บทที่ 254 คนหนึ่งส่งกระบี่ คนหนึ่งรอ
ร้านยาฮุยเฉินเหมือนเด็กขี้ขลาดที่หลบซ่อนตัวอยู่ในจุดลึกของตรอกเล็ก นอกจากหญิงสาวขายาวและคำพูดชวนอาเจียนจากเถ้าแก่แล้ว อันที่จริงตลอดทั้งวันก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำมากนัก กิจการซบเซา บางครั้งแม้แต่พวกผู้หญิงก็ยังไม่เข้าใจว่าจะจ่ายเงินจ้างพวกนางมาทำอะไร หากจะบอกว่าเถ้าแก่ที่เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ผู้นั้นมือไม้ไม่อยู่สุขหวังแต๊ะอั๋งพวกนาง ก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่อันที่จริงถึงแม้ชายฉกรรจ์จะปากเปราะ สายตามองคนราวกับจะกลืนกิน แต่ไม่เคยฉวยโอกาสลวนลามพวกนางเลยสักครั้ง นี่จึงทำให้พวกนางค่อนข้างจะสับสน แต่ในเมื่อเงินเดือนของทุกเดือนไม่เคยขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว พวกนางก็เต็มใจที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปในร้านยาแห่งนี้ ถึงอย่างไรการที่ปล่อยให้เถ้าแก่คนนั้นมองทุกวัน เนื้อบนร่างก็ไม่ได้หายไป ทำงานอยู่ที่นี่ได้เงินเดือนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องเป็นทุกข์กับเรื่องอาหารการกิน ความเป็นอยู่ของที่บ้านแต่ละคนก็ดีขึ้นมาก พวกหญิงสาวยังกลัดกลุ้มที่ตัวเองน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาสองสามจินด้วยซ้ำ
วันนี้เจิ้งต้าเฟิงได้รับข่าวอีกข่าวหนึ่ง คนที่มาถ่ายทอดข้อความคือเทพหยินที่ออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาพร้อมกับเขา ไม่ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะพยายามพูดแทรกเพื่อให้ขบขัน หรือเรียกอีกฝ่ายเป็นพี่เป็นน้องอย่างไร เทพหยินก็แค่แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ไม่เปิดเผยความลับของตัวเองออกมาแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้จนถึงตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงก็ยังวิเคราะห์ตบะและขอบเขตของเทพหยินไม่ได้
ผู้เฒ่าบอกให้เทพหยินนำความมาบอกเจิ้งต้าเฟิงสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึงของเฉินผิงอันสลายไปแล้ว ไม่ต้องให้เขาเจิ้งต้าเฟิงช่วยลงมือกำจัดให้แล้ว เรื่องที่สองคือผู้ถ่ายทอดมรรคาและผู้ปกป้องมรรคาต่างก็อยู่ในนครมังกรเฒ่า ให้เขาสังเกตดู
เรื่องแรกไม่ได้สำคัญอะไร สำคัญคือเรื่องที่สองต่างหาก ผู้เฒ่ากล่าวอย่างคลุมเครือมาก เจิ้งต้าเฟิงคิดจะซักถามต่อ เทพหยินที่มียันต์อยู่ติดกายก็หายตัวไปแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ จึงนั่งเหม่ออยู่บนธรณีประตูของร้านยา เดิมทีอาจารย์และผู้ถ่ายทอดมรรคาก็เป็นปมในใจของเจิ้งต้าเฟิงอยู่แล้ว ผู้เฒ่ายอมรับว่าตัวเองคืออาจารย์ของเขาและศิษย์พี่หลี่เอ้อร์ แต่ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาให้กับพวกเขาสองคน แต่กลับบอกให้หลี่หลิ่วบุตรสาวของหลี่เอ้อร์รับเขาเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา ส่วนสถานะของผู้พิทักษ์มรรคา ตอนนี้ถือว่าเจิ้งต้าเฟิงคือผู้พิทักษ์มรรคาของหนุ่มตระกูลฟ่าน ต้องรับประกันว่าเจ้าเด็กนั่นจะสามารถฝ่าคอขวดของขอบเขตสามวิถีวรยุทธ์ไปได้อย่างราบรื่น หลังจากนั้นยังต้องช่วยเด็กหนุ่มตระกูลฟ่านให้เดินไปสู่ขอบเขตหลอมจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวด้วย
และท่าทีที่ผู้เฒ่ามีต่อเฉินผิงอันก็ยิ่งทำให้คนเดาทางไม่ถูก แต่มีข้อหนึ่งที่เจิ้งต้าเฟิงมั่นใจได้ นั่นคือเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงเป็นเพียงแค่หนึ่งในเป้าหมายมากมายที่อาจารย์ของตนเดิมพันไว้เท่านั้น น้ำหนักเทียบกับหม่าขู่เสวียนที่ได้รับการดูแลจากสวรรค์และหลี่หลิ่วที่เกิดมาก็ตระหนักรู้เข้าใจหลักการไม่ติด วิธีการกำหนดลมหายใจที่ผู้เฒ่าเคยถ่ายทอดให้เฉินผิงอัน อันที่จริงเป็นวิธีการที่เรียบง่ายผิวเผินมาก ไม่ถือเป็นวิชาชั้นเยี่ยมของวิถีวรยุทธ์อะไร เจิ้งต้าเฟิงเดาเอาว่าบางทีอาจเป็นเพราะหลายปีมานี้เฉินผิงอันรุดหน้าไปบนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์อย่างน่าตกตะลึง ตอนนี้เปลี่ยนจากขอบเขตหลอมเรือนกายมาเป็นหลอมลมปราณ ดังนั้นผู้เฒ่าจึงเริ่มวางเดิมพันลงข้างเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เจิ้งต้าเฟิงขมวดคิ้วคิดหนัก “หรือว่าจะให้ข้าเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคา หรือไม่ก็เป็นผู้พิทักษ์มรรคาให้กับเฉินผิงอัน? ในอดีตท่านผู้เฒ่าเคยให้ใครทำเรื่องแบบนี้บ้าง แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นให้ใคร เป็นกี่ปี เป้าหมายที่ต้องรับผิดชอบเป็นผู้พิทักษ์มรรคาต้องมีขอบเขตเท่าไหร่ถึงจะสิ้นสุด ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่เคยปิดบังอำพรางแบบนี้มาก่อน”
เจิ้งต้าเฟิงยกสองมือกุมหัว ถอนหายใจอย่างจนใจ “อีกอย่างดวงของข้ากับเฉินผิงอันก็ไม่สมพงศ์กัน เด็กหนุ่มนิสัยคร่ำครึที่ไม่เข้าใจอารมณ์รักใคร่แบบนั้น ข้าชอบไม่ลงจริงๆ เห็นได้ชัดว่าให้หลี่เอ้อร์เป็นผู้พิทักษ์มรรคาของเฉินผิงอันถึงจะเหมาะสมที่สุด อาจารย์ ท่านผู้อาวุโสคิดอะไรอยู่กันแน่ ช่วยพูดให้มันชัดเจนไปเลยได้หรือไม่? บอกว่าให้เป็นผู้พิทักษ์มรรคาของเขาปีครึ่งปีก็ยังดี เพราะทนๆ เอาหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่หากจะให้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา นั่นไม่เท่ากับจะเอาชีวิตของข้าหรอกหรือ”
เด็กสาวนิสัยร่าเริงคนหนึ่งที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างธรณีประตูเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เถ้าแก่ มีเรื่องกลุ้มใจหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปชำเลืองมองทิวทัศน์ตรงหน้าอกของนางที่ค่อนข้างแบนราบ แล้วกล่าวเสียงหนักใจว่า “เสี่ยวเหอเอ๋ย ต้องตามให้ทันนะ จะขายาวอย่างเดียวไม่มีเนื้อไม่ได้”
เดิมทีเด็กสาวก็เป็นคนใจกล้าอยู่แล้ว อีกทั้งอยู่ร่วมกันมานานขนาดนี้ คำพูดสกปรกลามกได้ยินมาจนหูแทบแฉะแล้ว นางจึงแทะเมล็ดแตงต่อแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “คิดจะให้ข้ามีเนื้อเพิ่มขึ้น ก็ต้องกินให้มากขึ้น แต่เงินเดือนทุกเดือนของร้านยามีน้อยนิดแค่นั้น ข้าเองก็อยากให้ตรงนั้นเด่นชัดสักหน่อย แต่เงินในกระเป๋าไม่เป็นใจ ข้าจะทำยังไงได้? เถ้าแก่ แอบขึ้นเงินเดือนให้ข้าสิ? ข้ารับรองว่าจะไม่บอกพวกนาง”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ปากช่างจ้อของเจ้าเก็บความลับอะไรไม่ได้หรอก หากข้าเพิ่มเงินเดือนให้เจ้า วันต่อมาทุกคนต้องมาขอเพิ่มเงินเป็นแน่ เจ้าคิดว่าเงินของข้าหล่นลงมาจากฟ้าหรืออย่างไร ต้องเลี้ยงพวกเจ้าทั้งสาวน้อยสาวใหญ่หลายคนขนาดนี้ มันลำบากมากรู้หรือไม่?”
เด็กสาววางก้นนั่งทับธรณีประตู จงใจเหยียดขายาวทั้งสองข้างออกไปนอกประตู เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เถ้าแก่ ถนนข้างๆ ไม่ใช่ว่ามีพี่สาวคนหนึ่งหลงรักท่านหรอกหรือ นางอวบอิ่มขนาดนั้น ไม่ใช่แบบที่ท่านชอบที่สุดหรือไง ทำไมไม่รับปากนางไปเล่า? ตรงนี้ของนาง…มีแต่เนื้อเน้นๆ พวกเราที่อยู่ในร้าน ไม่มีใครสู้นางได้สักคน”
เด็กสาวโยนเมล็ดแตงแล้วใช้สองมือมารองดันตรงหน้าอก
เจิ้งต้าเฟิงแยกเขี้ยว โบกมือไล่คน “เป็นสาวเป็นนาง พูดเรื่องน่าอายให้มันน้อยๆ หน่อย ระวังวันหน้าจะขายไม่ออก รีบกลับเข้าร้านไปกวาดพื้นซะ!”
เด็กสาวไม่ยอมขยับ กล่าวอย่างมีเหตุมีผล “ร้านของพวกเราชื่อว่าร้านยาฮุยเฉิน (ฝุ่นผง) ถ้ากวาดจนสะอาดเอี่ยมคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่”
เจิ้งต้าเฟิงเถียงเอาชนะเด็กสาวไม่ได้ จึงขยับขานั่งไขว่ห้าง สอดสองมือรองท้ายทอย แหงนหน้ามองท้องฟ้า
คนอื่นมองทะเลเมฆผืนนั้นไม่ออก เขาที่เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตแปดขั้นสูงสุดกลับมองออก
เหนือสมบัติอาคมขึ้นไปคืออาวุธเซียน
แต่สำนักที่ในชื่อมีคำว่าสำนักของแจกันสมบัติทวีป เดิมทีก็น้อยเหมือนขนหงส์เขากิเลนอยู่แล้ว อาวุธเซียนก็ยิ่งหาได้ยาก ยากแค่ไหน? ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด สำนักโองการเทพที่เป็นผู้นำระบบเต๋าของหนึ่งทวีป เพราะฉีเจินเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวินถึงได้รับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาจากสำนักต้นกำเนิดที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ดังนั้นอาวุธกึ่งเซียนที่อยู่ห่างจากอาวุธเซียนอีกระดับใหญ่ แต่กลับเหนือกว่าสมบัติอาคมระดับหนึ่งจึงกลายมาเป็นสิ่งของที่เหล่าผู้ฝึกลมปราณปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน
ตอนนี้นครมังกรเฒ่ามีอยู่สี่ชิ้น สองชิ้นบรรพบุรุษของตระกูลฝูได้ครอบครอง ล้วนเป็นสมบัติสำคัญที่ใช้ในการโจมตี ชิ้นที่ซื้อมาใหม่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคือสมบัติสำคัญที่ใช้ในการป้องกันพิทักษ์นครเสียมากกว่า มีเพียงทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครผืนนั้นที่นครมังกรเฒ่าป่าวประกาศแก่คนนอกว่าตระกูลฝูเป็นผู้ครอบครอง ทว่าแท้จริงเป็นอย่างไร จะใช่ไม้ตายของตระกูลฝูจริงๆ หรือไม่ ก็บอกได้ยาก ส่วนศึกระหว่างธรรมะและอธรรมเมื่อแปดร้อยปีก่อนที่บอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งมานอนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ พอนางตื่นขึ้นมาก็บังคับอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นให้สังหารฝ่ายมาร หลอกผีไปเถอะ หากจะให้มีพลานุภาพค้ำฟ้าอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องมีครบถ้วนทั้งสองอย่าง หนึ่งคือทะเลเมฆเหนือนครต้องไม่ใช่แค่อาวุธกึ่งเซียน สองคือคนที่ใช้มันต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน
เด็กสาวมองใบหน้าด้านข้างของชายฉกรรจ์ แล้วถามด้วยความใคร่รู้ “เถ้าแก่ ท่านมองอะไรน่ะ?”
เจิ้งต้าเฟิงพยายามเบิกตากว้างแหงนหน้ามองไปพลางตอบคำถามของเด็กสาวเสียงเบาว่า “ดูว่าจะมีเซียนสาวรูปร่างหน้าตางดงาม สวมเสื้อผ้าบางๆ ทะยานลมบินผ่านมาหรือไม่”
เด็กสาวมองค้อน “มองๆๆ ระวังเซียนสาวจะฉี่ใส่หัวเข้าให้ล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “นั่นก็ไม่เท่ากับเป็นฝนรสหวานหลังจากแห้งแล้งมานานหรอกหรือ”
เด็กสาวลุกขึ้นยืน “น่าขยะแขยง!”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
เด็กสาวเพิ่งจะข้ามธรณีประตูมาก็พลันหันหน้าไปถาม “เถ้าแก่ ช่วยร้องบทเพลงของบ้านเกิดที่ท่านขับร้องเมื่อคราวก่อนอีกครั้งได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้าอย่างแรง “นั่นมันความสามารถก้นกุรที่ข้าเอาไว้ใช้ชนะใจสาวๆ จะเอามาแสดงกันง่ายๆ ได้อย่างไร ไปๆๆ ไปทำงานของเจ้านู่น”
เด็กสาวเอ่ยเบาๆ “ร้องสักหน่อยสิ ไม่แน่ว่าวันหน้าข้าอาจจะเป็นภรรยาของท่านนะ?”
ดวงตาเจิ้งต้าเฟิงเป็นประกาย เตรียมจะลุกขึ้นยืน เด็กสาวก็นั่งกลับลงไปที่ธรณีประตูแล้ว นางหันหน้ามามองชายฉกรรจ์ด้วยสีหน้าเสียดาย “เถ้าแก่ เรื่องนี้ท่านก็เชื่อด้วยหรือ วันหน้าคงยากจะแต่งเมียเป็นแน่”
เจิ้งต้าเฟิงนั่งแปะกลับลงไปที่เดิม เงียบไปครู่หนึ่งก็เริ่มผิวปาก ทำนองยังคงเป็นทำนองของบทเพลงบ้านเกิด เพียงแต่ว่าคราวนี้ไม่มีเนื้อร้อง
เด็กสาวค้อมตัวลง ยกสองมือเท้าคาง ตั้งใจฟังเสียงผิวปาก ถึงอย่างไรบทเพลงที่เถ้าแก่ร้องก่อนหน้านี้ก็เป็นภาษาของบ้านเกิดเขา นางเองก็ฟังไม่เข้าใจ
ดวงจันทร์วันที่หนึ่งเป็นเสี้ยวโค้งงอ ดวงจันทร์วันที่สิบห้ากลมเต็มดวง ฟังยายเล่าว่า กินขนมเปี๊ยะ โบกมือให้กับดวงจันทร์ก็จะไม่เหลือความทุกข์ร้อนใจ
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย ลมฤดูใบไม้ร่วงส่ายไหว ฟังยายเล่าว่า มะเขือเทศสีแดงสดปลั่งห้อยย้อยเต็มกิ่งไม้ สะดุดล้มจนเจ็บก็ไม่ต้องกังวล มะเขือเทศบรรจุอยู่เต็มตะกร้า
ก้อนเมฆสีดำมา ก้อนเมฆสีดำไป ฟังยายเล่าว่า หลังฝนตกจะมีสายรุ้งพาดผ่านขอบฟ้า คือหอสูงที่เทพเซียนสร้างขึ้นมาบนสวรรค์…
……
นครมังกรเฒ่ากำลังจะมีงานเลี้ยงฉลองที่น่ายินดีเกิดขึ้น นายน้อยฝูหนันหัวกำลังจะแต่งงานกับหลานสาวสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน
สกุลเจียงอวิ๋นหลินคือหนึ่งในตระกูลสูงศักดิ์ที่มีประวัติยาวนานที่สุดของแจกันสมบัติทวีป เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาล ลัทธิขงจื๊อเพิ่งจะได้เป็นระบบหลักของใต้หล้าไพศาล อยู่ในช่วงรอการฟื้นตัวจากความเสียหาย เป็นช่วงแรกเริ่มสุดที่หลี่เซิ่งกำหนดกฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อ สกุลเจียงเคยมีคนได้เป็นขุนนางตำแหน่งต้าจู้ (ขุนนางที่ทำหน้าที่หลักในการเซ่นไหว้บวงสรวง) หลายคน จากที่บันทึกไว้ใน ‘ต้าหลี่ชุนกวาน’ พวกเขาถือเป็นหนึ่งในหกขุนนางสวรรค์ใหญ่ทัดเทียมตำแหน่งต้าสื่อ (เอกอัครราชทูต) และต้าจ่าย (อัครเสนาบดี) ทำหน้าที่รับผิดชอบเขียนบทอวยพรต่างๆ
สกุลเจียงอวิ๋นหลินตั้งอยู่ที่ชายหาดมหาสมุทรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ประตูจวนที่หันหน้าเข้าหาทะเลมีถนนสายหนึ่งที่กว้างใหญ่มาก ระยะทางยาวถึงสามร้อยกว่าลี้ ตรงเข้าไปถึงมหาสมุทร สุดท้ายใช้โขดหินขนาดใหญ่ตามธรรมชาติมาทำเป็นประตู มีความหมายให้รวมกับทะเลบูรพา เปี่ยมไปด้วยพลังของความมีชีวิตชีวา
ท่ามกลางระยะเวลาอันยาวนานหลังย้ายจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาสู่แจกันสมบัติทวีป สกุลเจียงเริ่มเปลี่ยนจากอาชีพขุนนางฝ่ายบุ๋นมาเป็นพ่อค้า ท่ามกลางมรสุมที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในตระกูล พวกเขาก็ยังสามารถหยัดยืนตระหง่านไม่ล้มลง กลายเป็นตระกูลร่ำรวยที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับแคว้นได้อย่างสมชื่อ ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อสองตระกูลเลือกที่จะแต่งงานเกี่ยวดองกัน จึงกลายมาเป็นข่าวที่ใหญ่ที่สุดทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป มีคนอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้สินสอดของตระกูลฝูคืออะไร แล้วก็มีคนสงสัยว่าสินเจ้าสาวของตระกูลเจียงคืออะไร จะเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งหรือไม่ รวมไปถึงพวกตระกูลเซียนบนภูเขาที่สนิทกับตระกูลฝูมาหลายรุ่นหลายสมัยจะเอาของมีค่าอะไรมาเป็นของขวัญอวยพร ดังนั้นสองเดือนมานี้จึงมีผู้ฝึกตนบนภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยากร่วมความครึกครื้นหลั่งไหลมาที่นครมังกรเฒ่า บวกกับที่มีข่าวลือว่าสตรีสกุลเจียงคนนั้นหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่ง ก็ยิ่งชวนให้คนจินตนาการไปไกล
ฝูหนันหัวที่แต่ไหนแต่ไรมามีชื่อเสียงว่าคบหาผู้คนหลากหลายกว้างขวางมากที่สุดของนครมังกรเฒ่า หลังกลับมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่ทางเหนือก็เปลี่ยนมาเป็นคนเก็บตัวสันโดษ แม้จะไม่ถึงขั้นปิดประตูไม่ต้อนรับแขก แต่นอกจากเพื่อนเก่าแก่อย่างพวกซุนเจียซู่ที่สามารถมาพบหน้าเขาที่บ้านเป็นบางครั้งได้แล้ว ฝูหนันหัวกลับไม่ได้คบหาสหายคนใหม่อีก เขาอยู่ในตระกูลฝูตลอดเวลา สถานที่หาความสำราญหลายแห่งด้านนอกที่มีชื่อเสียงดังไปครึ่งทวีป นายน้อยท่านนี้ก็ไม่เคยไปปรากฏตัวมาก่อน
แต่วันนี้ฝูหนันหัวกลับออกจากที่พักเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของนครฝูเพียงลำพัง บนศีรษะสวมกวานสูง สวมชุดคลุมยาวสีหยกขาว ตรงเอวห้อยหยกประดับรูปมังกรสีเขียวปลั่งราวกับจะสามารถเค้นน้ำให้หยดได้ นอกจากสีหน้าหนักแน่นแล้ว นายน้อยคนนี้ยังมีความหงอยเหงาเศร้าซึมอยู่ส่วนหนึ่ง เมื่อเทียบกับความฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยปณิธานอย่างตอนที่ไปถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ช่วงนี้มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือนนครฝูไม่ขาดสาย ต่อให้ในด้านการรับรองแขก ตระกูลฝูอาจจะมีประสบการณ์มากว่าราชสำนักของหนึ่งแคว้น แต่เนื่องด้วยผู้คนมีล้นหลามก็คงเกินว่าจะรับมือไหว
นอกประตูนครฝูในเวลานี้มีบุคคลสำคัญจากตระกูลเซียนบนภูเขาหลายกลุ่มที่มาแสดงความยินดีกับการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ที่คนทั้งโลกเรียกว่าเป็น ‘กิ่งทองใบหยก’ ครั้งนี้ ในบรรดานั้นก็มีสำนักอย่างภูเขาเมฆาเรืองที่ไม่ถือว่าเป็นสำนักลำดับสูงสุด แต่เนื่องจากมีหินรากเมฆเป็นผลผลิตที่ได้รับความนิยมในหลายทวีป เงินทองไหลมาเทมา จึงทำให้พวกเขามีแนวโน้มว่าจะพัฒนาก้าวหน้าขึ้นในทุกๆ วัน หากมีผู้มากพรสวรรค์ที่สามารถเป็นเสาหลักแบกรับภาระสำคัญได้โผล่ขึ้นมาอีกสักคนสองคน การที่ภูเขาเมฆาเรืองจะเลื่อนไปอยู่ในลำดับตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปก็เป็นเรื่องที่นับนิ้วรอวันได้เลย
นครมังกรเฒ่ากับภูเขาเมฆาเรืองมีความสัมพันธ์ควันธูปกันมาหลายร้อยปี เพราะว่าหินรากเมฆที่ผลิตในภูเขาเมฆาเรืองก็คือหนึ่งในสินค้าสำคัญของเรือปลาวาฬกลืนสมบัติและภูเขาลอยตัวของตระกูลฝู เนื่องจากก้อนหินที่ถูกหล่อหลอมและตีจากหินรากเมฆคือของดีที่ผู้ฝึกกระบี่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช้ลับคมกระบี่ เพราะราคาถูกอีกทั้งยังใช้ดี ที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเรื่องของราคา ต่อให้ประสิทธิภาพจะต่างจากแท่นสังหารมังกรซึ่งเป็นหินลับกระบี่ที่ดีที่สุดในโลกราวฟ้ากับเหว แต่เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษอับจนหนทางได้ ทุกครั้งที่พวกเผ่าปีศาจมาก่อความวุ่นวาย สงครามใหญ่เกิดขึ้นติดต่อกัน ต่อให้ต้องติดบัญชีหนี้เละเทะไว้ก่อน ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว สำหรับผู้ฝึกกระบี่ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่ากระบี่ที่ดีเล่มหนึ่ง
แน่นอนว่าคำว่าราคาถูก คือการนำไปเปรียบเทียบกับวัตถุมีค่าหายากที่ต้องขนส่งจากภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ราคาหินรากเมฆของภูเขาเมฆาเรืองเมื่อขายให้กับผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีป ขายให้กับตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า ขายให้กับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะแบ่งราคาที่พิเศษออกเป็นสามแบบ
คราวนี้ทางฝ่ายของภูเขาเมฆาเรืองมีคนมาทั้งหมดสี่คน บุรพาจารย์ของสำนักสองท่านและลูกศิษย์ที่พวกเขาภาคภูมิใจอีกสองคน
แขกที่วันนี้ฝูหนันหัวออกมารับด้วยตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ก็คือคนผู้หนึ่งที่เดิมทีควรต้องตายไปแล้วอย่าง เทพธิดาไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง
หลังจากที่ฝูหนันหัวปรากฏตัวอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน กลุ่มคนที่อยู่ตรงประตูเมืองก็พากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ เสียงทักทายเสียงแสดงความยินดีมีไม่ขาดสาย ฝูหนันหัวไล่รับคำไปทีละคนอย่างไม่ให้เสียมารยาท สุดท้ายฝูหนันหัวเดินมาหยุดตรงหน้ารถม้าสองคันที่จอดค่อนไปทางช่วงท้าย เห็นม้าชิงชงที่มีสายเลือดของมังกรแบบห่างๆ ลักษณะไม่ธรรมดาสี่ตัว น่าจะเป็นรถม้าที่เช่าชั่วคราวมาจากจุดพักม้าตระกูลซุน คนทั้งในและนอกนครมังกรเฒ่าต่างก็รู้ดีว่า สองวิธีการที่แพงที่สุดในการท่องเที่ยวอยู่ในนครมังกรเฒ่า หนึ่งคือซื้อเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆมาจากตระกูลฝู อีกวิธีหนึ่งก็คือเช่ารถม้าจากร้านที่อยู่ในนามของซุนเจียซู่ โดยทั่วไปแล้วมีคนเพียงสองประเภทที่จะทำเช่นนี้ หนึ่งคือคนที่ในกระเป๋ามีเงินจริงๆ สองคือคนโง่ที่มาจากบ้านนอกบ้านนา
แน่นอนว่าบุรพาจารย์สองท่านของภูเขาเมฆาเรืองไม่ใช่คนโง่ หน้าตาเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ยังพอจะฝืนยืนหยัดได้ไหว แล้วก็ต้องยืนหยัดให้ไหวด้วย
เห็นว่าฝูหนันหัวออกมารับด้วยตัวเองถึงหน้าประตู บุรพาจารย์สองท่านก็รีบพาลูกศิษย์เดินลงจากรถม้า คนหนึ่งคือผู้สืบทอดสายตรงของภูเขาเมฆาเรือง ซึ่งก็คือเทพธิดาไช่จินเจี่ยนที่แม้จะหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่กลับยังงดงามดังเดิม อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มที่บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ ชุดคลุมอาคมบนร่างที่ได้รับสืบทอดมาพอจะมองเห็นภาพที่ไอเมฆลอยเวียนวนได้รางๆ
หลังจากทักทายปราศรัยกับบุรพาจารย์ทั้งสองท่านแล้ว ฝูหนันหัวก็เสนอข้อเรียกร้องเล็กๆ ว่าจะพาเทพธิดาไช่เข้าไปชมทัศนียภาพในเมืองพลางพูดคุยรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ
อาจารย์ผู้สืบทอดมรรคาของไช่จินเจี่ยนตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน ไหนเลยจะปฏิเสธความปรารถนาดีนี้ ก่อนหน้านี้ไช่จินเจี่ยนกลับมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูมือเปล่า เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงเต็มละลายหายไปกับสายน้ำ ไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย นั่นมันเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเชียวนะ เงินฝนธัญพืชมาอยู่ต่อหน้ามันก็เหมือนฮูหยินตราตั้งที่พบเจอฮองเฮา เทียบไม่ติดสักกะผีก
เดือดร้อนให้ผู้เฒ่าต้องถูกคนตำหนิและมองด้วยสายตาไม่ดีตลอดสองปีมานี้ ผู้เฒ่าที่เดิมทีคิดอยากจะผลักดันให้ไช่จินเจี่ยนขึ้นนั่งตำแหน่งเจ้าภูเขาเกิดความหมดอาลัยตายอยาก แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือไช่จินเจี่ยนที่ตนฝากความหวังครั้งใหญ่ไว้กลับทำตัวเหมือนคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่ตลอดทั้งสองปีมานี้ นางเกียจคร้านต่อการฝึกวิชาของสำนัก ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสงสารแล้วก็ทั้งโมโห จะตีจะด่าก็ทำไม่ลง กลัวว่าไช่จินเจี่ยนจะทุบไหที่แตกให้แหลกละเอียด กลายเป็นสวะไร้ค่าอย่างซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยง
ฝูหนันหัวเดินเคียงไหล่กับไช่จินเจี่ยนลอดผ่านประตูใหญ่ของนครฝู พาเทพธิดาไช่ที่พอจะมีชื่อเสียงคนนี้เดินไปยังเรือนพักส่วนตัวที่โอ่อ่าของเขาในนครฝู
ตอนที่ไปค้นหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์หลีจู ฝูหนันหัวยังเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือกมากมายของผู้ที่จะได้ขึ้นเป็นประมุขในอนาคต ดังนั้นฝูหนันหัวที่เชี่ยวชาญด้านการค้าจึงเกรงใจไช่จินเจี่ยนที่ตอนนั้นมีระดับฐานะต่ำกว่าเขาหนึ่งขั้นอยู่มาก แต่ว่าตอนนี้บุรพาจารย์ที่ถ่ายทอดมรรคาและโปรดปรานเขากำลังจะฝ่าขอบเขตได้แล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องการผลักดันให้เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวสกุลเจียงอวิ๋นหลินเข้ามาเสริม ฐานะของฝูหนันหัวจึงเป็นเหมือนเรือที่ลอยตามน้ำขึ้น สูงส่งจนไม่อาจเปรียบเทียบกับในอดีตได้
ดังนั้นในสายตาของบุรพาจารย์สองท่านของภูเขาเมฆาเรือง การที่ฝูหนันหัวสนิทสนมกับไช่จินเจี่ยนย่อมไม่ใช่แค่เรื่องที่พวกเขาเป็นพันธมิตรกันสั้นๆ ตอนไปถ้ำสวรรค์หลีจูจะสามารถอธิบายได้ หรือว่าทั้งสองคนเคยรักใคร่ชอบพอกันมาก่อน? ก็ไม่ถูกเหมือนกัน เห็นชัดๆ ว่าไช่จินเจี่ยนยังเป็นสาวพรหมจรรย์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การที่ฝูหนันหัวซึ่งสักวันต้องได้สวมเสื้อคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นยินดีแหกกฎมาพบกับภูเขาเมฆาเรืองอย่างมีมารยาทเช่นนี้ ก็ทำให้บุรพาจารย์ทั้งสองท่านได้หน้ากันอย่างเต็มที่
ฝูหนันหัวกับไช่จินเจี่ยนรู้ใจกันมาก ตลอดทางพวกเขาสองคนไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ จนกระทั่งไปถึงเรือนพักส่วนตัวของฝูหนันหัว เข้าไปในห้องโถงใหญ่ ฝูหนันหัวตบลงบนหยกชิ้นใหม่เอี่ยมที่บิดามอบให้ซึ่งห้อยติดเอวไว้ มองเทพธิดาที่เคยโดนเด็กหนุ่มใช้เศษกระเบื้องปาดคอในตรอกเล็กแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราสามารถพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาได้แล้ว”
มองดูเหมือนว่าไช่จินเจี่ยนจะยิ้มหวานหยด แต่ความเป็นจริงแล้วในรอยยิ้มนั้นกลับไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย “คุยอะไร?”
ฝูหนันหัวจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวที่เดิมทีกายควรดับมรรคาสลายอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู “ข้าจะไม่ถามว่าทำไมเจ้าถึงรอดชีวิต ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมคนผู้นั้นถึงช่วยเจ้า หลังจากช่วยเจ้าแล้ว เขาต้องการให้เจ้าทำอะไร?”
ไช่จินเจี่ยนหุบยิ้ม “หากข้าบอกว่าเจ้าใช้ใจคนถ่อยไปวัดใจวิญญูชน เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
ฝูหนันหัวแค่นเสียงหยัน “วิญญูชน? หากเขาฉีจิ้งชุนเป็นแค่วิญญูชนคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นอริยะลัทธิขงจื๊อจะไม่ครอบครองใต้หล้าสี่แห่งหมดเลยหรือ?”
สีหน้าของไช่จินเจี่ยนเรียบเฉย “ฝูหนันหัว จริงจังกับการตีความตัวอักษรมากเกินไปก็ไม่น่าสนใจหรอกกระมัง?”
ฝูหนันหัวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาก่อน หลังจากที่เจ้านอนจมอยู่ในกองเลือด แผนของข้าเองก็ล่มไม่เหลือดี เกือบจะสิ้นท่าอยู่ในสถานที่บ้าๆ แห่งนั้น ตอนนั้นเจ้าคนแซ่ฉีช่วยข้าไว้จากน้ำมือของเจ้าเด็กบ้านนอกต่ำช้าคนนั้น…”
ฝูหนันหัวพลันสังเกตเห็นถึงรอยยิ้มมุมปากของไช่จินเจี่ยนที่มีเลศนัย เขาจึงรีบหยุดประโยคถัดไป เปลี่ยนมาเอ่ยเสียใหม่ว่า “หลังจากที่เขาฉีจิ้งชุนห้ามเฉินผิงอันแล้วก็พูดกับข้าว่า ให้ข้าไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู แต่ได้มอบโชควาสนาอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่สมบัติอาคมให้แก่ข้า ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไร คงไม่พูดกับเจ้าแล้ว แต่ที่น่าแปลกมากก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบฉีจิ้งชุนไม่ได้ขอให้ข้าสาบานว่าในอนาคตจะปล่อยเฉินผิงอัน จะไม่ไปหาเรื่องเขา หรือพูดโน้มน้าวทำนองว่าความแค้นเคืองพึงละมิพึงผูกอะไร”
ไช่จินเจี่ยนกวาดตามองรอบด้านด้วยสีหน้าเฉยเมย สุดท้ายหันมามองฝูหนันหัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในฐานะผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต ทั้งยังเป็นถึงอริยะคนหนึ่ง เจ้าไม่ควรจะเรียกเขาด้วยความเคารพโดยเอ่ยแซ่และเติมคำว่าท่านหรอกหรือ?”
ฝูหนันหัวเบ้ปาก “คนก็ตายไปแล้ว แถมยังตายเพราะถูกเซียนบนสวรรค์ของแต่ละฝ่ายร่วมมือกันกำราบ ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อเลือกที่จะนิ่งดูดาย เห็นได้ชัดว่าฉีจิ้งชุนไม่มีโอกาสพลิกฟื้นกลับมาแม้แต่น้อย อริยะแล้วอย่างไร เรียกว่าท่านแล้วอย่างไร? ฉีจิ้งชุนแล้วอย่างไร?”
ไช่จินเจี่ยนยิ้มเป็นคำตอบ ทอดถอนใจเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับบทสนทนา “พื้นที่ฝึกบำเพ็ญตนของบุรพาจารย์ทั้งหลายในภูเขาเมฆาเรืองเรายังไม่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นถึงขนาดนี้ ฝูหนันหัว ตระกูลฝูของพวกเจ้ามีเงินมากจริงๆ”
เรือนส่วนตัวของตระกูลฝูหลังนี้มีเสาหลักแปดต้น ทุกต้นล้วนมีชื่อว่า ‘เสามังกรวน’ สลักเป็นรูปมังกรล้อมวน ปากคาบอัญมณี อัญมณีทุกเม็ดล้วนเป็นวัตถุวิเศษก่อนกำเนิดที่มีมูลค่าควรเมือง เป็นเหตุให้จวนหลังนี้ได้รวบรวมปราณวิญญาณจำนวนมหาศาล ประหนึ่งถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีประโยชน์ต่อการฝึกตนอย่างมาก
ดังนั้นลูกศิษย์ตระกูลเซียนลำดับสูงสุดที่แท้จริง ไม่ว่าจะดื่มชา คุยเล่น นอนพัก หรืองีบหลับก็ล้วนเป็นการฝึกตน ไม่มีการปล่อยเวลาให้เสียเปล่าสักนิดเดียว
ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากจะอิจฉาตาร้อนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ฝูหนันหัวเผยความหงุดหงิด หรี่ตากล่าวว่า “ไช่จินเจี่ยน คนอื่นให้หน้าแล้วอย่าทำหน้าไม่อาย ข้ากำลังจะได้ครอบครองเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติลำหนึ่ง หากไม่รับหินรากเมฆมาจากภูเขาเมฆาเรืองของพวกเจ้า รายได้ของสำนักพวกเจ้าก็จะลดฮวบลงสองส่วน ต่อให้เจ้าจะได้รับความสำคัญจากบุรพาจารย์ท่านนั้นแค่ไหน แต่ก่อนหน้านี้เจ้าก็เอาเงินแก่นทองถุงหนึ่งไปทิ้งเสียเปล่าครั้งหนึ่งแล้ว หากยังทำเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการหากำไรเป็นกอบเป็นกำของภูเขาเมฆาเรืองอีก เจ้าก็ลองชั่งน้ำหนักดูเอาเองแล้วกัน!”
ไช่จินเจี่ยนหัวเราะ “พอเถอะ ฝูหนันหัวเจ้าเลิกขู่ข้าได้แล้ว ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่ามีเงินมากแค่ไหน ข้าไม่รู้ แต่หลายพันปีมานี้ตระกูลฝูทำการค้าอย่างไร ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี อย่าว่าแต่เจ้าจะมีปลาวาฬกลืนสมบัติลำหนึ่งเลย ต่อให้เจ้าได้เป็นเจ้านครก็ไม่มีทางเล่นตุกติกกับกฎเกณฑ์ข้อนี้ที่บรรพบุรุษตั้งไว้”
ฝูหนันหัวถอนหายใจหนึ่งที “ในเมื่อเจ้าฉลาดขนาดนี้ อีกอย่างตอนนั้นพวกเราก็เคยร่วมทุกข์กันที่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาก่อน ทำไมไม่ร่วมมือกันให้ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย? เจ้าและข้าสองคนคบหากันด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อกำจัดภัยร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากหายนะครั้งนั้นให้สิ้นซาก? หลังจากนี้ไป ข้าไม่เพียงแต่จะช่วงชิงตำแหน่งเจ้านคร ยังจะช่วยผลักดันให้เจ้าขึ้นสู่ที่สูง ลองคิดตามดูสิ ขอแค่ข้าขึ้นราคาหินรากเมฆที่ปลาวาฬกลืนสมบัติรับซื้อสักเล็กน้อย ปล่อยข่าวออกไปว่าเป็นเพราะคุณความชอบของเจ้าไช่จินเจี่ยน ภูเขาเมฆาเรืองหรือจะกล้าเพิกเฉยต่อคนทำเงินทำทองอย่างเจ้า? แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้พรสวรรค์ของเจ้าดีมาก มีอาจารย์ที่ลงเดิมพันไว้ข้างเจ้า เป็นที่พึ่งให้เจ้าในสำนัก ยังมีนครมังกรเฒ่าซึ่งเป็นกำลังภายนอกที่แข็งแกร่งมาร่วมด้วย ช้าสุดหนึ่งร้อยปี ตำแหน่งของเจ้าภูเขาของเขาเมฆาเรืองย่อมต้องเป็นของในกระเป๋าเจ้าแน่นอน!”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย ฝูหนันหัวลุกขึ้นยืนอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ คำพูดฮึกเหิม พลังอำนาจทะยานสูง ประหนึ่งมีมาดของว่าที่จักรพรรดิผู้ครองแคว้นในอนาคต
ไช่จินเจี่ยนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองนายน้อยที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานห้าวหาญผู้นี้ด้วยดวงตาใสกระจ่าง แต่นางกลับไม่มีอารมณ์คล้อยตามอะไรมากนัก
ไม่ใช่ว่าฝูหนันหัวกล่าวได้ไม่จริงใจพอ บรรยายภาพในอนาคตได้ไม่งดงามพอ แต่เป็นเพราะสภาพจิตใจของไช่จินเจี่ยนในเวลานี้แตกต่างกับตอนที่เป็นเทพธิดาไช่ผู้รับผิดชอบภาระสำคัญของสำนัก ในหัวมีแต่แผนการและกลอุบายราวกับเป็นคนละคน
คนเราเมื่อตายอย่างแท้จริงไปแล้วหนึ่งรอบ ก่อนเดินทีละก้าวจากประตูผีกลับมายังโลกมนุษย์ ไม่เหมือนกับการที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่สุดท้ายกลับรอดพ้นจากหายนะความตายมาได้
หลังจากที่อริยะลัทธิขงจื๊อที่สอนหนังสืออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูท่านนั้นใช้วิชาอภินิหารค้ำฟ้าช่วยชีวิตนางเอาไว้ เขาก็พานางไปคุยในโรงเรียนดั่งผู้ใหญ่คุยกับผู้น้อย คุยกันด้วยเรื่องของชีวิตมนุษย์ เวลานั้นเรือนกายของไช่จินเจี่ยนยังคงบาดเจ็บสาหัส ยังไม่หายดี อาจารย์ฉีจึงทำเพียงแค่ดึงวิญญาณของนางออกมา เมื่ออยู่ในโรงเรียน กาลเวลาเหมือนสายน้ำไหลรินเอื่อยเฉื่อย อาจารย์สอบถามนางมากมายเกี่ยวกับเรื่องภายนอก ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หยุมหยิม ราคาของข้าวสารในตลาดด้านล่างภูเขาคือเท่าไหร่ วิชาการพิมพ์หนังสือเปลี่ยนมาเป็นเรียบง่ายยิ่งกว่าเดิมเพื่อสะดวกแก่การเผยแพร่หรือไม่ เป็นต้น ตอนแรกไช่จินเจี่ยนยังกระวนกระวายอยู่บ้าง ภายหลังถึงพอจะวางใจลงได้ เมื่อฉีจิ้งชุนถาม นางจึงตอบ บางคำถามนางตอบไม่ได้ บางคำถามนางตอบได้ อาจารย์ท่านนั้นมีรอยยิ้มบางๆ ประดับใบหน้าตลอดเวลา บางครั้งไช่จินเจี่ยนก็จะถามข้อข้องใจในการฝึกตนที่แม้แต่อาจารย์ของนางก็ยังหาคำตอบไม่ได้ อาจารย์พูดแค่ไม่กี่คำ ทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง
สุดท้ายอาจารย์ฉียังแนะนำตำราของนักปราชญ์และอริยะบางส่วนให้แก่นาง บอกว่าการฝึกตนบนภูเขา ฝึกพละกำลังย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ฝึกวิชาคาถาก็ยิ่งฝึกมากยิ่งมีประโยชน์ หากฝึกหลายๆ ด้านจนรวบรวมกลายเป็นแก่นสำคัญได้ในแต่ละด้านก็ยิ่งดี แต่การฝึกจิตใจก็สำคัญมากเหมือนกัน การที่ให้นางอ่านหลักการในหนังสือทั้งหลายเหล่านั้น หาใช่ให้นางไปเป็นอริยะไม่ แต่หากสภาพจิตใจของคนเป็นดั่งผืนนาก็จำเป็นต้องมีต้นกำเนิดของแหล่งน้ำ พืชผลถึงจะอุดมสมบูรณ์ การฝึกบำเพ็ญตนถึงจะถือว่าเป็นการบำเพ็ญตบะเพื่อความเป็นอมตะอย่างแท้จริง…
สุดท้ายตอนออกจากถ้ำสวรรค์หลีจู ไช่จินเจี่ยนยังคงเป็นไช่จินเจี่ยนที่มีปณิธานยาวไกล แต่ก็ไม่ใช่เทพธิดาของภูเขาเมฆาเรืองที่รู้สึกว่าฝึกตนก็เพื่อเพิ่มตบะให้ตัวเองอย่างเดียวเท่านั้นอีกต่อไป
ก่อนจะจากมา ไช่จินเจี่ยนปลุกความกล้าสอบถามอาจารย์ว่าทำไมถึงต้องช่วยคนแบบตน
อาจารย์ฉีท่านนั้นตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วยเจ้า ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้ แต่กลับเป็นหลักการของข้าฉีจิ้งชุน”
ไช่จินเจี่ยนถามอีกว่าเหตุใดถึงเต็มใจสอนหลักการของอริยะปราชญ์ให้แก่คนอย่างนาง
อาจารย์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ่ายทอดวิชาความรู้ สามารถไขข้อข้องใจได้ข้อหนึ่งก็คือข้อหนึ่ง หลักการที่ถูกต้องในหนังสือ สามารถอธิบายได้ข้อหนึ่งก็คือข้อหนึ่ง”
ไช่จินเจี่ยนกลับไปที่ภูเขาเมฆาเรือง ต่อให้ปัญหายากๆ และข้อข้องใจในการฝึกตนจะไม่มีอยู่แล้ว แต่กระนั้นนางก็ยังไม่รีบร้อนที่จะทำให้ขอบเขตของตัวเองสูงขึ้น เพียงแค่อ่านหนังสือที่อาจารย์ฉีแนะนำให้ครบหนึ่งรอบ ครุ่นคิดไตร่ตรองตามถ้อยคำของอาจารย์ครั้งแล้วครั้งเล่า
คนนอกรู้สึกว่านางละทิ้งการฝึกตน ตัวไช่จินเจี่ยนเองกลับไม่คิดเช่นนั้น
ภายหลังอาจารย์ของนางมาเล่าให้ฟังว่าอาจารย์ฉีท่านนั้นตายแล้ว ใช้กำลังของคนคนเดียวต้านทานเซียนบนสวรรค์หลายท่านอยู่เหนืออาณาเขตทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป สุดท้ายแหลกสลายกลายเป็นผุยผง บนโลกนี้ไม่มีฉีจิ้งชุนอีกต่อไป
ไช่จินเจี่ยนไม่ได้รู้สึกรวดร้าวปานจะขาดใจอะไร แค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลังจากนั้นมานางก็เริ่มวางตำราลงและกลับมาฝึกตนอีกครั้ง เพียงไม่นานก็ฝ่าทะลุขอบเขตหนึ่งได้สำเร็จ แต่นางจงใจระงับขอบเขตของตนเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้สร้างความตกตะลึงแก่คนทั้งโลกมากเกินไป ครั้งนี้นางถึงได้มีโอกาสมาเผยตัวที่นครมังกรเฒ่า
โชคลาภและหายนะที่เคียงคู่กันมานี้ ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากการพบปะกันในเส้นทางแคบๆ ของตรอกหนีผิงครั้งนั้นทั้งสิ้น
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วล้วนอยู่ที่ตนซึ่งตอนนั้นหลงเดินทางผิดคิดทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้น
และเห็นได้ชัดว่าท่าทางที่อาจารย์ท่านนั้นมีต่อเด็กหนุ่มไม่เหมือนกับท่าทีที่อริยะคนหนึ่งมีต่อชาวบ้านต่ำศักดิ์ซึ่งทุกเรื่องต้องใช้กฎเกณฑ์เป็นบรรทัดฐาน แต่กลับเหมือนผู้ใหญ่ที่ปกป้องผู้น้อยอย่างที่แทบจะไม่สนใจกฎเกณฑ์เลยด้วยซ้ำ
เพราะหากตนตายอยู่ในตรอกเล็ก สถานการณ์ที่วิถีสวรรค์จะย้อนกลับมาโจมตีและผลกรรมของทางศาสนาพุทธอาจจะไปตกอยู่ที่ตัวของเด็กหนุ่มคนนั้น
และการที่อาจารย์ฉีถ่ายทอดความรู้ ไขข้อข้องใจให้นางหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก คงเป็นเพราะเขารู้สึกว่านางยังพอมีทางเยียวยา ดังนั้นอาจารย์ท่านนั้นจึงเต็มใจจะสอน
ไช่จินเจี่ยนคิดเรื่องราวมากมายที่เมื่อก่อนตนไม่เคยคิดตกได้อย่างกระจ่างแจ้ง จิตใจปลอดโปร่ง กำจัดฝุ่นผงสิ่งสกปรกทั้งหมดจนสะอาดเอี่ยม และภูเขาเมฆาเรืองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องความคิดมากที่สุด นางจึงฝ่าทะลุขอบเขตได้อย่างรวดเร็ว
มาอยู่ในจวนหลงซิ่งของว่าที่เจ้านครมังกรเฒ่า ไช่จินเจี่ยนไม่ได้สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป แต่จู่ๆ นางกลับยิ้มอย่างเข้าใจว่า “ฝูหนันหัว การเป็นพันธมิตรครั้งแรกของพวกเรามีจุดจบอเนจอนาถ การเป็นพันธมิตรครั้งที่สองในวันนี้ เจ้าและข้ามาลองเดิมพันกันอีกสักครั้งดีไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้าสามารถสวมชุดคลุมมังกรเฒ่า ข้าสามารถได้ขึ้นเป็นเจ้าภูเขา เป็นไง? ตอนนี้ข้าสามารถรับปากได้ว่า ขอแค่ข้าได้กุมอำนาจใหญ่ของภูเขาเมฆาเรือง จะไม่แบ่งขายหินรากเมฆทั้งหมดให้กับอีกห้าตระกูลของนครมังกรเฒ่าอีก แต่จะขายให้ตระกูลฝูของเจ้าเพียงแห่งเดียว! และก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะแจ้งอาจารย์ให้พยายามเพิ่มปริมาณขายแก่เรือปลาวาฬกลืนสมบัติให้สูงขึ้น”
ฝูหนันหัวรู้สึกทำอะไรไม่ถูก สงสัยว่าจะมีกับดักหรือความลี้ลับอย่างอื่นอีกหรือไม่ จึงไม่มีความมาดมั่นอย่างก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะ
แม้ว่าสิ่งที่เผชิญในถ้ำสวรรค์หลีจูจะไม่ได้กลายเป็นอุปสรรคเป็นปมทางใจบนเส้นทางการฝึกตน แต่หากไม่ได้สืบสาวราวเรื่องให้ละเอียดแล้วรีบตัดสินใจว่าจะจัดการกับเด็กหนุ่มบ้านนอกของตรอกหนีผิงผู้นั้นอย่างไร ในใจของฝูหนันหัวก็ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
ไช่จินเจี่ยนลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ กับเสามังกรวนต้นหนึ่ง กำลังชื่นชมไข่มุกสีขาวหิมะเม็ดนั้น
สุดท้ายฝูหนันหัวก็ไม่ได้ปฏิเสธไช่จินเจี่ยน เพียงแค่บอกให้นางรอสักสองสามวัน
หลังจากที่ไช่จินเจี่ยนไปจากจวนส่วนตัวแห่งนี้แล้ว ฝูหนันหัวก็ปลดเครื่องประดับหยกที่มีความหมายไม่ธรรมดาต่อนครมังกรเฒ่ามากำไว้ในมือ เดินวนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
บุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่สวมชุดคลุมมังกร ลักษณะสุขุมเปี่ยมไปด้วยบารมีปรากฏกายจากความว่างเปล่า มายืนข้างเสามังกรวนในห้องโถงใหญ่ เงยหน้ามองไข่มุกเม็ดใหญ่ยักษ์ที่คาบอยู่ในปากมังกร ราวกับว่าบุรุษจะต้องการมองผ่านสายตาของไช่จินเจี่ยนไปเห็นจุดที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
เขามาอย่างเงียบเชียบ เป็นเหตุให้ฝูหนันหัวไม่ทันรู้สึกตัว รอจนฝูหนันหัวตระหนักได้ บุรุษก็ถอนสายตากลับมามองหลานชายคนนี้แล้ว เอ่ยถามว่า “ทำไมถึงไม่รับปากนาง?”
ฝูหนันหัวตอบ “แค่รู้สึกว่าจิตใจไม่อาจสงบได้”
บุรุษสวมชุดคลุมมังกรซึ่งก็คือฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ง่ายมาก หากไม่สังหารเฉินผิงอันเพื่อระงับริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจ ใช้พลังของเวทคาถาพยายามสะบั้นอิทธิพลทั้งหมดที่อริยะลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งมีต่อเจ้า ไม่ก็คล้อยไปตามสถานการณ์ หากอยู่ที่อื่นแล้วมีปมในใจที่ยากจะกำจัดทิ้ง ยิ่งเดินไปที่สูงก็ยิ่งอาจขยายจุดบกพร่องให้ใหญ่มากขึ้น แต่เมื่ออยู่ในตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า เดิมทีก็ถือเป็นหนึ่งในเวทลับที่จะขมวดรวมให้กลายเป็นไข่มุกในทะเลสาบหัวใจอยู่แล้ว”
บุรุษหัวเราะเยาะเย้ย “ปัญหายุ่งยากเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าก็จำเป็นต้องคิดไม่ตกขนาดนี้ด้วยหรือ? ดูท่าเจ้าคงไม่คิดจะสวมชุดคลุมมังกรเฒ่าบนร่างข้าตัวนี้ไปตลอดชีวิตแล้วสินะ?”
ฝูหนันหัวเหงื่อแตกพลั่ก
บุรุษส่ายหน้า “คนหนึ่งก็ตายไปแล้ว อีกคนเป็นแค่เด็กหนุ่ม กลับทำให้เจ้าอึดอัดใจได้ถึงเพียงนี้ ข้าฝูฉีให้กำเนิดบุตรชายที่ดีจริงๆ”
ฝูหนันหัวหน้าซีดขาว
บุรุษกระตุกมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ปีนั้นข้าได้สวมชุดคลุมมังกรนี้แล้ว แต่เพื่อสองคำว่าตระกูลฝู ก็ยังยอมนั่งคุกเข่าบนพื้นขอร้องอ้อนวอนคนอื่น ต้องโขกศีรษะจนกระดูกหน้าผากโผล่ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีปมในใจทิ้งไว้?”
หัวสมองของฝูหนันหัวว่างเปล่า หลั่งน้ำตาเงียบๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
บุรุษหลุดหัวเราะพรืดแล้วหายตัวไป
……
หากมีคนสามารถข้ามผ่านตราผนึกที่มหัศจรรย์ของภูเขาห้อยหัวเข้าไปยังจุดเชื่อมต่อระหว่างสองฟ้าดินได้สำเร็จ ล้วนต้องสะทกสะท้อนใจไปกับความมหัศจรรย์ของโลก
กำแพงแถบหนึ่งสูงเสียดชั้นเมฆ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดินมาตั้งแต่บรรพกาลโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ทางทิศใต้ของกำแพงสูงก็คือเจ้าของที่แท้จริงของใต้หล้าแห่งนี้
ทางทิศเหนือของกำแพงก็คือนครไร้กำแพงแห่งหนึ่ง
เซียนกระบี่กลุ่มแรกสุดที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่เคยกล่าวว่า หากเผ่าปีศาจข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้ ใต้หล้านี้จะยังมีคำเรียกขานว่ากำแพงเมืองอีกได้อย่างไร?
หลังจากนั้นเป็นต้นมา รอบนอกของนครก็ไม่มีการตั้งกำแพง แม้แต่อิฐสักก้อนก็ยังไม่มี
ผู้ฝึกกระบี่หลายแสนคนตัดขาดจากโลกภายนอก อาศัยอยู่ที่นี่มาทุกยุคทุกสมัย นอกจากคนจำนวนน้อยที่จะไปยังภูเขาห้อยหัวแล้ว คนแทบทั้งหมดล้วนเคารพกฎบรรพชน นั่นคือไม่ไปเยือนใต้หล้าไพศาลตลอดชีวิต
เกิดที่นี่ ตายที่นี่ รบตายนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่คือเกียรติยศ แก่ตายในกำแพงเมืองปราณกระบี่คือความอัปยศ
เรื่องบางเรื่อง ที่นี่จะแตกต่างไปจากใต้หล้าไพศาลที่อยู่ข้างนอก แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังมีความคล้ายคลึงกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นในนครใหญ่ที่ไร้กำแพงและไร้นามก็มีตระกูลใหญ่บางส่วนที่หยั่งรากลึกอยู่เช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับตระกูลใหญ่ที่อยู่ข้างนอกซึ่งคอยพร่ำพูดกับลูกหลานว่าให้นึกเผื่อถึงความยากลำบากและอันตรายในช่วงระยะเวลายามสงบ อยู่ที่นี่ คำพูดเหล่านั้นไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย เพราะต่อให้เป็นตระกูลที่ใหญ่แค่ไหน ต่อให้เป็นลูกหลานสายตรงคนโต หรือแม้แต่ลูกคนเดียวของตระกูล พออายุครบสิบสองปีก็จำเป็นต้องรับหน้าที่ ‘ส่งกระบี่’ สายสุดคืออายุสิบหกปีที่ต้องชักกระบี่ต่อสู้ทางกำแพงเมืองทิศใต้ อายุสามสิบต้องออกจากกำแพงเมือง ไปสังหารเผ่าปีศาจทางใต้เป็นอย่างช้า
เมื่ออยู่ที่นี่ ผู้หญิงแทบทุกคนล้วนปรารถนาอยากแต่งงานกับบุรุษที่มีวิชากระบี่สูงกว่าตน หากบุรุษรบตาย นางก็จะตายตามหลัง จากนั้นก็เป็นบุตรชายหญิงของนาง
บทเพลงชายแดนเพลงใดก็ตามในโลกที่ได้รับความนิยม ล้วนเทียบเคียงกับการสู้รบของสถานที่แห่งนี้ไม่ได้
ถึงขั้นที่ว่าหากมีคนนอกเผยความเศร้าสร้อยเห็นอกเห็นใจในโศกนาฎกรรมของชายแดนทั้งหลาย พวกเขาจะพ่นเสียงออกจมูกอย่างดูแคลน เรื่องแบบนี้ร้ายกาจตรงไหนกัน?
มหาศึกครั้งที่สองปิดฉากลงชั่วขณะ นครทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้จึงกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง
ในเมืองก็มีสะพานเล็กๆ มีลำธารไหลริน มีบ้านเรือนหลังใหญ่ มีสิงโตหินนั่งเฝ้าหน้าจวนประตูสูง มีหอสูง มีร้านกระบี่ตั้งเรียงราย และยังมีกระท่อมเล็กๆ เรียบง่ายที่คนทั้งบ้านอยู่รวมกัน
ร้านเหล้าข้างทางแห่งหนึ่งมีคนหกคนนั่งล้อมรอบโต๊ะหนึ่งตัว เด็กสาวท่าทางองอาจคิ้วดุจดาบแคบนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวตัวเดียวกับเด็กสาวแขนเดียวหน้าตาเฉยชา ฝ่ายหลังตัวเตี้ยเล็กบาง แต่กลับแบกกระบี่ใหญ่ที่ทำให้คนเห็นจุ๊ปากเดาะลิ้น
บุรุษอายุยี่สิบปีซึ่งอายุมากที่สุดในกลุ่มมีหน้าตาหล่อเหลา ปราณกระบี่ทั่วร่างของเขารวมตัวกันเหมือนของจริง กระบี่ที่พกอยู่ตรงเอวแผ่กลิ่นอายของความเที่ยงตรงให้เห็นได้รางๆ
เด็กหนุ่มตัวอ้วนยิ้มตาหยีจิบเหล้าคำเล็ก นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว ก้นของเขาใหญ่มาก แต่ม้านั่งคับแคบ ดังนั้นเขาจึงนั่งได้ไม่สบายเท่าไหร่ ต้องคอยขยับก้นอยู่ตลอดเวลา กระบี่ที่วางไว้บนขาสองข้าง แม้จะอยู่ในฝัก แต่กลับมีสายฟ้าสีม่วงล้อมวน ส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ บางครั้งสายฟ้าก็ไประเบิดอยู่ตรงพุงเขา เด็กหนุ่มตัวอ้วนจะสะดุ้งโหยง สูดปากหอบหายใจคำใหญ่
ข้างกายเขาคือเด็กหนุ่มผิวดำเกรียม หน้าตาอัปลักษณ์เต็มไปด้วยรอยบาก ทว่ากระบี่ที่เขาพกกลับมีชื่อที่งดงามอ่อนหวานมาก ชื่อว่าหงจวง (สาวงามสะคราญโฉม)
ตรงข้ามกับเด็กหนุ่มอัปลักษณ์คือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา เอวซ้ายขวาของเขาพกกระบี่ข้างละเล่ม เพียงแต่ว่ากระบี่เล่มหนึ่งไร้ฝัก ตัวกระบี่สลักอักษรโบราณสองคำว่า ‘อวิ๋นเหวิน’ (ลายเมฆ)
คนทั้งหกนี้เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในสงครามครั้งแรก เพียงแต่ว่าคราวนั้นพวกเขาเสียเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อชวีชวีไป
คราวนี้โชคดีหน่อย คนทั้งหกนอกจากบาดเจ็บแล้วก็ไม่มีใครรบตาย แต่ว่าเซียนกระบี่ขอบเขตสิบรากฐานลึกล้ำสองคนที่เป็นผู้นำกลุ่มของพวกเขากลับไม่สามารถรอดชีวิตกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่สามารถเดินผ่านใต้กำแพงกลับมาบ้านได้
เด็กหนุ่มร่างอ้วนท้วนชอบดื่มเหล้า และยิ่งชอบคะยั้นคะยอให้คนอื่นดื่ม
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแซ่ต่งดูเหมือนจะชอบด่าเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ที่ใบหน้ามีแต่บาดแผลผู้นั้นมากที่สุด
เด็กสาวแขนเดียวชอบเหลือบมองชายอายุยี่สิบเป็นระยะ
ส่วนเด็กสาวลักษณะองอาจชอบดื่มเหล้าเพียงลำพัง เหม่อลอยอยู่กับตัวเอง แต่ว่าต่อให้เป็นช่วงเวลาที่นางเหม่อลอยก็ยังไม่เคยเผยความอ่อนแอบอบบาง
ยังคงเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญมีชีวิตชีวา
หลังจากนั้นผู้หญิงสองคนอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าสองคนก็ตามมาถึง คนหนึ่งนั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ คนทั้งสามนั่งเบียดอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน ทำเอาก้นของเด็กหนุ่มร่างอ้วนต้องลอยค้างอยู่กลางอากาศถึงสามส่วน ลำบากอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มแซ่ต่งไม่กล้าด่าเด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์อีกต่อไป ทำท่าขลาดกลัว ราวกับว่ากลัวพี่สาวหน้ากลมท่าทางเป็นมิตรที่นั่งอยู่ตรงข้ามคนนั้นอย่างมาก
เด็กสาวอีกคนหนึ่งที่หน้าตางดงามคางแหลมเล็กนั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาโดยไม่ลังเล ฝ่ายหลังถึงกับกลอกตามองบนโดยตรง ในใจคิดว่าเจ้าที่เป็นผู้หญิงยังหน้าตางดงามได้ไม่เท่าข้า กลับยังจะกล้าคิดมาแต่งงานพลิกผ้าห่มกับข้าอีกหรือ?
หลังจากถามพี่สาวหน้ากลมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วการฝึกประสบการณ์ของบุรุษอายุยี่สิบได้สิ้นสุดลงแล้ว จะต้องกลับไปที่สถานศึกษาลัทธิขงจื๊อทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ถึงเวลานั้นจะได้เปลี่ยนจากนักปราชญ์เป็นวิญญูชน
เขาปลดกระบี่ ‘ฮ่าวหรันชี่’ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) วางลงบนโต๊ะ บอกว่านี่คือกระบี่ที่อาเหลียงมอบให้แก่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้มอบให้เขา ดังนั้นต้องคืนให้
เด็กหนุ่มตัวอ้วนยิ้มแก้มปริ เขาปรารถนาในกระบี่เล่มนี้ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ดังนั้นจึงรีบพยักหน้ารับ พร้อมพูดทันทีว่าบุรุษแห่งสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อมีคุณธรรม เข้าใจกฎระเบียบเป็นอย่างดี วันหน้าขอยินดีต้อนรับ และเขาจะต้องประคองสองมือสองเท้าให้การรับรองเป็นอย่างดีแน่นอน
เด็กสาวแขนเดียวสีหน้าเฉยชาเปิดปากพูดอย่างไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก บอกว่าศึกแห่งความเป็นความตายสองครั้ง เขาสังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางไปได้มากมาย สามารถเอาฮ่าวหรันชี่ไปได้
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเหลียวซ้ายแลขวา ดูว่าบนทางมีคนที่เขารู้จักคุ้นเคยพอจะช่วยจ่ายค่าอาหารให้ได้หรือไม่
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์เอาแต่ดื่มเหล้าเงียบๆ ผู้หญิงหน้ากลมคือพี่สาวของเขาจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาดื่มน้อยๆ หน่อย เด็กหนุ่มผิวดำเกรียมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สีหน้าของหญิงสาวจึงค่อนข้างจะระอาใจ
เด็กสาวท่าทางองอาจให้ข้อสรุปด้วยคำเดียวว่า “เอาไป”
คนอื่นๆ จึงไม่มีความเห็นต่างอีกต่อไป
ต่อให้คนทั้งโต๊ะกำลังจะมีคนได้เป็นวิญญูชนของสถานศึกษา และยิ่งมีคนแซ่ต่ง แซ่เฉิน
หากมีแซ่ฉีอีกคน
ถ้าเช่นนั้นก็จะมีครบทั้งสามแซ่สกุลของกำแพงเมืองปราณกระบี่
จู่ๆ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็ขมวดคิ้ว พึมพำว่า “ทำไมไม่ว่าจะไปทางไหนก็ต้องเจอขี้หมาเละๆ ด้วย”
บนถนนมีคนกลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี แต่ละคนเปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานกระบี่ พลังสังหารล้นเหลือ
บังเอิญมาก คนที่เป็นผู้นำของกลุ่มแซ่ฉีพอดี ด้านหลังของเขาแบกกระบี่คู่ เรือนกายสูงใหญ่ พลังอำนาจเฉียบคมน่าครั่นคร้าม
เขาเป็นคนเดินนำออกจากกลุ่มมาหยุดอยู่ข้างร้านเหล้าก่อน สายตาจ้องเป๋งไปที่หญิงสาวท่วงท่าองอาจผู้นั้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงออกว่าบีบบังคับผู้อื่นจนเกินไป “หนิงเหยา แท่นสังหารมังกรก้อนนั้นของเจ้า จะขายหรือไม่? ราคาสามารถตกลงกันได้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่นอน อีกอย่างพ่อแม่ข้ากับพ่อแม่เจ้าสนิทกันถึงเพียงไหน เจ้ารู้ดียิ่งกว่าใคร หากไม่เป็นเพราะท่านปู่ข้าขัดขวางไว้ ปีนั้นพวกเราคงได้หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กแล้ว ถูกไหม?”
เด็กสาวท่าทางองอาจไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไสหัวไป”
บุรุษแซ่ฉีเองก็ไม่ขุ่นเคือง เขาลูบคลำปลายคางแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างปุบปับฉับไว
คนในกลุ่มบางคนไม่พอใจ จึงเอ่ยด้วยคำพูดแปร่งหูเสียงไม่ดังนัก “คนบางคนโชคดี พ่อแม่ต่างก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ร้ายกาจจริงๆ ร้ายกาจจนเกือบจะทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราพ่ายแพ้ จุ๊ๆๆ”
เด็กสาวท่าทางองอาจไม่สะทกสะท้าน
แต่ทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะพากันลุกพรวดขึ้นยืน ต่อให้เป็นวิญญูชนสถานศึกษาที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ก็ยังกำด้ามกระบี่ฮ่าวหรันชี่เล่มนั้น
เด็กหนุ่มร่างอ้วนแสยะปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “โอ๊ะโอ เมื่อครู่นี้พูดว่าอะไรนะ นายท่านใหญ่ได้ยินไม่ชัด ลองพูดอีกทีสิ?”
ส่วนเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลับสบถด่าโดยตรง “ไอ้ลูกหมา บรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้ามันสวะ!”
เขาชำเลืองตามองไปทางเด็กหนุ่มหน้าดำเกรียม “ว่าไง? ใครเปิดก่อน?”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์ตรงไปตรงมาที่สุด เขาสะบัดไหล่หลุดจากการดึงรั้งของพี่สาว ถือกระบี่บุกขึ้นหน้า
เด็กหนุ่มแซ่ฉียื่นแขนออกมาข้างหนึ่งห้ามไม่ให้ทุกคนที่อยู่ข้างหลังพูดอะไร จากนั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว ถามยิ้มๆ ว่า “ต่งถ่านดำ เจ้าจะต่อยตีกันจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์สีหน้าไร้อารมณ์ เพียงเดินไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างกดลงไปบนด้ามกระบี่ซ้ายขวาสองด้าน หนึ่งเล่มคือจิงซู (คัมภีร์) หนึ่งเล่มคืออวิ๋นเหวิน (ลายเมฆ) ล้วนเป็นกระบี่ที่อาเหลียงเอามาจากสถานที่ที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปแล้วเอามาโยนทิ้งไว้ที่นี่
อาเหลียงจากไปแล้ว พี่หญิงหนิงที่ช่วยชีวิตตนมาสามครั้ง ตอนนี้พ่อแม่ของนางล้วนไม่อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นหากเขาต่งฮว่าฝูไม่ทำอะไรเลยในเวลาอย่างนี้ ก็ไม่สมควรแซ่ต่งแล้ว
ผู้หญิงหน้ากลมยิ้มบางๆ “แค่ไม่ฆ่าคนก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ ข้าจะช่วยเจ้าพูดกับทางท่านปู่ให้เอง”
ประโยคนี้หลุดมา แม้แต่เด็กหนุ่มแซ่ฉีก็ยังรู้สึกว่ายุ่งยาก
จู่ๆ เสียงนิ้วที่เคาะกับผิวโต๊ะก็ดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง
เด็กหนุ่มที่ผิวเข้มเหมือนถ่านดำหันกลับไปมอง
หนิงเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ่านดำ กลับมาดื่มเหล้า”
เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิมอย่างอัดอั้น หญิงสาวหน้ากลมลูบศีรษะของเขา เด็กหนุ่มที่เดิมทีก็หงุดหงิดอยู่แล้วหันมาถลึงตาใส่ทันที พี่สาวของเขาทำหน้าทะเล้นกลับ ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าตาดีมองตาไม่กะพริบ
ทั้งสองฝ่ายถึงไม่ได้ลงไม้ลงมือกัน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแซ่ฉีพาสหายเดินจากไป หลังจากเดินห่างไปไกลมากแล้ว ถึงได้เอ่ยกับเด็กหนุ่มที่พูดท้าทายคนอื่นเมื่อครู่ว่า “ช่วงนี้อย่าเพิ่งออกจากบ้าน หรือไม่ก็ไปพักอยู่ที่บ้านข้าเลย”
คนผู้นั้นอืมรับหนึ่งทีอย่างไม่ลังเล แต่ในใจก็ให้กระวนกระวายไม่เป็นสุข
หลังจากที่ทุกคนกลับมานั่งที่แล้ว หนิงเหยาก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง “พวกเจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่อีก อีกอย่างเรื่องในครอบครัวข้า พวกเจ้าที่เป็นคนนอกมายุ่งอะไรด้วย ตัวข้าแค่จำไว้เองก็พอแล้ว”
คนทั้งโต๊ะเงียบงันไร้คำพูดตอบโต้
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกระตุกมุมปาก หัวเราะหยันพูดว่า “ได้ยินว่าเจ้าหมอนั่นถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ (บุคคลที่อยู่อันดับสองของลัทธิเต๋า ในที่นี้หมายถึงลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋า) ต่อยกลับลงมาในใต้หล้าไพศาลด้วยหมัดเดียว”
เมื่อหนิงเหยาพูดถึงคนผู้นี้ แทบทุกคนต่างก็คลี่ยิ้ม แน่นอนว่ารอยยิ้มของวิญญูชนสถานศึกษาผู้นั้นเป็นรอยยิ้มจืดเจื่อน
เด็กหนุ่มตัวอ้วนเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องที่ดีใจหรือเสียใจถึงได้กระดกเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่
หลังจากที่เขาขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อสังหารศัตรูเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเด็กหนุ่มมองชายฉกรรจ์ที่แต่งตัวปอนๆ ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง เอ่ยถามว่า “อาเหลียงๆ กระบี่เมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างไร? มีมาดของท่านได้สักครึ่งหนึ่งหรือเปล่า?”
ชายฉกรรจ์แค่ดื่มเหล้า แล้วตอบรับอย่างขอไปทีว่า อ้อๆๆ อืมๆๆ
“อาเหลียง! เจ้าพูดอะไรสักคำสิ จะดีหรือเลวก็ได้หมด!”
“ก็ได้ เวทกระบี่เมื่อครู่นี้ของเจ้า…ยั่วยวนมาก”
“หมายความว่ายังไง?”
“ความหมายของข้าก็คือ กระบี่ที่เจ้าฟาดฟันไปมั่วซั่วเมื่อครู่นี้ดุดันดุจพยัคฆ์ ผลคือฆ่าหนูตายไปตัวหนึ่ง”
ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่มีแต่คราบเลือดเต็มร่างอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ท่าทางน่าสงสารยิ่ง เขารู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ชั่วชีวิตนี้ตนอาจจะไม่มีทางได้ดิบได้ดีแล้ว
จากนั้นบุรุษคนนั้นก็โยนกาเหล้ามาให้เขา พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า ยังทำได้ไม่เท่าเจ้าเลย”
เจ้าอ้วนน้อยพลันยืดอกขึ้นทันที นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาดื่มเหล้า แม่งไม่อร่อยเอาซะเลย
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาใช้มือหนึ่งเท้าคาง ปากกัดจอกเหล้า แหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งจอกเบาๆ
ท่าทางเช่นนี้เขาเรียนรู้มาจากไอ้หมอนั่น เท่ห์จริงๆ
“อาเหลียง ได้ยินว่าเจ้าเคยไปถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ จู๋ฮูหยินคนนั้นสวยจริงหรือไม่?”
“สวยสิ ขาสองข้างยาวสุดๆ ไปเลยล่ะ”
“ข้าถามถึงใบหน้านาง ขายาวไม่ยาวจะมีความหมายอะไร?”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ถูกชายฉกรรจ์ที่ดื่มเหล้าอย่างเอ้อระเหยลอยชายผลักศีรษะหนึ่งที “พวกเราสองคนคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว”
ต่อให้เป็นหญิงสาวหน้ากลมคนนั้นที่ไม่ได้แตะต้องสุราแม้แต่น้อยก็ยังมีรอยยิ้มเคลิบเคลิ้ม
นางเคยยืนอยู่ต่อหน้าบุรุษคนนั้นด้วยความกล้าหาญอย่างเต็มเปี่ยม ถามเขาว่า “อาเหลียง คิดถึงบ้านไหม?”
“คิดถึงสิ”
“กลับบ้านคราวหน้าจะพาภรรยากลับไปด้วยไหม?”
“ก็อยากอยู่เหมือนกันนะ”
“อาเหลียงๆ พาข้า พาข้ากลับไปสิ?”
บุรุษคลี่ยิ้มและกล่าวอย่างแปลกใจ “โอ้โหแหะ ไม่คิดว่าข้าอาเหลียงบุกไปทั่วยุทธภพ ยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อคนไหน วันนี้กลับมาถูกเด็กสาวเอ๊าะๆ ลองของซะแล้ว…”
ตอนนั้นน้องชายของเด็กสาวยังเป็นเด็กน้อยขี้มูกยืด ถ่านดำน้อยนั่งยองอยู่ด้านข้าง แต่เขาก็รู้ความแล้วจึงหันหน้าไปถ่มน้ำลายลงข้างๆ
บุรุษยื่นกาเหล้าให้เด็กสาว ลูบศีรษะของนาง “อย่าเป็นภรรยาของข้าเลยจะดีกว่า ข้าอาเหลียงเป็นแค่คนพเนจรในยุทธภพคนหนึ่ง ไม่สมควรทำร้ายผู้หญิงดีๆ”
เด็กสาวรับกาเหล้าไป แต่กลับไม่กล้าดื่ม
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แอบดื่มแค่ไม่กี่คำ ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้บุรพาจารย์ตระกูลเจ้าจะเข้มงวดแค่ไหนก็ไม่มีทางด่าเจ้า มีแต่จะด่าข้าอาเหลียง”
ตอนที่เด็กสาวไร้เดียงสาดื่มเหล้า บุรุษดีดปลายเท้าขึ้นไปยืนบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทอดสายตามองไปไกล ใช้มือสองข้างเสยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นไปด้านบน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจว่า “เหล้าทำให้สองแก้มแดงฝาด ความกลัดกลุ้มทำให้ผมเต็มศีรษะกลายเป็นสีขาวโพลน วันหน้าหากคิดจะหาบุรุษ ต้องหาคนที่มีความสามารถด้านบทกวีซึ่งเรียนมาห้าปีเต็มอย่างข้า…แน่นอน ข้าพูดว่าหาคนที่เหมือนข้า ไม่ใช่ข้า”
จู่ๆ ถ่านดำน้อยก็โหวกเหวกขึ้นมาว่า “อาเหลียง ข้าปวดอึ! ข้าจะไปอึทางทิศใต้ เร็วหน่อย อึจะราดแล้ว!”
บุรุษรีบกระโดดลงจากกำแพง สบถด่าพลางอุ้มเจ้าตะพาบน้อยขึ้นมา แล้วพุ่งตัวมุ่งไปทางทิศใต้ดั่งสายรุ้ง
ส่วนข้อที่ว่าทางทิศใต้มีอันตราย มีปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่หรือไม่ บุรุษไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
เด็กสาวเองก็ไม่สนใจ เพราะเขาคืออาเหลียง
ในใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีที่ใดที่กระบี่ของอาเหลียงฟาดฟันไปไม่ถึง
ต่อให้ท่านปู่ของนางจะไม่ชอบบุรุษผู้นี้มากแค่ไหนก็ไม่เคยพูดว่าวิชากระบี่ของอาเหลียงไม่สูงมากพอ
ผลคือเจ้าลูกหมาทนไม่ไหว อึราดรดเต็มกางเกง บุรุษที่นั่งซักกางเกงอยู่ข้างบ่อน้ำสะอาดมองเจ้าตะพาบตัวนั้นที่เปลือยก้นวิ่งเล่นไปทั่วพลางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ไปด้วย “ปีนั้นข้าก็แค่ปฏิเสธแม่เจ้าไปเจ็ดแปดรอบเท่านั้น วันนี้กลับต้องมาเจอกรรมตามสนอง เจ้าเหมือนพ่อยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ของข้าเสียอีก…”
สุดท้ายบุรุษจากไป บุรุษที่ไม่มีกระบี่สลักอักษรคำว่าเหมิ่ง (ห้าวหาญ กร้าวแกร่ง) ทิ้งไว้ สวมงอบไม้ไผ่แล้วไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
วันนั้นในนครด้านหลังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่รู้ว่าสตรีน้อยใหญ่กี่คนที่ร่ำสุรา บุรุษของพวกนางก็ยิ่งดื่มเหล้าด้วยความกลัดกลุ้ม
หลังจากนั้นชายฉกรรจ์ที่พกดาบไม้ไผ่เล่มหนึ่งก็เจอตัวเด็กหนุ่มที่ฉีจิ้งชุนเลือกไว้ บอกกับเขาว่า ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง
พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว บุรุษบอกกับเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงของใต้หล้าไพศาลคนนั้นยิ้มๆ ว่า เจ้ารู้หรือไม่ สตรีใต้หล้าที่ชื่นชอบข้าอาเหลียงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
เด็กหนุ่มคิดแค่ว่าเขาโอ้อวดตน
……
ดื่มเหล้าหมดโต๊ะ สหายแยกย้ายกันไป
หนิงเหยาเดินกลับบ้านเพียงลำพัง
ตลอดทางมีคนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ใส่นางมากมาย
มีทั้งสงสาร มีทั้งเย้ยหยัน มีทั้งถอนหายใจ มีทั้งเลื่อมใส
หนิงเหยากลับมาถึงบ้าน ยังคงเป็นหนึ่งในจวนที่ใหญ่ที่สุดของนคร ยังคงมีผู้ฝึกกระบี่ซึ่งเป็นคนในตระกูลอยู่มากมาย แต่กลับขาดคนบางคนไป
นางเดินไปยังลานประลองกระบี่ จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนลงบนแท่นสังหารมังกรที่ใหญ่ดุจกระท่อม หรี่ตางีบหลับ
ในจดหมายบอกว่ามีคนโง่คนหนึ่งจะเอากระบี่มาส่งให้นาง ทำไมยังมาไม่ถึงสักทีนะ?
เด็กสาวเริ่มโมโหนิดๆ แล้ว