บทที่ 323 ชุดขาวเข้าเมือง ไม่กล้าเคาะประตู
นักพรตเฒ่ามาเยือนกะทันหัน แล้วก็จากไปอย่างกะทันหัน
ทิ้งให้เฉินผิงอันอยู่ริมขอบบ่อใหญ่เพียงลำพัง ทั้งไม่ได้บอกเฉินผิงอันว่าควรจะออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างไร แล้วก็ไม่ได้บอกว่าการพิศมรรคา (กวานเต๋า ชื่อเดียวกับอารามกวานเต๋าที่เฉินผิงอันตามหา) ในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ส่วนอะไรคือโชควาสนาของการบินทะยาน อะไรคือสิบคนในใต้หล้า นักพรตเฒ่าก็ยิ่งไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
ทว่าถึงแม้การจากไปอย่างไม่มีลางบอกเหตุของนักพรตเฒ่าจะทิ้งเรื่องเละเทะกองใหญ่ไว้ให้เฉินผิงอันเก็บกวาด แต่กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เส้นเอ็นหัวใจที่ขึงตึงใกล้จะดีดขาดเต็มทีเส้นนั้นคลายตัวลง เขาเดินโซซัดโซเซอยู่หลายก้าว สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงทิ้งตัวนอนหงายลงไปบนพื้นเสียเลย
ไม่มีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นคอยประคับประคองตัว อาการบาดเจ็บที่ถูกจิตหยินของติงอิงใช้หนึ่งกระบี่แทงทะลุลงไปยังใต้ดินก่อนหน้านี้จึงระเบิดออกมา เฉินผิงอันคล้ายคนที่นอนจมกลางกองเลือดแล้วมีเลือดสดไหลนองไม่ขาดสาย
ทว่าเฉินผิงอันกลับหัวเราะ หัวเราะอย่างสาแก่ใจ
มีชูอีสืออู่อยู่ข้างกาย ติงอิงก็ตายไปแล้ว รอบด้านไม่มีใคร เฉินผิงอันใช้เรี่ยวแรงเสี้ยวสุดท้ายอย่างสิ้นเปลืองโดยการปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา เอามันวางไว้บนริมฝีปากด้วยมืออันสั่นเทา ฝืนกระดกเหล้าลงคอหนึ่งอึก ต่อให้หนี้มากแค่ไหนก็ไม่ท่วมทับตัวตาย ความเจ็บปวดเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็แค่เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าหากในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ดื่มเหล้า ช่างน่าเสียดายนัก
เฉินผิงอันไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนชุดอาคมจินหลี่ ไข่มุกใหญ่สีขาวหิมะที่อยู่ระหว่างกรงเล็บมังกรสีทองที่ขดตัวอยู่ตรงหน้าอกถูกเติมเต็มไปด้วยของเหลวที่เป็นสายฟ้าเข้มข้น และไข่มุกขนาดเล็กใต้กรงเล็บ ใต้คางของมังกรสีทองตัวน้อยสองตัวที่อยู่บนไหล่ก็มีสายฟ้าหลายเส้นล้อมเวียนวนอยู่เช่นกัน
เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงของจินหลี่ เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ประหลาดราวฟ้าดินพลิกคว่ำที่เกิดกับร่างกายของเฉินผิงอันแล้วกลับไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง
นี่เป็นการถอดรกเปลี่ยนกระดูกใหม่อย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ตอนที่แช่ตัวอยู่ในบ่อสายฟ้า โครงกระดูกเบื้องใต้เนื้อหนังของเฉินผิงอันมีประกายแสงแวววาวดุจแสงหยกแสงทองเกิดขึ้นมาหลายส่วน นี่ก็คือสัญญาณของการเกิด ‘กิ่งทองใบหยก’ ของผู้ฝึกตน
รากฐานลึกล้ำคือวิถีของความเป็นอมตะ
เฉินผิงอันมึนงงสะลึมสะลือ
ฝันไปคล้ายคนกึ่งหลับกึ่งตื่น
ในฝันมีคนชี้ไปยังแม่น้ำสายหนึ่งที่น้ำไหลบ่า ถามเฉินผิงอันว่าจะข้ามไปหรือไม่
คนผู้นั้นถามเองตอบเอง บอกว่าหากเจ้าเฉินผิงอันต้องการข้ามแม่น้ำโดยที่ไม่ถูกมหามรรคาพันธนาการก็ต้องมีสะพานแห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นจึงจะข้ามไปได้เอง
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงทำเพียงแค่นั่งยองเกาหัวอยู่ริมแม่น้ำ
จิตดั้งเดิมอยู่ตรงนี้ ไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำได้
คนผู้นั้นจึงบอกว่าบังเอิญซะจริง เจ้าเฉินผิงอันไม่ได้เรียนรู้หลักการของอริยะปราชญ์บางคนหรอกหรือ? หรือว่ารู้หนังสือรู้หลักมารยาทแล้ว เจ้าเฉินผิงอันจะเอาแต่เก็บกลั้นหลักการเหล่านั้นไว้ในท้อง ไม่ว่าจะเวลาไหน กับใครหรือกับเรื่องอะไรก็มีเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าเท่านั้น?
เฉินผิงอันบ่นอย่างไม่คิดจะปิดบัง “เรียนหลักการแล้วเกี่ยวอะไรกับสะพานด้วย?”
คนผู้นั้นไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่บอกว่าต้องทำยังไง “จินตนาการภาพสะพานแห่งหนึ่งขึ้นมาในใจของเจ้า จะเป็นสะพานแห่งไหนก็ได้ เจ้าอายุยังไม่มาก ทว่าสถานที่ที่เคยเดินทางผ่านกลับไม่น้อยแล้ว วางใจเถอะ ขอแค่เป็นสะพานแห่งหนึ่งก็พอ ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรมากนัก ต่อให้เป็นสะพานในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนก็ไม่มีปัญหา ตอนที่จินตนาการถึงไม่ต้องพันธนาการความคิดใดๆ แม้จิตจะเตลิดดั่งม้าพยศดั่งลิงซุกซนก็ไม่ต้องกลัว ขอแค่เปิดจิตให้กว้างแล้วคิดไป คิดได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี สิ่งที่ต้องการคือความคิดที่โลดแล่น จินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด”
เฉินผิงอันที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ริมแม่น้ำของสถานที่ใด ‘หลับตา’ ลง
อยู่ดีๆ เขาก็นึกถึงสะพานโค้งสีทองกลางทะเลเมฆที่ยาวเหยียดจนราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนั้น
เฉินผิงอันมองไม่เห็นนักพรตเฒ่าคนนั้น ไม่ว่าเขาจะตามหาอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางพบร่องรอยของนักพรตเฒ่า
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่มีทางมองเห็นว่า พอนักพรตเฒ่ามองเห็นไอเมฆที่ลอยล่องอยู่เหนือสะพานยาว เขามีสีหน้าแปลกประหลาดแค่ไหน ยิ่งไม่มีทางได้ยินผู้เฒ่าสบถด่าเฉินชิงตูที่หาปัญหามาให้ตน ด่าซิ่วไฉเฒ่าว่าไม่ใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน สุดท้ายชื่นชมสายตาและความกล้าหาญของเด็กรุ่นหลัง รวมไปถึงหวนระลึกถึงภูเขาและแม่น้ำ ‘คนรู้จักเก่าแก่’ ที่ไม่ถือว่าเป็นคน
เฉินผิงอันเบิกตากว้างก็มองเห็นว่าข้างฝ่าเท้าของตัวเอง และฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำสายยาวพอจะมองเห็นเค้าโครงของสะพานโค้งสีทองแห่งหนึ่งได้เลือนราง เพียงแต่ว่ามันล่องลอยส่ายไหว ไม่มั่นคง
ในมือเขามีตำราเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ด้านบนเขียนว่าเป็นบทความแห่งศีลธรรมของผู้เฒ่าบางคน บันทึกทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอริยะขงจื้อท่านหนึ่งที่ไม่เคยมีปรากฏในโลก
ทุกตัวอักษรล้วนพากันหลุดออกมาจากในตำรา ส่องแสงสีทองระยิบระยับ ลอยล่องไปหาสะพานโค้งสีทองที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของเฉินผิงอัน
อักษรหนึ่งตัวเหมือนอิฐหนึ่งก้อน
น่าเสียดายที่ในตำรายังมีตัวอักษรเกือบครึ่งที่คล้ายดื้อดึง โดยเฉพาะในหน้าหนังสือช่วงกลางถึงช่วงท้ายที่อักษรทุกตัวล้วนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก
ไม่ว่าจะอย่างไร สะพานยาวสีทองเหนือแม่น้ำก็เหมือนถูกคนใช้จิงชี่เสินประคับประคองก่อสร้างในรวดเดียว และในที่สุดก็มั่นคงแข็งแรง
แต่ยังอยู่ห่างจากการสร้างสำเร็จจนเฉินผิงอันสามารถใช้เดินข้ามแม่น้ำได้อีกเล็กน้อย และยังขาดเลือดเนื้ออยู่อีกมาก
ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งที่หากมีแค่จิตวิญญาณ แต่ไม่มีกายหยาบ นั่นก็คือโครงกระดูกขาว คือผีเร่ร่อนที่ไม่อาจเห็นแสงตะวัน ไม่อาจเข้ามาในโลกของคนเป็นได้
อีกอย่างก็คือระดับความยาวและความยิ่งใหญ่ของสะพานอยู่เหนือการคาดการณ์ไปไกลโข ดังนั้นตัวอักษรในตำราเล่มนี้ถึงไม่พอให้เอามาใช้
นักพรตเฒ่าพูดสั่ง “ลองขึ้นไปเดินดู ดูสิว่าจะพังลงมาหรือไม่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ตอบไปตามความรู้สึก “ย่อมต้องพังแน่นอน”
นักพรตเฒ่าไม่ได้กังขาในคำตอบของเฉินผิงอัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กที่ตนสร้างขึ้นแห่งนี้
จากนั้นก็ ไม่มีจากนั้นแล้ว
ข้างหลุมใหญ่ เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นนั่ง ไหนเลยจะยังมีแม่น้ำยาว ยิ่งไม่มีนักพรตเฒ่าคนนั้น
ฟ้าดินมีเพียงความว่างเปล่าที่กว้างใหญ่
ข้างกายมีกระบี่บินสองเล่ม ชูอีและสืออู่
แม้จะไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน แต่ติดตามเฉินผิงอันเดินทางไกลมาตลอดทาง อยู่ร่วมกันมานานวัน พึ่งพาอาศัยกันและกัน จิตจึงสื่อถึงกันได้นานแล้ว
กระบี่เล่มหนึ่งเงียบงัน อีกเล่มหนึ่งรู้สึกผิด
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้เรียบร้อยแล้วก็ยื่นสองมือออกไปตบกระบี่บินสองเล่มเบาๆ พูดปลอบใจว่า “พวกเราสามคนยังมีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว อีกอย่าง คราวหน้าพวกเราไม่มีทางได้รับความอยุติธรรมขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่หากไม่ได้พวกเจ้าช่วยสกัดขวางไว้ ข้าก็คงไม่มีทางอดทนได้ถึงนาทีที่จิตวิญญาณออกจากร่าง…”
เฉินผิงอันหยุดพูดทันที เพราะเขาค้นพบว่าชูอีกับสืออู่ คนหนึ่งยิ่งเงียบงัน อีกคนหนึ่งยิ่งรู้สึกผิด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง เดินพลางพึมพำไปด้วย “พวกเจ้ากลับเข้ามาในนี้ก่อน พวกเรารีบเข้าเมืองไปตามหาคนจิ๋วดอกบัว! ระหว่างทางที่กลับไปนี้อาจจะไม่ราบรื่นนัก ไม่มีพวกเจ้า ตอนนี้ข้าก็ไม่มีความมั่นใจจริงๆ ว่าจะสู้กับใครได้ หากไม่ใช้เวลาพักฟื้นสิบวันครึ่งเดือน อย่าว่าแต่มารเฒ่าเลย ต่อให้เป็นเด็กที่สามารถควบคุมกระบี่ได้คนนั้นก็รับมือได้ยาก หลังจากนี้ไม่แน่ว่าอาจต้องให้พวกเจ้าช่วยเปิดทางให้ข้า”
กระบี่บินสองเล่มจึงกลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เฉินผิงอันเดินกลับไปยังเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเพียงลำพัง
เมื่อขยับเข้าไปใกล้หัวกำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีทองไปเป็นชุดคลุมยาวสีขาวหิมะอีกครั้ง
เฉินผิงอันสัมผัสได้จึงก้มหน้าลงมอง
สนามรบที่มีภูเขากู่หนิวเป็นจุดศูนย์กลางซึ่งอยู่ด้านหลังมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น และไม่สลายหายไปไหน เมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็น่าจะเป็น ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
แน่นอนว่ายังมีชะตาบู๊ที่เข้มข้นด้วย
หากไม่เป็นเพราะร้อนใจอยากกลับไปตามหาคนจิ๋วดอกบัวในเมือง อันที่จริงการอยู่ที่เดิมย่อมได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
แต่พอเฉินผิงอันแหงนหน้ามองไกลๆ ไปยังหัวกำแพงเมืองก็รู้ว่า หากตนยึดเอาผลประโยชน์ทั้งหมดไปครองผู้เดียว ก็ง่ายที่จะกลายเป็นศัตรูของคนใต้หล้า
ส่วนข้อที่ว่าการเดินเข้าเมืองภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมายจะอันตรายหรือไม่
เฉินผิงอันที่เดินอยู่บนถนนทางหลวงซึ่งเงียบสงัดร้างผู้คน ก้าวหนึ่งก็ล่องลอยออกไปได้หลายสิบจั้ง
ก่อนหน้านี้ที่พูดประโยคเหล่านั้นออกไป หลักๆ แล้วก็เพราะต้องการปลอบใจชูอีกับสืออู่ที่อยู่ในอารมณ์เศร้าซึม ทว่าในความเป็นจริงหากมีใครกล้ามาขวางทางเวลานี้ และยังจะมาตอแยโรมรันกับเขา ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันที่ถือปราณยาวไว้ในมือก็คิดว่านี่คือเหตุผลของเขา
เคยเห็นคำว่าเบื้องหน้าไร้ศัตรูจากผู้เฒ่าแซ่ชุยที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่
กับการที่ได้เอาชนะบุคคลผู้ไร้เทียมทานแห่ง ‘ใต้หล้า’ กับมือตัวเอง คือสองขอบเขตที่แตกต่างกัน
……
ขนาดภูเขากู่หนิวยังถูกทำลายจนราบเรียบไปแล้ว จะเอาเสียงกลองสวรรค์ครั้งที่สองมาจากไหน แล้วจะเหลือสถานที่บินทะยานอะไรอีก
ทางกำแพงเมืองของเมืองหลวง ต่อให้โจวเฝยที่เป็นคนขี้เล่นไร้ทุกข์ไร้กังวลก็ยังอารมณ์หนักอึ้ง
คงไม่ถึงขั้นที่ว่าตลอดหกสิบปีที่ทุกคนวุ่นวายเหนื่อยยากกันมาต้องเสียเปล่าหรอกกระมัง?
เมื่อบ่อสายฟ้าบนท้องฟ้าสลายหายไป ก้อนเมฆเคลื่อนตัวเผยให้เห็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง ฝานกว่านเอ่อร์ยกกระจกทองแดงบานนั้นขึ้นมา แสงสะท้อนบนกระจกวาววับ หน้ากระจกส่องให้เห็นโฉมหน้าอันงามเลิศล้ำของนาง
และในขณะที่ฝานกว่านเอ่อร์จะเก็บกระจกทองแดงลงไปนั้นเอง นางพลันสังเกตเห็นว่าตัวเองที่อยู่ในกระจกยิ้มหวาดหยดย้อย แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าตัวจริงของนางไม่ได้ยิ้ม
‘ฝานกว่านเอ่อร์’ ที่อยู่ในกระจกถอนหายใจทั้งที่ยังคลี่ยิ้ม
จากนั้นในหัวใจของฝานกว่านเอ่อร์ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เด็กโง่เอ๋ย”
ประหนึ่งถูกฟ้าผ่า
ฝานกว่านเอ่อร์โยนกระจกทิ้งราวกับว่ามันร้อนลวกมือ ยกมือสองข้างกุมศีรษะที่ปวดร้าวราวแทบจะปริแตกของตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและคราบน้ำตา
ห่างออกไปไกลบนกำแพง ยาเอ๋อร์เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าเจ้าตำหนักโจวอย่างระมัดระวัง
โจวเฝยหันหน้ากลับมา จึงเห็นว่าชุดกระโปรงสีเขียวที่อยู่บนร่างของนางหลุดออกมาด้วยตัวเอง แล้วลอยล่องประหนึ่งหญิงคณิกากำลังร่ายรำ ไม่สนใจผู้คนรอบด้าน
โจวเฝยหัวเราะหยัน “มาอยู่ในมือข้าแล้ว ยังคิดจะไปอีกรึ?”
โจวเฝยยื่นมือไปคว้าจับ ตรงไหล่ของชุดกระโปรงเว้าลงไปเป็นรอยมือ ชุดกระโปรงสีเขียวยังคงล่องลอยไปทางขวา กระชากตัวออกห่างไม่หยุด สุดท้ายเกิดเสียงแควกเหมือนผ้าขาด ในมือของโจวเฝยมีผ้าต่วนขาดวิ่นชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาขมวดคิ้วมุ่น “แสร้งทำผีหลอกเจ้า ข้าอยากจะรู้นักว่าจิตวิญญาณของหญิงแก่อย่างเจ้าจะหลบซ่อนตัวไปได้ถึงเมื่อไหร่! แล้วต้องการอะไรกันแน่!”
เศษชุดกระโปรงในมือโจวเฝยมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาและลู่ฝ่างต่างก็รู้ว่านี่คือรากฐานในการหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลของถงชิงชิง
เพื่อแก้นิสัยแข็งกระด้างหักง่าย (เป็นหลักการอย่างหนึ่งของจีน กล่าวว่าสิ่งของใดก็ตามที่แข็งเกินไปย่อมหักได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่นการเป็นคนต้องรู้จักยืดหยุ่นผ่อนคลาย หากตรงเกินไป วู่วามเกินไปก็ง่ายที่จะล่วงเกินคนอื่น นำภัยมาสู่ตัว) ของนาง บุรพาจารย์ไท่ซ่างของภูเขาไท่ซ่างไม่ต้องการให้นางก้าวรุดหน้าไปอย่างกล้าหาญโดยไม่กลัวอุปสรรคใดๆ จนกลายเป็นว่าต้องทุ่มหมัดตัว ต้องเสี่ยงเดิมพันใหญ่กับทุกเรื่อง ก่อนหน้าที่จะโยนนางเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัวจึงใช้วิชาอภินิหารของเซียนที่แท้จริงพลิกสลับจิตแห่งเต๋าของนาง ทำให้นางกลายเป็นคนที่กลัวตายมาตั้งแต่เกิด หวังว่าเมื่อนางอยู่ตรงกลางระหว่างความสุดโต่งสองขั้วจะบรรลุถึงมหามรรคา สุดท้ายฝ่าด่านเป็นตาย เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ
เนื่องด้วยถงชิงชิงผู้เป็นเจ๋อเซียนในชาตินี้หวาดกลัวความตายอย่างถึงที่สุด นางจึงหลบซ่อนตัวไปมา นี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
แต่หากคนที่กลัวตายเช่นนี้ไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าในพรสวรรค์การฝึกวรยุทธ์ของตัวเองเสียเลย นั่นต่างหากที่ผิดปกติ
ถ้าเช่นนั้นท่าไม้ตายของถงชิงชิงคืออะไร ต้องเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากแน่นอน
พวกผู้เฒ่าหอจิ้งซินที่อาจจะเป็นคนรุ่นเดียวกันหรือแก่กว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณของถงชิงชิง ต่างก็ฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ที่นาง อะไรนางที่เคยเห็นผ่านตาล้วนไม่ลืม หากจะพูดถึงด้านความรู้ เกรงว่าคงเป็นรองแค่ติงอิงเท่านั้น พรสวรรค์การฝึกวรยุทธ์ของนางก็ยิ่งน่าครั่นคร้าม หากไม่เป็นเพราะนิสัยอ่อนแอขี้ขลาดเกินไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าถงชิงชิงก็คือปรมาจารย์ใหญ่แห่งใต้หล้ารองจากติงอิง
เมื่อติงอิงที่มองดูเหมือนยืนอยู่ตรงข้ามกับฝั่งธรรมะและอธรรม แต่แท้จริงกลับแอบเป็นพันธมิตรกับทั้งสองฝ่ายตายไป ความคิดอยากสังหารจ้งชิวของอวี๋เจินอี้ย่อมต้องเบาบางลง อีกทั้งเมื่อได้กวานดอกบัวสีเงินของมารเฒ่าติงมาครอบครอง เขาก็ต้องได้ยึดครองหนึ่งตำแหน่งของสามอันดับแรกอย่างมั่นคง แถมอวี๋เจินอี้ยังไม่ต้องการบินทะยาน เขาย่อมไม่มีทางวาดงูเติมหาง หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองกลายเป็นเป้าที่ทุกคนโจมตี ถึงอย่างไรการที่เขาร่วมมือกับติงอิงวางแผนการใหญ่เพื่อเล่นงานปรมาจารย์ทุกคนก็ถือว่าอวี๋เจินอี้ละเมิดข้อห้ามที่ใหญ่เทียมฟ้าไปแล้ว
ตอนนี้เพียงแค่เพราะพลังการต่อสู้ของอวี๋เจินอี้ยังไม่มีความเสียหาย คนอื่นถึงไม่กล้าแตกหักกับเขา ไม่กล้ายกคุณธรรมในยุทธภพมาพูด
อย่างน้อยจ้งชิวและหลิวจงคนลับมีด รวมไปถึงถงชิงชิงที่ยังหลบซ่อนตัวก็ย่อมต้องมีความรู้สึกที่เลวร้ายต่ออวี๋เจินอี้อย่างมาก
ดังนั้นโจวเฝยจึงไม่ต้องการฉีกหน้าถงชิงชิงในเวลานี้ ทว่าชุดกระโปรงสีเขียวตัวนี้ รวมไปถึงอรหันต์ร่างทองที่ภิกษุอวิ๋นหนีไปทวงคืนมาจากฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนล้วนเป็นโชควาสนาที่เขาต้องได้มาครอบครอง ของอย่างแรกใช้เพื่อพายาเอ๋อร์ลัทธิมารไปด้วย เป็นการขัดเกลาจิตใจของโจวซื่อผู้เป็นบุตรชาย ของอย่างหลังเพื่อนำมาแลกสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งมอบให้แก่ลู่ฝ่าง อีกหกสิบปีให้หลัง ตำหนักคลื่นวสันต์ไม่มีเขาโจวเฝย ทว่ายังมีภูเขาเหนี่ยวคั่นและตำหนักคลื่นวสันต์ที่เป็นเหมือนพี่น้องกัน เส้นทางการเดินขึ้นสู่ยอดบนวิถีวรยุทธ์ของโจวซื่อจึงไม่มีเรื่องให้ต้องเป็นกังวลอีก
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เป็นเพราะผู้ฝึกตนใหญ่อย่างเขาให้กำเนิดบุตรได้ยากมาก โดยเฉพาะสกุลเจียงสำนักกุยหยกของพวกเขาที่มีผู้สืบทอดคนเดียวมาหลายปีแล้ว
ผู้เฒ่าหัวโล้นคนหนึ่งแบกห่อสัมภาระใบใหญ่เดินขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง ฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว ซึ่งก็คือภิกษุอวิ๋นหนีแห่งวัดจินกังที่เพิ่งถอดจีวร
เมื่อเดินผ่านข้างกายของฝานกว่านเอ่อร์ที่นั่งกุมศีรษะอยู่บนพื้น ผู้เฒ่าก็ชำเลืองตามามองด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเทพธิดาสาวแห่งหอจิ้งซินผู้นี้เหตุใดถึงได้ดูเจ็บปวดนัก
แต่เมื่อผู้เฒ่ามองเห็นภาพที่โจวเฝย ‘ใช้มือฉีก’ ชุดกระโปรงสีเขียว ผู้เฒ่าที่ไม่ใช่ภิกษุอีกต่อไปพลันคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “โจวเฝย!”
โจวเฝยหัวเราะหยัน “เจ้าลาหัวโล้นเฒ่า เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าการที่ปีนั้นกระโปรงตัวนี้ไปหาเจ้าเป็นเพราะความหวังดี? นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในแผนการของนังมารเฒ่าถงชิงชิงเท่านั้น ถูกนางปั่นหัวมาเกินครึ่งชีวิตแล้วยังหลงงมงายไม่เลิกอีกรึ? ชุดกระโปรงคือหนึ่งในสี่สมบัติอาคมอันเป็นโชควาสนา เรื่องนี้ไม่ผิด แต่ข้างในมันคือความว่างเปล่างั้นหรือ? ไม่เลย จิตวิญญาณของถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินแฝงตัวอยู่ในนี้มาตั้งนานแล้ว”
ผู้เฒ่าไม่สะทกสะท้าน เบิกตากว้างคล้ายจินกังถลึงตาในตำหนักใหญ่ของวัด “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?! ตกลงกันแล้วว่าเจ้าต้องพา ‘แม่นางชิงชิง’ ออกไปจากใต้หล้าแห่งนี้ ส่วนข้าก็จะนำอรหันต์ร่างทองมามอบให้เจ้า เจ้าโจวเฝยกล้าผิดคำพูด ข้าก็กล้าฆ่าเจ้า!”
โจวเฝยเหมือนถูกหยอกให้ขบขัน “ลาหัวโล้นอย่างเจ้าเรียกกระโปรงตัวหนึ่งว่าแม่นางชิงชิง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าสะอึกอึ้งพูดไม่ออก รู้สึกร้อนตัวไม่น้อย
โจวเฝยชี้ไปยังฝานกว่านเอ่อร์ที่อยู่ห่างไปไกล สายตาฉายแววชื่นชม “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของถงชิงชิงคนนี้ ซึ่งเป็นว่าที่เจ้าหอจิ้งซินในอนาคต เกรงว่าคงเป็นกายหยาบของเจ๋อเซียนในโลกนี้ของถงชิงชิง! ปีนั้นนางเปลี่ยนจากความชรากลับสู่ความเยาว์วัย มีรูปโฉมเป็นเด็กน้อยไม่ต่างจากอวี๋เจินอี้ จากนั้นก็ละทิ้งขอบเขตและตบะของตัวเองไป ล่องไปตามกระแสแห่งชีวิตอมตะ กลายมาเป็นหญิงสาวอย่างฝานกว่านเอ่อร์ผู้นี้ บวกกับที่หอจิ้งซินช่วยนางปิดบังอำพราง เจ้าและข้า คนใต้หล้า หรือแม้แต่ติงอิงต่างก็ถูกนางปั่นหัว!”
โจวเฝยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แม้แต่ตัวเองก็ยังหลอก ถงชิงชิง เจ้ามันอำมหิตนัก! ช่างเถิดๆ ทุกอย่างนี้ก็เป็นแค่ของนอกกายเท่านั้น”
โจวเฝยสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ปล่อยให้กระโปรงสีเขียวล่องลอยออกไป
ไม่มีกระโปรงสีเขียวก็หมายความว่าหากคิดจะครอบครองอรหันต์ร่างทองก็ได้แต่แย่งชิงมาจากมือของภิกษุอวิ๋นหนีเท่านั้น
ทว่าโจวเฝยลองชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดูแล้ว เขาก็เลือกที่จะสละโชควาสนาสองอย่างนี้ ต้องการแค่ให้ตัวเองได้ติดในรายชื่อเป็นปรมาจารย์อันดับที่สามเท่านั้น
เพราะนั่นก็ทำให้เขาพายาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารไปได้เช่นกัน!
เมื่ออยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ สำหรับเจ๋อเซียนที่เป็นผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลแล้ว หนึ่งคือเหมือนการทำพิธีกรรมในเปลือกหอย ถูกมัดมือมัดเท้า อีกหนึ่งคือเมื่อไม่มีข้าวสาร ต่อให้เป็นสตรีแต่งงานแล้วที่เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถหุงข้าวออกมาได้ (เปรียบเปรยว่าหากไม่มีเงื่อนไขที่จำเป็น ต่อให้เป็นคนเก่งแค่ไหนก็ยากจะทำได้สำเร็จ)
การปรากฏตัวของเฉินผิงอันผู้นั้นทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดวุ่นวาย ในเมื่อติงอิงยังตายได้ ในใต้หล้าแห่งนี้ยังจะมีใครกล้าพูดอีกว่าตัวเองไม่มีทางตายอีก?
โจวเฝยกังวลว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำมาจะเปล่าประโยชน์ ถึงเวลานั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะถูกคนอื่นฆ่า แม้ว่ามันไม่มีผลต่อการที่เขาจะไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ทว่าความเสียหายก็ค่อนข้างมากอยู่ดี
ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ในบรรดาสิบคนใต้หล้านี้ มีคนตายไปแค่สองคน หนึ่งหัวหนึ่งหาง ติงอิงและเฝิงชิงป๋าย
ยังเหลืออีกแปดคน นี่หมายความว่ายังต้องมีคนตายอีกห้าคน คำสัญญาในจดหมายลับฉบับนั้นถึงจะเป็นผล
ลู่ฝ่างไม่เสียแรงที่เป็นสหายรักของเจ้าประมุขตระกูลเจียงผู้นี้มาหลายปี เพียงไม่นานเขาก็เข้าใจจุดเชื่อมโยงของเรื่องราวทั้งหมดได้ “วางใจเถอะ อีกหกสิบปีให้หลังมีข้าคอยจับตามองอยู่ โจวซื่อต้องได้เลื่อนสู่สามอันดับแรกแน่นอน”
โจวเฝยเลือกเป็นฝ่ายถอยให้หนึ่งก้าวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แน่นอนว่าภิกษุอวิ๋นหนีย่อมไม่ยินดีและไม่กล้าบีบบังคับคนผู้นี้ เขาจึงติดตาม ‘แม่นางชิงชิง’ ผู้นั้นไปหยุดอยู่ข้างกายฝานกว่านเอ่อร์
นางใช้สองมือนวดคลึงหว่างคิ้วของตัวเองอย่างแรง
จากนั้นโฉมสะคราญงามพิลาสที่อายุยังน้อยผู้นี้ก็ยืดเอวขึ้นตรง ใช้มือสองข้างตบหน้าตัวเองเสียงดังเพี๊ยะๆ
ฝานกว่านเอ่อร์ยื่นสองนิ้วมาคีบคอเสื้อของชุดกระโปรงสีเขียวที่อยู่ตรงหน้า สะบัดสองสามที พอสวมลงบนร่างตัวเองแล้วก็กระชากออก จากนั้นโยนมันไปให้กับภิกษุเฒ่าที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ แม่นางชิงชิงของเจ้ายังอยู่ เจ้าแค่ไปรออยู่ที่ภูเขากู่หนิวเท่านั้น อีกไม่นานนางก็จะกลับคืนมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เดิมทีนางก็เป็นเจ้าของตัวจริงของชุดกระโปรงตัวนี้อยู่แล้ว จิตวิญญาณของข้าก็แค่ยืมพักอาศัยแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น อีกทั้งหลังจากสิงร่างแล้วก็ถูกข้าพันธนาการจนไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งของไร้ชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะไม่ถูกติงอิงผู้นั้นจับได้โดยง่าย ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้เจ้าพูดอะไรกับชุดกระโปรงตัวนี้ จะเป็นคำสอน หรือจะเป็นถ้อยคำจากอารมณ์ความรู้สึก ข้าก็ไม่ได้ยินสักคำเดียว”
ภิกษุเฒ่าที่กอดชุดกระโปรงไว้ในอ้อมอกหน้าแดงเล็กน้อย
ฝานกว่านเอ่อร์หรี่ตาจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด ไม่ได้สนใจภิกษุที่เกิดอารมณ์ทางโลกมานานแล้วอีกต่อไป
ความทรงจำค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา ประหนึ่งธารน้ำใสที่ไหลรินเข้าสู่ผืนนาหัวใจ แต่กลับถูกนางจงใจเอาไปวางไว้ในมุมหนึ่งของทะเลสาบหัวใจ ยังไม่ให้ความสนใจมันก่อน
แต่ใช้ตัวตนของ ‘ฝานกว่านเอ่อร์ลูกศิษย์หอจิ้งซิน’ ตัวจริงมาเริ่มทบทวนเรื่องราว
ศิษย์พี่หญิงโจวซูเจินรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ พานางที่อายุยังน้อยกลับสำนักไปด้วยกัน ตอนที่อยู่ในศาลาจิ้งซินอันเป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนัก ฝานกว่านเอ่อร์แค่ได้กราบไหว้รูปภาพนั้นสามครั้งเท่านั้น
นางเคยเป็นคนในใต้หล้าที่อยากพบเจอ ‘ถงชิงชิง’ มากที่สุด ดังนั้นสุดท้ายโจวซูเจินถึงได้มอบกระจกทองแดงบานหนึ่งให้กับนาง
นางเรียนเวทวานรขาวแบกกระบี่ ถูกคนในยุทธภพขนานนามว่า ‘สะพายหรือไม่สะพายกระบี่ คือฝานกว่านเอ่อร์สองคน’
แต่ฝานกว่านเอ่อร์ค้นพบว่ากระบี่สุดท้ายของสุดยอดวิชาแห่งสำนักวิชานี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครในใต้หล้าใช้ได้มาก่อน ทั้งไม่มีกระบี่เช่นนั้น แล้วก็ไม่มีร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นเช่นนั้น ทว่าตอนนั้นโจวซูเจินกลับยังยืนกรานให้นางตั้งใจศึกษาเวทวานรขาวแบกกระบี่นี้ให้ดี
ด้วยเหตุนี้ตอนที่อยู่วัดป๋ายเหอ เจ๋อเซียนเฉินผิงอันถึงได้รู้สึกประหลาดใจว่า เหตุใดทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าฝานกว่านเอ่อร์ ‘เข้าใกล้มหามรรคา’ แล้ว ทว่ากลับเหมือนคนที่แบกภาระหนักอึ้งก้าวเดิน เดินได้อย่างอืดอาดเชื่องช้า นั่นก็เป็นเพราะว่านางขาดจิตวิญญาณไปเกินครึ่ง เหมือนศพเดินได้ศพหนึ่ง จะสามารถปราดเปรียวมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้อย่างไร
ฝานกว่านเอ่อร์เองก็เคยถามรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนตอนอยู่บนสะพานว่า เคยรู้สึกว่าคุ้นเคยกับบุคคลและเรื่องราวมากมายมาก่อนหรือไม่ หลังจากนั้นตอนอยู่ตำหนักรัชทายาท พ่อครัวเฒ่าที่เดิมทีมีตบะเป็นอันดับสามของใต้หล้าก็เคยมองออกถึงความประหลาดในตัวฝานกว่านเอ่อร์ เพียงแต่ว่าตอนนั้นผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่านางคือ ‘เจ๋อเซียน’ บางท่านที่กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง ดังนั้นจึงง่ายที่จะถูก ‘ผีสิงร่าง’ บนร่างถึงได้มีลมปราณบางอย่างล้อมวนเวียน
นึกถึงสองครั้งที่นางเป็นฝ่ายไปหาเฉินผิงอันเหมือนถูกผีดลใจ
ฝานกว่านเอ่อร์ก็ยิ้มกว้าง ดีนักนะ มีภูมิหลังอย่างไรกันแน่ถึงได้มีความสามารถทำให้อาจารย์อาไท่ซ่างยอมรับปากให้เขามาสิงร่างตน? เสี่ยงอันตรายเยื้องกรายมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว ก็เพื่อมาเตือนภัยให้แก่เฉินผิงอันผู้นั้น? น่าเสียดายก็แต่กฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้ยิ่งใหญ่เกินไป คิดจะฉวยโอกาสไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นสองครั้งนั้น ‘ฝานกว่านเอ่อร์’ จึงได้แต่เบิกตามองเขาโดยที่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว เกรงว่าเฉินผิงอันคนนั้นคงนึกว่าตนเป็นหญิงบ้ากระมัง?
‘ฝานกว่านเอ่อร์’ เหยียบอยู่บนซากของกำแพงเมือง โน้มตัวไปด้านข้าง เอาแขนข้างหนึ่งวางไว้บนขา ทอดสายตามองไปไกล รอยยิ้มยิ่งเข้มข้น
ตอนนั้นที่อยู่ในตลาดกลางคืน คนที่นั่งโต๊ะใกล้นางกับเฉินผิงอัน มองดูเหมือนชาวบ้านธรรมดากำลังด่ากัน ทั้งสองฝ่ายตบโต๊ะถลึงตา ด่ากันว่าเป็นหญิงคณิกา เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง ไม่อย่างนั้นจะไปเปิดหอโคมเขียวที่บ้านของอีกฝ่ายอะไรนั่น
ความหมายลึกซึ้งที่แท้จริง แน่นอนว่าต้องเป็นคำว่า ‘เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสามครั้ง’
แต่คำด่าอื่นๆ นั้นช่างไม่ผ่านการไตร่ตรองเสียเลย แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นคำพูดของเจ้านักพรตน้อยหน้าเหม็นคนนั้น ครั้งนี้หากกลับไปที่ใต้หล้าไพศาลเมื่อไหร่ ต่อให้บุรพาจารย์ไท่ซ่างจะขัดขวางตนก็ต้องถกเถียงกับเจ้าเด็กน้อยที่ขัดหูขัดตามานานผู้นั้นให้รู้ดำรู้แดงสักครั้ง เก้าสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ติงอิงเคยพบกับตนโดยบังเอิญอยู่หลายครั้ง คงไม่ได้เป็นการกระทำโดยพลการของนักพรตน้อย ทว่าคราวนั้นที่ถูกเจ้าสำนักปิงฝูเหมินจับตัวไป นางกล้าแน่ใจเลยว่าต้องเป็นเจ้าตะพาบน้อยจอมอาฆาตผู้นั้นที่เล่นงานตน แม้ว่ามองดูเหมือนจะน่าตกใจ แต่เอาเข้าจริงกลับไร้อันตราย ทว่าพอย้อนกลับมานึกดูก็น่าสะอิดสะเอียนไม่น้อย
อีกทั้งยังมีเรื่องสิงร่างอีก
ที่สำคัญที่สุดก็คือ บุรพาจารย์ไท่ซ่างทำลายกฎของพื้นที่มงคลดอกบัว ซึ่งเป็นการทำลายแผนการทั้งหมดของ ‘ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน’ เช่นกัน สิ่งที่ทุ่มเทมาจึงเสียเปล่า
ก่อนที่ถงชิงชิงจะได้รับกระจกทองแดงและชุดกระโปรงสีเขียว นักพรตน้อยก็ชิงตัดสินรายชื่อสิบคนบนกระดานอย่างรวดเร็ว
หรือจะบอกว่าบุรพาจารย์ไท่ซ่างที่ขี้เหนียวมาทั้งชีวิต ได้เจอกับเศรษฐีร่ำรวย ก็เลยไม่สนใจเงินก้อนนั้นแล้ว? คิดจะทุ่มเงินพาตนออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวโดยตรง?
ในสายตาของฝานกว่านเอ่อร์ หรือควรจะเรียกว่าถงชิงชิง
คนชุดขาวผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้ใต้กำแพงเมืองแล้ว
ไม่ถูกสิ หากจะพูดให้ถูกต้อง ตอนนี้นางน่าจะเป็นนักพรตหญิงหวงถิงของภูเขาไท่ผิง ไม่ใช่ฝานกว่านเอ่อร์ที่เป็นหุ่นเชิดซึ่งถูกคนชักนำโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยิ่งไม่ใช่ถงชิงชิงที่กลัวตายผู้นั้น
นางร้องเรียกหนึ่งครั้ง ชูแขนขึ้นสูง ยกนิ้วโป้งออกไปให้เจ้าหมอนั่นที่อยู่นอกเมือง
นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใบถงทวีปผู้นี้รู้สึกชื่นชมบุรุษที่อายุน้อยกว่าตนเป็นครั้งแรกในชีวิต
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น มองฝานกว่านเอ่อร์ที่เขาไม่คุ้นเคยแถมนางยังทำตัวประหลาด แล้วขมวดคิ้ว
เขาเพียงแค่มองมาทางจ้งชิว คนทั้งสองสบตาแล้วยิ้มให้กัน
ในใจของเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะเป็นยุทธภพแห่งใดก็ควรมีคนอย่างซ่งอวี่เซาและจ้งชิวอยู่ นั่นถึงจะเรียกว่ายุทธภพ
หวงถิงเลิกคิ้ว รอยยิ้มกดลึกมากกว่าเดิม “น่าสนใจ ข้าชอบ!”
เฉินผิงอันที่อยู่นอกเมืองหยุดเดิน
บนหัวกำแพง คนที่เลื่อนสู่อันดับสิบคนแบ่งออกเป็นอวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซาน เขาสวมกวานดอกบัวสีเงินที่เป็นของติงอิงเอาไว้แล้ว ข้างกายมีกระบี่แก้วเล่มหนึ่งลอยอยู่ เวลานี้หยิบพัดพับไม้ไผ่หยกเล่มหนึ่งออกมา ซี่ไม้ไผ่ทุกซี่บนนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวัน บันทึกสุดยอดวิชาในยุทธภพเอาไว้
จ้งชิวมีสีหน้าปล่อยวาง เขาฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงที่พังภินท์ ไหล่สองข้างลู่ลง ไม่เหมือนราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนในเวลาปกติผู้นั้นอีก
โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์
ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้นที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบคลึงด้ามมีดเลี่ยนซืออยู่ตลอดเวลา
คนลับมีดหลิวจง
ภิกษุอวิ๋นหนีที่โอบกอดชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนนุ่มไว้ในอ้อมอก
เฉิงหยวนซานที่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ในมุมใดของเมืองหลวง
เฝิงชิงป๋ายจอมยุทธ์พเนจรอันดับสิบตายภายใต้คมมีดเลี่ยนซือของสหายรักอย่างถังเถี่ยอี้ไปแล้ว
มารเฒ่าติงที่อยู่ในอันดับหนึ่งกลับตายด้วยน้ำมือของเจ๋อเซียนที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน
นอกจากสิบคนนี้ บนหัวกำแพงยังมีหวงถิงที่พลังอำนาจทั่วทั้งร่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่านางจะไม่อยู่ในสิบอันดับ แต่ตอนนี้เกรงว่าแม้แต่โจวเฝยก็คงยังไม่กล้าท้าทายนาง หลังจากที่จิตวิญญาณผสานเข้ากับกายหยาบ ใบหน้าของนางก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เดิมทีก็งามเลิศล้ำอยู่แล้ว ตอนนี้กลับมีประกายสดใสเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน ยิ่งเป็นโฉมสะคราญงามล่มเมืองมากขึ้น
ลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่นเตรียมจะอยู่ต่อในพื้นที่มงคลดอกบัวอีกหกสิบปี ทั้งเพื่อจิตแห่งมรรคาของตัวเอง แล้วก็เพื่อบุตรชายของสหายรัก รับผิดชอบเป็นผู้ปกป้องมรรคาครึ่งตัวให้กับอีกฝ่าย
สิ่งที่โจวซื่อหนุ่มปักบุปผาคิด นอกจากความเสียใจที่ใกล้จะต้องจากลาแล้ว ยังมีความคาดหวังต่ออนาคตที่งดงามในอีกหกสิบปีให้หลังด้วย
ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารใกล้จะถูกโจวเฝยพาไปจากใต้หล้าแห่งนี้ การตายของติงอิง นางก็คือคนที่หมดอาลัยตายอยากมากที่สุด
เวลานี้เมื่อทุกคนมองเห็นเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นั้นหยุดยืนอยู่บนทางหลวงนอกเมือง
สายตาของอวี๋เจินอี้มืดทะมึน มองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ จากบนใบหน้า
จ้งชิวยิ้มอย่างเข้าใจ คนที่สังหารมารเฒ่าติงได้ก็ควรต้องเผด็จการเช่นนี้! เหมือนเฉินผิงอันกำลังพูดว่าพวกเจ้าต่างก็เห็นว่า การต่อสู้กับติงอิง ข้าเฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บ ใครคิดจะปล้นสะดมตอนไฟไหม้ก็ลงจากกำแพงเมืองมา พวกเราจะได้สู้กันให้รู้เป็นรู้ตาย
หลิวจงคนลับมีดถอดหายใจ นั่งหลังพิงกำแพงด้วยความกลัดกลุ้ม ได้เห็นศึกใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ผีร้องไห้เทพหลั่งน้ำตาบนภูเขากู่หนิวแล้ว เขาไม่มีอารมณ์มาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้อีกจริงๆ เพราะรู้สึกว่าไม่มีความหมาย หากครั้งนี้ยังมีโอกาสได้เดินลงจากหัวกำแพงเมือง กลับไปยังร้านตรงสะพานเคอเจี่ยได้อย่างปลอดภัย วันหน้าก็คงทำตัวเป็นเศรษฐีของตัวเองไปให้ดี อย่างมากสุดก็แค่เลือกลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เข้าตาสักสองคนมาสืบทอดวิชาของเขา
ในดวงตาของถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่มีประกายความเดือดดาลเสี้ยวหนึ่งวาบผ่านไป เพียงแต่ว่าลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็หลับตาทำสมาธิ เมื่อตาไม่เห็น ใจจะได้ไม่ต้องหงุดหงิด
สุดท้ายเฉินผิงอันจึงเดินผ่านประตูเมืองมาตรงๆ เช่นนี้ แล้วค่อยๆ จากไปไกล
อวี๋เจินอี้ลอยตัวขึ้น เหยียบบนกระบี่บินแก้ว เตรียมจะไปที่ภูเขากู่หนิว
ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่กรูมารวมตัวกันจากสถานที่ต่างๆ ในใต้หล้าเริ่มไหลหายไปรอบด้าน เขาอวี๋เจินอี้คือผู้ฝึกตน ไหนเลยจะยอมพลาดโอกาสที่พันปียากจะพานพบสักครั้งนี้ไป
ปราณวิญญาณไม่เหมือนกับโชคชะตาบู๊แห่งใต้หล้าที่ล่องลอยเป็นภาพมายา มันไม่เลือกคน ขอแค่มีความสามารถ ไม่ว่าใครก็โอบมากอดไว้ในอ้อมอกได้
ถังเถี่ยอี้จ้องเขม็งไปยังหลิวจงคนลับมีดที่มีสีหน้าเหนื่อยล้า ก่อนจะเดินเลียบทางเดินม้าไปข้างหน้าช้าๆ
หลิวจงทั้งโมโหทั้งหวาดผวา ดีดตัวกระโดดผาง ผรุสวาทเสียงดัง “เจ้าถังเถี่ยอี้ตัวดี บังอาจมองข้าเป็นมะพลับนิ่มบีบง่ายอย่างนั้นรึ?!”
ส่วนหวงถิงกลับจ้องโจวเฝยที่ขวางหูขวางตาเขม็ง
ทุกสิ่งที่เจ้าตำหนักคลื่นวสันต์กระทำลงไปในพื้นที่มงคลแห่งนี้ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินสามารถทนได้ ทว่านักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงมิอาจทนได้!
ในสายตาของฝานกว่านเอ่อร์ นั่นคือกระจกทองแดงธรรมดาบานหนึ่ง ทว่าเมื่อมาอยู่ในมือของหวงถิงกลับมีความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่ นางสามารถใช้ลมปราณควบคุมสิ่งของ บังคับกระจกที่ตกอยู่บนพื้นให้เข้ามาอยู่ในมือ ใช้นิ้วเคาะหน้ากระจกหนักๆ หน้ากระจกพลันระเบิดแตก จากนั้นก็เผยให้เห็นภาพประหลาดเหมือนบ่อน้ำมืดลึกแห่งหนึ่ง หวงถิงยื่นนิ้วสองข้างออกไปคล้ายคีบบางสิ่งบางอย่าง แล้วกระชากออกมาข้างนอก นั่นคือกระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่ง!
นางคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของภูเขาไท่ผิงสำนักใหญ่อันดับที่สามของใบถงทวีป คือว่าที่เจ้าสำนัก คือหวงถิงที่ขอแค่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้สำเร็จก็ย่อมกลายเป็นเซียนขอบเขตสิบสอง!
หากไม่มีสมบัติติดตัวซะบ้างก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่
พริบตานั้นโจวซื่อและยาเอ๋อร์หันมามองหน้ากัน เพราะคนทั้งสองต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
คนทั้งสองหันขวับไปพร้อมกัน
จึงประสานสายตาเข้ากับเจ๋อเซียนชุดขาวที่มองมาบนหัวกำแพงเมืองพอดี
โจวเฝยด่ายิ้มๆ “เจ้ามารเฒ่าติงที่ยโสโอหังไม่เห็นสวรรค์อยู่ในสายตาผู้นี้ ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จนั้นมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือ ทำให้ข้าเดือดร้อนซะแล้ว”
โจวเฝยหันหน้าไปมองทางลู่ฝ่าง ฝ่ายหลังกล่าวอย่างจนใจ “เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นี้จะบินทะยานไปพร้อมกับเจ้า หาไม่แล้วหากเขาอยู่ต่อในพื้นที่มงคลดอกบัว โจวซื่อต้องอันตรายมากแน่ๆ”
โจวเฝยบีบคางตัวเอง หากผูกบุญสัมพันธ์ด้วยเป็นเรื่องยาก ถ้าอย่างนั้นคงต้องวางแผนดูสักครั้ง
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ ทุกคนต่างก็พากันเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างอดไม่อยู่
ทะเลเมฆแหวกออกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่สีทอง ลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งมาถึงหัวกำแพงเมืองในเสี้ยววินาที
เพียงแค่ชั่วพริบตา
เกรงว่านอกจากเจ๋อเซียนและปรมาจารย์ที่อยู่บนหัวกำแพงแห่งนี้แล้ว คงไม่มีใครในเมืองหลวงที่มองเห็นภาพนี้อีก
ในสายตาของทุกคนเห็นนักพรตน้อยร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่ง ในมือถือกลองป๋องแป๋งหลากสีสันขนาดเล็กกะทัดรัดอันหนึ่ง ทว่าด้านหลังกลับแบกน้ำเต้าสีทองอร่ามลูกใหญ่ยักษ์ที่แทบจะสูงเท่าตัวเขา มองดูแล้วน่าขบขันอย่างยิ่ง
พอหวงถิงมองเห็นเจ้าตัวน้อยผู้นี้ก็ร้องโอ๊ะโอหนึ่งที แล้วก็ไม่สนใจโจวเฝยอีก นางก้าวยาวๆ เข้าหานักพรตน้อยลูกศิษย์ของใครบางคนที่น่ารำคาญที่สุดในใต้หล้าไพศาล
และพอนักพรตน้อยเห็นหวงถิงที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารก็กลอกตามอง พูดว่า “ข้าลงมาคราวนี้ไม่ใช่เพื่อต่อยตีกับใครหรอกนะ หากเจ้าทำเกินกว่าเหตุจนอาจารย์ของข้าโมโหขึ้นมา ไม่กลัวหรือว่าหลายปีที่บุรพาจารย์ไท่ซ่างของเจ้าช่วยปกป้องมรรคาให้เจ้าจะเสียเปล่า?”
หากหวงถิงยังคงเป็นนักพรตหญิงภูเขาไท่ผิงก่อนที่จะมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว ก็คงแค่เอ่ยว่านั่นมันเป็นเรื่องของบุรพาจารย์ข้า จากนั้นอะไรที่ควรลงมือก็จะลงมือ ทว่าเวลานี้นางเพียงแค่แสยะปาก ทำสีหน้าประมาณว่ารอให้พวกเราไปถึงใต้หล้าไพศาลก่อนเถอะ นักพรตน้อยทำสีหน้าแบบเดียวกันคืนกลับมา แสยะปากอย่างไม่หวั่นเกรง คิดจะมาแข่งเรื่องคนหนุนหลังกับนายท่านอย่างข้างั้นรึ? ภูเขาไท่ผิงเล็กเกินไปหน่อยกระมัง? ไม่ใช่ภูเขามังกรพยัคฆ์แห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักหน่อย
นักพรตน้อยกระแอมให้ลำคอชุ่มชื้น ยืดอกขึ้น เดินก้าวยาวๆ ไปบนทางเดินม้าของหัวกำแพงเมือง เขาพูดไม่ดังมากนัก แต่ทุกคนล้วนได้ยินอย่างชัดเจน “มีการเปลี่ยนแปลงกฎ สำหรับพวกเจ้าแล้วถือเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า สิบคนบนอันดับที่ประกาศออกมาในตอนท้ายสุด ใครก็ตามที่มีชีวิตอยู่ล้วนสามารถบินทะยานได้ ใครที่ไม่อยากไปจากใต้หล้าแห่งนี้ รอให้ข้าตีกลองครั้งที่สอง ก่อนเสียงกลองครั้งที่สามจะดังขึ้น แค่ไปจากหัวกำแพงเมืองก็ได้แล้ว แน่นอนว่าต่อให้ไม่ได้เป็นคนที่บินทะยาน แต่เป็นคนที่เดินลงไปจากหัวกำแพงก็ยังจะได้รับสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง”
“จำไว้ว่าคนที่บินทะยานบนหัวกำแพง กายหยาบจะถูกทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ ได้แต่พาจิตวิญญาณไปยังสถานที่แห่งอื่น รักษาความทรงจำทั้งหมดเอาไว้เท่านั้น อย่าได้คิดว่าการเริ่มต้นใหม่เป็นเรื่องเลวร้ายไปซะหมด ความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน วันหน้าพวกเจ้าจะได้สัมผัสเอง”
นักพรตน้อยมีท่าทางเย่อหยิ่ง เวลาเดินเชิดหน้าก้าวอาดๆ “สามอันดับแรกในรายชื่อก็ยิ่งโชคดี อวี๋เจินอี้อันดับสอง หากเลือกจะบินทะยาน สามารถพาคนไปด้วยได้สามคน ส่วนโจวเฝยอันดับที่สามพาคนไปได้คนหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าของข้าบอกแล้วว่า นอกจากติงอิง คนทั้งหลายที่ถูกพาตัวไปสามารถพากายหยาบไปด้วยได้”
“อืม ดูเหมือนว่าหลายคนจะยังไม่เข้าใจ ไม่ต้องแปลกใจ พวกเจ้าฝีมือห่วยเกินไป ไม่มีคุณสมบัติมากพอให้เข้าร่วม หากหวังว่าตัวเองจะโชคดีล่ะก็ มีแต่จะพบจุดจบอย่างเฝิงชิงป๋าย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตน้อยก็หัวเราะหึหึใส่หวงถิง “เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่ เดิมทีด้วยฝีมือของเจ้าสามารถเลื่อนสู่สามอันดับแรกได้ เฮ้อ คนคำนวณมิสู้ชะตาฟ้าลิขิต นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ภูเขาไท่ผิงของพวกเจ้าไปสมคบคิดกับคนนอกสองคนนั้น ทำลายกฎกติกาก่อน ตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าของข้าโมโหมากเลยล่ะ”
หวงถิงมุมปากกระตุก
นักพรตน้อยเอียงศีรษะจ้องนิ่งไปที่ใบหน้าของนาง พูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “หวงถิง เจ้าว่าทำไมเจ้าถึงหน้าไม่อายอย่างนี้นะ ตอนอยู่ใต้หล้าไพศาลหน้าตาของเจ้าดีไม่ได้ครึ่งหนึ่งของตอนนี้เลยด้วยซ้ำ…”
ดูเหมือนนักพรตน้อยจะถูกคนเขกหัวมาจากด้านหลังจึงล้มหน้าทิ่มในฉับพลัน แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าขายหน้า เพียงลุกขึ้นยืนแล้วปัดชุดคลุมเต๋า ตอนที่เดินสวนไหล่กับหวงถิงยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ พูดต่อว่า “สุดท้ายนี้จะพูดถึงกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่สืบทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เรื่องราวในวันนี้อย่าได้เอาไปป่าวประกาศแก่ภายนอก พวกเจ้าแค่รู้อยู่แก่ใจตัวเองก็พอแล้ว แน่นอนว่าหากอดกลั้นไม่ไหวจริงๆ จะพูดกับคนไม่กี่คนก็ได้ ไม่เป็นไร”
พอพูดประโยคเหล่านี้จบในรวดเดียว นักพรตน้อยก็ชูกลองป๋องแป๋งขึ้นแล้วแกว่งเบาๆ
ไม่มีภาพปรากฎการณ์แปลกประหลาดใดๆ มีเพียงเสียงตึงดังเบาๆ หนึ่งครั้ง
แบบนี้ก็ถือว่าเป็นเสียงกลองสวรรค์ครั้งที่สองได้ด้วยหรือ?
อวี๋เจินอี้เหยียบอยู่บนกระบี่บิน กุมมือโค้งตัวคารวะนักพรตน้อย “กราบลาเซียนซือ”
เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่ลักษณะภายนอกมองดูเหมือน ‘คนวัยเดียวกัน’ ผู้นี้ ท่าทีของนักพรตน้อยแตกต่างไปจากเดิม มีความจริงจังเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน พูดเหมือนคนแก่ว่า “ไปเถอะ ต่างคนต่างมีปณิธานเป็นของตัวเอง นายท่านผู้เฒ่าของข้าไม่ได้ผิดหวังในตัวเจ้าเท่าใดนัก ดังนั้นจงทะนุถนอมเวลาอีกหกสิบปีหลังจากนี้ให้ดี”
อวี๋เจินอี้เผยสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาขี่กระบี่จากไปยังซากปรักหักพังของสนามรบบนภูเขากู่หนิว ดูดดึงเอาปราณวิญญาณในฟ้าดินมาอย่างกำเริบเสิบสาน
หวังว่าหลังออกด่านมาแล้วจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้ง ต่อให้เผชิญหน้ากับเฉินผิงอันก็อาจจะมีพลังเหลือพอให้ต่อสู้
จ้งชิวถามยิ้มๆ ว่า “หลิวจง เจ้าคิดว่ายังไง?”
หลิงจงคนลับมีดคิดแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากนี้คงต้องรบกวนให้ราชครูขายร้านให้ข้าด้วย เชื่อว่าด้วยฝีมือของราชครูจ้งคงต้องรู้อยู่แล้วว่าข้าหมายตาคนหนุ่มคนใดบ้าง ถึงเวลานั้นแค่แบ่งเงินที่ได้มาให้พวกเขาก็พอ”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ไม่ยาก ถ้าอย่างนั้นก็จากลากันตรงนี้เลย?”
หลิวจงถอนหายใจ
จ้งชิวกุมหมัดคารวะ
หลิวจงรีบกุมหมัดคารวะกลับคืน แล้วก็อดถามไม่ได้ว่า “ราชครูจ้ง เจ้าไม่ไปด้วยกันหรือ? หลังจากไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสได้กลับมาอีก ทว่าหากไม่ไปครั้งนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้บินทะยานอีกแล้ว”
จ้งชิวส่ายหน้า “ที่ใดอยู่แล้วสุขสบายใจ ที่นั่นนับเป็นบ้านเกิด”
หลิวจงกุมหมัดค้างไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้วางลง
จ้งชิวคลี่ยิ้มอบอุ่น เอามือกดลงบนหลังมือของหลิวจงเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัว เดินลงไปจากหัวกำแพงเมือง
นักพรตน้อยชำเลืองตามองแผ่นหลังของจ้งชิวแล้วส่ายหน้า
ถังเถี่ยอี้เดินเร็วๆ ตามจ้งชิวไป
ภิกษุอวิ๋นหนีเองก็ก้าวออกไปจากหัวกำแพง พลิ้วกายลงนอกเมือง ในอ้อมอกประคองชุดกระโปรงสีเขียว พุ่งทะยานไปยังทิศทางของภูเขากู่หนิวอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองเหลืออยู่อีกไม่มาก
โจวเฝยพูดกับลู่ฝ่างว่า “พาโจวซื่อไปหลบซ่อนตัวก่อน ทางที่ดีที่สุดออกไปจากแคว้นหนันเยวี่ยน ไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หากข้าไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะไม่มีใครขัดขวางเฉินผิงอันผู้นั้นได้อีก”
ลู่ฝ่างและโจวซื่อลงจากหัวกำแพงไปทันทีอย่างไม่มีความลังเล พวกเขาอ้อมผ่านภูเขากู่หนิว มุ่งหน้าไปยังตะเข็บชายแดนแคว้นหนันเยวี่ยน
ถึงท้ายที่สุดจึงเหลือคนอยู่แค่สี่คน นักพรตน้อยที่แบกน้ำเต้าลูกยักษ์ไว้บนหลัง หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิง ‘โจวเฝย’ แห่งสำนักกุยหยก หลิวจงที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่มงคลดอกบัว
นักพรตน้อยมองไปยังใต้สะพานหินบางแห่ง ที่นั่นมีเฉิงหยวนซานที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความดูแคลน หาวหวอดหนึ่งครั้ง แล้วจึงส่ายกลองป๋องแป๋ง เสียงกลองดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม
ไม่ปรากฏตัวบนหัวกำแพงเมือง แผนการที่เฉิงหยวนซานวางไว้จึงเท่ากับว่าเสียเปล่า ไม่อาจบินทะยาน แล้วก็ไม่ได้รับโชควาสนาเพิ่มเติม
ลำแสงพร่างพราวเส้นหนึ่งกระแทกลงมาเบื้องล่าง ปกคลุมหลิวจงไว้ภายใน เพียงแค่ชั่วพริบตาตลอดทั้งร่างของเขาก็หายวับไป ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้อีก
สำหรับโจวเฝย นักพรตน้อยค่อนข้างจะชื่นชมเขา จึงยอมเปิดเผยความลับสวรรค์โดยการเอ่ยเบาๆ ว่า “สำหรับเฉินผิงอันผู้นั้น ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทำตัวเหลวไหลอะไรได้อีก เฮอะ ยังมีเรื่องลำบากรอเขาอยู่นะ”
โจวเฝยทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”
ลำแสงเส้นที่สองร่วงลงมาในโลกมนุษย์ ช่วงเวลาก่อนหายตัวไปของโจวเฝยนานกว่าหลิวจง ขณะที่เรือนกายพร่าเลือนยังมีอารมณ์โบกมือลาหวงถิง
นักพรตน้อยยิ้มตาหยีมองไปยังนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา “กังวลถึงสภาพการณ์ของตัวเองมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
หวงถิงหัวเราะหยัน “เจ้ากลับไปบอกบุรพาจารย์ของข้าซะว่าไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว อย่างมากสุดสิบปี สิ่งที่สุยโย่วเปียนทำไม่ได้ ข้าต้องทำได้ ถึงเวลานั้นเมื่อข้าฝ่าทะลุขอบเขต จะพากายหยาบบินทะยานกลับไปยังใต้หล้าไพศาล”
นักพรตน้อยยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เตะปลายเท้า แบกน้ำเต้าสีทองใบใหญ่ ‘ลอย’ ขึ้นกลางอากาศ ไม่มีลำแสงอยู่ข้างกาย ร่างจึงเอียงซ้ายเอียงขวาบิดๆ เบี้ยวๆ เหมือนสุนัขลอยน้ำที่ค่อยๆ บินไปทางม่านฟ้า…
หวงถิงชำเลืองตามองแวบหนึ่งก็ไม่คิดจะมองอีก ความคิดเด็กๆ เช่นนี้ก็มีแต่เจ้าลูกกระต่ายน้อยผู้นี้ที่คิดได้
……
ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหญิงร่างผอมแห้งคนหนึ่งที่ขายหนังสือแล้วซื้อเสื้อผ้ามาสองชุด ยังมีเงินเหรียญทองแดงเหลืออยู่ นางจึงสั่งอาหารเลิศรสที่เคยปรากฏแค่ในความฝันมาเต็มโต๊ะใหญ่ สวาปามอย่างหิวโหย กลัวว่าถ้ากินช้าไปจะเสียเปรียบ นั่งอยู่บนเก้าอี้นางต้องกระดกก้นให้สูงถึงจะคีบอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะมาได้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน
เด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อเฉาฉิงหล่างถูกทหารของท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งพาตัวไปที่จวนว่าการ ด้านนอกห้องโถงใหญ่ปูเสื่อฟางสี่ผืน ด้านบนคลุมด้วยผ้าขาวสี่ผืน เด็กชายนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรสักคำเดียว
ใต้สะพานแห่งหนึ่ง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานยังคงรอคอยอย่างยากลำบาก รอให้เสียงกลองดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง
มีบัณฑิตยากจนคนหนึ่งได้ยินว่าห่างไปไม่ไกลมีคนตาย เขาถูกเพื่อนสนิทลากให้วิ่งไปดูเรื่องสนุกด้วยกัน ตรงนั้นถูกชาวบ้านมุงล้อมไว้แน่นจนน้ำก็เล็ดรอดไปไม่ได้ บัณฑิตได้ยินแค่ว่าเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง เขาคิดว่ารอนางกลับไปถึงบ้านแล้วจะต้องเล่าเรื่องโศกนาฎกรรมครั้งนี้ให้นางฟัง ที่สำคัญที่สุดคือให้นางออกจากบ้านน้อยครั้ง ตอนนี้คนทั้งสองอาจจะขัดสนนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องให้นางคอยเดินทางไปพบปะเยี่ยมผู้คน คอยยืมเงินคนอื่นมาให้เขาซื้อหนังสืออีก
ห้อตะบึงมาตลอดทางจนกลับมาถึงถนนใหญ่เส้นนั้น พอเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ ฝีเท้าของเฉินผิงอันกลับเริ่มหนักอึ้ง
ตอนที่เดินเข้าเมือง ต่อให้บนหัวกำแพงมีปรมาจารย์ยืนอยู่มากมายขนาดนั้น
เฉินผิงอันก็ยังคงสามารถวางท่าดั่งผู้ที่ไร้เทียมทานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาสวมชุดขาว ห้อยกาเหล้า ถือกระบี่ยาว เดินผ่านมาอย่างสง่างาม
ทว่าเวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับบ้านของชาวบ้านที่ติดแค่กลอนคู่ราคาถูกเอาไว้ เฉินผิงอันกลับยกมือขึ้นแล้ววางลงอยู่หลายครั้ง ไม่ได้เคาะประตู
เฉินผิงอันไม่รู้ว่า
นักพรตเฒ่ามายืนมองเขาอยู่ด้านหลัง
นักพรตเฒ่าต้องการ ‘รู้’ เรื่องสองเรื่อง
เจ้าเฉินผิงอันคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน
แล้วปฏิบัติต่อคนอื่นในโลกมนุษย์อย่างไร