั้นหนึ่งแสดงความอิจฉาออกมาเล็กน้อย แต่เรื่องการรับรองแขกในแต่ละวัน หอชิงฝูล้วนมีการจัดระเบียบมาไว้ตั้งแต่ต้น เส้นทางการหาเงินใหญ่หรือเล็กต้องอาศัยโชคของตัวพวกนางเอง แต่ว่าหากคิดรวมตลอดทั้งปีก็มีรายได้ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ต่อให้มีคนที่รวยแบบพรวดพราด ด้วยกฎบรรพชนที่สืบทอดต่อกันมานับห้าร้อยปีของหอชิงฝูก็ไม่มีทางที่จะบอกให้คนอื่นรู้ เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นหลุดปากพูดออกมาเอง
มาถึงชั้นสอง หญิงสาวก็เริ่มเดินนำทางไปข้างหน้าอีกครั้ง บนระเบียงปูด้วยพรมปักดิ้นที่มีถิ่นกำเนิดมาจากแคว้นไฉ่อี ดูจากฝีมือการทอแล้วไม่ต่างจากผืนที่อยู่ในหมู่บ้านวารีกระบี่แม้แต่น้อย นางเดินนำคนทั้งสามไปหยุดที่หน้าประตูของห้องห้องหนึ่งแล้วเคาะประตูเบาๆ พอได้ยินเสียงอนุญาตจากน้ำเสียงแก่ชรา นางก็ผลักประตูเปิดเข้าไป ส่วนตัวนางเองยืนอยู่ตรงหน้าประตู รอจนพวกชายฉกรรจ์สามคนข้ามธรณีประตูเข้าไปแล้วถึงได้ปิดประตูตามหลังเบาๆ
ในห้องมีโต๊ะใหญ่อยู่หนึ่งตัว ด้านหลังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งท่าทางมีกำลังวังชานั่งอยู่ มีกระถางธูปเล็กๆ หนึ่งใบที่ควันธูปลอยกรุ่น และยังมีกระถางต้นบอนไซอีกหนึ่งกระถาง กิ่งก้านของต้นบอนไซคดเคี้ยว แผ่กิ่งขยายออกไปยาวเหยียด และบนกิ่งยังมีคนจิ๋วใส่ชุดสีเขียวนั่งเรียงกันเป็นแถว เดิมทีพวกเขากำลังซุบซิบพูดคุยกันเอง พอเห็นว่ามีแขกมาเยือนก็ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วประสานมือคารวะ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “ยินดีต้อนรับท่านลูกค้าที่มาเยือนห้องของพวกเรา ขอให้ท่านร่ำรวยเงินทอง!”
ไม่เสียแรงที่เป็นฝีมือของตระกูลเซียน
ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้เห็นถึงกับอึ้งตะลึง
สวีหย่วนเสียเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพแล้ว จึงรู้เรื่องวงในที่ถูกอำพรางไว้เป็นอย่างดี ส่วนจางซานเฟิงเดิมทีก็เป็นคนบนภูเขาอยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้จะจนมาก ทว่าตอนที่ฝึกบำเพ็ญตนอยู่ในสำนักก็เคยเห็นอะไรมาไม่น้อย
ดังนั้นคนที่แสดงท่าทางบ้านนอกคอกนาจึงมีเพียงเฉินผิงอันแค่คนเดียว
เพียงแต่นี่เป็นแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ความสนใจของสตรียังสาวอยู่ที่สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงเสียมากกว่า ด้วยรู้สึกว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่สวมรองเท้าแตะน่าจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ได้รับโชควาสนามาเล็กน้อยถึงได้มาเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน ไม่จำเป็นต้องให้นางใส่ใจมากนัก
ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “ตรวจสอบสมบัติ? อาวุธวิเศษอะไร ข้าเชี่ยวชาญการตรวจสอบวัตถุทองสัมฤทธิ์ ภาพตัวอักษรและวัสดุอย่างไม้งามมากที่สุด ส่วนอาวุธหรือวัตถุอื่นๆ ก็พอจะรู้คร่าวๆ บ้าง ไม่กล้าพูดว่าเชี่ยวชาญทุกรูปแบบ แต่นั่งอยู่ในห้องนี้ของหอชิงฝูมานานถึงสี่สิบกว่าปี เคยดูพลาดน้อยครั้งจนนับนิ้วได้ ลูกค้าโปรดวางใจที่จะเอาสมบัติของท่านออกมาตรวจสอบ”
จางซานเฟิงจึงหยิบตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าที่เดิมทีนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้เปล่งประกายสดใสออกมาทางสีหน้าทันที เขาไม่ปกปิดความประหลาดใจของตัวเองแม้แต่น้อย ใช้สองมือรับตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้นมา พอนั่งลงแล้วก็เอาตะเกียบไม้ไผ่วางไว้ด้านหน้าตัวเองอย่างระมัดระวัง หยิบผ้าไหมที่ทำขึ้นเป็นพิเศษผืนหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก เช็ดฝ่ามือและนิ้วมือทั้งห้าของสองมืออย่างละเอียด ถึงได้หยิบตะเกียบไม้ไผ่ด้ามที่สลักคำว่า ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ ขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดเงียบๆ อยู่เป็นนาน
วาง ‘ไม้ไผ่เสินเซียว’ ลงแล้วก็หยิบ ‘ภูเขาชิงเสิน’ ขึ้นมา ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งครั้ง เงยหน้ามองนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย “วัตถุชิ้นนี้ทำมาจากวัสดุที่ดีเยี่ยม ไม่เพียงแต่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) แต่ยังมีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าในสิบส่วนว่าทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวของภูเขาชิงเสินจริงๆ หลังจากที่ภูเขาชิงเสินปิดไปได้หนึ่งร้อยปี วัตถุที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวซึ่งมีเฉพาะในภูเขาชิงเสินก็มักจะมีราคาสูงเหมือนเรือที่ลอยตามน้ำขึ้น บอกว่าราคาเพิ่มสูงอย่างบ้าคลั่งก็ยังไม่มากเกินไป น่าเสียดายก็แต่แทนที่จะนำมาทำเป็นแส้โบยผีขนาดเล็ก กลับเอามาทำเป็นตะเกียบ…คู่หนึ่งแทน! สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว! นี่มัน…เกินไปแล้วจริงๆ !”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้เฒ่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขาดอีกนิดก็จะตีอกชกหัวตัวเอง ผรุสวาทเจ้าของตะเกียบคนเก่าที่ย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้สิ้นเปลือง
ผู้เฒ่ายื่นมือไปลูบตัวอักษรสามตัวว่าภูเขาชิงเสินแล้วได้แต่ปลอบใจตัวเองเสียงเบาว่า “แต่หากนำมาทำเป็นแส้โบยผีไม้ไผ่เสินเซียว ท่านลูกค้าก็คงต้องตรงไปที่ชั้นสามแล้ว ไหนเลยที่ข้าจะยังมีโอกาสได้เห็นของชิ้นนี้กับตาตัวเอง ภูเขาชิงเสินในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่เชียวนะ ถ้ำสวรรค์ชนาดใหญ่ถึงเพียงนั้นกลับมีเทพภูเขาแค่ท่านเดียว นั่นก็คือจู๋ฮูหยินแห่งภูเขาชิงเสิน ต้องรู้ว่าบรรพบุรุษของสำนักผู้ประพันธ์เคยบรรยายเกี่ยวกับฮูหยินเทพภูเขาในตำนานท่านนี้เอาไว้ว่า ‘โฉมงามพิลาส ชอบเปลือยเท้า จอนผมสีเขียวเข้ม’ เขียนด้วยตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัว แต่กลับบรรยายบุคลิกของสุดยอดเทพธิดาที่ไร้ซึ่งใครจะเทียบเทียมผู้นี้ได้อย่างแจ่มชัด…”
ผู้เฒ่าจมจ่อมอยู่ในจินตนาการของตัวเองอย่างสิ้นเชิงแล้ว
แม้ว่าสตรีที่เป็นคนนำทางมาจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ลึกๆ ในใจกลับลิงโลดสุดขีด วันนี้ตนต้องได้ส่วนแบ่งก้อนใหญ่แน่นอน! แถมยังโชคดีมากด้วย เพราะไม่ใช่นังพวกแพศยาที่ชอบวางท่าชั้นสามได้ไป พวกผู้หญิงที่อยู่ด้านบน แต่ละคนเหมือนเทพธิดาเสียยิ่งกว่าเทพธิดา บุคลิกคล้ายจะเยือกเย็น แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีแต่เล่ห์อุบายอยู่เต็มท้อง ใครที่มีเงินก็ถือเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดในโลก ไม่ว่าอายุมากหรือน้อย แต่ละคนล้วนเป็นเหมือนนังปีศาจจิ้งจอกที่ชอบล่อลวงผู้ชาย หลังจากทำการค้าสำเร็จยังทำหน้าหนาเอาตัวเข้าแลก พวกนางมักจะพาลูกค้าไปยังเรือนพักส่วนตัวที่อยู่ด้านหลัง แหวกฟ้าคว้าฝนกันไประลอกหนึ่ง หน้าด้านหน้าทน! ไร้ยางอายยิ่งนัก!
เฮ้อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะได้ขึ้นไปรับหน้าที่บนชั้นสามบ้าง ความสามารถในการปรนนิบัติคนบนเตียงของตนเคยแย่ตั้งแต่เมื่อไหร่? ต่อให้เป็นลูกค้าผู้หญิง ตนก็มีวิธีเฉพาะตัว เชื่อว่าต้องปรนนิบัติให้พวกนางสุขสมสบายตัวสบายใจได้อย่างแน่นอน
จางซานเฟิงได้แต่ขัดจังหวะความคิดของผู้เฒ่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่า ข้าผู้เป็นนักพรตแค่อยากรู้ว่าตะเกียบคู่นี้มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่?”
ผู้เฒ่ารีบหยุดความคิดทั้งหมด ยิ้มตาหยีมองไปยังสตรีผู้นั้น “ชุ่ยอิ๋ง ส่วนของข้าผู้อาวุโสในหอชิงฝูปีนี้ยังเหลืออีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่?”
สตรียังสาวตกตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยิ้มหวานตอบว่า “ท่านหง ท่านยังมีโอกาสเก็บสมบัติเข้ากระเป๋าตัวเองอีกครั้งหนึ่งจริง เพียงแต่ว่าต้องทำกฎเกณฑ์เดิมคือให้เถ้าแก่ชั้นบนดูก่อนถึงจะสามารถมอบให้ท่านหงเก็บไว้เป็นของส่วนตัวได้”
ผู้เฒ่ายิ้มอย่างเบิกบาน “นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”
จากนั้นผู้เฒ่าก็พูดกับนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตะเกียบคู่นี้ หากจะพูดถึงประโยชน์ต่อการฝึกตนนั้นคงมีไม่มาก แต่หากเอาไปไว้ในราชวงศ์ด้านล่างภูเขา ย่อมต้องถูกพวกอัครเสนาบดี ขุนนางใหญ่และชนชั้นสูงทั้งหลายแย่งชิงกันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะทุกครั้งที่ใช้ตะเกียบคีบอาหารก็จะได้สัมผัสปราณวิญญาณส่วนหนึ่ง เป็นเหตุให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว ขอแค่ไม่เจอกับโรคร้ายหรือภัยพิบัติใหญ่ คนธรรมดาคิดจะเพิ่มอายุขัยให้ตัวเองสักสามปีห้าปีก็ไม่ยากเลย อีกอย่างคำเรียกว่าภูเขาชิงเสิน ไม้ไผ่เสินเซียวสองอย่างนี้ก็สามารถเพิ่มราคาได้อีกสูงมาก โดยเฉพาะหากนำไปขายให้ถูกคน สมกับคำว่าทองคำพันชั่งก็ไม่อาจซื้อใจคนได้จริงๆ”
ผู้เฒ่าชำเลืองมองตะเกียบไผ่เขียวที่อยู่บนโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน “หอชิงฝูของพวกเรา…หรือจะพูดว่าตัวข้าหงหยางโปเอง ยินดีเปิดราคาที่สี่ร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ลูกค้าวางใจได้ ข้ารับรองได้ว่า ไม่ว่าจะบนหรือล่างหอชิงฝู ในเมืองท่าเรือแห่งนี้ หรือว่าในร้านค้าเล็กใหญ่อีกสิบหกร้านก็ช่าง ล้วนไม่มีที่ไหนจะให้ราคาสูงไปมากกว่านี้แล้ว ราคาตลาดโดยทั่วไปอย่างมากสุดก็อยู่ที่ระหว่างสามร้อยถึงสี่ร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ข้าชอบของสิ่งนี้มากจริงๆ อีกทั้งปีนี้ยังมีโอกาสเก็บของที่ตรวจสอบเข้ากระเป๋าตัวเองเหลืออยู่อีกหนึ่งครั้ง ข้าถึงได้เต็มใจจ่ายราคาสูงขนาดนี้ นักพรตท่านนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร? เต็มใจจะขายตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้หรือไม่?”
สายตาของผู้เฒ่าฉายแวววิงวอน มองนักพรตหนุ่มด้วยสายตาน่าสงสาร “สี่ร้อยห้าสิบเหรียญเงินหิมะน้อย ราคานี้ เพิ่มสูงขึ้นอีกไม่ได้แล้วจริงๆ หากพวกท่านกลัวว่าข้าจะวิเคราะห์ผิดพลาด ไม่เชื่อในป้ายอักษรทองของหอชิงฝูเรา กลัวว่าข้าจะหลอกพวกท่านก็ไม่เป็นไร พวกเราสามารถไปหาเจ้าของหอด้วยกัน หรือไม่พวกท่านก็สามารถไปเดินดูตามร้านเล็กใหญ่บนถนนสักรอบก่อนก็ได้…”
จางซานเฟิงหันไปมองสวีหย่วนเสีย ชายฉกรรจ์เคราดกพยักหน้ารับเบาๆ
จางซานเฟิงจึงยิ้มกว้าง ยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง “ราคาเดียว ห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะ แล้วข้าจะขายทันที!”
หญิงสาวหันหน้าไปทางอื่น แอบปิดปากหัวเราะ
เยี่ยมไปเลย ด้วยนิสัยดึงดันของท่านหง เวลารับของจะดูที่บุพเพวาสนาไม่สนใจราคา หากเจอของที่ถูกใจ ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมควักเนื้อจ่าย
“ใครใช้ให้เจ้าปากดี ใครใช้ให้เจ้าบอกว่าทองพันชั่งยากจะซื้อใจคน!”
ผู้เฒ่าตบปากตัวเองหนึ่งที จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เขายังคงดีใจมากกว่าเสียดาย กล่าวอย่างใจกว้างว่า “ตกลงตามนี้! ชุ่ยอิ๋ง เจ้าเก็บตะเกียบไม้ไผ่คู่นี้ไปให้ดี นำไปมอบให้เจ้าหอที่อยู่ชั้นบนตรวจสอบ หลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าได้รับประโยชน์จากของส่วนรวมที่เบียดบังเป็นของส่วนตัว หลังจากได้รับการยืนยันว่าราคายุติธรรมแล้ว ข้าก็จะควักกระเป๋าของตัวเองจ่ายเงินให้ลูกค้า แน่นอนว่าส่วนแบ่งของเจ้าก็ย่อมขาดไปไม่ได้!”
สตรีผู้นั้นเก็บตะเกียบไม้ไผ่มาอย่างระมัดระวังแล้วเดินเนิบช้าจากไปอย่างสง่างาม
ชายฉกรรจ์เคราดกรู้ว่าการค้าครั้งนี้ จางซานเฟิงได้กำไรแล้ว แถมยังได้กำไรไม่น้อยด้วย
มีเพียงเฉินผิงอันที่ยังยืนอยู่ข้างโต๊ะ เขาแอบก้มหน้าลงไปจ้องตากับคนจิ๋วชุดสีเขียวเหล่านั้น รู้สึกว่าเจ้าตัวน้อยพวกนี้น่าสนใจมาก ท่าทางซื่อๆ ไร้เดียงสา น่ารักอย่างยิ่ง คิดว่าวันหน้าตัวเองควรจะเก็บสะสมไว้สักส่วนหนึ่ง แล้วนำไปมอบให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นางคงจะชอบ อีกอย่างเวลาอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ นางจะได้ไม่รู้สึกเบื่อด้วย ส่วนเจ้าตัวน้อยทั้งหลายก็รู้สึกว่าคนบ้านนอกผู้นี้ไม่รู้จักพวกตนได้อย่างไร ดังนั้นจึงรู้สึกสนใจไม่ต่างกัน
ทั้งสองฝ่ายมองตากันอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ต่างคนต่างอารมณ์ดี
ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะก็ยิ่งคลอเพลงเบาๆ ในลำคอ อารมณ์ดีเสียยิ่งกว่าใคร
เพียงครู่เดียวสตรียังสาวก็กลับมา ส่งมอบตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินคู่นั้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าของหอบอกว่ายินดีกับท่านที่เรื่องน่าเสียดายลดหายไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็บอกแล้วว่า คราวหน้าที่เลี้ยงเหล้าเขา ห้ามเอาตะเกียบคู่นี้มาโอ้อวดให้เขาเห็นต่อหน้าเด็ดขาด”
ผู้เฒ่าร้องเพ้ยหนึ่งที “จะไม่อวดได้อย่างไรเล่า”
จากนั้นก็รีบเก็บตะเกียบไม้ไผ่คู่นั้นลงไปอย่างรวดเร็ว ดึงลิ้นชักออก หยิบเงินร้อนน้อยห้าเหรียญส่งให้นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง “แม้จะบอกว่าการค้าขายของร้านใหญ่ เงินร้อนน้อยเท่ากับเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ แต่ใครก็รู้ชัดเจนดีว่า หากแลกเปลี่ยนกันเป็นการส่วนตัว เงินร้อนน้อยทุกเหรียญล้วนต้องมอบเงินเกล็ดหิมะเพิ่มไปอีกสี่ห้าเหรียญ”
จางซานเฟิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หลังจากรับเงินร้อนน้อยห้าเหรียญนั่นมาก็เห็นว่าเฉินผิงอันยังยักคิ้วหลิ่วตาเล่นอยู่กับคนจิ๋วเสื้อเขียวทั้งหลายอย่างโง่งม เขาจึงถองเฉินผิงอันหนึ่งที เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เลิกแกล้งโง่ได้แล้ว รับไปเถอะ คืนกำไรให้เจ้าก่อน ส่วนเงินต้นขอติดไว้ก่อน หากเจ้ายังไม่อยากรับก็หักจากเงินต้นไปห้าเหรียญเงินร้อนน้อยแล้วกัน สวนที่เหลือคงต้องติดเจ้าไว้ก่อนแล้วจริงๆ วันหน้าค่อยว่ากันอีกที”
เห็นได้ชัดว่าพอรู้ราคาที่แท้จริงของเม็ดเสื้อเกราะแคว้นกู่อวี๋เม็ดนั้น จางซานเฟิงก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคิดเป็นจำนวนเงินแค่ห้าร้อยเงินเกล็ดหิมะเพียงเพราะคำว่าเพื่อนได้จริงๆ
เฉินผิงอันรับเงินร้อนน้อยห้าเหรียญนั้นมาโดยไม่ปฏิเสธ พอเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็เอ่ยว่า “ถือว่าหมดกันแล้ว! ไม่อย่างนั้นข้าคืนเงินให้เจ้า ส่วนเจ้าก็คืนของให้ข้า?”
จางซานเฟิงพูดไม่ออก
สวีหย่วนเสียจึงตบไหล่จางซานเฟิง “เอาตามนี้แหละ ไม่อย่างนั้นจะดูเป็นว่าไม่จริงใจแล้ว”
จางซานเฟิงถึงได้อืมรับหนึ่งที
เฉินผิงอันโอบไหล่จางซานเฟิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “หากยังรู้สึกเกรงใจ ไม่สู้เจ้าขายกระบี่ไม้ท้อไปด้วยเลยสิ?”
จางซานเฟิงถองกลับ ด่ายิ้มๆ “จะไปไหนก็ไปเลย!”
เฉินผิงอันกระโดดหลบฉาก “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือนะ”
สวีหย่วนเสียส่ายหน้า สองคนนี้นี่เหมือนเด็กจริงๆ
สตรีสาวของหอชิงฝูรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ หรือว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นเศรษฐีบ้านนอกที่แท้จริง?
จางซานเฟิงเอ่ยยิ้มๆ กับผู้เฒ่าว่า “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีของที่จะขายแล้ว”
ผู้เฒ่าผิดหวังอย่างหนัก
แต่เฉินผิงอันรีบพูดต่อทันทีว่า “ข้ามีของอยากให้ท่านตรวจสอบ”
ผู้เฒ่ารีบนั่งหลังตรง ยื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้ม “คิดดูแล้วข้าคงมีบุญตาอีกเป็นแน่”
เฉินผิงอันหยิบถ้วยขาวที่วาดภาพห้าขุนเขาตรงตามแผนที่จริงใบนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะ
สายตาผู้เฒ่านิ่งสงบ ยกมือทั้งสองคู่จับถ้วย หมุนช้าๆ พอวางลงแล้วก็กล่าวว่า “ภาพที่วาดอยู่บนถ้วยน่าจะเป็นภาพที่แท้จริงของห้าขุนเขาแคว้นกู่อวี๋ หอชิงฝูยินดีจ่ายด้วยราคาหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากเป็นภาพวาดห้าขุนเขาของราชวงศ์ใหญ่ ราคาจะเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว เพียงแต่ว่าเดิมทีปราณวิญญาณของห้าขุนเขาแคว้นกู่อวี๋ก็มีจำกัดอยู่แล้ว เมื่อนำมาวาดลงบนอาวุธวิเศษอย่างถ้วยขาวใบนี้ สรรพคุณก็ยิ่งถูกลดทอนลงไปอีก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็ทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่องมรสุมรครั้งหนึ่งของการทำธุรกิจบนภูเขา “นึกถึงในปีนั้น ร้านที่ทำกำไรมหาศาลได้เพราะถ้วยแบบนี้ นั่นก็เพราะเมื่อหลายสิบปีก่อนพวกเขาแอบกักตุนถ้วยห้าขุนเขาของต้าหลีไว้เป็นจำนวนมาก หลายปีนั้นร้านของเขาได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ภายหลังร้านเล็กๆ ตามกระแสเอามาขายบ้าง ไหนเลยจะคิดว่าฮ่องเต้ต้าหลีเสียสติ เปลี่ยนห้าขุนเขาใหม่ทั้งหมด ฮ่าๆ ร้านค้ากี่มากน้อยต้องขาดทุนป่นปี้เพราะเรื่องนี้ ยังดีที่เจ้าหอของเราสายตาเฉียบแหลม ยืนกรานในความคิดของตน ไม่ซื้อถ้วยห้าขุนเขาต้าหลีราคาสูงแม้แต่ใบเดียว นี่ถึงทำให้หอชิงฝูรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้”
เฉินผิงอันรับฟังผู้เฒ่าพูดจนจบอย่างอดทน แล้วจึงถามเสียงเบาว่า “ท่านผู้เฒ่า สรรพคุณของถ้วยใบนี้คือ?”
“ขอโทษทีๆ พอพูดถึงความร้ายกาจของหอชิงฝูเรา ข้าก็หยุดปากตัวเองไม่ได้ทุกที จะพูดเข้าประเด็นให้คุณชายฟังเดี๋ยวนี้แหละ”
ผู้เฒ่าเอ่ยขอโทษแล้วก็ชี้ไปที่ถ้วยสีขาวพลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ดินห้าสีของผืนแผ่นดินคือสิ่งที่ราชวงศ์ของทุกแคว้นจำเป็นต้องมี ดินห้าสีมาจากไหน? นอกจากจะมาจากพื้นที่วิเศษแห่งภูเขาและแม่น้ำที่บ่มเพาะขึ้นมาได้ด้วยตัวเองแล้ว คนก็สร้างขึ้นมาเองได้เช่นกัน ดินห้าสีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนำดินที่เอามาจากห้าขุนเขามาใส่ไว้ในถ้วยประเภทนี้สักระยะเวลาหนึ่ง สั้นหน่อยก็สี่ห้าวัน ยาวหน่อยก็สิบวัน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับวัสดุที่ทำถ้วยห้าขุนเขาด้วยว่าดีหรือไม่ดี ระดับสูงหรือต่ำ แน่นอนว่าดินห้าสีก็เอามาขายได้เช่นกัน ดูจากลักษณะของถ้วยห้าขุนเขาใบนี้ของคุณชาย หากมีดินห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋ที่มากพอ ผลผลิตต่อหนึ่งปีก็สามารถขายได้ประมาณ…เท่านี้!”
ผู้เฒ่าแบมือออกมาข้างหนึ่ง
สตรียังสาวปิดปากแอบหัวเราะอีกครั้ง
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ห้าเหรียญ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็อธิบายอีกว่า “อาวุธวิเศษจำนวนมากที่สามารถช่วยต่อเงินเพิ่มทรัพย์สินให้ได้แบบนี้ บนภูเขาจะใช้เวลาหกสิบปีในการคิดราคา หนึ่งปีห้าเหรียญ หกสิบปีให้หลังก็สามร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ฮ่าๆ คุณชายอย่าได้รีบร้อนเข้าใจผิดคิดว่าหอชิงฝูของพวกเราหลอกลวงคน คิดจะซื้อถ้วยนี้แค่ครึ่งราคา แต่นี่เป็นเพราะถ้วยห้าขุนเขาค่อนข้างจะพิเศษ หากเป็นแคว้นที่บ้านเมืองระส่ำระส่ายไม่มั่นคง ถ้วยภาพห้าขุนเขาของพวกเขาอาจจะไม่มีค่าเลยแม้แต่อีแปะเดียว ลองคิดตามดูสิว่าในเมื่อบ้านเมืองไม่เหลืออยู่แล้ว ห้าขุนเขาจะยังเหลืออยู่ได้อย่างไร? ถ้าอย่างนั้นจะเอาดินห้าสีมาจากที่ไหน? หากไม่เป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ของแคว้นกู่อวี๋ยังพอจะถือว่ามั่นคง แต่ไหนแต่ไรมาหอชิงฝูก็ไม่ค่อยสนใจจะซื้อถ้วยห้าขุนเขาอยู่แล้ว การที่ยอมจ่ายครึ่งราคาก็เรียกได้ว่า ‘ยุติธรรม’ แล้ว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ขายถ้วยนี้ได้ไหม?”
ผู้เฒ่ายิ้มให้ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว บอกตามตรง หากวันนี้ข้าซื้อถ้วยนี้แทนหอชิงฝู หากแคว้นกู่อวี๋เกิดหายนะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในชั่วข้ามคืน ถึงเวลานั้นข้าก็ต้องเป็นคนแบกรับความเสี่ยงเรื่องรายได้ไว้แทน”
เฉินผิงอันหัวเราะพลางเก็บถ้วยขาวกลับมา
แม้ว่าจะไม่มีรายได้ห้าสิบเหรียญทุกปี แต่พอนึกถึงว่าหนึ่งปีห้าเหรียญ นั่นก็เท่ากับห้าพันตำลึงเงินเต็มๆ รู้หรือไม่ว่าบ้านหลังหนึ่งที่ตรอกเถาเย่เมืองเล็กหลงเฉวียนในช่วงแรกเริ่มสุดมีราคาเท่าใด? ไม่ถึงหนึ่งพันตำลึงเงินด้วยซ้ำ? แน่นอนว่าตอนนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา อาณาเขตอยู่ติดกับพื้นที่ของราชวงศ์ต้าหลี ราคาของบ้านเรือนในเมืองเล็กจึงเพิ่มขึ้นแบบพลิกฟ้าพลิกดิน ทว่าบ้านที่เขตการปกครองหลงเฉวียนนั้น มีเงินห้าพันตำลึงเงินก็สามารถซื้อได้หลายหลัง
ตอนนี้สิ่งสำคัญที่ต้องทำก็คือรีบเขียนจดหมายไปบอกเว่ยป้อและผู้เฒ่าแซ่ชุย ให้พวกเขาพยายามช่วยกันเก็บรวบรวมดินห้าขุนเขาของแคว้นกู่อวี๋…จากนั้นตอนที่ตนเดินทางกลับจากภูเขาห้อยหัว ก็จะต้องเดินทางไปที่ขุนเขาทั้งห้าลูกของแคว้นกู่อวี๋ด้วยตัวเองรอบหนึ่ง สามารถเอามาได้กี่จินก็เอามาเท่านั้น หวังว่าเวลานั้นวัตถุฟางชุ่นสืออู่จะยังมีพื้นที่ว่างเหลืออยู่
จู่ๆ สวีหย่วนเสียก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ถ้วยใบนี้สามารถขายได้”
แม้ว่าผู้เฒ่าจะเสียอาการไปเพราะตะเกียบไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินคู่หนึ่ง แต่เวลาที่ทำธุรกิจผู้เฒ่ากลับฉลาดเฉลียวอย่างมาก “น้องชายท่านนี้คงรู้สึกว่ากองทัพม้าเหล็กของต้าหลีต้องยกลงใต้แน่นอนกระมัง? ดังนั้นจึงไม่แน่เสมอไปว่าแคว้นกู่อวี๋จะรักษาแผ่นดินเอาไว้ได้? ข้าว่าไม่แน่เสมอไป มีสำนักศึกษากวานหูนั่งบัญชาการณ์ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป เชื่อว่าสกุลซ่งต้าหลีคงไม่ถึงขั้นสามารถกรีฑาทัพยาวไปถึงตอนใต้ได้ ต่อให้มีวันนั้นจริงๆ ตอนกลางมีราชวงศ์กั้นขวางมากมายขนาดนั้น ไล่โจมตีไปทีละแคว้น ม้าของต้าหลีควบลงใต้ไปอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องใช้เวลานานกี่ปี?”
ในเมื่อผู้เฒ่าพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว สวีหย่วนเสียก็ไม่คิดปิดบังอีกต่อไป เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต่อให้มีสำนักกวานหูขัดขวาง ข้าก็ยังรู้สึกว่าการเดินทางลงใต้ของต้าหลีใช้เวลาไม่นานนัก”
ผู้เฒ่าเพียงยิ้มรับ ไม่คิดจะโต้เถียงกับอีกฝ่ายด้วยเรื่องนี้ หอชิงฝูเพียงแค่ทำการค้า แสวงหาความร่ำรวยอย่างสันติเท่านั้น
สวีหย่วนเสียหันไปกล่าวกลั้วหัวเราะกับเฉินผิงอัน “อยู่ในกระเป๋าอุ่นใจที่สุดไงล่ะ!”
เฉินผิงอันมองไปทางชายฉกรรจ์เคราดก สายตาของฝ่ายหลังเด็ดเดี่ยว เฉินผิงอันจึงพยักหน้ารับแล้วหยิบถ้วยขาวออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างไม่ลังเล “ท่านผู้เฒ่า ยังซื้ออยู่อีกหรือไม่?”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไม่รังแกเด็กและคนชรา ย่อมซื้ออย่างไม่ต้องสงสัย! หากการซื้อขายครั้งนี้หอชิงฝูของเราขาดทุน ก็ถือซะว่าสายตาข้าแย่เกินไป จะหักเงินข้าก็หักไป!”
มือหนึ่งยื่นเงิน อีกมือหนึ่งยื่นสินค้า
เฉินผิงอันได้เงินหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะมาไว้ในมือ ก็เหมือนอย่างที่สวีหย่วนเสียบอก มีเงินอยู่ในกระเป๋าแล้วอุ่นใจจริงๆ
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบท่อนไม้สีดำและยันต์ที่มีผีงามสิงสู่ออกมาพร้อมกัน ผู้เฒ่าทยอยตรวจสอบ สำหรับท่อนไม้สีดำเขาพูดชมไม่หยุดปาก รับปากว่ายินดีจ่ายเงินสามร้อยเหรียญหิมะน้อย บอกว่าผู้ฝึกลมปราณของสำนักกสิกรรมและสำนักแพทย์ต่างก็สนใจวัตถุประเภทนี้ เพียงแต่ว่ากับยันต์ที่วัสดุพอจะถือว่าไม่ธรรมดาแผ่นนั้น เขากลับยินดีให้ราคาแค่ห้าสิบเหรียญ
เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ขายแค่ท่อนไม้สีดำ เก็บยันต์แผ่นนั้นกลับมา
เฉินผิงอันและจางซานเฟิงต่างก็ไม่มีของให้ขายแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องจ่ายเงินราวกับสายน้ำไหลแล้ว
ผู้เฒ่าเดินมาส่งแขกที่หน้าประตูพร้อมรอยยิ้มชื่นบาน ไม่ลืมหันไปเอ่ยกับสวีหย่วนเสียว่า “วันหน้าหากมีโอกาสก็มาเยือนอีกนะ พวกเรามาดูกันว่าสถานการณ์ของแคว้นกู่อวี๋เป็นอย่างไร ใครแพ้คนนั้นเลี้ยงเหล้า ตกลงไหม?”
สวีหย่วนเสียยิ้มตอบ “ได้สิ อันที่จริงไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ ได้ดื่มเหล้ากับท่านหงมื้อหนึ่งก็ล้วนไม่ขาดทุน”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เพราะประโยคนี้ของเจ้า เอาเป็นว่าคราวหน้าพี่ชายจะเลี้ยงเหล้าเจ้าก่อนเลยแล้วกัน!”
สวีหย่วนเสียกุมหมัดบอกลา
ได้ยินว่าจางซานเฟิงจะซื้อกระบี่ของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าเล่มหนึ่งที่สามารถกำจัดปีศาจปราบมารได้ สตรียังสาวจึงพาคนทั้งสามตรงไปยังชั้นสี่ เลือกห้องใหญ่ที่แขวนป้ายไม้คำว่า ‘แสงหนาว’ หน้าประตูมีคนของหอชิงฝูยืนเฝ้าโดยเฉพาะ หลังจากสตรีผู้นั้นทักทายกับคนเฝ้าประตูแล้วก็ผลักประตูเปิดเข้าไปเบาๆ จึงเห็นว่าด้านในมีชั้นวางกระบี่จัดเรียงกันเป็นแถว ปราณกระบี่ส่งกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว กระบี่หลากหลายรูปแบบมีมากละลานตา
จางซานเฟิงเพิ่งจะก้าวเข้าประตูไป จู่ๆ ก็พูดว่าไม่ดูแล้ว
นี่ทำให้หญิงสาวรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นว่า “อย่าไปสนใจเขา พวกเราจะดูกระบี่”
ให้ตายจางซานเฟิงก็ไม่ยอมเข้าไปในห้อง ชายฉกรรจ์เคราดกจึงลากเขาเข้าไป
สตรียังสาวทยอยแนะนำกระบี่อาคมสิบกว่าเล่มที่มีราคาสูงต่ำไม่เท่ากัน สุดท้ายจางซานเฟิงที่แม้จะหน้าม่อยคอตก แต่สายตาก็ยังอดชำเลืองมองไปยังกระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณเล่มหนึ่งหลายครั้งไม่ได้ ฝักกระบี่หายไปนานแล้ว ด้านบนสลักสองตัวอักษรว่า ‘เจินอู่’ ที่เลือนรางมองเห็นได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากตัวกระบี่มีร่องรอยบาดแผลเยอะมาก ต่อให้จะทำจากวัสดุที่ดีเยี่ยม แต่หอชิงฝูก็ยังขายแค่สี่ร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควักเงินซื้อทันที ตอนที่จะจ่ายเงิน เฉินผิงอันมีท่าทีลังเลเล็กน้อย สตรียังสาวจึงยิ้มบางๆ แล้วเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปเอง รอจนนางกลับมาในห้อง ‘แสงหนาว’ อีกครั้ง เฉินผิงอันก็เอาเงินเกล็ดหิมะสี่ร้อยเหรียญวางไว้ตรงมุมหนึ่งบนชั้นกระบี่ นางนับจนแน่ใจแล้วจึงนำกระบี่โบราณ ‘เจินอู่’ ใส่เข้าไปในฝักกระบี่ที่เตรียมรอไว้นานแล้ว ยื่นส่งให้เฉินผิงอัน
พอเดินออกมาจากห้องกระบี่แสงหนาว สตรีสาวไม่ได้พาคนทั้งสามเดินออกจากประตูหลักของแคว้นชิงฝู แต่พาพวกเขาเดินผ่านระเบียงกลางอากาศของชั้นสองไปยังหอสูงที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ออกจากหอชิงฝูด้วยประตูด้านข้างของเรือนหลังแห่งหนึ่ง สตรีสาวบอกเส้นทางการเดินทาง กฎเกณฑ์บางอย่างและค่าใช้จ่ายของท่าเรือแห่งนั้นกับคนทั้งสามแล้วก็โบกมืออำลากับพวกเขา ตอนที่หมุนตัวเดินกลับ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ช่วยคุ้มกันหอชิงฝูก็ปิดประตูตามหลัง นางที่หันหลังให้กับประตูแอบกำหมัดแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี เพียงไม่แต่นานก็กลับมาเป็นปกติ เดินเร็วๆ ไปทางหอหลักของหอชิงฝู พอไปถึงสีหน้าของนางก็กลายมาเป็นกลุ้มอกกลุ้มใจ ถอนหายใจเฮือกๆ บ่นให้สหายฟังถึงความขี้เหนียวของคนทั้งสาม
หอชิงฝูห่างจากท่าเรือไม่ถึงสองลี้ มีเรือข้ามฟากลำหนึ่งจะไปที่แคว้นอวิ๋นซงพอดี แม้ว่ายังห่างจากแคว้นชิงหลวนอีกไกลมาก แต่เมื่อเทียบกับการให้สวีหย่วนเสียเดินเท้าไปเองแล้ว ย่อมต้องเร็วกว่านับเท่าไม่ถ้วน อีกอย่างเมื่อลงเรือที่แคว้นอวิ๋นซงก็สามารถขึ้นเรือข้ามฟากไปที่แคว้นชิงหลวนได้โดยตรง ด้วยเหตุนี้สวีหย่วนเสียจึงจะนั่งเรือลำนี้ไปจากแคว้นซูสุ่ย ส่วนเรือที่เฉินผิงอันจะโดยสารไปถือเป็นเรือที่มีเส้นทางการเดินเรือเก่าแก่มาเป็นพันปี มีที่มาที่ลึกซึ้งมาก แม้จะไม่ได้ตรงไปยังนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป แต่ก็สามารถลดระยะทางหลายแสนลี้ให้สั้นลงได้เช่นกัน
ขณะที่ใกล้จะถึงท่าเรือ เฉินผิงอันที่ในมือถือกระบี่อาคม ‘เจินอู่’ ก็หยุดเดินแทบจะพร้อมกับนักพรตหนุ่ม
นักพรตหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าพูดอะไร
สวีหย่วนเสียถอนหายใจ พูดกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “นักพรตจงเมี่ยวที่เมืองแยนจือเคยพูดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า อีกครึ่งปีให้หลังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป หรือก็คือบริเวณใกล้เคียงกับแคว้นชิงหลวนที่ข้าจะไป จะมีการจัดงานสัมมนามหายานครั้งใหญ่ ถึงเวลานั้นจะมีเทพเซียนของลัทธิเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน และยิ่งมีเซียนซือลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกหลายท่านของแจกันสมบัติทวีปมาเปิดการอภิปรายถกปัญหากันอย่างเปิดเผย แน่นอนว่าจางซานเฟิงต้องอยากไปดู เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะบอกเจ้าอย่างไร ด้วยรู้สึกว่าการที่เขาเปลี่ยนแผนการเดินทางกะทันหันดูเป็นการแล้งน้ำใจ ผิดต่อเจ้า ตอนนี้ดีนัก เจ้าซื้อกระบี่เล่มนี้มาอีก ไอ้หมอนี่ก็ยิ่งไม่มีหน้าบอกลาเจ้า เพราะถึงอย่างไรตอนแรกก็ตกลงกันไว้แล้วว่าจะเดินทางไปยังนครมังกรเฒ่าเป็นเพื่อนเจ้า ข้าว่าตอนนี้ไอ้หมอนี่คงมีใจคิดอยากตายแล้วด้วย ก็ดีเหมือนกัน เฉินผิงอัน เจ้าก็ใช้เจินอู่เล่มนี้ขุดหลุมแล้วฝังกลบเขาให้จบๆ กันไปเลยเถอะ”
เฉินผิงอันกระโดดตบหัวจางซานเฟิงดังป้าบ “ดูท่าทางหงอยซึมของเจ้าเข้าสิ ทำราวกับผู้หญิงอย่างไรอย่างนั้น! พวกเราสนิทกันขนาดไหน? เจ้าโง่หรือไงเนี่ย! กระบี่ รับไว้ เงิน ติดไว้ก่อน คน ไสหัวไปเลย!”
นักพรตหนุ่มไม่กล้าเงยหน้า ไหล่ของเขาสั่นสะท้านเบาๆ
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก หลังจากโยนกระบี่เจินอู่ให้สวีหย่วนเสียที่อยู่ด้านหลังแล้วก็เดินเร็วๆ จากไปเพียงลำพัง
เมื่อนักพรตหนุ่มเงยหน้าที่ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่มาจากหลงเฉวียนต้าหลีคนนั้นก็เดินจากไปไกลแล้ว ราวกับจะสัมผัสได้ถึงสายตาของจางซานเฟิง เด็กหนุ่มรองเท้าแตะจึงชูแขนข้างหนึ่งขึ้นสูง กำมือเป็นหมัดแล้วโบกแรงๆ