บทที่ 255 ความจริงใจประทับใจคน แต่ก็ทำร้ายคนให้เจ็บปวด
ก่อนฟ้ามืดเฉินผิงอันก็ได้ข้อมูลของร้านยาฮุยเฉินจริงๆ นอกจากที่อยู่ในเมือง ยังมีข้อมูลว่าเจ้าของร้านแซ่เจิ้ง ร้านนี้เป็นกิจการของบรรพบุรุษตระกูลฟ่านหนึ่งในห้าสกุลใหญ่ของนครมังกรเฒ่า เถ้าแก่เจิ้งมีสำเนียงของต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือ นิสัยภายนอกหยาบกระด้าง ชื่นชอบอิสตรี ทุกวันจะนั่งเฝ้าอยู่ในร้านกินข้าวฟรีรอความตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคนผู้นี้เคยเข้าไปในจวนตระกูลฟ่านสองครั้ง ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญต่อเขาอย่างยิ่งยวด มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นพระวิสุทธิ์จารย์ด้านวิถีวรยุทธ์ที่มาสอนลูกหลานตระกูลฟ่าน ส่วนภาพวาดหน้าตาของคนผู้นี้ต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะได้
เฉินผิงอันทำสีหน้าประหลาด ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดให้มากความก็รู้แล้วว่าคือเจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูของเมืองเล็กบ้านเกิด ส่วนการที่ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญกับเจิ้งต้าเฟิงขนาดนี้ เฉินผิงอันไม่แปลกใจ ชายฉกรรจ์ที่เคยได้รับเงินแก่นทองผ่านมือมาหลายถุง ต่อให้มองภายนอกจะไม่เป็นโล้เป็นพายมากแค่ไหน แต่ตัวตนที่แท้จริงย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หาไม่แล้วหยางเหล่าโถวก็คงไม่มีทางให้เขาช่วยตนคลายยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึง
นอกจากนี้ซุนเจียซู่ก็ให้คนนำเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับเต่าทะเลขุนเขาและนกกุ้ยฮวาที่เป็นเรือข้ามฟากสองลำมาให้ บอกว่าให้เฉินผิงอันทำความเข้าใจกับเรื่องภายในของเส้นทางการเดินเรือให้มากขึ้น เดินทางข้ามแคว้นระยะทางหลายล้านลี้ มรสุมยากจะคาดการณ์ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ตรงกลางสอดแทรกจดหมายฉบับหนึ่งที่ซุนเจียซู่เขียนด้วยลายมือตัวเองอย่างรีบเร่ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือ เดินทางไปภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ เจ้าเฉินผิงอันนั่งเรือข้ามฟากของข้า แต่เรือข้ามฟากนกกุ้ยฮวาค่อนข้างจะได้เปรียบเต่าทะเลภูเขามากกว่า ข้าเองก็เคยบอกกับเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้ว
การกระทำนี้อาจมองดูเหมือนเกินความจำเป็นคล้ายวาดงูเติมหาง แต่เฉินผิงอันที่อ่านจบแล้วไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็ให้รู้สึกนับถือในวิธีทำการค้าของซุนเจียซู่ หากลองเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ และตนคือพ่อค้าที่ต้องเอาสินค้ามาเร่ขายในนครมังกรเฒ่าก็ต้องยินดีร่วมงานกับตระกูลซุน
เพียงแต่ว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันคิดออกนอกประเด็น นั่นก็คือตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่าที่ยึดมั่นต่อการทำการค้า อาศัยชื่อเสียงที่บรรพบุรุษแต่ละรุ่นสั่งสมมา ไม่ได้อาศัยทรัพย์สมบัติ แต่ไหนแต่ไรมาจึงเป็นฝ่ายเลือกคนที่จะมาทำการค้าด้วย ไม่ใช่ว่าใครคิดอยากค้าขายกับตระกูลซุนก็จะทำได้เลย ต่อให้อีกฝ่ายจะร่ำรวยมากแค่ไหนก็ไม่ได้เหมือนกัน
กฎเกณฑ์ประหลาดของตระกูลซุนก็เหมือนคนประหลาดและมหัศจรรย์ของตระกูลฟ่านที่มีมากมายไม่ต่างกัน
เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ หาร้านยา เลือกเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันที่ตัดสินใจเรื่องเล็กใหญ่สามเรื่องติดเสร็จแล้วก็กินอาหารเย็น อาหารทะเลเมื่อตอนเที่ยงเปลี่ยนมาเป็นต้มที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่จากในแม่น้ำ คราวนี้เฉินผิงอันกินอย่างมีความสุข พุ้ยตะเกียบว่องไว หาได้ยากที่จะกินอิ่มแปล้ถึงขนาดนี้ เฉินผิงอันจึงไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำ ภายใต้แสงอาทิตย์ตะวันรอน ทิวทัศน์งดงามสบายตา เฉินผิงอันรู้สึกว่าที่นี่คือพื้นที่มงคลของตน หากวันหน้ามีโอกาสจะต้องมาเยือนอีกครั้งแน่นอน
จู่ๆ เฉินผิงอันก็นึกอยากตกปลา จึงวิ่งไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ถามพ่อบ้านชราคนหนึ่งว่ามีคันเบ็ดตกปลาหรือไม่ และยังถามถึงสถานการณ์ของปลาช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไร ในแม่น้ำมีสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่หรือไม่ ต้องใช้เคล็ดลับการปล่อยเหยื่อล่อปลาหรือไม่ ผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ทยอยอธิบายไปทีละข้อด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ช่วยเตรียมการทุกอย่างให้เฉินผิงอันอย่างเหมาะสม คนทั้งสองไปยังจุดตกปลาที่ริมแม่น้ำด้วยกัน พ่อบ้านชราได้ยินว่าเฉินผิงอันจะตกปลาจนถึงดึก เดิมทีจึงคิดจะช่วยตั้งกระโจมค้างคืนให้เฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันที่เคยยากจนอย่างถึงที่สุดมาก่อนไม่ได้พิถีพิถันนัก สำหรับการกินอยู่หลับนอน เขาไม่เคยเรียกร้องอะไรมาก่อน จึงไม่ได้ตอบรับ ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้บังคับ เพียงเดินจากไปช้าๆ
เฉินผิงอันไม่รีบร้อนที่จะตกปลา เขาเริ่มฝึกเดินนิ่งกลับไปกลับมาข้างริมน้ำ เดินนิ่งไปได้หนึ่งชั่วยามก็ฝึกยืนนิ่งริมน้ำอีกหนึ่งชั่วยาม แล้วถึงได้เริ่มตกปลาตอนกลางคืน เฉินผิงอันหลับตาเหวี่ยงคันเบ็ดไม้ไผ่ออกไป เสียงเหยื่อจมลงน้ำดังจ๋อม
สายลมเย็นพัดโชยให้เกสรดอกน้ำมันสั่นระริก
น้ำในแม่น้ำเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า ไหลรินหายไปยังจุดไกล สามารถมองเห็นริ้วกระเพื่อมบนผิวน้ำ หลอดเลือดแห่งแม่น้ำที่มองไม่เห็นอยู่ก้นบึ้งล่างสายน้ำ
สายเอ็นที่เล็กเรียวดุจเส้นผมถูกกระชากเบาๆ บางครั้งตึง บางครั้งหย่อน
เฉินผิงอันนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิกไปตลอดคืน ปล่อยให้ปลาน้อยจิกเหยื่อจนแหลกเละ ไม่มีปลาตัวใหญ่มาติดเบ็ด จากนั้นก็นั่งนิ่งอย่างแห้งแล้งแบบนี้ไปจนฟ้าสว่าง
เมื่อเฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาก็หันหน้าไปมองทางทิศตะวันออก นาทีที่เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ก็ได้เห็นภาพงดงามที่ไม่เคยพบเจอมาตลอดชีวิต
อริยะเคยกล่าวว่า หันหน้าเข้าหาแสงอรุโณทัย ดวงตะวันส่องแสงเหลืองแดง
สายตาของคนธรรมดาทั่วไป แสงอรุโณทัยน่าจะมีแค่สีแดงสดเท่านั้น แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าท่ามกลางแสงตะวันขึ้นตรงขอบฟ้าทิศตะวันออกที่งดงามพร่างพราวมีสีเหลืองทองเป็นเส้นๆ ไหลวน เส้นแสงเหล่านั้นเหมือนมังกรที่กำลังว่ายวนอยู่ช้าๆ ท่ามกลางทะเลเมฆสีแดงเพลิง
เฉินผิงอันแหงนหน้าจ้องมองแสงอรุโณทัยหมื่นจั้งและเส้นแสงสีทองอร่ามอยู่ตลอดเวลา เผชิญหน้ากับแสงเจิดจ้าและการไหลเวียนของเส้นแสงสีเหลืองทองเหล่านั้น เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกสบายดวงตาแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ เฉินผิงอันคล้ายจะสัมผัสได้ถึงก้อนเมฆงดงามกลิ้งหลุนๆ ลงมา หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็สั่นสะท้านน้อยๆ พริบตาเดียวมังกรสีทองหลายสิบเส้นก็กรูลงมาจากฟากฟ้า ตรงดิ่งเข้าหาเขาด้วยลักษณะน่าเกรงขาม ราวกับจะบดขยี้คนที่กล้าจับจ้องมองพวกมัน
มังกรเหล่านั้นพุ่งเข้ามาเร็วมาก เฉินผิงอันทิ้งคันเบ็ดตกปลา ลุกพรวดขึ้นยืน ปณิธานหมัดทั่วร่างพรั่งพรูออกมาโดยอัตโนมัติ อาบเต็มไปทั่วเรือนกายด้านนอกและช่องโพรงด้านใน สามารถเคลื่อนไหวได้ดังใจปรารถนา เผชิญหน้ากับการท้าทาย เฉินผิงอันเพียงรู้สึกว่าเหมือนเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีเพียงวิชาหมัดที่ใหญ่ที่สุด และเขาต้องออกหมัดครั้งนี้!
มังกรสีทองหลายสิบตัวที่ไม่มีร่างแท้จริงตรงดิ่งกดทับเข้ามาหาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จาก็ตั้งกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ทันที เท้าสองข้างทยอยกันเหยียบลงบนพื้นดินริมแม่น้ำ พละกำลังมหาศาลทะลุลงไปใต้ดินหนึ่งจั้งกว่า ไม่เพียงแค่พื้นดินที่ส่งเสียงดังตึงๆๆ รัวไม่หยุดเหมือนมีสายฟ้าพลิกหมุนอยู่บนผืนดิน ผิวน้ำที่อยู่ใกล้ตลิ่งก็เกิดคลื่นเป็นระลอกที่ตีกระทบฝั่งตรงข้าม
ชูอีกับสืออู่ต่างก็พุ่งออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างเงียบเชียบ แต่ต่างฝ่ายต่างนอนพังพาบอยู่บนปากน้ำเต้าอย่างเกียจคร้าน ราวกับว่ากำลังรอชมเรื่องสนุก ไม่ได้เห็นมังกรสีทองที่พุ่งลงมาจากชั้นเมฆยามอรุณรุ่งนี้เป็นศัตรู
จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่ท่ามกลางปณิธานหมัด ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้สร้างภาพเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ เพียงแค่รู้สึกว่าในเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตสี่แล้ว การออกหมัดก็ควรจะเร็วยิ่งกว่าเดิม ทว่าการตกปลาเมื่อคืนก่อนนี้ เขาทำความเข้าใจกับโลกใบใหม่ที่สายตาของตัวเองมองเห็น รวมถึงสร้างประตูใหญ่ของช่องโพรงลมปราณต่างๆ ให้มั่นคง และระงับลมปราณที่ก่อกวนอยู่ในร่างกายให้สงบอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีโอกาสได้ทดลองออกหมัดเพื่อพิสูจน์มาก่อนว่าเร็วขนาดไหน ก็คงต้องดูตอนนี้แล้วล่ะ!
“กลับไปให้ข้า!” เฉินผิงอันปล่อยหมัดต่อยเข้าใส่มังกรตัวนำที่อยู่กลางอากาศสูง พายุหมัดพัดกระโชกเป็นเหตุให้ชายแขนเสื้อที่เต็มไปด้วยปณิธานหมัดพองบาน พัดพึ่บพั่บ
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง
น้ำในแม่น้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คลื่นน้ำโถมใส่ดอกน้ำมันดังซ่าจนดอกน้ำมันล้มเอนไปแถบใหญ่
เห็นๆ อยู่ว่ามังกรสีทองตัวใหญ่เท่าปากบ่อตัวนั้นเป็นเพียงภาพมายาเลื่อนลอย ไม่ได้มีร่างที่แท้จริง แต่พอถูกหมัดที่มีปณิธานหมัดมากไพศาลต่อยเข้าที่ศีรษะกลับหัวหมุนติ้วกระเด็นไปไกลหลายสิบจั้ง
หลังจากนั้นเสียงกัมปนาทก็ดังขึ้นถี่ยิบ
มังกรทองหลายสิบตัวถูกเฉินผิงอันใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ต่อยกลับขึ้นไปบนฟ้า พวกมันนอนขดตัวไม่ยอมจากไป ก้มหน้าลงมองเฉินผิงอันที่เปลี่ยนกระบวนท่าเป็นท่าหมัดที่พลังอำนาจน่าหวาดผวาอีกครั้ง สายตาของพวกมันมีทั้งความไม่เข้าใจ และมีทั้งความอาฆาต ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหาง ย้อนกลับเข้าไปยังทะเลเมฆที่ส่องประกายสีพร่างพราวอย่างพร้อมเพรียงกัน เฉินผิงอันอึ้งตะลึง พอมองไปอีกครั้งก็ไม่มีลมปราณสีทองไหลเวียนวนอีกแล้ว ดูเหมือนว่าแสงอรุโณทัยทางทิศตะวันออกจะกลับคืนสู่ความเป็นปกติแล้ว
เฉินผิงอันเก็บหมัดยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจไม่น้อย
แต่ละหมัดที่ปล่อยไปช่างรวดเร็วและดุดันจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ การออกหมัดแต่ละครั้งคล้ายไม่มีพันธนาการของฟ้าดิน ไม่มีความรู้สึกอืดอาดชักช้า สะใจดีจริง!
ชูอีและสืออู่ที่อยู่บนปากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หันมามองหน้ากัน’ สืออูคล้ายจะไม่มีหน้าพบเจอคนจึงไหลกลับเข้าไปในน้ำเต้า
ชูอีที่นิสัยดุร้ายเกรี้ยวกราดมากกว่าอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบินฟิ้วขึ้นมา แม้จะไม่สามารถสร้างบาดแผลที่จับต้องจริงได้ แต่มันก็ยังแทงทะลุร่างของเฉินผิงอันอย่างเสียเวลาเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายกำลังระบายไฟโทสะ
กระบี่บินหากอยู่ในช่องโพรงของเจ้าของที่เป็นผู้ฝึกกระบี่จะเป็นเพียงภาพมายา แต่หากออกจากช่องโพรงจึงจะเป็นของจริง นี่คือกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน เป็นเหตุให้การเข้าออกช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกกระบี่จะไม่มีการทำร้ายร่างกายของผู้ฝึกกระบี่ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันกับกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนายบ่าวอย่างผู้ฝึกกระบี่กับกระบี่บิน ไม่ถึงขั้นชีวิตผูกติดกัน ร่วมเป็นร่วมตายกัน แต่กลับเหมือนเจ้าของบ้านกับคนเช่าบ้าน และเฉินผิงอันก็คล้ายเป็นกึ่งๆ เจ้าของของพวกมันมากกว่า
เฉินผิงอันเกาหัวด้วยความมึนงง แต่ก็ยังปล่อยให้ชูอีอาละวาดต่อไป “เป็นอะไร? หรือว่าขอบเขตสี่ของข้าอ่อนแอเกินไป เลยทำให้พวกเจ้าอายคน?”
การที่ปรากฎภาพเหตุการณ์มังกรสีทองขึ้นท่ามกลางแสงอรุณแล้วกระโจนเข้าหาบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนก่อนหน้านี้ สามโอสถทองหนึ่งก่อกำเนิด ผู้รับใช้ตระกูลซุนรวมสี่ท่านจำต้องให้ความสำคัญ เพียงไม่นานพวกเขาก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องเก็บหนังสือขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตอนนี้ในที่สุดคนทั้งสี่ก็ไม่ได้เถียงกันว่าเด็กหนุ่มเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์แล้ว แต่มีหัวข้อใหม่เพิ่มเข้ามาแทน
เพราะภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ในระดับนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณกลายเป็นขอบเขตโอสถทอง นับจากนี้ท่องอยู่ในโลกได้อย่างอิสระเสรี ดังนั้นจึงชักนำการตอบรับจากฟ้าดิน โอสถทองที่ระดับสูงต่ำไม่เท่ากันเม็ดหนึ่งจะก่อตัวขึ้นมาในห้องโอสถ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องดูว่าความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ฟ้าดินใหญ่หรือเล็ก อีกหนึ่งประเภทคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามฝ่าสู่ขอบเขตสี่ หรือขอบเขตหกฝ่าสู่ขอบเขตเจ็ด โอกาสความเป็นไปได้ของข้อแรกมีน้อยมาก เรียกได้ว่าเลือนรางมาก ส่วนฝ่ายหลังนั้นเป็นเรื่องปกติ หากถูกชักนำมา ตามคำกล่าวของวิถีวรยุทธ์นี่เรียกว่าสามารถเอาหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกได้ หาได้ยากยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ มักจะอาศัยโอกาสนี้มาหล่อหลอมร่างกายและจิตใจได้ เป็นโชควาสนาที่ใหญ่มากต้องรู้จักถนอมแล้วถนอมอีก
ดูจากสัจธรรมแห่งวิชาหมัดที่ล้นหลามเข้มข้นทั่วร่างของเด็กหนุ่ม เขาย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน แต่สุดท้ายจะเป็นขอบเขตสี่หรือขอบเขตเจ็ด คนทั้งสี่จึงถกเถียงกันอีกครั้ง คราวนี้คนทั้งสามเชื่อว่าเป็นขอบเขตเจ็ด ดังนั้นซุนเจียซู่เจ้าประมุขถึงได้เต็มใจเชื้อเชิญให้มาอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ผูกสัมพันธ์ควันธูปแก่กัน อีกทั้งหากขอบเขตสามเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อย่างไรก็ไม่สามารถชักนำภาพปรากฎการณ์ที่มังกรเมฆเยื้องกรายลงมาแบบนี้ได้ มีเพียงคนผู้เดียวที่เชื่อว่าเด็กหนุ่มเพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตสี่
จู่ๆ คนตัดต้นไม้ก็เอ่ยขึ้นว่า “อย่าเพิ่งเถียงกันเลยว่าขอบเขตที่เท่าไหร่ พวกเราไม่ควรทอดถอนใจด้วยความเสียดายที่เด็กหนุ่มคนนั้นพลาดโอกาสอันดีไปหรอกหรือ?”
คนทั้งสามได้สติในฉับพลัน แล้วก็พากันทอดถอนใจ
เด็กหนุ่มชมทัศนียภาพ ชักนำภาพเหตุการณ์ประหลาด คือการขานรับจากคนบนสวรรค์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง
โชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในโลกปรารถนาอยากครอบครอง กลับถูกเด็กหนุ่มผู้นี้รัวหมัดตะพาบต่อยกลับคืนไปทั้งอย่างนี้…
จากนั้นคนทั้งสี่ต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ขนาดนี้ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาของเขาไม่เคยสอนเรื่องที่ตื้นเขินที่สุดประเภทนี้หรือไร? ยกตัวอย่างเช่นขอบเขตสามฝ่าสู่ขอบเขตสี่ หรือขอบเขตหกฝ่าสู่ขอบเขตเจ็ดจะเกิดการขานรับจากคนฟ้า จำเป็นต้องคว้าจับไว้ให้มั่น เพราะสามารถช่วยทำให้ขอบเขตมั่นคงได้…
ต่อให้คนทั้งสี่คิดจนหัวแตกก็คงคิดไม่ถึงว่า ผู้เฒ่าเรือนไม้ไผ่ที่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้เด็กหนุ่มเคยเดินไปสู่จุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบมาก่อน จึงไม่เคยรู้สึกว่าเรื่องประเภทนี้เป็นโชควาสนาอะไร ถือเป็นของนอกกายที่ไม่มีประโชน์ต่อรากฐานของวิชาหมัด! ยังเทียบกับซี่โครงไก่ที่เนื้อน้อยไร้รสชาติแต่จะทิ้งก็เสียดายไม่ได้ด้วยซ้ำ เฉินผิงอันที่เรียนวิชาหมัดของเขาจึงไม่ควรเดินทางลัดแบบนี้ หากผู้เฒ่าเปลือยเท้าได้มาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ต้องหัวเราะชอบใจเสียงดัง รู้สึกว่าเด็กหนุ่มทำได้ดี นี่ต่างหากถึงจะเป็น ‘เรื่องโง่’ ที่ ‘เฉินสืออี’ จะทำ
หลังจากซุนเจียซู่กลับมาที่บ้านบรรพบุรุษ ก่อนจะไปพบเฉินผิงอัน บุรพาจารย์สกุลซุนท่านหนึ่งมาพูดหยอกเย้าเจ้าประมุขตระกูลคนปัจจุบันเป็นการส่วนตัวว่า “เจ้าเชิญเทพเซียนคนหนึ่งมาเป็นแขกที่บ้าน”
ซุนเจียซู่สอบถามด้วยความประหลาดใจ บุรพาจารย์ที่มาหลบเร้นกายอยู่ที่สามร้อยกว่าปีจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง ซุนเจียซู่ยกมือตบหน้าผาก กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “เทพเซียนจริงๆ ด้วย”
ตอนที่กินข้าวด้วยกัน เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าสีหน้าซุนเจียซู่แปลกประหลาด ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสีหน้าที่ตนเคยมองหลิวป้าเฉียวเมื่อครั้งอดีต…
เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าการที่เขาต่อยมังกรเมื่อเช้านี้นำพาความยุ่งยากมาให้บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน จึงถามอย่างเป็นกังวลว่า “เป็นอะไรไป? เมื่อเช้าที่ข้าออกหมัดสร้างความตื่นตระหนกให้ตระกูลฝูที่นครมังกรเฒ่าหรือ? พวกเขาก็เลยค้นพบเบาะแสของข้าแล้ว?”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้ายิ้ม “ในนครมังกรเฒ่ามีผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์หลายพันหลายหมื่นคน เรื่องแปลกประหลาดมีให้เห็นมากมาย แต่หากเกี่ยวพันกับบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน เรื่องประหลาดจะไม่ดูประหลาดสักเท่าไหร่ อีกอย่างคนอื่นก็ไม่ค่อยกล้ามาลอบมองสถานที่แห่งนี้ด้วย ดังนั้นการออกหมัดครั้งนี้ของเจ้าจึงไม่มีปัญหาอะไร…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซุนเจียซู่รู้สึกผิดต่อเจตจำนงเดิมของตัวเอง อีกทั้งยังรู้สึกเสียดายแทนเฉินผิงอัน จึงเกิดความลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะบอกความจริงแก่เด็กหนุ่มดีหรือไม่
ซุนเจียซู่คิดไม่ตกอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา บอกความจริงแก่เฉินผิงอันที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองพลาดอะไรไป
พอเฉินผิงอันฟังจบก็ดื่มเหล้าเงียบๆ ถามหยั่งเชิงว่า “หากพรุ่งนี้ข้าไปชมแสงอรุณอีกครั้ง จะยังมองเห็นมังกรสีทองพวกนั้นอีกไหม?”
ซุนเจียซู่ฉุนจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ดื่มเหล้าอึกใหญ่ พูดอย่างสะท้อนใจว่า “เรียนหนังสือมาน้อยนี่เสียเปรียบจริงๆ”
ซุนเจียซู่มองเฉินผิงอัน เอ่ยหยอกล้อว่า “ทำไม คิดว่าคืนนี้จะไปตกปลาที่ริมน้ำ แล้วก็รอพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันตกตะลึง “ซุนเจียซู่ นี่เจ้าอ่านใจคนออกด้วยหรือ?”
ซุนเจียซู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี โบกมือกล่าวว่า “ข้าไม่มีความสามารถนั้นหรอก แต่ได้ยินว่าบุรพาจารย์ของสำนักการค้าเรามีคนที่มีความสามารถนี้อยู่จริง”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พกคันเบ็ดตกปลาไปที่ริมน้ำ ซุนเจียซู่เดินถือข้องปลาตามไปด้วย ถือโอกาสเล่าเรื่องร้านยาฮุยเฉินให้เฉินผิงอันฟัง เฉินผิงอันก็เล่าให้ฟังว่าตัวเองฝ่าทะลุขอบเขตสี่แล้ว จะไปที่ร้านยาฮุยเฉินหรือไม่ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกแล้ว แต่เขาก็อยากไปเจอคนคุ้นเคยคนนั้นสักหน่อย ซุนเจียซู่เองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร บอกว่าพรุ่งนี้สามารถเดินทางได้ แค่ต้องรอเวลาเตรียมการสักเล็กน้อย ตัวเขาเองตามไปไม่ได้แน่นอน เพราะความหวังดีอาจจะทำให้เสียเรื่องเอาได้ แต่จะให้ผู้รับใช้คนหนึ่งของตระกูลซุนที่เป็นขอบเขตโอสถทองติดตามเฉินผิงอันไป
ในฐานะเจ้าประมุขของตระกูล ในมือซุนเจียซู่มีงานให้ต้องทำมากมาย ย่อมไม่มีเวลามานั่งแกร่วอยู่ข้างแม่น้ำเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน และปลาที่ตระกูลซุนของเขาจะตกล้วนต้องตัวใหญ่มาก
เพียงไม่นานซุนเจียซู่ก็เดินกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษเพื่อจัดการธุระในตระกูล หลังจากนั่งลงข้างหลังโต๊ะก็กางสมุดบัญชีแต่ละปึกออก ด้านหน้าวางลูกคิดโบราณเก่าแก่ไว้อันหนึ่ง มองภายนอกลูกคิดอันนี้ไม่ได้แปลกใหม่อะไร ส่วนที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริงอยู่ที่โดยรอบลูกคิดมีคนจิ๋วสีทองขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือหลายคนนั่งล้อมอยู่ พวกมันสืบทอดสายเลือดมาจากแมลงเงินในตำนาน ถือกำเนิดขึ้นมาในคลังสมบัติ ด้านหลังของพวกมันมีปีกส่องแสงสีทองระยิบระยับ เวลาอยู่ว่างๆ ก็มักจะชอบกลิ้งไปกลิ้งมาเล่นสนุกกันเอง โดยมีความหมายว่าให้ทรัพย์สินไหลมาเทมา
ขณะที่ซุนเจียซู่พูดตัวเลขในใจอย่างรวดเร็วก็จะต้องมีคนจิ๋วสีทองบินมาบนลูกปัดแล้วผลักมันอย่างว่องไว
ลูกคิดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษและคนจิ๋วสีทองต่างก็ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา แต่สิ่งของทุกอย่างในห้องหนังสือนอกเหนือจากนั้นล้วนเป็นของธรรมดา แม้แต่ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะก็ยังเป็นเช่นนี้ บางครั้งซุนเจียซู่ยังต้องเติมน้ำมันหอมด้วยตัวเอง ตระกูลซุนมีคำสอนลูกหลานจากบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมาว่า อะไรที่ประหยัดได้ก็ควรประหยัด เงินหนึ่งอีแปะก็ถือเป็นต้นทุนของตระกูล อะไรที่ควรจ่ายก็จ่าย ต่อให้ทุ่มหมดหน้าตักก็ไม่จำเป็นต้องกะพริบตา
ระหว่างที่ลุกขึ้นเพื่อเติมน้ำมัน ซุนเซียซู่จะมาหยุดอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อมองแม่น้ำ หยุดพักชั่วขณะสั้นๆ
ครั้งสุดท้ายที่มองไปยังสีท้องฟ้า จู่ๆ เขาที่เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็ใช้เสียงในใจส่งข้อความไปพูดกับข้ารับใช้ตระกูลนอกเหนือจากบรรพบุรุษของตระกูลตนเอง “มาพนันเล็กๆ กันเถอะ พวกท่านทั้งสามกล้าพนันกับข้าหรือไม่? หากข้าแพ้ ในเมื่อเป็นการพนันเล็กๆ ก็จะมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญให้กับพวกท่าน แต่หากทั้งสามท่านแพ้ต้องช่วยดูแลบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนไปอีกร้อยปี? แน่นอนว่าเงินเดือนที่ตระกูลซุนควรมอบให้พวกท่านทุกปีก็จะยังคงเดิม”
คนตัดต้นไม้พูดยิ้มๆ ว่า “ซุนเจียซู่ เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าเดิมพัน? ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย”
ซุนเจียซู่ยิ้มตอบ “ข้าจะเดิมพันว่าการเฝ้าคืนในครั้งนี้ของเด็กหนุ่มจะยังได้พบภาพมหัศจรรย์ของฟ้าดินอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านจะกล้าเดิมพันหรือไม่?”
“กล้า!”
เทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสามท่านเอ่ยตอบพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
หากแพ้ก็จ่ายเงินร้อนน้อยสามเหรียญ หากชนะ ในอนาคตอีกร้อยปีตระกูลซุนจะมีขอบเขตโอสถทองเพิ่มอีกสามท่าน หากโชคดี ในบรรดาสามคนนี้ก็อาจจะมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตเก้าก่อกำเนิดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน
คิดดูแล้วทั้งสามคนนั้นก็คงรู้ห่วงโซ่ที่สำคัญของเรื่องนี้ดี แค่ทั้งสามท่านต่างก็รู้สึกว่าซุนเจียซู่จะไม่มีทางชนะก็เท่านั้น อีกอย่างสำหรับเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ คนทั้งสามไม่ได้รู้สึกอะไรมานานมากแล้ว แค่อยากจะชนะเดิมพันเทพน้อยแห่งความร่ำรวยของนครมังกรเฒ่าด้วยตัวเองสักครั้งก็เท่านั้น
ทว่าจากนั้นซุนเจียซู่ก็ยิ้มแล้วควักเงินร้อนน้อยสามเหรียญออกมาจากชายแขนเสื้อ วางเรียงกันไว้บนกรอบหน้าต่าง พูดเหมือนเยาะตัวเองว่า “เพิ่งจะสังเกตเห็น ทั้งสามท่านเอาเงินร้อนน้อยไปได้เลย”
คนทั้งสามก็ไม่เกรงใจ พากันร่ายใช้วิชาอภินิหาร เงินร้อนน้อยสามเหรียญจึงหายวับไป
ผู้เฒ่าที่ตบะสูงสุด แต่เป็นคนนำเงินร้อนน้อยไปทีหลังสุดก็คือผู้ฝึกลมปราณที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดมากที่สุด
ซุนเจียซู่ยิ้มบางๆ ไม่ได้กลับไปนั่งที่เดิม แต่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง รอคอยช่วงเวลาที่เฉินผิงอันลืมตาขึ้นมาจากการยืนนิ่ง กุมารน้อยสีทองที่มีมูลค่าควรเมืองพวกนั้นพากันแหงนหน้ามองมา เจ้าตัวน้อยต่างก็รู้สึกสงสัย ทำไมวันนี้เจ้านายถึงได้ไม่รักการหาเงินเหมือนทุกวัน
ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเป็นสีเงินขมุกขมัวก่อน จากนั้นถึงกลายเป็นสีขาวท้องปลา สุดท้ายแสงรุ่งอรุณสาดส่องไปไกลหมื่นจั้ง สีแดงระยิบระยับเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั่วนครมังกรเฒ่า
จากนั้นก็คือความเงียบสงบของฟ้าดิน ดวงอาทิตย์แห่งทะเลตะวันออกลอยขึ้นมาช้าๆ ก้อนเมฆเดี๋ยวรวมตัวกัน เดี๋ยวแยกย้าย ไม่มีความผิดปกติแม้แต่นิดเดียว
ซุนเจียซู่ที่เสียเงินร้อนน้อยไปสามเหรียญไม่เห็นเป็นสำคัญ
เทพเซียนผู้เฒ่าสามท่านสบายอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ยังพากันพูดจากหยอกเย้าซุนเจียซู่อีกด้วย
บรรพบุรุษตระกูลซุนท่านนั้นมาที่ห้องหนังสือ ในฐานะผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด เขาโบกมือหนึ่งครั้ง ตัดขาดความเชื่อมโยงระหว่างห้องหนังสือกับฟ้าดินภายนอกไปชั่วขณะ แล้วพูดปลอบใจด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร? ยอมแพ้แล้วใช่ไหม ท่านปู่ของเจ้าเคยพูดไว้นานแล้วว่า โชคด้านการเสี่ยงโชคได้ถูกวิชาอภินิหารนั้นของเจ้าเผาผลาญไปหมดสิ้นแล้ว เจ้าน่ะจงตั้งใจทำงานหาเงินไปเถอะ”
ซุนเจียซู่ทอดถอนใจ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินไปที่ประตูห้อง บอกลาบรรพบุรุษแล้วถึงพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปบอกเหล่าซ่งที่ห้องครัวสักหน่อยว่าอาหารเช้าวันนี้ทำให้ปกติหน่อย ไม่ต้องสิ้นเปลืองอาหารอันโอชะ (อาหารชั้นเลิศที่เป็นอาหารป่าและอาหารทะเล ยกตัวอย่างเช่นอุ้งตีนหมี รังนก ฯลฯ) พวกนั้นอีกแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นก็แยกว่าอะไรดีเลวไม่ออก ไม่แน่ว่าหากเป็นผักดอง หมั่นโถวที่เป็นอาหารปกติ เขาอาจจะชอบมากยิ่งกว่า ข้าจะไม่ชม้ายชายตาให้คนตาบอดอีกแล้ว ต้องประหยัดๆ !”
บรรพบุรุษสกุลซุนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มองไปยังคนจิ๋วร่างสีทองที่นั่งอยู่บนลูกคิด สีหน้าของผู้เฒ่าเผยความภาคภูมิใจ ตระกูลฝูมีเงินมากกว่าตระกูลซุน แต่หากจะพูดถึงกุมารเรียกทรัพย์ที่มีระดับสูงสุดแบบนี้ ตระกูลฝูก็มีแค่กุมารร่างทองฝาแฝดคู่หนึ่ง นับรวมๆ แล้วตระกูลฝูมีแค่สามตัวเท่านั้น แต่ตระกูลซุนกลับมีมากถึงสี่ตัว ตระกูลใหญ่อีกสี่แซ่ของนครมังกรเฒ่า ก็มีแค่ตระกูลฟ่านที่โชคดีซื้อตัวหนึ่งมาจากฮ่องเต้ราชวงศ์ใหญ่ที่แคว้นล่มสลาย
ขณะที่รับประทานอาหารเช้า เห็นว่าเฉินผิงอันสวาปามโจ๊ก หมั่นโถวและผักดอง ดูท่าแล้วเอร็ดอร่อยยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ซุนเจียซู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเคี้ยวอย่างละเอียดและกลืนอย่างเชื่องช้าก็เจริญอาหารตามไปด้วย ดื่มเหล้า เจอกับคนที่ชอบดื่มเหมือนกัน กินข้าว เจอกับอาหารที่ถูกปาก ทำให้คนกินได้เยอะมากกว่าปกติอย่างแท้จริง
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ย้อนกลับไปที่ริมแม่น้ำและเริ่มตกปลาอย่างจริงจัง ผลเก็บเกี่ยวมากมาย ครึ่งหนึ่งของข้องใส่ปลาคือปลาแม่น้ำที่คนในนครมังกรเฒ่าเรียกกันว่าปลาขาว ส่วนที่เหลืออีกครึ่งข้องคือปลารวมที่มีทั้งปลาหวงล่าติงและปลาตีนเป็นหนึ่งในนั้น
มื้อเที่ยงกินอาหารที่มีแต่เนื้อปลา หลังจากซุนเจียซู่ให้เฉินผิงอันสวมหน้ากากปลอมแปลงโฉมแล้วก็กำชับอีกรอบ ก่อนจะบอกให้เฉินผิงอันติดตามบุรพาจารย์ขอบเขตก่อกำเนิดคนนั้นไปที่บ่อน้ำแห่งหนึ่งนอกบ้านบรรพบุรุษ บุรพาจารย์สกุลซุนโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ด้านในบ่อน้ำที่ใสดุจกระจกก็ปรากฏภาพของบ้านหลังหนึ่ง ผู้เฒ่าบอกเฉินผิงอันว่าสามารถเดินไปบนผิวน้ำของบ่อน้ำได้เลย เฉินผิงอันที่เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้า สะพายแค่กล่องกระบี่ก้าวออกไปอย่างไม่ลังเล เขาไม่ได้ตกลงไปเบื้องล่างบ่อน้ำ แต่เหยียบลงไปบนผิวกระจก เพียงแต่ว่าใต้ฝ่าเท้ามีริ้วน้ำกระเพื่อม พอเดินออกไปได้หลายก้าว ร่างก็พลันหายวับไป เหมือนเดินเข้าไปในผิวกระจก
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็เดินออกมาในห้องแห่งหนึ่ง มองซ้ายมองขวา รอบด้านก็คือภาพที่เห็นในผิวน้ำก่อนหน้านี้
ทางฝั่งของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ผู้เฒ่าที่มองริ้วกระเพื่อมบนผิวน้ำที่ยังไม่นิ่งสงบแล้วพูดชมกับซุนเจียซู่ว่า “เด็กหนุ่มจากต้าหลีคนนี้มีจิตวิญญาณที่มั่นคง มีปณิธานที่หนักแน่น มิน่าเล่าหลิวป้าเฉียวถึงได้เห็นเขาเป็นเพื่อน”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้ายิ้มๆ พลางเอ่ยโต้ว่า “หลิวป้าเฉียวไม่ได้มองเฉินผิงอันเป็นเพื่อนด้วยสาเหตุนี้”
ผู้เฒ่าถามจี้ใจซุนเจียซู่ “แล้วเจ้าล่ะ?”
ซุนเจียซู่คิดแล้วก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่เคยร่วมทุกข์กันมาก่อน เทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างหลิวป้าเฉียวและเฉินผิงอันไม่ได้”
อีกฝั่งของกระจกตั้งอยู่ในเมืองในของนครมังกรเฒ่า มีคนมารอรับอยู่ข้างนอกห้องแล้ว ซึ่งก็คือเทพเซียนขอบเขตโอสถทองของตระกูลซุนท่านนั้น เขาพาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในลานกว้างแห่งหนึ่ง เดินออกจากประตูด้านข้าง นั่งโดยสารรถม้าคันหนึ่งที่มารออยู่นานแล้ว เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองที่ซุกซ่อนพลังอำนาจแท้จริงไว้ภายใน ภายนอกกลับคืนสู่รูปลักษณ์ของธรรมชาติดั้งเดิมทำหน้าที่เป็นสารถีด้วยตัวเอง สุดท้ายรถม้ามาจอดอยู่หน้าปากตรอกแห่งหนึ่ง หน้าตรอกมีต้นไหวต้นหนึ่งที่อายุไม่มากนัก ใต้ต้นไม้คือชายฉกรรจ์ที่นั่งแทะเมล็ดแตงพลางพลิกเปิดหน้าหนังสือ
พอเฉินผิงอันลงจากรถ คนทั้งสองก็มองสบตากัน
ชายฉกรรจ์ลุกยืนแล้วหยิบม้านั่งขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ เดินนำเข้าไปในตรอกก่อน ผู้เฒ่าตระกูลซุนจอดรถไว้ข้างทาง ไม่ได้ติดตามมาด้วย เขาเริ่มหลับตาทำสมาธิ
มาถึงร้านยา เจิ้งต้าเฟิงวางม้านั่งลงที่หน้าประตู บอกให้เฉินผิงอันนั่งลงไป ส่วนตัวเองไปหยิบม้านั่งมาอีกตัว ทันใดนั้นก็มีเสียงความเคลื่อนไหวมาจากทางธรณีประตู ล้วนเป็นพวกหญิงสาวที่มาชมความครึกครื้น น่าเสียดายที่เฉินผิงอันสวมใบหน้าปลอมที่มีรูปโฉมธรรมดา เพียงไม่นานพวกนางก็หมดความสนใจ พากันเดินกลับเข้าไปในร้าน ใช้เวลาของวันให้หมดลงอย่างเกียจคร้าน
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีถามว่า “ในเมื่อสลายยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึงได้เองแล้ว ทำไมถึงยังเสี่ยงมาที่นี่? หากข้าจำไม่ผิด เจ้ากับฝูหนันหัวนายน้อยของนครมังกรเฒ่ามีความแค้นที่ลึกล้ำต่อกัน ไม่กลัวว่าจะเผยพิรุธอย่างนั้นหรือ? ถึงเวลานั้นตระกูลซุนสามารถลอยตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้ แล้วเจ้านึกว่าข้าจะช่วยเจ้าหรือไง?”
เฉินผิงอันถามสามคำถาม “ปีนั้นใครเป็นคนบอกบิดาข้าเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต? ใครที่ทำให้บิดาข้าต้องตาย? เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับหยางเหล่าโถวหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงถามกลับยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ “หากเกี่ยวข้องกับท่านผู้เฒ่า เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบคำถาม
เจิ้งต้าเฟิงใช้หนังสือเล่มนั้นพัดลมเย็นเข้าหาตัว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่เรื่องนี้ท่านผู้เฒ่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทว่าข้าสามารถบอกกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาได้ว่า ตอนแรกนั้นท่านผู้อาวุโสต้องมองเห็นอย่างแน่นอน เพียงแต่รู้สึกว่าไม่มีความหมาย ไม่มีค่ามากพอ จึงคร้านจะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง หากเจ้าจะเคียดแค้นท่านผู้เฒ่าที่ตอนนั้นไม่ยื่นมือขัดขวางก็เป็นเรื่องของเจ้าเฉินผิงอัน เพราะข้าก็จะไม่ห้ามเจ้าเหมือนกัน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ยิ้มจืดเจื่อน “ข้าจะมาเคียดแค้นด้วยเรื่องนี้ทำไม หยางเหล่าโถวมีนิสัยอย่างไร ข้ารู้ชัดเจนดี เขาไม่เคยติดค้างใคร แล้วก็ไม่เคยให้ใครมาติดค้างเขา ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ หันหน้ามามองเฉินผิงอัน ยิ้มกว้างพูดว่า “เจ้าคิดได้แบบนี้ย่อมดีที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าข้าต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการด่าทอทุบตีของท่านผู้เฒ่าเพื่อมาต่อยให้หัวเจ้าเละด้วยหมัดเดียว”
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาเดานิสัยของคนเฝ้าประตูเมืองเล็กผู้นี้มาได้ตั้งนานแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงโบกหนังสือพัดเอาลมใส่ตัว “ตอนนั้นในบรรดาเด็กทั้งหลาย หากไม่พูดถึงการสืบทอดและฝักฝ่ายของแต่ละคน ข้าเห็นดีในตัวของหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา จ้าวเหยาบนถนนฝูลวี่และซ่งจี๋ซินในตรอกหนีผิงมากที่สุด ส่วนหลี่เอ้อร์ศิษย์พี่ของข้า หรือก็คือบิดาของพวกหลี่ไหวหลี่หลิ่ว ถูกน้ำมันหมูบดบังดวงใจ ถึงได้ชื่นชอบเจ้ามากที่สุด ภายหลังสิ่งที่เจ้าพบเจอหลังออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี ข้าที่พอจะเข้าใจเรื่องราวได้คร่าวๆ ถึงได้ค้นพบว่าข้ามองเจ้าผิด แล้วก็มองศิษย์พี่ของข้าผิดด้วย เมื่อก่อนข้านึกว่าพวกเจ้าสองคนเป็นคนโง่ที่ขาดสติปัญญา ตอนนี้ถึงได้ค้นพบว่าเป็นข้าเจิ้งต้าเฟิงที่ตาบอด”
อันที่จริงเจิ้งต้าเฟิงอยากพูดว่า แท้จริงแล้วเขาหลี่เอ้อร์กับเจ้าเฉินผิงอันต่างหากที่เป็นคนฉลาดที่สุด
เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากตรอกหนีผิงที่ใช้ชีวิตเดียวดายอย่างยากลำบาก เดินแต่ละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ เดินมาจนถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแล้วถึงเพิ่งจะมาเริ่มถามสามคำถามนี้
เฉินผิงอันถามว่า “กับหยางเหล่าโถว ข้าไม่กล้าถามเรื่องพวกนี้ อีกอย่างถามไปก็เหมือนไม่ได้ถาม แต่ถ้าเป็นเจ้า ข้ารู้สึกว่าพอจะลองถามดูได้”
เจิ้งต้าเฟิงถามยิ้มๆ “ทำไม เพราะรู้สึกว่ามีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งให้การปกป้อง เลยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองแล้ว?”
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า “หยางเหล่าโถวสามารถชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย หากข้าถามถึงเรื่องที่ร้ายแรงจริงๆ เขาอาจจะตบข้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่เจ้าเจิ้งต้าเฟิงน่าจะไม่กล้า หากข้าเดาไม่ผิด ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะต้องตายสถานเดียว อีกอย่างค่าตอบแทนที่เจ้าต้องจ่ายก็ต้องไม่ใช่น้อยๆ”
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากพูดว่า เจ้าเจิ้งต้าเฟิงก็เป็นคนทำการค้าเหมือนกัน แต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า วิสัยทัศน์และสถานะของชายสกปรกมอมแมมคนนี้เทียบชั้นกับหยางเหล่าโถวไม่ติด
เมื่อเฉินผิงอันเปิดปากถามคำถามที่อัดอั้นอยู่ในใจมาสิบปีเต็มพวกนี้อย่างแท้จริง เขาก็ยังรู้สึกกระวนกระวายอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าหลังเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ เขาสามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้แล้ว แค่ให้แกล้งทำท่าผ่อนคลายไม่ยี่หระ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร อีกอย่างพอเดินเข้ามาในตรอกเล็กแห่งนี้ ตอนที่เจิ้งต้าเฟิงเข้าร้านไปหยิบม้านั่งมา เฉินผิงอันก็หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกจากห่อสัมภาระมาดื่มเหล้าแล้ว
หากขอบเขตสี่ของตนยังไม่ดีพอ ก็ยังมีชูอีกับสืออู่ และด้านหลังยังมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองของตระกูลซุนท่านนั้นอยู่อีกคน
แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องบางเรื่องที่เก็บมานานนม ก็ได้เวลาที่ควรจะเปิดรอยแผล เอาออกมาตากแดดบ้างแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงมองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าจริงจังแล้วก็ถอนหายใจ ม้วนตำราที่กว่าจะยืมจากเด็กสาวมาได้อีกครั้งก็ต้องพูดจนปากแทบฉีกเล่มนั้นให้เป็นแท่งกลม ใช้มันเคาะเข่าเบาๆ พูดอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้านี่นับวันยิ่งน่ารำคาญ พอเถอะ ไม่ต้องแกล้งทำท่าเป็นผ่อนคลายทั้งที่หวาดผวาจะแย่อีกแล้ว ข้าล่ะเหนื่อยแทน วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางฆ่าเจ้าหรอก ตอนนี้หยางเหล่าโถวให้ความสำคัญกับเจ้ามาก แล้วนับประสาอะไรกับที่แค่เจ้าถามคำถามไม่กี่คำ ข้ายังไม่ถึงขั้นต้องลงมือฆ่าแกงกัน ต่อให้ข้าใจแคบแค่ไหน ก็ไม่มีทางแคบถึงขนาดนั้น”
แล้วเจิ้งต้าเฟิงก็พูดต่อว่า “แต่คำถามสองข้อนั้น ข้าจะไม่ตอบ เจ้ามีความสามารถก็สืบสาวราวเรื่องเอาเอง…”
พูดมาถึงตรงนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามยิ้มๆ ว่า “ทำไมเจ้าไม่ถามฉีจิ้งชุนไปตามตรง?”
เฉินผิงอันผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม เขาเอนหลังที่มีกล่องกระบี่พิงผนังเบาๆ แหงนหน้าดื่มเหล้า เอ่ยประโยคหนึ่งที่ยิ่งทำให้เจิ้งต้าเฟิงสงสัย “ข้ากลัวว่าจะทำให้อาจารย์ฉีผิดหวัง”
เจิ้งต้าเฟิงหันไปตะโกนอีกทางหนึ่ง “เหมยเอ๋อร์ ยกถั่วลิสงและเมล็ดแตงสองจานมารับแขก!”
สตรีหุ่นอวบอิ่มคนหนึ่งยกของว่างสองจานมาตามสั่ง ตอนที่นางโน้มตัวส่งจานมาให้เขา เจิ้งต้าเฟิงแสร้งโวยวายอย่างตกใจ “ภูเขากดทับหัวข้า ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
หญิงสาวกระแทกจานสองใบลงบนมือเจิ้งต้าเฟิงแล้วรีบลุกขึ้นยืน กระทืบเท้าเขาหนึ่งทีพลางคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย “นิสัย!”
เจิ้งต้าเฟิงยื่นจานถั่วลิสงให้เฉินผิงอัน ส่วนตัวเองแทะเมล็ดแตง
ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะพอคาดเดาคำตอบของเจิ้งต้าเฟิงได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ผิดหวังเท่าใดนัก เพียงถามว่า “เจ้ามีตำราวิชากระบี่ที่ดีๆ ขายหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “จะเอาวิชากระบี่ตระกูลเซียนของผู้ฝึกลมปราณ หรือว่าคือวิชาลับการเรียนวรยุทธ์ในยุทธภพ?”
เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “เจ้าน่าจะมองออกว่า สะพานอมตะของข้าขาดไปนานแล้ว คิดจะฝึกกระบี่ก็ได้แต่ฝึกตำรากระบี่ของผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น”
เจิ้งต้าเฟิงเองก็พูดตรงเช่นกัน “ตำราลับการเรียนวรยุทธ์ที่ดีที่สุด ข้าช่วยเจ้าหาได้ แล้วก็จะเอามาขายให้เจ้าด้วยราคาที่สูงเทียมฟ้า แต่นั่นไม่มีความหมายอะไร ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าพยายามไปตามหาวิชาลับเลิศล้ำในยุทธภพอะไรเลย ตัวข้าเจิ้งต้าเฟิงคือคนบนวิถีวรยุทธ์ รู้ถึงความตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ดี ในเมื่อตอนนี้เจ้าฝึกวิชาหมัดได้ดีมากแล้วก็อย่าให้มีปัญหาแทรกซ้อน จะเสียเวลาไปเปล่าๆ”
เฉินผิงอันกินถั่วลิสงหนึ่งเม็ด ครุ่นคิดแล้วก็พูดกับบุรุษคนนี้ด้วยความจริงใจ “ขอบคุณมาก เพราะคำพูดเหล่านี้ เงินเหรียญทองแดงห้าเหรียญที่เจ้าติดค้างข้าไว้ก็ไม่ต้องคืนแล้ว”
มุมปากเจิ้งต้าเฟิงกระตุก
ดูเอาสิ เด็กหนุ่มที่น่าเบื่อสุดๆ แบบนี้จะให้เขาเจิ้งต้าเฟิงมองแล้วไม่ขัดหูขัดตาได้อย่างไรไหว?!
แต่จุดลึกในสายตาของชายผู้นี้กลับมีความคลุมเครือยากจะเข้าใจ
เจิ้งต้าเฟิงยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างสบายตัว กล่าวอย่างโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ “รบกวนถอดหน้ากากของเจ้าออกเถอะ เดิมทีก็ไม่หล่ออยู่แล้ว ยิ่งมาสวมหน้ากากแบบนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าข้าเคยมีเรื่องกับฝูหนันหัว? ข้าหรือจะกล้าถอดมันออก มาเดินอาดๆ อยู่ในเมืองในของนครมังกรเฒ่า สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตระกูลฝูจะมีวิชาอภินิหารอะไรคอยจับตามองความเคลื่อนไหวในเมืองหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นวิชาเทพมองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือ? หากว่ามีอยู่จริงๆ นี่ก็ไม่เท่ากับว่าข้ามาโวยวายอยู่หน้าบ้านคนอื่นให้เขามาฆ่าข้าเร็วๆ หรอกหรือ? เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะโง่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องกรูกันออกจากบ้านมาฆ่าข้าให้ตาย”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดขำกับคำพูดของเขา จึงหัวเราะพลางเปิดเผยความลับว่า “เอาเถอะ หยางเหล่าโถวเคยกำชับข้าไว้ว่า ขอแค่เจ้าสามารถทำลายยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึงได้ด้วยตัวเอง ข้าก็ต้องรับรองว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในนครมังกรเฒ่า ต่อให้เจ้าจะอยากตาย เดินอาดๆ ไปโอ้อวดตัวที่หน้าประตูใหญ่จวนตระกูลฝู ข้าก็ต้องรับรองว่าเจ้าเฉินผิงอันจะไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็พึมพำขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนไม่เห็นรู้สึก แต่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าชื่อของเจ้านี่ตั้งได้ดีจริงๆ”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “เจ้าคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตยอดเขา? หรือว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน?”
เจิ้งต้าเฟิงฉุนจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าและผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบคือผักกาดขาวที่อยู่ข้างทาง เจ้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้เห็นเป็นแถวใหญ่หรือไง? ต่อให้นครมังกรเฒ่าจะมีสามลัทธิเก้าสาขา มีปลาและมังกรปะปนกันมากแค่ไหน ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดและเซียนพสุธาขอบเขตสิบก็สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ได้ทั่วแล้ว แน่นอนว่าต้องไม่ไปสร้างความเดือดดาลให้แก่ฝูงชน ถ้าแค่ท้าทายหนึ่งตระกูลหนึ่งแซ่ ต่อให้เป็นตระกูลฝูที่มีอาวุธกึ่งเซียนอยู่ชิ้นหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย บุรพาจารย์ขอบเขตก่อกำเนิดคนนั้นก็เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเก้าเท่านั้น แต่มาอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่สูงส่งเกินกว่าใครจะทัดเทียมแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองสูง “เจ้าคิดว่าที่นี่คือถ้ำสวรรค์หลีจูหรือไง? ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตแปดขั้นสูงสุดอย่างข้ามีหน้าที่แค่เฝ้าประตูคอยเก็บเงินอย่างนั้นหรือ? หร่วนฉงที่เป็นขอบเขตสิบเอ็ด ก่อนหน้าจะมารับตำแหน่งอริยะก็คอยหลอมกระบี่ตีเหล็กอยู่ริมแม่น้ำหรือไง? ตอนที่ชุยฉานราชครูต้าหลีเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยังต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เผยโฉมต่อหน้าคนอื่นด้วยร่างจำแลงไม่ใช่หรือ?”
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “เจ้าคิดจะให้ข้าถอดหน้ากากออก เพราะมีแผนการอะไรใช่หรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่แยแส เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “เรื่องนี้ก็มองออกด้วยหรือ?”
เทพหยินตนหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของควันเขียวมาปรากฎกายอยู่ในจุดอับแสงของมุมกำแพงตรงข้ามกับคนทั้งสอง แค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ตอนนี้ในสมองของเจิ้งต้าเฟิงเหลวเป็นแป้งเปียก คิดไม่ออกว่าผู้ปกป้องมรรคากับผู้ถ่ายทอดมรรคาคืออะไรกันแน่ จึงไหว้วานให้ตระกูลฟ่านทุ่มเงินตามหาคนมาทำนายให้ ภาพเสี่ยงทายที่ออกมาก็คือภาพดึงเกาลัดออกมาจากในกองไฟ มีความหมายเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงอยากจะให้เจ้าลองตกอยู่ในอันตราย ถึงเวลานั้นเขาจะเป็นคนลงมือช่วยเหลือ แล้วให้ข้าเป็นคนปกป้องเจ้าออกไปจากนครมังกรเฒ่า ช่วงเวลาระหว่างนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเข้าใจสองสถานะนี้ได้อย่างชัดเจน หากยังสามารถฝ่าทะลุคอขวดของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตแปดได้อย่างราบรื่น ก็จะสอดคล้องกับภาพคำทำนายพอดี”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจิ้งต้าเฟิงที่ทำหน้าเฉย “เงินห้าอีแปะ ติดไว้ก่อน ต่อให้ตอนนี้เจ้าคิดจะคืน ข้าก็ไม่มีทางรับ”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “แค่เงินห้าอีแปะจะนับเป็นอะไรได้ ตามใจเจ้า”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้กฎของหยางเหล่าโถว? ก่อนหน้านี้ข้าจงใจพูดถึงเรื่องเงินขึ้นมา ภายหลังเจ้าพูดถึงเรื่องการเรียนวรยุทธ์และฝึกหมัด ข้าเห็นว่าเจ้าไม่เหมือนคนพูดโกหก ถึงได้ผลักเรือตามน้ำ สะสางบัญชีของพวกเราสองคนให้หมดสิ้น! หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นคนที่ต้องการให้ข้าเป็นคนส่งจดหมาย ก็คือหยางเหล่าโถว คนที่บอกให้เจ้าติดหนี้ ก็ยังต้องเป็นหยางเหล่าโถวอีกกระมัง? ตอนนี้เจ้าเสียใจจนไส้เขียวแล้วสินะ?”
รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืน เอาจานเปล่าใบนั้นวางลงบนม้านั่ง แล้วเฉินผิงอันจึงหันไปกุมมือคารวะเทพหยินตนนั้น “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงยอมเปิดเผยความลับ แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นี่ก็ยังคงเป็นความต้องการของหยางเหล่าโถวอยู่ดี ข้าจึงขอขอบคุณท่าน!”
เทพหยินพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันก้าวยาวๆ เดินจากไป
เจิ้งต้าเฟิงเสียใจจนไส้เขียวเหมือนที่เด็กหนุ่มพูดจริงๆ
เขาหันไปมองเทพหยินที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำลายคำเสี่ยงทายมหามงคลของตน “คือความต้องการของเจ้า หรือความต้องการของท่านผู้อาวุโสเอง? ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรอธิบายมาให้ชัดเจน!”
เทพหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เจ้าเดาดูสิ?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะฮ่าๆ ผ่อนคลายทันใด “เจ้าไม่เคยทำอะไรเองโดยพลการ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นความต้องการของท่านผู้อาวุโส”
เทพหยินแค่นเสียงหยัน “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ลูกศิษย์ของเสินจวิน (คำเรียกขานเทพเซียนฝ่ายชาย) แต่กลับเชื่อเรื่องการดูดวง เจ้าไม่รู้หรือว่าต่อให้ตระกูลฟ่านไม่ได้เล่นตุกติก แต่คำว่ามหามงคลสำหรับคนทั้งโลก สำหรับเจ้าเจิ้งต้าเฟิงแล้วอาจจะกลับตาลปัตร กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่?”
สีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง เงยหน้ามองเทพหยินแล้วพยักหน้า “ได้รับคำชี้แนะแล้ว”
เทพหยินไม่สนใจ “ในเมื่อเสินจวินยอมให้เจ้าได้ครอบครองพื้นที่หนึ่งเพียงลำพัง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่าทำตัวอวดฉลาด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีไปก็พอ”
เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “โดนเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นสั่งสอนมาทีหนึ่ง แล้วยังมาโดนเจ้าอบรมอีกรอบ ข้าหงุดหงิดนัก ต้องออกจากตรอกไปผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย”
เทพหยินกำลังจะหายตัวไป
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามว่า “ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนเป็นเพราะการฝ่าทะลุขอบเขตของเฉินผิงอันชักนำมาใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงเย็นชาของเทพหยินดังออกมาจากในเงามืดมุมกำแพง “น่าจะใช่”
เจิ้งต้าเฟิงเหน็บหนังสือไว้ใต้รักแร้ หิ้วม้านั่งและเมล็ดแตงมาที่หน้าปากตรอก นั่งลงใต้ร่มไม้คอยมองสาวงามอีกครั้ง
บุรุษสูงใหญ่ท่าทางมีบารมีซึ่งสวมเสื้อผ้าธรรมดาผู้หนึ่งเดินมาอย่างเชื่องช้า ด้านหลังของเขามีหญิงสาวเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่งเดินเยื้องย่างตามมาด้วย
บุรุษเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิง หญิงสาวหยุดยืนอยู่ด้านหลังบุรุษผู้นั้นอีกที สำหรับเถ้าแก่ร้านยาที่นั่งอยู่บนม้านั่งใช้หนังสือแทนพัดผู้นั้น นางเต็มไปด้วยความรู้สึกสนใจใคร่รู้
บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เกียรติของซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่ามีค่าแค่ใบหน้าปลอมที่ใช้ปิดบังอำพรางชิ้นเดียวเท่านั้น เถ้าแก่เจิ้งมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามาชำเลืองมองบุรุษ “ฝูฉี เจ้าไม่ได้ใส่ชุดคลุมมังกรเฒ่ามา ดูท่าคงไม่ได้มาออกคำสั่งไล่แขก”
บุรุษยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่ด้านหลังตัวเอง “ข้าจะสวมชุดคลุมมังกรเฒ่าหรือไม่ เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่าล้วนไม่สำคัญ พานางมาด้วยต่างหากที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างแท้จริง”
ทั้งแสดงอำนาจบารมี ทั้งแสดงถึงการยอมอ่อนข้อให้
แสดงอำนาจด้วยการบอกว่า เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่า ข้าฝูฉีไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองก็สามารถขับไล่เจ้าเจิ้งต้าเฟิงไปได้แล้ว
ส่วนที่บอกว่าแสดงถึงการยอมอ่อนข้อก็คือ ฝูฉีที่มีฐานะเป็นถึงเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่าก็ยังเต็มใจแสดงไมตรีต่อบุรุษด้วยการนำสตรีที่ขายาวมากคนหนึ่งมาปรากฎตัวต่อหน้าเถ้าแก่ใหญ่เจิ้ง
เจิ้งต้าเฟิงจ้องขางดงามของหญิงสาวอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะหันหน้ากลับไปมองกระแสคนที่เดินสวนกันไปมา “ฝูฉีเจ้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไม่สูบทะเลเมฆเข้าท้องไปด้วยเลยเล่า?”
สีหน้าของฝูฉีไม่น่ามองนัก ต้องยื่นมือไปกุมหยกประดับที่ห้อยไว้ตรงเอว สีหน้าถึงจะผ่อนคลายลง
หญิงสาวตัวสั่นงันงก นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองที่ชัดเจนขนาดนี้ของบิดา
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “เป็นคนทำการค้าเหมือนกัน เจ้าคู่ควรจะมาเปรียบเทียบกับข้าด้วยหรือ?”
ฝูฉียิ้มรับ “ในเมื่อตอนนี้เถ้าแก่เจิ้งอารมณ์ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นเรื่องบางเรื่อง ฝูฉีค่อยพูดภายหลังก็แล้วกัน”
ตอนนี้อารมณ์ของเจิ้งต้าเฟิงแค่ไม่ดีเสียที่ใด ต้องเรียกว่าย่ำแย่ถึงขีดสุดเลยต่างหาก
เงินห้าอีแปะ!
แค่เงินห้าอีแปะที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปล้วนเคยจับผ่านมือ แต่กลับเป็นเหมือนภูเขาใหญ่ห้าลูกที่กดทับอยู่ในใจของเจิ้งต้าเฟิง! ทุ่มเทสมองครุ่นคิดแทบล้มประดาตาย รับมือด้วยความระมัดระวัง กว่าจะหลอกให้เด็กหนุ่มคนนั้นรับปากด้วยตัวเองว่าจะไม่คิดบัญชีนี้ได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงหลังจากที่เด็กหนุ่มถามคำถามสามข้อนั้น รวมไปถึงพูดประโยคว่า ‘หยางเหล่าโถวไม่เคยติดค้างใคร’ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองแล้วว่า ไม่ต้องคาดหวังให้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นี้ทวงเงินห้าอีแปะที่ธรรมดาที่สุดจากตนอีกแล้ว เจ้าลูกหมาน้อยจากตรอกหนีผิงผู้นี้เจ้าเล่ห์จะตายไป คิดจะหลอกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย!
เจิ้งต้าเฟิงโมโหอย่างหนัก โบกตำราที่เอามาทำเป็นพัดแรงๆ “มิน่าเล่าข้าถึงไม่ชอบไอ้หมอนี่มาตั้งแต่แรก อายุน้อยๆ แต่กลับมีจิตใจและกลอุบายลึกล้ำนัก เหมือนเด็กหนุ่มเสียที่ไหน?”
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็หยุดบ่น แล้วพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หากเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ไหนเลยจะมีชีวิตอยู่มาจนถึงป่านนี้”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ทอดถอนใจ เริ่มพลิกเปิดหน้าหนังสือด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน เสียงหน้าหนังสือที่ถูกเปิดดังพั่บๆๆ แต่อ่านไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวอักษรเดียว เขาพึมพำกับตัวเองว่า “หรือว่าวัตถุหยินตนนั้นพูดถูก ข้าทำตัวอวดฉลาดไปเองจริงๆ ?”
เมื่อเปิดหนังสือไปอีกหนึ่งหน้าก็เป็นบท ‘ความจริงใจ’ พอดี ยังคงเป็นเรื่องเล่าตามหัวมุมถนนที่เอามาร้อยเรียงต่อกัน ผสมปนเปกันเป็นต้มจับฉ่าย ช่วงท้ายถึงแสร้งใส่หลักการยิ่งใหญ่เข้าไปสองสามประโยค ยุ่งเหยิงพัลวันไปหมด สำหรับคนที่มีความรู้ลึกล้ำแท้จริงอย่างเจิ้งต้าเฟิงแล้ว หากนำบทความมาแยกออกจากกันก็เหมือนสตรีผู้นี้มีคิ้วตางามเพริศพริ้ง สตรีผู้นั้นมีแก้มอมชมพูน่าหลงใหล สตรีอีกคนมีปากเล็กๆ สีลูกท้อ แต่ละคนต่างก็มีความงามในแบบของตัวเอง แต่หากเอามาประกอบเข้าด้วยกันส่งเดช จะไม่ใช่ความงาม แต่อาจกลับกลายมาเป็นความอัปลักษณ์ที่ทนมองไม่ได้
เจิ้งต้าเฟิงพลิกหนังสือไปอีกหน้าอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือช่วงสุดท้ายของบท ‘ความจริงใจ’ พอดี
ยังคงเป็นหลักการว่างเปล่าที่ยิ่งใหญ่จนไร้ขอบเขตสิ้นสุดเหมือนเดิม
“โบราณกล่าวไว้ว่าผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์ มักจะมีความจริงใจจนสามารถสั่นสะเทือนให้หินแข็งแยกร้าวได้ เป็นเหตุให้ความจริงใจคือรากฐานในการหยัดยืนของวิญญูชนลัทธิขงจื๊อ”
“และอริยะของลัทธิเต๋าก็เคยกล่าวไว้ว่า ไม่จริงใจก็ไม่เขย่าคลอนใจคน คนจริงซื่อสัตย์ จึงจะมีความจริงใจ นี่จึงเป็นที่มาของยศ ‘เจินเหริน’ (แปลตามตัวคือคนที่แท้จริง คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็แปลได้ว่าเต้าหยินที่บรรลุมรรคผล)”
เจิ้งต้าเฟิงพลิกเปิดไปยังบทถัดไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือบท ‘ความจงรักภักดีและกตัญญู’ แล้วก็เปิดหน้ากระดาษตั้งแต่ต้นจนจบอย่างว่องไวอีกครั้ง สุดท้ายตบหนังสือประกบปิดแล้วเอามาทำเป็นพัดพัดลมเย็นๆ เข้าหาตัวอีกครา
ดูเหมือนชายฉกรรจ์คนนี้จะเห็นคำสอนของอริยะในตำราเป็นดั่งลมที่พัดผ่านหูไปเสียหมด
สุดท้ายเขาพูดเหมือนยอมรับชะตากรรม “ในเมื่อท่านผู้เฒ่าพูดว่าชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ถ้าอย่างนั้นข้าจะยังดึงดันไปอีกทำไม? อุตส่าห์รอมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้แล้ว มิน่าเล่าท่านผู้เฒ่าถึงได้บอกว่าข้าหัวหมอคิดว่าตัวเองฉลาดเฉลียว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ ลำพังกับแค่หลี่เอ้อร์ก็ต่อยตีกันมากี่ครั้งแล้ว? ซ่งจ่างจิ้งต่อสู้กับศิษย์พี่แค่ครั้งเดียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตได้เลย อันที่จริงข้าเองก็เริ่มเข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ร้องขอแล้วจะได้มา ข้าก็แค่แอบหวังว่าตัวเองจะโชคดีเท่านั้น ฮ่าๆ ตอนนี้ได้เห็นสาวงามอยู่ในนครมังกรเฒ่าทุกวัน คงต้องรอตายอยู่ที่ขอบเขตแปดนี่แล้ว…”
เจิ้งต้าเฟิงหลับตาลง นาทีนี้สีหน้าของชายฉกรรจ์ที่ไม่ได้ลอบมองทรวดทรงองค์เอวของสตรีค่อนข้างจะเซื่องซึม
หญิงสาวที่มีหุ่นซึ่งเรียกได้ว่า ‘บึกบึนแข็งแกร่ง’ บนใบหน้าทาผงประทินโฉม สวมชุดสีสันสดใสงดงาม กรามของนางใหญ่มากพอที่จะสยบปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ เมื่อนางหยุดเดินแล้วเห็นท่าทางเช่นนี้ของชายฉกรรจ์ก็ให้รู้สึกสงสาร ในใจคิดว่าเขาคงอยากจะบอกความในใจกับตน แต่คงไม่กล้า ถ้าอย่างนั้นตนจะไม่สำรวมกิริยาอย่างที่สตรีพึงกระทำอีกแล้ว นางควรจะเป็นคนเปิดปากก่อน ชายในดวงใจของนางจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ใจ?
เพียงแต่ว่าขณะที่นางกำลังจะกระแอมให้ลำคอชุ่มชื้นนั้นเอง
ชายฉกรรจ์พลันลืมตาขึ้น คว้าม้านั่งได้ก็วิ่งกลับเข้าไปในตรอกทันที
นางถอนหายใจหนึ่งครั้ง ลูบคลำใบหน้า พร่ำตำหนิตัวเอง จะโทษก็ต้องโทษรูปโฉมของตนที่เย้ายวนใจคนเกินไป แถมยังงามล่มบ้านล่มเมืองถึงเพียงนี้
จู่ๆ นางก็สะดุ้งเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ร้องปัดโธ่หนึ่งที ที่แท้พอเอานิ้วไปลูบ เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าก็ติดนิ้วมาด้วย นางจึงรีบปาดกลับไปแรงๆ
……
ฝูฉีไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารพาบุตรสาวกลับไปยังนครฝู แต่สาวเท้าเดินเตร็ดเตร่อย่างผ่อนคลายกลับไป ด้านหลังมีรถม้าคันหนึ่งขับตามมาช้าๆ
หญิงสาวชื่อฝูชุนฮวา เป็นบุตรสาวคนโตของฝูฉี นางกับฝูตงไห่บุตรชายคนโตของฝูฉีล้วนเป็นหนึ่งในคนที่มีหวังว่าจะได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูล
ในเมื่อเป็นเจ้าประมุข หรือจะเรียกอีกอย่างว่าผู้สืบทอดชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยม ฝูฉีมองดูเหมือนวัยกลางคน แต่อันที่จริงมีอายุมากถึงสี่ร้อยปีแล้ว ตบะขอบเขตสิบ แม้ว่าจะเทียบกับชื่อเสียง ‘ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุดของแจกันสมบัติทวีป’ ‘อันดับหนึ่งของห้าขอบเขตบนลงมา’ ของหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าไม่ได้ แต่เมื่อสวมชุดคลุมมังกรเฒ่า บวกกับที่ในตระกูลได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสี่ชิ้น ฝูฉีจึงมีคุณสมบัติที่จะถูกมองว่าเป็นขอบเขตหยกดิบตัวจริงเสียงจริง
ฝูชุนฮวาเองก็อายุเกือบสามร้อยปีแล้ว นางกับฝูตงไห่พี่ชายคนโตล้วนเป็นขอบเขตโอสถทองมานานมากแล้ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้สังหาร คนทั้งสองทำหน้าที่คุ้มครองเรือข้ามฟากลำหนึ่งให้เดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัวมาร้อยกว่าปีแล้ว ประสบการณ์จึงโชกโชน เคยพบเจอปีศาจใหญ่ในทะเลลึก ตกอยู่ในอันตรายระหว่างความเป็นความตายไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ประเด็นสำคัญคือหากลูกหลานตระกูลฝูเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้เมื่อไหร่ก็หมายความว่าจะสามารถควบคุมอาวุธกึ่งเซียนได้ ดังนั้นในแจกันสมบัติทวีปจึงมีคำเล่าลือหนึ่งมาตลอด นั่นคือขอบเขตที่แท้จริงของผู้ฝึกลมปราณตระกูลฝูจำเป็นต้องขยับสูงไปอีกครึ่งขอบเขตถึงจะเป็นมาตรฐานที่ถูกต้อง
ฝูชุนฮวาลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามว่า “ท่านพ่อ ทำไมถึงพาข้ามาพบคนผู้นี้ ไม่ใช่หนันหัวที่ได้มา?”
ฝูฉีตอบยิ้มๆ “ก็บอกไว้ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือว่า เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของตระกูลฝู เถ้าแก่เจิ้งผู้นี้ชอบสาวงามขาเรียวยาว ในรายงานแจ้งไว้อย่างชัดเจน”
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวไม่เชื่อคำอ้างข้อนี้
ต่อให้นางจะเป็นตัวเลือกที่มีหวังว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูล แต่นางก็ดี ฝูตงไห่พี่ชายใหญ่หรือฝูหนันหัวน้องชายก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้กันดีว่า เส้นสายความสัมพันธ์ที่พวกเขาพยายามรวบรวมมาอย่างยากลำบากยังไม่เพียงพอที่จะทำให้รู้ทัศนียภาพที่แท้จริงบนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปได้ อีกอย่างเมื่ออยู่ภายใต้ปีกคุ้มครองของฝูฉีผู้เป็นบิดา แม้ว่าจะเย็นสบาย แต่ก็ถือเป็นการพันธนาการอย่างหนึ่ง พวกเขามักจะไม่กล้าข้ามเส้น เพราะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นคนที่น่าสงสัยในสายตาของฝูฉี
มองดูเหมือนแต่ละคนในตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่ามีอิสระเสรี แต่พวกเศษสวะในตระกูลที่ไม่มีหวังว่าจะได้แตะต้องชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นต่างก็ถอดใจกันไปนานแล้ว แล้วก็ถูกผลักไสให้ออกจากขอบเขตแผนการของตระกูลด้วย ในความเป็นจริงแล้ว ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ตระกูลฝูไม่ได้เป็นรองกฎของเหล่าเชื้อพระวงศ์เลยแม้แต่น้อย
ร้อยปีที่ผ่านมานี้ ฝูตงไห่รับผิดชอบเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ในอุตรกุรุทวีป ส่วนนางฝูชุนฮวาทำหน้าที่รับผิดชอบวางแผนการรับมือกับทวีปใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนฝูหนันหัวนั้นเดิมทีไม่มีชื่อเสียง ไม่มีการไม่มีงานให้ทำ จนกระทั่งครั้งนั้นที่เขาถูกเลือกให้ไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูโดยอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของผู้คน หลังจากนั้นถึงได้ลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทางตระกูลต่างก็ทุ่มกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากไปให้กับน้องชายคนนี้ของนาง เห็นได้ชัดว่าฝูฉีเจ้าประมุขตระกูลไม่พอใจในการทำการค้าตลอดร้อยปีที่ผ่านมาของนางกับฝูตงไห่
ฝูชุนฮวารู้ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ จึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “จะให้ข้าไปเตือนซุนเจียซู่สักคำหรือไม่?”
ฝูฉีเอ่ยยิ้มๆ “ซุนเจียซู่? ต่อให้ขอบเขตของเขาจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่จะดีจะชั่วก็เป็นถึงประมุขของตระกูลซุน เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง อาศัยอะไรไปสะกิดเตือนเขา? ในบ้านบรรพบุรุษของเขายังมีบุรพาจารย์ตระกูลซุนที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดอยู่ทั้งคน ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองอีกคนที่มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด พี่ชายเจ้าพยายามดึงตัวมานานหลายปี จนกระทั่งวันนี้เพิ่งจะมีท่าทางหวั่นไหว หากตระกูลฝูไปเอาเรื่องซุนเจียซู่ตอนนี้ เจ้าคิดว่าขอบเขตโอสถทองคนนั้นจะยังมีหน้าออกจากบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนมาอยู่ที่ตระกูลฝูของเราไหม?”
สีหน้าฝูชุนฮวาซีดขาว กลัวว่าบิดาจะเข้าใจผิดคิดว่านางประสงค์ร้ายต่อพี่ชาย
ฝูฉียิ้มบางๆ “ไม่ต้องตื่นเต้น ข้ารู้จักนิสัยของเจ้าดี อันที่จริงการที่ครั้งนี้ซุนเจียซู่คล้อยไปตามสถานการณ์ วางเดิมพันลงข้างเฉินผิงอันก็เพราะอยากจะหยั่งเชิงตระกูลฝูของพวกเรา เกรงว่าเขาคงกลัวแต่พวกเราจะไม่ไปหาเรื่องเขาซะมากกว่า หากตระกูลซุนสมปรารถนา พอกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษก็ทำท่าว่าถูกตระกูลฝูใช้อำนาจเข้าข่ม เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ไม่จำเป็นต้องให้ซุนเจียซู่เกลี้ยกล่อมอะไร ขอบเขตโอสถทองที่อนาคตยาวไกลคนนั้น เดิมทีตระกูลซุนก็มีบุญคุณต่อเขาอยู่แล้ว หากมีเรื่องในครั้งนี้ เขาก็ต้องเลือกที่จะอยู่ในตระกูลซุนต่ออย่างแน่นอน”
ฝูชุนฮวาเอ่ยถาม “ซุนเจียซู่ไม่กลัวว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะตายด้วยน้ำมือพวกเราหรือไร?”
ฝูฉีเงยหน้ามองม่านฟ้า “เจ้าคิดแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป เพียงแต่ว่าวันใดที่เจ้าได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าก็จะมีโอกาสได้รู้เรื่องจริงบางอย่างที่อยู่ระดับสูงเหนือศีรษะ”
ฝูชุนฮวาเงยหน้ามองทะเลเมฆผืนนั้นตามจิตใต้สำนึก
ฝูฉีคลี่ยิ้ม “ยังมีที่สูงกว่านี้อีก”
จิตใจของฝูชุนฮวาสั่นไหวนิดๆ แหงนหน้ามองไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ผู้ใดที่เป็นขอบเขตโอสถทองก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า
ก่อนหน้าที่จะกลายเป็นขอบเขตโอสถทอง ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าประโยคที่เปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญนี้กล่าวได้สาแก่ใจที่สุด ทว่าพอกลายเป็นขอบเขตโอสถทองได้อย่างแท้จริง ถึงได้ค้นพบว่านี่เพิ่งจะเป็นแค่ครึ่งภูเขาของผู้ฝึกลมปราณเท่านั้น แค่นี้เท่านั้น
จู่ๆ ฝูฉีก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา “เมื่อเทียบกับตระกูลซุนและซุนเจียซู่แล้ว ตระกูลฝูของเราและข้าฝูฉีมีความกล้าหาญและสติปัญญามากกว่า ตอนนี้ข้าต้องออกจากนครมังกรเฒ่าไปรับแขกผู้มีเกียรติหลายคนที่มาจากทางทิศเหนือ เจ้าไปหาฝูหนันหัว บอกเขาว่าเฉินผิงอันอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ข้าอยากรู้ว่าเขาจะเลือกอย่างไร เรื่องนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะกลายเป็นเจ้านครมังกรเฒ่าได้หรือไม่ แน่นอนว่าจะเป็นตัวตัดสินด้วยว่าเจ้าจะมีหวังได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าหรือไม่ หวังว่าตอนที่ข้ากลับมานครมังกรเฒ่า จะสามารถเลือกในสิ่งที่ถูกต้องได้แล้ว”
ฝูฉีโบกมือ “เจ้านั่งรถกลับเมืองไปเถอะ”
ฝูชุนฮวาทำตามคำสั่ง ส่วนบิดานางนั้นทะยานร่างขึ้นสูง หายวับเข้าไปในค่ายกลใหญ่ทะเลเมฆอย่างสง่างามแล้ว และน่าจะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
ฝูชุนฮวาไม่มีเวลามาสนใจว่าแขกมีเกียรติแบบไหนที่มีค่ามากพอให้เจ้านครมังกรเฒ่าออกจากเมืองไปรับด้วยตัวเอง พอเข้ามานั่งในห้องโดยสาร นางก็เริ่มคิดพิจารณาถึงปัญหาข้อนี้
อันดับต่อไปนางควรจะเลือกอย่างไรถึงจะได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาลมากที่สุด? แล้วฝูหนันหัวน้องชายนางจะเลือกอย่างไร?
ฝูชุนฮวาค้นพบว่าความคิดของตัวเองยุ่งเหยิงพันกันเป็นปม ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ช่วงชิงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังอยู่ห่างจากสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ตนคาดการณ์ไว้อีกไกลมาก
พอไปถึงจวนส่วนตัวของฝูหนันหัวผู้เป็นน้องชาย ฝูชุนฮวาก็ยังคิดไม่ตก ได้แต่ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่จะนำคำพูดประโยคนั้นของฝูฉีผู้เป็นบิดามาบอกต่ออย่างระมัดระวัง แต่ก็มีเพิ่มมีลด มีเสริมมีปรุงแต่งเข้าไปด้วย
แน่นอนว่าฝูหนันหัวไม่ได้เชื่อนางทั้งหมด แต่ความหมายคร่าวๆ ของฝูฉี ฝูชุนฮวาไม่กล้าพูดจาส่งเดช ฝูหนันหัวตั้งใจฟังคำบอกเล่าของพี่สาวฝูชุนฮวาตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินเพื่อใช้ความคิดด้วยความเคยชินก็พลันนั่งกลับลงไปดังเดิม กล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าคิดได้แล้ว จะต้องกำจัดเฉินผิงอัน!”
ฝูชุนฮวาเริ่มงัดนิ้วตัวเองเล่น “เถ้าแก่เจิ้งที่ร้านยาฮุยเฉิน อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด หรืออาจถึงขั้นเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปด มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฟ่านของเมืองใน บวกรวมกับตระกูลซุนของซุนเจียซู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือบุรพาจารย์ตระกูลซุนที่มีขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าโอสถทองอีกสามท่านจะไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลซุนได้รับความเดือดร้อน แต่หากจำเป็นจริงๆ ซุนเจียซู่ก็อาจจะโน้มน้าวคนทั้งสามให้ช่วยลงมือได้ ยังมีพวกขุนนางต่างแคว้นที่มารับใช้ตระกูลซุนอยู่ในเมืองในอีก หนันหัว เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือ?”
ฝูหนันหัวสีหน้าเรียบเฉย “ข้าแค่คิดว่าควรจะกำจัดเด็กหนุ่มจากต้าหลีคนนั้นโดยให้จ่ายค่าตอบแทนน้อยที่สุดได้อย่างไร”
ฝูชุนฮวายิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “งานแต่งงานของเจ้ากำลังจะมาถึง ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นรึ? อีกอย่างในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็เท่ากับว่าเป็นประชากรของต้าหลี เจ้าไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบยาวไกล ทำลายภาพลักษณ์ของตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าที่มีอยู่ในใจฮ่องเต้ต้าหลีหรอกหรือ?”
ฝูหนันหัวไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่ตั้งใจใช้ความคิด
สุดท้ายฝูชุนฮวายิ้มหวาน “ฝูหนันหัว สุดท้ายนี้เจ้าลองคิดดูเถอะว่าที่พี่สาวพูดเรื่องพวกนี้ เป็นเพราะหวังให้เจ้าลงมืออย่างเฉียบขาด หรือว่าเป็นเพราะไม่อยากให้เจ้าดึงดันทำตามใจตัวเองโดยพลการ?”
ฝูหนันหัวเอาแต่เงียบอย่างเดียว
รอยยิ้มบนใบหน้าของฝูชุนฮวาเริ่มจืดจางลงทุกที สุดท้ายก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกเลย นางมองน้องชายที่จู่ๆ ก็โดดเด่นขึ้นมาด้วยสายตาเย็นชา ก็แค่เศษสวะคนหนึ่งที่กินภูเขาเงินภูเขาทองทั้งลูกของตระกูลเข้าไปก็ยังได้แค่ขอบเขตหก ยังจะกล้าปรารถนาในตำแหน่งเจ้านครมังกรเฒ่าอีกหรือ? เขาก็คู่ควรที่จะช่วงชิงชุดคลุมมังกรเฒ่าชิ้นนั้นกับนางและฝูตงไห่ที่เป็นขอบเขตโอสถทองด้วยหรือไง?
ฝูหนันหัวหยุดความคิดทั้งหมดลง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ท่วงท่าประดุจเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหล มาดของเขาสุขุมสง่างาม ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฝูชุนฮวา เรื่องสกปรกระหว่างเจ้ากับฝูตงไห่ ไม่ได้มีแค่มารดาของเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้ แต่ข้าสงสัยนักว่า เรื่องสกปรกระหว่างฝูตงไห่กับสาวใช้คนสนิทของเจ้า เจ้ารู้เรื่องด้วยหรือไม่?”
ฝูชุนฮวาแสยะยิ้ม “น้องชายคนดี รอให้ข้าหรือฝูตงไห่ได้เป็นเจ้านครเมื่อไหร่ ต้องเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างดีแน่”
ฝูหนันหัวทำราวกับว่าไม่เข้าใจคำขู่ที่ซุกซ่อนอยู่ เขายิ้มอย่างสง่างาม “ก่อนจะถึงเวลานั้น พวกเราสองพี่น้องต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจเสียก่อน มาช่วยกันวางแผนว่าควรจะสังหารเฉินผิงอันอย่างไรดีกว่า ว่าไหม? ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เดาความคิดของท่านพ่อไม่ออก ไม่รู้ว่าข้าจะเลือกอย่างไร จะเลือกเดินไปหาตำแหน่งเจ้าประมุขหรือออกห่างจากมัน แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องนี้ ท่านพ่อกำลังทดสอบข้า ขณะเดียวกันก็กำลังทดสอบเจ้าอยู่เหมือนกัน พี่สาวคนดี เจ้าต้องรับมืออย่างระมัดระวังนะรู้ไหม!”
ฝูชุนฮวาหรี่ตาลง สีหน้ามืดทะมึน
หลังจากฝูหนันหัวลุกขึ้นยืน เขาก็หันหน้าไปมองทางประตูใหญ่ พูดในใจตัวเองว่า “ซุนเจียซู่ เพื่อขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง เจ้าก็ขายเฉินผิงอันที่เกือบสังหารข้าแล้ว การค้าครั้งนี้คุ้มค่าหรือไม่ หรือจะบอกว่า…”
คิดมาถึงตรงนี้ ฝูหนันหัวก็ส่ายหน้าเบาๆ เป็นไปไม่ได้ ซุนเจียซู่ไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย
แต่ถ้าเป็นไปได้ล่ะ?
จนกระทั่งบัดนี้ฝูหนันหัวถึงได้เริ่มลังเล ในใจยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนฝูชุนฮวาที่มองไปยังน้องชายซึ่งนางเห็นเขาเติบโตมาตั้งแต่เล็ก แต่จู่ๆ เขากลับเปลี่ยนมาเป็นเหมือนคนแปลกหน้า ในที่สุดนางก็เริ่มกริ่งเกรงเขาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
……
ฝูฉีทะยานลมไปทางทิศเหนือเพียงลำพัง ห่างไปไกลพันลี้ถึงหยุดการบินทะยาน สุดท้ายพลิ้วกายลงบนเรือข้ามฟากลำหนึ่งจากภูเขาอู๋ถงหลงเฉวียนต้าหลี
บนเรือมีสวีรั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่พาดกระบี่เป็นแนวขวางไว้ด้านหลังกับรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ที่มีชาติกำเนิดเป็นเจียวสูงวัย
มีสองคนนี้พิทักษ์เรือข้ามฟาก ต่อให้เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวก็ยังไม่มีปัญหา
คนที่คนทั้งสองเดินทางมาให้การคุ้มกันคือชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกคือองค์ชายต้าหลีซ่งมู่เพียงคนเดียว
เด็กสาวที่มีนามว่าจื้อกุยยืนหลุบตาลงต่ำอยู่ด้านหลัง ‘ซ่งจี๋ซิน’ คุณชายของตัวเอง ตั้งแต่ต้นจนจบจื้อกุยไม่ได้มองฝูฉีแม้แต่ครั้งเดียว อาจเป็นเพราะฝูฉีไม่ได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่า บวกกับที่เจ้านครมังกรเฒ่าผู้นี้ไม่ได้บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง เขาไปยืนคุยอยู่กับเซียนกระบี่สวี่รั่วที่หัวเรือ ดังนั้นนางจึงจำเขาไม่ได้?
เรือข้ามฟากลำนี้ลอดเข้ามาในทะเลเมฆเหนือนคร จากนั้นก็ลดตัวลงในนครฝู
หลังจากที่ฝูฉีจัดการหาที่พักให้แขกจากต้าหลีกลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็มาที่จวนส่วนตัวของฝูหนันหัว แล้วจึงเห็นว่าบุตรชายที่มีสีหน้าเซื่องซึมกำลังยืนพิงเสามังกรวนต้นหนึ่ง
ฝูฉีเอ่ยถาม “ทำไมคนทั้งตระกูลฝูถึงไม่มีความเคลื่อนไหวกันเลย?”
ฝูหนันหัวเงยหน้ามองบิดา “ข้าคิดอะไรมากมาย แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปซะหมด ตระกูลฝู นครมังกรเฒ่า ต้าหลี ถ้ำสวรรค์หลีจู ซุนเจียซู่ ฝูตงไห่ ฝูชุนฮวา…”
แต่แล้วจู่ๆ ฝูฉีก็หัวเราะขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าก็จะได้เป็นเจ้านครมังกรเฒ่าคนถัดไปอยู่ดี?”
สีหน้าของฝูหนันหัวทึ่มทื่อ
ฝูฉีเบี่ยงกาย ก้มหน้าลงคล้ายกำลังต้อนรับใครบางคนอย่างนอบน้อม
เด็กสาวคนหนึ่งสูดเอากลิ่นอายของ ‘ปราณมังกร’ เข้าปากเฮือกใหญ่อย่างไร้ความยำเกรง นางเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่เหมือนคนเคลิบเคลิ้มเมามาย จากนั้นก็นั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ แล้วยกสองมือขึ้นปรบเบาๆ
เมื่อชุดคลุมมังกรตัวหนึ่งลอยขึ้นบนร่างของนาง ไอหมอกก็ลอยคลุ้งทำให้ชุดนั้นเหมือนถูกซักอยู่ท่ามกลางไอน้ำ
หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน ชุดคลุมมังกรตัวนั้นขยับสวมใส่บนร่างของนางด้วยตัวเอง มังกรทองท่ามกลางทะเลเมฆเก้าตัวบนชุดเริ่มเคลื่อนไหวว่ายวนอย่างมีชีวิตชีวา
นางสลัดรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ เมื่อสวมชุดคลุมมังกรที่หนาใหญ่ตัวนั้น ทำให้นางดูตลกอย่างเห็นได้ชัด นางขมวดคิ้วกล่าวเหมือนคนได้รับความอยุติธรรมว่า “แม้ไม่มีพันธนาการจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยังต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองคือมดตัวน้อยตัวหนึ่ง ช่างลำบากยิ่งนัก ช่วยไม่ได้ ข้ายังเอาชนะพวกเขาบางคนไม่ได้ เจ้านักพรตน่ารังเกียจ หร่วนฉง ซ่งจ่างจิ้ง จวี้จื่อสำนักโม่ที่ลึกลับเกินจะหยั่งคนนั้น เซียนกระบี่สวี่รั่ว ฯลฯ …เฮ้อ สรุปก็คือมีหลายคนเลยล่ะ ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้ดีกว่า ที่นี่ดีจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปในสมัยที่เพิ่งเหยียบแผ่นดิน…แม้ว่าจะผ่านไปนานหลายปี ปราณมังกรก็ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย ตระกูลฝูของพวกเจ้าทำได้ไม่เลวเลย วันหน้าต้องตกรางวัลให้ รางวัลชิ้นใหญ่ด้วย!”
ฝูหนันหัวมองใบหน้าเยาว์วัยที่คุ้นตาของเด็กสาว จากนั้นหันไปมองบิดาที่มีสีหน้าสงบนิ่ง สุดท้ายถึงจ้องเป๋งไปยังชุดคลุมมังกรเฒ่าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตัวนั้น
ฝูหนันหัวค้นพบว่าตัวเองที่ก่อนหน้านี้เกือบจะเป็นบ้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นบ้าจริงๆ แล้ว
นางเหลียวมองไปรอบด้าน “เพื่อให้มาที่นี่ได้อย่างราบรื่น ข้าต้องเจอกับความอยุติธรรมมากมาย แต่เรื่องที่น่าน้อยใจที่สุดก็คือ คำว่าราบรื่นที่ว่านั้น ยังคงเป็นเจ้านักพรตหน้าเหม็นที่มอบให้ข้า…”
จู่ๆ นางก็ชี้หน้าฝูหนันหัวแล้วพูดด้วยเสียงเฉียบขาด “เจ้ามดตัวน้อย ได้ยินว่าแค่เฉินผิงอันคนเดียว เจ้าก็ยังไม่กล้าสังหาร! เจ้าไม่คู่ควรกับแซ่…”
เด็กสาวหันหน้าไปมองฝูฉี “พวกเจ้าแซ่อะไรนะ?”
ฝูฉีตอบอย่างนอบน้อม “เรียนคุณหนู พวกเราแซ่ฝู”
เด็กสาวไม่ใคร่จะพอใจนัก แต่ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดก็ไม่หลืออยู่แล้ว นางขดตัวอย่างเกียจคร้านอยู่ในเก้าอี้ หรือควรจะพูดว่าขดตัวอยู่ในชุดคลุมมังกรตัวนั้น
อีกแค่เสี้ยวเดียวจิตใจของฝูหนันหัวก็จะแหลกสลายแล้ว
เด็กสาวก้มหน้าลงมองประเมินชุดคลุมมังกรเฒ่า “เลือด กระดูก ลมปราณและเส้นเอ็นของฮ่องเต้เก้าท่านในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป อืม ไม่เลว”
เส้นสายตาของนางไล่ลงต่ำ พึมพำว่า “ทะเลเมฆต่ำไปสักหน่อย”
ดวงตาของนางเปล่งประกายวาบ เผยให้เห็นดวงตาประหลาดที่มีลูกตาดำเป็นสีทอง
ราวกับเดาความคิดของเด็กสาวออก ฝูฉีจึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “คุณหนู ทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่าผืนนั้น ช่วงนี้ยังไม่สามารถเก็บเข้ามาไว้ในเสื้อคลุมได้ เพราะจะเอิกเกริกเกินไป อาจจะทำให้ผู้คนค้นพบเบาะแสได้ง่าย”
เด็กสาวถอนหายใจหนึ่งที “ข้ารู้หนักรู้เบาดี”
สุดท้ายดวงตานางปรือปรอยเหมือนบุรุษผู้เมามาย “มาถึงที่นี่แล้ว ข้าไม่อยากย้ายรังอีกแล้วจริงๆ”
นางพลันกระโดดพรวดลงมาจากเก้าอี้ สะบัดตัวเบาๆ เสื้อคลุมมังกรเฒ่าที่เดิมทีใหญ่โตดุจผ้าห่มก็เปลี่ยนมาเป็นเหมาะกับตัวนางอย่างพอดิบพอดี นางยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ มองไปที่นอกประตูคล้ายกำลังสองจิตสองใจ
……
บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน หลังจากได้ยินแผนการจากเจ้าประมุขคนปัจจุบัน บุรพาจารย์ก็ยิ้มเฝื่อน “คุ้มค่าจริงๆ หรือ? ไม่กลัวหรือว่าหลังผ่านศึกนี้ไปจะล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก ตระกูลฝูอาจจะร่วมมือกับสี่ตระกูลเขมือบกลืนพวกเรา?”
สีหน้าของซุนเจียซู่เป็นปกติ “ข้าแค่เจ็บใจที่สมบัติของตระกูลซุนไม่มากพอ ข้าซุนเจียซู่จึงได้แต่เดิมพันให้ใหญ่โตถึงขนาดนี้”
บุรพาจารย์ตระกูลซุนเงียบงันไปนาน ก่อนจะถามว่า “ถ้าเด็กหนุ่มคนนั้นรู้เจตนาเดิมของพวกเราล่ะ?”
สายตาของซุนเจียซู่ยืนกรานหนักแน่น “เขาไม่มีทางรู้ ต่อให้ถอยไปพูดหมื่นก้าว เขารู้ความจริง ทว่าตระกูลซุนของพวกเราจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงเพียงนี้เพื่อเขา การตอบแทนของเขาในวันหน้ามีแต่จะมาก ไม่มีน้อย”
บุรพาจารย์ตระกูลซุนถามอีกว่า “กระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้าขนาดนี้ จะเหมาะสมจริงๆ หรือ? จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ น้ำมาคลองสำเร็จเหมือนการฝ่าขอบเขตสามสู่ขอบเขตสี่อย่างเด็กหนุ่มไม่ได้หรือ?”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “ข้าซุนเจียซู่คนเดียวย่อมรอได้ ทว่าแนวโน้มสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปและของใต้หล้าไม่สามารถรอได้!”
บรรพบุรุษขอบเขตก่อกำเนิดของตระกูลซุนท่านนี้ได้แต่ถอนหายใจ ไม่พูดเกลี้ยกล่อมอะไรอีก
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็เดินจากห้องในหอสูงของเมืองในกลับมาที่บ่อน้ำของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน
เวลาต่อมาผ่านไปอย่างสุขสงบ ลมพัดโชยแสงแดดอบอุ่น
ซุนเจียซู่ยังคงกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษทุกๆ สามวันห้าวัน
และทุกครั้งที่กลับมาจะต้องนอนค้างหนึ่งคืน และจะต้องเดิมพันกับผู้รับใช้ขอบเขตก่อกำเนิดทั้งสามท่านทุกครั้งที่มาค้าง ครั้งแรกเดิมพันด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ครั้งที่สองสองเหรียญ ครั้งที่สามสี่เหรียญ ครั้งที่สี่แปดเหรียญ
สุดท้ายซุนเจียซู่ที่เดิมพันสี่ครั้งแพ้ทั้งสี่ครั้งก็ไม่เดิมพันอีก
ส่วนเฉินผิงอันก็ยังคงไปตกปลาทุกคืน แล้วก็รอนาทีที่ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันออก แสงอรุโณทัยสาดส่องไปหมื่นจั้ง
วันที่ยี่สิบที่เฉินผิงอันมาพักอยู่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ซุนเจียซู่ที่หลับด้วยวิชานั่งลืมตนของลัทธิเต๋าได้ยินเสียงตะโกนของเฉินผิงอันแว่วมาแต่ไกล “ซุนเจียซู่ รีบมาดูเร็วเข้า!”
ซุนเจียซู่ลุกพรวดขึ้นยืนแล้ววิ่งไปผลักหน้าต่างมองท้องฟ้า แม้แต่รองเท้าก็ไม่สวม
เห็นเพียงว่าทะเลเมฆทางทิศตะวันออกมีมังกรทองหลายสิบตัวกระโจนพรวดลงมาอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ใช้ท่าหมัดโบราณต่อยพวกมันกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า หมัดที่ปล่อยไปแต่ละครั้งสะใจเต็มคราบ ไม่มีลังเลเลยแม้แต่น้อย
ซุนเจียซู่ที่เห็นภาพนี้หมดอาลัยตายอยากกับความสูญเสีย
จิตแห่งเต๋าสูญเสียการควบคุม เกือบจะพังทลาย
โชคดีที่บรรพบุรุษตระกูลซุนรีบมาอยู่ข้างกายเขา ยื่นมือมากดไหล่เขาหนักๆ “เจียซู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ ต้นไม้ที่ดี (เจียซู่ คำเดียวกับชื่อของซุนเจียซู่) ย่อมเขียวขจีได้ทั้งสี่ฤดู แต่คนกลับไม่สามารถสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่อง ปีนั้นที่ตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้าก็เพื่อวันนี้”
สีหน้าของซุนเจียซู่ซีดขาว พึมพำว่า “ช้าไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
แม้ว่าสภาพจิตใจของเขาจะยังมั่นคง แต่กระนั้นจิตวิญญาณก็หลุดลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ราวกับว่าเพิ่งสูญเสียนครมังกรเฒ่าไปทั้งแห่ง
……
เมืองในของนครมังกรเฒ่า หน้าปากตรอกนอกร้านยาฮุยเฉิน เจิ้งต้าเฟิงมองไปยังแสงอรุณรุ่งทางทิศตะวันออกแล้วพลันกระจ่างแจ้ง รีบควักตำราเล่มนั้นออกมา เปิดไปถึงหน้าของบท ‘ความจริงใจ’ แล้วอ่านอยู่ในใจ เมื่อภาพปรากฎการณ์พิเศษแห่งฟ้าดินสิ้นสุดลง เจิ้งต้าเฟิงก็ตบตำราจนแหลกละเอียด ไม่เหลือเบาะแสใดๆ ทิ้งไว้ เขาเดินกลับเข้าไปในตรอก พูดด้วยหน้าตาบึ้งตึง “ผู้ถ่ายทอดมรรคา ฮ่าๆ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของข้าเจิ้งต้าเฟิง…”