บทที่ 306 แลไกลมองใกล้
เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผอมแห้งที่สีหน้าเย็นชาคนนี้ ต่อให้นางจะยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าจูลู่หลายปีจนเทียบกันไม่ติด แต่เฉินผิงอันกลับยังคงรู้สึกรังเกียจนางจากใจจริง
เฉินผิงอันจึงไม่มองนางอีก หันไปมองทางประตูหลังของจวน พ่อบ้านเฒ่าที่มองดูเหมือนอ่อนโยนปราณีกำลังจูงมือของเจ้านายน้อยข้ามผ่านธรณีประตูไปพอดี เขาเองก็หันมามองทางเฉินผิงอัน สายตาของคนทั้งสองประสานกัน เฉินผิงอันผงกศีรษะให้เบาๆ คนผู้นั้นลังเลเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะกลับคืน
ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมา
หากวันนี้เฉินผิงอันไม่ปรากฏตัว เด็กผอมแห้งคนนี้ก็คงตายไปอย่างเงียบเชียบไร้คนรับรู้แล้ว
ส่วนผู้เฒ่าคนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเขายินดีที่จะเป็นฝ่ายมอบความเป็นมิตรให้กับคนบนเส้นทางเดียวกันที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออกผู้นี้ก่อน เลือกที่จะไม่ลงโทษเด็กเหลือขอยากไร้ที่ไม่รู้จักบุญคุณคน ปล่อยให้เฉินผิงอันเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา พูดกับเด็กคนนั้นว่า “วันหน้าไม่ต้องมาที่นี่อีก ไม่งั้นเจ้าต้องตาย”
เด็กหญิงเบ้ปาก ไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันหมุนกายจากไป
เด็กหญิงถ่มน้ำลายแรงๆ ใส่ทิศทางที่เฉินผิงอันหายตัวไป แล้วก็ยังไม่ลืมถุยน้ำลายใส่ประตูใหญ่กำแพงสูงแห่งนี้ด้วย
เพียงแต่ว่าหลังจากทำพฤติกรรมเล็กๆ สองอย่างที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นนี้เสร็จ ท้องที่ร้องโครกครากอยู่แล้วก็ยิ่งร้องดังกว่าเดิม นางเริ่มเวียนหัวตาลาย เดินย้อนกลับไปทางเก่า พยายามเดินเลียบกำแพงให้ได้มากที่สุด อย่าว่าแต่กลางถนนเลย นางถึงขั้นไม่ยอมให้คนเดินเท้าและรถม้าบนถนนมองเห็นตัวเองด้วยซ้ำ หากทำให้พวกเขาโมโหขึ้นมา นั่นต่างหากถึงจะต้องตายจริงๆ
ส่วนผู้ชายที่สวมชุดสีขาวหิมะคนนั้น นางไม่กลัว
ตั้งแต่ที่จำความได้ นางก็มีความรู้สึกที่เฉียบไวต่อความดีความชั่วมากเป็นพิเศษ ใครที่ยุ่งได้ ใครที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย นางชั่งน้ำหนักได้อย่างชัดเจน
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้จากไปไหนไกล เขาแอบสะกดรอยตามคอยลอบสังเกตเด็กน้อยที่ทั่วตัวเต็มไปด้วยหนามแหลมคนนี้เงียบๆ
นางเดินๆ หยุดๆ อย่างหงุดหงิดแต่ไร้เรี่ยวแรงไปตลอดทาง หลังจากนางกวาดมองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง รออยู่ครู่หนึ่งก็ปีนกำแพงขึ้นไปอย่างคุ้นเคย แอบขโมยผักดองของครอบครัวหนึ่งมาสวาปามอย่างหิวโหย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ออกมาจากตรอกเล็ก พอกระหายน้ำนางก็แอบปีนเข้าไปในบ้านของคนอื่นอีก ค่อยๆ ย่องไปตักน้ำในโอ่ง ก่อนจะปิดฝาโอ่ง นางยังคว้าดินขึ้นมาจากพื้นหนึ่งกำมือโปรยลงไปในโอ่งน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วถึงได้จากไปอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันมองออกว่าขาของเด็กหญิงกะเผลกเล็กน้อย อีกทั้งยังยื่นมือไปลูบสะโพกฝั่งซ้ายบ่อยๆ น่าจะเป็นเพราะเวลาทำเรื่องเลวร้ายในอดีตต้องเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อย
และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะจากไปนั้นเอง เด็กหญิงก็มาถึงแถบตรอกที่มีแต่ขี้ไก่ขี้หมากองอยู่กลาดเกลื่อน ในตรอกมีบุรุษกลุ่มหนึ่งยืนเอนพิงกำแพงรออยู่ ดูเหมือนว่าจะรอการมาถึงของนาง อายุของบุรุษเหล่านี้ล้วนไม่มาก บางคนก็เป็น เด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปี อายุมากที่สุดก็แค่ไม่เกินยี่สิบปี
เป็นพวกอันธพาลเสเพลคนหนึ่งในนั้นพอเห็นเด็กหญิงผอมแห้งวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาพวกเขา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกเท้าถีบออกไป ไม่หนักไม่เบา แต่หากโดนจังๆ เกรงว่าเด็กหญิงคงตัวปลิวเป็นแน่ ยังดีที่ดูเหมือนเด็กหญิงจะคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว นางไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ระหว่างที่วิ่งมากลับชะลอความเร็วลงเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้เจตนา ลูกถีบนี้จึงไม่หนักเกินไปสำหรับนาง หลังจากนั้นนางก็แสร้งทำเป็นหงายหลังได้อย่างไม่มีพิรุธ ดิ้นรนลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเจ็บปวด สายตาและสีหน้าที่มองไปยังคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความประจบสอพลอราวกับว่านี่เป็นนิสัยที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด
อันธพาลในพื้นที่คนหนึ่งที่น่าจะเป็นผู้นำไม่อยากเสียเวลาอีก จึงบอกให้เด็กหญิงนำทางไป
คนทั้งสองเดินอ้อมไปอ้อมมา เสียเวลาไปไม่น้อยกว่าจะหาบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานานปีเจอ เด็กหญิงยื่นมือชี้ไปทางบ้านหลังนั้นเงียบๆ อันธพาลที่เป็นผู้นำพูดพลางยิ้มเหี้ยม “หากบอกทางผิด อีกเดี๋ยวจะตัดขาของเจ้า!”
นางส่ายหน้าแรงๆ จากนั้นค่อยยื่นมือสองข้างมารองตรงหัวใจอย่างกล้าๆ กลัวๆ
อันธพาลคนนั้นทำสัญญาณมือของฝ่ายมืดในยุทธภพก่อน ทุกคนที่อยู่รอบกายจึงเริ่มออกไปล้อมบ้านหลังนี้
คนผู้นั้นไม่ได้เข้าร่วมด้วย เขาโยนเงินเหรียญทองแดงเจ็ดแปดเหรียญใส่มือเด็กหญิง พูดด้วยเสียงแปลกแปร่ง “นังเด็กเหลือขอ ไม่บังเอิญเลย อีกครึ่งอีแปะที่เหลืออยู่พี่ชายไม่ได้พกมาด้วย ติดไว้ก่อนแล้วกัน? รอให้เสร็จงานตรงนี้ก่อนแล้วพี่ชายจะกลับบ้านไปเอามาให้เจ้าดีไหม?”
เด็กหญิงส่ายหน้าอย่างแรง นางเขย่ามือ เหรียญทองแดงทั้งหมดก็ไหลไปอยู่รวมกันบนฝ่ามือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งหยิบเหรียญขึ้นมาสามเหรียญ ยื่นส่งให้อันธพาลผู้นั้น
อันธพาลผู้นั้นหัวเราะชอบใจ นังเด็กคนนี้รู้งานไม่เบา แล้วเขาก็โบกมือ ความคิดที่จะหยอกล้อนางต่อหายวับไปไม่มีเหลือ
เด็กหญิงคนนั้นถอยไปด้านหลัง ค้อมตัวก้มหัวให้บุรุษอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหมุนตัววิ่งจากไป
บ้านที่อยู่ด้านหลังของเด็กหญิงมีเสียงคนร้องโหยหวนดังสะเทือนฟ้าดิน
เด็กหญิงเอาแต่วิ่งพลางแบมือออกเร็วๆ ด้วยความดีใจ มองเห็นเหรียญทองแดงเหล่านั้น บนใบหน้าอ่อนเยาว์แต่กลับเหลืองตอบของนางพลันคลี่ยิ้มกว้างดุจบุปผา ผลิบาน
……
หลงเฉวียนที่เกิดจากถ้ำสวรรค์ร่วงลงมาแล้วมีอาเขตติดกับผืนแผ่นดินกลายเป็นเหมือนพื้นที่มงคลที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณแห่งหนึ่ง ดึงดูดให้ผู้คนน้ำลายสออยากครอบครอง
ภูตผีปีศาจที่อยู่รอบด้านมีมากนับหมื่นตน ผ่านการย้ายถิ่นฐานมาสองปีกว่า พวกเขาก็เริ่มจะไปพักพิงภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ สถานการณ์จึงมีแนวโน้มว่าจะมั่นคงขึ้น
ในบรรดาคนเหล่านี้ ลำพังเพียงแค่ปีศาจใหญ่ขอบเขตโอสถทองก็มีมากถึงสามตน ทุกตนต่างก็เคยเป็นยักษ์ใหญ่ที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนในพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนข้อที่ว่าจะมีปีศาจใหญ่ก่อกำเนิดซ่อนตัวอยู่ภายใน ไม่เต็มใจเผยตัวหรือไม่ ตอนนี้กลับยังไม่อาจรู้ได้
เนื่องด้วยเหตุผลหลากหลายประกาย ภูตผีปีศาจที่ตายก่อนวัยอันควร ตายอย่างเฉียบพลัน รวมไปถึงถูกราชสำนักต้าหลีกำราบสังหารเพราะไม่รักษากฎ โดยรวมแล้วมีถึงพันกว่าตน แต่ปีศาจห้าขอบเขตกลางที่ตายไปกลับมีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเผ่าปีศาจปลายแถวที่เพิ่งเหยียบขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตน อาศัยแค่สันดานดุร้ายกระทำการต่างๆ เท่านั้น
ในบรรดาเผ่าปีศาจ ผู้ที่มีคุณสมบัติจะได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางราชสำนักต้าหลีออกให้มีน้อยจนนับนิ้วได้
เพื่อสิ่งนี้เผ่าปีศาจที่พึ่งพาภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ ปีศาจที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ราชสำนักหรือผู้พิทักษ์กฎของขุนเขา บ้างก็ต้องควักกระเป๋าตัวเองหาทางสร้างความสัมพันธ์กับทางการ บ้างก็ขอร้องให้เจ้าของสถานที่ที่ตัวเองไปพักอาศัยช่วยแสดงความเป็นมิตรต่อต้าหลี ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องของเงิน เพราะมีเงินก็สามารถจ้างผีให้โม่แป้งได้ รายได้ก้อนนี้ทำให้กรมการคลังของต้าหลีที่ตอนแรกรับมือไม่ถูกยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ความสัมพันธ์กับกรมกลาโหมที่แต่เดิมแข็งทื่อก็เริ่มคลายตัวลง ถึงอย่างไรสองแซ่สกุลของนายพลเอกอย่างเฉาและหยวนก็ล้วนมีกองกำลังของตัวเองอยู่ในกรมการคลังและกรมกลาโหม และเวลาเกือบร้อยปีมานี้เฉาหยวนสองตระกูลก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ปัดแข้งปัดขากันทุกเรื่อง คนทั้งราชสำนักต่างก็รู้กันดี
ในฐานะอริยะของฟ้าดินแห่งนี้ หร่วนฉงที่มีชาติกำเนิดมาจากศาลลมหิมะได้สร้างสำนักกระบี่หลงเฉวียนขึ้นมา พื้นที่กว้างขวางยิ่ง เขาได้ครอบครองภูเขาหลายแห่งซึ่งรวมถึงภูเขาเสิ่นซิ่วเป็นหนึ่งในนั้น แต่ลูกศิษย์ในสำนักกลับมีน้อยจนน่าสงสาร คนหนึ่งคือหญิงสาวที่ตัดนิ้วโป้งของตัวเองขาด ลูกศิษย์ที่ถูกศาลลมหิมะทอดทิ้ง คอยรับผิดชอบดูแลร้านกระบี่เก่าที่อยู่นอกเมืองเล็ก น้อยครั้งมากที่นางจะขึ้นเขามาเยือนสำนัก มีนามว่าสวีเสี่ยวเฉียว
คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มพูดน้อยที่ชอบใส่ชุดสีดำอยู่ตลอดทั้งปี ชื่อว่าต่งกู่
และยังมีเด็กหนุ่มคิ้วยาวที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เซี่ยหลิง
ต่อให้รวมหร่วนซิ่วเข้าไปด้วย สำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ยังมีควันธูปบางเบาจนน่าโมโห
ทว่าหร่วนฉงกลับไม่แยแสเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย นอกจากเขาจะไปเยือนหน้าผาแท่นสังหารมังกรที่อยู่บนภูเขาหลงจี๋ และไปพูดคุยกับคนจากบ้านเดิมอย่างศาลลมหิมะและคนของภูเขาเจินอู่แล้ว ก็ไม่สนใจเรื่องราวทางโลกอย่างอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองอู๋ยวน หรือว่าเทพภูเขาเว่ยป้อ เขาก็แทบไม่ให้ความสนใจเลย สำหรับเรื่องการถ่ายทอดมรรคาให้แก่ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ยิ่งไม่ใส่ใจ ส่วนใหญ่ล้วนให้บุตรสาวเป็นคนช่วยจับตามองแทน
ภูเขาเสินซิ่ว วันนี้ทะเลเมฆขาวพร่างพราวลอยไกลสุดลูกหูลูกตา พระอาทิตย์ดวงโตลอยขึ้นมากลางอากาศ สาดส่องให้ทะเลเมฆเป็นสีแดงงามพร้อมอย่างทั่วถึง
เด็กสาวชุดเขียวที่มัดผมหางม้า หรือควรจะบอกว่าตอนนี้ไม่สามารถเรียกนางว่าเด็กสาวได้แล้ว เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูใหม่ๆ ตอนนี้เรือนกายของนางเพรียวบาง สูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย คิ้วตาเรียวยาว ที่แท้แม่นางซิ่วซิ่วก็เติบใหญ่สะโอดสะองแล้ว
ข้างกายของนางมีลูกศิษย์เปิดขุนเขาของหร่วนฉงผู้เป็นบิดายืนอยู่ สวีเสี่ยวเฉียว ต่งกู่ เซี่ยหลิง ยากนักกว่าที่พวกเขาจะได้มารวมตัวกัน ในบรรดาคนทั้งสาม สวีเสี่ยวเฉียวเรียกหร่วนซิ่วว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ ต่งกู่เรียกว่าแม่นางหร่วน แต่เป็นคำเรียกขานที่ออกมาจากความเคารพด้วยใจจริง แต่เด็กหนุ่มเซี่ยหลิงกลับชอบเรียกนางว่าพี่หญิงซิ่วซิ่วมาโดยตลอด
ตรงข้างเท้าของหร่วนซิ่วมีสุนัขตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ หมาแก่ที่เดิมทีนอนป่วยพังพาบรอตายอยู่ข้างถนนตัวนั้น เวลานี้กลับเปลี่ยนมาเป็นมีชีวิตชีวา ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยประกายเฉลียวฉลาด นี่ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของยาหลายเม็ดที่หร่วนซิ่วมักจะโยนให้มันกินซึ่งล้วนเป็นยาชั้นเยี่ยม ทุกเม็ดมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง เคยมีผู้ฝึกลมปราณผ่านทางมาเห็นภาพนี้ ในใจพลันเศร้ารันทด รู้สึกเพียงว่าตนเองมีชีวิตสู้หมาตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ใจนึกอยากจะกระโจนออกไปแย่งชิงอาหารกับหมาให้รู้แล้วรู้รอด
ท่ามกลางทะเลเมฆอันงดงามพอจะมองเห็นภูเขาใหญ่หลายลูกที่สูงตระหง่านแหวกทะเลเมฆขึ้นมาดุจดั่งหมู่เกาะได้รำไร
หร่วนซิ่วชี้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง “ท่านพ่อข้าพูดแล้วว่า ขอแค่พวกเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทอง เขาก็จะมอบภูเขาให้คนละลูก และจะป่าวประกาศแก่ใต้หล้า จัดพิธีเปิดขุนเขาให้แก่คนผู้นั้นอย่างเป็นทางการ”
จากนั้นนางก็หันมามองต่งกู่ “แม้เจ้าจะมีชาติกำเนิดเป็นภูตปีศาจ เมื่อเทียบกับพวกเราแล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตจะยากยิ่งกว่า แต่อาศัยอายุขัยที่ยืนยาว พื้นฐานที่ปูมาไม่เลว แถมยังเป็นขอบเขตประตูมังกรมาตั้งนานแล้ว ก็ถึงเวลาที่ควรจะลองฝ่าดูได้แล้ว”
ต่งกู่ขยับปากจะพูดแต่ไม่ได้พูด
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มั่นใจเท่าใดนัก ขอบเขตโอสถทองของห้าขอบเขตกลางเป็นขอบเขตที่ฝ่าไปได้ยากที่สุดของผู้ฝึกลมปราณ ไม่รู้ว่ามันขัดขวางผู้ฝึกลมปราณของประตูมังกรไว้มากน้อยเท่าไหร่ การที่ต่งกู่จากบ้านเกิด ทอดทิ้งสถานะไท่ซือตัวปลอมของแคว้นหนึ่ง ละทิ้งความร่ำรวยในโลกมนุษย์ ก็เพราะอยากจะอาศัยปราณวิญญาณที่มีเปี่ยมล้นมาตั้งแต่กำเนิดของถ้ำสวรรค์หลีจูมาเพิ่มความมั่นใจในการเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองของตน ส่วนระดับขั้นของโอสถทองที่สำเร็จออกมาจะสูงหรือต่ำ และภาพวาดในห้องโอสถจะมีมากหรือน้อย เขาไม่กล้าคาดหวังเลยแม้แต่นิดเดียว
ผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จ ก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า
ไม่รู้ว่าประโยคนี้ดึงดูดให้ผู้ฝึกลมปราณในโลกกี่มากน้อยละทิ้งความสนใจต่อเรื่องทางโลก เอาแต่ฝึกตนมุ่งหามรรคาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจัดเหนื่อยปีแล้วปีเล่า
“ระหว่างที่เจ้าฝ่าทะลุขอบเขต ข้าจะใช้วิธีการบางอย่างยืมการโคจรลมปราณแห่งภูเขาและแม่น้ำที่เป็นของครอบครัวตัวเองมาช่วยระวังหลังให้เจ้า”
หร่วนซิ่วชี้ไปที่เซี่ยหลิง “ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องของเจ้าได้สมบัติที่ใกล้เคียงกับอาวุธเซียนมาชิ้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ขนาดเล็กหนึ่งหลัง ผู้สูงส่งท่านหนึ่งมอบให้เขา สามารถลดระดับความอันตรายในการฝ่าขอบเขตของเจ้าได้”
เซี่ยหลิงเด็กหนุ่มคิ้วยาวหน้ามุ่ย ขนาดความคิดจะโดดหน้าผาตายก็ยังมีแล้ว
พี่หญิงซิ่วซิ่วของข้า นี่เป็นความลับใหญ่เทียมฟ้าที่ข้าเก็บไว้ก้นกรุเชียวนะ ทำไมเจ้าถึงได้พูดออกมาง่ายๆ อย่างนี้เล่า
ต่งกู่ที่หน้าตายตลอดทั้งปีราวกับเป็นอัมพฤกษ์บนใบหน้า ในที่สุดก็เผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาเสี้ยวหนึ่ง หันไปโค้งตัวขอบคุณศิษย์น้องเล็กเซี่ยหลิง “ขอบคุณศิษย์น้อง บุญคุณยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ต่งกู่จะไม่ลืมไปชั่วชีวิต วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน!”
คำพูดสองสามประโยคของหร่วนซิ่วก็สลายแววตำหนิในดวงตาของเซี่ยหลิงได้ทันที “ในเมื่อมีของดีขนาดนี้ก็ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าเอาแต่คิดจะเก็บไว้แอบยิ้มอยู่คนเดียว การฝึกตนบนมหามรรคา เมื่อสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการฝึกตนเอง อาศัยวัตถุนอกกายมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับศัตรูหรือใจตัวเองก็ล้วนต้องพบเจอกับปัญหาใหญ่ เหตุใดก่อกำเนิดเฒ่าหลายคนที่ปิดด่านถึงตายไปเงียบๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าระหว่างที่ฝึกตนให้ความสำคัญกับสมบัติอาคม อาวุธวิเศษมากเกินไป”
หร่วนซิ่วพูดประโยคเหล่านี้รวดเดียวจบเหมือนท่องหนังสือ เซี่ยหลิงถึงกับคลี่ยิ้ม
สวีเสี่ยวเฉียวและต่งกู่ก็ดวงตาแวววาว
หร่วนซิ่วถอนหายใจหนึ่งครั้ง กล่าวอย่างทดท้อเล็กน้อย “หลักการพวกนี้ล้วนเป็นบิดาที่บังคับให้ข้าท่องจำ ทำข้าลำบากแทบตายอยู่แล้ว”
เซี่ยหลิงหัวเราะจนหุบปากไม่ลง
สวีเสี่ยวเฉียวและต่งกู่ก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
หร่วนซิ่วเอ่ยกำชับ “ต่งกู่ วันหน้าเจ้าเลือกหาสถานที่ฮวงจุ้ยดีๆ และวันฤกษ์งามยามดี ถึงเวลานั้นข้ากับเซี่ยหลิงจะปรากฏตัวตรงเวลา”
ต่งกู่พยักหน้ารับอย่างแรงด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
หร่วนซิ่วหยิบห่อผ้าเช็ดหน้าห่อหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ นางไม่ได้เปิดมันออก แต่พูดกับคนทั้งสามว่า “กลับไปกันเถอะ”
เซี่ยหลิงอาศัยอยู่บนภูเขาอยู่แล้ว แต่ต่งกู่กลับสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่ตีนเขา สวีเสี่ยวเฉียวก็ยิ่งอยู่ไกลถึงร้านกระบี่ริมลำคลองหลงซวี หร่วนฉงตั้งกฎเอาไว้ว่า ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนบังคับลมบินทะยาน ดังนั้นจึงน่าสงสารต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวที่ต้องเดินเท้าลงภูเขาไป หร่วนซิ่วจึงพูดขึ้นเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ลูกศิษย์สำนักกระบี่เฉวียนหลงอยากจะทะยานลมก็ทะยานลม คิดจะขี่กระบี่ก็ขี่กระบี่ อยู่ในถิ่นของตัวเอง ใครจะมาว่าอะไรพวกเจ้า? ท่านพ่อข้างั้นหรือ? เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก เขาสนแค่ว่าพวกเจ้าจะเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้หรือไม่ วันหน้าจะได้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนหรือไม่”
หร่วนซิ่วเอ่ยเสริมอีกว่า “เรื่องพวกนี้ข้าพูดเอง ท่านพ่อข้าไม่ได้สอน”
คนทั้งสามจึงแยกย้ายกันไป
หร่วนซิ่วทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่งโยนใส่ปาก ยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว แต่จากนั้นนางก็เบิกตากว้าง พยายามทำท่าให้ดูเคร่งขรึม มองไปทางสุนัขตัวนั้น แก้มของนางพองตูม คำพูดจึงฟังคลุมเครือไม่ชัดเจนนัก “ต้องรู้จักทะนุถนอมวันเวลาที่ดีเอาไว้ อย่าเห่าใส่คนที่เดินผ่านไปมาเพื่ออวดบารมีส่งเดช สนุกมากนักหรือ? ได้ยินว่ามีครั้งหนึ่งเจ้าเกือบจะกัดคนเดินเท้าให้บาดเจ็บ บอกให้เจ้าตั้งใจเฝ้าบ้านดีๆ เหตุใดเจ้าถึงขึ้นมาบนภูเขาโดยพลการ? หวังว่าข้าจะปกป้องเจ้างั้นหรือ?”
หร่วนซิ่วยกมือข้างหนึ่งขึ้น “เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถตบให้เจ้าตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว?”
สุนัขตัวนั้นรีบนอนหมอบลงบนพื้น ร้องสะอื้นวิงวอน
หร่วนซิ่วชำเลืองตามองมันด้วยสีหน้าที่ยังคงเย็นชา “หากไม่เป็นเพราะเขา ข้าก็คงกินเนื้อหมาตุ๋นได้หลายวันแล้ว”
สันหลังของสุนัขพันธ์พื้นบ้านสั่นระริก
หร่วนซิ่วลุกขึ้นยืน ชี้ไปยังเส้นทางลงภูเขา “แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณเหล่านั้นก็ยังต้องทำตัวสงบเสงี่ยม เดิมทีเจ้าก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง คิดจะแข็งข้องั้นรึ? ลงภูเขาไปเฝ้าบ้านซะ!”
สุนัขวิ่งพรวดเผ่นหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
มันที่ก่อนหน้านี้สติปัญญาถูกเปิดรู้สึกเพียงว่านางน่ารักน่าใกล้ชิด จนกระทั่งบัดนี้มันที่อาศัยสัญชาตญาณถึงเพิ่งค้นพบว่า แท้จริงแล้วนางไม่เคยมีความสงสารหรือความใกล้ชิดให้มันเลยแม้แต่นิดเดียว
หร่วนซิ่วเคี้ยวขนมกุ้ยฮวาชิ้นที่สอง ยกมือข้างหนึ่งมารองไว้ใกล้ๆ แก้ม ป้องกันไม่ให้เศษขนมร่วงตกลงพื้น
ของอร่อยแบบนี้ กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลยจริงๆ
เพียงแต่ไม่รู้ว่ารสชาติของเทพแม่น้ำเหล่านั้น เวลากินแล้วจะอร่อยเหมือนขนมกุ้ยฮวาหรือไม่
ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าร่างทองของพวกเขาสามารถบำรุงตบะของนางได้ดีที่สุด
กรุบๆๆ
แม่นางหร่วนซิ่วผู้นี้เริ่มรู้สึกน้ำลายสอ ต้องรีบยกมือขึ้นมาเช็ดมุมปาก
……
ในฐานะอดีตหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู ช่วงแรกเริ่มสุดก่อนที่ราชวงศ์ต้าหลีจะลุกผงาด พวกเขาเคยผ่านความอดทนข่มกลั้นและต้องเผชิญกับความอัปยศมานับครั้งไม่ถ้วน และเมื่อทำลายราชวงศ์สกุลหลูที่มองดูเหมือนไร้ศัตรูได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจของแคว้นหรือความมั่นใจของผู้คนในแคว้นก็ล้วนแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หลังจากสงครามที่ยิ่งใหญ่และยาวนานครั้งนี้ปิดฉากลง ตั้งแต่ขุนนางในราชสำนักที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุ๋นหรือบู๊ ถึงทหารชายแดน จนไปถึงอาณาประชาราษฎร์ของราชวงศ์ต้าหลีก็ล้วนมีความมั่นใจสูงสุดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
นี่ต่างหากถึงจะเป็นความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเคลื่อนขบวนม้าเหล็กกรีฑาทัพลงใต้
แต่ระหว่างนี้ก็ปรากฏเรื่องไม่คาดคิดบางอย่างขึ้น ทำให้แม่ทัพใหญ่ของชายแดนที่เคยชินกับศึกตัดสินเป็นตาย เคยชินกับสงครามที่ยากลำบาก รวมไปถึงผู้อาวุโสกรมกลาโหมที่นั่งวางแผนอยู่ในเมืองหลวงต่างก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นั่นก็เพราะการลงใต้ครั้งนี้ ทหารระดับล่างจนไปถึงทหารระดับกลางของกองทัพต้าหลีที่เคยชินกับการสู้รบต่างระแวดระวังภัยกันอย่างเต็มที่
ทว่าแรกเริ่มเลยก็เป็นศัตรูอันดับต้นๆ แห่งทิศเหนืออย่างสกุลเกาต้าสุยที่เลือกจะเป็นเต่าหดหัวในกระดอง หลบเลี่ยงการทำสงคราม หลังจากนั้นก็เป็นแคว้นในอาณัติหลายแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงที่ฮ่องเต้ต่างก็เป็นฝ่ายยกเมืองให้ด้วยตัวเอง ยื่นตราลัญจกรหยกที่สืบทอดกันมาของแคว้นให้แก่แม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้า แต่ละสถานที่ก็มีแค่การต่อต้านแบบกระจัดกระจายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น นี่ทำให้ทหารชายแดนของต้าหลีที่เชี่ยวชาญด้านการสู้รบงงงันกันเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าตัวเองมีฝีมือมากมาย แต่ไม่มีที่ให้เอามาใช้
พอขยับลงใต้ไปอีก ศึกสงครามเริ่มวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย แรกเริ่มคือมีกองทัพศัตรูที่จำนวนมากพอสมควรหลายกลุ่ม บ้างก็บุกเบิกพื้นที่กว้างขวาง รวบรวมกองกำลังมีฝีมือ เป็นฝ่ายยกทัพมาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับกองทัพชายแดนต้าหลี บ้างก็อาศัยด่านที่อันตราย กำแพงเมืองที่สูงใหญ่ เอาแต่พิทักษ์เมืองไม่ยอมออกมาต่อสู้ บ้างก็เป็นแคว้นเล็กๆ หลายแคว้นที่หันมาร่วมมือเป็นพันธมิตร จับมือกันมาต้านทานกองทัพชายแดนต้าหลีที่บุกไปทางไหน ทางนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง
สำหรับเรื่องนี้ นอกจากศึกใหญ่ที่ปะทะกันนอกเมือง หรือการโจมตีกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งของศัตรูไม่กี่ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่ต้าหลีจะใช้กลยุทธ์ต้อนเสือไปกินหมาป่า ระหว่างนี้นักรบเดนตายและสายสืบจำนวนมากของต้าหลีที่แฝงตัวอยู่ในแคว้นต่างๆ ก็ได้สร้างประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เพราะคอยส่งข่าวคราวมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ญาติกลายมาเป็นศัตรูกัน มิตรสหายหันอาวุธเข้าห้ำหั่นกันเอง การลุกฮือก่อกบฏของกองกำลังต่างๆ ในหนึ่งแคว้น หรือการตายอย่างฉับพลันของขุนนางสำคัญบุ๋นบู๊อันเป็นเสาหลักของแคว้น
ดังนั้นการลงใต้ของต้าหลีจึงมีคุณูปการทางการทหารเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน ความสำเร็จในการทำลายแคว้นที่ทุกคนเคยรู้สึกว่าอยู่ไกลเกินเอื้อม กลับกลายมาเป็นเรื่องใกล้ๆ จนแค่ยื่นมือไปก็ถึง
ทหารกล้าแห่งต้าหลีที่ฉายประกายคมกริบมุ่งจากเหนือของแจกันสมบัติทวีปลงไปทางใต้ มุ่งหน้าไปด้วยกัน ใช้ศึกเลี้ยงศึก ยิ่งนานวันก็ยิ่งบุกรวดเร็วจนมิอาจต้านทาน
ฮ่องเต้ต้าหลีมอบพระราชโองการลับหนึ่งฉบับแจกจ่ายไปตามกระโจมของแม่ทัพใหญ่ทั้งหลาย
ก่อนจะถึงเขตชายแดนทางเหนือของแคว้นไฉ่อีที่ตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป การบุกโจมตีเมืองของกองทัพต้าหลี ผู้นำกองทัพทุกท่านสามารถทำทุกอย่างโดยอาศัยความสะดวกเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องรอหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางกรมกลาโหม
“ทุกท่าน จงให้กีบเท้าม้าเหยียบย่ำลงใต้ได้เต็มที่! เรื่องของการเฉลิมฉลอง ขอให้ใช้ศีรษะของศัตรูแทนชาม ใช้เลือดต่างสุรา กองกระดูกแทนโต๊ะ ดื่มฉลองกันให้เต็มคราบไปก่อน!”
ฮ่องเต้ที่น้อยครั้งนักจะเผยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงออกมา กลับเลือกใช้คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เช่นนี้ในพระราชโองการ
แล้วจะไม่ทำให้เลือดร้อนๆ ของแม่ทัพบู๊ต้าหลีที่เดิมทีก็เข่นฆ่าศัตรูจนตาแดงก่ำเดือดพล่านได้อย่างไร?
ด้านหลังเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงราวเสียงฟ้าคำรณของต้าหลีก็คือกองทัพใหญ่สายตรงที่อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้งเป็นผู้นำทัพ ค่อยๆ บุกรุดหน้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
รวมไปถึงราชครูชุยฉานที่แอบติดตามลงใต้มาอย่างลับๆ อยู่ด้านหลัง เขารับผิดชอบหน้าที่ส่งขุนนางบุ๋นต้าหลีแต่ละคนให้เข้าไปประจำเมืองต่างๆ ที่เปลี่ยนธงหัวเมืองเรียบร้อยแล้ว
แคว้นมากมายทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปจึงเป็นเหมือนดินโคลนกองหนึ่งที่ถูกคนเหยียบย่ำจนเละเทะ
เมืองสำคัญเมืองหนึ่งทางทิศเหนือของแคว้นซีเหอที่กองทัพม้ามารวมกัน ในที่สุดก็ถูกตีแตก
ศึกครั้งนี้ยืดเยื้อมานานถึงสามเดือน กองทัพต้าหลีตีมาได้ด้วยความยากลำบาก พูดได้แค่ว่าเสบียง ม้าและทหารของแคว้นอื่นที่เพิ่มเติมเข้ามาระหว่างทาง บวกกับกองกำลังต่างๆ ทางทิศเหนือของแคว้นซีเหอที่เข้ามาสวามิภักดิ์ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหลือไม่ถึงสามในสิบส่วน
แต่เมื่อตีเมืองชายแดนอันดับหนึ่งของแคว้นซีเหอที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้สำเร็จ โชคชะตาของสกุลหันแคว้นซีเหอก็ถือว่าขาดสะบั้นลงแล้ว นี่ก็คือเรื่องจริง
กว่าจะคว้าชัยชนะในสงครามที่ยากลำบากมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าบรรยากาศของทหารม้าต้าหลีทัพนี้กลับเคร่งเครียดไม่น้อย ไม่เพียงแต่เรื่องที่คนบาดเจ็บล้มตาย ยังมีเรื่องที่กองทัพอีกกองของต้าหลีที่มีพลเอกบางท่านเป็นผู้นำได้ฉวยโอกาสในขณะที่พวกเขารับมือกับแคว้นซีเหอที่เปรียบได้ดั่งกระดูกแข็งแทะยากที่สุด ข้ามเขตเข้ามาในแคว้นซีเหอ ทำลายเมืองว่างเปล่าสิบกว่าเมืองจนเละเทะด้วยความเร็วดุจฟ้าร้องที่คนไม่ทันได้ป้องหู ว่ากันว่าอีกเดี๋ยวก็จะตรงดิ่งไปที่เมืองหลวงของแคว้นซีเหอแล้ว
ตัดเย็บชุดแต่งงานให้คนอื่น ใครก็ไม่ชอบใจทั้งนั้น
แม่ทัพฝ่ายบู๊ที่เลือดเต็มตัวหลายคนวิ่งไปร้องทุกข์แก่ผู้บัญชาการณ์ทัพ ผู้บัญชาการณ์ทัพแค่ฟังพวกเขาบ่น แต่กลับไม่แสดงท่าทีใดๆ
ภายใต้การปกป้องของทหารกล้าหลายสิบคนกองหนึ่ง บุรุษที่สวมเสื้อเกราะเบาซึ่งเป็นชุดของทหารม้าธรรมดาคนหนึ่งค่อยๆ ขี่ม้าเข้ามาในเมือง มองภาพเมืองที่ควันดินปืนลอยคลุ้งไปรอบด้าน บุรุษยังคงมีสีหน้าสุขุมเด็ดเดี่ยว ไม่ได้ถูกอารมณ์เดือดแค้นฮึกเหิมของลูกน้องใต้บังคับบัญชาส่งผลกระทบต่อจิตใจ
แม่ทัพบู๊ที่นำทัพผู้นี้มีชื่อว่า ซ่งเฟิง
คือพระญาติคนหนึ่งของสกุลซ่งต้าหลี อายุเพียงแค่สามสิบปี ท่านกั๋วกงที่อายุน้อยคนนี้ อันที่จริงสายเลือดของเขาค่อนข้างห่างไกลกับสายเลือดดั้งเดิมของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยู่มาก แต่ชื่อเสียงกลับดีเยี่ยม เข้ามาอยู่ในกองทัพได้เกือบสิบปีแล้ว หลังจากมาอยู่ชายแดนก็น้อยครั้งนักที่จะกลับเมืองหลวง
ซ่งเฟิงไม่ใช่ประเภทแม่ทัพผู้กล้าที่พาตัวไปตกอยู่ในวงล้อม ถึงอย่างไรสถานะที่สูงส่งก็วางอยู่ตรงนั้น ต่อให้ตัวซ่งเฟิงเองจะเต็มใจเสี่ยงอันตราย แต่คาดว่าคนข้างกายเขาคงต้องพยายามขัดขวางไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะหากซ่งเฟิงตายไป ใครก็รับผิดชอบไม่ไหว ยังดีที่ซ่งเฟิงเองก็ไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมน้อยนิดแค่นี้ ในเรื่องนี้เขาจึงไม่เคยทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลำบากใจ
ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาสิบกว่าปี อยู่ร่วมกันมานาน แม่ทัพข้างกายที่ตอนนี้ได้กุมอำนาจใหญ่ แรกเริ่มอาจเป็นแค่หัวหน้านายกองคนหนึ่ง หากจะบอกว่าพวกเขายินดีสละหัวหลั่งเลือดแทนแม่ทัพใหญ่ซ่งเฟิงก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
ศึกโจมตีเมืองในครั้งนี้ ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด
ผู้ฝึกลมปราณใต้บังคับบัญชาของซ่งเฟิง ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ราชสำนักต้าหลีจัดหามาให้ และเค่อชิงผู้รับใช้ที่เขาหามาเอง รวมทั้งหมดสามสิบกว่าคน ตายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
ความเสียหายจากการรบที่ดุเดือดเช่นนี้แทบจะเทียบเคียงได้กับสงครามทั้งหมดที่เกิดขึ้นขณะมุ่งหน้าลงใต้มาก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
ตอนนี้ข้างกายของซ่งเฟิงเหลือแค่คนสองคนที่ลักษณะท่าทางเหมือนผู้ฝึกตนทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน
คนผู้หนึ่งคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำเปลือยอกและแผ่นหลัง ตรงเอวห้อยป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีที่เด่นสะดุดตา ร่างของเขาสูงถึงเก้าฉื่อ ในมือถือค้อนทำลายเมืองสองเล่ม ม้าที่เขานั่งคร่อมอยู่ใหญ่กว่าม้าศึกของทหารม้าเกราะหนักทั่วไปอยู่มาก นอกจากป้ายหยกแผ่นนั้นแล้ว ตรงเอวชายฉกรรจ์ยังห้อยสองศีรษะโชกเลือดไว้ด้วย นั่นคือของเชลยศึกที่เขาได้มาระหว่างสงครามโจมตีเมือง ตอนมีชีวิตอยู่เจ้าของศีรษะคือผู้ฝึกลมปราณที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทางแถบเหนือของแคว้นซีเหอ
เมื่อเทียบกับความน่ายำเกรงของชายฉกรรจ์ผู้นี้แล้ว อีกคนหนึ่งจึงดูไม่สะดุดตาเท่าใดนัก คือบุรุษคนหนึ่งที่มองดูแล้วยังหนุ่มยิ่งกว่าซ่งเฟิง เขาสวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวสีตุ่น มีใบหน้าเหมือนจิ้งจอกที่หล่อเหลา ไม่ว่ากับใครก็ยิ้มตาหยีเสมอ ตรงเอวห้อยกระบี่สั้นยาวสองเล่ม ฝักกระบี่หนึ่งดำหนึ่งขาว
มือสองข้างของบุรุษหนุ่มสอดประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ หดคอห่อตัวอยู่ในอาภรณ์ ท่าทางเกียจคร้านยิ่ง
กลางเมืองเบื้องหน้าเบี่ยงไปทางซ้ายที่ห่างไปไกลมีปราณกระบี่พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ชายฉกรรจ์หัวเราะร่า ควบม้าห้อตะบึงไปเบื้องหน้าพลางหันมาพูดกับซ่งเฟิงยิ้มๆ ว่า “สถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้ว อุตส่าห์ยังมีปลาหลุดแหมาให้เห็นทั้งที ไปช้าอาจจะไม่มีน้ำแกงเหลือให้ดื่มแล้ว! ท่านแม่ทัพโปรดระวังตัวด้วย อย่าให้ตกลงมาจากหลังม้าล่ะ”
ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีท่าทางโอหังวางโตผู้นี้ คือยอดฝีมือที่เพิ่งจะมาอยู่ในกองทัพนี้ได้ไม่นาน เล่าลือกันว่าเคยเป็นคนรู้ใจของบุคคลยิ่งใหญ่บางคนในวังหลวง แต่เนื่องจากบุคคลยิ่งใหญ่ผู้นั้นสูญเสียอำนาจ เขาจึงต้องออกจากเมืองหลวงมาหาคุณความชอบทางการทหาร คนผู้นี้เห็นอำนาจและความสูงศักดิ์ของในเมืองหลวงมาจนเคยชิน จึงไม่ค่อยให้ความเคารพนับถือเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งที่ออกมาอยู่ชายแดนด้านนอกหลายปีคนหนึ่งเท่าใดนัก
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำย้ายเส้นสายตามองไปยังหนึ่งม้าหนึ่งคนที่อยู่ข้างกายซ่งเฟิง “เจ้าเด็กหน้าขาวแซ่เฉา ขอแค่เจ้าล้างก้นให้สะอาดไปพบข้า ข้าจะมอบความชอบทางการทหารที่จะได้รับจากนี้ให้เจ้าไปเปล่าๆ เลย เป็นอย่างไร?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ถูกหมิ่นเกียรติเพียงแค่ยิ้มตาหยี ยังไม่ลืมโบกมือให้ชายฉกรรจ์ เหมือนจะบอกให้เขารีบไปลงสนามรบ อย่ามัวเสียเวลาอยู่อีกเลย
ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เขากระดกก้นขึ้นสูงอยู่บนหลังม้า เอื้อมมือไปด้านหลัง ตบป้าบเข้าที่ก้นตัวเองแรงๆ หนึ่งทีแล้วส่ายก้นไปมา ก่อนจะนั่งกลับลงไปบนอานม้า ควบตะบึงเข้าหาจุดที่แสงกระบี่สาดส่อง
ทหารม้ายอดฝีมือข้างกายซ่งเฟิงต่างก็โมโหขุ่นเคือง
มีเพียงซ่งเฟิงและบุรุษชุดผ้าฝ้ายเท่านั้นที่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
กองทัพม้ากองนี้ค่อยๆ เยาะย่างตรงไปยังศูนย์บัญชาการณ์ทัพใหญ่
ในร้านที่สร้างขึ้นง่ายๆ หยาบๆ แห่งหนึ่งบริเวณใกล้เคียงกับประตูเมืองมีคนสามคนที่เลือกอำพรางลมปราณของตัวเองไว้ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนจบสงครามใหญ่ในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการรบครั้งใดทั้งสิ้น ปล่อยให้ประตูเมืองถูกตีแตก ปล่อยให้ราชวงศ์ต้าหลีสารเลวนั้นบุกเข้ามาในเมือง ปลิดชีพทุกคนที่กล้าถืออาวุธจนสิ้น
คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเมืองขนาดใหญ่ทางทิศเหนือแห่งนี้ ก่อนที่กองทัพต้าหลีจะมาล้อมเมือง แม่ทัพใหญ่ที่พิทักษ์เมืองก็ป่าวประกาศแก่ภายนอกไว้แล้วว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ที่เมืองหลวง คนที่เหลืออีกสองคน คนหนึ่งคือผู้นำสำนักตระกูลเซียนบนภูเขาของแคว้นซีเหอ ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้รับใช้เชื้อพระวงศ์ของแคว้นใกล้เคียง มีตบะโอสถทอง!
เทพเซียนโอสถทองท่านหนึ่ง ประตูมังกรสองท่าน พวกเขามาแอบอำพรางกายอยู่ที่นี่ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือเมืองอันเป็นที่ตั้งของกองทัพ เพราะในความเป็นจริงก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
แผนการลับครั้งนี้เป็นของแคว้นเล็กบริเวณใกล้เคียงหกแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นซีเหอด้วย วางไว้ก็เพื่อสังหารซ่งเฟิง!
หวังสังหารลูกหลานเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีกลางสนามรบ!
หากทำสำเร็จ ต่อให้แคว้นจะล่มสลาย แต่ก็สามารถปลุกกำลังใจผู้คนได้มาก ต่อให้บนแผ่นดินของแคว้นทั้งหกจะถูกกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีบดขยี้ผ่านไป แต่อย่างน้อยก็ยังมีผู้ผดุงคุณธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนหยัดยืนขึ้นมาได้อย่างห้าวหาญ ซึ่งจะต้องทำให้สัตว์เดรัจฉานต้าหลีกลุ่มนี้เหนื่อยกับการรับมือ หาความสงบไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว และในเวลาสั้นๆ ก็จะไม่มีวิธีนำรากฐานของหกแคว้นไปใช้เป็นทรัพยากรในการลงใต้ได้อย่างราบรื่น
ส่วนข้อที่ว่าการคาดการณ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างที่หวังไว้หรือไม่ เกรงว่าคนทั้งสามและกษัตริย์ของอีกหกแคว้นก็คงไม่ยินดีจะคิดให้ลึกซึ้ง
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องมัวพะวงอีกแล้ว แผ่นดินแตกแยก สรรพชีวิตมอดม้วย คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว!
หากทำสำเร็จ ชื่อเสียงก็จะขจรขจายไปไกล สละกิจการและรากฐานที่อยู่ทางทิศเหนือทิ้ง หนีเอาชีวิตรอดไปทางใต้ มูลค่าในตัวเองก็จะเพิ่มขึ้นมาก คิดจะกลายเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของราชวงศ์ใหญ่สักแห่งหนึ่ง จะยากตรงไหน?
ไม่มีหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต อายุขัยกำลังจะสิ้นสุดลง ทำตัวขี้ขลาดหวาดกลัวอยู่บนภูเขามาสามร้อยปี ก่อนตายก็ควรจะมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่กล้าหาญสักครั้ง
คนบนภูเขาสามคนที่อยู่ตรงนี้ ต่างคนต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไป
ในบรรดาคนของกองทัพนี้ ซ่งเฟิงมองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วฝ่ามือที่กำเชือกบังคับม้าไว้แน่นกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
บุรุษหล่อเหลาที่มีใบหน้าเหมือนจิ้งจอกคนนั้นยิ้มบางๆ ให้กับซ่งเฟิง “มีข้าเฉาจวิ้นอยู่ด้วย เจ้าไม่มีทางตายหรอก”
บุรุษที่เรียกตัวเองว่า ‘เฉาจวิ้น’ พลันถามขึ้นว่า “ช่วยเหลือเจ้าครั้งนี้ เจ้าซ่งเฟิงก็ต้องช่วยข้าครั้งหนึ่ง ไม่ยากหรอก แค่ในรายชื่อสิ่งที่เสียหายในสงครามซึ่งรายงานไปทางราชสำนัก บวกการกระทำของผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเพิ่มเข้าไปด้วย ตกลงไหม? ง่ายมากเลย แค่บอกว่าผู้ฝึกลมปราณผู้นั้นตายไปด้วยน้ำมือของผู้ฝึกลมปราณฝั่งตรงข้ามที่หลบซ่อนตัวอยู่ เพราะสละตัวเองปกป้องเจ้านายอย่างกล้าหาญ”
ซ่งเฟิงพยักหน้ารับ
เฉาจวิ้นดึงมือสองข้างออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้ฝ่ามือแยกไปกดลงบนด้ามกระบี่สั้นและยาว ก่อนจะค่อยๆ ดันพวกมันออกจากฝักช้าๆ
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
สันหลังของม้าที่นั่งอยู่ระเบิดหักท่อน ม้าตายคาที่
เฉาจวิ้นพุ่งฉิวออกไป เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไม่มีเหลือ
กลางอากาศยังคงเหลือรุ้งยาวที่มีประกายแสงไหลรินสองเส้นพาดผ่าน
หนึ่งเค่อต่อมา
เมื่อผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองคนสุดท้ายมือขาดเท้าขาด จำต้องเลือกระเบิดโอสถทองด้วยความเคียดแค้น บนชุดผ้าฝ้ายตัวยาวของผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งจนเรียกได้ว่าวิปริตผู้นี้กลับไม่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่จุดเดียว ตอนที่ผู้ฝึกลมปราณโอสถทองฆ่าตัวตาย เขาก็ขี่กระบี่จากไปอย่างสง่างาม บ้านเรือนในรัศมีร้อยจั้งใต้ฝ่าเท้าที่กระบี่ของเขาพุ่งผ่านล้วนพังราบเป็นหน้ากลอง ฝุ่นคลุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน
ซ่งเฟิงเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
แล้วถึงได้ควบม้าเข้าเมืองอย่างวางใจ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ตรงไปยังจวนของแม่ทัพใหญ่ แต่ไปยังสนามรบที่ก่อนหน้านี้มีปราณกระบี่พุ่งขึ้นมาก่อน
รอเขาไปถึงที่นั่น ก็เห็นว่าท่ามกลางซากปรักหักพังมีศพของคนตระกูลเซียนต้าหลีที่ใช้ค้อนคู่ทำลายเมืองนอนจมอยู่กลางกองเลือด ตรงบริเวณแขนถูกทวนยาวเล่มหนึ่งปักทะลุตรึงแน่น ผู้ฝึกกระบี่หล่อเหลาที่สวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวยืนอยู่บนหัวทวน กำลังอ้าปากหาว พอเห็นซ่งเฟิงก็ยิ้มกวักมือเรียกเขา
หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกกระบี่ที่มีนามว่าเฉาจวิ้นจะเป็นฝ่ายย้ายไปอยู่กองลาดตระเวนธรรมดาที่ทำหน้าที่สอดแนมศัตรูกองอื่น ไม่เสียเวลาอยู่ข้างกายซ่งเฟิงอีกต่อไป
ผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศ คุณความชอบทางการทหารแต่ละครั้งน้อยนิด ทว่ากลับต่อเนื่อง ได้มาเจอกับทัพต้าหลีที่กรีฑาทัพลงใต้บนสนามรบของแคว้นใกล้เคียง เขาใช้วิธีการที่เสี่ยงอันตรายปลิดชีพทหารลาดตระเวนอย่างเงียบเชียบ ทุกครั้งที่ลงมือจะหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร ไม่เคยเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งปีก็ฆ่าทหารลาดตระเวนฝีมือดีของต้าหลีไปแล้วหนึ่งร้อยหกสิบคน
ต้องรู้ว่าทหารลาดตระเวนที่ทำหน้าที่สอดแนมสถานการณ์ทางฝั่งศัตรูล้วนคัดเลือกมาจากยอดฝีมือในยอดฝีมืออีกที
เนื่องจากศึกหลายครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพียงการต่อสู้อย่างผิวเผินที่ปะทะกันเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้รวมตัวกันเป็นศึกใหญ่อยู่ในสมรภูมิรบบางแห่ง ผู้ฝึกตนหนุ่มสำนักการทหารผู้นี้จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจและถูกทหารต้าหลีล้อมสังหาร แต่ฝ่ายต้าหลีก็เริ่มมีการระแวดระวังในทุกด้าน เพิ่มจำนวนผู้ฝึกลมปราณที่ติดตามกองทัพให้มากขึ้น โดยที่อำพรางตัวอยู่ในกองทัพ หวังจะสร้างฉากตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นรอตะครุบอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อผู้ฝึกลมปราณติดตามกองทัพที่มีขอบเขตชมมหาสมุทรสองคนถูกฆ่าตายไป ในที่สุดทหารระดับสูงของกองทัพต้าหลีก็ให้ความสำคัญกับเจ้าหมอนี่อย่างจริงจัง แต่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนี้กลับเผ่นหนีไป อ้อมเป็นวงใหญ่ สุดท้ายก็มาอยู่บนสนามรบแคว้นซีเหอที่ซ่งเฟิงเป็นผู้นำทัพ
เฉาจวิ้นได้มาพบเขา เป็นความบังเอิญ
แต่เขาได้มาพบเฉาจวิ้น ต้องเป็นความแน่นอนบางอย่าง เดินอยู่ริมแม่น้ำบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกเลยได้อย่างไร
เฉาจวิ้นมองเขาฆ่าทหารลาดตระเวนเจ็ดคนที่อยู่ข้างกายจนหมด แล้วจึงสังหารเขา
ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ามาเข้าร่วมกับกองทัพ มองดูเหมือนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ถูกแต่งตั้งเป็นโหว เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพเหมือนเป็นเรื่องง่ายคล้ายการเอื้อมมือไปหยิบของในกระเป๋า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ
เฉาจวิ้นเลียนแบบชายฉกรรจ์ถือค้อนทำลายเมืองด้วยการตัดศีรษะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เดิมทีควรมีอนาคตยาวไกล เพียงแต่ไม่ได้เอามาแขวนไว้ที่เอว แต่แขวนไว้ข้างหนึ่งของอานม้า จากนั้นก็มุ่งหน้าลงใต้เพียงลำพัง เขาจะเลียนแบบคนผู้นี้อีกครั้ง นั่นคือควบม้าพร้อมอาวุธคู่กายไปลอบฆ่าเหล่าแม่ทัพใหญ่ในกองทัพของแคว้นซีเหอ
เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าเจ้าของศีรษะที่แขวนอยู่ข้างอานม้า
แต่ความต่างเดียวระหว่างคนทั้งสองก็คือ เขาเฉาจวิ้นมีผู้พิทักษ์มรรคา เวลาเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ปล่อยพลังเข่นฆ่าสังหารให้สาแก่ใจแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องคิดหาทางหนีทีไล่อะไรทั้งนั้น
เขาก้มหน้าลงยิ้ม ใช้มือตบไปที่ศีรษะของคนที่ตายตาไม่หลับ เลือดบนศีรษะแข้งหอดไปนานแล้ว เส้นผมก็แห้งกรอบเหมือนหญ้าแข็งๆ เฉาจวิ้นยิ้มตาหยีพูดว่า “น่าเสียดายที่เจ้าไม่มี”
น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่งดังขึ้น “ทำไมเจ้าไม่ช่วยทหารลาดตระเวนพวกนั้น อยู่ในสนามรบด้วยกันก็เหมือนเป็นสหายกัน”
เฉาจวิ้นกล่าวยิ้มๆ “หากข้าไม่อยู่ที่นี่ พวกเขาตายไปก็ถือว่าตายเปล่า แต่พอข้าอยู่ด้วย จะดีจะชั่วก็มีคนช่วยพวกเขาแก้แค้น พวกเขาไม่ควรขอบคุณข้าหรอกหรือ?”
ตระกูลเซียนแล้งน้ำใจ
การฝึกตนบนภูเขาห่างไกลจากโลกมนุษย์ ยิ่งนานวัน ระยะห่างก็ยิ่งยาวไกล
นานวันเข้าผู้ฝึกตนหลายคนจึงแล้งน้ำใจต่อโลกมนุษย์ อย่างมากสุดก็แค่เหมือนคำกล่าวที่ว่า ข้าไม่สร้างความลำบากใจให้กับโลกใบนี้ แต่ก็อย่าคาดหวังว่าข้าจะปฏิบัติต่อโลกใบนี้เป็นอย่างดี
……
บางแห่งในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหญิงเสื้อผ้าขาดวิ่นคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายซาลาเปาเนื้อ นางจ้องมองซึ้งนึ่งซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่มีไอร้อนลอยกรุ่น ได้กลิ่นหอมจางๆ โชยมา น้ำลายก็ไหลด้วยความอยากกิน
ชายฉกรรจ์ที่เป็นเถ้าแก่ร้านรำคาญที่นางขวางหูขวางตาจึงตวาดไล่อย่างโมโห เด็กหญิงยืดอกเชิดหน้า แบฝ่ามือแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีเงิน
เหรียญทองแดงห้าเหรียญ ห้าอีแปะ
ชายฉกรรจ์ไม่แม้แต่จะมองนางเต็มๆ ตา ยังคงบอกให้นางไสหัวไป เห็นว่านางยังไม่ยอมไปจึงยกเก้าอี้ขึ้นทำท่าจะฟาดนาง
ทำเอาเด็กหญิงตกใจรีบวิ่งหนี
วิ่งห่างไปไกลแล้ว เด็กหญิงถึงหันกลับมามองร้านนั้นด้วยสายตาอาฆาต แสยะปากใส่ หันตัวกลับเดินไปอีกร้านหนึ่งที่ขายแผ่นแป้งย่าง ซื้อมาสองแผ่นใหญ่ ยังเหลือเงินอีกหนึ่งอีแปะ
อันที่จริงกินแผ่นเดียวนางก็ผ่านพ้นวันนี้ไปได้แล้ว และตอนแรกนางก็กินแค่แผ่นเดียวจริงๆ
ทว่าเดินไปเดินมา ความคิดในหัวของนางก็เริ่มตีกัน สุดท้ายจึงหามุมกำแพงมุมหนึ่ง หยิบเอาแผ่นแป้งย่างที่เดิมทีเก็บไว้เป็นอาหารของวันพรุ่งนี้ออกมากิน
พอกินหมด ดูเหมือนนางจะรู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้นจึงหยิกแขนตัวเองแรงๆ หนึ่งที แต่พอลุกขึ้นยืน เด็กหญิงที่น้อยครั้งจะอิ่มท้องแบบนี้ก็ลิงโลดขึ้นมา สาวเท้าวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้า บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นชี้กระดาษว่าวที่ลอยอยู่เหนือเมืองหลวงด้วยความอิจฉา
คืนนี้นางไม่ได้กลับไปยังรังเล็กที่เป็น ‘บ้านของตัวเอง’ อากาศตอนกลางคืนของหน้าร้อนเย็นสบาย นอนที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ทำให้ตายหรอก แค่ยุงเยอะอาจจะทำให้รำคาญหน่อยก็เท่านั้น
ตรงประตูหน้าบ้านคนมีเงินหลังหนึ่งที่สถานะทางบ้านค่อนข้างจะมั่นคงตั้งวางสิงโตหินที่สลักด้วยฝีมือหยาบๆ เอาไว้ อีกทั้งรูปร่างยังแปลกประหลาด ไม่ได้อยู่ในท่านั่งยอง แต่สี่ขาแนบพื้น แหงนหน้ามองไปไกล สิงโตหินขนาดไม่สูงไม่ต่ำ พอดีให้เด็กหญิงปีนขึ้นไปบนหลังได้ นางนั่งดูดาวของราตรีฤดูร้อนอยู่ด้านบนก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ควักเอาเหรียญทองแดงที่เหลือเหรียญสุดท้ายออกมา
มองผ่านช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กลางเหรียญไปยังดวงดาวบนท้องฟ้ากว้างใหญ่
นาทีนั้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นนางก็เก็บซ่อนเหรียญทองแดงไว้เป็นอย่างดี ฟุบตัวนอนคว่ำบนหลังสิงโต เพียงไม่นานก็ส่งเสียงกรนเบาๆ
สิงโตหินอีกตัวที่อยู่ข้างกัน เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น เขาหันหน้ามามองเด็กหญิงที่หลับสนิทแล้วขมวดคิ้วแน่น ยากที่จะวางใจลงได้
แต่แล้วเฉินผิงอันก็ไม่คิดอะไรมากอีก เขาเริ่มหลับตาลงฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ท่าทางของเด็กหญิงที่ฟุบหลับอยู่บนหลังสิงโตหินเหมือนคนที่กำลังฝันหวาน