Skip to content

Sword of Coming 72

บทที่ 72 เมฆดำ

แม้รูปร่างของเฉินผิงอันจะผอมแห้ง แต่เมื่อเขาแบกกิ่งไหวเหล่านั้นขึ้นบนบ่ากลับเดินออกจากตรอกหนีผิงได้อย่างสบายๆ โดยไม่ดูฝืนตัวเองเลยแม้แต่น้อย ทำเอาเด็กหญิงชุดแดงที่ยืนอยู่ด้านหลังมองตาค้าง ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะนางยืนกราน เฉินผิงอันยังถึงขั้นจะเอากิ่งไหวที่อยู่บนไหล่เล็กบางของนางกิ่งนั้นไปแบกเองด้วยซ้ำ

หน้าปากตรอกหนีผิงมีเด็กหญิงมัดผมแกละคนหนึ่งยืนอยู่ คาดว่าคงเป็นเพราะอากาศที่หนาวเหน็บ สองข้างแก้มของนางถึงได้แดงก่ำ พอเห็นเด็กหญิงชุดแดงเดินอาดๆ แบกกิ่งไหวมา นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอัดอั้น “หลี่เป่าผิง ไหนตกลงกันแล้วว่าพอเอากิ่งไหวไปเก็บ เจ้าจะกลับไปที่โรงเรียนกับข้าไงล่ะ? เจ้าไม่รู้อะไร วันนี้ท่านปู่หม่าท่าทางประหลาดยิ่งนัก เขาสวมเสื้อผ้าแบบท่านฉี บอกว่าเขาจะเป็นคนนำพวกเราไปเที่ยวจาริกแสวงหาความรู้ที่สำนักศึกษาซานหยา ถึงเวลานั้นหากท่านปู่หม่าโมโหใส่พวกเรา ก็ต้องโทษเจ้าคนเดียวเลย”

เด็กหญิงชุดแดงฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย คีบใบไหวใบหนึ่งในถุงลายปักห้อยเอวที่เฉินผิงอันมอบให้นาง โบกไปมาอยู่ต่อหน้าเด็กหญิงวัยเดียวกันด้วยความลำพองใจ

สีหน้าของนางคือ “เจ้าไม่มีล่ะสิ แต่ข้ามีเยอะเลย”

เด็กหญิงผมแกละรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าแค่ใบไม้ผุๆ ใบเดียว มีอะไรให้ต้องโอ้อวดกัน แต่นางก็ขัดตาสีหน้ากวนโอ้ยของหลี่เป่าผิงยิ่งนัก ปัญหาก็คือเด็กที่อายุพอๆ กันในโรงเรียน ต่อให้เป็นตัววายร้ายอย่างหลี่ไหวก็ยังสู้หลี่เป่าผิงไม่ได้ หลี่ไหวเคยถูกนางซัดจนหมอบกับพื้น แกล้งตายก็แล้ว หลี่เป่าผิงก็ยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ นางถอดกางเกงของหลี่ไหวออก จากนั้นโยนกางเกงของเขาขึ้นไปห้อยต่องแต่งบนกิ่งไม้สูง หลี่ไหวที่เปลือยก้นร้องไห้โฮตลอดทางกลับบ้าน แม่เขาไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน (เปรียบเปรยถึงคนที่เรื่องมาก รับมือได้ยาก มักสร้างปัญหาให้คนอื่นเสมอ) ไม่พูดมากความก็ลากหลี่ไหวบุกมาที่ถนนฝูลวี่ ผลคือยังไม่ทันถึงตระกูลหลี่ แค่เห็นสิงโตหินสองข้างถนนที่เปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม เทพทวารบาลหลากสีและกำแพงสูงใหญ่ หญิงแต่งงานแล้วก็โกรธไม่ขึ้น ซ้ำยังหันมาตีหลี่ไหวอย่างแรง แม้แต่ประตูใหญ่ตระกูลหลี่ก็ยังไม่กล้าเคาะ รีบดึงหูลูกชายตัวเองลากกลับไปยังบ้านหลังเก่าโทรมทางทิศตะวันตกสุดของเมืองอย่างห่อเหี่ยว แต่ว่าตอนกลางคืนหญิงแต่งงานแล้วฆ่าไก่ตัวหนึ่งมาตุ๋นน้ำแกง หลี่ไหวที่ก้นโล่งโจ้งยืนบนม้านั่ง โคลงหัวแทะเนื้อไก่อย่างมีความสุข ไฉนเลยยังจะจำเรื่องน่าอายที่ถูกหลี่เป่าผิงกดลงพื้นแล้วตบศีรษะได้

แม่นางน้อยผมแกละยื่นสองมือออกมาทำท่าประกอบความสั้นยาว กล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจรังงอน “ก็แค่ใบต้นไหวเท่านั้น วิเศษวิโสตรงไหน เมื่อคืนวานท่านพ่อข้ายกลูกคิดสีทองให้ข้าอันหนึ่ง ลูกคิดที่ทำมาจากทอง ใหญ่เท่านี้!”

เสียดายก็แต่แม่นางน้อยชุดแดงตกอยู่ในของโลกตัวเองอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงไม่สนใจลูกคิดสีทองอะไรสักนิด นางยังคงส่ายใบไหวต่อหน้าเพื่อนตัวเองไปมา คางแหลมเล็กเชิดขึ้น ชี้ไปทางเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้า “เขาให้ข้า ในกระเป๋าข้ายังมีอีกนะ”

แม่นางน้อยผมแกละทอดถอนใจ นับตั้งแต่วันแรกที่นางรู้จักหลี่เป่าผิง อีกฝ่ายก็มีนิสัยน่ารังเกียจเช่นนี้ นางเอาแต่พูดในสิ่งที่นางอยากพูด ฟังแต่ในสิ่งที่นางอยากฟัง ทำแต่เรื่องที่นางอยากทำ

หากไม่เป็นเพราะในตรอกฉีหลงมีคนวัยเดียวกันอยู่แค่ไม่กี่คน แม่นางน้อยผมแกละก็ไม่มีทางอยากเล่นกับนาง หลายๆ ครั้ง แม้แต่ท่านฉีเองก็ยังระอาใจกับหลี่เป่าผิง เพราะหลี่เป่าผิงมักจะถามแต่คำถามแปลกประหลาด ทว่าทุกครั้งท่านฉีกลับตอบอย่างจริงจัง เสียดายก็แต่มักจะเป็นคำตอบที่ไม่อาจทำให้หลี่เป่าผิงเชื่อถือได้ บางครั้งที่ท่านฉีคิดปัญหาข้อหนึ่งออกด้วยความยินดี กะว่าวันที่สองจะไขข้อข้องใจให้หลี่เป่าผิงสักหน่อย ผลกลับกลายเป็นว่าตัวหลี่เป่าผิงเองลืมไปแล้วว่าเมื่อวานถามอะไรไว้ พอคิดถึงว่าต้องไปตกปลาหนีชิว จับจิ้งหรีด เล่นว่าว นางก็ชักเท้าออกวิ่งทันที ปล่อยให้ท่านฉียืนอึ้งค้างอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง

เฉินผิงอันแบกกิ่งไหวไว้บนไหล่ทั้งสองข้างจึงไม่สะดวกจะหันหน้ากลับมา เลยได้แต่ตะโกนถามเสียงดัง “ตอนนี้ที่โรงเรียนมีคนอยู่กี่คน?”

หลี่เป่าผิงกำลังย้ายกิ่งไหวมาไว้ที่ไหล่อีกข้างอย่างเหน็ดเหนื่อย ก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนกลับไปกลับมาหลายครั้งแล้ว บนไหล่ปวดแสบปวดร้อนไปหมด

เด็กหญิงผมแกละยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่งพร้อมตอบคำถาม “ตอนนี้เหลือแค่ห้าคนแล้ว ข้า หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี ต่งสุ่ยจิ่ง”

ไหนๆ ก็อยู่ว่าง นางจึงเล่าสถานการณ์ที่โรงเรียนออกมารวดเดียวราวกับเทเมล็ดถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่ “ก่อนหน้านี้ท่านฉีรับปากว่าจะพาพวกเราออกไปทัศนาจร สุดท้ายไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาซานหยา ตอนนั้นโรงเรียนของพวกเรายังมีคนอยู่สิบสี่สิบห้าคน คนในบ้านล้วนอนุญาตหมดแล้ว ภายหลังเด็กมีเงินส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่อ้างว่าป่วยจึงไม่มาเรียน ทว่าหลี่เป่าผิงเล่าว่าพวกเขาออกจากเมืองไปโดยตรงเลย บอกว่าจะไปเยี่ยมญาติห่างๆ ตอนแรกที่ได้ยินว่าจะได้ไปสำนักศึกษาซานหยา คนกลุ่มนี้ดีใจมากที่สุด ขนาดข้ายังไม่รู้ว่าพวกเขาดีใจอะไรกันนักหนา ต้องติดตามท่านฉีเดินทางไกลขนาดนั้น ไม่เหนื่อยหรือ”

น้ำเสียงของเด็กหญิงยังอ่อนเยาว์มีความเป็นเด็กอยู่มาก แต่กลับพูดจาฉะฉาน ดูฉลาดเฉลียวกว่าวัย อีกทั้งยังมีนิสัยอ่อนโยน คล้ายผู้ใหญ่ในร่างเด็ก เฉินผิงอันพลันไพล่นึกไปถึงกู้ช่าน เพียงแต่ว่านางกับเจ้าเด็กขี้มูกยืดคนนั้นยังต่างกันอยู่มาก

เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “แล้วเจ้าชื่ออะไร?”

แม่นางน้อยมัดแกละสองข้างตอบกลับเรียบๆ “ข้าเหรอ ข้าชื่อสือชุนเจีย ดังนั้นเจ้าเรียกข้าว่าแม่นางสือก็ได้”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

หลี่เป่าผิงกลับหักหน้าอีกฝ่ายโดยตรง “เจ้าเรียกนางว่าเสี่ยวสือโถว (ก้อนหินน้อย) ก็พอแล้ว”

สือชุนเจียเหมือนแมวน้อยพองขนตัวหนึ่งที่หันมาขู่ฟ่อใส่หลี่เป่าผิง “ห้ามเรียกว่าเสี่ยวสือโถว! หลี่เป่าผิง เจ้าเองก็ห้ามเรียก!”

หลี่เป่าผิงที่ชอบคิดจินตนาการวุ่นวายทั้งวัน ความคิดของนางในเวลานี้ย้ายจากฉายาของเพื่อนตัวน้อยไปที่อื่นแล้ว จึงไม่สนใจคำโต้เถียงจากสือชุนเจียแม้แต่นิดเดียว

ทว่าสือชุนเจียกลับมีนิสัยชอบเอาชนะ ไม่เหน็ดเหนื่อยที่จะยกความรู้สึกมาสร้างความซาบซึ้งให้ผู้คน ยกเหตุผลมาอธิบายให้คนเข้าใจ เพียงเพื่อที่จะได้สลัดให้พ้นฉายาที่ไม่ชอบอย่าง “เสี่ยวสือโถว” เพราะสือชุนเจียรู้ว่า วันหน้าเมื่อไปถึงสำนักศึกษาซานหยาของท่านฉี ขอแค่หลี่เป่าผิงอ้าปากเรียกนางว่าเสี่ยวสือโถวครั้งหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นนางคงสลัดฉายานี้ไม่หลุดอีกต่อไป

ฟังเสียงถกเถียงกันระหว่างแม่นางน้อยสองคนไปตลอดทาง ตอนที่ใกล้จะถึงถนนฝูลวี่ เฉินผิงอันจึงถามว่า “ถนนฝูลวี่มีบ้านของคนแซ่หลี่อยู่หลายหลัง บ้านของเจ้าอยู่ตรงไหน?”

เฉินผิงอันคิดแค่ว่าขอแค่ไม่ใช่จวนตระกูลหลี่ของสี่แซ่ใหญ่ก็พอแล้ว

เพราะอย่างไรซะตอนนั้นเพื่อล่อให้วานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยงออกจากภูเขา เขาได้ใช้ต้นจื่อซุนไหวบนถนนฝูลวี่ปีนขึ้นไปบนกำแพงจวนใหญ่ตระกูลหลี่ แถมเฉินผิงอันยังใช้หนังสติ๊กยิงขวดอาหารนกสองขวดของตระกูลหลี่แตกด้วย

สือชุนเจียพูดน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “บ้านนางน่ะเหรอ ก็หลังที่นอกกำแพงมีต้นไหวอยู่นั่นไง เมื่อก่อนคนในบ้านไม่อนุญาตให้นางออกนอกบ้าน เพราะกลัวว่านางจะเอาแต่เที่ยวเล่นบ้านช่องไม่รู้จักกลับ นางเลยแอบเอาบันไดมาพาดกำแพง แล้วปีนขึ้นต้นไหวข้ามไปลงบนถนนฝูลวี่ มีครั้งหนึ่งพ่อแม่ของนางโมโหจัดเลยยกบันไดไปเก็บ จะให้นางเข้าบ้านผ่านประตูใหญ่ให้จงได้ คาดไม่ถึงว่านางจะกระโดดลงมาตรงๆ ผลคือเดือนนั้นนางไม่ได้มาโรงเรียนเลย สองเดือนหลังจากนั้นก็ต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองตลอด”

หลี่เป่าผิงไม่รู้สึกขายหน้า ยังคงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หลังจากนั้นข้าก็สำนึกได้แล้วว่าครั้งนั้นข้าลงด้วยท่าไม่ถูกต้อง ไม่ควรจะทิ้งขาสองข้างลงไปตรงๆ ดังนั้นรอจนขาข้าหายดีแล้ว ข้าไปทดลองดูอีกครั้งก็…”

สือชุนเจียโมโหจนหอบหายใจฮักๆ “ก็ไม่ใช่ว่าพักเรียนไปอีกครึ่งเดือนหรอกหรือ?”

หลี่เป่าผิงเบ้ปาก “ครั้งที่สามก็ไม่ใช่ว่าไม่เป็นไรหรือไง”

สือชุนเจียกล่าวอย่างขุ่นเคือง “นั่นเป็นเพราะว่าผ่านไปหนึ่งปี ร่างของเจ้ายืดขยาย ส่วนสูงขยับขึ้นเร็วมาก ถึงทนแรงกระแทกได้มากขึ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับว่าเจ้าลงด้วยท่าถูกหรือผิดเลยแม้แต่นิดเดียว!”

เฉินผิงอันไม่ได้เข้าร่วมการถกเถียงของแม่นางน้อยทั้งสอง หนึ่งเพราะกำลังปวดหัวว่าถึงเวลาคนตระกูลหลี่จะจำตนได้หรือไม่ ด้วยความโมโหจะปิดประตูบ้านปล่อยหมาออกมากัดตนหรือเปล่า สองก็คือส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันอิจฉาพวกนางอย่างมาก อิจฉาความสุขความปลอดภัยของพวกนาง อยู่บ้านมีผู้อาวุโสคอยดูแล อยู่โรงเรียนก็สามารถเรียนหนังสือได้

แม้ว่าจะปวดหัว แต่เฉินผิงอันก็ยังตัดสินใจจะช่วยหลี่เป่าผิงโดยการนำกิ่งไหวไปส่งที่หน้าประตูบ้านนาง

นี่คงต้องเรียกว่ากรรมตามสนองทันตาเห็นกระมัง เมื่อครู่นี้เพิ่งบอกกับแม่นางน้อยชุดแดงว่า รับปากใครว่าจะทำเรื่องอะไรก็ควรทำให้ได้ ผลกลับกลายเป็นว่าถึงคราวตนก็ได้แต่แข็งใจพาตัวไปส่งถึงจวนตระกูลหลี่

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์ลืมตาตื่นจากการงีบหลับ รู้สึกว่าถึงคราวที่ควรจะให้โอกาสเฉินผิงอันเสียทีหรือไม่ คนเฝ้าประตูถึงจำเขาไม่ได้ หลี่เป่าผิงเองก็ไม่ได้ให้เขาช่วยแบกกิ่งไหวเข้าไปข้างใน เฉินผิงอันที่เหมือนยกภูเขาออกจากอกเพิ่งจะหมุนตัวเตรียมจากไป หลี่เป่าผิงกลับส่งกิ่งไหวที่แบกไว้บนไหล่ตัวเองให้เขา บอกว่านี่ถือเป็นการตอบแทนของนาง

เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของแม่นางน้อย จึงรับมาแบกไว้บนบ่า โบกมือบอกลา

คนเฝ้าประตูคนนั้นคุ้นชินกับนิสัยประหลาดของคุณหนูตัวเองนานแล้ว ต่อให้นางจะขนกิ่งไหวที่ต่อให้เอามาเผาไฟก็ยังรังเกียจกลับมาบ้าน เขาก็ไม่รู้สึกว่าน่าแปลกใจตรงไหน เพียงแต่รู้สึกเสียดายเสื้อบุนวมสีแดงสดตัวนั้นของคุณหนูอยู่บ้าง เพราะมันมีค่าเยอะกว่ากิ่งไหวพวกนั้นมากนัก คุณหนูของตนคนนี้ ตอนที่นางอายุไม่ถึงห้าขวบก็ไปจับปูตัวใหญ่ตัวหนึ่งจากลำธารสายเล็กมาได้แล้ว พอกลับมาถึงบ้าน นางหลั่งน้ำตาพลางชูมือเล็กขึ้นสูงไปด้วย บนมือเล็กของนางมีปูตัวหนึ่งที่ให้ตายก็ไม่ยอมคลายก้ามออก ทำเอาพ่อแม่และท่านปู่ของนางปวดใจอย่างยิ่ง จนถึงวันนี้ปูที่กระดองเป็นสีเขียวเข้ม แต่ก้ามกลับเป็นสีแดงฉานก็ยังถูกเลี้ยงอยู่ในอ่างปลาใบใหญ่ของนาง คุณหนูไม่ชอบเรียนหนังสือจริงๆ ว่างเมื่อใดเป็นต้องมาคุยเล่นกับมันเมื่อนั้น

มองเงาร่างของเฉินผิงอันที่จากไป

สือชุนเจียเหลือบตามองหลี่เป่าผิงที่อยู่ข้างกายแล้วหัวเราะหึหึ “เขาน่ะเหรอที่ทำให้เจ้าหกล้มจนฟันหน้าหลุด?”

หลี่เป่าผิงพลันเดินไปข้างหลังสือชุนเจีย มือสองข้างจับผมแกละของนาง เตรียมจะดึงขึ้นข้างบน “เชื่อข้าเถอะ คราวนี้ต้องได้แน่”

สือชุนเจียตกใจจนรีบนั่งยองลงไป หลับตาลง มือสองข้างปัดป่ายเหนือศีรษะตัวเองให้วุ่น หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองถูกหลี่เป่าผิงดึงผมแกละขึ้นข้างบนเหมือน “ถอนหญ้า” อีกครั้ง

หลี่เป่าผิงนั่งยองอยู่ข้างกายนางที่เตี้ยกว่าตัวเองเล็กน้อย พูดอย่างมาดมั่น “เสี่ยวสือโถว ไม่เจ็บหรอก เจ้าไม่เคยลองเป็นครั้งที่สองจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้? ถูกไหม?”

สือชุนเจียตกใจร้องไห้จ้า

คนเฝ้าประตูทนมองไม่ไหวจึงช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เถ้าแก่น้อยร้านยาสุ่ยตรอกฉีหลง “เมื่อครู่นี้ท่านหม่าที่โรงเรียนให้หลี่ไหวนำความมาบอก ให้ทางจวนเตรียมรถม้าคันหนึ่งให้พร้อม คุณหนูท่านไปหยิบสัมภาระ ไปที่โรงเรียนก่อน จากนั้นค่อยออกจากเมืองไปทัศนาจรและไปเยือนสำนักศึกษาซานหยาพร้อมกับคุณหนูสือเถอะ แน่นอนว่าก่อนจะไปโรงเรียน คุณหนูที่ผ่านตรอกฉีหลงพอดีสามารถนำของของคุณหนูสือใส่รถม้าไปด้วยกันได้”

หลี่เป่าผิงจึงได้แต่ปล่อยสือชุนเจียไปก่อน สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง ตอนที่เดินเข้าประตูใหญ่ไปด้วยกันยังไม่ลืมรู้สึกเสียดายแทนสือชุนเจีย

แม่นางน้อยผมแกละที่รอดพ้นจากหายนะมาได้แอบตัดสินใจเงียบๆ ว่าวันนี้ต้องปล่อยผมแกละลงให้ได้

“เอ๊ะ?”

หลี่เป่าผิงพลันร้องอุทาน เงยหน้าขึ้น

สือชุนเจียมองตามสายตาของนางไป กล่าวอย่างกังขา “ฝนคงไม่ตกกระมัง”

เมฆดำทะมึนก้อนใหญ่ลอยผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองเล็กไป

ลอยจากทิศเหนือไปยังทิศใต้

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เพิ่งเดินออกจากถนนฝูลวี่ก็เงยหน้าขึ้นมองเหมือนกัน

นาทีนั้นเด็กหนุ่มตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

นั่นมันเมฆดำเสียที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่านั่นคือกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ด้านบนมีเซียนควบคุมให้ทะยานแหวกผ่านอากาศ

เด็กหนุ่มหมุนคอช้าๆ สายตาไล่มองตามเมฆกระบี่กลุ่มนั้นไปทางทิศใต้

ทันใดนั้น

จุดสีดำจุดหนึ่งกลับพุ่งจากทิศใต้มายังทิศเหนือ สวนทางกับเหล่าเซียนที่อยู่บนกระบี่บินเหล่านั้น

ยิ่งนานจุดสีดำก็ยิ่งขยายใหญ่

สุดท้ายเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่สายตาดีเยี่ยมก็ถึงกับเบิกตากว้างคล้ายเห็นผีกลางวันแสกๆ ท้องฟ้าทางทิศใต้ของเมืองเล็กมีคนผู้หนึ่งเหยียบกระบี่บินเอนตัวลงมา ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นดินของเมืองเล็กประมาณร้อยกว่าจั้งถึงหยุดลงชั่วครู่ คนที่ขี่กระบี่ก้มหน้าลงมองเมืองเล็ก สายตากวาดไปรอบด้าน จากนั้นก็โฉบลงมาทางถนนฝูลวี่

เพียงชั่วพริบตากระบี่บินที่วันหนึ่งทะยานได้นับพันนับหมื่นลี้ที่มาพร้อมกับเสียงลมและสายฟ้าคำรามก็หยุดลงตรงหน้าเฉินผิงอัน

กระบี่ลอยห่างจากพื้นไปครึ่งจั้ง บนตัวกระบี่คือเด็กสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้มท่าทางองอาจ เท้าทั้งสองข้างของนางลอยอยู่เหนือตัวกระบี่บิน

เด็กสาวที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางยิ้มกว้าง ยกมือสองข้างขึ้นกอดอก นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้าวหาญเปี่ยมพลังชีวิต “ข้ารู้สึกว่าควรจะบอกลาเจ้าสักคำ ดังนั้นข้าจึงมา”

เพียงแต่ว่าไม่รอให้เด็กหนุ่มผู้แบกกิ่งไหวได้พูดอะไร เด็กสาวขี่กระบี่ที่ห้อยดาบไว้ตรงเอวก็นึกขึ้นได้ ปลายกระบี่จึงเปลี่ยนทิศทาง ตวัดเอนขึ้นด้านบนแล้วพุ่งทะยานจากไปทันที

เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ว่าเด็กสาวกับกระบี่บินได้หายไปนานแล้ว

เด็กหนุ่มที่กระอักกระอ่วนหดมือกลับมาเกาหัวตัวเองอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก เขาเดินไปทางตรอกหนีผิง คอยเงยหน้าขึ้นมองข้างบนเป็นระยะ

ช่วงแรกเริ่มเด็กหนุ่มรองเท้าแตะยังผิดหวังอยู่บ้าง แต่ไม่นานเขาก็อารมณ์ดี ที่แท้แม่นางหนิงคือเทพเซียนนี่เอง

เป็นเหตุให้ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านร้านหนึ่งในตรอกหนีผิงถึงกับยอมจ่ายเงินซื้อพุทราเชื่อมไม้หนึ่งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เดินไปด้วยกินไปด้วย

กินไปกินมา ไม่รู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกวูบโหวงในใจอีกครั้ง

เด็กหนุ่มตั้งใจใคร่ครวญ หรือเป็นเพราะเสียดายเงินที่จ่ายไป?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version