บทที่ 324 แสงไฟในโลกส่องสว่าง
เฉินผิงอันผลักประตูเดินเข้าไป
ในบ้านไม่มีคน
ไม่มีหญิงชราปากร้ายขี้บ่น แน่นอนว่าย่อมไม่มีเสียงสบถด่าฟ้าด่าดินของนาง ไม่มีคนปากร้ายดั่งมีด แต่จิตใจอ่อนเหลวดั่งเต้าหู้ ไม่มีสตรีแต่งงานแล้วที่มองดูเหมือนเป็นคนซื่อ แต่กลับขโมยหนังสือไปให้ลูกชายอ่าน สายตาที่นางมองลูกชายตัวเองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอยู่เสมอ ไม่มีชายชราที่ติดเล่นหมากล้อม แล้วก็ไม่มีชายฉกรรจ์ที่แบกห่อผ้าออกไปเสี่ยงดวงข้างนอก เช้าตรู่ของทุกวัน ก่อนออกจากบ้านเขาจะค่อยๆ เดินย่องออกไป คาดว่าคงกลัวจะทำเสียงดังรบกวนบุตรชายที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน
เฉินผิงอันยืนอยู่ในลานบ้านครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง เอาปราณยาวสอดกลับเข้าไปในฝักกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะ หนังสือบนโต๊ะไม่เหลืออยู่แล้ว เฉินผิงอันนั่งยองลงบนพื้น เอาฝ่ามือแนบกับพื้นดิน หลับตาลง พยายามตามหาร่องรอย กระบี่บินสืออู่และชูอีบินพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แนบตัวติดกับพื้นดินแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายทิ่มปลายกระบี่ลงบนตำแหน่งหนึ่งของพื้นดิน
เฉินผิงอันรีบใช้สองมือขุดเปิดหน้าดินทันที ด้วยขอบเขตวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ห้านิ้วของเขาจึงเรียกว่าตัดเหล็กดุจโคลนได้แล้ว
ตอนที่ต่อสู้กับจ้งชิวอยู่บนถนนใหญ่ เขาได้เลื่อนสู่ขอบเขตห้า หลังจากนั้นก็ได้สู้กับติงอิง การนำหินลับมีดสองก้อนนี้มาใช้ขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ เมื่อเทียบกับการประลองฝีมือกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองบนเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือสภาพจิตใจก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าเก่าเยอะมาก โดยเฉพาะหลังจากต่อสู้กับติงอิงตั้งแต่ที่หัวกำแพงไปจนถึงภูเขากู่หนิว ศึกตัดสินเป็นตายที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของวิถีวรยุทธ์และชะตาบู๊แห่ง ‘ใต้หล้า’ นี้ ต่อให้มองจากสายตาของผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วก็ยังมีแต่ความชื่นชม เขาคงพูดว่า แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดเก้าก็ไม่แน่ว่าจะมีพลังอำนาจเช่นนี้
ครู่หนึ่งต่อมาในหลุมใหญ่ที่สูงเกือบเท่าตัวคนหลุมหนึ่ง เฉินผิงอันใช้สองมือกอบประคองคนจิ๋วดอกบัวที่ลมหายใจรวยรินขึ้นมา กระโดดออกจากหลุมใหญ่ วางมันลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างออกก่อนเอามันมาห่อเป็นก้อนคล้ายรังต้นหญ้า แล้ววางเจ้าตัวน้อยลงไปในชุดคลุมอาคม
หลังจากนั้นก็รีบหยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เมื่อเทียบกับเงินหิมะน้อยที่ปราณวิญญาณบางเบา และเงินร้อนน้อยที่แค่ใช้มือจับก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณไหลเวียนวนแล้ว ปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินฝนธัญพืชมีมากที่สุด เพราะเหมือนถูกผนึกเป็นน้ำแข็ง เฉินผิงอันกำเหรียญเงินที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กันนี้ไว้กลางฝ่ามือ บีบหนึ่งครั้ง เงินฝนธัญพืชก็ระเบิดแตก เฉินผิงอันคลายมือออกเล็กน้อย โปรยมันลงไปบนร่างของคนจิ๋วดอกบัว
ส่วนเรื่องที่ว่าเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญสามารถซื้อภูตประหลาดมากมายมาจากร้านตระกูลเซียน อย่างน้อยก็ต้องเป็นภูตที่แม้แต่ในจวนตระกูลอ๋องหรือตระกูลของผู้สูงศักดิ์ก็ยังหาได้ยาก เฉินผิงอันไม่ได้เป็นนกน้อยที่เพิ่งหัดบินในยุทธภพอีกแล้ว ไม่ใช่ศิษย์เตาเผามังกรในตรอกหนีผิงอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรู้ชัดเจนดี
เฉินผิงอันรู้จักโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้ำสวรรค์หลีจู ราชวงศ์ต้าหลี แจกันสมบัติทวีป กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใบถงทวีป พื้นที่มงคลดอกบัว
เฉินผิงอันจับตามองคนจิ๋วดอกบัวอย่างละเอียด ปราณวิญญาณที่ไหลไปทั่วร่างคล้ายน้ำพุที่ไหลแทรกซึมเข้าสู่ผืนนาที่ดินแตกระแหงอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันเริ่มวางใจลงได้ ขอแค่ยังสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้ก็แสดงว่ายังมีทางเยียวยารักษา จึงยื่นนิ้วโป้งไปลูบหน้าผากที่เกลี้ยงเกลาของเจ้าตัวน้อยเบาๆ
ปลอบโยนคนจิ๋วดอกบัวเสร็จก็กลบดินลงหลุมให้เรียบร้อย เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กใต้ชายคา ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมาแกว่ง แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า
หลังจากถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่แล้ว เฉินผิงอันก็สลายกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นบนตัวออกไป ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับติงอิงมีแต่บาดแผลเต็มตัว และก็เพราะเหตุนี้เขาถึงได้ถูกปราณวิญญาณมากมายราวน้ำทะเลกรอกใส่ร่าง พวกมันฉวยโอกาสไหลกรูเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณใหญ่ๆ ในร่างของเฉินผิงอัน เวลานี้ลมปราณเหล่านั้นนอนขดตัวอยู่ในช่องโพรงลมปราณทั้งหลายคล้ายกองกำลังต่างๆ ในพื้นที่การปกครองแบบแบ่งแยกดินแดน เพราะไม่ลามไปรุกรานเส้นทางที่ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ต้องผ่าน ช่องโพรงลมปราณเหล่านี้จึงเหมือนสถานที่นอกด่าน ก่อตัวกลายเป็น ‘เมืองชายแดน’ ที่ต่างคนต่างถูกบีบให้อยู่ในสถานที่แคบๆ ส่วนใหญ่ล้วนกระจัดกระจาย ไม่ได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่น ดังนั้นจึงไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร
เฉินผิงอันไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือร้าย แต่ตอนนี้เขายังไม่มีวิธีจะแก้ไขมันได้จริงๆ
ควรจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งนั้นขึ้นมาอย่างไร และการไปจากใต้หล้าแห่งนี้ จึงจะเป็นเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้
อารามกวานเต๋าไม่ใช่อารามเต๋าอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นว่านักพรตเฒ่าไปที่ไหน ที่นั่นก็คืออารามเต๋า นี่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงไม่บอกตนแต่เนิ่นๆ
ทว่าลองมาย้อนนึกดู ตอนนั้นที่เข้ามาในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน วันๆ เดินสะเปะสะปะไปเรื่อยเหมือนแมลงวันไร้หัว เมื่อจิตใจวุ่นวายสับสนไปแล้ว เขาก็เลือกทำใจให้สงบแล้วเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย นั่นเป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างออกไป ได้พบเห็นผู้คนสารพัดรูปแบบ มองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่มันทำให้เฉินผิงอันนึกถึงชีวิตตอนเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร เงินที่ทำงานแลกมาไม่มากพอให้ใช้มือเติบ แต่ก็มากพอจะเลี้ยงดูตัวเองให้มีชีวิตรอดต่อไป ไม่ต้องถึงขั้นหิวตาย ดังนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันมีเสื้อผ้าพอให้ใส่ มีอาหารพอให้กินอิ่ม ก็คงเป็นเพราะมีความรู้สึกเช่นนี้ ทุกครั้งที่ติดตามผู้เฒ่าเหยาขึ้นเขาไปเก็บดิน ต่อให้จะต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เดินทางบนภูเขาอย่างยากลำบาก ทุกวันเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ทว่าใจกลับไม่เหนื่อย ล้มตัวลงได้ก็หลับทันที
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกมาจากอำเภอหลงเฉวียน คุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปขอศึกษาต่อ ต่อมาก็บุกเข้ามาในใต้หล้าแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
เคยมีครั้งไหนที่นอนหลับสบายบ้าง?
ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งเฉินผิงอันจะลุกขึ้นไปดูอาการของคนจิ๋วดอกบัวในห้อง แม้ว่าพัฒนาการจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่กลับค่อยๆ ฟื้นตัวหายดีทีละนิด นี่ถึงทำให้เขาวางใจลงได้อย่างแท้จริง
การจากเป็นจากตายที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ต่อให้อาศัยเหล้าดับทุกข์ได้ แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่คืนสติจากฤทธิ์สุรา
ในห้องสามารถวางใจลงได้แล้ว แต่นอกห้องล่ะ?
เฉินผิงอันนั่งก้มตัวอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก รอคอยให้เด็กชายที่ชื่อเฉาฉิงหล่างกลับมาบ้าน
นับแต่วันนี้ไป บ้านในตรอกเล็กที่ไม่มีชื่อแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากบ้านหลังน้อยในตรอกหนีผิงปีนั้นแล้ว
ช่วงสนธยา เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เด็กน้อยคนหนึ่งเดินอยู่ในตรอกเล็ก ประตูบ้านไม่ได้ปิดไว้ พอเขามองเห็นเฉินผิงอันสีหน้าก็ทึ่มทื่อ ก่อนจะก้มหน้าลง เฉาฉิงหล่างเดินเข้าห้องของตัวเองไปอย่างเงียบงันและเฉยเมย
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร กลับลงไปนั่งบนม้านั่งอีกครั้ง จนกระทั่งถึงช่วงกลางดึก ในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ ต่อให้ตอนดึกจะมีลมโชยมาปะทะใบหน้า แต่ก็ยังไม่ถือว่าเย็นสบายอยู่ดี ช่วงเวลาระหว่างนี้ตอนที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมดูคนจิ๋วดอกบัว บังเอิญเหลือบไปเห็นพัดสานที่ทำขึ้นหยาบๆ อันหนึ่ง จึงหยิบออกมาจากห้อง
ครึ่งคืนหลังเสียงตีฆ้องบอกเวลาดังแว่วมาไกลๆ
เฉาฉิงหล่างเดินออกจากห้อง หิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยื่นพัดส่งไปให้ เฉาฉิงหล่างลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรับไป
เงียบงันกันอยู่นาน เฉินผิงอันถึงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ขอโทษนะ”
ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กชายไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่ได้โทษเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้พูดว่าไม่ได้ตำหนิเขา เอาแต่ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ
วันต่อมาเฉาฉิงหล่างตื่นสายมาก แล้วก็ไม่ได้ท่องหนังสือยามเช้าตรู่ เฉินผิงอันจึงไปที่โรงเรียน คิดจะไปขอลาหยุดแทนเฉาฉิงหล่าง กลับเห็นว่าคนเดินบนถนนบางตา พอไปถึงโรงเรียนก็พบว่าประตูปิดสนิท แม้แต่หน้าอาจารย์ผู้สอนหนังสือก็ไม่ได้พบ
แต่เฉินผิงอันค้นพบว่าไม่มีสายลับของแคว้นหนันเยวี่ยนปรากฏตัวใกล้ๆ แม้แต่คนเดียว
คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นฝีมือของราชครูจ้งชิว
สองวันต่อมามีคนแอบย้ายออกไปจากแถบนี้อย่างเงียบเชียบ ยามค่ำคืนเหลาสุราหอโคมเขียวในตรอกจ้วงหยวนก็เงียบสงบลงเยอะมาก เงียบจนราวกับว่าสามารถกางตาข่ายดักนกหน้าประตูได้เลย (เปรียบเปรยถึงความเงียบเหงา ไม่มีคนมาเยือน)
ยามสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งมานั่งอยู่ตรงหัวเลี้ยวของตรอก หากเป็นยามปกติ ตรงนี้จะต้องมีวงหมากล้อม คนบ้าหมากล้อมสองคนเข่นฆ่ากันบนกระดานจนฟ้ามืด ด้านข้างมีคนบ้าหมากล้อมอีกนับไม่ถ้วนคอยร้องบอกส่งเดชว่าต้องวางหมากตัวไหน
บนถนนใหญ่ยังคงมีร่องลึกตัดสลับ ผนังหักกำแพงแตกพัง สภาพน่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ที่แท้จ้งชิวก็มาหา
จ้งชิวเดินเล่นเลียบไปตามถนนเส้นใหญ่กับเฉินผิงอัน สีหน้าของจ้งชิวเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พื้นที่แถบเมืองหลวงนี้ได้เพิ่มการป้องกันให้เข้มงวดอย่างลับๆ แล้ว ข่าวลือที่มาจากแต่ละด้านก็ถูกควบคุมเอาไว้ ฮ่องเต้และรัชทายาทต่างก็รู้สึกสนใจในตัวเจ้า อยากพบเจ้ามาก แต่ถูกข้าโน้มน้าวห้ามปรามเอาไว้ แต่หากเจ้าเต็มใจก็สามารถเข้าวังไปได้ตลอดเวลา หรือจะไปเที่ยวเล่นหาข้าที่บ้านพักก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ
จ้งชิวสวมชุดสีเขียว จอนผมสองข้างเป็นสีขาวเล็กน้อย เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน เขากลับดูแก่ชราขึ้นหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของราชครูผู้นี้ไม่ได้ผ่อนคลายนัก เขาเอ่ยต่อว่า “อวี๋เจินอี้อยู่ที่ซากปรักของภูเขากู่หนิว สร้างกระท่อมหลังเล็กให้ตัวเอง หวังจะตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นั่น ฮ่องเต้ให้ข้อเสนอบอกว่า เว้นแต่อวี๋เจินอี้จะย้ายพรรคหูซานเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นหนันเยวี่ยน หาไม่แล้วคงต้องใช้กำลังขับไล่อวี๋เจินอี้ออกไป อวี๋เจินอี้ไม่สนใจ ข้าหวังว่าฮ่องเต้จะทรงรอไปอีกหน่อย แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยอมรับปาก ตอนนี้ระดมกำลังทหารแล้ว อีกไม่นานย่อมต้องมีทหารนับหมื่นนายไปล้อมอยู่ที่ภูเขากู่หนิว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “แล้วฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินผู้นั้นล่ะ?”
จ้งชิวเล่าความเป็นมาคร่าวๆ ของฝานกว่านเอ่อร์ให้เฉินผิงอันฟังก่อน จากนั้นก็กล่าวอย่างระอาใจว่า “ข้าเดาเอาว่าฮ่องเต้น่าจะไปพบนางเป็นการส่วนตัว ถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ คิดว่าขอแค่มีนางช่วยคุมทัพ บวกกับถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่เป่ยจิ้นที่เลือกอยู่ต่อในเมืองหลวง แน่นอนว่ายังรวมถึงข้าจ้งชิวด้วย ต่อให้สถานการณ์จะแย่ก็คงไม่แย่ไปยังไง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวก็มายืนอยู่ตรงริมขอบของร่องลึก ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ตอนนั้นเฉินผิงอันใช้ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นวิชาหมัดขั้นสูงสุด ทะยานลมเข้ามาใกล้แล้วต่อยให้เขาปลิวกระเด็นออกไป เขาคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ฮ่องเต้พูดจาหยั่งเชิงข้าอยู่หลายครั้ง หมายสอบถามให้รู้ถึงสภาพจิตใจและประวัติความเป็นมาของเจ้า ข้าทั้งไม่อาจหลอกลวงฮ่องเต้ แล้วก็ไม่อาจดึงเจ้าเข้ามาข้องเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์ จึงพูดแค่ว่าเจ้าไม่มีทางให้การสนับสนุนแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็ไม่มีทางช่วยเหลืออวี๋เจินอี้ นกกระเรียนป่าที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้า มีแต่จะอยู่ในจุดลึกของหมู่เมฆ ไม่มีทางลงมาคบค้าสมาคมกับสุนัขหรือไก่ ยิ่งไม่มีทางจะมาแย่งชิงอาหารกับพวกมัน”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ
จ้งชิวโบกมือ “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงรู้สึกรำคาญใจยิ่งกว่าเจ้า”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ
จ้งชิวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวที่เจ้าไปพักอาศัย ข้าเป็นคนจัดการเอง ทางราชสำนักก็จับตัวพวกคนของลัทธิมารมาได้ไม่น้อย สามารถแน่ใจได้ว่าตอนนั้นเป็นติงอิงที่ออกคำสั่ง คาดว่าคงเพราะต้องการให้หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ประมือกับเจ้าแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เอาตัวอยู่นอกสถานการณ์ เพื่อสะดวกดึงตัวลู่ฝ่างและโจวเฝยออกมาในตอนท้าย และฟังจากคำให้การของเฉาฉิงหล่างซึ่งได้มาจากที่ว่าการ รู้ว่าการที่ติงอิงทำเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าสักเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะติงอิงเข้าใจผิดคิดว่าเด็กเฉาฉิงหล่างผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
แล้วจู่ๆ เขาก็ถามว่า “ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?”
จ้งชิวอึ้งตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เฉินผิงอันชี้ไปยังปราณยาวที่อยู่ข้างหลังตัวเองพลางอธิบายว่า “ข้าแบกกระบี่เล่มนี้ทะเล่อทะล่าบุกเข้ามาที่นี่ เดินวนไปวนมา ตามหาอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ในนี้นานแล้ว”
จ้งชิวอธิบายบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเจ๋อเซียนและพื้นที่มงคลดอกบัวให้เฉินผิงอันฟัง
เฉินผิงอันถึงได้กระจ่างแจ้ง
ตอนนั้นนักพรตเฒ่าพูดแค่ครึ่งเดียว สามารถแน่ใจได้ว่าอารามกวานเต๋าไม่มีอยู่จริง แต่อันที่จริงแล้วก็พูดได้ว่าตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวก็คือ ‘สถานที่พิศมรรคา’ ของนักพรตเฒ่า
ตอนแรกเฉินผิงอันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้ว เพราะเขาค้นพบว่าในทวีปหนึ่งกลับมีแคว้นเป่ยจิ้นถึงสองแห่ง ต้องรู้ว่าเฉินผิงอันพบคนจิ๋วดอกบัวในวัดเป่ยจิ้น ทีแรกเฉินผิงอันยังนึกว่าอาจเป็นเพราะขนบธรรมเนียมของใบถงทวีปไม่เหมือนกับแจกันสมบัติทวีป เขายังเคยไปเปิดอ่านหนังสือเกร็ดพงศาวดารและผลงานของปัญญาชนมากมายจากร้านหนังสือในตรอกจ้วงหยวน ผลคือยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกประหลาด แต่ก็ยังไม่ถอดใจ เลยแอบเข้าไปในหอเก็บตำราส่วนตัวของตระกูลแห่งหนึ่งที่แค่มองก็รู้ว่ามีฐานะ หมายจะใช้ประวัติศาสตร์แท้จริงมายืนยันตำแหน่งที่แน่ชัดของแคว้นหนันเยวี่ยนในใบถงทวีป แต่ก็ยังเหมือนเดินในไอหมอก เพราะในตำราก็มีแค่ประวัติศาสตร์ของสี่แคว้นเท่านั้น
ภายหลังเกิดเรื่องน่าอายขึ้นที่วัดป๋ายเหอ สี่ปรมาจารย์ใหญ่มารวมตัวกันที่ภูเขากู่หนิว เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ เพราะทุกคนล้วนชอบใช้คำศัพท์ว่า ‘ใต้หล้า’ ราชครูจ้งชิวคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า แคว้นหนันเยวี่ยนคือแคว้นที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในใต้หล้า ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินคือสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ฯลฯ และยังมีอีกมากมายจนไม่อาจยกตัวอย่างได้หมด
และคืนนั้นในวัดป๋ายเหอ ติงอิง โจวซื่อและยาเอ๋อร์แฝงตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่เพื่อตามหาอรหันต์ร่างทอง
ก่อนหน้านี้เนื่องจากข้างกายเฉินผิงอันมีผู้ฝึกตนอย่างภิกษุเฒ่าวัดจินเซียงอยู่ท่านหนึ่ง บวกกับที่เข้ามาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานก็ได้เห็นชุดกระโปรงสีเขียวที่ชอบร่ายรำอยู่ใต้แสงจันทร์ตัวนั้น เฉินผิงอันจึงไม่ได้คิดมาก นึกว่าที่นี่คือ ‘สถานที่ไร้อาคม’ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเป็นอุปสรรคแห่งหนึ่ง ก็เหมือนที่ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าอยู่ในแคว้นซูสุ่ยแจกันสมบัติทวีปก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝีมือแข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้ว
ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูอย่างละเอียด เฉินผิงอันพลันรู้สึกขนลุกขนชัน หนาวยะเยือกยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
เหมือนกับตอนที่มองไปยังบ่อน้ำแห่งนั้น
แม้จะรู้ว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว แต่เข้ามาอย่างไร เข้ามาเมื่อไหร่ เฉินผิงอันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ขอแค่นักพรตเฒ่าไม่ปรากฏตัววันหนึ่ง เฉินผิงอันก็ไม่มีทางได้คำตอบเสียที
ในฐานะราชครู เมื่อศึกใหญ่ผ่านไป สถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนมาเป็นยากจะคาดเดา จึงยังมีเรื่องอีกนับไม่ถ้วนรอให้จ้งชิวเป็นคนตัดสินใจ วันนี้มาหาเฉินผิงอัน หนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด สองมาจากความต้องการส่วนตัว เพราะคิดอยากจะมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์อยู่ที่นี่ ดังนั้นเมื่อคุยเรื่องที่สมควรคุยจบแล้ว จ้งชิวจึงบอกลาจากไป
ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันเอ่ยขออภัยเขา “ตอนนี้ข้ายังออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้”
จ้งชิวยิ้มพูด “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเจ้าเฉินผิงอันก็ไม่เหมือนเจ๋อเซียนอยู่แล้ว”
จ้งชิวที่หันหลังจากมาเดินไปบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบเพียงลำพัง สีหน้าหม่นหมอง
หากเจ๋อเซียนคนแรกที่ตนและอวี๋เจินอี้เจอในปีนั้นคือเฉินผิงอัน จุดจบจะแตกต่างไปจากทุกวันนี้หรือไม่?
เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งตัวเล็กเดินเข้าไปในตรอกเล็กที่มืดสลัว
แล้วเขาก็พลันหรี่ตาลง
นอกประตูบ้านมีเด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งยืนอยู่
นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ คิดหาคำพูดอยู่นานก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันถาม “หนังสือพวกนั้นล่ะ?”
เด็กหญิงกะพริบตาปริบๆ ส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่รู้”
เหมือนกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อ นางจึงพูดด้วยสีหน้าของคนได้รับความอยุติธรรม “เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าต่อสู้กับพวกคนชั่วดุเดือดขนาดนั้น อีกทั้งตอนนั้นยังมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกจากตรอกขึ้นมาบนถนนใหญ่ ข้าหรือจะกล้าเข้าไปในตรอกอีก ได้แต่นั่งอยู่บนม้านั่งอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด ภายหลังไม่พบเจ้า รอแล้วเจ้าก็ไม่กลับมาเสียที ข้ากลัวว่าคนชั่วจะเจอตัวเลยรีบหนีไป”
เฉินผิงอันโบกมือบอกนางให้รู้ว่าไปได้แล้ว เขาไม่อยากเห็นหน้าเด็กหญิงที่มีกลอุบายล้ำลึกผู้นี้อีก
เด็กหญิงกล่าวอย่างน่าสงสาร “ขอร้องเจ้าล่ะ ให้ข้ากินข้าวอิ่มก่อนค่อยไปได้ไหม?”
ที่แท้เป็นเพราะนางได้กลิ่นหอมของอาหาร
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนาง พอเดินเข้าประตูบ้านมาก็ลั่นดาลลงกลอน แล้วก็เห็นว่าเป็นเฉาฉิงหล่างที่ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กชายทั้งฉลาดและกตัญญู แม้ว่าจะไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อน แต่ก็เคยเห็นมารดาทำอาหารอยู่หลายครั้ง รอจนเขาต้องทำเอง อาหารที่ทำออกมาไม่มีทางอร่อยเลิศล้ำ แต่ย่อมกินได้
สองวันมานี้ล้วนเป็นเฉาฉิงหล่างที่ทำกับข้าวกินเองตลอด
เฉินผิงอันไม่เคยมาร่วมกินด้วย ทุกครั้งเวลาที่เฉาฉิงหล่างเข้าครัว เขาก็มักจะเป็นฝ่ายออกไปจากบ้าน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
ทุกครั้งเวลาที่กลับมา เด็กชายก็จะกินข้าวอิ่มและเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาก็กลับไปที่ห้องตัวเอง มีบางครั้งที่ออกมารับลมเย็นตอนกลางคืน เฉาฉิงหล่างถึงจะออกมานั่งด้วยพักหนึ่ง แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เฉาฉิงหล่างที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะกินอาหารช้ามาก อีกทั้งตรงข้ามกับเขายังวางชามและตะเกียบเพิ่มไว้ชุดหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องเบาๆ พอนั่งลงแล้วก็เคี้ยวอาหารอย่างเชื่องช้า ไม่มีเสียงใดๆ
เสียงตุ้บดังมาจากในลานบ้าน
เด็กหญิงร่างผอมแห้งลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามตัว ค่อยๆ เดินย่องมาถึงนอกห้อง นางไม่กล้าเข้ามา ได้แต่นั่งยองอยู่ตรงนั้น ยืดคอมองอาหารบนโต๊ะ
เฉาฉิงหล่างคิดแล้วก็ไปตักข้าวจากในห้องครัวมาให้นางถ้วยหนึ่ง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางแล้วยื่นชามและตะเกียบส่งให้ “กินด้วยกันเถอะ”
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง มองหน้านาง
นางน้ำตาคลอเจียนจะหยด วางชามและตะเกียบลง ไม่กล้าขยับ
เฉาฉิงหล่างจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่เป็นไรหรอก กินเถอะ”
นางยังคงมองเฉินผิงอันตาไม่กะพริบ เฉินผิงอันหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากมองนาง
นางถึงได้เริ่มก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว มีบางครั้งที่ยื่นตะเกียบมาคีบกับข้าว ทำราวกับโจรขโมยอาหารอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่คนทั้งสามกินอิ่มแล้ว เฉาฉิงหล่างก็ลุกขึ้นเก็บโต๊ะ เด็กหญิงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะแสร้งทำท่าช่วยเขาเก็บจานชาม
คนวัยเดียวกันสองคนถือถ้วยชามเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน นางมองมาทางลานบ้าน เห็นว่าเจ้าหมอนั่นไม่อยู่จึงบ่นขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ใส่น้ำมันบ้างเลย แถมยังเค็มขนาดนั้น สรุปว่าเจ้าทำกับข้าวเป็นไหม?! โตขนาดนี้แล้ว หัดทำตัวให้ได้เรื่องมั่งไม่ได้หรือไง?”
เฉาฉิงหล่างตะลึงจนพูดไม่ออก แต่พอเห็นท่าทางไม่ยอมเลิกราของนาง เขาจึงได้แต่พูดว่า “คราวหน้าข้าจะระวัง”
ผลคือเฉินผิงอันมาโผล่ตรงหน้าประตูห้องครัวกะทันหัน เด็กหญิงผอมแห้งหุบปากฉับ ขณะที่เตรียมจะหันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเฉินผิงอัน กลับเห็นว่าเขากวักมือเรียก อีกทั้งสายตายังคมกริบ
นางจึงได้แต่เดินไหล่ลู่คอตกเข้าไปหา แล้วก็ถูกเฉินผิงอันหิ้วคอเสื้อเหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบ มือหนึ่งของเขาเปิดประตูบ้าน มืออีกข้างหนึ่งวางนางไว้ข้างนอก ก่อนจะปิดประตูได้ทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ว่า “หากยังกล้าปีนกำแพงเข้ามาอีก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปนอกเมือง”
ค่ำคืนนี้เฉินผิงอันหลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา เฉาฉิงหล่างออกมาตากลมเย็นได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากนอกลานบ้าน
เขาเปิดประตูออกไป เห็นนางนั่งยองอยู่บนพื้น กำลังเงยหน้า ยกสองแขนกอดอก ยิ้มตาหยีพูดว่า “ไม่ต้องสนใจข้า ตรอกข้างนอกนี่เย็นกว่าเยอะเลย”
เฉาฉิงหล่างยกสองมือเกาหัว เขากลัวคนผู้นี้แล้วจริงๆ
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วมุ่น บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างออกไปไกล มองเห็นว่าภายใต้แสงจันทร์มีชายพกมีดคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำ บุคลิกลักษณะสง่างาม มือหนึ่งถือกาเหล้า ส่งยิ้มบางๆ มาให้เฉินผิงอัน เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดอะไร เขาจึงดีดปลายเท้าพลิ้วกายมาทางเรือนที่พักของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันฉวยโอกาสที่เฉาฉิงหล่างยังอยู่ข้างนอก ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ถังเถี่ยอี้แม่ทัพแห่งแคว้นเป่ยจิ้นผู้ยิ่งใหญ่ถูกพายุหมัดที่ไร้เสียงกระแทกเข้าที่หน้าอก ร่างปลิวกระเด็นออกไปตกยังหลังคาบ้านหลังเดิมที่เคยยืนอยู่
พละกำลังของพายุหมัดถูกกะประมาณได้อย่างดีเยี่ยม เดิมทีถังเถี่ยอี้ก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในใต้หล้าอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
แต่ถังเถี่ยอี้ไม่เพียงแต่ไม่อับอายจนพานเป็นความโกรธ กลับกันยังยิ้มขออภัยเฉินผิงอัน ราวกับกำลังพูดว่ารบกวนแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกละอายใจกับการมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญของตัวเอง แล้วถังเถี่ยอี้ที่พกมีดเลี่ยนซือก็หมุนกายพุ่งทะยานจากไปทั้งอย่างนี้
สำหรับคนผู้นี้ เฉินผิงอันไม่มีความทรงจำที่ลึกซึ้งนัก แล้วก็ไม่ยินดีจะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกกับเฉาฉิงหล่างว่าไม่ต้องรอให้เขากลับมา จากนั้นตัวเองเดินออกไปนอกตรอก มุ่งหน้าไปยังตรอกจ้วงหยวน
เหล้าในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หมดพอดี ออกไปสักรอบก็ดีเหมือนกัน
ดึกดื่นครึ่งคืน ในเหลาสุราที่เงียบสงบของตรอกจ้วงหยวนยังคงมีโคมหลากสีแขวนไว้สูง แต่มีลูกค้าแค่โต๊ะเดียว
ถือเป็นการเลี้ยงฉลองของคนในครอบครัว เพราะพ่อครัวที่ทำอาหารลูกค้าก็พามาจากบ้านตัวเอง
ชายสามหญิงสาม
ไม่เพียงแต่หอสุราแห่งนี้เท่านั้น ตลอดทั้งตรอกจ้วงหยวนล้วนถูกป้องกันอย่างเข้มงวด นอกจากทหารเดินเท้าลาดตระเวนที่สวมเสื้อเกราะแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือที่ปิดบังชื่อแซ่คอยเฝ้าพิทักษ์อยู่อีกไม่น้อย เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่สิบคนบนอันดับรายชื่อ ไม่ว่าใครที่คิดจะลอบสังหาร เกรงว่าคงไม่ทันได้เห็นหน้าค่าตาของคนเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
คนหกคนนี้แบ่งออกเป็นเว่ยเหลียงฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน ฮองเฮาโจวซูเจิน เว่ยเหยี่ยนองค์รัชทายาท และยังมีองค์ชายรองกับองค์หญิงที่อายุน้อยที่สุด
นอกจากนี้ก็คือหวงถิง นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่ายแต่สง่างาม อดีตฝานกว่านเอ่อร์และถงชิงชิง
องค์หญิงสาวน้อยได้รับสืบทอดหน้าตามาจากบิดามารดา คือตัวอ่อนสาวงามที่หาได้ยากยิ่ง แต่เมื่อนางนั่งอยู่ข้างนักพรตหญิงกลับยังรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ นางที่เดิมทีร่าเริงสดใส วันนี้กลับไม่กล้าพูดมาก คอยอิงแอบแนบชิดอยู่ข้างกายโจวซูเจินผู้เป็นมารดาแท้ๆ อยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกเคารพเลื่อมใสนักพรตหญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาผู้นี้อย่างมากที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อของนางกลับยังมีมาดของยุทธภพได้ยิ่งกว่า…ราชครูจ้งชิวเสียอีก!
หลายปีมานี้นางเก็บสะสมหนังสือต้องห้ามเอาไว้มากมาย แม้แต่พี่ชายทั้งสองคนก็ยังต้านทานการอ้อนวอนของนางไม่ไหว ต้องซื้อนิยายที่เล่าเรื่องประหลาดหลากหลายชนิดจากในหมู่ชาวบ้านมาให้นาง
ยุทธภพคืออะไร? ยุทธภพที่นางวาดฝันคือค่ำคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง มีจอมยุทธ์ชายหญิงซึ่งเป็นคู่รักเทพเซียนบุกเข้าไปในรังของคนชั่วที่ทำให้คนในยุทธภพอกสั่นขวัญผวา เมื่อฟ้าเริ่มเป็นสีขาวราวกับพุงปลา พวกมารร้ายและโจรชั่วทั้งหลายก็ล้วนถูกตัดหัว ชายหญิงคู่นั้นส่งยิ้มให้กัน สุดท้ายควบม้าจากไปเพื่อท่องยุทธภพต่ออีกครั้ง
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ด้านนอกมีอวี๋เจินอี้ ด้านในมีเฉินผิงอัน จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
คำตอบของหวงถิงไม่ค่อยเกรงใจนัก “อันที่จริงต่อให้ทั้งสองคนอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่เป็นไร คนหนึ่งมีจิตแห่งการฝึกตนที่แข็งแกร่งผิดปกติ อีกคนหนึ่งไม่ให้ความสนใจพวกเจ้าเลยสักนิด เพียงแต่ว่าพวกเจ้าที่เป็นฮ่องเต้ล้วนชอบถ้อยคำทำนองว่า ‘จะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนอยู่ข้างเตียงตัวเองได้อย่างไร’ ในใจเจ้ารู้สึกไม่ดี ข้อนี้ข้าเข้าใจได้ บวกกับที่ข้าเองก็ไม่ชอบขี้หน้าอวี๋เจินอี้นัก ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองสู้กับเขาสักตั้งให้รู้แล้วรู้รอดไป”
คำพูดประโยคถัดมาของหวงถิงยิ่งกำเริบเสิบสาน “ข้ารับรองว่าจะออกแรงประมือกับอวี๋เจินอี้อย่างเต็มที่ หากข้าแพ้ แล้วกองทัพใหญ่ของแคว้นหนันเยวี่ยนยังไม่สามารถรั้งตัวอวี๋เจินอี้เอาไว้ได้ ยังปล่อยให้เขาบุกเข้าไปในวังหลวง สังหารพวกเจ้าทุกคน ถ้าอย่างนั้นก่อนจะบินทะยาน ข้าก็คงได้แต่ช่วยพวกเจ้าแก้แค้นเท่านั้น”
เว่ยเหลียงส่ายหน้า ดื่มเหล้าดับทุกข์
อันที่จริงคนที่กระอักกระอ่วนที่สุดคือฮองเฮาโจวซูเจิน ศิษย์น้องหญิงกลายมาเป็นอาจารย์ แล้วก็กลายมาเป็นหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงอีกที
คนที่ผิดหวังที่สุด เกรงว่าคงเป็นรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนแล้ว
ฝานกว่านเอ่อร์ที่เขาหลงรักไม่อาจกลับมาได้แล้ว ต่อให้นักพรตหญิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จะงดงามยิ่งกว่าฝานกว่านเอ่อร์ แต่เว่ยเหยี่ยนก็ยังชอบไม่ลง
คนที่กระวนกระวายไม่เป็นสุขมากที่สุดกลับเป็นองค์ชายรองที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเว่ยเหยี่ยน ติงอิงไท่ซ่างเจ้าลัทธิมาร ยาเอ๋อร์ ไปจนถึงยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงล้วนถูกราชครูจ้งชิวร่วมมือกับเทพธิดาแห่งหอจิ้งซินและข้ารับใช้ราชสำนักรวบตัวโยนเข้าคุก ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังสามฝ่ายของลัทธิมารก็ล้วนมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับองค์ชายสกุลเว่ยอย่างเขาโดยที่เลี่ยงไม่ได้
อาหารมื้อนี้ องค์ชายรองกินอย่างไร้รสชาติ ไม่ต่างจากเคี้ยวเทียน
เขารู้สึกอิจฉานิสัยไม่สนใจสิ่งใดของน้องสาว ยิ่งริษยาโชควาสนาเทียมฟ้าของรัชทายาทเว่ยเหยี่ยน
ใครจะไปนึกว่า ติงอิงมารเฒ่าที่ไร้ศัตรูทัดเทียมจะถูกคนฆ่าตายได้?
สตรีหน้าเหม็นที่ชื่อว่ายาเอ๋อร์คนนั้นเคยสาบถสาบานกับเขาว่า เจ้าแก่ตายไปแล้ว อาจารย์ปู่ของข้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่อย่างดีก็เป็นได้
ด้านนอกหอสุรามีเสียงความวุ่นวายผิดปกติดังขึ้นระลอกหนึ่ง
หวงถิงเอ่ยยิ้มๆ “แขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนแล้ว”
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงรีบหันไปมองนอกหน้าต่างทันที เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แล้วก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เรียกราชครูจ้งชิวให้มาด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างราชครูกับคนผู้นั้นก็ถือว่าไม่เลว พอมีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันอยู่บ้าง
ทว่ารออยู่นานถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นปรากฎตัวที่หน้าบันไดของหอสุรา จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดเข้ามาทางประตูใหญ่ตามกฎระเบียบ
เฉินผิงอันเจ๋อเซียนอายุน้อยผู้นั้นไม่ได้สวมชุดคลุมสีขาวที่เด่นสะดุดตาตัวนั้น แต่สวมชุดปกติทั่วไปของคนที่พอมีฐานะในแคว้นหนันเยวี่ยน
เว่ยเหลียงสงบจิตใจแล้วลุกขึ้นยืน
ขนาดฮ่องเต้ยังลุกขึ้นไปต้อนรับ โจวซูเจินและเชื้อพระวงศ์อีกสามท่านก็ยิ่งต้องรีบลุกตามไปติดๆ
หวงถิงไม่ได้วางท่าอะไร แต่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากนัก นางลุกขึ้นยืนเหมือนกัน แต่กลับเดินไปตรงหน้าต่าง ราวกับต้องการดึงตัวเองออกจากสถานการณ์ มอบพื้นที่ให้แก่งูเจ้าถิ่นและมังกรข้ามแม่น้ำจัดการกันเอาเอง นางไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น
เว่ยเหลียงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “สกุลเว่ยของข้าดูแลไม่ทั่วถึง ก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เฉินเซียนซือโปรดให้อภัยด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ฝ่าบาทมิต้องใส่พระทัยเรื่องพวกนี้ มรสุมในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแคว้นหนันเยวี่ยนสักเท่าไหร่”
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงรู้สึกไม่แน่ใจนัก กังวลว่าคำพูดนี้จะมีความนัยลึกซึ้งที่ตนฟังไม่เข้าใจ
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นก่อนแล้วว่า “ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะคิดว่าในเมื่อฝ่าบาททรงเสด็จมาด้วยองค์เอง ถ้าเช่นนั้นก็มีคำพูดบางอย่างที่ข้าสามารถพูดออกมาได้ตามตรง แคว้นหนันเยวี่ยนจะคิดว่าข้าไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้ ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หากไม่เป็นเพราะติงอิงกับอวี๋เจินอี้มาหาเรื่องถึงที่ สงครามครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบก็อาจจะไม่มีเรื่องของข้าเฉินผิงอันแล้ว”
เว่ยเหลียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยคล้อยตาม “เฉินเซียนซือคือเทพเซียนบนภูเขา ย่อมไม่สนใจเรื่องทะเลาะวิวาทในโลกมนุษย์อยู่แล้ว”
เฉินผิงอันเองก็พลันคลี่ยิ้ม “เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกท่านมีทิวทัศน์ที่งดงามมาก โดยเฉพาะอาหารอย่างหนึ่งที่ไม่เลวเลยจริงๆ ก่อนข้าจะไปจากเมืองหลวงต้องกลับไปกินซ้ำอีกรอบให้ได้”
ฮ่องเต้ถามด้วยความใคร่รู้ “ขอถามเซียนซือว่า คืออะไรและอยู่ที่ไหน? กว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของฮ่องเต้ในสมัยโบราณ) สามารถ…”
เพิ่งจะกล่าวมาได้แค่ครึ่งเดียว ตัวเว่ยเหลียงเองก็หยุดพูด ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด “เฉินเซียนซือเพิ่งตั้งกฎไว้ กว่าเหรินกลับทำผิดกฎซะแล้ว ต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมา “อาจยังต้องรบกวนฝ่าบาทมอบเหล้าให้ข้าสักสองไห”
เว่ยเหลียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เฉินเซียนซือเกรงใจกันขนาดนี้ ช่างหลอกได้ง่ายยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้พูดล้อเล่น ฮองเฮาโจวซูเจินและองค์ชายสองท่านกับองค์หญิงน้อยต่างก็หัวเราะตามไปด้วย
เฉินผิงอันที่ความรู้สึกช้าก็หัวเราะตามคนอื่นๆ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะดูเป็นคนไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่
นักพรตหญิงหวงถิงที่อยู่ห่างออกไป แม้จะหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง แต่มุมปากกลับตวัดโค้ง
เฉินผิงอันบรรจุเหล้าจนเต็มน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วก็ไปจากหอสุรา แต่ไม่ได้กลับไปยังที่พัก เขาอาศัยความทรงจำของตัวเองเดินไปยังตลาดกลางคืนใกล้กับวัดป๋ายเหอที่เคยไปในคืนนั้น กินอาหารชามใหญ่ที่ทั้งเผ็ดทั้งชาทั้งร้อนของร้านนั้น
ไม่กินเผ็ด ไม่กินเหล้า ไม่ดื่มเหล้าที่รสแรงที่สุด ไม่กินหม้อไฟที่เผ็ดที่สุด ชีวิตนี้ยังจะมีความน่าอภิรมย์อะไรอีก?
นี่คือคำพูดของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ย
ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่ามีเหตุผลสักเท่าไหร่ แต่เวลานี้เมื่อเฉินผิงอันอยู่ในตลาดที่ผู้คนสัญจรเบียดเสียดกันอย่างคึกคัก กลับรู้สึกว่าคำพูดของผู้อาวุโสถูกต้องแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันจ่ายเงินเรียบร้อยก็ออกมาจากตลาดกลางคืนที่จอแจ เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่เงียบสงัดไร้ผู้คน จากนั้นก็ไปเยือนตระกูลขุนนาง เข้าไปในหอเก็บตำราของตระกูลพวกเขา คราวนี้ไม่ใช่เพื่อไปตรวจสอบหาประวัติศาสตร์และแผนที่ของ ‘ใต้หล้าแห่งนี้’ แต่ไปตามหาตำราที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสะพาน น่าเสียดายที่หาไม่เจอ เขาจึงคิดว่าจะลองไปค้นหนังสือและเอกสารคดีที่ที่ว่าการกรมโยธาเก็บไว้ แต่ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วก็คิดว่าหากมีโอกาสจะบอกเรื่องนี้แก่จ้งชิว ขอให้ท่านราชครูช่วยเหลือ น่าจะไม่ยากเกินไปนัก
นอกจากนี้ยังจะถามข่าวเกี่ยวกับบัณฑิตคนหนึ่งมาจากจ้งชิวด้วย
ออกจากหอหนังสือ
สุดท้ายเฉินผิงอันมาหยุดอยู่ใต้ชายคาของหอสูงแห่งหนึ่ง นั่งลงดื่มเหล้า พอดื่มไปถึงท้ายที่สุดก็ชูนิ้วกลางให้ท้องฟ้า
ไม่มีฟ้าผ่าลงมา
เฉินผิงอันเก็บน้ำเต้า แหงนหน้ารับลมเย็นๆ ที่โชยมา เริ่มเหม่อลอย
ระหว่างที่ออกจากป้อมอินทรีบินและก่อนจะเข้ามาในแคว้นหนันเยวี่ยน ได้เจอเมืองคนกระดาษแห่งหนึ่ง
ภิกษุเฒ่าผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดซินเซียงเคยพูดประโยคหนึ่งซ้ำกันว่า เจ้ามองดูมัน มันก็กำลังมองดูเจ้าเช่นกัน
หญิงสาวที่ตอนนั้นยังเป็นฝานกว่านเอ่อร์เคยจ้องมองตนอย่างจริงจังอยู่สองครั้ง คือที่วัดป๋ายเหอและตลาดกลางคืน สายตาของนางคล้ายรู้สึกคุ้นเคยกับเขา แต่นางกลับไม่ได้พูดอะไร น่าจะไม่ใช่เพราะนางไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะพูดไม่ได้มากกว่า
ลองครุ่นคิดอย่างละเอียดก็ยิ่งขนลุกขนชันขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เฉินผิงอันถอนหายใจ
โลกมนุษย์จุดไฟสว่าง บนท้องฟ้าก็มีดวงดาว
เคยมีคนบอกว่า ฝ่ายหลังอาจเป็นโครงกระดูกของทวยเทพจำนวนมาก
ใครเป็นคนพูดกันนะ เฉินผิงอันตบหัวตัวเอง นึกไม่ออก อันที่จริงคืนนี้เขาไม่ได้ดื่มเหล้ามากนัก แต่ดันเมามายอย่างหนัก
เฉินผิงอันทิ้งตัวไปด้านหลัง หลับสนิททั้งยังกรนครอกๆ
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่บนชายคาโค้งที่ตวัดงอน ชำเลืองตามองเจ๋อเซียนหนุ่มที่กำลังหลับฝันหวาน
นึกถึงภาพที่ตนเห็นก่อนหน้านี้ นักพรตเฒ่าก็กระตุกมุมปาก
ในลานบ้านขนาดเล็ก ตอนที่คนหนุ่มพูดกับเด็กชายเบาๆ ว่าขอโทษ แท้จริงแล้วเขาน้ำตาไหลอาบหน้า
นักพรตเฒ่าพึมพำกับตัวเอง “ในสายตาของเจ้า บนโลกนี้ไม่มีเรื่องเล็กน้อยเลยหรือ?”