บทที่ 326 ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม
เฉินผิงอันเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้จริง เขาแสร้งทำเป็นแกล้งโง่เหมือนแม่ทัพเฒ่าลวี่เซียว ทำเป็นไม่ได้ยินน้ำเสียงเหน็บแนมในคำพูดของนักพรตเฒ่า รอจนเฉินผิงอันดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งอึก ในลานบ้านก็ไม่เห็นเงาของนักพรตเฒ่าอีก
นักพรตเฒ่ามักจะชอบปรากฎตัวและหายตัวไปอย่างลึกลับเสมอ เฉินผิงอันเองก็จนใจมากเหมือนกัน
ฟ้าเริ่มสว่างน้อยๆ เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่นั่งพิงประตูห้องครัวตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าคนมีเงินที่สวมชุดขาวผู้นั้นกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน เขาหลับตาเหมือนคนตาบอด ฝ่ามือข้างหนึ่งแบออก หงายฝ่ามือขึ้นด้านบน วางไว้ประมาณหน้าท้อง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าอก เท้าที่ก้าวเดินออกไปไม่ยาวนัก อีกทั้งยังเดินช้ามาก
คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะใช้หมัดต่อยไปที่หัวใจดีหรือไม่ นางรอคอยอย่างเบื่อหน่าย รู้สึกว่าเขาน่าจะปล่อยหมัดต่อยไปจริงๆ
หากไอ้หมอนี่ตาบอดจริงๆ ก็ดีน่ะสิ แล้วหากต่อยหมัดทะลุหน้าอกตัวเองดังกร๊อบก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
พอคิดมาถึงตรงนี้ เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา แต่กลัวว่าเขาจะมองออกจึงรีบตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นหาว
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น หยุดทำท่าประหลาดนั้น นั่นคือท่าที่เขาเลียนแบบมาจากติงอิง การที่วันนี้ลองทำตามก็เพราะรู้สึกว่าวิชาสายฟ้าของนักพรตเฒ่าตาบอดที่พาลูกศิษย์สองคนมาเจอกับผีสาวสวมชุดแต่งงานจำเป็นต้องใช้หมัดทุบตีลงบนช่องโพรงแรงๆ
ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงกับติงอิง
เฉินผิงอันไม่ได้มองไปยังเด็กหญิง แล้วก็ไม่ได้หยุดเดิน เขายังคงเอาปณิธานหมัดของทั้งร่างจ่อมจมอยู่ในท่าหมัดใหญ่ขั้นสูงสุดที่จ้งชิวบรรลุมา แต่พูดว่า “เจ้าไปดูที่โรงเรียนของเฉาฉิงหล่างสิว่าเปิดหรือยัง หากอาจารย์ยังไม่กลับมาสอนก็ถามพวกเพื่อนบ้านแถวนั้นว่าเมื่อไหร่ถึงจะเปิดเรียน”
เด็กหญิงถามต่อรอง “กินข้าวเช้าก่อนค่อยไปได้ไหม ข้าหิว เดินไม่ไหวหรอก”
เฉินผิงอันพูดเสียงเรียบ “หลังกลับมา เติมน้ำใส่ถังน้ำในห้องครัวให้เต็มก็จะมีข้าวกิน”
เด็กหญิงจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันนิ่ง อีกฝ่ายดูไม่เหมือนล้อเล่นจึงร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วแสร้งลุกขึ้นยืนโงนเงน เดินแนบติดผนังอ้อมผ่านเฉินผิงอันไป จนกระทั่งเดินออกจากบ้านและออกจากตรอกแล้วก็ไปนั่งยองอยู่ตรงหัวเลี้ยว นั่งอยู่นานถึงได้วิ่งตะบึงกลับไปที่หน้าประตูบ้าน หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดซึม นางก้มตัวลง เอาสองมือเท้าเอว หอบหายใจเสียงดังพลางพูดกับเจ้าคนที่ยังเดินอยู่ในบ้านว่า “โรงเรียนยังไม่เปิดเลย ข้าถามท่านป้าคนหนึ่ง นางบอกว่าอาจารย์ตกใจกลัวเรื่องที่มีคนทะเลาะกันก่อนหน้านี้ ช่วงนี้จึงยังไม่เปิดสอน”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา เพียงชี้นิ้วไปที่ห้องครัว
เด็กหญิงหน้าม่อย เดินไปที่ห้องครัว หิ้วถังน้ำใบเล็กที่สุดขึ้นมา โชคดีที่ในอ่างน้ำยังมีน้ำอยู่อีกเกินครึ่ง หากในอ่างว่างเปล่า นางคงไม่มีทางเต็มใจทำ หลังออกจากบ้านไปต้องโยนถังน้ำทิ้งแล้วเผ่นหนีแน่นอน ตอนที่นางเดินมาถึงหน้าประตูได้ยินเสียงท่องหนังสือของเฉาฉิงหล่าง นางที่หันหลังให้ประตูบ้านกลอกตามองบน แยกเขี้ยว สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
ตักน้ำทำให้คนเหนื่อยตายได้จริงๆ
ตอนที่ใช้มือทั้งสองข้างหิ้วถังน้ำกลับมาบ้าน นางยังคงเดินแนบกำแพงอ้อมผ่านคนผู้นั้น แล้ววิ่งพรวดเข้าไปในห้องครัว ตอนตักน้ำมาจากบ่อ นางก็ตักมาไม่ถึงครึ่งถัง ระหว่างที่เดินมาเพราะไม่อยากเหนื่อยจึงทำหกไปไม่น้อย อันที่จริงรอจนนางกลับมาถึงบ้าน น้ำก้นถังก็เหลือความสูงแค่ประมาณชุ่นกว่าเท่านั้น นางหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นคนผู้นั้นจึงรีบยกถังน้ำจ้วงวักน้ำในอ่างไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็กระชากถังขึ้นมาแล้วเทน้ำลงไปในอ่างดังพรวด
ทั้งหมดนี้ก็เหมือนการมองแสงไฟในถ้ำ (เปรียบเปรยว่าเห็นอย่างชัดเจน) สำหรับเฉินผิงอัน เขาก็แค่ไม่ได้เปิดโปงนางต่อหน้าเท่านั้น
ยอมสิ้นเปลืองความคิดเพื่อแอบขี้เกียจ แต่กลับไม่ยอมออกแรงแม้แต่นิดอย่างนั้นหรือ?
เฉาฉิงหล่างท่องบทเรียนของตำราชั้นประถมไปแล้วหลายบทจึงเริ่มไปทำอาหารที่ห้องครัว เฉินผิงอันบอกว่าวันนี้เขาอาจจะกลับมาดึก เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันออกไปจากตรอก เดินผ่านบ้านหลังที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนซึ่งก่อนหน้านี้ติงอิงและยาเอ๋อร์มาพักอาศัย ในบ้านเต็มไปความอึมครึม เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งร้างแล้ว ควันธูปของวัดซินเซียงยิ่งนานก็ยิ่งเบาบาง ทว่าการฝึกซ้อมตอนเช้าของศูนย์วรยุทธ์แห่งนั้นกลับครึกครื้นยิ่งกว่าเก่า เสียงตะโกนดังขึ้นๆ ลงๆ โดยเฉพาะเสียงตะเบ็งจากอาจารย์ผู้เฒ่าก็ยิ่งดังเป็นพิเศษ คิดดูแล้วคงเป็นเพราะศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว รู้สึกโลกไม่สงบสุข แต่กลับทำให้พวกคนในยุทธภพเกิดความเลื่อมใสฝันใฝ่หา หากไม่มีคลื่นลมมรสุมซะบ้าง จะเรียกว่ายุทธภพได้อย่างไร?
ครั้งนี้เฉินผิงอันออกจากบ้านโดยสวมชุดคลุมยาวสีเขียวตัวใหม่เอี่ยม ไม่ได้สวมชุดจินหลี่ หนึ่งเพราะคนจิ๋วดอกบัวยังไม่หายดี ยังจำเป็นต้องใช้ชุดคลุมอาคมที่เป็นเหมือนถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็ก สองเพราะเฉินผิงอันไม่อยากทำตัวโดดเด่นเกินไปนัก แม้แต่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เขาก็ยังเก็บไว้ในห้อง ให้ชูอีกับสืออู่คอยปกป้องคนจิ๋วดอกบัวที่กำลังรักษาตัว เพียงแต่ว่าตรงเอวห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมองดูเหมือนจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพที่ชอบรำดาบใช้ทวนเท่านั้น
เฉินผิงอันไปหาจ้งชิว เพราะต้องการรบกวนราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนอีกหนึ่งเรื่อง
แม้ว่าหนังสือกองใหญ่ที่เด็กหญิงขโมยไปจากในห้องจะเป็นหนังสือธรรมดาทั่วไป เพราะหนังสือเทพเซียนสองเล่มที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวล้วนถูกเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น แต่เฉินผิงอันก็ยังอยากได้พวกมันกลับคืนมา เพราะบนหน้าปกในของหนังสือทุกเล่ม เฉินผิงอันล้วนเขียนตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กระบุไว้ว่าแต่ละเล่มซื้อมาจากที่ไหน และซื้อมาเมื่อไหร่ ตำราที่เก็บรวบรวมมาจากทั่วทิศเหล่านี้ สำหรับเฉินผิงอันแล้วถือว่ามีความหมายที่แตกต่างออกไป
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำกล่าวว่า ‘ในตำราซ่อนไว้ซึ่งบ้านเรือนทอง ในหนังสือซ่อนไว้ซึ่งอนงค์น้อง’ ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ
คนทั้งโลกล้วนรู้ดีว่าจ้งชิวอาศัยอยู่ใกล้กับวังหลวง แต่ตำแหน่งที่แน่ชัดอยู่ตรงไหน กลับมีคนน้อยมากที่รู้ ยังดีที่ตอนนี้เฉินผิงอันมีชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นหนันเยวี่ยน เพียงไม่นานก็มียอดฝีมือซึ่งถูกราชสำนักแคว้นหนันเยวี่ยนรับสมัครมาปรากฏตัว นำพาเฉินผิงอันไปยังที่พักของจ้งชิวอย่างนอบน้อม นั่นเป็นเรือนพักที่เงียบสงบแห่งหนึ่งท่ามกลางฉงเสียนฟางที่วุ่นวาย ฉงเสียนฟางนั้นอยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์อย่างแท้จริง ผู้ที่พักอาศัยในย่านนี้ล้วนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและสูงศักดิ์ ตรอกเล็กตรอกใหญ่ล้วนมีร่มเงาต้นไม้เย็นฉ่ำ ท่ามกลางความเงียบสงบเผยให้เห็นถึงบรรยากาศอันสง่างามและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด เมื่อเทียบกับตรอกจ้วงหยวนที่จอแจ มีแต่เสียงหมาเห่า เสียงไก่ขันแล้วก็เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หน้าเรือนไม่มีกรอบป้ายแขวนไว้ เมื่ออยู่ในแถบฉงเสียนฟาง เรือนแห่งนี้ไม่ถือว่าใหญ่นัก เป็นแค่เรือนสามชั้นเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณยอดฝีมือที่รับผิดชอบนำทางผู้นั้นแล้วเดินเข้าไปในเรือนเพียงลำพัง เฉินผิงอันค้นพบว่าด้านในไม่ถือว่าเงียบสงบนัก มีคนหนุ่มมากมายกำลังยุ่งวุ่นวาย ทุกคนสวมชุดขุนนาง เพียงแต่ว่าหากดูจากลายปักตรงหน้าอกบนชุดขุนนางของแคว้นหนันเยวี่ยนแล้วไม่นับว่าระดับขั้นสูงมากนัก แค่เป็นขุนนางระดับล่างสุดเท่านั้น แต่ละห้องล้วนเต็มไปด้วยผู้คน คนหนุ่มเหล่านั้นในมือถือหนังสือเอกสาร พากันเดินเข้าเดินออกประตู คนส่วนใหญ่ฝีเท้าเร่งร้อน บางครั้งก็มีคนที่เดินเคียงไหล่กันมาพลางพูดคุยกันไปด้วย พอเห็นเฉินผิงอันที่พกกระบี่ พวกเขาก็แค่ชำเลืองตามองมาสองครั้งแล้วก็ไม่เก็บไปใส่ใจอีก
จ้งชิวยืนอยู่ใต้ชายคาของเรือนหลักชั้นสอง ยืนยิ้มรอต้อนรับเฉินผิงอัน ข้างกายยังมีขุนนางหนุ่มที่กำลังรายงานกิจบ้านเมือง หลังจากจ้งชิวให้คำตอบและคำแนะนำคร่าวๆ แล้ว คนทั้งสองก็ถามตอบกันอย่างกระชับได้ใจความได้อีกครู่หนึ่ง พอขุนนางหนุ่มเห็นเฉินผิงอันก็มีท่าทางสงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ว่าราชครูไม่ได้พูดถึงตัวตนของเฉินผิงอัน เขาเองก็ไม่กล้าซักไซ้ จึงได้แต่บอกลาจากไป
จ้งชิวพาเฉินผิงอันเดินมาถึงเรือนด้านหลัง บรรยากาศของที่นี่แตกต่างไปจากความยุ่งวุ่นวายมีชีวิตชีวาของด้านหน้าอย่างสิ้นเชิง ห่างแค่เพียงกำแพงกั้นกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน มุมกำแพงมีต้นกล้วยกอใหญ่ ใบสีเขียวปลั่งดุจจะเค้นน้ำออกมาได้ บนโต๊ะหินวางกระดานหมากล้อมเก่าแก่ไว้กระดานหนึ่ง นี่น่าจะเป็นที่พักของราชครูท่านนี้แล้ว ทั้งไม่แร้นแค้นและไม่หรูหรา เรียบง่ายสง่างาม จ้งชิวกับเฉินผิงอันนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะหิน
จ้งชิวพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับตำราการสร้างสะพาน เขาบอกให้ขุนนางของฝ่ายโยธาไปเก็บรวบรวมมาให้แล้ว ส่วนรายงานประวัติความเป็นมาของบัณฑิตแซ่เจี่ยงคนนั้น น่าจะเป็นคืนนี้ถึงจะสามารถนำไปส่งมอบให้เฉินผิงอันได้
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขาพูดถึงเรื่องที่หนังสือตัวเองถูกขโมยไปขาย แต่จ้งชิวก็ยังรับปากว่าจะช่วยด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายพูดเองว่า ตอนนี้เมืองหลวงวุ่นวายไม่สงบ ยังต้องรบกวนให้ราชครูเป็นธุระจัดการเรื่องยิบย่อยพวกนี้อีก เขายินดีที่จะช่วยเหลือ ขอแค่ราชครูบอกมา
จ้งชิวเองก็ไม่เกรงใจ บอกว่าต้องการให้เฉินผิงอันช่วยชี้แนะลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเขาสักหน่อย
ไม่ใช่ว่าเขาเอาทรัพยากรส่วนรวมมาใช้ส่วนตน แต่ลูกศิษย์ที่จ้งชิวรับมา หลังออกจากสำนักแล้วล้วนต้องสมัครเข้ากองทัพไปเป็นทหาร โดยเริ่มเป็นจากทหารชั้นผู้น้อย อย่างน้อยที่สุดต้องอยู่ในกองทัพชายแดนสิบปีเต็ม หลังสิบปีให้หลังจะเลื่อนขั้นในกองทัพ หรือออกจากกองทัพไปท่องอยู่ในยุทธภพ จ้งชิวล้วนไม่บังคับ แต่หากเลือกจะท่องอยู่ในยุทธภพก็ห้ามป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของจ้งชิว หากถูกจับได้ก็ไม่ต้องพูดคุยกันอีก ข้าจ้งชิวสามารถสอนวิชายุทธ์ให้เจ้าได้ก็เอากลับคืนมาได้เช่นกัน
ลูกศิษย์ที่รับเข้าสำนักอย่างเป็นทางการสองคนซึ่งอยู่ข้างกายจ้งชิวต่างก็อายุไม่มาก ยังศึกษาเล่าเรียนวิชาไม่ครบถ้วน แต่พรสวรรค์ดีเยี่ยม จิตใจทะเยอทะยาน นิสัยย่อมไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่ายังไม่เคยท่องในยุทธภพอย่างจริงจัง ดังนั้นจำเป็นต้องหาคนมาสยบความฮึกเหิมของพวกเขา หลายปีมานี้จ้งชิวกดดันไม่น้อย เพื่อทำตามสัญญาหกสิบปีให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องคอยป้องกันติงอิงและอวี๋เจินอี้สองคน ย่อมยากที่จะมุ่งมั่นถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้กับลูกศิษย์อย่างตั้งใจ จ้งชิวกังวลว่าลูกศิษย์สองคนที่ตัวเองฝากความหวังไว้ให้นี้จะเป็นได้แค่ลูกศิษย์จ้งชิวไปตลอดชีวิต
เฉินผิงอันไม่มีปัญหา แม้เขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ของใคร หรือสามารถสอนอะไรให้ใครได้ก็ตาม
เพียงแต่เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าจ้งชิวจะพาเขาไปพบลูกศิษย์ทั้งสองคนด้วยตัวเอง จึงอดถามไม่ได้ว่า “คงไม่รบกวนการจัดการธุระของราชครูหรอกกระมัง?”
จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “หากข้าจ้งชิวไม่อยู่แล้วทุกอย่างจะยุ่งวุ่นวาย ก็หมายความว่าหลายปีที่ข้าอยู่ในราชสำนักจัดการเรื่องภายในได้ไม่ดีพอ ดีแต่ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียวเท่านั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวที่พาเฉินผิงอันออกมาจากประตูเล็กของเรือนหลังก็พลันกล่าวว่า “ขุนนางใหญ่ที่ดูแลเรื่องการปกครองในราชสำนักพบเจอคนทะเลาะเบาะแว้งกันบนถนน ควรจะจัดการอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “หากไม่ส่งผลกระทบต่องานหลักของตัวเอง ก็คงต้องเข้าไปดูแลสักหน่อย”
จ้งชิวถามอีก “แล้วยังไงต่อ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
จ้งชิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตามคำบอกของเจ้า ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่กระทบต่องานในหน้าที่ของตัวเอง ขุนนางที่สวมหมวกขุนนางใหญ่เทียมฟ้าผู้นี้สามารถเข้าไปดูแลเรื่องหยุมหยิมได้จริง แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือควรจะต้องทบทวนตัวเองในทันทีว่า เหตุใดในเขตการปกครองของตนถึงได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น”
เฉินผิงอันคิดตามแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
จ้งชิวกับเฉินผิงอันเดินไปบนถนนที่เงียบสงัด ร่มเงาของต้นไม้ปูแผ่เป็นวงกว้าง ช่วงฤดูร้อนอากาศร้อนจัด สถานที่หลายแห่งในเมืองหลวงเหมือนซึ้งนึ่ง ร้อนจนไม่มีที่ให้ผู้คนหลบเลี่ยง ทว่าพื้นที่แถบนี้กลับทำให้คนรู้สึกเย็นสบายได้มากกว่าเป็นเท่าตัว จ้งชิวกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องราวในตำราของอริยะปราชญ์เล่มหนึ่ง ขุนนางใหญ่ผู้นั้นพูดกับคนข้างกายว่า ‘เรื่องนี้ข้าไม่ควรต้องเป็นคนจัดการ ต้องถามขุนนางในเขตการปกครองที่รับผิดชอบดูแล เขาไม่ควรทำอะไรข้ามเขต’ ตอนเป็นหนุ่มอ่านหนังสือเจอบทความนี้ รู้สึกเหมือนถูกปลุกให้ตื่น ได้เปิดโลกกว้าง แต่ยิ่งอ่านหนังสือและยิ่งเห็นเรื่องราวบนโลกมากเท่าไหร่ ในใจก็อดที่จะเกิดความสงสัย คิดหลายร้อยตลบแล้วก็ไม่เข้าใจมากเท่านั้น”
จ้งชิวไม่ได้พูดต่อ
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่คิดว่าหากอาจารย์ฉีหรือท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่ที่นี่ จะต้องสามารถคลี่คลายความทุกข์ ไขข้อข้องใจ อธิบายหลักการเหล่านั้นให้จ้งชิวเข้าใจได้อย่างกระจ่างแน่นอน
จ้งชิวหัวเราะฮ่าๆ แล้วก็ไม่เหลือความกลัดกลุ้มอีก พูดเรื่องเป็นการเป็นงานกับเฉินผิงอัน “อวี๋เจินอี้กลับไปที่สำนักในแคว้นซงไล่แล้ว ได้พาตัวของปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่แอบออกจากเมืองไปด้วย ตอนนั้นทุกคนที่อยู่บนหัวกำแพง นอกจากโจวเฝย ยาเอ๋อร์ลัทธิมาร หลิวจงที่บินทะยานจากไปแล้ว พวกเราที่ลงมาจากหัวกำแพงเมืองล้วนได้ผลเก็บเกี่ยวกันทุกคน ดูเหมือนว่าอวี๋เจินอี้จะได้ตำราหยกเล่มหนึ่งไป ภิกษุอวิ๋นหนีได้รากบัวหยกขาวไปหนึ่งท่อน สิ่งของที่ถังเถี่ยอี้ได้รับไป สายลับของเมืองหลวงไม่อาจสืบความได้ ข้าจ้งชิวได้ตำรารวบรวมแผนที่ห้าขุนเขามาหนึ่งเล่ม เรื่องที่กล่าวไว้ในตำราล้วนเป็นเรื่องของเทพเซียน อธิบายว่าแต่งตั้งขุนเขาทั้งห้าอย่างไร รวบรวมปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำของแคว้นหนึ่งอย่างไร เพียงแต่ว่าข้าไม่ได้ฝึกวิชาเซียน สำหรับข้าแล้วตำราเล่มนี้จึงไร้ความหมาย ไม่ต่างจากซี่โครงไก่”
จ้งชิวถอนหายใจก่อนพูดต่อว่า “เพราะว่าหลบอยู่ในเมือง เฉิงหยวนซานถึงพลาดเสียงกลอง สุดท้ายจึงไม่ได้อะไรติดมือไปเลย พวกลูกศิษย์ของเขาถูกไล่ออกนอกอาณาเขตไปแล้ว แต่หากเฉิงหยวนซานหนีไปช้ากว่านี้อีกสักนิด ข้าย่อมต้องรั้งตัวเขาไว้ที่นี่ เพราะถึงอย่างไรเฉิงหยวนซานก็เป็นพวกมีแค้นต้องชำระ คราวนี้เขาต้องมาเสียเปรียบครั้งใหญ่ในแคว้นหนันเยวี่ยน จะต้องไปยุแยงให้พวกกองทัพม้าเหล็กของทุ่งกว้างลงใต้มาบุกด่านปล้นสะดมอย่างแน่นอน”
ตำราเซียนเล่มนี้ถือเป็นภัยร้ายซ่อนแฝงอย่างหนึ่ง แต่จ้งชิวกลับไม่มีวิธีที่จะทำลายมันลงได้ จึงได้แต่เก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง
หากอวี๋เจินอี้รู้เรื่องนี้เข้า เขาต้องอยากชิงมันไปครอบครองแน่นอน
ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้อวี๋เจินอี้ที่เดิมทีไม่เคยใส่ใจเรื่องราวในโลกมนุษย์เกิดความทะเยอทะยานอยากบงการหุ่นเชิดมาช่วงชิงใต้หล้าแห่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เพื่อสามารถใช้ตัวตนของผู้สืบทอดดั้งเดิมในใต้หล้าแต่งตั้งห้าขุนเขา จากนั้นเขาก็สามารถดึงเอาปราณวิญญาณจากห้าขุนเขามาใช้เอง และกลายเป็นเทพเซียนพสุธาที่แท้จริงในท้ายที่สุด
จ้งชิวเล่าเรื่องสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าให้เฉินผิงอันฟัง “นักพรตหญิงหวงถิงที่ต่อสู้กับอวี๋เจินอี้จนผลออกมาเสมอกันผู้นั้น ได้มอบตำแหน่งเจ้าหอจิ้งซินให้กับฮองเฮาแล้ว ตัวหวงถิงเองออกไปจากเมืองหลวง แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางบอกแค่ว่าจะไปตามหาพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษแห่งหนึ่งตั้งใจฝึกเวทกระบี่ให้ดี
อีกไม่นานฮองเฮาโจวซูเจินจะ ‘ป่วยตาย’ แล้วไปบัญชาการณ์หอจิ้งซิน สำหรับเรื่องนี้ฮ่องเต้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทางฝั่งของหอจิ้งหย่าง ช่วงนี้เกิดกบฏขึ้น พวกกบฏไปสมคบคิดกับคนของลัทธิมารที่เหลืออยู่ โจวซูเจินสูญเสียการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว หอจิ้งหย่างป่าวประกาศแก่ใต้หล้าว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป หอจิ้งหย่างจะไม่เป็นผู้ตัดสินสิบคนในใต้หล้าอีก ส่วนถังเถี่ยอี้ แม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้นยังลังเลอยู่ว่าควรจะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเราหรือไม่”
เฉินผิงอันรับฟังอย่างตั้งใจ
จ้งชิวกล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากเป็นเจ้าที่ยืนอยู่บนตำแหน่งนั้น ไม่ใช่ติงอิงที่คิดแต่จะเอาชนะวิถีสวรรค์ ก็คงจะดี”
เฉินผิงอันไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
จ้งชิวยิ้ม “รู้แค่ว่าเป็นคำชม ไม่จำเป็นต้องคิดจริงจังเกินไป”
เฉินผิงอันจึงยิ้มออก
แต่ไม่ใช่รอยยิ้มตามมารยาทเหมือนตอนที่พูดคุยกับฮ่องเต้เว่ยเหลียงในหอสุราคืนนั้น
เวลาอยู่กับจ้งชิวเหมือนเข้าไปในห้องอันเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ (ดอกกล้วยไม้เปรียบเปรยถึงคุณธรรมอันสูงส่งหรือสภาพแวดล้อมอันดีงาม กล่าวว่าเมื่ออยู่กับคนดีก็เหมือนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของกล้วยไม้ นานวันเข้ากลิ่นหอมนั้นก็ติดตัวมาด้วย)
ที่พักของลูกศิษย์สองคนของจ้งชิวอยู่ห่างจากพื้นที่แถบนี้ไปสองช่วงถนน เรือนพักค่อนข้างใหญ่ แขวนป้ายว่าโรงฝึกวรยุทธ์ หันเข้าข้างใน ไม่หันออกนอก ลูกศิษย์ใหญ่ของจ้งชิวเป็นคนออกเงิน คนผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามายี่สิบปี ได้เป็นถึงแม่ทัพ แต่ภายหลังได้รับบาดเจ็บสาหัสบนสนามรบจึงลาออกจากกองทัพ ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ของจ้งชิวเข้ามาในเมืองหลวงจะไม่กล้ารบกวนอาจารย์ ส่วนใหญ่จึงมักจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ลูกศิษย์เหล่านี้อายุต่างกันค่อนข้างมาก คนที่อายุมากที่สุดเกือบร้อยปี ลูกศิษย์สองคนที่อายุน้อยที่สุดคือคู่เด็กหนุ่มเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น
รอจนคนทั้งสองเดินไปถึงสนามประลองยุทธ์ จ้งชิวก็พลันหลุดหัวเราะพรืด เพราะตรงนั้นมีคนหลายสิบคนรวมตัวกันอย่างครึกครื้นซึ่งมีลูกศิษย์สองคนของเขาอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลานชายหลานสาวของแม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียว และสหายสนิทที่ลูกศิษย์สองคนรู้จักในเมืองหลวง ส่วนใหญ่คือเด็กของตระกูลชนชั้นสูงที่มีนิสัยซื่อสัตย์ อีกทั้งยังมีความฝันใฝ่ต่อยุทธภพ หลายคนนัดหมายกันมานานแล้วว่า วันหน้าจะใช้ข้ออ้างออกเดินทางไกลไปหาความรู้กับทางครอบครัว เพื่อออกไปท่องยุทธภพร่วมกับลูกศิษย์สองคนของจ้งชิว
สำหรับเรื่องพวกนี้ จ้งชิวไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย
ความงดงามในช่วงวัยเยาว์ ต่อให้จะมีความเป็นเด็กแฝงอยู่ แต่ก็ไม่ควรใช้ประสบการณ์ในชีวิตของคนแก่ไปปฏิเสธสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งไม่ควรทำลายลงอย่างส่งเดช
จ้งชิวมองเด็กเหล่านี้ บางครั้งก็โมโหในความเกเรของพวกเขา แต่เวลาที่มากกว่านั้นกลับรู้สึกว่าพวกเขาน่ารัก นี่จึงทำให้เขารู้สึกว่าใต้หล้าแห่งนี้ไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว ไม่มีเจ๋อเซียนอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่งจากในคนกลุ่มนั้น
นั่นก็คือหญิงสาวที่ควบม้าอยู่บนถนนใหญ่พร้อมกับสหายระหว่างที่เขาเดินเล่นในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเพื่อชดเชยความผิดพลาดของสหาย นางได้โยนถุงเงินใบหนึ่งให้แก่หญิงชราที่ตั้งร้านแผงลอย เพื่อแสดงฝีมือในการขี่ม้า ยังทำให้ตัวเองตกกระแทกลงพื้นแรงๆ หนึ่งที ร้องโอดโอยก่อนจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า ทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่นางก็ยังเชิดหน้าสูงอย่างทระนง ตอนนั้นเฉินผิงอันยังยกนิ้วโป้งให้นาง เพียงแต่ว่าหญิงสาวไม่ได้สนใจเขา แถมยังกลอกตามองบนใส่เขาด้วย
แรกเริ่มทุกคนไม่มีใครรู้จักเฉินผิงอัน
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สวมชุดคลุมสีขาวและห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด
ทว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างก็เคารพยำเกรงจ้งชิว หลังจากจ้งชิวปรากฎตัว แต่ละคนก็เงียบกริบราวกับจักจั่นในหน้าหนาว ลูกศิษย์สองคนก็มีท่าทางร้อนตัว หลายวันมานี้พวกเขาไม่ได้ฝึกวิชายุทธ์เลยจริงๆ ช่วยไม่ได้ สหายเหล่านี้พากันแห่มาหา แต่ละคนเล่าเรื่องราวของเซียนกระบี่ชุดขาวคนนั้นด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ต่างก็บอกกันว่าปรมาจารย์หนุ่มผู้นั้นที่สังหารติงอิงมีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ของพวกเขา ไม่แน่ว่ามาอยู่ที่นี่อาจเป็นการเฝ้าตอรอกระต่าย รอจนได้เจอคนผู้นั้นจริงๆ โดยเฉพาะหลานชายหลานสาวของแม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวที่ยิ่งพูดจาเป็นหลักเป็นฐานน่าเชื่อถือว่า หลังจากท่านปู่กลับไปถึงบ้านก็หน้าแดงก่ำ เล่าว่าคืนนั้นที่อวี๋เจินอี้กับถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินเปิดศึกกันนอกเมือง เซียนกระบี่ที่ชื่อเฉินผิงอันได้ยืนอยู่ข้างกายเขา คนทั้งสองได้แต่เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป เพราะพูดคุยกันถูกคอจึงคบหากันเป็นสหายต่างวัยแล้ว น่าเสียดายที่เซียนกระบี่เฉินคือเทพเซียน จึงยุ่งมาก แต่ก็รับปากแล้วว่าขอแค่มีเวลาว่างจะต้องมาเยี่ยมเยือนถึงจวนแม่ทัพแน่นอน
หลานชายคนเล็กของลวี่เซียวอายุแค่สิบสองสิบสามปี เขาเล่าเรื่องนี้ซ้ำแทบจะทุกวัน แถมเวลาเล่ายังหน้าบานเป็นกระด้งด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติ
แต่พี่สาวของเขาไม่ได้ผัดข้าวเย็นซ้ำไปซ้ำมาแบบเขา (เปรียบเปรยถึงการพูดเรื่องเก่าซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่มีเนื้อหาแปลกใหม่) เพียงแต่ว่าสีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความรอคอยและเลื่อมใสศรัทธา
จ้งชิวหันกลับมามองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังพยักหน้าให้
จ้งชิวยืนอยู่บนสนามประลองยุทธ์ พูดกับลูกศิษย์ทั้งสองคนว่า “ข้าช่วยหาผู้อาวุโสคนหนึ่งมาให้พวกเจ้า เขาจะช่วยชี้แนะวิชาหมัดให้กับพวกเจ้า พวกเจ้าจงออกหมัดอย่างเต็มกำลัง”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “ก่อนหน้านี้บอกว่าแค่ประมือแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเขา ไม่ใช่ชี้แนะสั่งสอนไม่ใช่หรือ?”
จ้งชิวยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตอนท้ายแค่พูดคุยกับพวกเขาสักคำสองคำก็พอ เจ้าเด็กสองคนนี้รู้มานานแล้วว่าควรจะรับมือกับอาจารย์เช่นข้าอย่างไร ตอนนี้ข้าพูดอะไรจึงไม่ค่อยได้ผลนัก ไม่แน่ว่าคำพูดของคนนอกอย่างเจ้า พวกเขาอาจจะถือเป็นกฎเกณฑ์ใหม่ก็ได้”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก้าวยาวๆ เข้ามาถามว่า “อาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนี้คือใครหรือ? มีทั้งดาบมีทั้งกระบี่ เหตุใดถึงสามารถสอนวิชาหมัดพวกเราได้? หรือว่าวิชาหมัดของเขาสูงยิ่งกว่าอาจารย์?”
เด็กหนุ่มมองมาทางเฉินผิงอัน สายตาใสกระจ่าง พูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกคนอื่นหรอกนะ แต่วิชาหมัดของอาจารย์ข้าสูงส่งมากจริงๆ หากท่านจะสอนวิชาดาบวิชากระบี่ให้ข้า ข้าก็คงไม่พูดแบบนี้ ใช่แล้ว ข้าชื่อเหยียนสือจิ่ง เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ขอผู้อาวุโสอย่าได้ถือสา!”
เด็กสาวคนหนึ่งเดินตามมาด้านหลังเขาช้าๆ นางพบพิรุธของเฉินผิงอันแล้ว เพียงแต่ว่ายิ่งเดินนางก็ยิ่งก้าวช้าลง เพราะนางค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า คนผู้นั้นแค่ยืนอยู่เฉยๆ นางก็หาช่องโหว่ของท่ายืนนิ่งในกระบวนท่าหมัดเขาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกที่ทำให้คนยากจะทนรับแบบนี้ เหมือนกับความรู้สึกที่จ้งชิวผู้เป็นอาจารย์มอบให้แก่นางเหลือเกิน
เห็นภูเขาสูงแต่ไม่เห็นยอดเขา อยู่ริมแม่น้ำแต่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
ชายชุดเขียวที่อายุไม่มากผู้นี้ต้องเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ขอบเขตเลิศล้ำมากคนหนึ่งอย่างแน่นอน!
เด็กสาวกำลังจะเปิดปากเอ่ยเตือนศิษย์พี่เหยียนสือจิ่งว่าให้ระวัง ฝ่ายหลังกลับพูดขึ้นมาเบาๆ เสียก่อนว่า “มองออกแล้วน่า ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย สามารถเดินเคียงไหล่มากับอาจารย์ได้ ในแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเราจะมีใครที่มีหน้ามีตาได้ขนาดนี้?”
เด็กสาวเอ่ยถาม “ร่วมมือกัน?”
เด็กหนุ่มกล่าวเสียงหนักอย่างไม่ลังเล “พยายามทนให้ได้สิบกระบวนท่า อาจารย์มองพวกเราอยู่นะ”
เด็กหนุ่มเด็กสาวตั้งกระบวนท่าหมัดเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรูแทบจะเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันคิดอยู่ชั่วขณะก็เริ่มเดินตรงไปด้านหน้า เป็นแค่ท่าเดินนิ่งหกก้าว บวกกับกระบวนท่าหมัดยอดเขาของจ้งชิวเท่านั้น
คนทั้งสองเพิ่งเตรียมจะพุ่งออกไป ทว่าเฉินผิงอันแค่เดินออกมาหนึ่งก้าวก็เหมือนยอดเขาที่กดลงมาบนบ่าของพวกเขาแล้ว ร่างกายพวกเขากระดุกกระดิกไม่ได้ ราวกับว่าแค่ขยับเพียงนิดก็อาจตายได้
เดินมาอีกหนึ่งก้าว ทั้งร่างกายและจิตใจของคนทั้งสองล้วนชะงักค้าง เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากัดฟันเตรียมจะขยับไปข้างหน้า เด็กสาวกลับขยับเบี่ยงไปด้านข้าง หลบเลี่ยงประกายคมกริบของอีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยวางแผนกันอีกที
เพียงแค่สามก้าวอย่างเรียบง่ายของเฉินผิงอัน พลังอำนาจของศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
สี่ก้าวต่อมา คนทั้งสองก็ถอยกรูดไม่เป็นท่า เหงื่อรินลงมาตามสันหลัง สีหน้าซีดขาว
เฉินผิงอันหยุดเดิน ถามว่า “ทั้งๆ ที่รู้ว่าต่อให้ออกหมัดก็ไม่มีทางตาย แล้วทำไมถึงไม่ออก? หากมีวันหนึ่งต้องต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับคนอื่นจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายก็จะไม่กล้าออกหมัดแม้แต่ครั้งเดียวเหมือนกันน่ะหรือ? ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพวกเจ้าจะออกหมัดก็ต่อเมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือทัดเทียมกันหรือศัตรูที่อ่อนแอกว่าพวกเจ้าใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มนั่งแปะลงไปบนพื้น
เด็กสาวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ผู้อาวุโสคือปรมาจารย์ขั้นสูงสุด มาถึงก็ใช้พลังอำนาจข่มคนอื่น ใต้หล้ามีการแลกเปลี่ยนความรู้ สอนวิชาหมัดแบบนี้เสียที่ไหน…”
เฉินผิงอันยังคงถามว่า “ทำไมถึงไม่ยอมออกสักหมัด?”
เด็กหนุ่มก้มหน้า
เด็กสาวดวงตาแดงก่ำ ถึงขั้นร้องไห้ออกมา เพียงแต่ว่าพยายามประสานสายตากับคนแปลกหน้าที่ชอบรังแกผู้อื่นคนนี้อย่างดุดัน
เฉินผิงอันตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะทำเกินไป จึงหันหน้าไปเอ่ยขอโทษจ้งชิว “ข้าไม่ค่อยได้แลกเปลี่ยนความรู้กับใคร จึงไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์ของยุทธภพเท่าใดนัก”
จ้งชิวส่ายหน้า ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยเบาๆ ว่า “เป็นเพราะกลัวว่าพวกเขาจะทำผิดพลาด วิชาหมัดที่ข้าถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์จึงใช้หลักสี่คำว่า ‘เจอหมัดสูงไม่ออกหมัด’ ความตั้งใจเดิมคือหวังว่าเวลาอยู่ในยุทธภพพวกเขาจะไม่ใช้อารมณ์นำทาง ไม่คิดอยากแต่จะเอาชนะ ไม่รังแกคนอื่น ออกหมัดไม่รู้จักหนักเบา ที่มากกว่านั้นคือหวังว่าในอนาคตเมื่อพวกเขาไปอยู่บนสนามรบ อย่างน้อยต้องใช้เวลาตอบแทนบ้านเมืองสิบปี ดังนั้นลูกศิษย์ฝ่ายในจึงถูกข้าข่มสภาพจิตใจเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว คงพูดไม่ได้ว่าผิด แต่ก็อาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะเป็นสีครามที่เด่นกว่าสีน้ำเงิน (มาจากประโยคว่าสีครามเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงิน เปรียบเปรยว่าครูอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ แต่ลูกศิษย์เก่งกว่าครู)”
จ้งชิวถอนหายใจหนึ่งที ยิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “ควรจะต้องแก้ไขได้แล้ว”
คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่เดิมทียอมฝืนทนรับความอับอายต่อหน้าคนนอกได้แล้ว กลับไม่สามารถรับการ ‘ยอมรับผิด’ จากอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ตัวเองมองเป็นเหมือนบิดาแท้ๆ ได้ อีกทั้งการยอมรับผิดนี้ยังทำเพื่อพวกเขา ในใจของเด็กหนุ่มเหยียนสือจิ่ง จ้งชิวผู้เป็นอาจารย์คือปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไร้ข้อบกพร่องมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นอริยะด้านวรรณกรรมด้วย
ด้วยความโมโห เด็กหนุ่มพลันลุกขึ้นยืน แต่เขาไม่ได้ลอบโจมตีคนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น แค่ถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเดือดดาล “เจ้ามาใหม่!”
เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว แต่กลับไม่ใช้ท่าเดินนิ่งวิชาหมัดที่ ‘เนิบช้า’ อีก แต่ปล่อยหมัดต่อยเข้าไปที่หน้าผากของเหยียนสือจิ่ง ประหนึ่งพายุพร้อมสายฟ้าที่พุ่งมาปะทะใบหน้า
เด็กหนุ่มถอยออกไปอีกหนึ่งก้าว
เฉินผิงอันถาม “หมัดนั้นของเจ้าล่ะ?”
เด็กหนุ่มจิตใจห่อเหี่ยว เคว้งคว้างเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก
เฉินผิงอันถอนหายใจ หันไปพูดกับจ้งชิวว่า “เคยมีคนบอกกับข้าว่า ฝึกวิชาหมัด มองดูเหมือนเป็นการฝึกด้านพละกำลัง เพื่อจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่การฝึกจิตใจก็สำคัญมากจริงๆ ในเมื่อจะฝึกวิชาหมัดก็ไม่ควรมีความรู้สึกของคนทั่วไป ก็เหมือนกับที่อาจารย์จ้งบอกว่าเจอหมัดสูงอย่าออกหมัด ข้าลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก แต่เจอหมัดสูงอย่าออกหมัดคือเรื่องที่คนซึ่งมีตบะและขอบเขตอย่างอาจารย์จ้งควรทำ แต่กลับเป็นแค่หลักการที่ลูกศิษย์ของท่านสมควรเข้าใจเท่านั้น เข้าใจหลักการข้อนี้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ควรจะทำเช่นไรกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มีเพียงแบบนี้เท่านั้น ในอนาคตถึงจะสามารถออกหมัดได้กับทุกคนอย่างไร้ความละอายใจ”
จ้งชิวยิ้มพลางพยักหน้ารับ “คือเหตุผลข้อนี้แหละ”
เขาพอจะเข้าใจนิสัยของเฉินผิงอันคร่าวๆ แล้วว่า การจะทำเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนแสวงหาคำว่าดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้นต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะกระวนกระวายจริงๆ ไม่รู้ว่าควรจะแลกเปลี่ยนความรู้ ควรจะสอนวิชาหมัดให้คนอื่นอย่างไร แต่หากเดินก้าวแรกออกไปแล้ว เฉินผิงอันก็จะทำอย่างจริงจังเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับการล้อมสังหารบนถนนใหญ่เส้นนั้น จ้งชิวคือคนที่มองสถานการณ์อยู่ด้านข้าง ดังนั้นจึงเห็นอย่างชัดเจน แม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็อาจจะไม่รู้ว่า เขาในนาทีนั้นมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหน!
มั่นใจถึงขั้นที่ให้ความรู้สึกว่า ‘ยามที่ข้าออกหมัด ผู้ฝึกยุทธ์ในใต้หล้า ได้แค่แหงนหน้ามอง พูดอย่างสะท้อนใจว่า สวรรค์อยู่เบื้องบน’
อันที่จริงจ้งชิวอยากรู้มากว่า เฉินผิงอันที่เข้ากับคนได้ง่ายขนาดนี้สามารถมีสภาพจิตใจเช่นนี้ตอนที่ออกหมัดได้อย่างไร ยิ่งใคร่รู้ว่าเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดมาอย่างไรกันแน่
ไม่ว่าอย่างไร เฉินผิงอันที่เป็นทั้งสองอย่างนี้ จ้งชิวก็ล้วนเคารพนับถือ
เฉินผิงอันพูดอย่างเกรงใจว่า “นี่เป็นแค่สิ่งที่ข้าคิดมั่วๆ เท่านั้น อาจจะไม่เหมาะสมกับลูกศิษย์ของอาจารย์จ้งเสมอไป”
จ้งชิวส่ายหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “มักจะมีหลักการบางอย่างที่ไม่ว่าเอาไปวางไว้ตรงมุมไหนของสี่สมุทรก็ล้วนถูกต้อง คำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าเหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน”
เฉินผิงอันกลัวว่านับตั้งแต่นี้ไปกระจกหัวใจของเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้จะเกิดรอยปริร้าว เขาใคร่ครวญหาคำพูดอยู่ครู่ใหญ่ แม้ตัวเองจะไม่ค่อยถนัดนัก แต่ก็ยังพยายามพูดปลอบใจว่า “คนที่ฝึกวิชาหมัด นอกจากจะสามารถทนรับกับความยากลำบากได้แล้ว จิตใจยังต้องนิ่ง การออกหมัดถึงจะรวดเร็วและเยือกเย็น บุกรุดไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอุปสรรคกีดขวาง ถ้าอย่างนั้นสักวันหนึ่งไม่ว่าจะพบเจอข้า หรือเจอกับอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างอาจารย์ของพวกเจ้า หรือแม้แต่คู่ต่อสู้ที่มองดูเหมือนไร้เทียมทานอย่างติงอิง พวกเจ้าก็ล้วนสามารถออกหมัดได้รวดเร็ว เร็วที่สุด”
เฉินผิงอันมองคนทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง “เบื้องหน้าไร้คน มีแค่สองหมัดเท่านั้น!”
เด็กหนุ่มเด็กสาวมึนๆ งงๆ ทว่าความแค้นเคืองบนใบหน้าและความหวาดกลัวในส่วนลึกของหัวใจคนทั้งสองกลับลดลงไปเยอะมาก
จ้งชิวพยักหน้ารับเบาๆ
นี่เป็นการสอนวิชาหมัดเสียที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่าเป็นการชี้ ‘วิถีวรยุทธ์’ ให้แล้ว
ส่วนข้อที่ว่าในอนาคตเด็กโง่สองคนนี้จะเดินไปได้ไกลแค่ไหน หรือจะขึ้นไปบนเส้นทางภูเขาของวิถีวรยุทธ์เส้นนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูทั้งพรสวรรค์ และดูทั้งโชควาสนา จ้งชิวพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ และต่อให้พูดแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร
เฉินผิงอันที่เก็บหมัดไม่ได้มีพลังอำนาจเช่นนั้นอีก เขามองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่น่าสงสารสองคนนั้นแล้วถามจ้งชิวอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย “ข้าพูดกว้างเกินไปและเลื่อนลอยเกินไปหรือเปล่า?”
จ้งชิวเอ่ยสัพยอก “ก็ใช้ได้แล้วนี่นา นี่เจ้าคิดจะให้ข้าพูดประจบยกยออีกสักกี่คำถึงจะยอมเลิกรา?”
เฉินผิงอันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
จ้งชิวมองไปทางลูกศิษย์สองคน ทว่าพวกเหยียนสือจิ่งกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเฉินผิงอัน “วันนี้ไม่ต้องฝึกวิชาหมัด กลับไปคิดให้ดีว่าเหตุใดถึงไม่กล้าออกหมัด คิดเข้าใจแล้วพรุ่งนี้ค่อยฝึกใหม่ก็ยังไม่สาย”
เด็กหนุ่มเด็กสาวกุมหมัดรับคำสั่ง
จ้งชิวจากไปพร้อมกับเฉินผิงอัน
รอจนใต้เท้าราชครูและคนประหลาดผู้นั้นจากไปแล้ว คนทั้งหลายที่อายุไม่มากก็เริ่มพูดคุยกันเสียงดังจอแจ ส่วนใหญ่ล้วนปลอบใจเหยียนสือจิ่งและเด็กสาวคนนั้น สอดแทรกไปด้วยเสียงทอดถอนใจ แม้คนนอกเหล่านี้จะรู้ว่าราชครูจ้งคืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีใครเห็นจ้งชิวออกหมัดกับตาตัวเองมาก่อน ต่อให้ในตระกูลพวกเขาต่างก็มียอดฝีมือที่ศักยภาพไม่ธรรมดาช่วยพิทักษ์เรือนให้ ทว่าแต่ละคนล้วนมีสายตาที่สูงส่งไม่แพ้กัน ดังนั้นวันนี้ได้มาเห็นคนผู้นั้นออกหมัด แค่หมัดเดียวเท่านั้น ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่เสียแรงที่เดินทางมา
เหยียนสือจิ่งเดินออกไปจากกลุ่มคนก่อนใคร เด็กหนุ่มไม่มีอารมณ์จะเสวนากับใคร จึงไปนั่งอยู่บนขั้นบันได เหม่อลอยเล็กน้อย
ส่วนเด็กสาวที่หลังจากพูดคุยกับสหายจบก็มานั่งอยู่ข้างกายศิษย์พี่เหยียนสือจิ่ง พูดเหมือนช่วยทวงความยุติธรรมให้กับเขา “มีอะไรร้ายกาจกัน พูดไปพูดมา คนผู้นั้นก็ยังอาศัยความสามารถที่สูงส่งมาชี้ไม้ชี้มือใส่พวกเราอยู่ดีไม่ใช่หรือ น่าโมโหจริงๆ อยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์ด้วย”
เหยียนสือจิ่งทอดสายตามองไปไกล “ข้ารู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผลมาก และอาจารย์ก็เห็นด้วย”
เด็กสาวพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อเจอกับอาจารย์ของเรา อวี๋เจินอี้และมารเฒ่าติงผู้นั้น เขาจะยังกล้าพูดจาวางโตเช่นนี้ แค่พูดก็ง่ายน่ะสิ แค่ออกหมัดเท่านั้น เชอะ!”
เหยียนสือจิ่งกำหมัดแน่น “วันหน้าข้าจะไม่แอบอู้อีกแล้ว จะตั้งใจฝึกวิชาหมัด และทุกวันจะต้องขอให้อาจารย์ถ่ายทอดวิชาหมัดที่สูงส่งลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมให้ข้าด้วย สักวันหนึ่งข้าต้องทำให้คนผู้นั้นเอาคำพูดทั้งหมดกลับคืนไป!”
ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายวาววับ จ้องมองมองใบหน้าด้านข้างของศิษย์พี่น้อยนิ่ง “ท่านต้องทำได้แน่! ขนาดศิษย์พี่ใหญ่ยังบอกว่าพรสวรรค์ของท่านใกล้เคียงกับท่านอาจารย์มากที่สุด หากให้เวลาท่านได้ฝึกหมัดสักห้าปี ตอนนี้ท่านก็สามารถวัดฝีมือกับพวกฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซิน หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแห่งตำหนักคลื่นวสันต์แล้ว”
บนหลังคา จ้งชิวแอบมานั่งอยู่ข้างบนเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน จ้งชิวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงได้เสนอว่าจะกลับมาเงียบๆ แล้วก็มานั่งอยู่ตรงนี้ ฟังคำพูดเหลวไหลของพวกเด็กๆ
แต่ฟังถึงท้ายที่สุด ได้ยินบทสนทนาระหว่างเหยียนสือจิ่งสองคน จ้งชิวก็ยังคาดเดาความคิดของเฉินผิงอันไม่ออก แต่ราชครูท่านนี้กลับรู้สึกเสียดายและหดหู่เล็กน้อย ไม่ถึงขั้นผิดหวังในตัวเด็กทั้งสองคน
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม ไปจากที่แห่งนี้พร้อมกับจ้งชิวอย่างแท้จริง
ระหว่างที่เดินทางกลับ สอบถามเรื่องวิชาหมัดและการเรียนวรยุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้จากจ้งชิวมามากมาย เฉินผิงอันจึงได้ความรู้เยอะมาก
คนทั้งสองแยกกันกลางทาง เฉินผิงอันเข้าไปในร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง สั่งเหล้าหนึ่งกาและกับแกล้มจานเล็กสองจาน เหล้าที่สั่งเป็นเหล้าชนิดที่แพงที่สุดของร้าน
นักพรตเฒ่าปรากฏตัวจากความว่างเปล่า เขานั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ในร้านเหล้าที่คึกคักกลับไม่มีสักคนที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ด้านหน้านักพรตเฒ่ามีถ้วยเหล้าหนึ่งใบปรากฏขึ้นมา เหล้าไหลจากกาเข้าหาชามของเขาด้วยตัวเอง ตอนที่ยื่นมือออกมาในมือก็มีตะเกียบเพิ่มมาคู่หนึ่ง เขาคีบต้นหอมผัดไข่มาหนึ่งชิ้น กินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “เพิ่งจะรู้ใช่ไหมว่า หลายสิ่งหลายอย่างก่อนหน้านี้ที่เจ้าคิดว่าสมเหตุสมผล และมักรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ขอแค่คนอื่นเต็มใจขยันหมั่นเพียร คนส่วนใหญ่ล้วนสามารถเดินมาถึงก้าวเดียวกับเจ้าในทุกวันนี้? เพิ่งค้นพบใช่ไหมว่า มันเป็นเรื่องที่น่าตลกมาก?”
เฉินผิงอันถาม “ท่านผู้อาวุโสว่างขนาดนี้เชียวหรือ?”
นักพรตเฒ่าเองก็ตอบไม่ตรงคำถามเช่นเดียวกับเฉินผิงอัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูถูกคนที่สอนหลักการเหตุผล สอนวิชาหมัดให้เจ้าเกินไปแล้ว หากเจ้าเดินต่อไปตามสภาพจิตใจก่อนหน้านี้ สักวันหนึ่งจะต้องกลายไปมีสภาพอย่างคนผู้นั้น มองไปทางใดก็เห็นแต่ความเคว้งคว้าง เดียวดายอยู่เพียงลำพัง ถึงเวลานั้นยังไม่เต็มใจจะช่วยใคร เพราะเกรงว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฮ่าๆ แบบนี้ก็น่าจะพอเรียกว่า ‘ตายอย่างคุ้มค่า’ ได้บ้างกระมัง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หากข้ายังดีไม่พอ ตอนนี้ก็คงไม่มานั่งดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์กับท่านผู้อาวุโสอยู่ตรงนี้ แต่คงตายอยู่ที่นี่ ตายอย่างไม่เข้าใจอะไร รอจนชาติหน้า ต่อให้โชคดีสติปัญญาเปิดกว้าง แต่รอให้ข้าออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้ว ไม่ว่าด้านนอกจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน ข้าก็คงต้องคิดอยากแลกชีวิตกับท่านผู้อาวุโสอยู่ดี”
นักพรตเฒ่าดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้ม พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัว หากความสามารถของเจ้าไม่มากพอ ตายด้วยน้ำมือของลู่ฝ่างหรือติงอิง เว้นเสียว่าหลังจากนั้นเฉินชิงตูจะร่วมมือกับซิ่วไฉเฒ่า ข้าถึงจะยอมฝืนใจปล่อยเจ้าไป ไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าก็ต้องรอเกิดใหม่อยู่ที่นี่แต่โดยดี ดังนั้นเจ้าควรจะดื่มคารวะตัวเองหนึ่งจอก คารวะที่ตัวเองรอดชีวิตมาได้”
ในส่วนลึกของหัวใจเฉินผิงอัน นักพรตเฒ่าคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่คนนั้นสักเท่าไหร่
ไม่ได้จะบอกว่านักพรตเฒ่าจงใจเล่นงานเขาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ เพราะในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันก็รู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัตินั้น แล้วก็ไม่ใช่ว่าเหตุผลบางอย่างของนักพรตเฒ่าไม่ถูกต้อง
เฉินผิงอันแค่ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เท่านั้น
พวกเขาไม่ได้มีสายตาเหมือนสายตาของคนบนภูเขาที่มองมดตัวเล็ก แต่เหมือนคนคนหนึ่งที่มองลูกเจี๊ยบของตัวเอง จะขุนให้อ้วนรอวันเชือดกิน หรือจะเลี้ยงต่อไปก็ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพวกเขา
แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเฉินผิงอันยังยืนอยู่ตรงจุดที่ไม่สูงพอ จึงมองไม่เห็นทัศนียภาพของโลกมนุษย์ในสายตาของพวกเขา
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งถ้วย
ยังไม่ต้องพูดถึงว่ายุทธภพดีหรือไม่ดี แต่เหล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้รสชาติไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
เฉินผิงอันดื่มเหล้าช้าๆ มองเมินนักพรตเฒ่าไปอย่างสิ้นเชิง เขาตั้งใจครุ่นคิดว่าตัวเองเดินมาถึงวันนี้ได้อย่างไร
คิดมาตั้งแต่ตรอกหนีผิงจนถึงตรอกนอกบ้านของเฉาฉิงหล่าง
ที่แท้ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนมีทางแยกออกไปอีกนับไม่ถ้วน
ต้องปฏิบัติต่อตัวเองให้ดี
ถึงจะปฏิบัติดีต่อคนบนโลกได้
แต่นี่มันยากมากเลยนี่นา
เวลามีเรื่องไม่สบายใจ สามารถใช้เหล้าดับทุกข์ แต่ในโลกมีเรื่องอยุติธรรมมากมายขนาดนั้น จะทำอย่างไร? วันหน้าหมัดของข้าเฉินผิงอันยิ่งนานก็ยิ่งสูง กระบี่ยิ่งนานก็ยิ่งเร็ว ถ้าเช่นนั้นความสามารถก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นเรื่องอยุติธรรมของคนอื่น จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวซะทุกเรื่องเลยหรือ? แต่หากไม่เข้าไปยุ่ง จะข้ามผ่านหลุมในใจไปได้อย่างไร? ก็แค่เรื่องอยุติธรรมเรื่องเดียวไม่ใช่หรือ? จะผิดต่ออาจารย์ฉี ผิดต่อหลักการและเหตุผลในตำราหรือเปล่า? จะผิดต่อที่ตนเองเป็นอาจารย์อาน้อยของหลี่เป่าผิงหรือไม่?
แต่ข้าก็ต้องแก้แค้น ต้องทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่หญิงวิญญาณกระบี่ ต้องฝึกวิชาหมัด เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ต้องฝึกกระบี่ ซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะเพื่อเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ต้องเรียนหนังสือ ต้องเป็นคนอย่างอาจารย์ฉี ข้ายังต้องแต่งแม่นางที่ดีขนาดนั้นมาเป็นภรรยา…
จะทำอย่างไร?
เหตุผลพันหมื่นไม่ต้องคิดถึง เมาให้ล้มไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
ศีรษะของเฉินผิงอันกระแทกลงบนโต๊ะดังตุ้บอย่างแรง
ในความฝัน เหมือนมีคนถามเขาว่า หลังจากได้เห็นแม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดแล้วรู้สึกอย่างไร เฉินผิงอันที่เมามายหัวเราะฮ่าๆ พลางตอบว่าน้ำมากขนาดนั้น ปลาต้องตัวใหญ่แน่ๆ เมื่อก่อนเป่าผิงน้อยชอบบ่นว่าแกงปลาของตนจืดเกินไป คราวหน้าต้องตกได้ปลาตัวใหญ่ และใส่เกลือให้มากพอแน่นอน!
นักพรตเฒ่ากระตุกมุมปาก ไม่ใช้มรรคกถาดึงเหล้ามาจากในกาอีก แต่รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ถามอีกว่า “ภูเขาสูงมากมายขนาดนั้น ทัศนียภาพเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอาฝ่ามือตบโต๊ะ ยังคงพูดพึมพำด้วยความเมามาย ข้าไม่รู้หรอก แต่ในตำรามีประโยคหนึ่งบอกว่า ข้าเห็นภูเขาเขียวช่างงดงาม…แต่ข้าเดินบนเส้นทางภูเขามามากมาย วันที่ฝนตกหรือหิมะตกล้วนเดินยากมาก เดินยากเกินไปแล้ว…
นักพรตเฒ่าวางถ้วยเหล้าลง มองเฉินผิงอันที่อยู่ตรงข้ามแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉีจิ้งชุนสอนผีขี้เหล้าแบบนี้ออกมาได้ยังไง?”