Skip to content

Sword of Coming 325

บทที่ 325 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

ปลายนิ้วสองข้างของนักพรตเฒ่าคีบเงินหิมะน้อยเหรียญหนึ่ง มันค่อยๆ หลอมละลายอยู่บนปลายนิ้วของเขาทีละนิด

เขาก้าวหนึ่งก้าวก็ออกจากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มาถึงซากของภูเขากู่หนิวอย่างเงียบเชียบ ต่อให้เป็นอวี๋เจินอี้ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมาของเขา

นอกกระท่อมที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย อวี๋เจินอี้ยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่ใต้แสงจันทร์ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนและยอดฝีมือจากพรรคหูซานล้วนถูกเขาสั่งให้กลับสำนักไป ช่วงนี้ห้ามไม่ให้ใครปรากฏตัวอีกเด็ดขาด

ผู้นำฝ่ายธรรมะในใต้หล้าที่หน้าตาเป็นเด็กน้อยผู้นี้ เวลานี้สวมกวานดอกบัวสีเงินไว้บนศีรษะ นี่คือหนึ่งในสัญญาระหว่างคนทั้งสอง หลังจบเรื่อง ติงอิงต้องมอบกวานเต๋าชิ้นนี้ให้เขา กวานเต๋ามีชื่อว่า ‘โกวเฉิน’ (การสำรวจหลักการเหตุผลที่ลึกล้ำ หรือหมายถึงเนื้อหาที่สูญหายไป) คือสมบัติอาคมที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่มีคำว่าหนึ่งใน นอกจากสามารถปกป้องเรือนกายและจิตวิญญาณของคนที่สวมกวานไว้บนศีรษะได้แล้ว ยังสามารถหล่อหลอมเรือนกาย ปรับสภาพจิตใจให้สงบ อีกข้อหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ กวานเต๋าชิ้นนี้สามารถช่วยตามหาเจ๋อเซียนที่ซ่อนตัวอยู่รอบด้านได้

เดิมทีอวี๋เจินอี้ก็พอจะรู้วิชามองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือของเซียนอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขากู่หนิวแล้วมองมาทางเมืองหลวง พวกติงอิง เฉินผิงอันและลู่ฝ่าง ในสายตาของเขาจะเห็นเป็น ‘ดวงไฟ’ ที่เจิดจ้าสะดุดตามากที่สุด ตอนนี้มีกวานเต๋าชิ้นนี้ก็ยิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก อวี๋เจินอี้มีความมั่นใจถึงเก้าส่วนว่า ขอแค่ตนหลุดออกจากวงล้อมในครั้งนี้ไปได้สำเร็จ วันหน้าเจ๋อเซียนทุกคนที่อยู่ใต้หล้าก็ยากที่จะกระดิกตัว

ข้างกายอวี๋เจินอี้คือกระบี่แก้วที่ลอยตัวอยู่

ในชายแขนเสื้อยังมีอาวุธหนักตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่เพิ่งได้มาครอบครอง

นักพรตน้อยที่แบกน้ำเต้าสีทองอร่ามลูกใหญ่ยักษ์ไว้บนหลังคนนั้นไม่ได้ผิดคำพูดจริงๆ คนที่ไม่เต็มใจบินทะยาน เลือกที่จะเดินลงมาจากหัวกำแพงเมืองล้วนได้สมบัติอาคมหนึ่งชิ้น และอวี๋เจินอี้ก็เจอตำราหยกเล่มหนึ่งจากซากภูเขากู่หนิ่วที่พังราบเป็นหน้ากลอง มันคือ ‘อักษรบอกกล่าวแก่สวรรค์’ ที่ฮ่องเต้ในยุคโบราณใช้เวลาทำพิธีบวงสรวง เพียงแต่ว่าตัวอักษรค่อนข้างจะแปลกประหลาด ไม่เคยมีบันทึกไว้ในสี่แคว้น อวี๋เจินอี้รู้ดีว่าคำตอบคงอยู่ในหอจิ้งหย่างหรือไม่ก็ในหอจิ้งซิน สถานที่สองแห่งนี้เข้าใจเจ๋อเซียนที่อยู่ฟ้านอกฟ้ามากที่สุดแล้ว

สำหรับการตายของติงอิง อวี๋เจินอี้ไม่ได้รู้สึกอะไร ยิ่งไม่มีความเสียใจ อย่างมากสุดก็แค่โมโหกับการทุ่มเทกำลังไปอย่างเสียเปล่าของติงอิง เป็นเหตุให้แผนการมากมายของเขาและพรรคหูซานล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปด้วย

เจ้างัดข้อกับสวรรค์ ข้าควบคุมโลกมนุษย์

นี่ก็คือข้อตกลงระหว่างติงอิงและอวี๋เจินอี้ ต่างส่งเสริมชดเชยมหามรรคาให้แก่กันและกัน ดังนั้นหนึ่งผู้นำของฝ่ายธรรมะและหนึ่งผู้นำของฝ่ายอธรรม ปรมาจารย์ใหญ่สองท่านที่มีโอกาสว่าจะต่อสู้กันเอาเป็นเอาตายมากที่สุดจึงได้ตกลงเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ จัดวางแผนการไว้ที่หนันเยวี่ยน ความต่างของคนทั้งสองนั้นอยู่ที่ ติงอิงต้องการสังหารทุกคนบนอันดับรายชื่อเว้นจากพวกเขา ส่วนอวี๋เจินอี้กลับหมายหัวแค่พวกเจ๋อเซียนอย่างโจวเฝย ถงชิงชิง เฝิงชิงป๋าย แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันที่ปรากฏตัวเป็นคนสุดท้ายด้วย

อวี๋เจินอี้เริ่มสาวเท้าเดินเล่นอยู่ใต้แสงจันทร์ ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือหายใจออกก็ล้วนเป็นการฝึกตน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ตอนนั้นอวี๋เจินอี้มีความเด็ดเดี่ยวมากพอจะละทิ้งตบะวิถีวรยุทธ์ขั้นสูงสุดของตัวเอง

เรื่องการฝึกตน อันดับแรกต้องให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจ นี่ต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพที่อวี๋เจินอี้ใฝ่ฝันอยากจะเห็น ขอบเขตของวิถีวรยุทธ์ต่ำเกินไป ชั่วชีวิตนี้ก็คงได้แต่คลุกดินคลุกโคลน เทียบกับพวกคนมุทะลุดุดันในวรยุทธ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พวกคนอย่างเฉิงหยวนซานโลภมากไม่รู้จักพอ อยากจะให้ทุกสิ่งที่ตามองเห็นเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของตัวเองทั้งหมด พวกคนอย่างถังเถี่ยอี้โลภในอำนาจบนสนามรบ วาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ครอบครองทั้งแผ่นดินและหญิงงาม ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อตายไปแล้วยังทิ้งชื่อเสียงที่ดีงามเอาไว้ในประวัติศาสตร์ แต่กลับไม่รู้เลยว่าหากไม่เป็นอมตะ ทุกอย่างที่วาดฝันก็เป็นแค่ภาพมายา พวกคนอย่างหลิวจงก็เอาแต่มุ่งไปในด้านการใช้กำลังเท่านั้น ยิ่งไม่มีค่าพอให้พูดถึง

น่าเสียดายก็แต่จ้งชิว

สหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาในอดีตคนนี้กลับขังตัวเองไว้ในสถานที่แห่งเดียว

ทิศทางที่อวี๋เจินอี้ก้าวเดินไปเป็นไปตามใจปรารถนา ก้าวย่างเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ตอนเป็นเด็กก้าวเดินไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ตอนโตมาหนึ่งก้าวพุ่งไกลหลายสิบจั้ง แต่กลับไม่เคยเดินออกจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งไกลเกินไป บางครั้งก็เดินเลียบไปตามวิถีโคจรขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น

ภาพนี้ทำให้พวกแม่ทัพฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการของแคว้นหนันเยวี่ยนซึ่งพาทหารมาเฝ้าอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ รู้สึกอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าตัวเองจะดวงซวย อวี๋เจินอี้เลือกฝ่าวงล้อมจากตำแหน่งของตนพอดี เมืองหลวงอยู่ใกล้แค่นี้ หันหน้าไปก็มองเห็น นี่หมายความว่าฮ่องเต้มองเห็นความเคลื่อนไหวของที่แห่งนี้ทั้งหมด หากอวี๋เจินอี้ตัดสินใจว่าจะฝ่าวงล้อมออกไปในคืนนี้ ใครจะกล้าทำตัวขี้ขลาดหลบเลี่ยงการรบ?

ไม่มีใครรู้สึกว่าการระดมกำลังทหารกล้าเกือบหมื่นนายของเมืองหลวงหนันเยวี่ยนมาล้อมโจมตี ‘เด็กน้อย’ คนหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ

ใครจะจินตนาการได้ว่าศึกของปรมาจารย์สองคนก็สามารถทำให้ภูเขากู่หนิวทั้งลูกหายไป เรือนกายของพวกเขามีเลือดมีเนื้อ เพียงแค่เชี่ยวชาญในกลยุทธ์การรบเท่านั้น หากตายท่ามกลางสงครามบนสนามรบ พวกเขาอาจจะไม่รู้สึกเสียใจ แต่หากต้องตายภายใต้การดีดนิ้วครั้งเดียว หรือภายใต้การโบกชายแขนเสื้อครั้งเดียวของเทพเซียนเหล่านี้เล่า? บางทียังไม่ทันได้เห็นเงาร่างของอีกฝ่าย พวกเขาก็อาจตายไปแล้ว เหลือไว้เพียงโครงกระดูกกองโต มารดามันเถอะ แบบนี้มันหมายความว่าไง?!

อวี๋เจินอี้ไม่ได้สนใจความคิดของพวกทหารแคว้นหนันเยวี่ยนจริงๆ

ตอนนี้บุคคลที่เขาเก็บมาใส่ใจอย่างแท้จริงมีแค่สองคน ‘ถงชิงชิง’ ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยลงมือมาก่อน ตอนที่อยู่บนหัวกำแพง เมื่อนางดึงกระบี่เล่มนั้นออกจากมาผิวกระจกที่ปริแตก ขนาดอวี๋เจินอี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตรายเสี้ยวหนึ่ง

บุคคลที่ทำให้อวี๋เจินอี้รู้สึกหวั่นเกรงยิ่งกว่านาง แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่สังหารมารเฒ่าติงไปซึ่งๆ หน้า

อวี๋เจินอี้ไม่กลัวการโอบล้อมอย่างแน่นหนาของกองทัพใหญ่ ถึงขั้นไม่กลัวการไล่ฆ่าจากถงชิงชิง

มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่อวี๋เจินอี้ไม่กล้าประมาท

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงไม่ขัดขวางการดึงดูดปราณวิญญาณของตน ปล่อยให้ขอบเขตของตนไต่ทะยานขึ้นอย่างมั่นคง อวี๋เจินอี้คิดเป็นร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ

หรือว่าเมื่อผ่านการต่อสู้กับติงอิง เฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นเพียงหมอนปักลายบุปผาแล้ว?

ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันหยุดยืนก่อนเดินเข้าเมือง แท้จริงแล้วเป็นแค่การแสร้งข่มขู่เพื่อตบตาทุกคนบนหัวกำแพงเท่านั้น?

อวี๋เจินอี้หยุดเดิน มองไปทางเมืองหลวง มองเค้าโครงของเมืองใหญ่ภายใต้แสงจันทร์ สุดท้ายเขาก็เลือกล้มเลิกความคิดหยั่งเชิงไป หากเฉินผิงอันร่วมมือกับหอจิ้งซินและจ้งชิว นั่นต่างหากถึงจะเป็นหายนะที่แท้จริง ถึงเวลานั้นด้วยสันดานหญ้าบนยอดกำแพง (เหมือนสุภาษิตไทยว่านกสองหัว) ของถังเถี่ยอี้และเฉิงหยวนซาน จะต้องขับเรือตามลม หันไปเข้าพวกกับแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างแน่นอน

อวี๋เจินอี้กลับไปที่กระท่อม ยื่นมือออกมา ฝ่ามือลูบผ่านตัวกระบี่บินแก้วไปเบาๆ

ตอนนี้เขาสามารถทำตัวเหมือนเซียนที่ขี่กระบี่ทะยานไปไกลได้แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับอิสระเสรีที่แท้จริงซึ่งบันทึกไว้ในตำรา กลับยังห่างชั้นอยู่มาก ไม่สามารถบินได้สูงนัก แล้วก็ไม่สามารถบังคับลมบินไปไกลเกิน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

อวี๋เจินอี้กวาดตามองด้านบน มองดวงจันทร์บนฟ้า สักวันหนึ่งตนจะสามารถขี่กระบี่อยู่เหนือศีรษะคนบนโลก ก้มหน้าลงมองภูเขาและแม่น้ำ ผู้ที่อยู่สูงกว่าข้ามีเพียงตะวันจันทราและดวงดาวเท่านั้น

อวี๋เจินอี้พลันหลุบตาลงต่ำ บนหัวกำแพงแตกพังที่ยังซ่อมไม่เสร็จเรียบร้อยแห่งนั้น มองไม่เห็นโฉมหน้าของคนที่มาเยือนอย่างชัดเจน แต่ในสายตาของอวี๋เจินอี้กลับเห็นเป็นประกายแสงส่องสว่างกลุ่มหนึ่งที่ขัดตาเป็นพิเศษ

อวี๋เจินอี้หัวเราะหยัน “มาแล้วรึ?”

บนหัวกำแพงเมือง นักพรตหญิงอายุน้อยคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนป้อมยิงธนู มือข้างหนึ่งถือหม้อดินที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นหอมตลบอบอวล มืออีกข้างจ้วงตะเกียบรวดเร็วราวกับบิน กินไปพลางพูดไปด้วย “โอ้มารดาข้า เจ้านี่มันอร่อยจริงๆ แค่เผ็ดไปหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ๆ คราวหน้าจะกินทีเดียวสองชามไม่ได้แล้ว”

ประตูเมืองด้านล่างมีทหารม้าหลายนายควบม้าห้อทะยานออกมาเพื่อส่งข่าวทางการทหารซึ่งเป็นพระราชโองการฉบับหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงออกด้วยตัวเอง

กองทหารรักษาพระองค์และทหารรักษาการณ์ประจำเมืองหลวงสามกอง นอกจากกองทัพใหญ่ที่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ประตูเมืองทางทิศใต้แล้ว กองอื่นที่กระจายตัวกันอยู่ตามจุดต่างๆ ล้วนถอยไปด้านหลังยี่สิบลี้

คล้ายเว้นพื้นที่ว่างไว้ให้ใครบางคน

ใครที่ว่านั้นก็คืออวี๋เจินอี้และนักพรตหญิงหน้าตางามเลิศล้ำบนหัวกำแพงเมืองผู้นี้

หวงถิงก้มหน้าก้มตาสวาปาม บางครั้งเงยหน้ามองไปทางภูเขากู่หนิว หากอวี๋เจินอี้เผ่นหนีไปเวลานี้ นางคงจนปัญญาที่จะไล่ตามไปได้ทัน

วางหม้อดินใบนั้นไว้ข้างกาย วางตะเกียบคู่หนึ่งไว้บนหม้อดินเบาๆ หวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงลุกขึ้นยืน ตบท้อง พูดอย่างคนเสียใจภายหลังว่า “กินอาหารมื้อดึกเยอะเกินไปแล้ว แบบนี้น้ำหนักจะไม่ขึ้นมาอีกสองจินหรือ เฮ้อ ฝานกว่านเอ่อร์ ถ้วยข้าว? อย่างเจ้าน่ะต้องเรียกว่าถังข้าวถึงจะถูก…” (เปรียบเปรยถึงคนที่กินจุ ภายหลังยังมีอีกความหมาย หมายถึงคนที่ไม่มีความสามารถ)

รอจนกองทหารของหนันเยวี่ยนที่ติดอาวุธพรั่งพร้อมทั้งสามกองเริ่มเคลื่อนย้ายจุดปักหลัก

สายตาของนักพรตหญิงหวงถิงที่ฉายประกายคมปลาบก็จ้องมองไปทางอวี๋เจินอี้ นางเช็ดปาก พูดเบาๆ ว่า “คาดว่าหลังจบศึกครั้งนี้คงกลับมาผอมได้อีกครั้ง”

……

เฉินผิงอันที่นอนหลับอยู่บนหลังคาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังสนั่นจากนอกเมือง ทอดสายตามองไกลไปทางทิศใต้ก็เห็นว่ามีประกายแสงกระบี่สองเส้นตัดสลับกัน สาดสะท้อนแสงเจิดจ้า

คือกระบี่บินแก้วของอวี๋เจินอี้กับกระบี่ที่เอาออกมาจากในกระจกของหวงถิง

เฉินผิงอันไม่ได้กลับที่พักไปเอาปราณยาว แต่หยิบหนึ่งกระบี่หนึ่งดาบออกมาจากกระบี่บินสืออู่ เอามาแขวนไว้ข้างเอวซ้ายขวา นั่นคือกระบี่ยาวชือซินซึ่งเคยเป็นของโต้วจื่อจือ และดาบแคบหยุดหิมะที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นของป้อมอินทรีบิน

จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไป เงาร่างประหนึ่งก้อนเมฆที่ล่องลอย

จ้งชิวมายืนอยู่บนหัวกำแพงนานแล้ว เฉินผิงอันจึงมาหยุดยืนอยู่ข้างกายราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้

เฉินผิงอันถาม “ตีกันแล้วหรือ?”

จ้งชิวพยักหน้ารับ “เดิมทีหวงถิงคือผู้ฝึกตนเหมือนที่บ้านเกิดเจ้า จึงมีสัมผัสที่เฉียบไวต่อปราณวิญญาณเหนือกว่าพวกเราหลายเท่า”

เฉินผิงอันกล่าว “นางรู้สึกว่าหากปล่อยให้อวี๋เจินอี้ดึงปราณวิญญาณมาเหมือนปลาวาฬสูบน้ำแล้วจะสู้เขาไม่ได้?”

จ้งชิวกล่าวอย่างจนใจ “เปล่าเลย หากเป็นเช่นนั้นหวงถิงคงลงมือตั้งนานแล้ว ตามคำบอกของนางคือจงใจรอให้อวี๋เจินอี้กินอิ่มเสียก่อน นางค่อยลงมือ เวลาอวี๋เจินอี้แพ้จะได้ไม่มีข้ออ้าง”

เฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจความคิดของนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงคนนี้ได้เลย การเข่นฆ่าที่ตัดสินเป็นตาย เรื่องที่ต้องละเอียดรอบคอบและคิดเล็กคิดน้อยให้เยอะ ทำไมพอไปอยู่กับนางถึงกลายเป็นเหมือนการละเล่นของเด็กได้ขนาดนี้

เฉินผิงอันนึกย้อนกลับมามองตัวเอง ศึกบนถนนใหญ่ นับตั้งแต่หม่าเซวียน สตรีอุ้มผีผา ใบหน้ายิ้ม นอกจากที่ต้องคอยหยั่งเชิงความตื้นลึกหนาบางของใต้หล้าแห่งนี้อยู่ตลอดเวลาแล้ว เขายังต้องคอยอำพรางฝีมือที่แท้จริงครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นค่อยวางแผนเล่นงานลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่น สุดท้ายเป็นจ้งชิวกับติงอิง มีก้าวไหนบ้างที่ไม่เดินอย่างระมัดระวัง มีหมัดไหนบ้างที่ไม่ปล่อยออกไปอย่างหนักแน่นมั่นคง

แม้จะไม่เข้าใจความคิดของนางนัก แต่ในหัวใจของเฉินผิงอันกลับรู้สึกเลื่อมใสและอิจฉาหวงถิงผู้นี้ ท่องอยู่ในยุทธภพ คนที่ทำอะไรก็ตามโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์และความเป็นความตาย ก็ดูเหมือนว่าควรจะ…ไม่กลัวตายเช่นนี้

เฉินผิงอันพูดกับจ้งชิวเกี่ยวกับเรื่องตำราการสร้างสะพาน จ้งชิวยิ้มรับปากว่าจะช่วยหามาให้เขา

จากนั้นก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสตรีอุ้มผีผาและบัณฑิตยากจนสกุลเจี่ยงผู้นั้น

สำหรับราชครูของแคว้นหนึ่งแล้ว การตามหาบัณฑิตที่อยู่ในเมืองหลวงซึ่งมาร่วมสอบเคอจวี่เป็นเรื่องเล็กเช่นกัน แต่จ้งชิวไม่ได้ตอบรับทันที แต่ถามหนึ่งคำว่า “เจ้าแน่ใจว่าจะไปพบบัณฑิตคนนั้น?”

เฉินผิงอันตอบ “พบหรือไม่พบ ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”

จ้งชิวถึงได้พยักหน้าตอบรับ

คนทั้งสองมองไปทางภูเขากู่หนิว ความเคลื่อนไหวเวลาที่อวี๋เจินอี้กับหวงถิง ปรมาจารย์ใหญ่สองคนที่สามารถยึดครองสามอันดับแรกของใต้หล้าได้อย่างมั่นคงตีกัน ยิ่งนานก็ยิ่งรุนแรงดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนใหญ่มักจะเป็นแสงกระบี่หนาแน่น ยาวได้ถึงสิบกว่าจั้ง หรืออาจถึงขั้นหลายสิบจั้ง

คงเป็นเพราะรู้สึกว่าสถานที่ที่มีเฉินผิงอันและจ้งชิวยืนเคียงกันถึงจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า

ฮองเฮาโจวซูเจิน รัชทายาทเว่ยเหยี่ยน และยังมีองค์หญิงเว่ยเจิน รวมไปถึงแม่ทัพผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งถึงพากันเดินขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง ตรงดิ่งมาหาคนทั้งสองภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาของกองทหารรักษาพระองค์

แน่นอนว่าโจวซูเจินย่อมไม่กล้าวางมาดต่อหน้าจ้งชิว ทั้งสองฝ่ายจึงทักทายกันตามมารยาทอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนเว่ยเจินที่เห็นราชครูก็ยิ่งมีท่าทางระมัดระวัง ช่วยไม่ได้ จ้งชิวคือหนึ่งในอาจารย์ผู้สืบทอดวิชาของนาง ครั้งแรกในชีวิตที่องค์หญิงอย่างนางโดนตีก็เป็นฝีมือของราชครู ตอนนั้นแม่นางน้อยร้องไห้น้ำหูน้ำตาอาบหน้า พอไปหาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ที่กำลังเล่นหมากล้อมกันอยู่ คนหนึ่งบอกว่าตีได้ดี อีกคนหนึ่งบอกว่าตีเบาไป หลังจากนั้นมาเว่ยเจินก็หวาดกลัวราชครูจ้งเหมือนอีกฝ่ายเป็นสัตว์ดุร้าย

แม่ทัพผู้เฒ่าสามารถเดินทางมาพร้อมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ทั้งสามคนนี้ได้ คิดดูแล้วก็น่าจะเป็นผู้มีคุณูปการซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นหนันเยวี่ยน และเมื่อจ้งชิวเห็นเขาก็ถึงกับทักทายโดยการเรียกชื่อของอีกฝ่ายโดยตรง “ลวี่เซียว เจ้ามาได้อย่างไร?”

แม่ทัพผู้เฒ่าสวมเสื้อเกราะ เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เขาแค่นเสียงตอบว่า “ทหารรักษาการณ์ที่อยู่นอกเมือง เกินครึ่งล้วนเป็นพวกมือดีที่ข้าสอนมาเองกับมือ ข้าถอดเกราะกลับบ้านแล้วยังไง ไม่อาจลงสนามรบบุกทะลวงขบวนรบของศัตรู เรื่องนี้ข้ายอมรับ แต่ความสามารถในการโยกย้ายกองกำลังทหาร ข้าลวี่เซียวยังไม่เคยทิ้งไป! พวกเจ้าห้ามไม่ให้ข้าออกจากเมืองก็ช่างเถอะ แต่นี่ยังจะไม่อนุญาตให้ข้ามามองส่งพวกเขาอีกหรือ?!”

ผู้เฒ่าตบหัวกำแพงเมือง พูดอย่างมีโทสะ “ปรมาจารย์ในยุทธภพที่ชอบบินไปบินมาอย่างพวกเจ้า ทำไมถึงไม่ยอมหยุดอยู่เฉยๆ กันบ้าง? สู้กันจบไปครั้งหนึ่งก็มีมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เสียงดังหนวกหูจะตายอยู่แล้ว ทำเอาชาวบ้านเกินครึ่งเมืองนอนหลับไม่สนิท โดยเฉพาะเจ๋อเซียนสวมชุดขาวอะไรนั่นที่ถูกคนเอามาคุยโวเสียจนลึกลับมหัศจรรย์ บอกว่ามารเฒ่าติงพ่ายแพ้ใต้น้ำมือของเขา แถมยังหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ทำเอาหลานชายหลานสาวสองคนของข้าซักถามไม่หยุดว่าข้ารู้จักเขาไหม คนหนึ่งบอกว่าจะกราบเฉินเซียนซือเป็นอาจารย์ขอเล่าเรียนวิชา อีกคนหนึ่งบอกว่าอยากเห็นวีรบุรุษผู้เกรียงไกร ข้าจะไปรู้จักนายท่านใหญ่อย่างเขาได้ยังไง หากข้าได้พบเจ้าคนสวมชุดขาวผู้นั้นจะต้องชี้หน้าด่าให้เขาแทบกระอักเลือดตายไปเลย อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ชื่อของเขานั่น ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ …”

จ้งชิวกลั้นยิ้ม

ผู้เฒ่าโมโหจนขนคิ้วตั้ง กำลังจะอ้าปากด่าต่อ จ้งชิวกลับโบกมือ “พอแล้วน่า ฮองเฮา องค์รัชทายาทและองค์หญิงต่างก็อยู่ที่นี่ เจ้าลวี่เซียวหยุดพ่นน้ำลายเสียทีเถอะ”

แม่ทัพผู้เฒ่าเก็บเสียงอย่างขัดใจ

เฉินผิงอันไม่พูดอะไร ในใจคิดว่าแม่ทัพผู้เฒ่าคนนี้นิสัยตรงไปตรงมา แต่อาจจะเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย

ลวี่เซียวเห็นสายตาจากคนหนุ่มผู้นั้น แม่ทัพผู้เฒ่าที่กำลังหงุดหงิดจึงถลึงตาใส่ “ไอ้หนู เจ้ามองอะไร?! กล้าหัวเราะข้างั้นรึ?”

เฉินผิงอันไม่ได้โต้เถียง แค่ปลดกาเหล้าลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ

แม่ทัพผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่าคนผู้นี้คือคนในยุทธภพ ในเมื่อสามารถยืนอยู่กับจ้งชิวได้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่มีวรยุทธไม่ธรรมดา นิสัยใจคอก็คงไม่แย่สักเท่าไหร่ จึงพูดเตือนอย่างหวังดีว่า “ไอ้หนู ดูจากหน้าตาท่าทางของเจ้า พอจะมีกลิ่นอายของตำราอยู่บ้าง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต ไม่ใช่ว่าข้าอาศัยที่ตนมีอายุมากกว่าเที่ยวดูถูกคนอื่นหรอกนะ แต่ข้าลวี่เซียวน่ะมองคนได้แม่นยำนัก ขอแนะนำเจ้าจากใจจริงว่าวันหน้าอย่าท่องอยู่ในยุทธภพอีกเลย ไม่หวังว่าเจ้าจะไปสร้างคุณความชอบในสนามรบ ไม่ต้องให้เจ้าฝังร่างเคียงข้างม้าคู่ใจ แค่หัดเรียนรู้จากราชครูจ้งให้มาก แน่นอนว่าเรียนรู้เฉพาะด้านอริยะแห่งวรรณกรรมของเขาก็พอ ไอ้ด้านปรมาจารย์ฝ่ายบู๊ผายลมสุนัขอะไรนั่น มีดีตรงไหนกัน…”

เฉินผิงอันพูดไม่ออก ได้แต่เค้นรอยยิ้ม พยักหน้ารับอย่างกระอักกระอ่วน แล้วดื่มเหล้าอีกคำ

นอกจากนิสัยขี้หงุดหงิด พูดจาไม่ค่อยน่าฟังแล้ว อันที่จริงจิตใจของผู้เฒ่าไม่เลวเลย

องค์หญิงเว่ยเจินที่อยู่ด้านข้างเอามือปิดปากแอบหัวเราะตลอดเวลา

นางรู้ตัวตนของคนหนุ่มผู้นี้ ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่หอสุราตรอกจ้วงหยวนก็เคยพบเขามาแล้วครั้งหนึ่ง

แต่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่รู้แค่ว่าคนหนุ่มที่สังหารมารเฒ่าติงผู้นั้นสวมชุดสีขาว สามารถบังคับกระบี่ รู้วิชาเซียน แต่ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่เขาป่าวประกาศว่าจะชี้หน้าด่านั้น อยู่ไกลจนสุดขอบฟ้า อยู่ใกล้เพียงแค่เบื้องหน้าเท่านั้น

ต่อให้เป็นแม่ทัพผู้เฒ่าที่รังเกียจยุทธภพอย่างมาก ทว่าพอได้เห็นแสงกระบี่พร่างพราวพุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆจากตรงภูเขากู่หนิวกับตาตัวเองก็ยังอดทอดถอนใจกับตัวเองไม่ได้ “สมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ”

ทว่าแม่ทัพผู้เฒ่าที่มีนิสัยดื้อดึงกลับไม่ยอมปล่อยโอกาสใดๆ ที่จะได้สั่งสอนคนหนุ่มผู้หลงเดินทางผิดคนนั้นไป จึงหันหน้าไปพูดกับอีกฝ่ายว่า “เห็นหรือยัง นี่ต่างหากถึงจะเป็นมาดของปรมาจารย์ เจ้าต้องอายุเท่าไหร่ถึงจะมีขอบเขตได้เท่านี้? ให้เวลาเจ้าหนึ่งร้อยปีก็คงทำไม่ได้กระมัง? เพราะฉะนั้นละทิ้งด้านบู๊หันกลับมาเอาดีด้านบุ๋นเสียเถอะ หากวันใดที่คิดจนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว ยินดีทิ้งพู่กันมาเป็นสมัครเป็นทหารก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ขอแค่ตอนนั้นข้ายังไม่ลงโลงไปเสียก่อน เจ้าก็มาหาข้า ข้าจะช่วยแนะนำเจ้าด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะกองทหารกล้ากองไหนของแคว้นหนันเยวี่ยน เจ้าก็เลือกได้ตามสบาย!”

แม่ทัพผู้เฒ่าพูดน้ำลายแตกฟอง

เฉินผิงอันเช็ดใบหน้า ถอนหายใจ ได้แต่บอกชื่อตัวเองออกไป “ข้าชื่อเฉินผิงอัน”

ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ชื่อเฉินผิงอันแล้วอย่างไร เจ้าไม่ได้แซ่จ้งสักหน่อย คนที่เป็นขุนนางใหญ่ในแคว้นหนันเยวี่ยนเรา มีใครบ้างที่ข้าไม่รู้จัก…”

แม่ทัพเฒ่าพลันหยุดพูด ก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ ชูนิ้วโป้งออกมา แสร้งพูดเหมือนคนโง่งม “ชื่อดี!”

จากนั้นผู้เฒ่าก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาขยับเดินไปหยุดอยู่ข้างกายจ้งชิวเงียบๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับออกไป จนกระทั่งไปหยุดอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทที่อยู่ห่างที่สุด

แม่ทัพผู้เฒ่าคิดว่าช่วงนี้จะไม่พูดอะไรอีก เขาจะฝึกการห้ามพูด

เฉินผิงอันมองศึกที่ภูเขากู่หนิวอีกพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไปก่อนล่ะ”

แน่นอนว่าไม่มีใครขัดขวาง

ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา หลังจากพอจะมองสายสนกลในจากศึกใหญ่นั้นออก จ้งชิวก็พูดปลงอนิจจังด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้านี้โอกาสแพ้ชนะยังอยู่ระหว่างห้าต่อห้า ตอนนี้กลับไม่มากเท่าเขาแล้ว”

โจวซูเจินยังคงมองอะไรไม่ออก รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนก็พอๆ กัน

แม่ทัพเฒ่าลวี่เซียวและองค์หญิงเว่ยเจินก็ยิ่งสับสนมึนงง

ลวี่เซียวกล่าวอย่างอัดอั้น “ราชครู เขาไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”

จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “ขอแค่คืนนี้เฉินผิงอันยินดีมาปรากฏตัวบนหัวกำแพงเมือง อวี๋เจินอี้ก็ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอีกแล้ว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวก็หันหน้าไปมอง ถอนหายใจอยู่ในใจ ไหนบอกว่าจะไม่สนเรื่องใดแล้วไม่ใช่หรือ?

……

ตอนที่เฉินผิงอันกลับมาถึงบ้านพักอย่างเงียบเชียบ ฟ้ายังไม่ทันสาง

หลายวันมานี้คนจิ๋วดอกบัวนอนขดตัวอยู่ในชุดคลุมอาคมจินหลี่ตลอดเวลา มันนอนหลับสนิทฝันหวาน เฉินผิงอันจึงไม่ได้เอาจินหลี่กลับคืนมา

เข้ามาในห้องก็สังเกตเห็นว่าลมหายใจของเจ้าตัวน้อยมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ มันเปลี่ยนท่านอนใหม่ เฉินผิงอันจึงช่วยขยับกระชับชายแขนเสื้อของจินหลี่เข้ามาให้

เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง เด็กหญิงร่างผอมแห้งนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก พิงประตูห้องนอนหลับ แม้ในยามหลับฝัน นางก็ยังขมวดคิ้ว

ดูจากท่านอนของนาง เฉินผิงอันถึงขั้นบอกได้ว่า นางที่อายุไม่มากเต็มไปด้วยความระแวดระวังต่อโลกใบนี้

เฉินผิงอันกำสองมือเป็นหมัดวางลงบนหัวเข่าเบาๆ รอคอยให้ฟ้าสว่างเงียบๆ

นักพรตเฒ่าพลันมาปรากฏตัวยืนอยู่ข้างกายเขา คนหนึ่งยืน คนหนึ่งนั่ง

นักพรตเฒ่าพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ในเมื่อเจ้าสะพายกระบี่ปราณยาวของเฉิงชิงตู ข้าจึงแหกกฎปล่อยให้เจ้าเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งเรือนกายและจิตวิญญาณ ส่วนข้อที่ว่าทำไมเจ้าถึงมา ข้าย่อมคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เพียงแต่ว่าจะให้ข้าช่วยเจ้าสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ หากจะบอกว่ายากก็ไม่ยาก แต่ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีที่ได้มาอย่างง่ายดายหรอกนะ”

นักพรตเฒ่ายื่นนิ้วชี้ไปยังห้องของเฉาฉิงหล่าง “ก่อนหน้านี้ได้ฟังบทสนทนาระหว่างเจ้ากับเด็กคนนั้น เกี่ยวกับหลักการเรื่องถูกผิดและก่อนหลัง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าต้องมีความเกี่ยวข้องกับซิ่วไฉเฒ่า ถึงอย่างไรคำกล่าวถึงเรื่องลำดับขั้นตอนของซิ่วไฉเฒ่าก็คือข้าที่รู้เป็นคนแรกของใต้หล้า สร้างบัญชีเลอะเลือนเอาไว้ ยังมีหน้าจะสั่งสอนคนรุ่นหลังอย่างผิดๆ !”

กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตเฒ่าก็หัวเราะเสียงเย็น “ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะเพิ่มระดับความสูงของธรณีประตูขึ้นอีกนิด ถึงได้มีสถานการณ์ล้อมสังหารนั้นเกิดขึ้น อีกทั้งยังปล่อยให้ติงอิงพันธนาการวัตถุฟางชุ่นชิ้นนั้นไว้ หากความสามารถของเจ้าไม่มากพอ มาตายอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นหากเจ้ายอมทิ้งกระบี่ปราณยาวเอาไว้ ข้าก็คงไม่ทำให้เจ้าลำบากใจเกินไปนัก ถึงขั้นยังจะปล่อยเจ้าไว้ที่นี่อีกหลายสิบปี มาอย่างไรก็ยังต้องกลับไปอย่างนั้น ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องร่างกายและจิตวิญญาณ ข้าไม่ถูกกับซิ่วไฉเฒ่าก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นมาระบายอารมณ์เอากับเจ้า เพียงแต่ว่ากฎก็ยังต้องเป็นกฎ”

เฉินผิงอันยิ้มฝืดเฝื่อน “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

นักพรตเฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ภายหลังมียอดฝีมือของสำนักหยินหยาง แถมยังเป็นยอดฝีมือประเภทที่ฝีมือสูงมากคนหนึ่งลงมือหนึ่งครั้งอย่างคลุมเครือ เหยียบลงบนเส้นบรรทัดฐานของข้าพอดี ข้าจึงอดทนข่มกลั้น ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา ทว่าลูกศิษย์ของเขาที่เกิดมาก็มีร่างกายเป็นปลาหยินหยางไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เข้าสิงร่างฝานกว่านเอ่อร์สองครั้ง พยายามจะเตือนเจ้า บอกวิธีให้เจ้าออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าจึงทำให้สมบัติอาคมสองชิ้นที่เหลือบนร่างของเจ้าใช้งานไม่ได้”

เฉินผิงอันถาม “คือเมืองคนกระดาษแห่งนั้น แล้ว…แคว้นเป่ยจิ้น?!”

นักพรตเฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ถือว่าเจ้าไม่โง่งมเกินไปนัก สองสถานที่แห่งนี้ล้วนเป็นฝีมือของคนผู้นั้น น่าสนใจมากทีเดียว ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเขาถึงยินดีลงมือ เจ้าเคยเผชิญความยากลำบากด้วยน้ำมือของเขาหรือไม่?”

หน้าผากของเฉินผิงอันมีเหงื่อผุดซึม

มาจากความรู้สึกหวาดกลัวจากใจจริง

ซึ่งเล็กน้อยกว่าความเป็นความตาย เพราะเรื่องของความเป็นความตาย ส่วนใหญ่มักจะตัดสินด้วยเวลาชั่วเสี้ยววินาทีที่ยกมือตวัดมีดลงเท่านั้น

ความหวาดกลัวนี้ของเฉินผิงอันเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่มีแต่หมอกขาวโพลน เดินพลาดไปก้าวเดียวก็ร่วงหล่นลงไปในหุบเหว แล้วยังเห็นว่ามีคนผู้นั้นยืนอยู่ริมหน้าผา มองดูเขาตายด้วยสายตาเย็นชา

คนผู้นั้น

จนกระทั่งบัดนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งนึกออก

เขาก็คือชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อๆ ที่เดินสวนไหล่กับเขาที่ป้อมอินทรีบิน ตอนนั้นชายฉกรรจ์ยังส่งยิ้มกว้างให้กับเขา

เป็นคนเดียวกับชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่ คนดีที่ยิ้มตาหยีให้ตนตอนเป็นเด็ก!

ตอนนั้นที่อยู่ป้อมอินทรีบิน เฉินผิงอันแค่รู้สึกว่าคุ้นหน้าอีกฝ่าย แต่ให้ตายก็นึกไม่ออก

สิ่งที่เฉินผิงอันจำได้ไม่ใช่โฉมหน้าของคนผู้นั้น แต่เป็นรอยยิ้มของเขา

ตั้งแต่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาจนถึงใบถงทวีป

เฉินผิงอันยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก

นักพรตเฒ่าเอ่ยถาม “ในที่สุดก็นึกออกแล้วว่าเป็นใคร? ถ้าอย่างนั้นเข้าใจหรือยัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เหตุใดเขาถึงหวังดีบอกเตือนข้า นั่นเป็นเพราะไม่ต้องการให้ข้าเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัวซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาควบคุมไม่ได้ แล้วก็เพราะกริ่งเกรงท่านผู้อาวุโส ถึงได้ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้ง”

นักพรตเฒ่าอืมรับหนึ่งที “ดีกว่าคำว่าโง่เขลามานิดหนึ่ง อันที่จริงเจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้คนผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายกับเจ้า หาไม่แล้วด้วยโชคชะตาของเจ้า ไหนเลยจะพบเจอกับคนจิ๋วดอกบัวได้”

นักพรตเฒ่าถามอีก “ข้าทำลายสถานการณ์ในครั้งนี้ได้ คนอื่นจะทำไม่ได้เลยจริงๆ หรือ? ทว่าเจ้าเพิ่งจะมารู้ความจริงเอาตอนนี้ ไม่รู้สึกแปลกบ้างเลยหรือไง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า กล่าวอย่างไม่ลังเล “ไม่เลย หากเป็นเมื่อก่อนก็ไม่มีทางรู้สึกแปลกใจ แต่เป็นความไม่แปลกใจเพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทว่าเมื่อได้มาเดินอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนี้ เชื่อมโยงเขากับการเดินทางไกลสองครั้งก่อนหน้านั้น พบเจอคนและเรื่องราวมาหลากหลาย เรื่องที่เข้าใจก็มีไม่น้อย ดังนั้นจึงยิ่งไม่รู้สึกประหลาดใจ”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็พอจะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้วสิ”

เฉินผิงอันถาม “ข้าจะออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้เมื่อไหร่?”

นักพรตเฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าควรจะถามก่อนว่าเมื่อไหร่ถึงจะออกไปจากแคว้นหนันเยวี่ยนได้”

คราวนี้ผู้เฒ่าไม่ได้แสร้งอุบไว้อีก “รอจนเรื่องในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนยุติลง ข้าจะพาเจ้าไปดูใต้หล้าแห่งนี้”

เฉินผิงอันปลดกาเหล้าลง ถือค้างไว้กลางอากาศ ไม่ได้เอาขึ้นมาดื่ม แต่สุดท้ายอดไม่ไหวจริงๆ จึงปลุกความกล้าถามว่า “ทำไม?”

นักพรตเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “มรรคกถาของข้าผู้อาวุโสยิ่งใหญ่เทียมฟ้า อยู่ว่างก็เบื่อมากนี่นา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version