บทที่ 265 บนมหามรรคา
เมื่อเฉินผิงอันยกพู่กันวาดยันต์ ภายใต้การให้สัญญาณจากเจียวเฒ่าร่างสีทอง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในร่องน้ำเจียวหลงก็เริ่มเคลื่อนไหว อีกทั้งยังลงมืออย่างจริงจัง พวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่แฝงตัวอยู่ในร่องเจียวหลงมานานหลายร้อยหลายพันปีพากันกรูเข้าหาเกาะกุ้ยฮวาที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเลสูง
มีเพียงตรงตำแหน่งที่เจียวเฒ่าสีทองขดตัวอยู่ที่สงบนิ่งเป็นพิเศษ
คนพายเรือเฒ่าโยนข้องราชามังกรไว้ข้างเท้า ความเป็นความตายของเจียวน้อยตัวหนึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่แล้ว ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ด้านหลังตัวเอง ทั้งร่างของเขาเหมือนถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง หนึ่งคนหนึ่งพู่กันหนึ่งกระดาษยันต์ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง ราวกับกลายมาเป็นฟ้าดินขนาดเล็กที่สูงหมื่นจั้งแห่งหนึ่ง
ผู้เฒ่าเอ่ยชื่นชมอยู่ในใจหนึ่งคำรบ เจ้าหนุ่มน้อยมีกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่จริงๆ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับขอบเขตสูงต่ำ หรือตบะตื้นลึกสักเท่าไหร่ แต่ผู้เฒ่ายอมรับเลยว่าตอนที่ตนยังเป็นหนุ่มไม่เคยมีบุคลิกท่าทางเช่นนี้
เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็ถอนสายตากลับ พูดขึ้นเบาๆ ว่า “กุ้ยฮูหยิน เกาะกุ้ยฮวาตกอยู่ในอันตราย เฉินผิงอันกับยันต์แผ่นนี้มอบให้ข้าเป็นคนปกป้องชั่วคราวเถอะ กุ้ยฮูหยินไปพิทักษ์เกาะกุ้ยฮวาได้เลย บอกให้หม่าจื้อและพวกผู้ดูแลทั้งหลายไปแจ้งให้ผู้โดยสารทุกคนบนภูเขารู้ถึงผลดีผลเสีย อย่าได้อำพรางตบะกันอยู่อีกเลย บุญคุณความแค้นส่วนตัวทั้งหมด รวมไปถึงค่าตอบแทนและค่าชดเชยทั้งหลาย รอให้เกาะกุ้ยฮวาพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ก่อนค่อยว่ากัน”
“เจียวเฒ่าลงมือครั้งนี้ประหลาดมาก อีกอย่างดูจากวิธีที่มันใช้ฆ่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนนั้น หากมันไม่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว ก็ต้องมีคนแอบวางค่ายกลไว้ในร่องน้ำเจียวหลง เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายมาเป็นเหมือนสถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ไม่แน่ว่าอาจมียอดฝีมือของสำนักนอกรีตบางคนหมายตาสถานที่แห่งนี้ ถึงได้มอบความมั่นใจให้แก่เจียวเฒ่าในการงัดข้อกับอริยะลัทธิขงจื๊อของนาตยทวีป แต่ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหยกดิบหรืออริยะจำลอง หากมันลงมืออย่างเต็มกำลัง ไม่มีข้าอยู่ด้วย เจ้ารับมือคนเดียวย่อมลำบากมาก”
กุ้ยฮูหยินรู้สึกลังเลเล็กน้อย นางไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวา ถึงขั้นยังจงใจชะลอความเร็ว ระหว่างนี้ก็ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียไปด้วย ท่ามกลางเส้นทางการฝึกตนที่ยาวนาน กุ้ยฮูหยินรู้ดีว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางภาวะยากลำบากที่หันมองไปทางใดก็ล้วนเลือนรางเช่นนี้ ทำสิบเรื่องร้อยเรื่อง ไม่สู้ทำเรื่องที่ถูกต้องเพียงเรื่องเดียว
น้ำทะเลสามทิศเหมือนน้ำที่ทำนบพังทลายโจมตีกระแทกใส่เรือข้ามฟากที่อยู่ ‘ก้นถ้วย’
บนเกาะกุ้ยฮวา นอกจากต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาแล้ว ต้นกุ้ยที่เหลืออีกพันกว่าต้นล้วนใบร่วงระนาว ใบไม้ที่ร่วงยังไม่ทันตกสู่พื้นก็พร้อมใจกันบินขึ้นกลางอากาศอย่างเป็นระเบียบ หลังจากที่ใบกุ้ยทยอยกันหยุดอยู่กลางอากาศแล้วก็ก่อตัวเป็นรูปครึ่งวงกลม ปกคลุมเกาะกุ้ยฮวาไว้ภายใน จากนั้นใบกุ้ยทั้งกลายก็กลายเป็นเถ้าถ่านในเสี้ยววินาที แหลกสลายหายไป เหลือไว้เพียงปราณวิญญาณสีเขียวมรกตกลุ่มหนึ่งที่ยังอยู่ที่เดิม ก่อตัวเป็นลูกกลมขนาดใหญ่เล็กจำนวนมาก ระหว่างลูกวิญญาณใบกุ้ยที่ลักษณะเหมือนเกาลัดป่าเหล่านี้มีเส้นใยสีเขียวเข้มหลายเส้นพุ่งออกไปรอบทิศเพื่อชักดึงเชื่อมโยงกันและกัน
น้ำทะเลโถมกระหน่ำรุนแรง เรือข้ามฟากเหมือนกลายมาเป็นเรือแจวลำน้อย ปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในใบกุ้ยถักทอเข้าหากัน เหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ที่คนพายเรือเหวี่ยงออกไปเต็มแรง เพียงแต่ว่าการ ‘หว่านแห’ ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อจับปลา แต่เพื่อกันฝน
เมื่อน้ำทะเลกระแทกลงบนตาข่ายใหญ่ ลูกคลื่นก็ซัดกระเพื่อม แต่กลับไม่มีน้ำสักหยดเล็ดรอดตาข่ายเข้ามาในเกาะกุ้ยฮวาได้ และเรือข้ามฟากก็แค่โคลงเคลงเล็กน้อย อีกทั้งเมื่อต้นกุ้ยบรรพบุรุษแสดงท่วงท่ามหัศจรรย์ด้วยการแผ่กิ่งก้านให้เจริญเติบโตไปอย่างรวดเร็ว พื้นดินบนยอดเขาปริแตก ร่องลึกจำนวนมากปรากฏขึ้น เผยให้เห็นรากของต้นกุ้ยโบราณที่ขดรัดพันกันอยู่ ตลอดทั้งเกาะกุ้ยฮวาก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสูง ราวกับว่าจะต้านทานการโจมตีจากน้ำทะเล ทะยานลมขึ้นไปกลางอากาศ หนีไปจากร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้
ฉิวน้ำ (มังกรตัวเล็กที่มีเขาในตำนาน) จำนวนมากที่มีเขางอกออกจากหน้าผากบุกโจมตีดุดันมากที่สุด แต่ละตัวเกาะติดอยู่บนตาข่ายใหญ่ ใช้กรงเล็บฉีกกระชากค่ายกลใบกุ้ย บ้างก็ใช้เขางัดแทง
ฉิวน้ำประเภทนี้ถือเป็นสมาชิกผู้สูงศักดิ์ที่มีอำนาจในบรรดาเผ่าพันธุ์เจียวหลง มีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดกับมังกรแท้จริงที่ควบคุมห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรในยุคโบราณ เมื่อเทียบกับพวกงูและปลาหลีแล้วก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงแต่ว่าเมื่อมีคำว่าน้ำเพิ่มขึ้นมา จะด้อยกว่าฉิวที่มีคำเรียกคำเดียวและถือเป็นเชื้อพระวงศ์สมชื่อไปหนึ่งระดับ ฉิวน้ำเป็นเผ่าพันธ์ที่เกิดจากการผสมพันธ์กันระหว่างต้าฉิวในยุคบรรพกาลกับงูเขียวในทะเล เป็นเหตุให้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าฉิวเขียว พวกมันกับฉิวขาวที่ชอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางภูเขาใหญ่ หนึ่งอยู่ในทะเลลึกหนึ่งอยู่บนบก มักจะปรากฏตัวอยู่ในบทความของนักประพันธ์ และยิ่งเป็นแขกประจำของบทกวีเซียนท่องเที่ยว
ทายาทของเจียวหลงอีกจำนวนมากตามหลังมาติดๆ แต่ละตัวบุกโจมตีตาข่ายใหญ่อย่างดุร้าย อีกทั้งยังร่ายใช้เวทอภินิหารวิชาน้ำที่เป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด แต่ละตัวห่อหุ้มน้ำทะเลหนักนับหมื่นชั่งให้กระแทกลงบนตาข่ายใหญ่
พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ คนพายเรือเฒ่าก็รู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง นี่คือตบะเซียนพสุธาที่กุ้ยฮูหยินรวบรวมมาอย่างยากลำบาก นางปล่อยให้พลังต้นกำเนิดที่เป็นรากฐานของร่างจริงถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้กับทุกคน
ต้องถ่วงเวลารอจนกว่าหม่าจื้อจะสื่อสารกับแขกทุกคนบนเรือเสร็จสิ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่ามวลชนจะสมัครสมานสามัคคี ร่วมแรงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้หรือไม่
ในขณะที่เฉินผิงอันพยายามสุดกำลังเพื่อเขียนยันต์ตัดโซ่แผ่นนั้น เจียวเฒ่าสีทองที่นอกจากจะออกคำสั่งให้เผ่าพันธ์ในร่องน้ำเจียวหลงลงมือโจมตีเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ตัวมันกลับไม่มีท่าทีว่าจะลงมือ เพียงแค่ทำท่าครุ่นคิด ส่ายร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีทองยาวร้อยจั้งแหวกว่ายไปตามริมขอบของมหาสมุทรที่น้ำใสกระจ่าง สุดท้ายกลายร่างเป็นผู้เฒ่ามากบารมีคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีทองเดินออกมาจากริ้วน้ำที่แผ่กระเพื่อม คิ้วของเขายาวมากจนห้อยย้อยลงมาตรงหน้าอก เขาเดินอยู่กลางอากาศว่างเปล่า ผู้เฒ่าที่จำแลงมาจากเจียวเฒ่าคนนี้ไม่ได้สนใจกุ้ยฮูหยินที่ต้องแบ่งสมาธิไปควบคุมเกาะกุ้ยฮวา แม้แต่ความเป็นความตายของเจียวน้อยตัวนั้น ผู้เฒ่าก็ยังไม่แยแส เขาเหมือนนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่กำลังเดินลงจากเนินเขามาช้าๆ หลุบตามองต่ำมาจากจุดสูง มองไปยังเรือเล็กสองลำและคนสามคนที่อยู่ตรงตีนเขา
เจียวเฒ่ามองไปยังแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม ฝีเท้าไม่ได้หยุดชะงัก เขาพูดพร้อมยิ้มบางๆ “เจ้าหนู การที่เจ้าเล่นตุกติกกับไม้พายตีมังกร เขียนยันต์ตัดโซ่ลงไปโดยพลการ ข้าแค่มองว่าเจ้ายังเด็กไม่รู้ความ ปล่อยให้เจ้าแอบซ่อนกระบี่บินสองเล่มเอาไว้ แต่หากยังได้คืบจะเอาศอก…”
คนพายเรือเฒ่าบังคับเรือเล็กใต้ฝ่าเท้ามาขวางให้เฉินผิงอันกับเรือเล็กอยู่ด้านหลัง แหงนหน้ามองเดรัจฉานเฒ่าที่เปลี่ยนสันดานในฉับพลันแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ได้คืบจะเอาศอก แล้วจะทำไม? หรือว่าจะให้ยื่นคอรอเจ้าฆ่าตายด้วยวิธีที่สบายกว่าเดิม? ต้องขอร้องเดรัจฉานอย่างพวกเจ้าว่าเวลาเขมือบพวกเราอย่าเคี้ยวละเอียดเกินไปนัก?”
เจียวเฒ่าชำเลืองตามองผู้เฒ่าพายเรือแล้วยิ้มพูดว่า “พวกเจ้าทำผิดกฎล้วนต้องตายอยู่แล้ว ส่วนจะตายอย่างไร อันที่จริงไม่สำคัญเท่าใดนัก หรือเจ้าลืมไปแล้วว่า หากหลังจากตายไปวิญญาณของพวกเจ้าถูกข้าค่อยๆ ดึงออกมาทำเป็นไส้เทียนสักหลายสิบแท่ง พอนำไปจุดไฟ เอาไปวางไว้ในจุดลึกของร่องน้ำเจียวหลง พวกเจ้าก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากความหนาวเย็น ความทรมานนี้รุนแรงกว่าถูกห้าม้าแยกร่าง ถูกแร่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นในลานลงทัณฑ์ของโลกมนุษย์เสียอีก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองอย่างพวกเจ้าที่ตบะยิ่งสูงเท่าไหร่ ระดับของเทียนหอมก็ยิ่งสูงเท่านั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าที่สวมชุดสีทองก็ถอนหายใจ หยุดเดิน เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งใช้สองนิ้วลูบคิ้วยาวสีทองที่ยาวย้อยมาถึงหน้าอก กล่าวอย่างระอาใจว่า “ไอ้หนู ข้ากับคนพายเรือของตระกูลฟ่านช่วยถ่วงเวลาให้เจ้ามานานขนาดนี้ แค่ยันต์ตัดโซ่ที่เป็นคำสั่งของเทพพิรุณแผ่นเดียวเท่านั้น ยังวาดไม่เสร็จอีกหรือ? ตอนนี้ลูกศิษย์สำนักมหายันต์ของลัทธิเต๋าไม่ได้เรื่องถึงขนาดนี้เชียว? หรือว่าเป็นเจ้าที่ยังไม่เชี่ยวชาญมากพอ ความสามารถในการวาดยันต์ห่วยแตก? หรือเป็นเพราะศักยภาพของยันต์ชิ้นนี้สูงเกินไป กระดาษยันต์ล้ำค่าเกินไป ทำให้ตอนวาดยันต์เจ้าเลยเขียนได้ไม่…รื่นไหล? ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ลิ้มรสชาติของยันต์ตัดโซ่มาหลายปีแล้ว คิดถึงมันไม่น้อย ดังนั้นเวลาแค่นี้ ข้ารอไหว เด็กหนุ่มเจ้าค่อยๆ วาดไป ไม่ต้องรีบร้อน”
กุ้ยฮูหยินถอนหายใจหนึ่งที
คนพายเรือเฒ่าก็รู้สึกไม่ต่างกัน
นี่ก็คือความน่าหวาดกลัวของฟ้าดินที่มีอริยะเป็นผู้ควบคุม
ประหนึ่งสำนักศึกษาสถานศึกษาที่มีอริยะลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ดูแล เหมือนเจินจวินที่อยู่ในอารามเต๋า เหมือนอรหันต์พิทักษ์วัด เหมือนเทพเจ้าฝ่ายบู๊ครอบครองสนามรบ
กุ้ยฮูหยินที่หน้าซีดขาวตวาดเสียงเฉียบ “กระทำการชั่วร้ายถึงเพียงนี้ เจ้าไม่กลัวว่าอริยะลัทธิขงจื๊อของนาตยทวีปจะมาเอาผิดเจ้าหรอกหรือ?!”
สายตาของเจียวเฒ่าฉายแววเวทนา “กุ้ยฮูหยินเอ๋ยกุ้ยฮูหยิน เจ้าไม่ควรมาอยู่ในบ่อโคลนเละเทะอย่างนครมังกรเฒ่าแห่งนี้เลย มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น หลายปีมานี้เจ้าอยู่ว่างๆ อย่างไร้ประโยชน์ สองหูไม่ฟังเรื่องใด ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ ผู้ที่คล้อยตามรอด ผู้ที่ต่อต้านตาย กุ้ยฮูหยิน แม้ว่าข้าจะอยากได้ร่างจริงของเจ้ามานานหลายปี แต่เห็นแก่ที่ชาติกำเนิดของเจ้าไม่ธรรมดา ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ยอมศิโรราบแก่ข้า ร่วมแรงร่วมใจกับร่องน้ำเจียวหลง ตกลงไหม?”
กุ้ยฮูหยินหัวเราะหยัน “ไม่รู้จริงๆ ว่าหากอริยะของลัทธิขงจื๊อมาอยู่ที่นี่ เจ้าจะยังกล้าพูดจาวางโตแบบนี้อีกไหม! อย่าว่าแต่อริยะเลย เกรงว่าต่อให้เป็นแค่วิญญูชนคนหนึ่งก็มากพอจะทำให้เจ้าหวาดกลัวจนตัวสั่นแล้วกระมัง?”
ผู้เฒ่าชุดสีทองส่ายหน้ายิ้มๆ “วันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว ข้าถึงได้พูดอย่างไรล่ะว่าสายตาของเจ้ากุ้ยฮูหยินคับแคบเกินไป ช่างเถอะ มรรคาแตกต่างมิอาจร่วมทาง หลังจากกินเจ้าเข้าไปแล้ว ข้าก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้อย่างราบรื่น ถึงเวลานั้นต่อให้อริยะลัทธิขงจื๊อของสกุลเฉินอิ่งอินออกจากสำนักศึกษามาเอาเรื่องข้าที่นี่ แล้วจะทำอะไรข้าได้?”
ผู้เฒ่าแสยะปากยิ้ม รอยยิ้มน่าสะพรึงกลัว “รู้ว่าเจ้ายังไม่ยอมถอดใจ คิดว่าก่อนหน้านี้ข้าแค่แสร้งขู่ให้หวาดกลัว ยังหวังว่าตัวเองจะโชคดีรอดไปได้ ให้เด็กหนุ่มคนนั้นวาดยันต์ตัดโซ่เพื่อขู่เผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งหมดนอกเหนือจากข้า เจ้าเห็นไหม ถึงขนาดนี้แล้วข้าก็ยังปล่อยให้เจ้าทำตามใจปรารถนา ตอนนี้ยังคิดว่าข้ากำลังสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาอยู่อีกหรือ?”
ผู้เฒ่าก้าวออกมาหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ห่างจากฝั่งหนึ่งของเรือเฉินผิงอันไปสิบกว่าจั้ง
เฉินผิงอันเหมือนหลวงจีนเฒ่าเข้าฌานที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก เพียงแค่วาดยันต์ไปช้าๆ
กุ้ยฮูหยินกับผู้เฒ่าพายเรือลงมือพร้อมกัน นางโยนกิ่งดอกกุ้ยออกมากิ่งหนึ่ง มันหล่นลงบนเรือแจวลำเล็ก สตรีแต่งงานแล้วคนนั้นพึมพำหนึ่งประโยค “รากอิงสวรรค์” กิ่งกุ้ยพลันงอกออกมาเป็นต้นกุ้ยขนาดเล็ก กิ่งใบพลิ้วไหวพะเยิบพะยาบ ก่อนจะเริ่มผลิดอกกุ้ยสีเหลืองอร่ามเป็นพุ่มๆ กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ต้นกุ้ยสูงหนึ่งจั้ง ร่มเงาของมันปกคลุมทับเฉินผิงอัน
ส่วนผู้เฒ่ายกสองมือขึ้นทำมุทราอย่างรวดเร็ว ปากท่องคำสาปแช่ง เท้าข้างหนึ่งกระทืบลงไปบนเรือน้อยลำที่เขายืนอยู่หนักๆ ฝ่ามือของมือสองข้างประกบกัน นิ้วทั้งสิบสอดประสาน ประกายแสงเจิดจ้าสาดส่องออกมาจากร่องนิ้ว ผู้เฒ่าคนพายเรือใช้นิ้วโป้งของมือข้างหนึ่งดันไปที่หัวใจ นิ้วก้อยของมืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังเจียวเฒ่าร่างทอง เมื่อผู้เฒ่าทำมุทราเสร็จสิ้นแล้วก็มีแสงเพลิงสีแดงสดหมุนวนไปรอบกาย ประหนึ่งองค์เทพสวรรค์ที่สวมใส่ชุดคลุมสีแดงสด หน้าผากก็เต็มไปด้วยอักขระสีแดง ตวาดกร้าว “จินอูกระพือปีก เทพแห่งเพลิงต้มน้ำ!” (จินอูหรืออีกาสีทองคือนกเทพในตำนาน มีสามขา ลำตัวสีแดงทอง)
น้ำทะเลตั้งแต่ใต้เรือแจวลำที่คนพายเรือเฒ่ายืนอยู่ไปจนถึงผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองประหนึ่งน้ำร้อนที่เดือดพล่าน ไอร้อนลอยกรุ่น จากนั้นก็มีอีกาสีทองตัวแล้วตัวเล่าบินออกมาจากตรงกลาง พวกมันลากเอาเปลวเพลิงกลิ้งหลุนๆ เส้นหนึ่งกระโจนเข้าหาเจียวเฒ่าอย่างรวดเร็ว
ทว่าเจียวเฒ่าชุดทองแค่สะบัดชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ดึงชางหลงสีเขียวมรกตสองตัวมาจากน้ำทะเลที่อยู่สองข้างกาย ให้มันปะทะเข้ากับอีกาสีทอง จินอูหลายสิบตัวพลันถูกชางหลงสองตัวเขมือบกลืนจนสิ้นในเสี้ยววินาที แม้ว่าชางหลงสีเขียวมรกตจะกินอิ่มหนำสำราญไปหนึ่งมื้อ แต่ตรงท้องกลับมีประกายแสงสีเพลิงเปล่งวูบวาบอยู่เป็นระยะ สุดท้ายก็พินาศไปพร้อมกันทั้งสองฝ่าย ร่างของพวกมันระเบิดแตก ก่อนกลับคืนสู่มหาสมุทรอีกครั้ง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบการลงมือว่องไวดุดัน ใช้พลังอำนาจยิ่งใหญ่ของผู้เฒ่าพายเรือกับท่าทางสบายๆ ของเจียวเฒ่าชุดคลุมสีทองแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝีมือห่างชั้นกันไกลมาก
เจียวเฒ่าชุดทองหลุดหัวเราะพรืด “? องค์เทพยุคบรรพกาลประเภทนี้ปะปนกันมากมายเกินไป อีกอย่างก็เพราะหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดระบบใหญ่นี้จึงมักจะสืบทอดกันอย่างไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรมเสมอ เมื่อเทียบกับองค์เทพฝ่ายน้ำที่ประวัติการสืบทอดเป็นระเบียบ ได้รับความสำคัญจากจักพรรดิสวรรค์แล้ว ก็เรียกได้ว่าเทพแห่งเพลิงไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าเป็นแค่โอสถทองตัวน้อยๆ คงไม่รู้สินะว่าเดิมทีสี่คำว่าเทพแห่งเพลิงต้มน้ำนี้ก็คือการแสดงให้เห็นถึงความขลาดกลัว? ช่วงแรกเริ่มสุดเทพแห่งเพลิงองค์นั้นป่าวประกาศว่าจะต้มให้สี่มหาสมุทรแห้งเหือด จะเผาให้ห้าทะเลสาบกลายเป็นไอเมฆบนท้องฟ้า ภายหลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายไฟจึงกล้าพูดแค่ว่าต้มน้ำเท่านั้น น้ำอะไร น้ำในแม่น้ำใหญ่คือน้ำ น้ำในลำธารเล็กๆ ก็คือน้ำ ต้มน้ำทำไม เจ้าจะดื่มชางั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าพายเรือที่ถูกเจียวเฒ่าชุดทองทำลายอาคมไปอย่างง่ายดายไม่ได้รู้สึกท้อแท้ ระหว่างที่ฝ่ายหลังพูดจ้อไม่หยุด เขาก็เปลี่ยนคาถาใหม่ สองมือกำเป็นหมัด แล้วเอามากระแทกกันอย่างรุนแรง สองเท้าเหยียบให้เกิดพายุลมกรด ภาพลักษณ์ของเทพสวรรค์ฝ่ายไฟที่หน้าตาถมึงทึงดุดันคล้ายมัลละผู้พิทักษ์หายไป รอบกายชายชรามีไข่มุกที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบบินล้อมวนเป็นวงกลม
สุดท้ายหมัดสองข้างของผู้เฒ่าแยกออกจากกัน หมัดหนึ่งทุบจากหัวใจไล่ไปที่หน้าท้องติดต่อกันสามหมัด ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปรานสามแห่งกระเพื่อมไม่หยุด อีกหมัดหนึ่งกลับมาแบมือดังเดิม ชูฝ่ามือขึ้นสู่ท้องฟ้า “แมลงตื่นจากจำศีลทุบท้อง บ่อสวรรค์เปิดโพรง จงฟังคำสั่งข้า ลงทัณฑ์แทนสวรรค์!”
ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆยาวไกลเป็นหมื่นลี้พลันเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์พร้อมสายฟ้าแลบแปลบปลาบ สายฟ้าสีหิมะจ้าตาวูบขึ้นกลางอากาศแล้วผ่าเปรี้ยงลงมายังศีรษะของเจียวเฒ่าชุดทอง
ร่างของเจียวเฒ่าชุดทองหายไปจากตำแหน่งเดิม ทว่าสายฟ้าที่ฟาดลงมาเส้นนั้นไม่ได้หายไปเพราะสาเหตุนี้ มันลอดทะลุน้ำทะเลเข้าไปยังจุดลึกของร่องน้ำเจียวหลงแล้วสาดแสงกระจายออกไป สะท้อนให้ก้นทะเลแห่งนี้เป็นสีขาวโพลนพร่าตา เผ่าพันธุ์เจียวหลงจำนวนมากที่หลบซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล ไม่ได้เข้าร่วมการโอบล้อมครั้งนี้ถูกสายฟ้าเส้นนี้ทำให้ตกใจ พวกมันรีบหลับตาลงตามจิตใต้สำนึก ไม่กล้ามองสบตรงๆ
จากนั้นสายฟ้าก็พุ่งออกไปพ้นผิวน้ำ บินไปยังตำแหน่งหนึ่ง เจียวเฒ่าชุดทองเผยตัวอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับสายฟ้าที่ไร้เหตุผลนี้ ดูเหมือนในที่สุดเจียวเฒ่าก็เริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว คราวนี้ไม่มีท่าทางผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้า แล้วก็ไม่ได้หลบเลี่ยงต่ออีกครั้ง แต่ยืนอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วน้อยๆ ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันทั้งสองมือ แยกกันคีบไปที่คิ้วยาวสีทองสองข้างแล้วลูบผ่านอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่สีทองสองเส้นกลิ้งไหลออกมาจากปลายนิ้ว ยาวประมาณสามฉื่อ มีระดับความยาวเช่นเดียวกับกระบี่ทั่วไปบนโลก หนึ่งกระบี่พุ่งเข้าหาสายฟ้าเส้นนั้น อีกหนึ่งกระบี่แทงตรงไปยังน้ำวนเหนือศีรษะที่เชื่อมโยงเข้ากับบ่อสายฟ้าบางแห่ง
สองกระบี่จากคิ้วยาวของเจียวเฒ่าสีทองล้วนทำสำเร็จ สายฟ้าและน้ำวนต่างก็มลายหายสิ้นไปอีกครั้ง ผิวทะเลและบนอากาศสูงต่างก็มีประกายแสงหลากสีสันระเบิดกำจาย
ไม่เสียแรงที่ผู้เฒ่าพายเรือเป็นโอสถทองส่วนน้อยที่เคยเห็นทัศนียภาพของเซียนพสุธามาก่อน เขามีวิธีการมากมายให้ใช้ไม่หมดสิ้น เขาทะยานร่างขึ้นจากพื้นดิน ยื่นแขนออกไปข้างหนึ่ง กำฝ่ามือเป็นหมัด ในหมัดมีทวนอสรพิษยาวแปดจั้งสีเงินจ้าสะดุดตา เสือกแทงเข้าใส่เจียวเฒ่าสีทอง “ตายซะเถอะเจ้าสัตว์เดรัจฉาน!”
เจียวเฒ่าชุดทองกระตุกมุมปาก หายตัวไปอีกครั้ง
การแทงทวนของคนพายเรือเฒ่าไม่ได้ลดระดับความดุดันลง กลับยิ่งเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น ตรงจุดที่ปลายทวนแทงไปถึงกับเกิดริ้วกระเพื่อมเป็นสีดำระลอกหนึ่ง ปลายทวนสีขาวหิมะไม่ได้หยุดชะงัก ทวนยาวบุกตะลุยไปดุจผ่าลำไม้ไผ่ ดุจตะเกียบที่ร่วงลงน้ำ ทำให้การมองเห็นเกิดการหักเหเอนเอียง
หลังจากนั้นภาพเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น รอบกายของคนพายเรือเฒ่ามีร่างของเจียวเฒ่าชุดทองปรากฏขึ้นหลายสิบคน อีกทั้งเบื้องหน้าของพวกเขายังมีปลายทวนที่บ้างก็ยาวหนึ่งจั้ง บ้างก็สั้นไม่ถึงหนึ่งฉื่อแทงเข้าหาหว่างคิ้วของเจียวเฒ่าชุดทอง
เจียวเฒ่าชุดทองทุกคนล้วนส่งเสียงพูดกลั้วหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน “อุตส่าห์ทุ่มสุดตัวใช้การโจมตีของเซียนพสุธา ลำบากขอบเขตโอสถทองอย่างเจ้าแล้วจริงๆ”
พูดจบก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากำปลายทวนเอาไว้
แสงไฟสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ ส่องสว่างให้ฟ้าดินเป็นสีหิมะขาวพร่าตา
มีเพียงชุดทองคนเดียวที่ไม่ได้เปิดปากพูด เขายืนอยู่ด้านหลังเรือเล็กของเฉินผิงอัน สามารถมองเห็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นกุ้ยได้อย่างชัดเจนพอดี เขามองรากฐานของกระดาษยันต์สีเขียวไม่ออก รู้แค่ว่ามันเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม ส่วนพู่กันด้ามนั้นนับว่าเป็นของดี ต่อให้เป็นเจียวเฒ่าก็ยังรู้สึกอยากได้มาครอบครอง
เห็นว่ากระดาษยันต์ตัดโซ่ที่ว่างเปล่าเขียนตัวอักษรเสร็จไปแล้วแค่เจ็ดแปดส่วนในสิบส่วนเท่านั้น แม้ว่าข้อมือ นิ้วมือและปลายพู่กันของเด็กหนุ่มจะไม่สั่น ทว่าจิตวิญญาณกลับสั่นสะเทือนไม่หยุด แสดงให้เห็นว่าการเขียนยันต์นี้เป็นเรื่องที่ฝืนความสามารถของเขา เจียวเฒ่ายิ่งสงสัยใคร่รู้ แม้ว่าระดับขั้นของยันต์ตัดโซ่จะไม่ต่ำ แต่ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเขียนยันต์ลงบนไม้พายสำเร็จแล้ว หมายความตัวของยันต์ไม่มีปัญหา แต่เป็นกระดาษยันต์สีเขียวนั่นต่างหากที่ทำให้เด็กหนุ่มจรดพู่กันได้อย่างยากลำบาก เหมือนให้เด็กน้อยเดินขึ้นภูเขา จะพูดว่าลำบากเลือดตาแทบกระเด็นก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่นิดเดียว
ยันต์ตัดโซ่ชั้นเยี่ยมหนึ่งแผ่นที่เขียนคำสั่งของเทพพิรุณ
หากเป็นก่อนหน้าที่ตนจะกลายเป็นอริยะครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่ง เจียวเฒ่าคงรู้สึกกริ่งเกรงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่พิฆาตกันมาตั้งแต่เกิด ในช่วงเวลาที่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีระบบการสืบทอดที่ถูกต้อง เจียวหลงต่างก็ให้ความเคารพนับถือพวกเทพพิรุณหรือราชันแห่งสายน้ำทั้งหลายดั่งผู้บังคับบัญชา
เพียงแต่ว่าตอนนี้ต่อให้ยันต์แผ่นนี้จะ ‘แข็งแกร่ง’ มากแค่ไหน เจียวเฒ่าชุดทองก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาถึงขั้นปรารถนาอยากจะได้เห็นยันต์ตัดโซ่อีกครั้งด้วยซ้ำ
เพราะถึงอย่างไรในช่วงเวลาอัปยศที่ยาวนานเหมือนไร้ที่สิ้นสุดบางช่วง ตอนนั้นเจียวเฒ่ายังเป็นเด็ก แต่สิ่งที่ได้เห็นและได้เจอมากลับตราตรึงลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
เจียวเฒ่าต้องการให้พวกผู้เฒ่าบางคนในร่องน้ำเจียวหลงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งไม่ยอมติดตามตนได้ตระหนักถึงความหมายลึกล้ำของยันต์แผ่นนี้กับตาตัวเองอีกสักครั้ง ไม่แน่ว่าอาจทำให้พวกตาเฒ่าที่ไร้ความกระตือรือร้นพวกนั้นเกิดความกล้าหาญฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นได้
ขอแค่ทั้งร่องน้ำเจียวหลงร่วมมือเป็นหนึ่งดุจเชือกที่หมุนเกลียวเป็นเส้นเดียวกัน ตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักแห่งสองแห่งก็ไม่สามารถทัดเทียมได้แล้ว
เจียวเฒ่าชุดทองหลายสิบคนบีบให้ปลายทวนยาวระเบิดแตกในเวลาเดียวกัน
นี่คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตของคนพายเรือเฒ่า เขาพลันเซลงไปนั่งบนเรือเล็ก กระอักเลือดไม่หยุด
นอกจากเจียวเฒ่าตัวที่จ้องมองเฉินผิงอันวาดยันต์โดยไม่พูดไม่จาแล้ว เจียวเฒ่าตัวอื่นๆ ที่ถูกกระตุ้นสันดานดิบอันโหดเหี้ยมล้วนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้งแทบจะเวลาเดียวกัน ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาไม่ได้มีความเคลื่อนไหวรุนแรงเท่าใดนัก แต่ค่ายกลใบกุ้ยที่ปกป้องเกาะกุ้ยฮวากลับเหมือนประตูเมืองบอบบางที่ถูกรถศึกโจมตีเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนจู่โจมจึงสั่นสะเทือนไม่หยุด สถานการณ์ล่อแหลมเต็มที หากค่ายกลใหญ่เกิดความเสียหาย เจียวหลงพวกนั้นจะต้องบุกเข้าไปในเกาะทันที จะให้ต่อสู้ประชิดตัวกับสัตว์เดรัจฉานที่มีเรือนกายแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดพวกนี้น่ะหรือ?
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่ไม่ยินดีเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการสังหารมากที่สุด หรือผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาจนกร้าวแกร่งมากที่สุดก็ยังไม่เต็มใจเช่นกัน
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางหลายคนที่หม่าจื้อโน้มน้าวจนปากคอแห้งผากก็ยังไม่ยอมเอาสมบัติก้นกรุออกมาพากันหน้าเปลี่ยนสี ไม่กล้าเก็บอำพรางสมบัติส่วนตัวอีกต่อไป พากันเรียกสมบัติอาคมอาวุธวิเศษออกมา ทันใดนั้นบนเกาะกุ้ยฮวาก็เต็มไปด้วยประกายแสงพร่างพราว แต่ละคนบินขึ้นไปบนอากาศสูง ช่วยกุ้ยฮูหยินและต้นกุ้ยบรรพบุรุษต้นนั้นต้านทานเจียวเฒ่าร่างทองที่ทำท่าจะเหยียบย่ำค่ายกล
ทว่าหลังจากที่ผู้ฝึกลมปราณบนเกาะลงมืออย่างเต็มกำลัง สิ่งมีชีวิตใหญ่โตในร่องน้ำเจียวหลงที่ก่อนหน้านี้แค่มองอยู่ไกลๆ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือก็ร่ายใช้เวทอภินิหารทางน้ำในที่สุด มองไปแล้วปานประหนึ่งธนูฝนที่โจมตีเข้าหาเกาะกุ้ยฮวา
ด้วยเหตุนี้ต่อให้จะมีผู้ฝึกลมปราณให้ความช่วยเหลือ แต่เกาะกุ้ยฮวาก็ยังคงตกเป็นรองอยู่ดี
ในช่วงเวลาอันตรายคับขันนี้กลับมีผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งบินมาจากผิวน้ำทะเลนอกร่องน้ำเจียวหลง เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังลังเลว่าควรจะพาตัวมาเสี่ยงอันตรายหรือไม่
เขาก็คือข้ารับใช้ขอบเขตก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายคุณชายตระกูลเจียงสำนักกุยหยกผู้นั้น
สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะรอดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ก่อน
กุ้ยฮูหยินจำเป็นต้องกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวา นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าค่ายกลใหญ่จะเปราะบางถึงเพียงนี้ ไม่มีเวลามาสนใจยันต์แผ่นนั้นของเฉินผิงอันอีกแล้ว หากร่างกับจิตวิญญาณของนางอยู่ห่างกันตลอดเวลา ค่ายกลใหญ่เกาะกุ้ยฮวาทนรับการโจมตีครั้งต่อไปไม่ไหว ถึงเวลานั้นต่อให้วาดยันต์ได้สำเร็จ เกาะกุ้ยฮวาถูกตีแตกแล้ว เหล่าเผ่าพันธ์เจียวหลงที่กำเริบเสิบสานกรูกันบุกเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว นั่นจะกลายเป็นโศกนาฎกรรมที่ฝ่ายพวกนางพ่ายแพ้ยับเยินประดุจภูเขาพังถล่ม
กุ้ยฮูหยินบินทะยานออกไปแล้วหันหน้ามาเอ่ยกับคนพายเรือเฒ่าด้วยความจนใจว่า “ดูแลเฉินผิงอันให้ดี!”
ผู้เฒ่าพายเรือพยักหน้ารับพลางยิ้มเจื่อน ฝืนดิ้นรนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
คงได้แต่ทำอย่างสุดความสามารถและรอฟังลิขิตจากสวรรค์แล้ว
เจียวเฒ่าชุดสีทองทั้งหมดที่รายล้อมสี่ด้านแปดทิศพากันเดินเข้าหาเรือเล็กสองลำช้าๆ
มีเพียงเจียวเฒ่าสีทองตนนั้นที่ยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา สายตาจ้องนิ่งไปที่เฉินผิงอัน ใช้เสียงทางใจบอกเขาว่า “ไอ้หนู หากเจ้ายังวาดยันต์แผ่นนี้ไม่เสร็จ ไม่รีบพลิกสถานการณ์ พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย กุ้ยฮูหยินต้องตาย คนพายเรือเฒ่าต้องตาย เจ้าเองก็ต้องตาย ต้องตายกันทุกคนเลยนะ”
ควรทำก็ทำ คำสั่งเทพพิรุณ ยันต์ตัดโซ่หนึ่งแผ่นที่มีตัวอักษรทั้งหมดแปดตัว ถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันเขียนได้แค่หกตัว อีกทั้งยังไม่ถูกต้องตามหลักกฎเกณฑ์ หากไม่ผิดไปจากที่คาด ยันต์แผ่นนี้ถือว่าเสียเปล่าไปแล้ว
อันที่จริงเมื่อเฉินผิงอันเขียนสี่คำแรกสุดเสร็จแล้ว แม้ว่าจะใช้เวลานานมาก เทียบกับการเขียนยันต์ครั้งก่อนๆ หน้านี้ถือว่าใช้เวลานานกว่าเยอะ แต่พอมาถึงตัวอักษรอวี่ (雨ฝน ในที่นี้คือคำว่าพิรุณ) ไม่ว่าเฉินผิงอันจะโคจรลมปราณอย่างไร ทว่าแค่ขีดขวางขีดแรกก็ยังเขียนไม่ออก ราวกับว่ากระดาษยันต์สีเขียวไม่ยอมรับตัวอักษรตัวนี้ ดั่งสองกองกำลังที่คุมเชิงกัน เฉินผิงอันต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพัง เมื่อเผชิญหน้ากับกำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านเหมือนภูเขา แล้วเขาจะทำอะไรได้?
คนเราต้องมีช่วงเวลาที่พละกำลังสิ้นสุดลง ไม่ใช่ว่าปณิธานที่ยิ่งใหญ่หรือความเพียรพยายามที่เด็ดเดี่ยวอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอไป
เฉินผิงอันฝืนอยู่นานก็ยังไม่อาจจรดพู่กันได้ เมื่อมือของเฉินผิงอันสั่นเป็นครั้งแรก เลือดสดจากหัวใจพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เฉินผิงอันแข็งใจกลืนมันลงไป ด้วยถูกบีบให้อับจนหนทาง เฉินผิงอันจึงข้ามคำว่าอวี่ไปโดยตรง พอมาเจออักษรคำว่าซือ (师 โดยไปคำนี้แปลว่าอาจารย์ ในที่นี้ตรงกับคำว่าเทพ) ก็กลายเป็นปราการธรรมชาติอีกแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันข้ามมันไปอีกครั้ง ยังดีที่สองคำว่าคำสั่ง เขาพอจะฝืนเขียนได้ ในขณะที่ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเฮือกนั้นกำลังจะหมดลงก็เขียนสำเร็จในที่สุด
หลังจากที่ใช้ลมปราณเฮือกนี้หมดสิ้นแล้ว เฉินผิงอันก็หมดแรง แขนข้างที่ถือเหล็กหมาดหิมะตกลงข้างกาย เดิมทีก็เป็นการฝืนดึงลมปราณขึ้นมาอยู่แล้ว หากยันต์แผ่นนี้วาดไม่สำเร็จก็ไม่ต่างอะไรจากการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ เวลานี้เลือดลมในร่างของเขาปั่นป่วน นอกจากเลือดจากหัวใจที่บาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิดแล้ว ยังมีหยดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนผุดซึมจากข้างในมายังข้างนอก หยดเลือดเหล่านั้นเล็กมาก พวกมันค่อยๆ ไหลจากจิตวิญญาณ ช่องโพรงลมปราณ เส้นเอ็นกระดูก และเนื้อหนังออกมาสู่ภายนอก
เป็นครั้งแรกที่เจียวเฒ่าสีทองเดือดดาลอย่างหนัก สบถด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าสวะไร้ค่า! รอเจ้ามานานขนาดนี้ แค่สองคำว่า ‘เทพพิรุณ’ เจ้าก็เขียนออกมาไม่ได้งั้นหรือ?”
เจียวเฒ่าเดินขึ้นหน้ามาทีละก้าว “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ขยับพู่กันเขียนใหม่! วาดยันต์ใหม่อีกหนึ่งแผ่น!”
เฉินผิงอันเหม่อมองยันต์สีเขียวแผ่นนั้น สถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนไปแย่ยิ่งกว่าเดิม
แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนมาดีขึ้น
ราวกับว่าเฉินผิงอันที่พอออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาก็โชคดีมาตลอดทาง พอแยกทางกับนักพรตหญิงของสำนักโองการเทพผู้นั้นบนมหามรรคา ความโชคดีเริ่มดิ่งลงเหวอีกครั้ง เหมือนได้กลับเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูก่อนที่มันจะปริแตกแล้วร่วงลงมา
คราวนี้ยิ่งพาตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความตายโดยตรง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “เจ้าอยากให้ข้าเขียนยันต์ตัดโซ่สำเร็จถึงเพียงนี้เชียวหรือ? คงมีแผนการอะไรอยู่สินะ?”
เจียวเฒ่าชุดทองมองประเมินเด็กหนุ่มอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ เพียงแต่ว่าตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว เสียเวลาข้ามานานขนาดนี้ หลังจากนี้สามหุนเจ็ดพั่วของเจ้าจะถูกดึงเอามาทำไส้เทียนเล่มแล้วเล่มเล่าและถูกเผาอยู่ใต้ร่องลึกเจียวหลงหนึ่งร้อยปี”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองแขนซ้ายที่จับเหล็กหมาดหิมะ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วค่อยๆ ยกขึ้น ไม่เพียงแต่แขนข้างนี้เท่านั้น แต่เป็นทั่วร่างที่มีเลือดสดไหลซึมออกมาจากช่องลมปราณและกล้ามเนื้อ ไหลหลั่งเป็นสาย “ก่อนจะตาย ข้าจะต้องเขียนสองตัวนี้ให้สำเร็จ”
สีหน้าของเจียวเฒ่าชุดทองมืดทะมึน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กหนุ่มมีปณิธาน ข้าจะตั้งตารอ อีกทั้งจะเป็นผู้พิทักษ์ให้เจ้าด้วยตัวเอง อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกล่ะ”
เฉินผิงอันแสยะยิ้ม
ยกแขนขวาขึ้นเช็ดตาที่ถูกคราบเลือดบดบังจนการมองเห็นพร่าเลือนลวกๆ พอเห็นตำแหน่งว่างเปล่าบนกระดาษยันต์ซึ่งเป็นที่ว่างสำหรับสองคำว่า ‘เทพพิรุณ’ ได้ค่อนข้างชัดเจนแล้ว เขาก็หลับตาลง พึมพำในใจว่า “ควรทำก็ทำ…ควรทำก็ทำ…”
ทันใดนั้น
เฉินผิงอันก็เริ่มจรดพู่กันลงบนกระดาษยันต์อีกครั้ง
เจียวเฒ่าชุดทองหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าหนุ่ม นั่นไม่ใช่อักษรตัวอวี่นี่นา เป็นเพราะบาดเจ็บสาหัสเกินไป สมองก็เลยไม่แจ่มชัดใช่ไหม?”
อีกชั่วพริบตาต่อมา
เจียวเฒ่าสีทองก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป
เพราะบนกระดาษยันต์ไม่ได้มีแสงสว่างหนึ่งจุดปรากฎขึ้นอีกแล้ว
แต่เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันยังคงค้างอยู่ในท่านั้น ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับ แต่เป็นเพราะเขาขยับไม่ได้
ยันต์ตัดโซ่แผ่นนี้ไม่ใช่ยันต์ตัดโซ่ในความหมายที่แท้จริงอีกต่อไปแล้ว
เพราะไม่ใช่ประโยคว่า ‘ควรทำก็ทำ คำสั่งเทพพิรุณ’
แต่เป็น ‘ควรทำก็ทำ คำสั่งลู่เฉิน’
คำสั่งลู่เฉิน!
เจียวเฒ่าสีทองตัวนั้นก็ยืนแน่นิ่งไม่ขยับเช่นกัน แม้ใจจะปรารถนา แต่กำลังไม่เอื้ออำนวย
ริมฝีปากเฉินผิงอันขยับเบาๆ รับสัมผัสกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจ รับคำอวยพรที่ทำให้จิตใจเปิดกว้างจากยันต์แผ่นนั้น เขาพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ข้าเคยอ่านเจอในตำรา อริยะกล่าวไว้ว่า…”
เฉินผิงอันกระแอมหลายทีกว่าจะพูดประโยคครึ่งหลังออกมาได้ “มังกรอำพรางตัวอยู่ในหุบเหว”
แปดคำที่เขาเอ่ยออกมานี้ ดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าแปดคำบนกระดาษยันต์เลยแม้แต่น้อย
คำทั้งหมดสิบหกคำ เมื่ออยู่ในร่องน้ำเจียวหลงก็ประหนึ่งอสนีบาตฟาดผ่าลงมาทั้งที่ฟ้าเป็นสีครามสดใส
“ขอรับ!”
“รับคำบัญชา!”
เสียงมากมายดังขึ้นๆ ลงๆ มาจากในจุดลึกของร่องลึกเป็นทอดๆ ไม่ขาดสาย
ฟ้าดินพลันเงียบสงัด
เจียวเฒ่าชุดทองหลายสิบคนมารวมตัวกันอยู่ในร่างเดียว เขาก้มหน้าลง ยกมือกุมเป็นหมัด แต่ใบหน้ากลับแสยะยิ้มดุดัน “ก่อนจะรับคำสั่ง เด็กหนุ่มต้องตายก่อน”
กลางอากาศเหนือร่องน้ำเจียวหลง แสงกระบี่สีทองใหญ่เหมือนขุนเขาร่วงลงมาจากฟากฟ้า
ตรงดิ่งเข้าหาศีรษะของเด็กหนุ่ม
บางคนสามารถช่วยได้ แต่ไม่เต็มใจช่วย ยกตัวอย่างเช่นหญิงชราก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดไม้ไผ่
บางคนคิดอยากจะช่วย แต่เพื่อกิจการใหญ่ของตระกูลฟ่านจึงได้แต่ถอยหนีหลบเลี่ยง ยกตัวอย่างเช่นกุ้ยฮูหยิน
บางคนไม่มีอะไรให้ต้องห่วงพะวง ยอมสละชีวิตแลกชีวิตเด็กหนุ่ม ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าพายเรือที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด
ส่วนคนที่มากกว่านั้นเพียงแค่รอชมเรื่องสนุกเท่านั้น สถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้ว ยังจะต้องเครียดไปทำไม?
บัดนี้ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะรู้ซึ้งถึงน้ำใจคนและเรื่องราวทางโลก ทว่าสีหน้าของเขาไม่มีทั้งความโศกเศร้าและความยินดี
ตราประทับคู่หนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตราประทับภูเขาแม่น้ำหยุดลอยอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของเขา
หลังจากที่แสงกระบี่สีทองเส้นนั้นแหลกสลายไป ตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่หนึ่ง เหลือแค่ตราประทับแม่น้ำ ไม่มีตราประทับภูเขาอยู่อีกแล้ว
บนมหามรรคา
ก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพียงลำพัง