Skip to content

Sword of Coming 266

บทที่ 266 ศิษย์พี่ใหญ่แซ่จั่ว

เฉินผิงอันเขียนยันต์ตัดโซ่ผิดไปหนึ่งตัวอักษร หากก่อนหน้านี้ตอนที่เหล็กหมาดหิมะสัมผัสกับกระดาษยันต์เป็นเหมือนแสงจันทร์ที่ลอยขึ้นเหนือมหาสมุทร ถ้าเช่นนั้นเมื่อยันต์แผ่นนี้เขียนเสร็จก็เป็นเหมือนดวงอาทิตย์สีแดงฉานที่ใหญ่พอๆ กับปากบ่อน้ำ เพียงแต่ว่าไม่ได้ให้ความรู้สึกร้อนแผดเผา กลับกันคือเป็นความอบอุ่นอ่อนโยน หลังจากที่เฉินผิงอันเอ่ยแปดคำนั้นออกมา ดูเหมือนว่ายันต์แผ่นนี้จะขาดการชักนำจากลมปราณที่แท้จริง มันจึงลอยส่ายไปมาอยู่เหนือผิวน้ำทะเล จากนั้นก็ค่อยๆ จมลงไปยังร่องลึกเจียวหลง แล้วก็ไม่มีภาพเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้นอีก

ทว่าพวกสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่ที่ขดตัวอยู่ใต้ร่องลึกกลับไม่มีตนใดที่ไม่จำแลงร่างกลายเป็นคน บ้างก็เป็นผู้เฒ่า บ้างก็เป็นหญิงชรา พวกเขาพากันออกจากรังมายืนอยู่ตรงผนังหินของร่องมหาสมุทร ประสานมือโค้งคำนับยันต์แผ่นนั้น หลังจากที่เหล่าคนเฒ่าคนแก่ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจียวเฒ่าสีทองพากันปรากฎตัวอย่างเอิกเกริก เผ่าพันธ์เจียวหลงจำนวนมากที่ยังเยาว์วัยไม่รู้ความ พลังการต่อสู้อ่อนแอ ครั้งนี้ไม่มีโอกาสเข้าร่วมศึกใหญ่กับเกาะกุ้ยฮวา หรือไม่ก็ถูกบรรพบุรุษกำราบไว้ใต้ทะเลลึก เด็กน้อยทั้งหลายที่ต่อให้จะไม่ได้จำแลงกายเป็นมนุษย์ก็ยังหันไปผงกหัวแสดงการคารวะต่อยันต์แผ่นนั้นเลียนแบบเหล่าผู้อาวุโส

จากนั้นสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ปีพวกนี้ก็พากันร่ายใช้เวทลับ ใช้ภาษาเสียงน้ำแห่งยุคบรรพกาลตวาดด่าทายาทเจียวหลงทั้งหลายที่กำลังโจมตีเกาะกุ้ยฮวาอย่างเฉียบขาด

พวกงูหลาม ฉิวน้ำที่เป็น ‘วัยหนุ่มสาวแข็งแกร่ง’ หันมามองหน้ากันเอง ในสายตาของพวกมันมีทั้งความคลางแคลงใจ ความตกตะลึงและความไม่ยอมแพ้ เพียงแต่บรรพบุรุษของแต่ละฝ่ายล้วนป่าวประกาศแล้วว่าหากไม่กลับมายังร่องน้ำเจียวหลงภายในเวลาครึ่งก้านธูปจะถูกขับไล่ออกจากเผ่าโดยไม่มีข้อยกเว้น จากนั้นจะถูก ลงทัณฑ์ด้วยการถลกหนัง สุดท้ายจะถูกโยนทิ้งให้ตากแดดล่องลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาสามปี หากมีชีวิตรอดมาได้ถึงจะมีโอกาสได้กลับคืนสู่เผ่าพันธุ์อีกครั้ง

ก่อนหน้าที่พวกมันจะติดตามเจียวเฒ่าร่างทองมาในครั้งนี้ เหล่าบรรพบุรุษต่างไม่คัดค้านถือเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย ทายาทวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ที่เผชิญกับความยากลำบากอยู่ในทะเลใต้และนาตยทวีปมานานหลายปียอมติดตามเจียวเฒ่าชุดทองก็เพราะหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถไปเปิดฉากสังหารที่นาตยทวีป เข่นฆ่าลูกหลานตระกูลเฉินผู้มากความรู้และเหล่าผู้ฝึกลมปราณที่คอยป้องกันชายฝั่งให้สิ้นซาก แต่ตอนนี้บรรพบุรุษออกคำสั่งแล้ว อีกทั้งเจียวเฒ่าชุดทองก็ไม่ได้คัดค้าน พวกมันจึงได้แต่พากันดีดตัวออกจากเกาะกุ้ยฮวา กระโจนกลับเข้าไปยังทะเล พอลงน้ำมาแล้ว ต่างคนต่างกลับจวนของตัวเองเพื่อขอฟังคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากเหล่าบรรพบุรุษ

เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือเจียวเฒ่าร่างทองที่ก่อนจะรับคำสั่งได้ปล่อยหนึ่งกระบี่ฟันลงมายังเด็กหนุ่มที่ทำลายแผนการซึ่งวางมานานนับร้อยปีของเขา

คำสั่งลู่เฉิน?

ลู่เฉินคือใคร เจียวเฒ่าย่อมเคยได้ยินชื่อมาก่อน เคยได้ยินบรรพบุรุษของเขาเล่าว่าเป็นจื้อเหริน (หมายถึงบุคคลที่หลุดพ้นทางโลก บรรลุถึงขอบเขตอนัตตาของ ลัทธิเต๋า) หนึ่งในเจ้าลัทธิของลัทธิเต๋า ก่อนที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยาน เขาชอบล่องเรือน้อยท่องเที่ยวไปตามสี่มหาสมุทรมากที่สุด ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบอยู่บนบกสักเท่าไหร่ ยังมีเรื่องเล่าลืออีกว่ามีคนพายเรือคนหนึ่งมาพายเรือให้ลู่เฉินโดยเฉพาะ ตอนที่ออกทะเลอายุประมาณสามสิบปี รอจนลู่เฉินบินทะยานที่ทะเลเหนือ เขาถึงพายเรือกลับแผ่นดินเพียงลำพัง พอกลับไปถึงบ้านจึงพบว่าบ้านเมืองที่ตัวเองคุ้นเคยไม่เหลืออยู่แล้ว ชื่อของเขามีบันทึกไว้ในหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลของเมื่อสามร้อยปีก่อนเท่านั้น หลังจากนั้นมาคนพายเรือที่ไม่อาจตรวจสอบชื่อแซ่ก็ออกทะเลไปอีกครั้งเพื่อตามหาลู่เฉิน แล้วก็ไม่มีข่าวคราวของเขาอีกเลย

เจียวเฒ่าชุดทองกลัวเจ้าลัทธิลู่เฉินหรือไม่?

แน่นอนว่าต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ไม่ถึงขั้นที่แค่ได้ยินชื่อก็กลัวจนตัวสั่น

เพราะเขาอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่ลู่เฉินอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว

ยิ่งเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงศักดิ์เกินจะทัดเทียมอย่างลู่เฉิน คิดจะมาเยือนใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งก็ยิ่งไม่ง่าย อีกอย่างกฎเกณฑ์ก็ซับซ้อน ทุกการกระทำของเขาจะต้องถูกอริยะลัทธิขงจื๊อจับตามอง

หากลู่เฉินคิดจะลงมือด้วยตัวเองจะเป็นการทำลายกฎ ถึงเวลานั้นอริยะลัทธิขงจื๊อที่ตนเคียดแค้นจะกลับกลายมาเป็นยันต์คุ้มกันกายให้กับร่องน้ำเจียวหลง และถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่ลงมือช่วยเหลือก็คือบุรพาจารย์สกุลเฉินผู้มากความรู้ที่บนไหล่แบกดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ผู้นั้น

แม้จะไม่ได้หวาดกลัวอะไรนัก แต่จะไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยก็ไม่ใช่ ท้าทายอริยะคนหนึ่ง ต่อให้มีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวางก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย

ในใจของเจียวเฒ่าชุดทองหัวเราะหยันไม่หยุด เจ้าลัทธิที่ถือกำเนิดในใต้หล้าไพศาล แต่ไปเป็นผู้ควบคุมระบบเต๋าสายหนึ่งของใต้หล้าอื่นช่างตั้งชื่อได้ดีจริงๆ

ส่วนเด็กหนุ่มที่ปลอดภัยดีเพราะเรียกตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่หนึ่งออกมาสกัดกั้นปราณกระบี่ผู้นั้น

เจียวเฒ่าชุดทองกระตุกมุมปาก เรื่องแบบนี้ได้คืบแล้วจะเอาศอกไม่ได้ แม้ว่าจะเคียดแค้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้อย่างถึงที่สุด แต่เจียวเฒ่าคิดไว้แล้วว่าจะหยุดมือ ผลได้และผลเสียไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนเท่านั้น เรื่องราวในวันนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ไปไกลมาก ไม่แน่ว่าอาจจะดึงดูดสายตาของพวกลาดตระเวนชายหาดทะเลใต้ของนาตยทวีปแล้ว ถึงอย่างไรก็ควรป้องกันไว้ก่อนเป็นดี หากถูกคนจับจุดอ่อน แผนใหญ่จะถูกทำลายเอาได้

เจียวเฒ่าจุ๊ปากพูดยิ้มๆ “น่าเสียดายตราประทับชิ้นนี้นัก สามารถสกัดกั้นหนึ่งกระบี่ที่โจมตีอย่างเต็มกำลังของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ไม่ใช่สิ่งที่ข้องปลาผุๆ อันหนึ่งจะนำมาเปรียบเทียบด้วยได้ เจ้าหนู คราวนี้เสียดายหรือไม่?”

เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถาม “หากที่บ้านข้ามีหินดีงูชั้นเยี่ยมของถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องใช้เท่าไหร่ถึงจะสามารถแลกกับการผ่านทางอย่างปลอดภัยของเกาะกุ้ยฮวาได้?”

เจียวเฒ่าชุดทองอึ้งไปเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่กลางอากาศด้านหลังแจกันสมบัติทวีปน่ะหรือ? หากเป็นหินดีงูชั้นเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น สำหรับพวกเราแล้วไม่เป็นรองความสำคัญที่แท่นสังหารมังกรชิ้นหนึ่งมีต่อผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเลย เผ่าพันธุ์เจียวหลงขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดลงมา เพียงหนึ่งก้อนก็สามารถแลกมาด้วยการเลื่อนขั้นที่มั่นคงหนึ่งขอบเขต ขอข้าคิดคำนวณดูก่อน เกาะกุ้ยฮวาหนึ่งแห่ง กุ้ยฮูหยินหนึ่งคน ชีวิตของผู้ฝึกลมปราณสองพันคน…ไอ้หนู เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามีหินดีงูกองใหญ่เท่านั้นถึงจะได้”

เจียวเฒ่าชุดทองยื่นฝ่ามือสองข้างออกมาพลิกหนึ่งที “อย่างน้อยยี่สิบก้อน เจ้ามีไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตลอดหลายปีมานี้มอบให้คนอื่นไปเยอะ มีเหลือไม่มากถึงขนาดนั้นแล้ว”

เขาฝืนลุกขึ้นยืน ต้นกุ้ยที่เติบโตมาจากกิ่งกุ้ยหนึ่งกิ่งพังทลายลงเพราะการโจมตีของปราณกระบี่เจียวเฒ่าแล้ว

เฉินผิงอันเก็บพู่กันเหล็กหมาดหิมะและตราประทับแม่น้ำที่เหลืออยู่อันเดียวกลับมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น ใช้เสียงทางจิตส่งสัญญาณ กระบี่บินชูอีและสืออู่ก็พุ่งออกจากร่างของเฉินผิงอันที่จิตวิญญาณสั่นไหว กลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ปิดบังอำพราง ถึงอย่างไรเจียวเฒ่าก็มองออกตั้งแต่แรกแล้ว

เจียวเฒ่าชุดทองหรี่ตาลง

กระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในกล่องไม้ด้านหลังเด็กหนุ่มสร้างภัยคุกคามให้แก่เขาไม่น้อย

คำสั่งลู่เฉินแผ่นหนึ่งที่สามารถพลิกฟ้าพลิกดิน หินดีงูจากถ้ำสวรรค์หลีจูหนึ่งกอง ตราประทับแม่น้ำและภูเขาหนึ่งคู่ พู่กัน ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ หนึ่งด้าม น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งลูกที่ระดับขั้นไม่เลว อีกทั้งยังแซ่เฉิน

เจียวเฒ่าชุดทองยิ่งแน่ใจว่าการที่ตนหยุดมือในเวลาที่สมควรคือการกระทำที่ฉลาด

น่าเสียดายเหลือเกิน เด็กแบบนี้ หากกระบี่เดียวเมื่อครู่นี้สังหารเขาได้ นั่นต่างหากที่จะกลายมาเป็นภัยร้ายไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง ส่วนจุดหักเหทั้งหลายแหล่ที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง เขาไม่กลัวเลยสักนิด

เมื่อแข่งกันด้านตบะและขอบเขต อริยะจำลองอย่างเขาคงไม่กล้าประมาท แต่หากแข่งกันทางด้านคนหนุนหลัง เขาไม่คิดจริงๆ ว่าตัวเองจะแพ้ให้กับผู้ใด

เจียวเฒ่าเห็นว่าผู้เฒ่าพายเรือที่ได้รับบาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิดมายืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม สีหน้าเต็มไปด้วยแววระแวดระวังก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “วางใจเถอะ ยันต์ตัดโซ่แผ่นนั้นมีหน้าตาที่ใหญ่มาก ความกล้าของข้าช่วยให้ข้าลงมือได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

เจียวเฒ่าถอนสายตากลับมามองเฉินผิงอันอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้ามีหินดีงู ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก? ไยต้องปล่อยให้เกิดศึกครั้งนี้ ทำลายความปรองดองของทั้งสองฝ่าย?”

เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ากำลังล้อเล่นหรือว่าพูดจริง?”

เจียวเฒ่าสีหน้ามืดทะมึน

ผู้เฒ่าพายเรือหัวเราะหยัน “สถานการณ์ในตอนนั้น เจ้ากุมชัยชนะอยู่ในมือ จะฆ่าคนชิงทรัพย์ยังแทบไม่ทัน ยังจะยอมมานั่งคุยปรึกษากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งดีๆ อย่างนั้นหรือ?”

เจียวเฒ่าชุดทองไม่สนใจคำพูดถากถางจากผู้เฒ่าพายเรือ เขาจ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่ม “ฉลาดเกินไปก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ท่านผู้อาวุโส ท่านกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับสัตว์…กับผู้อาวุโสเจียวเฒ่าท่านนี้เป็นการส่วนตัว”

ผู้เฒ่าพายเรือส่ายหน้า พูดเสียงหนัก “มีภูเขาเขียวย่อมไม่กลัวไร้ฟืน เฉินผิงอัน เจ้ายังเด็ก การฝึกตนบนมหามรรคา อุปสรรคเหล่านี้ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นโชคหรือภัย ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ…”

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ผู้เฒ่าถึงได้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ายังคงจมจ่อมอยู่ท่ามกลางความศักดิ์สิทธิ์ของยันต์แผ่นนั้น ไม่อาจดึงตัวออกมาได้เสียที

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ผู้อาวุโส ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร”

เฉินผิงอันอยากจะยกมือขึ้นกุมกันเพื่อแสดงถึงการขอบคุณ เพียงแต่ยกมือขวาขึ้นได้แล้ว แขนซ้ายทั้งแขนที่ใช้เขียนตัวอักษรกลับงอไม่ขึ้น เฉินผิงอันจึงกำมือขวาเป็นหมัด ทุบลงที่หัวใจของตัวเองเบาๆ “อีกเดี๋ยวพอข้ากลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาจะเลี้ยงเหล้าผู้อาวุโส”

ผู้เฒ่าพายเรือลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนพยักหน้ารับ กลับไปยังเรือลำเล็กที่อยู่ข้างๆ กันแล้วพายไปยังเกาะกุ้ยฮวาช้าๆ

เมื่อคนพายเรือเฒ่าจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็ตบลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง ชูอีกับสืออู่มาลอยตัวอยู่ตรงไหล่ของเฉินผิงอัน จากนั้นเขาก็เรียกตราประทับแม่น้ำออกมาอีกครั้ง

เจียวเฒ่าชุดทองพูดกลั้วหัวเราะ “ทำไม คิดจะสู้ตายกับข้า?”

เฉินผิงอันแสยะยิ้ม “พูดคุยกับคนบางคน หากหมัดไม่แข็งพอ ต่อให้เหตุผลดีแค่ไหนก็ฟังไม่เข้าหู ยันต์ตัดโซ่แผ่นก่อนหน้านี้ก็คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ข้าใคร่ครวญได้ข้อนี้เหมาะจะนำมาใช้กับพวกเจ้าเป็นอย่างดี ข้าขอถามคำถามหนึ่ง ตระกูลฟ่านกับกุ้ยฮูหยินตั้งกฎอะไรกับพวกเจ้า ถึงทำให้เจ้าคิดว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วที่จะสังหารคนสองพันกว่าคน?”

เจียวเฒ่าเริ่มหงุดหงิด พูดเสียงหนักและเย็นชา “เจ้าคิดว่ากฎข้อนี้ไม่เหมาะสม?”

เขากระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งทีคล้ายไม่ตั้งใจเพื่อตัดการเชื่อมโยงระหว่างสถานที่แห่งนี้กับภายนอก

จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกเราที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ จากตอนแรกที่ถูกเนรเทศมาถึงสถานที่ลงหลักปักฐาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าระหว่างทางมีกี่ชีวิตที่ต้องตายไป? และหลายปีที่ผ่านมานี้ กฎเกณฑ์ห่วยแตกที่พวกอริยะลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ทำให้กี่ชีวิตต้องตายไปอย่างอยุติธรรม?”

เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ารู้สึกว่ากฎของลัทธิขงจื๊อไม่ถูกต้อง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้อที่ว่ากฎที่ตั้งให้กับเจ้าถูกหรือไม่? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้อริยะทำไม่ถูกจริงๆ เจ้าก็จะทำผิดตามเขางั้นหรือ? อีกอย่างถ้าเจ้ามีความสามารถ ไปทะเลาะกับอริยะลัทธิขงจื๊อก็ดี ต่อยตีกันก็ช่าง แต่เอาความโกรธมาลงที่เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาจะนับเป็นอะไร?”

เจียวเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “จะนับเป็นอะไร? ก็แค่ระบายความโกรธแค้นเท่านั้น ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะพอนัก”

เฉินผิงอันกล่าว “ถ้ามองตามนี้ อริยะลัทธิขงจื๊อไม่ได้ตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวต่างหากที่ถือว่าทำผิด”

เจียวเฒ่าไม่โกรธกลับยังหัวเราะ “ไอ้หนู เจ้าพูดวกไปวนมากับข้าอยู่แบบนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่? คิดจะอวดที่พึ่งของเจ้ากับข้า ข่มขู่ข้าว่าวันใดวันหนึ่งข้างหน้า บรรพบุรุษตระกูลเจ้าหรือไม่ก็อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ของเจ้าจะมาหาเรื่องข้ากับร่องน้ำเจียวหลงอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีคนในครอบครัวเหลืออยู่แล้ว แล้วก็ไม่มี…อาจารย์สักคนด้วย”

เจียวเฒ่ารู้สึกงงขึ้นมาในฉับพลัน “นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายอย่างนั้นรึ?”

แล้วเจียวเฒ่าก็พยักหน้ากับตัวเอง “ประหลาดมาก ข้ากลับเชื่อคำพูดของเจ้าซะได้ ก็ดี ในเมื่อเจ้าไม่มีทั้งผู้อาวุโสและอาจารย์ช่วยหนุนหลังให้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เริ่มมีความกล้ามากพอจะสังหารเจ้าแล้ว”

เจียวเฒ่าทำอะไรเด็ดขาดว่องไว ชุดคลุมสีทองพองโป่งได้เองทั้งที่ไม่มีลม ยื่นมือกวักหนึ่งครั้ง กลางอากาศก็ปรากฏแสงสีทองขึ้นหนึ่งจุด จากนั้นค่อยๆ ลดระดับลง กระชากลากเส้นสีทองมาด้วยเส้นหนึ่ง

เฉินผิงอันไม่รู้สึกไม่สาแม้แต่น้อย เขาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว หยุดอยู่ตรงหน้าเรือลำเล็ก ก้มหน้าลงมองจุดลึกของน้ำทะเลราวกับกำลังมองหายันต์ตัดโซ่แผ่นนั้น พูดเบาๆ ว่า “ลู่เฉิน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังมองที่แห่งนี้อยู่ ความตั้งใจของเจ้า ข้าเองก็พอจะเดาได้บางส่วน แต่ข้าใช้ชื่อของเจ้ามาขู่ให้ศัตรูถอยหนี เจ้ากลับใช้สิ่งนี้มาเล่นงานข้า สำหรับเรื่องนี้ พวกเราถือว่าหายกันแล้ว แต่รบกวนเจ้าช่วยบอกอาเหลียงที่อยู่บนฟ้าสักคำ ผู้ที่สังหารเฉินผิงอันคือร่องน้ำเจียวหลงทะเลใต้”

กล่าวประโยคนี้จบ

เฉินผิงอันกำมือขวาเป็นหมัดต่อยหนักๆ ลงไปที่หัวใจของตัวเอง หมัดที่ทุบลงไปก่อนหน้านี้ตอนเอ่ยกับคนพายเรือเฒ่าก็เพื่อทำให้จิตใจของตัวเองสงบเพื่อพูดประโยคนี้กับลู่เฉิน หมัดนี้ที่ต่อยลงไปกลับทำให้ทะเลสาบหัวใจเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง แม้แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ที่อยู่ทั่วร่างของเขาก็แหลกสลายหายไปสิ้น กลับคืนมาเป็นหมัดเขย่าขุนเขาอีกครั้ง ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะเฉินผิงอันไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ลู่เฉินได้ร่ายใช้เวทคาถาสูงส่งมาสนทนากับตน

มือซ้ายของเฉินผิงอันยังคงยกไม่ขึ้น ส่วนมือขวาข้างที่กำเป็นหมัดนั้น พอคลายนิ้วทั้งห้าออกแล้วก็อ้อมผ่านไหล่ไปคว้ากระบี่ที่เดิมทีควรมอบให้แม่นางคนหนึ่ง

แต่แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็ปล่อยมือ ปลดเจียงหูที่อยู่ตรงเอวลงมา การดื่มเหล้าครั้งนี้เป็นแค่การดื่มเหล้าจริงๆ ไม่ใช่ดื่มเพื่อเปลี่ยนลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์ตอนที่อยู่เหนือกองกำลังของฝ่ายศัตรู ไม่ใช่ดื่มเพื่อปกปิดร่องรอยของสืออู่กับชูอี หลังจากที่เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็โยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในเรือเล็กข้างฝ่าเท้า พูดในใจตัวเองว่า “อาเหลียง อาจารย์ฉี แม่นางหนิง ข้าขอโทษด้วย”

ตอนแรกเขาอยากเขียนยันต์ตัดโซ่หนึ่งแผ่นเพื่อให้ตัวเองมีคุณสมบัติที่จะต่อรองเงื่อนไขกับเจียวเฒ่าสีทอง ใช้หินดีงูทั้งหมดแลกมาด้วยการที่เกาะกุ้ยฮวาสามารถขับเคลื่อนออกไปจากร่องน้ำเจียวหลง

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเมื่อไปถึงภูเขาห้อยหัวแล้วจะต้องมอบเงินฝนธัญพืชให้กับหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่มากๆ หน่อย

ยังคิดด้วยว่าก่อนลงจากเรือจะต้องขอแผนที่เกาะกุ้ยฮวาแผ่นหนึ่งมาจากตระกูลฟ่าน ถึงเวลานั้นเมื่อลงจากเรือไปภูเขาห้อยหัวค่อยแอบใช้ตราประทับภูเขาและแม่น้ำที่อาจารย์ฉีมอบให้ประทับลงไปเบาๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนโคมม้าวิ่งที่แล่นผ่านหัวสมองของเฉินผิงอันไป

……

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ปราณกระบี่สีทองที่บางราวเส้นผมซึ่งอยู่บนท้องฟ้าได้หายวับไป

เจียวเฒ่าสีทองหน้าซีดขาวเล็กน้อย แม้ว่าในใจยังคลางแคลงอยู่มาก ไม่อยากเชื่อในคำพูดของเด็กหนุ่ม แต่ถ้าหากมันเป็นจริงขึ้นมาล่ะ?

ถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันล่ะ?

เขาอดหันไปมองยังทิศทางของภูเขาห้อยหัวไม่ได้ ขยับปากทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด

ทว่านาทีถัดมาใบหน้าของเจียวเฒ่าชุดทองก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี หลังจากผงกศีรษะน้อยๆ ก็แผดเสียงหัวเราะดังสนั่น ปราณกระบี่สีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เส้นเดียว แต่เป็นหลายเส้นเหมือนก้านใบบัวเล็กบางหลายก้านที่ชูช่อส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวาอยู่กลางทะเลเมฆ

เทือกเขาแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว

มีบุรุษเรือนกายสูงใหญ่สวมชุดนักพรตเต๋าคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าผาทอดสายตามองไปไกล สิ่งที่ปรากฎอยู่ในสายตาไม่ใช่ร่องเจียวหลงที่เขาเป็นผู้จัดวางค่ายกลเอาไว้ แล้วก็ไม่ใช่บนยอดเขาสองแห่งที่มีเทวรูปสององค์ยืนคุมเชิงกัน ไม่ใช่หญิงสาวสวมชุดสีเขียวที่นั่งเคียงบ่าดื่มเหล้าอยู่กับเทพพิรุณ แต่เห็นเป็นบุรุษท่าทางสง่างามมีความรู้ที่สวมชุดเขียวพกกระบี่ยาวตรงเอวคนหนึ่งที่ปรากฎตัวอยู่กลางทะเลเมฆ ก่อนหน้านี้เขาเดินทางออกจากน่านน้ำมหาสมุทรบริเวณใกล้เคียงกับนครมังกรเฒ่า อีกไม่นานก็จะมาถึงร่องน้ำเจียวหลง

คนผู้นี้ออกห่างจากโลกมนุษย์ไปนานหลายปีด้วยเหตุผลที่น่าสนใจมาก เพราะปราณกระบี่ทั่วร่างเข้มข้นเกินไป เข้มข้นจนถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าเขาจะพยายามกดข่มไว้อย่างไรก็ล้วนไม่สามารถหยุดยั้งการแผ่กระจายไปสี่ทิศของปราณกระบี่ได้ วัตถุทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวเขาล้วนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

ดังนั้นขอแค่คนผู้นี้ท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ไร้ผู้คนบนโลก กลางทะเลเมฆ ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร ภูเขาลึก สถานที่รกร้างมีควันพิษ…

ดวงตาของนักพรตร่างสูงใหญ่ฉายประกายเร่าร้อน คนผู้นี้มีค่าพอให้สู้ด้วยสักครั้ง!

เพียงแต่ไม่นานเขาก็ขมวดคิ้ว เหนือน้ำทะเลใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้นั้นมีชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อสัตย์ใช้ไม้พายพายเรือ ขยับไปไกลร้อยจั้งพันจั้งได้ในเสี้ยววินาที รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ความเร็วไม่เป็นรองเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าคนนั้นเลย

ชายท่าทางซื่อสัตย์คนนั้นกล่าวอย่างอึดอัดใจ “อาจารย์ของข้าบอกแล้วว่า เล่นงานเฉินผิงอันครั้งนี้ก็เพราะหวังดีกับเขา หากถือตราประทับตัวอักษรภูเขาของฉีจิ้งชุนไปที่ภูเขาห้อยหัว ด้วยนิสัยอารมณ์ร้ายของลูกศิษย์ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ลุงรองผู้นั้น เฉินผิงอันต้องลำบากมากแน่ๆ อีกอย่างอาจารย์ของข้าหวังจากใจจริงว่าเฉินผิงอันจะสามารถใช้เส้นทางอื่นเดินทางไปยังใต้หล้ามืดสลัวได้ เขายินดีรับเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย”

ผู้ฝึกกระบี่บนท้องฟ้าที่ท่าทางสุภาพสง่างาม หน้าตาหล่อเหลาไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาขึ้นมอง เพียงแค่หลุบตามองลงไปยังร่องน้ำเจียวหลงที่อยู่ห่างไปไกล พูดประโยคเดียวว่า “เจ้าเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งของลู่เฉิน คิดจะแย่งศิษย์น้องเล็กกับเสี่ยวฉีของข้าอย่างนั้นหรือ ได้สิ ไม่สู้เจ้ารับกระบี่ของข้าสักทีหนึ่งก่อน?”

ชายฉกรรจ์กลับไม่ขุ่นเคือง ยังคงพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึมซึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด “ไม่ตีกันหรอก ข้าพายเรือเป็นอย่างเดียวเท่านั้น”

ทุกที่ผู้ฝึกกระบี่ผ่าน หากเจอทะเลเมฆ ทะเลเมฆก็จะแหวกออกด้วยตัวเอง ครู่หนึ่งต่อมาเขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก “แล้วเจ้าจะตามข้ามาทำไม?”

คนพายเรือตอบตามสัตย์จริง “ไปพูดต่อหน้าเฉินผิงอันให้ชัดเจน เขาจะได้ไม่เข้าใจอาจารย์ของข้าผิด”

จู่ๆ ผู้ฝึกกระบี่ก็พูดอย่างจริงจัง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเกะกะตามาก จะทำอย่างไร?”

คนพายเรือคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ไปแล้ว”

แล้วเรือแจวลำนั้นก็จอดนิ่งจริงๆ

บุรุษพยักหน้า “นับว่าเจ้าไม่โง่”

เขาทะยานลมต่อไปอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยขุ่นเคือง พูดพึมพำถามเองตอบเอง

“เสี่ยวฉีจะให้ข้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ข้าหรือจะตอบรับ? เสี่ยวฉีเรียนหนังสือจนโง่ไปแล้ว แต่ข้าไม่ใช่สักหน่อย”

“ดังนั้นข้าไม่มีทางตอบตกลงแน่”

อารมณ์ของเขายิ่งนานก็ยิ่งย่ำแย่ เขาเริ่มทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ลมปราณด้านหลังที่สั่นกระเทือนส่งเสียงดังครืนครั่นคล้ายเสียงสายฟ้าที่แผดก้องอยู่ในทะเลเมฆ

ตอนที่กำลังจะผ่านเทพพิรุณและเทวรูปสององค์มีคนตวาดเสียงดัง ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกกระบี่คนนี้บินผ่านกลางอากาศของสำนักไปโดยพลการ ต้องอ้อมผ่านทางไป

ผู้ฝึกกระบี่ก้มหน้าหลุบตามองอย่างไม่ใส่ใจ ใช้นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่แล้วผลักเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่ยาวก็ร่วงลงไปหาน้ำทะเล พอกระบี่อยู่ห่างจากผิวน้ำแค่ไม่กี่จั้ง ทันใดนั้นกระบี่ก็ทะยานขึ้นสูงประหนึ่งสายรุ้งที่พุ่งเข้าไปตัดเทวรูปองค์นั้นให้ขาดเป็นสองท่อน แสงสีทองส่องประกายจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก

แล้วกระบี่ยาวก็พุ่งทะยานจากไป ติดตามเจ้านายกลับคืนสู่ฝักอย่างเงียบเชียบ

ผู้ฝึกกระบี่เคลื่อนหน้าต่ออีกครั้ง

พูดคุยกันด้วยเหตุผล?

เขาไม่เคยชอบเลย

ถ้าต้องพูดคุยเหตุผลกับคนอื่น เขายังจะต้องฝึกกระบี่ไปทำไม?

ผู้ฝึกกระบี่พลันเงยหน้ามองไป “กล้าอวดปราณกระบี่ต่อหน้าข้า เจ้าคิดว่าตัวเองคืออาเหลียงหรือไง?”

ผู้ฝึกกระบี่ที่ยังอยู่ห่างจากร่องน้ำเจียวหลงเจ็ดแปดร้อยลี้หมุนข้อมือหนึ่งครั้งแล้วตบฉาดออกไป

ทั้งเกาะกุ้ยฮวาพลิกตลบอยู่กลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นกระแทกแรงๆ บนผิวน้ำทะเลห่างไปสิบกว่าลี้ ทั้งเกาะสั่นคลอนรุนแรง ถัดมาก็เหมือนถูกพายุลูกใหญ่พัดใส่ ตัวเกาะแหวกคลื่นน้ำทะเลพุ่งพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ออกห่างจากร่องน้ำเจียวหลง

ครั้นแล้วผู้ฝึกกระบี่ก็ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง

เหนือร่องน้ำเจียวหลงเหมือนมีประตูสวรรค์หลายบานเปิดอ้า

ก่อนที่ปราณกระบี่สีขาวกระจ่างดุจม่านน้ำตกจะไหลกรากลงมาไม่ขาดสาย

ทีแรกพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงของร่องน้ำเจียวหลงที่เดิมทีขดตัวอยู่ใกล้กับพื้นผิวน้ำทะเลยังไม่รู้ว่า ‘น้ำหลากสีขาวหิมะ’ ที่เทกระหน่ำสู่มหาสมุทรนั้นคือสิ่งใดกันแน่

ทว่ารอจนพวกมันคืนสติก็กลายเป็นว่าค้างอยู่ในท่าเดิมโดยที่ร่างเหลือแต่โครงกระดูกไปแล้ว

ส่วนพวกปราณกระบี่สีทองที่ถูกเจียวเฒ่าสีทองเรียกออกมาก็ถูกชะล้างไปจนสิ้น เหมือนกิ่งไม้แห้งไม่กี่กิ่งที่เผชิญกับน้ำป่าไหลหลาก ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่เสี้ยวเดียว

น้ำหลากสีขาวหิมะที่เกิดจากการก่อตัวของปราณกระบี่ไหลลงสู่ร่องน้ำเจียวหลงอย่างต่อเนื่อง

ทว่าเจียวเฒ่าสีทองกับเฉินผิงอันที่อยู่บนเรือลำเล็กกลับไม่เป็นอะไร

ในร่องน้ำเจียวหลง เมื่อปราณกระบี่กดทับลงมา ทั่วพื้นที่ก็มีแต่ซากโครงกระดูก

เจียวหลงชุดทองยืนอึ้งอยู่ที่เดิม สีหน้าเหมือนขี้เถ้ามอด

นี่ใช่คำว่าถ้าหากหรือไม่?

นี่ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันหรือไม่?

ผู้ฝึกกระบี่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินมาถึงริมขอบของร่องน้ำเจียวหลง เขาเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล เดินมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า น้ำทะเลที่ถูกปราณกระบี่รุกรานพลันเดือดพล่าน ระเหยกลายเป็นไอ สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่จึงเลือกที่จะทะยานลมเดินกลางอากาศดังเดิม

เขาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เสี่ยวฉีต้องการให้ข้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ข้าไม่ได้รับปาก ก็เหมือนกับตอนนั้นที่อาจารย์ต้องการให้ข้าปกป้องเสี่ยวฉี ข้าเองก็ไม่ได้รับปากเหมือนกัน มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าที่ตัวเองเลือกเดินยังต้องให้มีใครมาปกป้องอีก”

สีหน้าของเขาค่อนข้างระอาใจ แต่ในแววตากลับเจือรอยยิ้ม “แต่เจ้าคือศิษย์น้องเล็กของข้าครึ่งตัว ข้าจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ อีกอย่างครั้งนี้เจ้ากล้ายอมรับความตายด้วยตัวเอง พูดว่าจะตายก็ตาย ข้ารู้สึกว่าดีมาก เอาเป็นว่าถูกใจข้าก็แล้วกัน ข้าก็เลยมาพบเจ้า อาจารย์กับเสี่ยวฉี คนหนึ่งแก่ขนาดนั้น อีกคนหนึ่งก็อายุไม่น้อยแล้ว ถูกคนอื่นรังแกก็ได้แต่โทษว่าพวกเขาทำตัวดื้อด้านเอง ส่วนเจ้า อายุยังน้อย ถูกคนรังแกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควร”

ระหว่างที่ผู้ฝึกกระบี่พูดจาอย่างผ่อนคลาย

ช่องโพรงลมปราณสามร้อยกว่าแห่งในร่างของเจียวเฒ่าชุดทองค่อยๆ มีแสงสีขาวหิมะแทรกซึมเข้ามาทีละนิด สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่เจียวเฒ่าที่พลังการต่อสู้เทียบเท่าขอบเขตหยกดิบกลับไม่ปริปากส่งเสียงร้องสักแอะ

“ปณิธานกระบี่ของข้าสู้อาเหลียงไม่ได้ แต่เวทกระบี่ของข้าสูงกว่าเขาเล็กน้อย”

ผู้ฝึกกระบี่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน ยื่นนิ้วโป้งชี้ขึ้นไปบนฟ้าก่อน จากนั้นค่อยชี้มาที่ตัวเอง พูดยิ้มๆ ว่า “อ้อ ใช่แล้ว ข้าชื่อจั่วโย่ว คือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้ากับเสี่ยวฉี”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version