Skip to content

Sword of Coming 307

บทที่ 307 ภิกษุเฒ่าไม่ชอบพูดเรื่องพระธรรม

ยามเช้าตรู่ ประตูใหญ่เปิดออกดังแอด เด็กหญิงผอมแห้งสะดุ้งตื่นในชั่วพริบตา นางกระโดดลงมาจากหลังสิงโตหิน ค้อมตัวลงวิ่งเลียบกำแพงหนีไปให้ห่างจากที่แห่งนี้

แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้อง ‘ตื่น’ เช้ากว่านาง หลังจากที่มองอยู่ไกลๆ เห็นว่าเด็กหญิงจากไปแล้ว เขาก็ไม่สะกดรอยตามนางอีก แต่กลับไปยังที่พักของตัวเอง เฉินผิงอันเช่าห้องด้านข้างของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางใต้ของเมืองหลวงเพื่อพักอาศัย บริเวณใกล้เคียงมีตรอกจ้วงหยวน (จอหงวน) ที่มีชื่อเสียงมาก แต่อันที่จริงกลับเทียบตรอกซิ่งฮวาของบ้านเกิดเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มีบัณฑิตยากจนที่เดินทางมาสอบที่เมืองหลวงพักอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่ได้รับเลือกในการสอบช่วงวสันต์ จ่ายเงินค่าเดินทางกลับบ้านเกิดไม่ไหว อีกทั้งมีสหายที่เพิ่งได้รู้จักในเมืองหลวงให้คอยสอบถามแลกเปลี่ยนความรู้ จึงเลือกมาพักอยู่ที่นี่

เฉินผิงอันมีแค่กุญแจห้อง ไม่มีกุญแจประตูหน้าบ้าน ดังนั้นเขาจึงเลือกเวลากลับมายังที่พัก ประตูบ้านเปิดไว้อยู่แล้ว เฉินผิงอันกลับไปที่ห้องของตัวเอง ปิดประตูลงแล้วก็ชำเลืองตามองตำราที่กองทับกันบนโต๊ะรวมไปถึงผ้าห่มบนโต๊ะซึ่งต่างก็ถูกขยับเคลื่อนย้ายมาก่อน ร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ล้วนปรากฏอยู่ในสายตาของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน เขาถอนหายใจด้วยความระอา ยังดีที่ของไม่ได้หายไป

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไม่ได้พักอยู่ที่นี่ แต่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม เช่าห้องขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวางให้ฝึกหมัดฝึกกระบี่ได้ ภายหลังตามหาอารามเต๋าไม่พบ ยิ่งนานวันจิตใจก็ยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่าน เฉินผิงอันจึงหยุดฝึกเดินนิ่งและวิชากระบี่เป็นครั้งแรก เพื่อประหยัดเงินจึงย้ายมาพักอยู่ที่นี่ แล้วก็จะฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูแค่บางครั้งเท่านั้น

เฉินผิงอันนอนอยู่บนเตียง เหม่อมองเพดานห้อง

หากต้องเป็นเหมือนแมลงวันไร้หัวต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ คงไม่ใช่เรื่อง

ได้ประโยชน์จากการขัดเกลาบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งแน่นหนาจนน้ำก็ลอดซึมไปไม่ได้ ภายหลังยังมาเจอศึกใหญ่ที่ป้อมอินทรีบินอีกสองครั้ง โดยเฉพาะตอนที่ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองระเบิดห้องโอสถจนปราณวิญญาณไหลทะลัก การกระทำสวนกระแสของเฉินผิงอันครั้งนั้นทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล ตอนนี้วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ของเฉินผิงอันมีวี่แววว่าคอขวดเริ่มจะคลายตัวออก แต่เขากลับรู้สึกว่ายังขาดอะไรอยู่อีกเล็กน้อย ลางสังหรณ์ที่เลือนรางอย่างหนึ่งบอกกับเฉินผิงอันว่า ขอแค่เขาเต็มใจก็สามารถข้ามผ่านธรณีประตูขอบเขตสี่ไปได้อย่างรวดเร็ว แต่เฉินผิงอันต้องการรากฐานที่หนาแน่นและมั่นคงยิ่งกว่านี้ หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องทำอย่างที่ลู่ไถว่า นั่นคือลองไปเสี่ยงดวงที่ศาลอริยะบู๊ดู หรือไม่ก็หาซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่งแล้วเข้าไปตามหาวิญญาณวีรบุรุษ เทพหยินที่รบตายไปแล้วแต่ดวงจิตยังไม่แตกสลาย

ถึงอย่างไรก็ต้องหาเรื่องอะไรสักอย่างทำ ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันกลัวว่าตัวเองจะขึ้นราเอาได้

เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนนี้ถึงปลายฤดูร้อน หากยังหาอารามเต๋าไม่เจอก็จะกลับแจกันสมบัติทวีป ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไว้บนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ปู่ของชุยฉานอยู่ที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันมีความมั่นใจในเรื่องนี้มาก และไม่แน่ว่าสัญญาสิบปีที่ให้ไว้กับหนิงเหยาอาจจะทำได้สำเร็จล่วงหน้าหลายปี

แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย กลัวก็แต่ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่จิตใจสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้า วิชาหมัดไร้ศัตรูทัดเทียมผู้นั้นจะป่าวประกาศว่าจะขัดเกลาเขาให้กลายเป็นขอบเขตห้า ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรเทือกนั้น

ตอนนั้นแค่ขอบเขตสามตนก็ลำบากทรมานถึงเพียงนั้นแล้ว เฉินผิงอันกลัวจริงๆ ว่าจะถูกผู้เฒ่าต่อยจนตายทั้งเป็น หรือไม่ก็เจ็บปวดจนตาย

เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย หลับตาลงช้าๆ

ไม่รู้ว่าอาเหลียงที่อยู่ฟ้านอกฟ้าต่อสู้จนรู้แพ้รู้ชนะกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่เล่าลือกันว่าเป็นผู้ไร้ศัตรูเทียมทานที่แท้จริงแล้วหรือยัง

ไม่รู้ว่าระหว่างที่เดินทางไกลไปยังสกุลเฉินอิ่งอิน ภูเขาสูงสุดที่หลิวเสี้ยนหยางได้เห็นสูงเท่าไหร่ และแม่น้ำใหญ่สุดที่ได้เห็นกว้างใหญ่แค่ไหน

ไม่รู้ว่าหลี่เป่าผิงที่เรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาจะมีความสุขหรือไม่

ไม่รู้ว่ากู้ช่านที่อยู่ทะเลสาบเจี่ยนซูจะถูกคนรังแกหรือไม่ สมุดบัญชีเล่มเล็กๆ ที่เอาไว้จดชื่อศัตรูจะเพิ่มขึ้นมาอีกเล่มแล้วหรือเปล่า

ไม่รู้ว่าแม่นางหร่วนซิ่วยังชอบขนมกุ้ยฮวาของที่ร้านในตรอกฉีหลงหรือไม่

ไม่รู้ว่าจางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียที่เดินทางไปด้วยกันได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่สามารถร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารหรือไม่

ไม่รู้ว่าฟ่านเอ้อร์ที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าจะเจอหญิงสาวที่ถูกใจหรือยัง

เฉินผิงอันคิดเรื่องในใจจนหลับไปทั้งอย่างนี้

มีกระบี่บินชูอีสืออู่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ อันที่จริงตลอดทางที่เฉินผิงอันนอนกลางดินกินกลางทรายมานี้ เขาไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าใดนัก

เจ้าของบ้านหลังนี้คือคนสามรุ่น ครอบครัวมีทั้งหมดห้าคน ผู้เฒ่าชอบออกไปเล่นหมากล้อมกับคนอื่นข้างนอก ฝีมือการเล่นหมากล้อมอ่อนด้อย กิริยาเวลาเล่นกลับแย่ยิ่งกว่า เพราะชอบร้องเสียงดังโวยวาย

หญิงชราพูดจาไม่น่าฟัง วันๆ เอาแต่ทำสีหน้าบึ้งตึงจนเฉินผิงอันอดนึกไปถึงแม่เฒ่าหม่าในตรอกซิ่งฮวาไม่ได้

คู่สามีภรรยาอายุยังน้อยสองคน สตรีแต่งงานแล้วทำงานเย็บปักถักร้อย ดูแลงานบ้าน ทุกวันจะต้องถูกแม่สามีด่าจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ตามคำพูดเก่าแก่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน บุรุษคือคนที่แบกผ้าห่อบุญ ก็คือแบกห่อผ้าใบใหญ่ไว้ด้านหลัง เดินทางไปทั่วเพื่อหาซื้อของมา ตรงเอวผูกกลองใบเล็กเอาไว้ เวลาเดินตามถนนหรือตรอกซอกซอยก็ร้องเร่เรียกคนไปด้วย หากโชคดีเก็บได้ของเก่าที่มีมูลค่าแล้วเอาไปขายให้กับร้านของเก่าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี แค่ของเปลี่ยนมือก็ได้เงินมาหลายตำลึง

สตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดา แต่กลับให้กำเนิดบุตรชายที่หน้าตางดงาม อายุเจ็ดแปดขวบ ปากแดงฟันขาว ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในตรอก กลับเหมือนคุณชายน้อยของตระกูลใหญ่โตเสียมากกว่า เวลาไปเรียนที่โรงเรียน ได้ยินว่าเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ผู้สอนอย่างมาก เขามักจะไปดูปู่เล่นหมากล้อมกับคนอื่นบ่อยๆ นั่งครั้งหนึ่งก็นานเกินครึ่งชั่วยาม ไม่พูดอะไรสักคำเดียว ผู้ที่ดูคนเล่นหมากล้อมแล้วไม่สอดปากเอ่ยแทรกก็คือสุภาพชนที่แท้จริง มีบุคลิกเหมือนอาจารย์น้อยอยู่มาก

เพื่อนบ้านที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือคนโตก็ล้วนสนิทสนมกับเด็กคนนี้ มักจะชอบมาหยอกล้อถามเขาว่าชอบใครมากกว่ากัน ระหว่างเด็กหญิงข้างบ้านที่เติบโตมาด้วยกันกับคุณหนูหลิวที่โรงเรียน เด็กคนนี้มักจะทำเพียงแค่ยิ้มอย่างเขินอายแล้วดูคนเล่นหมากล้อมต่อไปเงียบๆ

หลังจากที่เฉินผิงอันหลับไปแล้ว

เจ้าตัวน้อยตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากพื้น ปีนขึ้นมาบนโต๊ะ มานั่งอยู่ข้าง ‘ภูเขาหนังสือ’ แล้วเริ่มงีบหลับ

เห็นได้ชัดว่าคนจิ๋วดอกบัวเชี่ยวชาญวิชาดำดิน มันทำได้อย่างเงียบเชียบและว่องไวอย่างถึงที่สุด

ก่อนจะมาถึงเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันหยอกเย้ามันอยู่หลายครั้ง บ้างก็ควบม้าห้อตะบึงไป หรือไม่ก็รวบรวมพละกำลังไว้ที่ฝ่าเท้าแล้ววิ่งห้อไปไกลหลายสิบลี้ในรวดเดียว รอจนเขาหยุดม้าหรือหยุดวิ่ง ข้างเท้าก็มักจะมีเจ้าตัวน้อยโผล่หัวออกมาจากดินแล้วหัวเราะคิกคักให้เขาเสมอ

ไม่ว่าเฉินผิงอันจะเดินนิ่งต่อยหมัดหรือฝึกวิชากระบี่ มันก็ไม่เคยมารบกวน มักจะทำแค่มองอยู่ไกลๆ มีเพียงเฉินผิงอันกวักมือเรียกหามัน มันถึงจะมาหยุดอยู่ข้างกายเขา ปีนป่ายไปตามชุดคลุมอาคมจินหลี่ สุดท้ายไปนั่งอยู่บนไหล่ของเฉินผิงอัน หนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวจิ๋วชมทิวทัศน์ไปด้วยกัน

ส่วนเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นก็ฝากไว้ที่เฉินผิงอันชั่วคราว

เฉินผิงอันเพียงแค่งีบครู่สั้นๆ เพียงไม่นานก็ต้องตื่นเพราะเสียงความเคลื่อนไหวในลานบ้าน เสียงบ่นของหญิงชรา เสียงรับคำอย่างขลาดกลัวของสตรีแต่งงานแล้ว ผู้เฒ่าที่กำลังฝึกเปล่งเสียงในลำคอ เด็กน้อยที่ท่องเนื้อหาในตำราของนักเรียนปฐมวัยช่วงเช้า มีเพียงชายฉกรรจ์คนนั้นที่น่าจะยังนอนหลับอุตุ

เฉินผิงอันนั่งข้างโต๊ะ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเบาๆ เจ้าตัวน้อยก็ตื่นขึ้นมาช้าๆ มันยังมึนงงอยู่เล็กน้อยจึงมองเฉินผิงอันด้วยสายตาเหม่อลอย

เฉินผิงอันส่งยิ้มให้ “เจ้านอนต่อเถอะ”

เจ้าตัวน้อยลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ช่วยเขาเปิดหน้าหนังสือ

เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้ว หนังสือบนโต๊ะล้วนเป็นหนังสือที่เขาซื้อมาใหม่หลังจากลากับลู่ไถและป้อมอินทรีบิน ตอนนั้นลู่ไถบอกว่ามีเพียงอ่านตำราระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะมีหวังเป็นคนระดับสอง เรื่องการอ่านหนังสือนี้ จะหวังให้อ่านครบทุกเล่มไม่ได้ โลภมากอ่านเยอะก็ใคร่ครวญเนื้อหาไม่แตก ให้อ่านตำราที่สำคัญเป็นหลัก ค่อยๆ ขบคิดใคร่ครวญ หากสามารถอ่านแก่นแท้ของตำราที่ถูกต้องแท้จริงเล่มหนึ่งเข้าท้องได้ทั้งหมด นำจินตภาพที่งดงาม หลักการที่แท้จริงเหมือนได้พบเห็นกับตาตัวเอง และจิตวิญญาณที่ซ่อนแฝงอยู่ระหว่างแต่ละประโยคแต่ละบทความมาให้ตัวเองใช้ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าอ่านหนังสือ หาไม่แล้วสักแต่พลิกเปิดตำรา เปิดตำราเป็นพันเป็นหมื่นเล่ม ให้ตายก็เป็นได้แค่ชั้นหนังสือสองขาเท่านั้น (เปรียบเปรยถึงคนที่เก่งแต่ทฤษฎี พอนำมาปฏิบัติจริงกลับทำไม่ได้)

ตอนนั้นเฉินผิงอันที่ได้ฟังเหมือนสมองถูกเปิดโล่ง หากไม่ได้ลู่ไถช่วยพูดเตือน เขาเห็นหนังสือดีหนึ่งเล่มก็คงจะซื้อมาหนึ่งเล่มจริงๆ อีกทั้งยังจะต้องอ่านอย่างละเอียด อ่านอย่างเชื่องช้า ทว่าตำรามีมากมายดุจน้ำในมหาสมุทร แต่อายุขัยของคนมีจำกัด เฉินผิงอันทั้งต้องฝึกหมัดฝึกกระบี่ แถมยังต้องตามหาอารามเต๋า กว่าจะมีเวลาว่างอันน้อยนิดเหลือได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงควรนำมันมาอ่านหนังสือที่ดีที่สุดจริงๆ

ลู่ไถมอบรายการหนังสือมาให้หนึ่งแผ่น เฉินผิงอันเก็บรักษากระดาษแผ่นนั้นไว้เป็นอย่างดี ทว่ากลับไม่ได้ซื้อหนังสือตามรายการเหล่านั้น เขาซื้อตำราหลักธรรมของหย่าเซิ่งลัทธิขงจื๊อมาแทน

น่าเสียดายที่หนังสือของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าหาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด

เฉินผิงอันคิดอยากจะอ่าน ‘ตรีจตุ’ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน

หากพูดกันตามความรู้สึกแล้ว เฉินผิงอันย่อมเอนเอียงไปทางอาจารย์ของอาจารย์ฉีอย่างซิ่วไฉเฒ่าที่ชอบดื่มเหล้า แถมพอเมาแล้วยังชอบพูดจาประสาคนเมามากกว่า แต่ชื่นชอบ เลื่อมใสและนับถือคนคนหนึ่งๆ ได้ ไม่มีปัญหา แต่หากรู้สึกว่าคำพูดของคนผู้นั้น และเรื่องที่คนผู้นั้นทำล้วนถูกต้องทั้งหมด นั่นแหละถึงจะเป็นปัญหาใหญ่

ความรู้ของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าสูงหรือไม่? ต้องสูงมากอยู่แล้ว ตามคำกล่าวของชุยฉานคนหนุ่ม ความรู้ของเขาเคยสูงส่งจนทำให้ผู้ที่เล่าเรียนเขียนอ่านทุกคนรู้สึกว่าเป็นดั่ง ‘ดวงตะวันกลางนภา’

ถ้าเช่นนั้นเฉินผิงอันมีสิทธิ์จะเข้าใจว่าเหตุผลของซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้มีเหตุผลมากที่สุดหรือไม่?

มองดูเหมือนมดตัวน้อยคิดจะเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่ น่าขำที่ไม่ประมาณตน แต่ความจริงแล้วเขากลับมีสิทธิ์นั้น เพราะยังมีหย่าเซิ่งอยู่อีกคน และมีตำรามากมายที่หย่าเซิ่งทิ้งเอาไว้

เฉินผิงอันเคยพูดกับพ่อแม่ของหนิงเหยาว่า การชอบคนคนหนึ่งอย่างแท้จริงคือต้องชอบในสิ่งที่ไม่ดีของคนคนนั้นด้วย

แล้วก็เคยกำชับเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่า “หากข้าทำผิด พวกเจ้าจำไว้ว่าต้องคอยเตือนข้า”

แต่ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันย่อมยังหวังว่าจะได้เห็นความรู้ของทั้งสองฝ่ายจากศึกตรีจตุ ตนจะได้สามารถรู้สึกจากใจจริงว่าคำพูดของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าถูกต้องมากยิ่งกว่า

ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าที่ได้ดื่มเหล่าร่วมกับผู้เฒ่าก็จะได้มีเรื่องให้คุยกัน

เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสำรวม เขาอ่านหนังสือช้ามาก เสียงก็เบามาก ทุกครั้งที่อ่านถึงประโยคสุดท้ายของหน้า คนจิ๋วดอกบัวจะพลิกเปิดหน้าใหม่ให้เขาอย่างคล่องแคล่ว

จากนั้นก็จะกลับไปนั่งอยู่บนโต๊ะระหว่างเฉินผิงอันกับหนังสืออีกครั้ง อีกทั้งยังนั่งตัวตรงอย่างสำรวมเลียนแบบเฉินผิงอัน มันตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงอ่านเหนือศีรษะอย่างสงบ

สำหรับลานบ้านด้านนอกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวบ้านร้านตลาดแล้ว เฉินผิงอันผู้สวมชุดขาวสะพายกระบี่ห้อยน้ำเต้าจึงเหมือนบุคคลประหลาดที่อยู่ไกลไปสุดขอบฟ้า มาเยือนก็ไม่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม จากไปแล้วก็ไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์

แค่จ่ายเงินก็พอแล้ว

ข้างตรอกจ้วงหยวนห่างไปไม่ไกลมีเหลาสุราหอโคมเขียว และยังมีวัดที่เสียงพระสวดคาถาบาลีดังแว่วมา แม้จะอยู่ใกล้ แต่กลับห่างไกลราวกับเป็นสองใต้หล้า

เฉินผิงอันมักจะเห็นพวกพระสงฆ์เดินอุ้มบาตรออกมาข้างนอกเป็นประจำ แม้ว่าเรือนกายของพวกเขาจะผอมบาง แต่ส่วนใหญ่กลับมีใบหน้าที่สงบอิ่มเอิบ ต่อให้ไม่สวมจีวรก็มองออกได้ในปราดเดียวว่าพวกเขาแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป

ส่วนทางฝ่ายของเหลาสุรานั้นมักจะมีเสียงดังอึกทึกในช่วงกลางคืนเป็นประจำ ตลอดทั้งตรอกอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งประทินโฉมฉุนจมูก จะสงบลงก็เมื่อล่วงเข้ายามเช้าเท่านั้น แม้ว่าคนของที่นั่นซึ่งไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มาดื่มสุราเคล้านารี หรือหญิงสาวที่คอยปรนนิบัติรินสุราก็ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงาม แต่เมื่อความสนุกสนานปิดฉากลง คนส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าเหนื่อยล้า มีอยู่หลายครั้งที่เฉินผิงอันเห็นว่าหลังจากสตรีพวกนั้นส่งแขกออกจากหอโคมเขียวแล้ว พวกนางก็จะกลับไปลบเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าออก ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสางก็เดินออกจากประตูข้างของหอโคมเขียวมายังตรอกเล็กที่อัดแน่นไปด้วยร้านค้าแผงลอย นั่งกินโจ๊กหรือไม่ก็เกี๊ยวน้ำหนึ่งถ้วย หญิงสาวบางคนกินไปหลับไปก็มี

หนึ่งเค่อของราตรีวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง ก็เหมือนการยืมเงินจากสวรรค์ที่ต้องใช้คืน

พ่อค้าบางคนที่คุ้นเคยกับหญิงคณิกาเหล่านี้มักจะชอบพูดจาหยาบโลน หญิงสาวบางคนก็ไม่ถือสา พูดตอบรับอย่างขอไปทีแค่ไม่กี่คำเพราะหวังประหยัดเงินไม่กี่เหรียญทองแดง แต่ก็มีบางคนที่ขึงขังจริงจัง พวกนางที่เดิมทีเคยชินกับการทำตัวว่านอนสอนง่าย ฝืนประจบเอาใจลูกค้ากลับสบถด่าหยาบคาย พวกพ่อค้าก็จะทำคอย่นด้วยความหวาดกลัว รอจนหญิงสาวจากไปแล้วถึงได้เริ่มด่าพวกนางว่าเป็นแค่ของหมักดอง (เปรียบเปรยถึงสิ่งที่สกปรก) ที่ทำงานขายเนื้อหนังเท่านั้น มีหน้าอะไรมาแสร้งทำท่าเป็นคุณหนูในห้องหอ

วันต่อมาหญิงสาวจากหอโคมเขียวที่ด่าคนก็กลับมาอีกครั้ง ชายฉกรรจ์ที่เมื่อวานโดนด่าก็ยังคงแอบเหลือบมองมือเล็กๆ ขาวนวลที่โผล่พ้นจากชายแขนเสื้อของพวกนาง ขาวราวกับเนื้อหมูที่อยู่บนเขียง เทียบกับเมียหน้าเหลืองของที่บ้านตัวเองแล้ว คนหนึ่งราวกับฟ้า อีกคนหนึ่งราวกับดิน ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกนางที่หมดจดงดงามถูกเลี้ยงดูกันมาอย่างไร เพียงแต่พอคิดว่าหากอยากจับหน้าอกของพวกนางก็ต้องจ่ายเงินที่ทำงานอย่างยากลำบากมาเกือบครึ่งปี พ่อค้าก็ได้แค่ถอนหายใจ

แคว้นหนันเยวี่ยนไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว ประเทศชาติร่มเย็นเป็นสุข กษัตริย์แต่ละพระองค์แทบไม่ต้องทำอะไร ทั้งไม่มีชื่อเสียงดีงาม แล้วก็ไม่มีชื่อเสียงชั่วร้าย

เนื่องจากเมืองหลวงไม่ได้มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล เหล่าจอมยุทธ์ในยุทธภพจึงห้อยดาบพกกระบี่กันอย่างโจ่งแจ้ง แม้จะควบม้ากลางเมือง ทางการก็ไม่เคยสนใจ หากเจอกันบนทาง ทั้งคนบนม้าและล่างม้าต่างก็ทักทายกันอย่างปรองดอง บางคนที่รู้จักสนิทสนมกันก็จะเข้าไปดื่มเหล้าในร้านใกล้เคียงด้วยกัน เจ้าพูดถึงเรื่องการเลื่อนขั้นอย่างน่าระอาใจในวงการขุนนาง ข้าพูดถึงเรื่องการประมือกับยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่สาแก่ใจ ไปๆ มาๆ สุราแค่สองสามจินย่อมไม่พอดื่ม

เพื่อตามหาอารามเต๋าแห่งนั้น ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องเดินเตร่ไปทั่วเมืองหลวงแห่งนี้ เคยเห็นสารพัดเรื่องในหมู่ชาวบ้าน แล้วก็เห็นบางอย่างที่แปลกประหลาดซึ่งซ่อนอยู่ในหมู่พวกเขาเช่นกัน

แต่ขอแค่พวกมันไม่มาหาเรื่องตนก่อน เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะใส่ใจ

ลู่ไถเคยพูดประโยคหนึ่ง ตอนนั้นเขาสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก ตอนนี้ยิ่งหวนนึกถึงก็ยิ่งมีเรื่องให้ขบคิดใคร่ครวญ

เมื่อได้ฝึกบำเพ็ญตนบนภูเขาก็จะรู้สึกเพียงว่า ยิ่งนานวันก็ยิ่งดูเหมือนวัตถุหยิน ภูตผีและตัวประหลาดที่อยู่ในโลกจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินผิงอันปิดหนังสือ เวลาหนึ่งชั่วยามก็ล่วงเลยผ่านไปเช่นนี้ เขาเตรียมจะออกจากบ้านไปเดินเล่นต่อ

แม้ว่าระหว่างที่ตามหาอารามเต๋า จิตใจของเฉินผิงอันจะยิ่งวุ่นวายหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ใช่ว่าเฉินผิงอันจะไม่เคยลองทำจิตใจให้สงบมาก่อน อันที่จริงเขาพยายามมากแล้ว ไปที่วัดน้อยใหญ่ จุดธูปไหว้พระ เดินอยู่ท่ามกลางร่มไม้ของทางสายเล็กที่เงียบสงบเพียงลำพัง ทุกครั้งที่ไปเยือนวัดหนึ่งก็จะจดบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่ วัดเล็กในตรอกจ้วงหยวน เฉินผิงอันไปเยือนบ่อยที่สุด วัดแห่งนี้ไม่ใหญ่ นับรวมเจ้าอาวาสแล้วก็มีแค่สิบกว่าคน นานวันเข้าเขาก็กลายเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา ทุกครั้งที่จิตใจของเฉินผิงอันไม่สงบ เขาก็จะไปนั่งอยู่ที่นั่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องไปพูดคุยกับพวกพระสงฆ์ ต่อให้นั่งอยู่ใต้ชายคา รับฟังเสียงกรุ้งกริ้งของกระดิ่งลมเพียงลำพังก็สามารถฆ่าเวลาช่วงบ่ายที่ไอร้อนลอยกรุ่นไปได้

แคว้นหนันเยวี่ยนนับถือลัทธิพุทธ ลดค่าลัทธิเต๋า วัดในเมืองหลวงและตามสถานที่ต่างๆ มีมากมายดุจต้นไม้ในป่า ควันธูปลุกโชติช่วง ยากนักที่จะได้พบเห็นอารามเต๋าสักแห่ง ที่เมืองหลวงก็ยิ่งไม่มีเลยแม้แต่แห่งเดียว

หลายวันมานี้มีเรื่องลับที่น่าตกตะลึงเรื่องหนึ่งแพร่สะพัดอย่างครึกโครมไปทั่วเมืองหลวง วัดป๋ายเหอหนึ่งในสี่วัดใหญ่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเกิดเรื่องน่าอับอายอย่างใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาวัดป๋ายเหอมีชื่อเสียงเลื่องลือเพราะพระธรรมของเจ้าอาวาสลึกล้ำ คืออรหันต์ร่างทองที่ยังมีชีวิต หลังจากภิกษุแต่ละรูปล่วงลับไปก็สามารถทิ้งร่างที่ไม่เน่าเปื่อยเอาไว้ หรือไม่พอเผาแล้วก็กลายเป็นผลึกพระธาตุ สำหรับข้อนี้ อีกสามวัดที่เหลือต่างก็ละอายใจที่สู้ไม่ได้

นี่ก็เป็นหลักฐานเด่นชัดที่ทำให้พระธรรมของแคว้นหนันเยวี่ยนเจริญรุ่งเรืองเหนือกว่าแคว้นใกล้เคียง

ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานพระที่มีสมณศักดิ์สูงซึ่งเข้าจำวัดในวัดป๋ายเหอ เมื่อปีก่อนได้รับการแนะนำให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส อนาคตสดใสไร้ขีดจำกัดกลับหนีออกจากวัดไปในวันหนึ่ง เขาตรงไปร้องทุกข์ฟ้องศาลต้าหลี่ หลังจากฟังจบ ขุนนางทั้งหลายในศาลต้าหลี่ซึ่งรวมถึงตุลาการศาลต่างก็หันมามองหน้ากันเอง ที่แท้ภิกษุเฒ่าผู้นี้มาฟ้องว่าวัดป๋ายเหอใส่ยาพิษลงในอาหารของเขา แถมยังแอบวางแผนว่าจะกรอกปรอทใส่เข้าไปในศพเขาหลังจากที่เขาตายไป ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเปิดโปงว่าพระสงฆ์ในวัดป๋ายเหอก่อกรรมทำชั่ว หากรวมเรื่องที่หลอกลวงสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ทุ่มเงินก้อนโตเพื่อหวังมาขอลูกด้วยก็มีคดีใหญ่รวมถึงหกคดี

คดีที่ว่านี้น่าตกใจเกินไป ถึงขั้นลอยไปเข้าพระกรรณของฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน จึงออกคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผลคือพระสงฆ์สามร้อยรูปของวัดป๋ายเหอถูกจับขังคุกเกินครึ่ง คนที่เหลือถูกขับออกจากเมืองหลวง ถูกขีดชื่อออกจากเอกสารผ่านทาง ชั่วชีวิตนี้เป็นพระไม่ได้อีก

สามวัดที่เหลือยังคงมีสถานะสูงส่ง ถึงอย่างไรรากฐานของพวกเขาก็ลึกล้ำแน่นหนา แต่เดือดร้อนไปถึงวัดเล็กที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่นวัดซินเซียงข้างตรอกจ้วงหยวนที่ช่วงนี้ผู้มีจิตศรัทธาที่มาจุดธูปไหว้พระลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด

เจ้าอาวาสของวัดซินเซียงคือภิกษุเฒ่าท่านหนึ่งที่พูดติดสำเนียงท้องถิ่น หน้าตาใจดีมีเมตตา ร่างสูงใหญ่ เข้ามาอยู่เมืองหลวงได้สามสิบปี แต่สำเนียงบ้านเกิดของภิกษุเฒ่าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่ชอบพูดเรื่องความลึกล้ำอัศจรรย์ของพระธรรมกับคนอื่น ส่วนใหญ่มักจะพูดคุยกับเหล่าผู้อาวุโสจากตระกูลต่างๆ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทุกครั้งที่ไปนั่งเล่นอยู่ในวัด เฉินผิงอันต้องเปลืองแรงมากกว่าจะฟังที่อีกฝ่ายพูดเข้าใจ สำหรับภิกษุเฒ่าผู้นี้ เฉินผิงอันมีความประทับใจที่ดีมาก อีกอย่างถึงแม้จะรู้ความพิเศษของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา เจ้าอาวาสเฒ่าคือผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง

เฉินผิงอันออกจากตรอกไปที่วัดซินเซียง กะว่าจะไปนั่งเงียบๆ ฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งอยู่ที่นั่น

แต่ระยะทางสองลี้นี้เฉินผิงอันต้องเดินผ่านศูนย์ฝึกยุทธ์และหน่วยคุ้มกันภัย โดยเฉพาะด้านในกำแพงสูงของศูนย์ฝึกยุทธ์ที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ภูเขาสูงลำธารกว้างใหญ่’ ที่ทุกครั้งที่เดินผ่านจะต้องมีเสียงร้องหึฮ่าของชายฉกรรจ์ น่าจะกำลังฝึกวิชาหมัดกันอยู่ ถนนใหญ่นอกหน่วยคุ้มกันภัยมักจะมีภาพที่รถคุ้มกันภัยจอดเบียดเสียด ชายหนุ่มหญิงสาวล้วนมีท่าทางหยิ่งยโส เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาฮึกเหิม แต่พวกผู้เฒ่ากลับเงียบขรึมกว่าเยอะมาก บางครั้งที่เห็นเฉินผิงอันก็จะผงกศีรษะให้ ตอนแรกเฉินผิงอันยังกุมมือคารวะกลับคืน ภายหลังเมื่อพบหน้ากันก็เป็นฝ่ายคารวะทักทายก่อน คิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ ผู้เฒ่าก็พากันหมดความสนใจ ไม่คิดจะชายตาแลเฉินผิงอันเลยด้วยซ้ำ

รอจนภายหลังที่เฉินผิงอันเข้าใจความหมายของการกระทำนี้ก็ถึงกับหลุดหัวเราะขำ

น่าจะเป็นเพราะตอนแรกเห็นตนเป็นดั่งมังกรข้ามแม่น้ำ ภายหลังตรวจสอบจนรู้ที่พักของตนอย่างชัดเจนจึงดูถูกตน และมารยาทที่ ‘เกรงใจ’ มากเกินไปของตนก็ยิ่งทำให้เหล่าคนเก่าคนแก่ในยุทธภพของหน่วยคุ้มกันภัยคิดว่าตนเป็นแค่หมอนปักลายดอกไม้

เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจมาก

ที่เมืองหลวงแห่งนี้มีศูนย์ฝึกยุทธ์และหน่วยคุ้มกันภัยค่อนข้างเยอะ พรรคต่างๆ ในยุทธภพที่มีชื่อเสียงมักจะชอบมาตั้งสำนักอยู่ที่นี่ ประตูสูงเรือนกว้างใหญ่ไม่แพ้จวนของเหล่ากงโหวทั้งหลาย ไม่ต้องกังวลว่าจะข้ามเส้นกฎระเบียบที่ตั้งไว้ หันมามองด้านที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกลมปราณกลับมีน้อยมาก แม้แต่ราชครูก็ยังเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่ง

แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือบุคคลที่อยู่ในเรือนไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง ชายหญิงที่เดินเข้าออกๆ ล้วนเป็นคนบนวิถีวรยุทธ์ เป็นผู้ฝึกวิชาการต่อสู้ แต่กลับจงใจปิดบังตัวตน สวมชุดเรียบง่าย ไม่ค่อยชอบพูดคุยหัวเราะ มีครั้งหนึ่งเฉินผิงอันยังเคยเห็นยอดฝีมือที่วิถีวรยุทธ์อาจอยู่ในขอบเขตหกคนหนึ่ง ข้างกายมีหญิงสาวสวมหมวกคลุมหน้าจึงมองเห็นหน้าตาไม่ชัด ทว่ารูปร่างอ้อนแอ้น น่าจะเป็นสาวงามคนหนึ่ง

โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เริ่มใช้สายตาอีกแบบหนึ่งมองโลกใบนี้

มาถึงวัดซินเซียง ทุกวันนี้ผู้แสวงบุญที่มาวัดบางตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อายุมากหน่อย ดังนั้นพระและเณรในวัดจึงพากันหน้านิ่วคิ้วขมวด

การที่ช่วงนี้เฉินผิงอันมาเยือนบ่อยๆ สาเหตุหลักก็เพราะสัมผัสได้ว่าช่วงเวลาสุดท้ายของเจ้าอาวาสเฒ่ากำลังจะมาถึง

วันนี้ภิกษุเฒ่ารู้ว่าเฉินผิงอันจะมาจึงมารออยู่ตรงระเบียงทางเดินของตำหนักข้างแห่งหนึ่งนานแล้ว

เขาวางเบาะรองนั่งทรงกลมไว้สองใบ คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน

เห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ภิกษุเฒ่าจึงพูดยิ้มๆ เข้าประเด็นว่า “ในบรรดาเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นของวัดป๋ายเหอเคยมีร่างทองปรากฏขึ้นจริง ไม่ได้มีแต่คนหลอกลวงอย่างที่ภายนอกเล่าลือกัน อย่าได้ทุบตีประวัติศาสตร์นับพันปีของวัดป๋ายเหอให้แหลกสลายด้วยกระบองเดียว”

เคยเห็นสิ่งที่ดีงามมาแล้ว

แต่ก่อนหน้านี้ภิกษุเฒ่าเคยเห็นสิ่งที่เลวร้ายมาก่อน

ภิกษุเฒ่าพูดยิ้มๆ อีกว่า “เพียงแต่ว่าหลังจากที่อาตมาตายไป เดิมทีคิดจะทิ้งพระธาตุเอาไว้หลายก้อนหน่อย เพื่อเป็นการเพิ่มควันธูปให้แก่วัดแห่งนี้ แต่ตอนนี้ดูท่าคงยากแล้ว เกรงว่าคงต้องจงใจปิดบังเอาไว้สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง”

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “นี่ก็ถือเป็นผลกรรมของศาสนาพุทธด้วยหรือไม่?”

ภิกษุเฒ่าพยักหน้ารับ “ย่อมใช่อยู่แล้ว หากเอามาวางไว้ในเมืองแคว้นหนันเยวี่ยน วัดป๋ายเหอและวัดซินเซียงไม่เคยไปมาหาสู่กัน มองดูเหมือนผลกรรมเลือนราง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะหากเอาไปวางไว้ในพระธรรม ฟ้าดินกว้างใหญ่ล้วนมีเส้นใยเชื่อมโยงถึงกัน”

นี่เป็นครั้งแรกที่ภิกษุเฒ่าพูดคำว่า ‘พระธรรม’ ต่อหน้าเฉินผิงอัน

ภิกษุเฒ่าลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนพูดยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงระหว่างวัดทั้งสองแห่งก็มีผลกรรม เพียงแต่เบาบางเกินไป เล็ก…เกินไป อาตมาไม่มีความมั่นใจที่จะพูดมันออกมา คงต้องให้ประสกสัมผัสด้วยตัวเอง”

คนทั้งสองพูดคุยกัน คำพูดและการกระทำไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบไปเสียทุกอย่าง ก่อนหน้านี้ภิกษุเฒ่ามักจะถูกเณรน้อยขัดจังหวะบ่อยๆ หันไปคุยเรื่องจิปาถะยิบย่อยในวัดกับเณรน้อยแล้วลืมเฉินผิงอัน เฉินผิงอันเองก็มักจะเอาแผ่นไม้ไผ่มาสลักตัวอักษร หรือไม่ก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาอ่านโดยที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกเพิกเฉย

วันนี้เฉินผิงอันไม่ได้เอาหนังสือมาด้วย แค่พกแผ่นไม้ไผ่เล็กบางมาแผ่นหนึ่งและมีดแกะสลักเล็กๆ หนึ่งเล่ม

เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่ได้ใหม่แล้วลืมเก่า มีดแกะสลักจึงยังคงเป็นมีดเล่มที่เจ้าของร้านแถมให้ตอนที่ซื้อแผ่นหยก

วันนี้ภิกษุเฒ่าดูไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นมากนัก เรื่องที่เกี่ยวกับพระธรรมเขาแค่เอ่ยผ่านๆ เหมือนกบกระโดดบนผิวน้ำ แล้วก็ไม่พูดถึงอีก ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการพูดคุยเรื่อยเปื่อยเหมือนที่เคยทำ พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด จักรพรรดิ ราชา แม่ทัพ เสนาบดี พ่อค้า ทหารเดินเท้า เมธีร้อยสำนัก ล้วนพูดถึงอย่างละนิดอย่างละหน่อย เหมือนพูดเรื่องสัพเพเหระทั่วไป

เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป

ภิกษุเฒ่าถามยิ้มๆ “นักเขียนหรือขุนนางที่การกระทำชั่วช้า ชื่อเสียงฉาวโฉ่เนิ่นนานนับหมื่นปี จะสามารถเขียนตัวอักษรที่งดงาม เขียนบทกวีที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้”

“ปัญญาชนผู้มีชื่อเสียง แม่ทัพผู้โด่งดังที่มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ จะมีความเห็นแก่ตัวและข้อบกพร่องที่พวกเขาไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้หรือไม่?”

“มี”

ภิกษุเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ทุกเรื่องไม่ควรเดินไปบนเส้นทางที่สุดโต่ง เวลาที่ใช้เหตุผลกับคนอื่น กลัวการที่ ‘เหตุผลของข้ายึดครองความถูกต้องทั้งหมด’ มากที่สุด กลัวที่สุดว่าหากขัดแย้งกับใครก็จะมองไม่เห็นความดีของเขาอีก เหตุใดการชิงดีชิงเด่นกันของแต่ละพรรคในราชสำนัก หรือที่คนรุ่นหลังอาจมองว่าเป็นการชิงดีชิงเด่นระหว่างปัญญาชน ถึงได้ทิ้งหายนะไว้อย่างยาวนาน นั่นก็เป็นเพราะว่าเหล่านักปราชญ์และวิญญูชนทั้งหลายล้วนทำไม่ถูกในเรื่องนี้ไม่ต่างกัน”

ภิกษุเฒ่ากล่าวต่อ “แต่การแข่งขันในราชสำนัก หากเจ้าอ่อนแอ ยกเหตุผลยิ่งใหญ่มาพูด ก็อาจต้องตายอย่างอนาถ แบบนี้คงโทษพวกปัญญาชนที่เข้าไปเป็นขุนนางเหลานั้นไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงจะพูดได้ใช่ไหมว่า คำพูดที่อ้อมเป็นวงใหญ่นี้ของอาตมาล้วนเปล่าประโยชน์? แล้วทำไมยังต้องพูด?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งเคยพูดถึงหลักการคล้ายคลึงกันนี้กับข้า เขาสอนข้าว่าทุกเรื่องต้องคิดให้มาก ต่อให้คิดอ้อมไปเป็นวงใหญ่ วนกลับมาที่จุดเดิม แม้จะเปลืองแรงกายแรงใจ แต่หากมองในระยะยาวก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี”

ภิกษุเฒ่าพยักหน้ารับอย่างชื่นชม “อาจารย์ท่านนี้มีความรู้ยิ่งใหญ่”

เฉินผิงอันชี้ไปยังแผ่นไม้ไผ่ขนาดเล็กสีเขียวสดปลั่งแผ่นนั้น กล่าวเบาๆ ว่า “มีครั้งหนึ่งอาจารย์ผู้เฒ่าดื่มเหล้าจนเมามาย สายตาปรือปรอย มองดูเหมือนกำลังถามข้า แต่อันที่จริงน่าจะกำลังถามทุกคนกระมัง เขาพูดว่า ต้องอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ถึงกล้าพูดว่าโลกใบนี้ ‘ก็เป็นแบบนี้’ เคยพบเห็นคนมามากน้อยแค่ไหนถึงกล้าพูดว่าชายหญิงล้วน ‘เป็นเช่นนี้’? เจ้าเคยเห็นความสงบสุขและความยากลำบากมากับตาตัวเองมากน้อยเท่าไหร่ถึงกล้าสรุปว่าคนอื่นดีหรือเลว?”

ภิกษุเฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “อาจารย์ท่านนี้คงไม่ได้มีชีวิตที่ผ่อนคลายเป็นแน่”

เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่เขาคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ จึงถามอย่างใคร่รู้ “ลัทธิพุทธสนับสนุนเรื่อง ‘วางมีดลงก็กลายเป็นพุทธะได้ทันที’ จริงๆ หรือ?”

ภิกษุเฒ่ายิ้มบางๆ “ก่อนจะตอบ อาตมาขอถามก่อนเรื่องหนึ่ง ประสกรู้สึกใช่หรือไม่ว่าประโยคนี้น่าตกใจ แต่ก็ทั้งเป็นการบุกเบิกความคิดใหม่ ทว่าพอใคร่ครวญดูแล้วกลับรู้สึกว่าการเดินทางลัดไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง?”

เฉินผิงอันเกาหัว “ขนาดพระธรรมทั่วไปข้ายังไม่เคยอ่านมาก่อน ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่”

ภิกษุเฒ่าหัวเราะเสียงดัง “วางมีดลงก็กลายเป็นพุทธะได้ทันที คนบนโลกมองเห็นแค่ทางลัดที่น่าเหลือเชื่อ แต่ไม่รู้ว่าความลี้ลับแท้จริงนั้นอยู่ที่การเห็นแจ้งว่า ‘มีดอยู่ในมือข้า’ คือการ ‘รู้ถึงความชั่วร้าย’ บนโลกมีคนสารพัดรูปแบบ หลายคนกระทำความชั่วโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นความชั่ว หลายคนรู้ว่าเป็นความชั่วแต่ก็ยังกระทำ จะว่าไปแล้วในมือทุกคนล้วนมีมีดที่โชกเลือดอยู่เล่มหนึ่งทั้งนั้น แค่แตกต่างกันที่มันหนักหรือเบาเท่านั้น หากสามารถวางลงได้อย่างแท้จริง กลับตัวกลับใจเสียตั้งแต่นี้ไป นั่นก็ไม่ใช่การทำความดีอย่างหนึ่งหรอกหรือ?”

ภิกษุเฒ่าพูดเรื่องที่ห่างไกลไปอีก “วิธีการใช้ไม้กระบองตีหรือตวาดเสียงดังของนิกายฉาน (นิกายเซน) คนนอกยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องประหลาด แต่ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เพราะคนทั่วไปไม่เคยมองเห็นงานที่ยากลำบากก่อนการตีตวาดเพื่อให้บรรลุธรรม หรือเห็นแล้วแต่ไม่ยินดีทำก็เท่านั้น เป็นพุทธะยากหรือไม่? ต้องยากอยู่แล้ว การรู้พระธรรมคือความยากอย่างที่หนึ่ง การพิทักษ์ ปกป้องและถ่ายทอดพระธรรมก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่ว่า…”

อยู่ดีๆ ภิกษุเฒ่าก็หยุดพูด เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง “ไม่มี ‘แต่ว่า’ แล้ว ในเมื่ออาตมาคือคนที่แสวงหาพระพุทธ แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้ เหตุใดยังต้องยกหลักการห่างไกลขนาดนั้นมาพูดกับเจ้าด้วย?”

เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เชิญท่านพูดได้ตามสบาย ต่อให้หลักการห่างไกลแค่ไหน ยังไม่ต้องพูดว่าข้าจะไปหรือไม่ แต่การที่ข้าได้รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนก็ถือเป็นเรื่องดี”

ภิกษุเฒ่าโบกมือ “อาตมาต้องพักสักครู่ ดื่มชาให้ลำคอชุ่มชื้นสักหน่อย คอแห้งจนควันจะขึ้นแล้ว”

ภิกษุเฒ่าตะโกนเรียกหนึ่งคำ ในกุฏิแห่งหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกลมีสามเณรน้อยที่มองดูเหมือนกำลังก้มหน้าอ่านคัมภีร์ แต่แท้จริงแล้วกลับงีบหลับ เขาพลันลืมตาโพลง พอได้ยินคำพูดของภิกษุเฒ่าก็รีบไปยกชาสองถ้วยมาให้เจ้าอาวาสและแขก

ห่างออกไปไม่ไกลมีต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้า ใบเป็นพุ่มดกหนา เงาไม้ครึ้มร่มรื่น นกขมิ้นน้อยตัวหนึ่งก้มหน้าจิกอยู่บนกิ่งไม้

เฉินผิงอันดื่มชาเร็ว ภิกษุเฒ่าดื่มชาช้า

เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นถ้วยชาส่งให้เณรน้อย ภิกษุเฒ่าดื่มชายังไม่ทันถึงครึ่งถ้วย เฉินผิงอันก็ก้มหน้าหยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นนั้นขึ้นมา ปลายสองฝั่งซ้ายขวาต่างก็มีร่องรอยเส้นหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็น

เฉินผิงอันมองทั้งสองปลายฝั่ง

แผ่นไม้ไผ่เหมือนไม้บรรทัดขนาดเล็กอันหนึ่ง

ภิกษุเฒ่าดื่มชาหมดก็หันหน้าออกไปมอง แสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาโลกมนุษย์ ยากนักที่โลกจะสงบร่มเย็นได้ จึงพูดอย่างสะท้อนใจแบบไม่ประติดประต่อว่า

“ช่วงยุคธรรมปลาย คนในใต้หล้าประหนึ่งต้นหญ้าในอากาศแห้งแล้งที่ล้วนแห้งเหี่ยวไร้ความชุ่มชื่น”

“เหตุผล ยังต้องพูดถึง”

“พระธรรมคือเหตุผลของพระภิกษุสงฆ์ มารยาทพิธีการก็คือเหตุผลของศิษย์ลัทธิขงจื๊อ มรรคกถาคือเหตุผลของนักพรตเต๋า อันที่จริงล้วนไม่มีสิ่งใดเลวร้าย แล้วเหตุใดต้องยึดติดอยู่กับฝ่ายของตัวเอง หากถูกต้องก็หยิบมา เอามากลืนลงท้องฝ่ายของตัวเอง”

เส้นสายตาของเฉินผิงอันย้ายออกจากบนแผ่นไม้ไผ่ เขาเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”

ภิกษุเฒ่ามองไปยังลานวัดนอกราวระเบียง “โลกใบนี้ติดค้างคนดีอยู่ตลอดเวลา ถูกๆ ผิดๆ จะหายไปได้อย่างไร? เพียงแค่พวกเราไม่ยินดีใคร่ครวญให้ลึกซึ้งเท่านั้น ปากพูดว่าไม่ต้องพูดถึงก็ได้ หรืออาจถึงขั้นจงใจกลับดำเป็นขาว แต่ในใจย่อมต้องรู้ดี น่าเสียดายก็แต่บนโลกมีความจนใจอยู่มากมาย คนฉลาดมีมากขึ้นทุกขณะ คนที่เชี่ยวชาญเรื่องกลอุบายมีมากดุจดอกบัว แล้วก็มักจะชอบเย้ยหยันคนซื่อ ปฏิเสธความหวังดีที่บริสุทธิ์ใจ รังเกียจจิตใจที่ซื่อสัตย์ของคนอื่น”

“เฉินผิงอัน เจ้าปฏิบัติต่อโลกใบนี้อย่างไร โลกก็จะปฏิบัติต่อเจ้าแบบนั้น”

แล้วภิกษุเฒ่าก็พูดซ้ำอีกรอบอย่างเกินความจำเป็น “เจ้ามองมัน มันเองก็กำลังมองเจ้าอยู่”

เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่กลับไม่ได้คิดลึก

วันนี้ภิกษุเฒ่าพูดค่อนข้างเยอะ อีกทั้งเฉินผิงอันก็เป็นคนที่ยินดีจะใคร่ครวญอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงยังไม่อาจเดินตามทันภิกษุเฒ่าไปได้ไกลขนาดนั้น

จู่ๆ ภิกษุเฒ่าก็ยิ้มกว้าง “ประสกเฉิน เหตุผลในวันนี้ของอาตมากล่าวได้ดีหรือไม่?”

ในใจเฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาตอบด้วยรอยยิ้ม “ดีมากแล้ว”

ภิกษุเฒ่าถามยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเรื่อง ‘ก่อนหลัง’ ‘เล็กใหญ่’ ‘ดีเลว’ อาตมายังอยากจะฟังอีกสักครั้ง”

ครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดค่อนข้างจะฟังเข้าใจยาก แต่ในเมื่อเป็นเหตุผลและเป็นคำพูดที่มาจากใจจริง ยิ่งพูดก็มักจะยิ่งกระจ่างแจ้ง เหมือนกระจกบานหนึ่งที่ถูกเช็ดถูฝุ่นออกบ่อยๆ ที่จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ผิดถูกมีก่อนหลัง ควรจัดเรียงขั้นตอนให้ชัดเจนเสียก่อน ห้ามข้ามผ่านไปพูดเหตุผลที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้น

ผิดถูกมีแบ่งใหญ่เล็ก ต้องใช้ไม้บรรทัดหนึ่งอัน สองอันหรือมากกว่านั้นมาวัดความเล็กใหญ่ ไม้บรรทัดเหล่านี้จะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง วิธีการที่ดีงาม กฎของบ้าน กฎหมาย หลักมารยาทพิธีการ หรือหลักการคำนวณของสำนักคำนวณก็ล้วนยืมมาใช้ได้หมด กฎหมายอันเป็นบรรทัดฐาน คุณธรรมที่สูงส่ง ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละสถานที่ วิชาการคำนวณที่แม่นยำล้วนเกี่ยวพันด้วยทั้งสิ้น ไม่สามารถสรุปได้ด้วยมาตรฐานเดียว เมื่อตั้งใจศึกษาแล้วจะรู้ว่ายิบย่อยซับซ้อน เปลืองแรงกายแรงใจอย่างถึงที่สุด

หลังจากนั้นถึงตัดสินความดีความเลวในท้ายที่สุด

ดังนั้นโดยที่มองไม่เห็น ศึกตรีจตุที่ถกกันว่าสันดานคนดีหรือเลวจึงไม่ได้เป็นด่านอันตรายที่คนเรียนหนังสือไม่อาจข้ามผ่านอีกต่อไป เพราะนี่เป็นเรื่องที่พูดถึงในตอนท้าย ไม่ใช่เรื่องแรกที่ต้องตัดสินใจเมื่อเริ่มต้นเรียนหนังสือ

สุดท้ายคือคำว่า ‘ปฏิบัติ’

ให้ความรู้แก่สรรพชีวิต ถ่ายทอดพระธรรมแก่ใต้หล้าด้วยใจของพระโพธิสัตว์ แสวงหาความสงบด้วยการฝึกฝนตนเองอยู่เพียงลำพัง ทุกอย่างนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคน

สีหน้าของภิกษุเฒ่านิ่งสงบ ประนมสิบนิ้วฟังคำอธิบายของเฉินผิงอัน ก้มหน้ากล่าวว่า “อามิตตาพุทธ”

เฉินผิงอันมองไปยังนกขมิ้นน้อยที่เกาะอยู่บนชายคา มันกำลังมองประเมินเณรน้อยที่กำลังกวาดลานวัด

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา ภิกษุเฒ่ายิ้มบางๆ “วัดไม่อยู่ พระอยู่ พระไม่อยู่ คัมภีร์อยู่ คัมภีร์ไม่อยู่ พระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าไม่อยู่ พระธรรมยังอยู่ ต่อให้วัดซินเซียงจะไม่มีพระเหลือแม้แต่รูปเดียว ไม่เหลือคัมภีร์แม้แต่เล่มเดียว ขอแค่ใจคนยังมีพระธรรม วัดซินเซียงก็ยังคงอยู่”

ภิกษุเฒ่าหันหน้ามองไปลานวัดที่เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงแสกสากจากเณรน้อยที่กำลังกวาดวัดอีกครั้ง

เส้นสายตาของภิกษุเฒ่าพร่ามัว พึมพำว่า “ดูเหมือนอาตมาจะมองเห็นดอกบัวผลิบานในโลกมนุษย์แล้ว”

เฉินผิงอันเงียบงัน

ภิกษุเฒ่าก้มหน้าลง ริมฝีปากสั่นระริก “ไปเถิด”

สามเณรน้อยที่อยู่ห่างไปไกลมองมาทางระเบียง กอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอกพลางบ่นกับภิกษุเฒ่าว่า “อาจารย์ วันนี้แดดแรงยิ่งนัก รอให้เย็นลงหน่อยแล้วข้าค่อยมากวาดได้หรือไม่ ร้อนจะตายอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันหันหน้าไป ชี้ไปยังภิกษุเฒ่าที่เหมือนคนงีบหลับ จากนั้นก็ยื่นนิ้วมาแตะตรงริมฝีปาก ทำเสียงชู่ว์เบาๆ หนึ่งที

สามเณรน้อยรีบเงียบเสียงลง แล้วก็แอบรู้สึกชอบใจ ฮ่าๆ ข้าจะแอบอู้บ้างล่ะ ที่แท้อาจารย์ก็ชอบงีบหลับเหมือนกัน

เขาค่อยๆ ย่องกลับไปใต้ร่มของชายคาตำหนักใหญ่ นกขมิ้นตัวนั้นปลุกระดมความกล้าบินไปเกาะบนไหล่ของเณรน้อย เณรน้อยอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจงใจหันกลับไปทำหน้าผีใส่มัน ทำเอานกขมิ้นน้อยตกใจรีบกระพือปีกบินหนี เณรน้อยที่ยืนอึ้งอยู่คนเดียวลูบศีรษะที่เกลี้ยงเกลาด้วยความรู้สึกละอายใจเล็กน้อย

บนเบาะกลมกลางระเบียง ภิกษุเฒ่าที่มรณภาพไปแล้วยังคงนั่งอยู่ในท่าผ่อนคลายที่ทิ้งตัวลงมาเช่นนั้น

แต่กลับเหมือนช่วยยกจิตวิญญาณของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ให้สูงขึ้น

เฉินผิงอันอดไพล่นึกไปถึงประโยคหนึ่งของลู่ไถไม่ได้

คนตายก็คือการนอนหลับครั้งใหญ่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version