บทที่ 327 ในตรอกเล็ก
ตอนที่เฉินผิงอันตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงเวลาที่ดวงจันท์ลอยขึ้นเหนือศีรษะแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะตนพกทั้งดาบทั้งกระบี่ เจ้าของร้านจึงไม่กล้าไล่เขา ฝืนใจปล่อยให้จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่ในโถส้วมแต่ไม่ยอมขี้ผู้นี้อยู่ในร้านต่อไป เฉินผิงอันจึงมอบเงินให้เขาเพิ่ม ลาภก้อนใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เถ้าแก่ผู้เฒ่าย่อมต้องอารมณ์ดีมากอยู่แล้ว เฉินผิงอันเดินกลับไปทางตรอกจ้วงหยวนช้าๆ กิจการของหอโคมเขียวซบเซา เหล่าสาวงามที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำฟุบตัวอยู่บนราวระเบียงอย่างเกียจคร้าน เฉินผิงอันเงยหน้ามองแวบหนึ่งก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวเหล่านั้นประทินโฉมกันน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก แต่เมื่อเทียบกับการแต่งหน้าหนาๆ อย่างในอดีตแล้ว ดูเหมือนตอนนี้จะดูดีกว่า
ตลอดทางมีหญิงสาวมากมายที่อยู่บนหอส่งเสียงหยอกเย้าเกี้ยวพา และยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้ามาให้เฉินผิงอันโดยตรง แถมยังตะโกนเสียงดังว่า “คุณชายน้อยผู้หล่อเหลา ขึ้นมานั่งเล่นข้างบนหน่อยไหม พี่สาวจะเลี้ยงน้ำชาเจ้าเอง มานั่งบนตักพี่สาวนี่เป็นไง”
คนในหอโคมเขียวที่นางอยู่และหญิงคณิกาในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ช่วยกันผสมโรง คำพูดหยาบโลนมีมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย เฉินผิงอันหลบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่ยังหันกลับไปมองผ้าเช็ดหน้าที่ร่วงตกพื้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปหยิบขึ้นมา ม้วนเป็นก้อนโยนไปให้หญิงสาวคนนั้นเบาๆ พวกหญิงสาวบนหอโคมเขียวพากันเงียบเสียงลงก่อน จากนั้นก็หัวเราะครืนเสียงดัง
จิตใจของเฉินผิงอันนิ่งสนิทดุจน้ำนิ่ง เขาเดินกลับเข้าไปในตรอกเส้นนั้น ตรงหัวมุมมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่สวมชุดของชาวบ้านธรรมดายืนอยู่ อายุไม่มาก ยังไม่ถึงสามสิบปี แต่ลมหายใจกลับหนักแน่นมั่นคงและทอดยาว เมื่ออยู่ในใต้หล้าอย่างพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้น่าจะถือว่าเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่พรสวรรค์ดี และปูพื้นฐานมาดี แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับคนมีพรสวรรค์อย่างใบหน้ายิ้ม หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแล้วยังถือว่าห่างชั้นอยู่มาก
คนทั้งสองบอกชื่อแซ่แนะนำตัว พวกเขาคือสายลับในเมืองหลวงที่ราชครูจ้งชิวเป็นผู้ดูแล ชายหนุ่มมอบห่อสัมภาระสองห่อให้แก่เฉินผิงอัน ด้านในบรรจุตำราที่พวกเขาขโมยมาจากร้านขายหนังสือในบริเวณใกล้เคียง และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นตำราเกี่ยวกับการสร้างสะพานซึ่งเลือกมาจากที่ว่าการกรมโยธา ส่วนหญิงสาวส่งเอกสารลับฉบับหนึ่งให้เฉินผิงอัน เป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบัณฑิตแซ่เจี่ยงและสตรีอุ้มผีผา
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง ตอนที่ทั้งสองมอบของให้กับตน ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือมือทั้งคู่ของพวกเขาต่างก็ไม่มั่นคง
เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้มให้พวกเขา หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้วก็เดินไปทางบ้านของเฉาฉิงหล่าง
สังหารหม่าเซวียนจินกังชมพูกับสตรีอุ้มผีผาตายคาที่ หลังจากนั้นก็เกือบจะสังหารลู่ฝ่างจากยอดเขาเหนี่ยวคั่น เอาชนะราชครูจ้งชิว สุดท้ายปลิดชีพติงอิงเจ้าลัทธิไท่ซ่างของลัทธิมารได้
สำหรับสายลับแคว้นหนันเยวี่ยนที่ท่องไปทั่วราชสำนักและยุทธภพแล้ว ก็เหมือนตอนนั้นที่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวอยู่บนหัวกำแพงเมือง พอได้เห็นศึกสุดยอดระหว่างอวี๋เจินอี้และนักพรตหญิงหวงถิงแล้วก็อดพูดอย่างสะท้อนใจประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า ‘สมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ ’ ทุกวันนี้เฉินผิงอันที่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ยังเหนือกว่าติงอิงในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดด้วยซ้ำ
รอจนเฉินผิงอันเดินช้าๆ ไปถึงหน้าประตูบ้าน ผลักประตูเข้าไป หญิงสาวที่อายุน้อยถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ที่แท้นางก็กลั้นหายใจเอาไว้ตลอดเวลา นางพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ที่แท้เขายังหนุ่มอยู่มากจริงๆ”
บุรุษผู้นั้นรู้สึกจนใจเล็กน้อยจึงไม่ได้พูดอะไร
นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หน้าตาดีจริงๆ”
กล่าวจบ แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกเขินอาย
และเวลานี้เอง คนผู้นั้นพลันถอยออกมาจากลานบ้าน เอนตัวมาด้านหลัง ชูนิ้วโป้งให้หญิงสาว พูดพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “สายตาดี”
หญิงสาวคนนั้นอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ต่อให้เป็นชายหนุ่มที่พูดไม่เก่งก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
รอจนประตูปิดลงเบาๆ แล้ว หญิงสาวพลันยกมือปิดหน้า กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งที
บุรุษถอนหายใจ อันที่จริงเวลาปกตินางไม่เคยทำตัวโง่งมแบบนี้ เจ็ดปีที่ทำหน้าที่เป็นสายลับมา นางเชี่ยวชาญการอำพรางตัว อีกทั้งยังเป็นคนสุขุมและรอบคอบมาโดยตลอด สร้างคุณความดีให้แก่ราชสำนักหนันเยวี่ยนมากมาย แม้แต่ราชครูจ้งก็ยังโปรดปรานนาง ครั้งนี้คนทั้งสองทำหน้าที่รับผิดชอบจับตามองถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่แคว้นเป่ยจิ้น นี่มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจที่จ้งชิวมีต่อพวกเขา
ในลานบ้าน เฉาฉิงหล่างและเด็กหญิงที่ยังไม่รู้ชื่อแซ่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก คนวัยเดียวกันทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เด็กหญิงกำลังแทะเมล็ดแตง น่าจะขอมาจากเฉาฉิงหล่าง เปลือกเมล็ดแตงถูกนางโยนไปทั่วพื้น พอเห็นเฉินผิงอัน นางก็ลนลานเล็กน้อย พอเฉินผิงอันชำเลืองตามองพื้นบ้าน นางก็รีบเก็บเมล็ดแตงในมือใส่กระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เริ่มเก็บกวาดเมล็ดแตงพวกนั้น
หลังจากทักทายเฉาฉิงหล่างแล้ว เฉินผิงอันก็เข้าไปในห้อง จุดตะเกียงน้ำมัน เปิดห่อสัมภาระทั้งสองห่อออก หนังสือทั้งหมดที่ถูกเด็กหญิงขโมยไปขายไร้ซึ่งความเสียหาย เขาเอากลับมาวางเรียงลงบนโต๊ะอีกครั้ง ส่วนตำราที่ได้มาจากที่ว่าการกรมโยธาถูกวางไว้อีกด้าน ภูเขาหนังสือสองลูกเล็ก หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ประหนึ่งเทพทวารบาลที่เฝ้าพิทักษ์ประตู เฉินผิงอันเปิดจดหมายลับฉบับนั้นออก ด้านในบันทึกเรื่องราวในอดีตของทั้งบัณฑิตเจี่ยงและสตรีอุ้มผีผา
เฉินผิงอันพับจดหมายสอดใส่ไว้ในตำราเล่มหนึ่ง
เฉินผิงอันเริ่มทบทวนสถานการณ์บนกระดานหมากที่แปลกประหลาดนี้ซ้ำอีกรอบ
ครั้งนี้เข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัว แม้ว่ารอบด้านจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล
การต่อสู้กับจ้งชิวปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธ์ ไม่เพียงแต่ทำให้เขาฝ่าคอขวดขอบเขตสี่ไปได้สำเร็จ ตอนนั้นการประมือในครั้งที่สอง จ้งชิวยังยอมลดสถานะของตัวเอง เป็นฝ่ายช่วยป้อนหมัดให้กับเขา ช่วยทำให้ขอบเขตห้าของเขามั่นคง แม้ว่าจ้งชิวเองก็มีการพิจารณาเป็นของตัวเอง ด้วยคาดเดาเอาว่ามีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าติงอิงและอวี๋เจินอี้จะร่วมมือกันวางแผน จ้งชิวจึงไม่ยอมให้พวกเขาได้สมใจปรารถนา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จะเป็นด้านบุคลิกลักษณะ ศักยภาพ ด้านวรยุทธ์หรือสภาพจิตใจของจ้งชิวก็ล้วนทำให้เฉินผิงอันเคารพเลื่อมใสได้จากใจจริง
หลังจากนั้นก็ได้ต่อสู้กับติงอิงอย่างสาแก่ใจ อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุพลิกผัน เฉินผิงอันยังได้กุมกระบี่รับมือกับศัตรูเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง แล้วก็จริงดังคาด ผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องขัดเกลาร่างกายและจิตใจระหว่างเส้นความเป็นความตายจริงๆ ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าขอบเขตห้าของชาวยุทธ์ในใต้หล้าคนอื่นๆ เป็นเช่นไร แต่เขาคิดว่ารากฐานขอบเขตห้าของตนปูมาได้ไม่เลวเลย
นี่คือรากฐานการหยัดยืนของเขา ต่อให้เฉินผิงอันจะหลงใหลในทรัพย์สมบัติมากแค่ไหน แต่สำหรับเรื่องนี้ต่อให้เอาทองนับหมื่นมาแลก เขาก็ไม่ยอม
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้การเดินทางมายังพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนี้จะยังคงสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะไม่ได้ แต่ก็ไม่เสียแรงที่มา เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันหวังว่าตัวเองจะไปเสี่ยงดวงที่ซากปรักหักพังของสนามรบหรือศาลอริยะบู๊ เพื่อช่วงชิงให้ตัวเองได้เลื่อนสู่ขอบเขตห้า ผลลัพธ์ที่ได้ในเวลานี้กลับดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก
ทว่าการเดินทางที่สถานการณ์ราบรื่นมักจะมาพร้อมกับอันตรายที่ซ่อนเร้นเสมอ
ปัญหาอยู่ที่ตอนถูกจิตหยินร่างทองของติงอิงต่อยจนกระเด็นจากยอดเขากู่หนิว ร่วงเข้าไปในหลุมใหญ่นอกภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่ใต้ ‘บ่อสายฟ้า’ ปราณวิญญาณที่มากมหาศาลและโชคชะตาบู๊ที่กระจัดกระจายของพื้นที่มงคลดอกบัวถูกดึงมายังแถบภูเขากู่หนิว ประหนึ่งน้ำมหาสมุทรที่กรอกเข้ามาในร่างของเฉินผิงอันรวดเดียว แทรกซอนไปถึงจิตวิญญาณของเขา เฉินผิงอันยังพอจะสัมผัสได้ด้วยว่าบนทะเลสาบหัวใจของตัวเองเหมือนมีไอหมอกลอยล่อง วนเวียนไม่ยอมสลายไปไหน สายฟ้าตัดสลับกันประหนึ่งเจียวหลงและงูหลามที่ดำผุดดำว่ายในก้อนเมฆ อีกทั้งยังมีแสงกระบี่หลายเส้นแทรกอยู่ในกลุ่มไอหมอก เปล่งประกายวูบวาบไปมาคล้ายว่ากำลังใช้กระบี่สังหารเจียวหลง
โชคดีที่ปราณวิญญาณซึ่งขัดแย้งกับลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวถูกแยกตัวให้อยู่ห่างออกไป ยังไม่ได้ลุกฮือกันขึ้นมาต่อต้าน ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาล นับตั้งแต่เริ่มต้นผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็เดินกันไปบนทางสองเส้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงอยู่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ต้องสลายลมปราณในร่างออกไปให้หมด หล่อหลอมลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ประหนึ่งมังกรเพลิงที่ตรวจตราไปทั่วสี่ทิศ ส่วนก้าวแรกของผู้ฝึกลมปราณนั้นกลับเป็นการดึงเอาปราณวิญญาณของฟ้าดินมา ยิ่งมากยิ่งดี หลังจากนั้นก็ต้องขจัดสารปนเปื้อน เก็บไว้แต่แก่นที่สำคัญ บุกเบิกเส้นทาง สร้างช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งให้เป็นเหมือนเมืองเหมือนนคร จนกระทั่งกลายเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กในร่างของตัวเอง เหมือนทะเลสาบขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างแม่น้ำกว้าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่น้ำหลากหรือน้ำแห้งขอด ผู้ฝึกลมปราณก็สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับฟ้าดิน มีปราณวิญญาณให้ใช้ไม่ขาดตอน สุดท้ายสร้างห้องโอสถ สร้างโอสถทอง หลังจากนั้นก็เลี้ยงบำรุงจิตหยินและจิตหยางด้วยความอบอุ่น สุดท้ายจึงกลายเป็นขอบเขตเซียนดินของพื้นที่แถบหนึ่ง
สถานการณ์ในร่างของเฉินผิงอันตอนนี้ก็คือสองฝ่ายอย่างปราณแท้จริงที่บริสุทธ์กับปราณวิญญาณฟ้าดินกำลังคุมเชิงกัน เหมือนทหารของสองกองทัพที่ต่างฝ่ายต่างกำลังยุ่งอยู่กับการจัดขบวนรบ จึงพอจะรักษาสภาพการณ์ที่ว่าน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองเอาไว้ได้
เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ข้างโต๊ะขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ
การสร้างสะพานอมตะยากเย็นขนาดนี้เชียวหรือ ทำลายนั้นง่าย แต่สร้างขึ้นใหม่กลับยากมากจริงๆ ตนเกือบจะต้องมาตายอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ แค่คิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ เฉินผิงอันก็อดหวาดกลัวในภายหลังไม่ได้ ต่อให้เวลาหกสิบปีในพื้นที่มงคลดอกบัวอาจจะไม่เท่ากับหกสิบปีของใต้หล้าไพศาลเสมอไป แต่เขาต้องพลาดสัญญาสิบปีที่ให้ไว้กับแม่นางหนิงแน่นอน สิบปีให้หลัง พวกหลี่เป่าผิงหลี่ไหวจะโตแค่ไหนแล้ว ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้จะถูกคนรังแกหรือเปล่า? ยังมีกู้ช่านที่อยู่ทะเลสาบเจี่ยนหูอีกเล่า? หลิวเสี้ยนหยางจะสวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิด กลับไปหาตนที่เมืองเล็ก แต่ไม่เจอตนหรือเปล่า? เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วและบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงของเขตการปกครองหลงเฉวียน แล้วยังมีร้านในตรอกฉีหลงอีกล่ะ จะทำอย่างไร?
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เพียงไม่นานก็มีเสียงเคาะดังมาจากตรงประตู เด็กหญิงร่างผอมแห้งวิ่งมายังห้องด้านข้างของเฉินผิงอันเหมือนจะมาเอาผลงาน ขณะที่กำลังจะบอกเตือนเฉินผิงอันว่ามีแขกมาเยือน ประตูบ้านก็เปิดออกแล้ว เฉินผิงอันเห็นว่าสายลับหญิงของแคว้นหนันเยวี่ยนยืนอยู่นอกประตู สองมือถือประคองกล่องยาวใบหนึ่งมาด้วย เฉินผิงอันเดินเข้าไปหา นางก็อธิบายเบาๆ ว่า “นี่คือของที่เหลืออยู่ของสตรีผีผา ราชครูเพิ่งจะสั่งให้คนเอามา แล้วบอกให้ข้านำมามอบให้เฉินเซียนซืออีกที”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยอะไร นางที่หน้าแดงก่ำก็หนีไปอย่างลนลาน
เฉาฉิงหล่างที่เห็นภาพนี้แค่รู้สึกประหลาดใจ แต่เด็กหญิงผอมแห้งกลับกลอกลูกตาไปมา ทำท่าครุ่นคิด
เฉินผิงอันเอาผีผาชิ้นนั้นไปเก็บไว้ในห้อง เฉาฉิงหล่างกลับเข้าห้องตัวเอง จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำคืน เด็กหญิงนั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่บนม้านั่งตัวเล็กต่อ คราวนี้นางเป็นเด็กดีแล้ว ไม่กล้าโยนเปลือกเมล็ดแตงลงบนพื้นส่งเดชอีก แต่เอามากองรวมกันไว้ข้างเท้า
เฉินผิงอันเดินมาทางม้านั่ง เห็นว่าเฉาฉิงหล่างทิ้งพัดใบลานเอาไว้บนม้านั่งก็หยิบขึ้นมาเบาๆ พอนั่งลงแล้วจึงพูดกับเด็กหญิงว่า “เจ้ากลับบ้านไปได้แล้ว”
นางแทะเมล็ดแตง กะพริบตาปริบๆ ส่ายหน้าพูดว่า “บ้าน? ข้าไม่มีบ้านหรอก ข้าเป็นขอทานน้อยคนหนึ่ง ไหนเลยจะมีบ้าน ในกลุ่มขอทานมีคนชั่วอยู่เยอะมาก พวกเขามักจะตีข้าเป็นประจำ ข้าอายุน้อยเกินไป กินข้าวไม่อิ่ม เรี่ยวแรงก็น้อย เอาชนะพวกเขาไม่ได้อยู่แล้ว สถานที่ดีๆ ในเมืองหลวงล้วนถูกพวกเขายึดครองไปหมด ข้าแข่งกับพวกเขาไม่ไหว ได้แต่หาสถานที่พักพิงไปเรื่อย ยกตัวอย่างเช่นใต้สะพาน หรือไม่ก็บนสิงโตหินของบ้านคนมีเงิน”
เฉินผิงอันถาม “พ่อแม่เจ้าล่ะ?”
เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่กำลังแทะเมล็ดแตงตอบด้วยรอยยิ้ม “ตายไปตั้งนานแล้ว ข้าไม่ใช่คนในเมืองหลวง บ้านข้าอยู่ไกลจากที่นี่ไปตั้งหลายพันลี้เชียวนะ ที่บ้านเกิดมีโรคระบาด ตอนนั้นข้ายังเล็ก จึงหนีภัยพิบัติมาพร้อมกับพ่อแม่ แม่ข้าตายไประหว่างทาง พ่อพาข้ามาถึงที่นี่ พวกขุนนางในเมืองหลวงนิสัยดีไม่น้อย พวกเขาตั้งเพิงแจกโจ๊กให้คนจนนอกเมือง พ่อข้าได้กินโจ๊กไปถ้วยใหญ่ก่อนตาย”
เฉินผิงอันถามอีก “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”
นางแทะเมล็ดแตงเสร็จก็ยื่นฝ่ามือออกมาสองข้าง จากนั้นก็งอนิ้วก้อยข้างหนึ่งแล้วส่ายมือทั้งสองเบาๆ “เก้าขวบแล้ว”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก
นางหัวเราะฮ่าๆ สองสามที “ข้าไม่เหมือนเด็กอายุเก้าขวบ ใช่ไหมล่ะ? ช่วยไม่ได้ ไม่มีกิน ตัวก็ไม่สูง เจ้าเห็นคนที่เอาตุ๊กตาหิมะมามอบให้ข้าคราวก่อนไหม นางเพิ่งอายุหกขวบกว่าเท่านั้น แต่กลับตัวสูงกว่าข้าเล็กน้อย นักปราชญ์น้อยของบ้านหลังนี้ เฉาฉิงหล่างผู้นั้นก็อายุน้อยกว่าข้าเหมือนกัน”
เฉินผิงอันโบกพัดใบลานเบาๆ ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่สะทกสะท้าน เย็นชาไร้น้ำใจอย่างยิ่ง
อันที่จริงเด็กหญิงลอบมองประเมินสีหน้าและสายตาของเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ในใจนางก็นินทาไม่หยุด คนมีเงินไม่มีใครเป็นคนดีจริงๆ ด้วย! พวกเขาไม่เคยสนใจความเป็นความตายของคนอื่น ทั้งๆ ที่เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจมาก เงินที่ลอดออกมาจากร่องนิ้วของพวกเขามากพอให้นางใช้ชีวิตดีๆ ได้หลายวัน แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้
นางเก้าขวบแล้ว แต่กลับตัวเล็กผอมแกร็นเหมือนเด็กห้าหกขวบ การที่เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเพราะปีนั้นเขาเองก็มีเคยมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งออกจากตรอกหนีผิงและเมืองเล็กไปเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกรของผู้เฒ่าเหยา ส่วนสูงถึงได้เริ่มเพิ่มขึ้น ก่อนหน้านั้นเฉินผิงอันตัวเตี้ยกว่าคนวัยเดียวกันอยู่ครึ่งศีรษะมาโดยตลอด
วันนี้เฉินผิงอันไม่ได้ปลดชือซินและหยุดหิมะลงจากเอว ดังนั้นต่อให้เขาจะนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ ก็ยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี
นี่ต่างหากที่เป็นสาเหตุให้คืนนี้เด็กหญิงทำตัวว่าง่ายเป็นพิเศษ
โบกพัดใบลานเบาๆ ลมเย็นโชยมาเป็นระลอก เฉินผิงอันถามว่า “หนังสือพวกนั้นที่เจ้าขโมยไป ขายได้เงินเท่าไหร่?”
นางยู่หน้า อยากจะบีบน้ำตา แต่กลับทำไม่ได้ ได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น พูดด้วยเสียงสะอื้นเหมือนคนได้รับความไม่เป็นธรรม “ข้าไม่ได้ขโมยจริงๆ ข้าสาบานได้ หากข้าโกหก ขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี!”
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “หากเจ้าโกหก เป็นใครที่จะถูกฟ้าผ่าไม่ได้ตายดี? ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน”
นางหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย หัวเราะแห้งๆ พูดว่า “ย่อมต้องเป็นข้าอยู่แล้ว ยังจะเป็นใครได้อีก?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นใคร? ชื่อแซ่อะไร?”
เด็กหญิงค้อมตัวก้มหน้าลงต่ำ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเปลือกเมล็ดแตงโมเหล่านั้น “มีแซ่ แต่ว่าไม่มีชื่อ พ่อแม่ของข้าด่วนจากไป ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อให้ข้า”
กล่าวมาถึงตรงนี้นางก็เงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มเจิดจ้า “แต่พ่อเคยบอกกับข้าว่า บรรพบุรุษของตระกูลเรามีเงินเยอะมาก เคยมีคนที่ได้เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โตสุดๆ ดูแลคนหลายพันคนเลยล่ะ”
เฉินผิงอันหยุดโบกพัด แต่หันมาแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าแทน “คิดถึงพ่อแม่ไหม?”
นางหลุดปากตอบมาว่า “จะคิดถึงพวกเขาไปทำไม หน้าตาพวกเขาเป็นยังไงก็จำไม่ได้แล้ว”
อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าพูดแบบนี้จะไม่ถูกใจเฉินผิงอัน นางจึงรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “อันที่จริงข้าก็คิดถึงมาก ข้าถึงได้ฝันถึงพวกเขาบ่อยๆ ยังไงล่ะ น่าเสียดายที่ยังคงมองเห็นหน้าตาของพวกเขาไม่ชัด ทุกครั้งที่ฝันเห็นพวกเขา เวลาข้าตื่นมาตอนเช้า น้ำตาไหลอาบแก้มทุกที เจ็บปวดใจมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองนาง
เด็กหญิงชูฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง “ข้าสาบาน!”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่กลัวสวรรค์จริงๆ หรือ?”
เด็กหญิงเริ่มโมโห แต่ไม่กล้าเถียงเจ้าหมอนี่ รีบก้มหน้าลง ได้แต่พูดงึมงำ “สวรรค์กะผายลมอะไรล่ะ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน วางพัดลง เดินออกไปนอกบ้าน มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหัวเลี้ยวของตรอก
คนผู้นั้นสวมกวานดอกบัวสีเงิน มีโฉมหน้าและส่วนสูงเป็นเด็ก สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้เฉียงๆ
เฉินผิงอันเดินไปถึงมุมนั้น แต่คนผู้นั้นกลับถอยไปอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม ถือเป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มาเพื่อท้าทาย แต่มาเพราะมีเรื่องอยากปรึกษาหารือ
ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อคนผู้นี้ไม่ถือว่าดีนัก
อวี๋เจินอี้ เจ้าประมุขพรรคหูซาน ผู้นำฝ่ายธรรมะที่แอบสมคบคิดกับติงอิงอย่างลับๆ บุคคลอันดับสองในใต้หล้าที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน
อวี๋เจินอี้ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าย้อนกลับมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในครั้งนี้ หนึ่งเพราะเรื่องส่วนรวม และอีกหนึ่งเพราะเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวมก็คืออยากปรึกษากับจ้งชิว ให้เขามอบตำรารวบรวมแผนที่ห้าขุนเขาเล่มนั้นมาให้ ข้าและพรรคหูซานสามารถย้ายเข้ามาในแคว้นหนันเยวี่ยน อีกทั้งจะไม่ช่วงชิงตำแหน่งราชครูกับจ้งชิว ส่วนเรื่องส่วนตัวคืออยากจะถามเจ้าว่า ในตัวเจ้ามีเงินของเทพเซียนที่เจ๋อเซียนใช้กันอย่างเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยหรือเงินฝนธัญพืชบ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็ได้ทั้งนั้น ข้ายินดีเอาของมาแลกเปลี่ยนกับเจ้า ขอแค่ของสิ่งนั้นมีอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าก็สามารถช่วยเจ้าหามาได้”
เฉินผิงอันถามกลับ “หากข้าต้องการจริงๆ ข้าจะหาเองไม่ได้งั้นรึ?”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “เหตุใดเจ้าต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยเล่า ถึงอย่างไรข้าก็คุ้นเคยกับราชสำนักและยุทธภพของสี่แคว้นในพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่าเจ้า สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”
การมารวมตัวกันของปราณวิญญาณในแถบภูเขากู่หนิวเป็นเพราะนักพรตเฒ่าใช้วิชาอภินิหารค้ำฟ้าย้ายปราณวิญญาณทั้งหมดในพื้นที่มงคลดอกบัวมา นี่ไม่ใช่สภาพการณ์ที่ปกติ เรียกได้ว่าร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง แต่เงินเทพเซียนสามชนิดของเจ๋อเซียนกลับเป็นรูปธรรมของปราณวิญญาณฟ้าดิน อวี๋เจินอี้ที่มีจิตใจมุ่งมั่นต่อการพิสูจน์ความเป็นอมตะรีบร้อนใช้ของสิ่งนี้ อีกทั้งยังมีแค่เขาที่สามารถให้ราคาได้ดีที่สุด
อวี๋เจินอี้ชี้ไปยังกระบี่บินแก้วที่สะพายอยู่ด้านหลัง “เฉินผิงอัน นอกจากกระบี่เล่มนี้ที่สามารถนำมาแลกกับเงินเทพเซียนของเจ้าได้แล้ว ข้ายังสามารถช่วยเจ้ารวบรวมวัตถุที่เจ๋อเซียนทิ้งไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัว ถึงขั้นที่ว่าสามารถช่วงชิงสมบัติอาคมที่พวกถังเถี่ยอี้ ภิกษุอวิ๋นเพิ่งได้มาใหม่มาให้เจ้าได้ด้วย อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว สามลัทธิมารของติงอิงหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของยุทธภพอย่างหอจิ้งซินของถงชิงชิงล้วนเก็บวิชาลับในการเรียนวรยุทธ์ไว้เป็นจำนวนมาก ไม่แน่ว่าในบรรดานี้อาจมีของที่เจ้าถูกใจ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเข้าเมืองมาครั้งนี้ต้องมาหาข้าก่อนแน่นอน ข้ามั่นใจว่าเจ้าอวี๋เจินอี้คาดหวังให้การแลกเปลี่ยนครั้งนี้สำเร็จจริงๆ แต่เจ้าก็คิดจะอาศัยเรื่องนี้กำราบราชครูจ้งด้วยกระมัง? หากข้ายอมรับปาก ราชครูจ้งและแคว้นหนันเยวี่ยนก็จะถูกกดดัน อีกอย่างตำราลับวิถีวรยุทธ์ที่เจ้าบอกว่าจะรวบรวมมาให้ข้าด้วยตัวเอง ก็คงไม่พ้นใช้ชื่อเสียงอันดับหนึ่งในใต้หล้าและอันดับสองในใต้หล้ากดหัวคนทั้งยุทธภพ บีบพวกเขาให้ยอมปล่อยเจ้าไปค้นหาตำราวิชาลับของเจ๋อเซียนมาได้ตามใจชอบสินะ? ไม่อย่างนั้นเจ้าอวี๋เจินอี้ตัวคนเดียว ต่อให้ศักยภาพจะสูงแค่ไหนก็คงไม่กล้าทำเรื่องมิชอบโดยไม่สนใจคนใต้หล้า เพราะถึงอย่างไรทั้งจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์และติงอิงเจ้าลัทธิมารก็ล้วนเป็นบทเรียนให้เห็นมาก่อน”
อวี๋เจินอี้ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้ายอมรับ “แต่เจ้าก็จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้า ปล่อยให้ข้าเป็นคนชั่วอยู่คนเดียวก็พอ”
เฉินผิงอันชักดาบแคบหยุดหิมะออกมา
กระบี่บินแก้วด้านหลังอวี๋เจินอี้สั่นสะท้านส่งเสียงดังหวึ่งๆ เตรียมจะออกจากฝักเช่นกัน
สีหน้าของเขามืดทะมึน นึกไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะไร้เหตุผลขนาดนี้
แต่เฉินผิงอันกลับใช้ปลายดาบจิ้มลงบนพื้นจนเกิดรูเล็กๆ สองรู จากนั้นก็วาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งระหว่างรูทั้งสอง หลังจากเก็บดาบเข้าฝักแล้วก็ถามว่า “ความตั้งใจเดิมนั้นดี ผลลัพธ์ที่เจ้าคาดหวังก็ดี แต่นี่ใช่เหตุผลที่เจ้าควรทำอะไรโดยไม่เลือกวิธีการหรือ?”
อวี๋เจินอี้ชำเลืองตามองเส้นโค้งใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอัน หลังถอนสายตากลับมาแล้วก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ผู้ที่ปรารถนาให้เรื่องใหญ่สำเร็จ ย่อมไม่สนใจรายละเอียดเล็กน้อย คำว่า ‘วันนี้ผิดพลาด วันหน้าย่อมทำสำเร็จ’ มีการแบ่งเล็กใหญ่ อีกทั้งยังแตกต่างกันอย่างมาก ข้าอวี๋เจินอี้ถามใจแล้วไม่ละอาย เหตุใดจะไม่ลองทำดูเล่า? ระหว่างนี้คนที่อยู่บนอันดับรายชื่อตายไปกี่คน กี่สิบคน? นับเป็นอะไรได้? เจ้ารู้หรือไม่ ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าแห่งนี้มีคนกี่หมื่นคนที่ต้องตายไปอย่างอยุติธรรมเพราะเจ๋อเซียน? ไม่พูดถึงการรบที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ พูดถึงแค่คนสิบคนบนรายชื่อที่เจ้าเคยพบเจอมาแล้ว อย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์นั่น เขาทำร้ายคนไปกี่มากน้อย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าอ่านหนังสือมามากมาย ไม่กล้าพูดว่ารู้ทุกเรื่อง แต่ก็รู้มาไม่น้อย ลำพังแค่สงครามในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพราะเจ๋อเซียน ตอนนี้ข้าสามารถบอกได้ว่ามีมากถึงหกสิบกว่าครั้ง”
อวี๋เจินอี้ไม่พูดอะไรอีก
ปณิธานต่างมิอาจร่วมทาง
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวนั่งยอง ใช้นิ้วขีดเส้นเพิ่มอีกสองเส้น เส้นหนึ่งตรง อีกเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างเส้นตรงและเส้นโค้ง แต่มีระดับความโค้งน้อยกว่า
หลังจากที่ลุกขึ้นยืนแล้ว เฉินผิงอันก็กล่าวว่า “ข้าจะไม่เรียกร้องให้เจ้าอวี๋เจินอี้ทำตัวเป็นอริยะผู้มีคุณธรรม และข้าก็ไม่มีความสามารถเช่นนั้น ตอนนี้ไม่อาจบอกได้ว่าเจ้าทำผิด หากโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไป ข้าไม่มีทางแลกเปลี่ยนกับเจ้า เงินเทพเซียน ข้ามี แถมยังมีไม่น้อย แต่จะไม่ขายให้เจ้าแม้แต่เหรียญเดียว”
อวี๋เจินอี้หรี่ตาลง “อ้อ?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “ทำไม ไม่สบอารมณ์แล้วรึ? ดีมาก เพราะตอนนี้ข้าอารมณ์ดีมาก”
อวี๋เจินอี้พลันคลี่ยิ้ม “หวังว่าวันหน้าพวกเราจะได้พบกันใหม่”
กระบี่บินแก้วพลันพุ่งออกจากฝัก มาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา อวี๋เจินอี้เหยียบบนกระบี่ เตรียมจะบังคับลมบินทะยานออกไปจากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้
ส่วนจ้งชิว ไม่ต้องไปหาแล้ว ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันเปิดโปงเขาก่อนหน้านี้ มีเพียงเฉินผิงอันยอมพยักหน้าตอบรับเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสโน้มน้าวให้จ้งชิวยอมเชื่อได้
กระบี่บินใต้ฝ่าเท้าของอวี๋เจินอี้เพิ่งจะบินขึ้นไปได้หนึ่งจั้งก็ได้ยินคนผู้นั้นพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าฟักเตี้ย อย่าได้เจอกันอีกเลยจะดีกว่า”
ปราณสังหารของอวี๋เจินอี้พลันล้นทะลักออกมารอบด้าน เขาหันปลายกระบี่กลับมา จ้องเจ๋อเซียนหนุ่มที่พูดจาไม่เกรงใจด้วยสายตาเย็นชา
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “เจ้าอวี๋เจินอี้ถูกคนด่าว่าฟักเตี้ยคำเดียวก็รู้สึกว่าได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงแล้วรึ? ฝึกมรรคกถา เป็นเทพเซียน คิดว่าร้ายกาจนักหรือไง?”
มือสองข้างของเฉินผิงอันวางลงบนด้ามกระบี่ชือซินและด้ามดาบหยุดหิมะแล้ว
อวี๋เจินอี้แค่นเสียงเย็นหนึ่งที บังคับกระบี่ทะยานขึ้นสูง กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่แหวกอากาศออกไป
เฉินผิงอันหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตรอก เห็นว่ามีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมา พอเห็นเขาเดินกลับมาก็รีบหันหัววิ่งหนีไป
เด็กหญิงวิ่งพลางรู้สึกเสียดายไปด้วย หากคนทั้งสองตีกันจนตายไปข้าง แบบนั้นคงจะดี
เฉินผิงอันกลับมาถึงบ้าน ปิดประตูใหญ่ ตรงประตูห้องครัวเด็กหญิงนั่งบนม้านั่งศีรษะเอียงกะเท่เร่ แกล้งทำเป็นหลับ ส่วนเฉาฉิงหล่างดับไฟนอนแล้ว เฉินผิงอันเข้าไปในห้อง ปลดดาบและกระบี่ลง เริ่มเปิดหนังสืออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างสะพาน
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น ตลอดทั้งเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นเช่นนี้ และดูเหมือนว่าตลอดทั้งใต้หล้าก็ไม่ต่างกัน ฤดูกาลเวียนเปลี่ยนจากช่วงร้อนจัดไปสู่ช่วงสุดท้ายของหน้าร้อน ท่ามกลางเสียงพลิกเปิดหน้าหนังสือของเฉินผิงอัน ต้นฤดูใบไม้ร่วงก็ค่อยๆ คืบคลานมาถึง
นักพรตเฒ่าไม่มาหาเขา เฉินผิงอันก็ได้แต่รออย่างเดียว
ถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเป็นบ้านเกิดเคยเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือแคว้นต้าหลี
พื้นที่มงคลหวงเหลียงซึ่งพังพินาศไม่เหลือสภาพดีของภูเขาห้อยหัว ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะหาทางเข้าเจอ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพื้นที่มงคลดอกบัวคืออะไร และอยู่ตรงไหนของใบถงทวีป
โรงเรียนที่อยู่ใกล้กับตรอกยังคงไม่เปิดสอน
เด็กหญิงผอมแห้งทำหน้าหนาดึงดันอยู่ที่นี่ต่อ แต่นางกลับเรียนรู้ที่จะไปตักน้ำหรือเก็บกวาดบ้านบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังแอบอู้ลดทอนคุณภาพงานอยู่ก็ตาม
โดยทั่วไปแล้ว หลังจากเริ่มฤดูใบไม้ร่วง ครอบครัวชาวบ้านจะต้องรอคอยให้ถึงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่ต่างก็นับนิ้วรอคอยว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา กินขนมไหว้พระจันทร์ มองดวงจันทร์กลมโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าพลางพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข
เฉินผิงอันที่นั่งตากลมอยู่ในลานบ้านคืนนี้พลันค้นพบว่า ตัวเอง เฉาฉิงหล่างและเด็กหญิงคล้ายจะไม่รอคอยเทศกาลไหว้พระจันทร์สักเท่าไหร่
แต่ว่าเวลาช่วงที่ผ่านมานี้ เฉาฉิงหล่างมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นเยอะมาก บางครั้งเขาก็รำคาญเด็กหญิงที่ปากร้ายเหมือนยาพิษคนนั้นมากจริงๆ แต่พอความรำคาญผ่านพ้นไป ควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น เขาไม่เคยจดจำความแค้น มีบางครั้งที่เถียงกับนางสองสามคำ ทว่าเฉาฉิงหล่างหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้ มีครั้งหนึ่งเขาถูกด่าจนตาแดงก่ำ โมโหจนริมฝีปากสั่นระริก ทว่าคืนนั้นพอนางมาขอเมล็ดแตงจากเขา เฉาฉิงหล่างก็ยังคงเอาออกมาให้นางเงียบๆ บอกว่าเหลือแค่นี้แล้ว นางบอกว่าหมดแล้วก็รีบไปซื้อมาใหม่สิ โตขนาดนี้แล้วยังจะต้องให้ข้าสอนเจ้าซื้อของอีกหรือไง? นั่นทำให้เฉาฉิงหล่างอัดอั้นขุ่นเคืองอยู่เป็นครึ่งๆ วัน ไม่ยอมพูดกับนางตลอดทั้งคืน เด็กหญิงหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ เอาแต่แทะเมล็ดแตงของตัวเองต่อไป เวลาพูดคุยกับเขาก็ไม่สนว่าเขาจะตอบกลับหรือไม่ นางแค่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้น เฉาฉิงหล่างกลอกตามองสูง สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงกลับเข้าห้องไปอ่านหนังสือ ก่อนจะไปยังปลุกความกล้าหันกลับมาถลึงตามองหนึ่งที แต่พอนางถลึงตากลับ ทำท่าว่าจะลุกขึ้นคว้าม้านั่งมาตีคน ก็ทำเอาเขาตกใจจนรีบวิ่งเข้าห้องปิดประตู
พอฟุบตัวอยู่ตรงหน้าต่างแล้วเห็นว่าเฉินผิงอันชำเลืองตามองเด็กนิสัยไม่ดีคนนั้นครั้งเดียว นางก็รีบนั่งตัวตรง อธิบายว่าข้าแค่ล้อเล่นกับเฉาฉิงหล่าง พวกเราสนิทกันจะตายไป
เฉาฉิงหล่างก็จะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วเริ่มจุดตะเกียงอ่านหนังสือ
นี่ก็เป็นสาเหตุแท้จริงที่เฉินผิงอันไม่ได้ไล่เด็กหญิงไป
เช้าตรู่วันหนึ่ง จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาปรอยๆ เด็กหญิงหิ้วน้ำมาครึ่งถังซึ่งไม่รู้ว่าเป็นน้ำที่ไปตักมาจากบ่อหรือน้ำฝนกันแน่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจง พอกลับมาถึงบ้านก็บอกกับเฉินผิงอันว่าโรงเรียนเปิดแล้ว
วันนี้เฉินผิงอันถือร่มกระดาษน้ำมันเดินไปโรงเรียนเป็นเพื่อนเฉาฉิงหล่าง
คนทั้งสองเดินอยู่ในตรอกเล็ก
เด็กหญิงผอมแห้งที่เดิมทีหลบฝนอยู่ใต้ชายคาวิ่งเหยาะๆ ไปถึงหน้าประตู นางเห็นว่าร่มที่เฉินผิงอันถือเอียงไปทางเฉาฉิงหล่าง ดูเหมือนว่าคนทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เฉาฉิงหล่างพูดค่อนข้างเยอะ เฉินผิงอันก็ยิ้มบางๆ มองเฉาฉิงหล่าง
นางยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูนานมาก