บทที่ 322 แต่ละแห่งคือยอดบน แต่ขาดหนึ่งภูเขา
นักพรตเฒ่ามองเด็กหญิงร่างผอมแห้งตรงๆ เป็นครั้งแรก
นักพรตเฒ่าร่างสูงใหญ่ เด็กหญิงตัวน้อยกลับผอมบางเหมือนกิ่งไผ่
แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ภายใต้การจับจ้องมองมาของนักพรต เด็กหญิงที่เดิมทีใช้ศีรษะพุ่งชนบ่อหวังหลุดพ้นจากความทรมาน เหมือนคนได้ดื่มน้ำเย็นในช่วงที่อากาศร้อนที่สุด อีกทั้งยังเป็นน้ำบ๊วยในชามกระเบื้องขาวใบใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ ความเจ็บปวดนั้นพลันหายไป นางหอบหายใจเอาอากาศเข้าปากคำใหญ่ พิงหลังอยู่นอกบ่อ เงยหน้ามองเทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้นอย่างขลาดๆ ก่อนที่สัญชาตญาณจะพาให้สายตาของนางมองปราดไปอย่างว่องไวเพื่อตามหาว่าผู้เฒ่าเก็บ ‘ไข่มุก’ เม็ดนั้นไปไว้ที่ไหน
นี่เรียกว่าเจ็บแล้วไม่รู้จักจำ
ยังดีที่นักพรตคนนี้มีท่าทีที่เป็นมิตรต่อคนในโลกมนุษย์ผิดไปจากคนทั่วไป เขาไม่ถือสาสายตาค้นหาของเด็กหญิงที่ไม่รู้จักกลัวตายผู้นี้ แต่ผู้เฒ่ารู้ตัวตนของเด็กหญิงผู้นี้ดี เป็นเหตุให้ยิ่งรู้สึกรังเกียจซิ่วไฉเฒ่าที่ปากเอาแต่พร่ำพูดว่า ‘บัณฑิตแค่ขอยืมของ’ เข้าไปอีก
ในอดีตคนทั้งสองเคยเดิมพัน ซิ่วไฉเฒ่าที่ทั่วร่างมีแต่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวของความยากจนอาศัยพฤติกรรมเล่นแง่และไม่ได้ดั่งใจก็ตีโพยตีพายของสตรี เอาชนะจนได้ของแทนตัวชิ้นหนึ่งไปจากเขา บอกกับเขาว่าหากเจอกับคนที่ได้ถือครองของแทนตัวชิ้นนั้น จะต้องปกป้องชีวิตของคนผู้นั้นให้อยู่รอดปลอดภัย นักพรตเฒ่ากล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ จึงรับปาก แต่ความแค้นเคืองในใจที่มีต่อซิ่วไฉเฒ่าไม่ใช่น้อยๆ เลย ภายหลังได้พบกันอีกครั้ง ประลองมรรคกถากันไปรอบหนึ่ง โดยการที่คนทั้งสองนั่งลงถกกถามรรค อธิบายเหตุผลกันบนเส้นชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่มงคลดอกบัวและถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา ที่เลือกสถานที่แห่งนี้ก็เพราะพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ ต่อให้ปราณวิญญาณจะเบาบางแค่ไหน ก็ยากที่จะต้านทานการประชันบนมหามรรคาของคนทั้งสองได้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นซิ่วไฉเฒ่าที่ยึดครองความได้เปรียบเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ซิ่วไฉเฒ่าหน้าไม่อายผู้นั้นยังแอบจัดวางหมากเม็ดนี้ไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัว นี่ต้องเรียกว่าเงาดำใต้โคมจริงๆ
นักพรตเฒ่าจ้องมองเด็กหญิงที่อยู่ใต้เปลือกตาด้วยสายตาใสกระจ่างและเย็นชา ประหนึ่งดวงอาทิตย์ลอยสูงกลางนภาที่ไม่เคยสนใจความร้อนเย็นในโลกมนุษย์ ยิ่งไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความดีความเลวของมนุษย์ในโลก
นักพรตเฒ่ากะพริบตาปริบๆ แค่ไม่กี่ทีก็มองเห็นประสบการณ์ในชีวิตนี้ของเด็กหญิงได้ครบถ้วนหนึ่งรอบ
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ
นักพรตเฒ่ามองไปยังจวนบางแห่งแล้วแค่นเสียงเย็นชา ความเคียดแค้นลดน้อยลงไปหลายส่วน ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็พอจะเข้าใจความตั้งใจของซิ่วไฉเฒ่าได้คร่าวๆ ใช้ใจคิดคำนวณและอนุมานก็รู้สึกว่าพอใช้ได้ นักพรตเฒ่ารู้สึกลังเลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาหันหน้ามองไปทางกำแพงเมืองทิศใต้ ร้องเอ๊ะหนึ่งที ด้วยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นักพรตเฒ่าดีดนิ้วเบาๆ ลงไปกลางหว่างคิ้วของเด็กหญิง นางตัวแข็งทื่อไม่อาจกระดุกกระดิก
จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บริเวณโดยรอบปากบ่อเกิดเป็นริ้วคลื่นกระเพื่อมไหว นักพรตเฒ่าเดินออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็หายวับไป พื้นที่ในช่วงบริเวณนั้นซึ่งรวมไปถึงตำแหน่งที่แม่นางน้อยอยู่ แม่น้ำแห่งกาลเวลาเริ่มหมุนย้อนกลับ รายละเอียดเล็กน้อยทุกอย่างที่ดวงตาเปล่ามองไม่เห็น กฎการโคจรของฟ้าดินล้วนเริ่มหมุนกลับไป เด็กหญิง ‘หยิบ’ ตำราเหล่านั้นขึ้นมา ภาพสุดท้ายหยุดอยู่ตอนที่นางทำท่าจะถุยน้ำลายใส่บ่อน้ำ
นางมึนงงเล็กน้อย ในใจบังเกิดความหวั่นกลัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะส่ายหน้า สุดท้ายก็ไม่กล้าทำตัวป่าเถื่อน ได้แต่หอบเอาตำราที่ขโมยมาวิ่งห้อออกไป
ภูเขากู่หนิวอยู่ห่างจากทางทิศใต้ของเมืองหลวงไปยี่สิบกว่าลี้
บนกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อแหว่งเว้า ซากปรักหร็อมแหร็มบางตา มีปรมาจารย์ยอดฝีมือหลายท่านที่ออกจากในเมืองมาร่วมชม ‘ซากปรักหักพังแห่งสนามรบ’ อวี๋เจินอี้กับจ้งชิวหยุดการเข่นฆ่าลงชั่วคราว อวี๋เจินอี้ในเวลานี้กำลังรับสัมผัสกับการโคจรของลมปราณเหนือหัวกำแพงเมือง รวมไปถึงปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่ยังคงเหลือค้างอยู่ในฟ้าดินอย่างเงียบเชียบ ส่วนจ้งชิวกลับไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก มือทั้งคู่ของเขาวางลงบนป้อมยิงธนูแห่งหนึ่งที่พังถล่มไม่เหลือสภาพดี ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
กระบี่บินแก้วหยุดอยู่ข้างกายของอวี๋เจินอี้ ยิ่งขยับเข้ามาใกล้หัวกำแพงเมือง ความเร็วในการแหวกอากาศของกระบี่บินก็ยิ่งเชื่องช้า พอขึ้นมาบนหัวกำแพงก็สั่นสะท้านเบาๆ ราวกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
หลิวจงคนลับมีดตามกระบี่แก้วมาถึงทางเดินม้า เขากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงที่พังเละเทะแล้วนั่งขัดสมาธิ ในมือถือมีดเลาะกระดูกที่เสียหายอย่างหนัก ผู้เฒ่าใช้นิ้วโป้งลูบคลึงไปตามตัวมีดที่ใสแวววาวราวกับกระจก ทำตัวกำเริบเสิบสานมาทั้งชีวิต สุดท้ายถูกกระบี่เล่มหนึ่งซ้อมจนมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ นี่คงเรียกว่ากรรมตามสนองทันตาเห็นกระมัง
ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้นพกมีด ‘เลี่ยนซือ’ เดินขึ้นมาบนหัวกำแพงเมืองอย่างเชื่องช้า เขาเลือกพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง หยุดยืนนิ่ง มือกำด้ามมีด พลังอำนาจแผ่ไพศาล
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่หลบร้อนอยู่ใต้สะพานนับว่าทำลายเกียรติของปรมาจารย์อย่างแท้จริง
โจวเฝยและลู่ฝ่างก็มาที่กำแพงเมืองทางทิศใต้เช่นกัน ด้านหลังมีหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อและยาเอ๋อร์ที่สวมรองเท้าเกี๊ยะติดตามมา
ฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินเดินขึ้นหัวกำแพงมาอย่างระมัดระวัง นางไม่กล้าเดินไปบนทางเดินม้าสองฝั่งของกำแพงเมืองอย่างเปิดเผย แต่ใช้วิชาตัวเบาเหยียบไต่บนผนังกำแพงขึ้นมา ตำแหน่งที่เลือกอยู่ระหว่างราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนกับแม่ทัพใหญ่หลงอู่เป่ยจิ้น
ศึกของคนทั้งสองที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองได้ย้ายออกไปนอกเมืองแล้ว
จากแนวเส้นยาวตั้งแต่หัวกำแพงเมืองที่ทุกคนยืนอยู่ไปจนถึงภูเขากู่หนิว ฝุ่นตลบคละคลุ้งเหมือนเต่ายักษ์พลิกตัวกลับหลัง แหวกเปิดพื้นดิน
กลุ่มพ่อค้าและนักเดินทางที่อยู่บนทางหลวงที่พักม้านอกเมืองทางทิศใต้สลายตัวกันไปนานแล้ว
ติงอิงไม่เพียงแต่เดินขึ้นหน้าทวนกระแส ปล่อยหมัดออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อทลายแม่น้ำปราณกระบี่สายยาวที่เฉินผิงอันปล่อยออกมา ยังปล่อยให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเพื่อที่จะได้ประชิดตัวอีกฝ่าย บีบให้เฉินผิงอันจำต้องใช้กระบวนท่ากระบี่มาต้านรับ วิชาอันมหัศจรรย์ของติงอิงไม่ได้ถูกพันธนาการอยู่แค่กับวิชาของสำนักหรือพรรคที่สอนวรยุทธ์แห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ทุกวิชาล้วนถูกเขานำมาใช้ ทุกกระบวนท่าเมื่อเทียบกับกระบวนท่าอันเป็นวิชาก้นกรุของปรมาจารย์ใหญ่อย่างพวกอวี๋เจินอี้แล้ว มองภายนอกดูคล้าย แต่แท้จริงไม่ใช่ เพราะมีความต่างทางจิตวิญญาณอยู่มาก
ฝ่ามือตบลงบนหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ของเฉินผิงอัน ทว่าพายุลมกรดกลับระเบิดขึ้นที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน
เวลาเพียงชั่วดีดนิ้วมือ ปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ก็เหมือนน้ำวนหมุนคว้างไม่เป็นระเบียบ ยากจะจับวงโคจรได้
หลังจากที่เฉินผิงอันถูกซัดจนร่วงลงไปบนพื้น เสื้อผ้าของติงอิงเองก็ขาดวิ่น เส้นผมยุ่งเหยิง แต่ไม่ได้หยุดอยู่เฉย เขาพลิ้วตัวลงมาจากหัวกำแพงเมือง รักษาระยะห่างของทั้งสองไว้ในระยะสองช่วงแขนตลอดเวลา ไม่ยอมให้เฉินผิงอันผลักดันเวทกระบี่และปณิธานกระบี่ให้ถึงขอบเขตสูงสุดได้ง่ายๆ ติงอิงมั่นใจได้เลยว่า ทุกกระบี่ของเจ๋อเซียนที่สวมชุดขาวตรงหน้าผู้นี้ล้วนทัดเทียมได้กับการออกแรงอย่างเต็มกำลังในหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่หญิงสุยโย่วเปียน
แน่นอนว่าไม่รวมสามกระบี่ตอนที่สุยโย่วเปียนใช้บินทะยาน
ตอนนั้นเมื่อโอกาสมาถึง โชคชะตาของเซียนกระบี่หญิงก็เปลี่ยนแปลง ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่ามีความเป็นไปได้มากว่านางจะได้ครอบครองโชคชะตาบู๊เกือบครึ่งของใต้หล้า จึงไม่สามารถดูแคลนสุยโย่วเปียนได้
ด้วยเหตุนี้ติงอิงจึงรู้ดีว่า วิถีสวรรค์ของที่แห่งนี้ไม่ได้ขัดขวางการบินทะยานโดยใช้เรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาอันบริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ์ ยังถึงขั้นปล่อยให้สุยโย่วเปียนดึงเอาโชคชะตาบู๊ไปตามใจชอบ เป็นเหตุให้ตอนนั้นเมื่อสุยโย่วเปียนล้มเหลวในการบินทะยาน เลือดเนื้อสลาย เหลือเพียงโครงกระดูก ระหว่างทางที่ร่วงกลับลงมาในโลกมนุษย์ กระดูกขาวก็กลายเป็นเถ้าธุลี จิตวิญญาณแหลกสลาย นี่เป็นเพราะนางขาดศักยภาพที่มากพอ จะโทษคนอื่นไม่ได้
หมัดหนึ่งของติงอิงต่อยเปรี้ยงลงบนใจกลางตัวกระบี่ของเฉินผิงอัน ตัวกระบี่โค้งงอเป็นเส้นโค้งขนาดใหญ่ ปลายกระบี่ปราณยาวแทบจะแทงเข้าที่ไหล่ของติงอิงเอง เฉินผิงอันจำต้องประกบนิ้วสองนิ้วมาแนบติดที่ปลายกระบี่ ดีดเส้นวงโค้งที่ถูกหมัดของติงอิงต่อยให้กลับมาราบเรียบ ร่างถอยกรูดไปด้านหลัง ดีดเท้าแตะพื้นเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ พริบตาเดียวก็ไถลตัวออกไปบนถนนทางหลวงไกลสิบกว่าจั้ง
เมื่อเห็นว่าติงอิงไม่ได้ไล่ตามมาโจมตีอย่างน่าประหลาดใจ เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดี เขารีบใช้กระบวนท่าสยบเสินโถวจากใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ มาสลายปราณกระบี่ให้แผ่ไปปกคลุมรอบด้าน
พายุหมัดซัดกระหน่ำรุนแรง เกิดเป็นรุ้งยาวเจ็ดแปดเส้นเสมือนจริงพุ่งมากระแทกชนบนปราณกระบี่
เฉินผิงอันขยับซอยเท้าสั้นๆ ทีละก้าว เสียงฟ้าร้องเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ปราณกระบี่และพายุหมัดแหลกสลาย กลายเป็นกลุ่มแสงสีสันงดงามเจิดจ้าแทบจะเวลาเดียวกัน ราวกับว่ากองทัพม้าเหล็กสองกองที่รบกันอยู่แนวหน้าเส้นชายแดนของสองแคว้นได้พินาศวอดวายไปพร้อมกัน
ติงอิงที่อยู่ห่างออกไปออกหมัดไม่หยุด นี่ไม่อาจเรียกว่าเป็นกระบวนท่าอะไรได้เลย เป็นแค่การออกหมัดที่ธรรมดาที่สุดเท่านั้น ทุกท่าล้วนเป็นไปตามใจปรารถนา
ขณะเดียวกันกับที่ออกหมัดก็เดินออกมาเบาๆ หนึ่งก้าว ดึงระยะห่างเข้ามาใกล้อีกสองจั้ง
รอจนเฉินผิงอันต้านทานพายุหมัดทั้งหมดได้อย่างยากลำบาก ติงอิงก็ขยับมาประชิดตัวอีกครั้ง ทำเอาเฉินผิงอันไม่มีเวลาผลัดเปลี่ยนลมปราณ
เฉินผิงอันทั้งรบทั้งถอยอยู่ตลอดเวลา ส่วนติงอิงก็ปล่อยพลังอำนาจดุดันน่ายำเกรงออกมาตลอดเวลาเช่นกัน
หากพูดถึงจุดสูงสุดของพลังอำนาจแต่ละฝ่าย ของเฉินผิงอันอยู่ที่กระบี่แรกบนหัวกำแพงเมือง
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่นั้น ต่อให้เป็นติงอิงที่เย่อหยิ่งทระนงตนจนสายตามีแค่เทพเทวาบนสวรรค์ก็ยังได้แต่ถอยหนีอย่างหดหู่ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่สภาพจิตใจก็ยังเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ส่วนพลังอำนาจสูงสุดของติงอิงนั้นกลับอยู่ในตอนที่ตกเป็นรอง เดินทวนกระแสปราณกระบี่ไหลบ่าขึ้นหน้าไป
หลังจากนั้นมาเฉินผิงอันก็เริ่มเดินลงเนิน แต่ที่น่าแปลกก็คือติงอิงกลับไม่สามารถรักษาพลังอำนาจและสภาพจิตใจของคนที่ได้เปรียบเอาไว้ได้
ปราณกระบี่ที่ถูกกระจายออก แม้ว่าจะมองดูเหมือนมีพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเหมือนน้ำทะลักท่วมทำนบ แต่ติงอิงก็มั่นใจว่าสามารถต้านทานได้ อย่างมากที่สุดคือหลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยมาหนึ่งกระบี่แล้วมีโอกาสได้หายใจหายคอ ติงอิงก็แค่สูญเสียโอกาสชิงลงมือก่อนไปเท่านั้น
ทว่าเมื่อปราณกระบี่รวมตัวกันกลายเป็นเส้นพุ่งมาดุจกระแสน้ำขึ้น ติงอิงกลับได้แค่หลบเลี่ยงประกายคมกริบของอีกฝ่ายเท่านั้น
สามลี้นอกเมือง บริเวณใกล้เคียงกับทางหลวงมีเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ติงอิงใช้สองนิ้วของมือข้างหนึ่งดีดปลายกระบี่ ก่อนจะเพิ่มแรงลงบนฝ่ามือในฉับพลันแล้วผลักไปที่หน้าอกของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันปลิวลิ่วไปกระแทกเนินเขาเหมือนว่าวที่สายป่านขาด
ติงอิงถึงขนาดต่อยให้ร่างของเฉินผิงอันทะลุเนินเขาขนาดเล็กนี้ไป ประหนึ่งลูกธนูแทงทะลุหน้าอกของศัตรู
ฝุ่นคลุ้งตลบไปยันแผ่นฟ้า
พลังอำนาจจากฝ่ามือนี้ของติงอิงมากมหาศาล แค่ดูจากกระบี่ที่หลุดออกจากมือของเฉินผิงอันก็พอจะมองออกแล้ว กระบี่ปราณยาวลอยคว้างขึ้นไปสู่จุดสูงสุดกลางอากาศแล้วก็เริ่มร่วงดิ่งลงมา ไม่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้ มันร่วงตกลงบริเวณเนินเขาใกล้กับติงอิง
ติงอิงหรี่ตาลง เขามองไม่เห็นสภาพอเนจอนาถของเฉินผิงอัน ขณะเดียวกันกับที่ไม่อยากถ่วงเวลาล่าช้าในการพุ่งออกไปซ้ำอีกฝ่าย อันที่จริงติงอิงก็ยังลังเลอยู่ว่าควรจะจัดการกระบี่ที่อยู่ข้างหน้านั้นอย่างไร ควรจะฉวยโอกาสที่เจ้าของมันอ่อนแอบังคับกระบี่ให้บินกลับมา แล้วโยนทิ้งไปที่หัวกำแพง พยายามให้มันอยู่ห่างจากสนามรบของคนทั้งสองให้ได้มากที่สุด ทำให้เจ๋อเซียนหนุ่มผู้นี้ไม่อาจกุมกระบี่ หรือควรจะใช้มันเป็นเหยื่อล่อเพื่อลอบฆ่าเฉินผิงอันในระยะประชิดดี?
แต่คู่ต่อสู้คนนี้ทำให้ติงอิงรีบล้มเลิกความคิดทั้งหมดไปทันที
ในใจของติงอิงพลันเกิดความระแวดระวัง ขนร่างทั้งลุกชัน รีบหยุดชะงักร่างที่กำลังพุ่งไป เท้าทั้งสองข้างกระทืบลงบนพื้นแรงๆ ตั้งกระบวนท่าหมัดใหญ่ที่มีพลังอำนาจเปี่ยมล้น พายุหมัดเหมือนพายุฝนที่เทกระหน่ำลงบนแถบพื้นที่ระหว่างกระบี่เล่มนั้นกับเนินเขา ต่อให้ติงอิงจะรับมือได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเห็นว่าแสงสีขาวหิมะปล่อยให้พายุหมัดต่อยลงบนร่าง แล้วกระโดดลอยตัวขึ้นสูงจากบนเนินเขา เอื้อมมือออกมาคว้า ปราณยาวที่ตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ลอยตัวขึ้นสูงหลายฉื่อ แล้วถูกเฉินผิงอันคว้ามาอยู่ในฝ่ามือพอดี
เพื่อพุ่งผ่านพายุหมัดดุจฝนกระหน่ำของติงอิงออกไปให้ได้โดยไวที่สุด ก็เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันอ่อนกำลังจนเป็นม้าตีนปลายแล้ว ทว่าพอกระบี่มาอยู่ในกำมือ เฉินผิงอันกลับยังคงเงื้อกระบี่ฟันออกไป
ส่วนเรื่องที่ว่าอานุภาพของกระบี่นี้จะถูกลดทอนลงไปหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะแค่ทำให้ติงอิงที่พละกำลังเปี่ยมล้นรู้สึกคันๆ หรือแค่ทำให้ติงอิงบาดเจ็บเล็กน้อยแบบที่ไม่ระคายผิวหนังของเขา
เฉินผิงอันไม่คิดถึงพวกมันเลยสักนิด
โลกที่น่าเหลือเชื่อใบนี้ บนถนนเส้นนั้น ทุกคนต่างก็ร้องตะโกนให้ผู้คนเข่นฆ่ากันอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับว่าไม่มีใครสนใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเฉินผิงอันคือใคร เป็นคนดีหรือคนเลว ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
ความรู้สึกแบบนี้ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด ตอนนั้นที่เฉินผิงอันเห็นหลิวเสี้ยนหยางนอนป่วยอยู่บนเตียงแล้วเดินไปบนสะพานเพียงลำพัง
เขาก็สาบานกับตัวเองแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกเด็ดขาด จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนหมาตัวหนึ่งที่กระดิกหางขอความสงสารจากสวรรค์ หวังจะทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง
ระยะเวลาที่เฉินผิงอันเรียนคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงไม่นับว่าสั้น ทว่าจิตวิญญาณที่เฉินผิงอันคว้าจับได้อย่างแท้จริงกลับไม่ได้มาจากคัมภีร์กระบี่เล่มนี้ แต่มาจากสามกระบี่
หนึ่งคือกระบี่ที่อาจารย์ฉีฟันผ่าค่ายกลของหลิ่วชื่อเฉิงชุดชมพูในวัดร้างได้อย่างง่ายดาย
ครั้งที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันเคยใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าเสื้อเกราะทองคำ
ในม้วนภาพวาดภูเขาและแม่น้ำของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าคืออีกสองกระบี่ กระบี่ของจิตวิญญาณกระบี่ ตอนอยู่บนกำแพงเมืองแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันเคยเลียนแบบจนมีความคล้ายคลึงหนึ่งส่วน เมื่อปล่อยกระบี่นั้นออกไปก็ทำให้ติงอิงเกือบจะรู้สึกว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นแค่อันดับสองในใต้หล้า
อีกทั้งเฉินผิงอันยังเคยปล่อยกระบี่ไปครั้งหนึ่งตอนอยู่บนภูเขาสุ้ยซานทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ก็คือสามกระบี่นี้
นอกจากนี้ยังมีอีกสองกระบี่ แต่เฉินผิงอันยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะไม่คุ้นเคยกับคนที่ออกกระบี่ อยู่ห่างไกลเกินไป เฉินผิงอันจึงไม่สามารถบรรลุถึงจิตวิญญาณที่มากพอจะให้ตัวเองออกกระบี่ได้
กระบี่หนึ่งเป็นของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่แหวกผ่าม่านรัตติกาล คนยังไม่ปรากฏตัว กระบี่ก็มาถึงก่อนแล้ว
กระบี่หนึ่งเป็นของสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่ผลักกระบี่ออกจากฝักมาแค่ชุ่นกว่าก็มีภูเขาลูกหนึ่งทอดขวางเบื้องหน้า
เฉินผิงอันกำปราณยาวเอาไว้ กระบี่ที่เขาฟันออกไปนี้เป็นของอาจารย์ฉีที่จับกระบี่ไม้ไหวฟันผ่าค่ายกลของนครจักพรรดิขาวที่หลิ่วชื่อเฉิงร่ายไว้ในวัดร้างได้อย่างง่ายดาย
ในใจของติงอิงเกิดความลังเลขึ้นมาอีกครั้ง กระบี่ที่ห่อหุ้มพลังอำนาจสะท้านฟ้านี้ทำให้เขาคุ้นเคยยิ่งนัก ในเมื่อบนหัวกำแพงตนถอยไปแล้วหนึ่งครั้ง คราวนี้จะยังถอยอีกหรือไม่?
กลางอากาศสูงเบื้องหน้าติงอิงคือหนึ่งคนหนึ่งกระบี่
เฉินผิงอันเงื้อกระบี่ฟันฉับลงมา
แสงสีทองเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดิน
เรียนวิชาหมัดก็ต้องออกหมัด เรียนวิชากระบี่ก็ต้องออกกระบี่
จะดีจะชั่วก็ต้องทำให้คนอื่นได้ยินบ้างว่าตนกำลังพูดอะไร
ชั่วพริบตานั้นความคิดของติงอิงพลันแจ่มชัด ร่างกายและจิตใจล้วนมั่นคง
หนึ่งกระบี่ถอย สองกระบี่ถอย ทุกกระบี่ก็ต้องถอย แล้วข้าติงอิงจะต้องถอยไปถึงไหน? ไม่สู้ลองงัดข้อกับสวรรค์ดูบ้างเป็นไร?!
คิดซะว่าเจ๋อเซียนที่ชื่อเฉินผิงอันเบื้องหน้าผู้นี้ก็คือเทพเทวาท่านนั้น ฆ่าคนผู้นี้ตายได้ ค่อยฆ่าคนที่ยิ่งใหญ่กว่า แล้วนั่นก็จะกลายเป็นสถานการณ์ใหม่เอี่ยมที่ฟ้าดินสว่างสดใส ฟ้าและคนมีความแตกต่าง!
ไม่สู้ให้ข้าติงอิงได้ลองเป็นเทพเทวาดูสักครั้ง?!
ติงอิงหัวเราะดังลั่นอย่างสาแก่ใจ สองมือทำมุทรา จิตวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง เขาถึงกับพาจิตหยินออกมาล่องลอยอยู่ใต้หล้าในเวลากลางวันแสกๆ
จิตหยินตนนี้เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นฝ่ามือออกมาวางบังไว้เหนือศีรษะ เปล่งเสียงไม่ดัง แต่กลับเป็นถ้อยคำอย่างใจกว้างที่ดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจของติงอิง “หากข้าสลายไปในโลกมนุษย์ ติงอิงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมหรือไม่?”
แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดที่เขาพูดกับตัวเอง
ติงอิงไม่ได้พูดออกเสียง แต่กระนั้นก็ยังหลุดหัวเราะเพราะความคิดที่เกิดขึ้นในหัวใจ “ตบะจะเป็นเช่นไร ข้าไม่ใช่คนที่ตัดสินใจ แต่กฎเกณฑ์กลับยังต้องรักษาเอาไว้ และก็ยิ่งต้องคงความมีสติปัญญา ไม่จำเป็นต้องพูดจาเหลวไหล ต่อให้ข้าติงอิงไม่มีจิตวิญญาณ มีเพียงกายหยาบ แล้วอย่างไร? ควรทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น”
ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันที่ถือปราณยาวไว้ในมือก็พลิ้วกายลงบนพื้น สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ลมปราณแท้จริงอันบริสุทธิ์เฮือกนั้นของเฉินผิงอัน เดิมทีก็เป็นเหมือนม้าตีนปลายอยู่แล้ว ที่แท้กระบี่เมื่อครู่ที่ส่งออกไปเป็นการพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็เพราะ ‘ความหมาย’ ของกระบี่นี้ยิ่งใหญ่เกินไป เรี่ยวแรงของเฉินผิงอันน้อยนิดเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถดึงมันขึ้นมาได้ จุดจบจึงเป็นเพียงฟ้าร้องเสียงดังสนั่น แต่ฝนกลับตกปรอยๆ
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่หากต่อยตีกับใครขึ้นมาล้วนไม่สนฟ้าไม่เกรงดินก็ยังรู้สึกเขินอายอย่างเลี่ยงไม่ได้
ส่วนจิตหยินตนนั้นที่เดิมทีนึกว่าจะถูกหนึ่งกระบี่ฟันให้แหลกสลายก็มีแค่ส่วนฝ่ามือและแขนที่หายไปเท่านั้น จึงหันมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะถอยหลังหลายก้าว กลับเข้าไปในร่างของติงอิง
ทั้งสองฝ่ายต่างก็พักรบกันครู่หนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เฉินผิงอันเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่
ติงอิงก็ยิ่งต้องปลอบประโลมจิตวิญญาณของตัวเอง
และในวินานี้เอง จิตใจของทั้งเฉินผิงอันและติงอิงต่างก็ ‘มั่นคง’ ประหนึ่งเรือที่โยนสมอลงน้ำ
นักพรตผู้เฒ่าที่อยู่ข้างปากบ่อมาถึงหัวกำแพง คลี่ยิ้มแล้วตัดสินใจได้ทันที
เหล่าปรมาจารย์ที่อยู่บนหัวกำแพง ต่อให้เป็นเจ๋อเซียนที่ยังคงรักษาพละกำลังไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยมเช่นโจวเฝยก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของนักพรตเฒ่า
มีเพียงฝานกว่านเอ่อร์เท่านั้นที่ชำเลืองตามองมาอย่างคนที่ความรู้สึกไวแวบหนึ่ง แต่ก็มองไม่เห็นอะไรจึงดึงสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว
อวี๋เจินอี้กวาดตามองรอบด้านแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ฝึกวิชาเซียนอย่างระมัดระวังรอบคอบ เดิมทีนึกว่าอย่างน้อยก็คงสามารถต่อสู้กับติงอิงได้สักครั้งแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ายังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด ถึงท้ายที่สุดแล้วติงอิงก็ยังคงเป็นลูกรักของฟ้าดินแห่งนี้ หรือว่าผู้ฝึกตนจะไม่มีวันที่ได้ลืมตาอ้าปากจริงๆ ?”
โจวเฝยจุ๊ปากพูด “นี่มารเฒ่าติงคิดจะยึดครองโชคชะตาบู๊เพียงลำพังเลยนี่นา เป็นเพราะติงอิงคิดตกเรื่องอะไร ถึงได้รับการยอมรับจากกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้? คงไม่ใช่กระมัง พวกเรายังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลยนะ ติงอิงจะได้โชคยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไปครองได้อย่างไร ไม่ใช่ราชวงศ์สกุลหลูของแจกันสมบัติทวีปสักหน่อยที่ฮ่องเต้สติวิปลาส เห็นว่ายากจะต่อชะตาแคว้นได้อีก จึงหุบไหที่แตกให้แหลกโดยการแอบมอบโชคชะตาบู๊ของครึ่งแคว้นให้กับบุตรชาย…”
โจวเฝยบ่นพึมพำอย่างนึกสนุกอยู่กับตัวเอง ถึงอย่างไรเวลาชมเรื่องสนุก เขาก็ไม่รังเกียจหากเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต
ลู่ฝ่างถาม “เรื่องหยุมหยิมในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ทางทิศเหนือ เจ้าไปรู้มาได้ยังไง?”
โจวเฝยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็เป็นเจ้าประมุขสกุลเจียง จะไม่สนใจเรื่องราวในใต้หล้าไพศาลเลยได้อย่างไร มักมีคนมาเข้าฝันข้าบ่อยๆ”
ลู่ฝ่างกล่าวอย่างกังขา “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
“จ่ายเงินเอาสิ”
โจวเฝยพูดเสียงขุ่นเหมือนเสียดายเล็กน้อย “ราตรีวสันต์หนึ่งเค่อมีค่าเท่ากับทองคำพันชั่งกะผีอะไร ฝันหนึ่งตื่นในหนึ่งปีของข้านี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าต่อให้มีภูเขาเงินภูเขาทองก็ใช้จนหมดเกลี้ยงได้เหมือนกัน”
ห่างออกไปไกล อวี๋เจินอี้ขมวดคิ้ว กวานดอกบัวสีเงินที่อยู่ในมือสั่นสะเทือนเบาๆ กลีบดอกบัวพลันคลี่บาน ด้านในมีประกายแสงสีเขียวเส้นหนึ่งหลุดพ้นจากพันธนาการพุ่งทะยานไปทางทิศใต้ของเมืองอย่างรวดเร็ว
เมื่อโอกาสมาถึง ฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ
สี่ด้านแปดทิศล้วนมีประกายแสงมายาล่องลอยกรูเข้าไปหาติงอิง
ติงอิงหลับตาทำสมาธิ รับเอาโชคชะตาบู๊ของฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่นี้ไป
ส่วนชุดคลุมอาคมจินหลี่ของเฉินผิงอันก็พลันโบกสะบัด ไม่ได้เป็นชุดคลุมสีขาวอีกต่อไป แต่กลับคืนสู่รูปโฉมแท้จริงซึ่งเป็นชุดคลุมยาวสีทอง
ไม่เพียงเท่านี้ กระบี่บินชูอีที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็พุ่งพรวดออกมา
อีกทั้งห่างไปไกลยังมีกระบี่บินสืออู่บินมาหาด้วย
เฉินผิงอันยืนอยู่บนยอดเนินเขา ในมือถือปราณยาว ปราณกระบี่ไหลรินไปตามแขน ชูอีและสืออู่ล้อมวนอยู่รอบกาย สหายเก่ากลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง บรรพบุรุษน้อยทั้งสองที่เดิมทีนิสัยเข้ากันไม่ค่อยได้ เวลานี้กลับลิงโลดร่าเริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชายแขนเสื้อใหญ่ของจินหลี่โบกไสว เฉินผิงอันพลันกำปราณยาวเอาไว้แน่น ชายแขนเสื้อสั่นสะเทือนตามไป ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
แค่เนินเขาเล็กๆ เท่านั้น
แต่กลับมีคนคนหนึ่งยืนตระหง่าน อาภรณ์สะบัดปลิวพัดฝุ่นผงคลุ้งลอย
เฉินผิงอันและติงอิง คนหนึ่งอยู่บนเขา อีกคนอยู่ล่างเขา
ต่างคนต่างเดินขึ้นสูงคนละหนึ่งก้าว เดินมาถึงยอดสูงสุดที่ใหม่เอี่ยม ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือสภาพจิตใจก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ติงอิงลืมตา ชำเลืองมองกาเหล้าตรงเอวของเฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป ข้าจะดื่มเหล้านี้แทนเจ้าเองก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ตรงเอว บอกเป็นนัยว่าหากมีปัญญา หลังจบเรื่องก็มาเอาไปได้เลย
ศึกใหญ่ปะทุขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ได้โรมรันกันอยู่ในระยะสองช่วงแขนอีกต่อไป แต่เดี๋ยวขยับใกล้ เดี๋ยวออกห่างไปไกล ในรัศมีหนึ่งลี้ล้วนเต็มไปด้วยปราณกระบี่และและพายุหมัดที่หนาข้น
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนมาถึงภูเขากู่หนิว เม็ดทรายและก้อนหินตลบคละคลุ้ง ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขา
ติงอิงถูกกระบี่หนึ่งของเฉินผิงอันฟันผ่าลงมาจากยอดเขาถึงตีนเขา
แต่กระบี่ที่สองของเฉินผิงอันกลับถูกติงอิงที่ทะยานร่างขึ้นมาต่อยกลับไปที่ยอดเขา
ติงอิงเดินขึ้นเขามาช้าๆ พายุหมัดที่ปล่อยออกมาอย่างสบายๆ กลับเหมือนแขนขององค์เทพสูงร้อยจั้งที่ควงหมัดเหวี่ยงลงบนภูเขากู่หนิวครั้งแล้วครั้งเล่า
เฉินผิงอันเพียงใช้หนึ่งกระบี่ทำลายลงเท่านั้น
ติงอิงที่ได้รับโชคชะตาบู๊มาจากฟ้าดินปล่อยให้จิตหยินออกมาจากร่างอีกครั้ง กลายมาเป็นกายธรรมร่างทองที่สูงพอๆ กับภูเขากู่หนิว มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัด ทุบต่อยลงบนภูเขากู่หนิวครั้งแล้วครั้งเล่า
เดิมทีเฉินผิงอันควรจะเปลี่ยนมาใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ แต่หลังจากกุมปราณยาวไว้ในมือก็ไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนมาใช้กระบวนท่าหมัดอีก ต่อให้ทั้งคนและกระบี่จะถูกจิตหยินร่างทองตนนั้นทุบให้ลดระดับลงไปพร้อมกับยอดเขากู่หนิว แต่ก็ยังดึงดันจะใช้กระบี่รับมือกับศัตรู ฝุ่นผงบนยอดเขากู่หนิวลอยตลบมืดฟ้ามัวดินอยู่นานแล้ว มีหินยักษ์กลิ้งหลุนๆ ลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหินทั้งหลายยังถูกหมัดของติงอิงต่อยให้กลิ้งไถลลงมาตามภูเขาเหมือนยามหิมะทลาย หอบเอาดินโคลนก้อนหินและพืชหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนไหลกรูลงมาด้วย
ภูเขากู่หนิวที่สูงใหญ่ถูกต่อยให้เตี้ยลงทีละนิด
ชุดคลุมสีทองที่อยู่บนยอดเขายังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง
ร่างจริงของติงอิงเดินขึ้นบนยอดเขาใหม่เอี่ยม ฝุ่นคลุ้งปลิวว่อน เห็นเพียงความมืดสลัว
ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันใช้กระบี่ต้านรับฝ่ามือข้างหนึ่งที่กดลงมาของจิตหยิน ทำลายฝ่ามือของกายธรรมจนแหลกเละ ประกายแสงสีทองแตกเป็นสะเก็ดปลิวกระจัดกระจาย ราวกับว่าบนภูเขากู่หนิวมีฝนห่าใหญ่สีทองตกลงมา
ติงอิงพุ่งทะยานไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง เหวี่ยงหมัดต่อยเข้าที่หน้าผากของเฉินผิงอัน
แสงสีทองจุดหนึ่งกระเด็นออกไปจากภูเขากู่หนิวเป็นเส้นโค้ง ร่วงกระแทกลงบนพื้นไกลจากภูเขากู่หนิวมาหลายร้อยจั้ง
วงโคจรของแสงสีทองที่เล็กบางเส้นนั้นทำให้มันดูคล้ายสะพานหินโค้งสีทอง
หมัดที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณของติงอิงถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว
ยังคงเป็นภาพที่สายรุ้งสีขาวพาดผ่านบนนภา ยิ่งใหญ่และงดงาม
จุดที่รุ้งสีขาวเส้นนี้ร่วงลงพื้นเป็นจุดเดียวกับแสงสีทองพอดี
เฉินผิงอันถูกต่อยให้ถอยไปอีกร้อยกว่าจั้ง
ติงอิงเองก็โมโหเดือดดาลกับเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานของเฉินผิงอันเต็มทีแล้ว ขนาดภูเขากู่หนิวยังลดระดับลงหลายสิบจั้ง แต่ไอ้หมอนั่นกลับไม่รู้สึกรู้สา ยังคงออกกระบี่ไม่หยุด ติงอิงจึงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “หมัดนี้จะตายหรือไม่ตาย?!”
เทพหยินร่างยักษ์ที่อยู่ด้านหลังเดินข้ามภูเขากู่หนิวมา พอฝ่าเท้าสัมผัสพื้นก็โน้มตัวมาข้างหน้า เท้าอีกข้างหนึ่งเหยียบลงบนหัวของเฉินผิงอันพอดี
ความรู้สึกนี้แค่เทียบเท่าการจับปราณยาวเท่านั้น
เมื่อคนทั้งสองประหัตประหารกันอย่างบ้าคลั่ง สงครามก็ยิ่งดุเดือดรุนแรงมากทุกขณะ ปราณกระบี่ระเบิดอยู่กลางฝ่ามือและบริเวณใกล้กับแขนไม่หยุด ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ต้านทานการทุบตีจากจิตหยินของติงอิงมาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ปราณวิญญาณเหล่านั้นแทบจะระเบิดอยู่เหนือศีรษะของเฉินผิงอัน
จิตใจทั้งหมดของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับการต่อสู้กับติงอิง ถึงขั้นไม่ทันปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณพวกนี้ ราวกับว่าการดำรงอยู่ของพวกมันคือหลักแห่งฟ้าและดิน
ต่อให้จะเจ็บปวดเหมือนมีองค์เทพใช้ปราณวิญญาณทุบตีหล่อหลอมเข้ามาในร่างกาย เฉินผิงอันก็ไม่มีเวลามาสนใจ คิดแค่ว่าเป็นความยากลำบากอย่างหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากการฝึกวิชาหมัดเท่านั้น
ส่วนปราณวิญญาณสับสนวุ่นวายที่แทรกซอนเข้ามาในผิวหนัง เลือดเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็น ก่อนจะเข้ามาในช่องโพรงลมปราณและทะเลสาบในหัวใจอันเป็นจิตวิญญาณ เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่สนใจ
ภูเขาสูงสายน้ำอันตราย เส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรคและยาวไกล
เฉินผิงอันมองไปข้างหน้าอย่างเดียว พอเจอหินที่กีดขวางเส้นทางเดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า เขาก็เดินอ้อมผ่านอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นทางยังคงเป็นเส้นทางเดิม ไม่มีทางอื่นเพิ่มเข้ามา เป็นเหตุให้ก้อนหินที่ขวางทางพวกนั้นกลายมาเป็นประสบการณ์ช่วงหนึ่งในชีวิตของเฉินผิงอัน
กายธรรมร่างทองเหยียบลงไป พื้นดินก็ปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่
ติงอิงตั้งท่าหมัดที่ ‘คิดว่าแน่นอน’ ความหมายแท้จริงของกระบวนท่านี้แทบจะใกล้เคียงคำว่า ‘เมื่อจิตใจไปถึงก็จะกลายเป็นความจริง’ แล้ว
เขาแบฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสู่ฟ้า วางขวางไว้เบื้องหน้า มือหนึ่งกำเป็นหมัดทุบลงบนฝ่ามืออีกข้างอย่างแรง
หนึ่งหมัดทุบลงไป
ลมโหมกระหน่ำ ก้อนเมฆมารวมตัวกัน สายฟ้าหนาเท่าต้นไม้หลายคนโอบเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมา
เทพหยินที่ถอยไปด้านหลังอยู่นานแล้วยกสองแขนกอดอก มองมาด้วยสายตาเย็นชา
สายฟ้าเส้นแล้วเส้นเหล่าผ่าลงกลางหลุมใหญ่หลุมนั้น
สายฟ้าผ่าลงมาติดต่อกันไม่หยุด ราดรดลงบนศีรษะของเฉินผิงอันที่ยืนงอตัวอยู่ก้นหลุม ประหนึ่งน้ำบ่าที่ไหลผ่านชุดคลุมอาคมจินหลี่ลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ดวงตาทั้งคู่ของติงอิงฉายประกายแสงสีทอง ครั้งสุดท้ายที่เขาใช้หมัดทุบลงบนฝ่ามือ ทะเลเมฆบนท้องฟ้าที่ราวกับมีบ่อสายฟ้าอยู่ด้านในก็ปล่อยสายฟ้าสีขาวหิมะเส้นใหญ่ที่สุดลงมา ทว่ากลับไม่ได้กระแทกลงในหลุมใหญ่ แต่ค่อยๆ ลดระดับลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะถูกจิตหยินร่างกายธรรมถือไว้ในฝ่ามือดั่งถือกระบี่ยาว
ครั้นแล้วก็เริ่มวิ่งตะบึงมาเบื้องหน้า ขว้าง ‘กระบี่ยาว’ ที่อยู่ในมือไปเบื้องหน้าเบาๆ
สุดท้ายใช้สองมือคว้าจับกระบี่ยาวที่เกิดจากสายฟ้าตัดสลับกัน ยืนอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่ ปลายกระบี่ทิ่มลงเบื้องล่าง แล้วแทงลงสู่ศีรษะของคนผู้นั้นอย่างแรง!
ต้องรู้ว่ากระบี่นี้ นอกจากจะแฝงพลังอำนาจแห่งสายฟ้าแล้ว ยังมีวิชาแห่งวิถีกระบี่ที่ติงอิงบรรลุมาอีกด้วย
ติงอิงกระตุกมุมปาก เอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง “ข้ารู้ว่าเจ้ามาแล้ว ต้องรอให้เฉินผิงอันตายก่อนแล้วเจ้าค่อยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงใช่ไหม? เจ้าช่างใจกว้างซะจริง เจ๋อเซียนที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้เป็นหินลับมีดที่ดีที่สุดจริงๆ ทำไม กลัวว่าศักยภาพของข้าจะอ่อนด้อยเกินไป ไม่คู่ควรให้เจ้าลงมืองั้นรึ?”
บนหัวกำแพงเมือง
สีหน้าอวี๋เจินอี้มืดทะมึน
จ้งชิวหัวเราะร่า “เป็นไง ยังรู้สึกว่าตัวเองคือเทพเซียนที่ฝึกตนประสบความสำเร็จอยู่อีกไหม?”
โจวเฝยใช้มือกุมหน้าผาก ถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “มารดามันเถอะ สถานที่แห่งนี้ของพวกเราคือพื้นที่มงคลดอกบัวนะ ไม่ใช่ใต้หล้าไพศาลสักหน่อย พวกเจ้าจะได้ใช้ปราณวิญญาณกันอย่างสิ้นเปลืองแบบนี้ พวกเจ้าสองคนนี้มันช่าง…ดีเลย หลังจากที่ข้าผู้อาวุโสกลับไปจะต้องไปหาเฉินผิงอันผู้นี้ ไม่ว่าตอนนั้นขอบเขตของเขาจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ก็ต้องไปขอดูฝีมือสักหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือให้มาเป็นผู้รับใช้ของสกุลเจียงข้า ต่อให้ขอบเขตต่ำแล้วจะอย่างไร…”
ลู่ฝ่างตัดบทความคิดของสหายรักด้วยการหัวเราะเสียงเย็น “ก่อนจะเป็นอย่างนั้น ไอ้หมอนั่นต้องไม่ตายไปซะก่อน”
โจวเฝยถอนหายใจ ดึงฝ่ามือที่จับหน้าผากออก มองไปทางภูเขากู่หนิว “ยากแล้วล่ะ”
นอกจากสายฟ้าหลายเส้นกระแทกลงมา ยังมีกายธรรมจิตหยินของติงอิงที่ออกมาจากร่าง ในมือถือกระบี่แทงลงไปที่ศีรษะของเฉินผิงอัน
ไม่ต้องสงสัยเลย ต่อให้เฉินผิงอันจะสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ ต่อให้ชูอีกับสืออู่พยายามสกัดขวางไว้อย่างสุดกำลัง กระบี่นั้นก็ยังแทงลึกลงไปถึงพื้นดิน
หลังจากที่เฉินผิงอันหายตัวไป กระบี่ยาวในมือของเทพหยินก็แตกสลาย ปณิธานกระบี่และสายฟ้ากระจายหายอยู่ในหลุมไปพร้อมกัน หลุมใหญ่และบ่อสายฟ้าบนท้องฟ้าขานรับกันอยู่ไกลๆ เกิดเป็นภาพบ่อสายฟ้ากระเพื่อมไหว
สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว
หัวใจของติงอิงหดรัดตัว เตรียมพร้อมรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แท้จริงคนนั้น
แล้วก็จริงดังคาด
บนยอดเขากู่หนิวห่างจากติงอิงไปไม่ไกล มีนักพรตเต๋าที่เรือนกายสูงใหญ่ผิดปกติคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “พวกเจ้าต่างก็เป็นหินลับมีดของกันและกันเท่านั้น”
ติงอิงกำลังจะเปิดปากพูด
นักพรตเฒ่ากลับหัวเราะหยัน “รนหาที่ตาย แต่ก็ไม่เป็นไร บนโลกนี้เจ้าติงอิงนับว่ายังพอน่าสนใจอยู่บ้าง”
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของใต้หล้าไพศาล ขอบเขตสี่หลอมจิต ขอบเขตห้าคือหลอมวิญญาณ
กายหยาบของเฉินผิงอันที่ถูกหนึ่งกระบี่ปักตรึงลงไปใต้ดินไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งจริงๆ
ทว่าในบ่อสายฟ้ากลางหลุมใหญ่กลับปรากฏร่างของเซียนกระบี่หนุ่มที่ชุดคลุมสีทองโบกสะบัด เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจห้าวเหิม สองนิ้วประกบกันปาดผ่านไปเบื้องหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง
กระบี่เล่มหนึ่งก็มาหยุดลอยอยู่ตรงหน้า
ท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
แต่ส่วนที่ไม่เหมือนกันก็คือ ด้านหลังเจ๋อเซียนสวมชุดคลุมสีทองผู้นี้ยังมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าป่านและรองเท้าแตะคนหนึ่งปรากฏตัว เมื่อเทียบกับเจ๋อเซียนแล้วดูอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย
หนึ่งกระบี่ปรากฏขึ้นบนโลก
เฉินผิงอันผู้เป็นเจ๋อเซียนที่อยู่เบื้องหน้ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้ามีหนึ่งกระบี่?”
เฉินผิงอันสวมรองเท้าแตะที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งมาข้างหน้าพอดี เขาคว้าจับกระบี่เล่มนั้น ทะยานตัวขึ้นสูง พูดเสียงดังกังวานเหมือนปีนั้นที่ใช้กระบี่ฟันภูเขาสุ้ยซาน “สามารถย้ายขุนเขา!”
แล้วหนึ่งกระบี่ก็ถูกส่งออกไป
ไหนเลยจะยังมีติงอิงผู้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอะไรอีก บนโลกนี้ไม่เหลือมารเฒ่าอิงอีกต่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
เพราะตลอดทั้งภูเขากู่หนิวไม่เหลืออยู่แล้ว ถูกหนึ่งกระบี่ฟันจนราบเรียบ
ในหลุมใหญ่ เฉินผิงอันอาศัยจินหลี่สยบสายฟ้าที่กลบทับหลุม เขาสะบัดอาภรณ์ ทำลายพันธนาการจากผืนแผ่นดิน ‘งัด’ ตัวเองออกมาจากในดินโคลน เฉินผิงอันสองคนที่เป็นทั้งจิตและวิญญาณต่างก็กลับคืนเข้าร่าง ปีนป่ายเนินเดินออกมาจากหลุมช้าๆ
น้ำเสียงแก่ชราที่กลั้วเสียงหัวเราะดังขึ้น ไม่รู้ว่าต้องการถากถางหรือต้องการสัพยอกกันแน่ “กระบี่นี้นับว่าไม่เลว”
เฉินผิงอันปลดกาเหล้าตรงเอวลงมาแล้วแหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งอึกอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะถามว่า “เจ้าก็คือนักพรตแห่งทะเลบูรพาที่เซียนกระบี่เฉินพูดถึงสินะ? ที่นี่ก็คืออารามกวานเต๋าแห่งนั้น?”
นักพรตเฒ่าที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ “อารามกวานเต๋าอะไรกัน? ข้าอยู่ที่ไหน กวานเต๋า (พิศเต๋า มองเต๋า มองมรรคา พิศดูมรรคา) ก็อยู่ที่นั่น”
เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า แต่เพิ่งจะเช็ดสะอาด ใบหน้าก็กลับมาแดงก่ำอีกครั้ง เขาถามว่า “ข้าขอด่าสักคำได้ไหม?”
นักพรตเฒ่ายิ้มบางๆ ตอบรับ “เจ้าก็ลองคิดดูเอาเอง”
เฉินผิงอันยังคงเช็ดเลือดต่อโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “ท่านผู้อาวุโสช่างมีมรรคกถาค้ำฟ้า ร้ายกาจๆ”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “เด็กผู้นี้มีอนาคต สั่งสอนได้”