บทที่ 73 หุ่นไม้
เฉินผิงอันกินพุทราเชื่อมที่ไม่ได้ลิ้มรสมาเกือบสิบปีพลางแบกกิ่งไหวกลับไปที่ตรอกหนีผิง เมื่อผ่านบ้านหลังหนึ่งที่เก่าโทรมยิ่งกว่าบ้านบรรพบุรุษของตัวเอง เฉินผิงอันให้รู้สึกละอายใจ คิดว่าควรจะยืมเงินจากช่างหร่วนมาซ่อมแซมบ้านหลังนี้ก่อนดีหรือไม่ แม้จะอยู่อาศัยในตรอกหนีผิงมาตั้งแต่เด็ก แต่เฉินผิงอันไม่เคยเห็นว่าบ้านหลังนี้มีคนอยู่อาศัย ก่อนหน้านี้ที่ไล่ฆ่าอยู่กับวานรย้ายภูเขาบนหลังคา จงใจหลอกอีกฝ่ายมาที่นี่ ทำให้หลังคาบ้านถูกวานรเฒ่าเหยียบจนเป็นรูใหญ่ เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนต้องเป็นคนรับผิดชอบกับความเละเทะครั้งนี้ หาไม่แล้ววันหน้าหากถูกลมพัด ถูกแดดส่อง ถูกฝนเทกระหน่ำใส่ บ้านที่เดิมทีอาจจะยังดำรงอยู่ได้ยี่สิบสามสิบปี ตอนนี้เกรงว่าเวลาแค่ห้าปีก็คงทนไม่ไหว คานบ้านจะผุกร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว ข้อนี้คล้ายคลึงกับร่างกายของเฉินผิงอันที่ผ่านการ “แตะดรรชนี” จากไช่จินเจี่ยนอย่างมาก เพราะต่างก็อยู่ในสภาพที่แปดด้านล้วนโหว่รั่ว เฉินผิงอันจึงยิ่งเกิดความเห็นอกเห็นใจ คิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องซ่อมบ้านที่ไร้เจ้าของหลังนี้ให้ดีให้จงได้ อาจไม่ถึงขั้นสวยงามน่าอยู่อาศัย แต่ต้องหนีไม่พ้นความแข็งแรงทนทาน
ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่เคยคิดที่จะเอาเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งมาแลกเป็นเงินขาว ทองแท่งหรือไม่ก็เหรียญทองแดงจากหยางเหล่าโถวร้านตระกูลหยาง หรือไม่ก็จากช่างหร่วนร้านตีเหล็ก แต่เฉินผิงอันมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า วัตถุอย่างเหรียญทองแดงแก่นทองคือสิ่งที่สามารถพบ แต่ไม่อาจหวังจะได้ครอบครองอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่ใช้ไปเหรียญหนึ่งก็น้อยลงเหรียญหนึ่ง ส่วนก้อนเงินและเหรียญทองแดงนั้นจะหาจากที่ไหนก็ได้ เพียงแต่ว่าต้องออกแรงมากสักหน่อยก็เท่านั้น เฉินผิงอันจึงตัดสินใจว่าจะลองไปขอยืมเงินจากช่างหร่วนดูก่อน หากยืมไม่ได้ ค่อยใช้เหรียญทองแดงแก่นทองมาแก้ปัญหา แม้ว่าจะต้องเสียดายอย่างมาก แต่ในเมื่อมีปัญหาที่เป็นดั่งไฟลนขนคิ้วมาวางอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน จะอย่างไรก็ไม่อาจแสร้งทำเป็นมองเมินได้ เพราะเฉินผิงอันกลัวว่าจะผิดต่อคนอื่น
เฉินผิงอันกลับมาถึงลานบ้าน เอากิ่งไหวที่แม่นางน้อยคนนั้นมอบให้วางพิงไว้ข้างกำแพง หินลับกระบี่ที่มีค่าควรเมืองก้อนนั้นยังคงอยู่ในตะกร้า แต่แน่นอนว่าเขาไม่อาจเอามันมาตั้งวางไว้ในลานบ้านอย่างโจ่งแจ้ง เฉินผิงอันจึงย้ายเข้าไปในห้อง หากไม่เป็นเพราะเวลากระชั้นชิด เฉินผิงอันก็อยากจะขุดหลุมลึกสักหนึ่งจั้งในลานบ้านตัวเองเพื่อฝังหินลับกระบี่ที่ไม่สะดุดตาแต่มีค่ามากก้อนนี้ลงไป แท่นสังหารมังกร เพียงแค่ได้ยินชื่อนี้ก็รู้สึกได้ว่ามันมีค่ามากยิ่งกว่าเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงนั่นเสียอีก
เฉินผิงอันได้ยินเสียงไก่ขันจากลานบ้านข้างกัน ตอนที่ซ่งจี๋ซินกับจื้อกุยออกไปจากเมืองเล็กไม่มีเวลามาเก็บพวกแม่ไก่และลูกเจี๊ยบกรงนั้นไปพร้อมกันด้วย คาดว่าตอนนี้พวกมันคงหิวกันแย่แล้ว เฉินผิงอันจึงเข้าไปในห้องหยิบกุญแจพวงนั้นมา แล้วจึงหยิบข้าวเปลือกหนึ่งกำจากในบ้านตัวเอง เดินไปยังประตูหน้าบ้าน เปิดกรงไก่ออก ย่อตัวลงค่อยๆ ยื่นนิ้วมือเข้าไป หลังป้อนไก่เสร็จ เฉินผิงอันก็เปิดประตูห้องครัว คิดจะดูว่ามีพวกอาหารอย่างธัญพืชเหลืออยู่หรือไม่ จะได้ไม่ปล่อยไว้ให้ขึ้นราสิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ ผลกลับกลายเป็นว่าพอเข้ามาในห้องครัว เฉินผิงอันก็เหมือนคนได้เปิดโลกทัศน์ ข้าวสารถังใหญ่ แค่เปิดฝาออกดูเฉินผิงอันก็อิ่มแล้ว ในชั้นห้องครัวมีหม้อ กระทะ ตะหลิว กระบวย ต้องการอะไรมีครบหมด ตรงผนังห้องยังแขวนขาหมูรมควันและปลาแห้งเรียงไว้เป็นแถว ทุกอย่างล้วนจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน ของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ถูกจัดวางเข้าที่เข้าทาง เยอะแต่ไม่รก
เฉินผิงอันพลันถูกฟืนและมัดหญ้าคู่หนึ่งใกล้กับเตาไฟดึงดูดสายตา จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วนั่งยองลง จริงดังคาด นี่คือหุ่นไม้ที่คราวนั้นเขาเห็นว่าจื้อกุยใช้มีดหั่นผักฟันลงไป นางผ่าฟืนไม่เป็น ตอนนั้นผ่าอยู่ครึ่งวันจึงแทบจะไม่เห็นผล หากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอัน ฟันแค่สองสามครั้งก็คงผ่าหุ่นไม้ที่สูงประมาณตัวคนจนแหลกเละได้แล้ว เวลานี้เฉินผิงอันนั่งยองก้มหน้าลงมอง พบว่าหุ่นไม้นี้ประหลาดอย่างมาก บนร่างมีจุดสีแดงอยู่มากมายกระจายทั่วร่าง ระยะห่างไม่แน่นอน บ้างก็กระจุกรวมกัน บ้างก็อยู่ห่างกันไปมากถึงจะมีจุดแดงเหมือนชาดอยู่สักจุดหนึ่ง เฉินผิงอันหยิบแขนท่อนหนึ่งของหุ่นไม้มาพิศดูอย่างละเอียด ข้างจุดสีแดงทุกจุดยังสลักตัวอักษรสีหมึกขนาดเล็กมากเอาไว้ด้วย เดิมทีจุดแดงนั้นก็มีขนาดแค่เมล็ดข้าวสาร ตัวอักษรเล็กๆ พวกนี้จึงยิ่งเล็กบางจนแทบมองไม่เห็น แต่ก็เพราะว่าเป็นเฉินผิงอัน หากเปลี่ยนมาเป็นสายตาของคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าคงได้แค่เห็นเป็นว่าจุดแดงและจุดดำเท่านั้น
เฉินผิงอันลองเอาแขนที่แตกหักเหล่านั้นมาประกอบเข้าด้วยกันใหม่ ผ่านไปไม่นานนัก หุ่นไม้ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม โชคดีที่หุ่นไม้ไม่ได้ขาดชิ้นส่วนใหญ่ๆ อะไรไป แต่น่าเสียดายที่จุดแดงและตัวอักษรสีดำตรงหลายตำแหน่งที่นำมาประกบเข้าด้วยกันถูกจื้อกุยใช้มีดหั่นผักฟันทิ้งหรือไม่ก็กรีดเฉือนจนหมดสภาพไปแล้ว เมื่อเทียบกับจุดแดงและอักษรสีดำที่สมบูรณ์แบบแล้ว คาดว่าตอนนี้คงเหลืออยู่แค่แปดในสิบส่วนเท่านั้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่าง ในห้องครัวจึงสว่างมากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นถึงกลับมานั่งยองต่ออีกครั้ง เขาไล่สายตามองอย่างละเอียด ไม่กล้าปล่อยให้รายละเอียดใดตกหล่นไปแม้แต่นิดเดียว ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วยาม แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้จักตัวอักษรสีดำส่วนใหญ่ แต่ก็ยังพยายามจดจำโครงสร้างตัวอักษรเหล่านั้นไว้ให้ได้มากที่สุด
สำหรับการอ่านออกเขียนได้ เป็นสิ่งที่ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันคาดหวังไว้มาโดยตลอด
ตอนที่ทำงานเตาเผา หลายครั้งหลังจากที่ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขา เฉินผิงอันมักจะทอดสายตามองมายังเมืองเล็ก นอกจากจะมองหาว่าตรอกหนีผิงอยู่ตรงตำแหน่งไหนแล้ว สถานที่ที่สองที่เขาต้องการรู้ก็มักจะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเสมอ ตอนที่ยังเป็นเด็ก มีเด็กชายผอมแห้งผิวดำเกรียมผู้หนึ่งชอบไปที่โรงเรียน นั่งยองพิงผนังกำแพง เหนือศีรษะก็คือเสียงท่องหนังสือ แม้จะฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดถึงอะไร แต่เด็กชายก็มักจะรู้สึกสงบใจและสบายใจอย่างน่าประหลาด ฟังไปฟังมา ความทุกข์ความไม่เป็นธรรมที่ได้รับมาตลอดทั้งวันก็หายวับไป
ทว่าสำหรับเด็กกำพร้าตรอกหนีผิงในเวลานั้น การเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองยิ่งกว่าการกินพุทราเชื่อมมากมายนัก ได้แค่มองไกลๆ ก็พอแล้ว
เฉินผิงอันในเวลานี้หลับตาลง อาศัยความทรงจำวาดเค้าโครงหุ่นไม้ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาในสมองของตัวเอง
หากมีตรงจุดใดที่ความทรงจำพร่าเลือน เฉินผิงอันจะไม่รีบร้อนลืมตามองหาความจริง แต่จะข้ามมันไปก่อน ผลก็คือตั้งแต่หัวจรดท้ายทั่วทั้งหุ่นไม้ มีจุดแดงและตัวอักษรสีดำอยู่สี่สิบห้าสิบจุดที่เขาไม่แน่ใจ
ค่อยๆ ไล่จดจำจุดที่พลาดไปในตอนแรก เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เดิมทีคิดจะซ้ำอีกรอบ เพียงแต่ว่าเพิ่งจะหลับตา สมองก็ปวดแปล๊บ รู้สึกมึนเล็กน้อย เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะฝืนตัวเอง ความพยายามบางอย่างไม่ใช่ว่าแค่ทุ่มเทแรงทำก็พอแล้ว เพราะมีแต่ยิ่งทำจะยิ่งวุ่นวาย หลังจากที่เฉินผิงอันเรียนเผาเครื่องปั้น ประสบการณ์ในด้านนี้จึงค่อนข้างลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่ามีพรสวรรค์ฉลาดล้ำ แต่ล้วนเป็นเพราะถูกผู้เฒ่าเหยาด่าทอทั้งวัน เป็นหนึ่งในความรู้ความเข้าใจที่ได้มาหลังจากถูกดุด่าไม่หยุด
เฉินผิงอันปัดให้หุ่นไม้กลับคืนสู่ความวุ่นวายอีกครั้งแล้วกองรวมกันไว้ตรงมุมเตาไฟ เดินออกจากห้องครัว พอปิดประตูบ้านซงจี๋ซินเรียบร้อย ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจว่าจะไปประตูตะวันออกของเมือง ไปหาคนเฝ้าประตูผู้นั้นอีกสักรอบ หลังจากนี้ต้องไปเป็นลูกศิษย์ของร้านตีเหล็กอย่างเป็นทางการแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องอาศัยอยู่ที่นั่น น่าจะไปส่งจดหมายไม่ได้อีก ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากจะไปบอกกับชายโสดผู้นั้นสักคำ ก่อนหน้านี้ก็เคยไปหาอีกฝ่ายมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่เจอ
เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ จนมาถึงประตูเมืองตะวันออก บ้านดินเหลืองหลังนั้นยังคงอยู่ในสภาพประตูลงกลอนปิดสนิทเหมือนเดิม เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดินไปนั่งบนตอไม้ที่เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูมักจะนั่งอยู่เป็นประจำ ในเมืองเล็กไม่เหมือนในภูเขา ไม่มีกฎพิถีพิถันว่าห้ามนั่งบนตอไม้เพราะอาจเป็นที่นั่งของเทพภูเขาอะไรเช่นนั้น เฉินผิงอันนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น แอบอู้งานอย่างที่หาได้ยากยิ่ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ บนเส้นทางในเมืองเล็กมีเสียงล้อบดถนนดังเป็นระลอก เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง มีเกวียนเทียมวัวคันหนึ่งขับนำหน้ามา ด้านหลังมีรถม้าที่มีห้องโดยสารตามมาอีกสองคัน บนเกวียนมีเด็กกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ ในนั้นมีสองดวงหน้าที่คุ้นตา หลี่เป่าผิงผู้สวมชุดบุนวมผ้าฝ้ายสีแดงสด สือชุนเจียที่สองข้างแก้มเป็นสีแดงปลั่ง นอกจากนี้ก็คงจะเป็นหลี่ไหว หลินโส้วอี ต่งสุ่ยจิ่งเด็กนักเรียนสามคนที่สือชุนเจียพูดถึง
เด็กห้าคนบนเกวียนพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว ดูครึกครื้นสนุกสนาน
สารถีคือชายวัยกลางคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง ส่วนผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้กวาดพื้นอยู่ในโรงเรียนนั่งอยู่ด้านหลังสารถี
เฉินผิงอันมองไป นอกจากแม่นางน้อยชุดแดงสดของสกุลหลี่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่บนถนนฝูลวี่แล้ว เด็กที่เหลืออีกสี่คนกลับสวมอาภรณ์แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว บรรพบุรุษของสือชุนเจียอาศัยอยู่ในตรอกฉีหลงมาหลายชั่วอายุคน สืบทอดร้านเก่าแก่ที่ชื่อว่ายาสุ่ยร้านนั้น ไม่เคยต้องกังวลเรื่องกินอยู่ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นตระกูลร่ำรวยใหญ่โต ดังนั้นชุดที่แม่นางน้อยใส่จึงแค่พอถือว่านุ่มนิ่มใส่สบาย ทว่าข้างกายสือชุนเจียมีเด็กวัยเดียวกันที่สีหน้าเย็นชาอยู่คนหนึ่ง ห่มเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีดำราคาแพงใหม่เอี่ยม สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย คิ้วตาแผ่ความเย็นชา หลี่เอ้อบิดาของหลี่ไหวคือชายที่มีชื่อเสียงว่าขี้ขลาดกลัวเมียของเมือง หลี่ไหวยังมีพี่สาวอีกหนึ่งคนชื่อหลี่หลิ่ว แต่พ่อแม่และพี่สาวสามคนพากันออกจากเมืองไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกแล้ว ทิ้งหลี่ไหวไว้คนเดียวโดยฝากให้ครอบครัวลุงเลี้ยงดู ตอนนี้เขาก็ต้องจากบ้านเกิด ติดตามผู้เฒ่าแซ่หม่าไปยังสำนักศึกษาซานหยาเช่นกัน เด็กคนสุดท้ายสวมชุดฤดูใบไม้ผลิเนื้อผ้าบางเบา ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อสองตัวที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความยากจน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กชีวิตลำบากที่เติบโตขึ้นมาในตรอกเก่าโทรม
หลี่เป่าผิง สือชุนเจีย หลี่ไหว หลินโส้วอี ต่งสุ่ยจิ่ง
เด็กนักเรียนของเมืองเล็กห้าคนนั่งบนเกวียนที่ไม่อาจบังแดดบังฝนซึ่งขับมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ใจกลางของแจกันสมบัติทวีปบูรพาที่มีบัณฑิตรวมตัวกันอยู่นับไม่ถ้วนอย่างสำนักศึกษาซานหยา หนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เด็กทั้งห้าในเวลานี้ไม่มีทางรู้เลยว่า บนที่ดินของหนึ่งทวีปอันเป็นที่ตั้งของราชวงศ์หนึ่ง ตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยที่สืบทอดตำแหน่งขุนนางกันมาหลายยุคสมัยที่ต่อให้สู้ตายถวายหัว ใช้ควันธูปอันเป็นผลบุญที่สั่งสมมาจนหมด ก็ยังอยากจะส่งลูกหลานของตระกูลตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น เพื่อคอยติดตามเหล่าอาจารย์ที่มีความรู้และจิตใจกว้างขวาง เรียนรู้วิธีการบ่มเพาะคุณธรรม หลักการปกครองบ้านเมืองให้สงบมาให้ได้
และแน่นอนว่าพวกเขายิ่งไม่รู้ว่า การได้เรียกฉีจิ้งชุนว่าอาจารย์นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากแค่ไหน กลับกันคือตอนนี้เด็กพวกนี้แค่รู้สึกว่าท่านฉีเจ้าระเบียบ มักจะตีหน้าเคร่ง ไม่ชวนให้คนอยากเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย มีบ้างบางครั้งที่ท่านฉีจะคลี่ยิ้ม พวกเด็กๆ ถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรถูกถึงได้ทำให้ท่านฉีอารมณ์ดีถึงเพียงนั้น
หลี่เป่าผิงตาดี มองเห็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนตอไม้ จึงกระโดดพรวดลงมาจากเกวียนอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าที่ผ่ากะทันหันจนคนไม่ทันยกมือป้องหู นางเซเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งถลามาด้านหน้าเฉินผิงอัน แล้วหยุดยืนนิ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าควรพูดอะไร สุดท้ายจึงได้แต่ยืดอกตั้ง กล่าวประโยคหนึ่งว่า “ข้าจะต้องไปยังสถานที่ที่ไกลมากๆ” บนใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ผู้เฒ่าที่สวมกวานสูงตวาดเรียกเสียงหนัก “หลี่เป่าผิง!”
แม้จะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ผู้เฒ่าก็ยังบอกให้สารถีหยุดรถ แม่นางน้อยเบ้ปาก แต่ก็ยังหมุนตัววิ่งกลับมาที่เกวียน นางพลันได้ยินว่าเจ้าหมอนั่นที่อยู่ข้างหลังตะโกนเรียกชื่อตนเอง พอหันกลับไปมองก็เห็นว่าเขาชูกำปั้นให้ตนแล้วโบกเบาๆ น่าจะเป็นการบอกว่าให้นางขยันมากๆ
หลี่เป่าผิงก็ชูหมัดโบกให้เขาเช่นกัน เป็นการบอกให้รู้ว่านางจะขยัน
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ รู้สึกว่าความขยันส่วนใหญ่ของแม่นางน้อยชุดแดงคนนี้น่าจะอยู่ที่การเที่ยวเล่นมากกว่า สำนักศึกษาคงมีร่องรอยของนางทิ้งไว้ทั่วทุกแห่งเลยกระมัง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองไปยังผู้เฒ่ากวาดพื้นที่เคยพบเจอในโรงเรียนอยู่หลายครั้ง เขาพยักหน้าให้ตน เฉินผิงอันจึงส่งยิ้มกลับคืนตามมารยาท
เวลาเดียวกันนั้นรถม้าคันหนึ่งที่ตามมาด้านหลังมีคนปลดม่านลงเบาๆ
แม้ว่าจะเป็นการเหลือบมองแค่แวบเดียว แต่เฉินผิงอันก็ยังมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน นั่นก็คือบัณฑิตที่ไปหาช่างหร่วนที่ร้านตีเหล็ก
เฉินผิงอันมองส่งรถม้าและเกวียนเทียมวัวที่ขับออกจากเมืองไปอย่างเชื่องช้า
หากเฉินผิงอันสามารถขี่กระบี่ทะยานกลางอากาศได้เฉกเช่นหนิงเหยา แล้วก้มมองแผ่นดินพันลี้ที่เพิ่งจะสัมผัสพื้นตั้งรกรากลงไป ต้องตื่นตะลึงไปกับภาพเหตุการณ์ประหลาดมากมายแน่นอน
เพราะตอนนี้มีสัตว์ปีกและสัตว์บกหลากหลายชนิดจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันนิ่งอยู่ริมเขตชายแดนอันเป็นพื้นที่ติดต่อระหว่างถ้ำสวรรค์หลีจูกับแผ่นดินของต้าหลี ขยับออกไปข้างนอกอีกหน่อยยังมีเผ่าพันธ์เดียวกับกับพวกมันเหลือคณานับกำลังห้อตะบึงมาที่นี่อย่างบ้าคลั่ง พวกมันคล้ายกำลังสูบดึงอะไรบางอย่าง
บนเส้นชายแดนที่มองไม่เห็น พวกมันทั้งไม่กล้าขยับขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วก็ไม่ยินยอมที่จะถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ยังมีหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ปลายธารน้ำด้านในเส้นชายแดน ครึ่งร่างท่อนบนเผยพ้นผิวน้ำ เส้นผมสีดำสนิททิ้งตัวลงมาเหมือนม่านน้ำตกแล้วแผ่ขยายออกไปรอบด้านคล้ายดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง
หญิงชราที่เดิมทีใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยจุดด่างดำดุจเปลือกต้นไม้แห้ง เวลานี้กลับกลายมามีผิวพรรณเหมือนหญิงแต่งงานแล้วที่อายุไม่ถึงสี่สิบปี
แล้วยังมีเขาพีอวิ๋นลูกนั้นที่เหมือนถูกผิวดินดันขึ้นมา จึงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากำลังทะยานขึ้นสูงช้าๆ
ถ้ำสวรรค์ปริแตก ลดระดับลงเหลือแค่พื้นที่วิเศษ
ชาวบ้านในเมืองเล็กที่กำเนิดและเติบโตอยู่บนแผ่นดินของถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ไม่ว่าจะดีหรือเลว ล้วนมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ทุกคน