บทที่ 74 มังกรเพลิงลงน้ำ
เฉินผิงอันกลับมาถึงร้านตีเหล็ก หลังจากทำงานเรียบร้อยแล้วก็ฉวยโอกาสพักตอนกินข้าวถือถ้วยเดินไปหาช่างอาจารย์หร่วนที่นั่งยองอยู่ใต้ชายคากับแม่นางหร่วน เฉินผิงอันบอกว่าจะขอยืมเงิน อาจจะสักสิบห้าสิบหกตำลึง หร่วนฉงถึงขั้นไม่ถามถึงเหตุผลที่เฉินผิงอันจะยืมเงินด้วยซ้ำ เขาวางตะเกียบลง ปรายตามองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะแล้วพ่นออกมาสองคำว่า “ไสหัวไป”
เฉินผิงอันรีบวิ่งจากไปแต่โดยดี
หร่วนซิ่วขมวดคิ้ว “ท่านพ่อ ท่านจะพูดดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง?”
หร่วนฉงแค่นเสียงเย็น “ไม่เตะเขาก็ถือว่าดีมากแล้ว”
หร่วนซิ่วกล่าวเป็นเดือดเป็นร้อนแทน “เขายอมทนความลำบากมาเป็นลูกศิษย์ท่าน ค่าแรงสักอีแปะเดียวก็ไม่ขอ ช่วงที่ฟ้ามืด ทุกคนหากไม่นอนหลับอยู่ในห้องสบายใจเฉิบ ก็เอาแต่คุยเล่นกัน มีเพียงเฉินผิงอันที่ยังขนดินอยู่ในบ่อ รอบแล้วรอบเล่า ทำนู่นทำนี่ ไม่อยู่เฉยแม้แต่นาทีเดียว เวลาทำงานให้ขยันมากที่สุด ท่านพ่อ ในใจท่านไม่รู้หรอกหรือ? ท่านลองถามเมตตาธรรมในใจตัวเองดูเถิดว่า เขาขอยืมเงินท่านแค่สิบห้าสิบหกตำลึง มันมากเกินไปตรงไหน?”
หร่วนฉงทำหน้าดำไม่พูดจา ในใจคิดว่าพ่อเจ้าอย่างข้ารู้ดีเกินไปเลยล่ะ ถึงได้อยากจะฟันเจ้าตะพาบน้อยที่พยายามจะเลื่อยขาเก้าอี้ของเขาให้ตายไปซะ
หากเด็กหนุ่มคนนี้มีความสามารถและตบะอย่างวานรย้ายภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยง พ่อคงเลียนแบบฉีจิ้งชุนอัดเจ้าเด็กหนุ่มให้เกือบตายถึงจะสาแก่ใจ เพียงแต่ว่าพอคิดมาถึงตรงนี้ หร่วนฉงกลับรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แม้จะบอกว่าหากตนสลัดสถานะอริยะแห่งฟ้าดินแห่งนี้ทิ้งไป การเอาชนะวานรย้ายภูเขาก็ยังเป็นเรื่องที่แน่นอนดุจตอกตะปูบนแผ่นไม้ แต่พอคิดถึงว่าหากจะให้เป็นเหมือนฉีจิ้งชุนที่ตัดสินแพ้ชนะได้ในฝ่าเท้าเดียว กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
หร่วนฉงจึงได้แต่ปลอบใจตัวเอง แม้ว่าในนามตนจะเป็นผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหาร แต่สิ่งที่ตนแสวงหาอย่างแท้จริงหาใช่ความสูงต่ำแข็งอ่อนจากการเข่นฆ่า แต่เป็นกลายมาเป็นอาจารย์หลอมกระบี่ที่มีรายชื่อติดอันดับต้นๆ ของใต้หล้าแห่งนี้ สามารถหลอมกระบี่มีชีวิตเล่มหนึ่งที่มีหวังว่าจะฟูมฟักจิตวิญญาณของตัวเองขึ้นมาได้ เป็นเหตุให้ในฟ้าดินแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตแท้จริงที่สามารถมีเป็นมีตาย สามารถฝึกตน เวียนว่ายตายเกิด หรืออาจถึงขั้นสามารถไล่ตามมหามรรคาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
หร่วนฉงวางถ้วยและตะเกียบลง เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วจู่ๆ ก็ด่าพ่อล่อแม่อย่างไร้สาเหตุ “นึกจริงๆ หรือว่าเมื่อฉีจิ้งชุนตายไป พวกเจ้าจะสามารถทำตัวโอหังไม่เห็นกฎเกณฑ์อยู่ในสายตาได้แล้ว? ข้าบอกกฎของตัวเองกับพวกเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าไม่เคารพกฎ ก็เอาความสามารถที่ทำให้ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎออกมา หากไม่มีก็จงตายไปซะ”
เมื่อเห็นว่ารอบด้านไม่มีคน หร่วนฉงที่เดิมทีนั่งยองอยู่พลันทะยานพรวดขึ้น ดุจรุ้งยาวสีขาวหิมะเส้นหนึ่งที่ระเบิดอยู่บนพื้นดินแล้วสาดยิงขึ้นไปยังทะเลเมฆกลางอากาศสูง
เหนือทะเลเมฆมีหญิงสาวและสตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดชาววัง รวมถึงชายที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรรัดเข็มขัดหยกอยู่หลายคน พวกเขาจับมือกันทะยานอยู่กลางอากาศ สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีท่วงทำนองสง่างามดุจผู้เป็นเทพเซียน บางครั้งยังก้มหน้าลงมองสภาพพื้นดินทั้งหมดของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต สมกับคำว่าพูดคุยถูกคอสนุกสนานอย่างแท้จริง
เสียงปังกัมปนาทดังขึ้นหนึ่งครั้ง
ศีรษะของสตรีแต่งงานแล้วที่ปักปิ่นทองแต่งกายหรูหราระเบิดแตก จากนั้นศีรษะของดรุณีน้อยหน้าตางดงามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายนางก็กระจายดุจดอกไม้ผลิบาน แล้วไล่ตามไปเป็นลำดับ ทั้งหญิงและชาย ล้วนไม่มีข้อยกเว้น
เงาร่างของหร่วนฉงลอยนิ่งอยู่เหนือทะเลเมฆสีทองอร่ามพร่างตา สายตาเฉียบคมกวาดมองไปรอบด้าน หัวเราะเสียงหยัน “ทำไม แค่ใช้ปลาตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้มาหยั่งเชิงขีดความอดทนของข้าหร่วนฉงงั้นรึ? ดูถูกกันเกินไปหน่อยหรือเปล่า แม้ข้าหร่วนฉงจะเป็นช่างตีเหล็ก ห่างชั้นกับฉีจิ้งชุนอยู่ไกลโข แต่หากจะให้ฆ่านักพรตชั้นสิบที่ไม่มีตามองสักคนสองคนอยู่ที่นี่ จะยากตรงไหน? ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป กฎเกณฑ์ของที่นี่จะเพิ่มขึ้นมาอีกข้อ ทุกท่านจงตั้งใจฟังให้ดี ต่อให้พวกเจ้าจะแอบมองพื้นที่วิเศษหลีจูอยู่นอกเส้นชายแดน แต่ขอแค่วันใดที่ข้าหร่วนฉงอารมณ์ไม่ดี ก็ยังจะจับพวกเจ้าเข้ามาเหนือน่านฟ้าพื้นที่วิเศษ จากนั้นก็ทุบสมองพวกเจ้าให้เละได้เหมือนกัน เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า”
หร่วนฉงเพิ่งจะพูดจบ นอกเส้นเขตชายแดนก็มีแสงสว่างปรากฏวูบขึ้นมา นาทีถัดมาเห็นเพียงว่าเขายื่นมือข้างหนึ่งวางกดลงบนศีรษะของผู้เฒ่าคนหนึ่ง พอจับอีกฝ่ายเข้ามาในเขตชายแดนแล้วจึงกางนิ้วทั้งห้ากดลง ผู้เฒ่าที่มีบุคลิกดุจเซียนวิงวอนอย่างน่าสงสาร “อาจารย์หร่วน! อาจารย์หร่วน! มีอะไรก็พูดกันดีๆ เถอะ! ข้าผู้อาวุโสอยู่ที่แม่น้ำจื่อแยนใกล้ๆ นี้ ข้าเป็น…”
ไม่รอให้ผู้เฒ่ากล่าวจบ หร่วนฉงก็บีบศีรษะของเซียนซือ[1]ผู้นั้นจนระเบิดแตก แล้วจึงโยนศพออกไปนอกพื้นที่วิเศษอันเป็นบ้านของตนอย่างไม่แยแส ทว่าในศพกลับมีแสงมีเขียวมรกตพุ่งพรวดออกมา หร่วนฉงแค่ปรายตามองด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้ไล่ตามไปเอาเรื่องให้ถึงที่สุด รุ้งเขียวที่ยาวแค่สามฉื่อกว่าๆ พุ่งฉิวไปอย่างบ้าคลั่งด้วยระยะทางเกือบพันลี้ จากนั้นก็พุ่งหัวทิ่มลงไปในลำธารใหญ่ที่มีควันสีม่วงบางๆ ลอยกรุ่นอบอวล น้ำในลำธารเปี่ยมล้นอุดมสมบูรณ์เหนือกว่าน้ำในแม่น้ำใหญ่ของแผ่นดินต้าหลีเสียอีก
หร่วนฉงที่นิ้วทั้งห้ายังมีคราบเลือดตะโกนเสียงดัง “ภายในหกสิบปี ปฏิบัติตามนี้”
ท่ามกลางทะเลเมฆที่ห่างไปไกล มีนักพรตหญิงคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆกล่าวอย่างแค้นเคือง “วิธีการช่างโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก นี่หรือการกระทำของอริยะผู้ควบคุมโชคชะตาของพื้นที่แห่งหนึ่ง”
หร่วนฉงโมโหจนกลายเป็นขำ “โอ้โห เริ่มฉลาดบ้างแล้วนี่นา ไปหลบอยู่ตั้งไกลกว่าจะกล้าบ่นพึมพำ คิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นรึ? แม่งเอ๊ย ข้าผู้อาวุโสไม่ใช่บัณฑิตหน้าโง่อย่างฉีจิ้งชุนผู้นั้นสักหน่อย เจ้าจะมาพูดถึงศีลธรรมจรรยาอะไรกับผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารอย่างข้า สมองเจ้ามีรูหรือไง?”
มือข้างหนึ่งของหร่วนฉงเอียงลงด้านล่าง สองนิ้วประกบกัน ท่องคาถาในใจ “เทียนกัง[2] ประคองพายุลมกรด ตี้ซ่า[3]เปลวเพลิงบ่อสายฟ้า จงทำตามบัญชาแต่เร็วไว!”
พริบตานั้นบนฟ้าและใต้ดินก็มีอากาศสองตำแหน่งที่ตลบปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว ราวกับตาน้ำพุที่เพิ่งผุดขึ้นมาบนโลกมนุษย์
อีกตำแหน่งหนึ่งมีเสียงอ่อนโยนเอ่ยเตือนเร่งร้อน “แย่แล้ว นั่นมันกระบี่คู่ลมฟ้าแห่งชะตาชีวิตของหร่วนฉง! หลันถิง รีบหนีเร็วเข้า! วัตถุแห่งชะตาชีวิตของหร่วนฉงประหลาดไม่เหมือนใคร ไม่ได้เลี้ยงไว้ในช่องโพรงของร่างกาย แต่เก็บอยู่ระหว่างฟ้าดินระยะสามพันลี้รอบกายเขา ติดตามเทพหยินสำนักการทหารสององค์ของเขาเดินทางไปทั่วสารทิศ…”
เหนือทะเลเมฆมีแสงไฟสีเขียวเป็นประกายแวววาวกลุ่มหนึ่งพยายามเผ่นหนีไปข้างนอกสุดชีวิต นอกแสงไฟมีดอกท้อลักษณะเป็นผลึกใสโอบล้อมเป็นวงเพื่อปกป้องเจ้านายตน
พอประกายแสงสีเขียวเข้มนี้พุ่งพรวดออกไปแปดร้อยลี้รวดเดียวก็ถูกเส้นสีเขียวเส้นหนึ่งที่ร่วงลงมาจากฟ้าพุ่งผ่านตัดกลาง
ชายที่ทวงความเป็นธรรมให้นางเห็นนั้น เห็นว่าท่าไม่ดีจึงใช้เวทลับเฉพาะหายตัวไปแต่แรกแล้ว
บนท้องฟ้าเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าส่งเสียงปากมากอีก
หร่วนฉงหัวเราะเสียงเย็น ไม่มัวมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนชั่วใจคดกลุ่มนี้อีก ร่างของเขากลับคืนมาอยู่ข้างธารน้ำใกล้กับร้านตีเหล็ก ช่างเหล็กที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณดุร้ายและกลิ่นคาวเลือดยื่นมือออกไปล้างคราบเลือดในลำธาร
หร่วนฉงถอนหายใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าอาลัย “ฉีจิ้งชุน หากเจ้าไร้เหตุผลได้ครึ่งหนึ่งของข้า ก็คงไม่ต้องมีชีวิตที่น่าอึดอัดคับแค้นใจถึงเพียงนี้กระมัง?”
……
บนฝั่ง เฉินผิงอันที่ฝึกเดินนิ่งเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกำลังอยู่ระหว่างทางย้อนกลับ การฝึกจบลงแล้ว เขาจึงกำลังคลายกล้ามเนื้อยืดเส้นยืดสาย เฉินผิงอันพลันเห็นอาจารย์หร่วนเดินขึ้นฝั่งจากลำธาร ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ผ่อนฝีเท้าลง ไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัว ไม่รู้ทำไม เฉินผิงอันถึงได้รู้สึกว่าอาจารย์หร่วนไม่ค่อยประทับใจตนนัก สายตายามที่มองตนแฝงแววรังเกียจค่อนข้างคล้ายกับสายตาของผู้เฒ่าเหยา
หร่วนฉงเองก็ไม่ได้สนใจเด็กหนุ่ม เอาแต่เดินอาดๆ กลับเข้าไปในร้านตีเหล็กของตัวเอง
เฉินผิงอันหันขวับไปมองธารน้ำ
ทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีอะไรแปลกออกไป
แต่เมื่อครู่นี้เฉินผิงอันใจหายวาบ เหมือนมีแสงคมกริบพุ่งผ่านด้านหลัง ราวกับว่าผีพรายที่ตายด้วยความไม่เป็นธรรมอยู่ในธารน้ำกำลังจ้องมองตน เป็นความรู้สึกที่เหลวไหลอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่าลำธารที่อยู่ในสายตาของเขากำลังแผ่กระเพื่อมเบาๆ อย่างเริงร่าอ่อนโยน
เฉินผิงอันไม่ยอมตัดใจง่ายๆ หยิบก้อนหินน้ำหนักกำลังเหมาะมือขึ้นมาสองสามก้อน หมุนตัวเดินเลียบลำธารไปยังตอนลาง มองประเมินความเคลื่อนไหวในลำธารอย่างตั้งใจ พยายามจะหาเบาะแสให้เจอ
เฉินผิงอันยิ่งมองยิ่งรู้สึกผิดปกติ ภายใต้แสงตะวันสว่างจ้า น้ำในลำธารกลับมอบความรู้สึกอึมครึมน่าสะพรึงกลัวให้แก่ผู้คน ต่อให้เฉินผิงอันจะเคยดำลงไปในหลุมลึกใต้หินหลังควายอยู่หลายครั้งก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกรังเกียจที่เด่นชัดมากขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้มีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันสามารถแน่ใจได้ บนโลกใบนี้มีปีศาจ มีตัวประหลาด มีผีเร่ร่อนที่น่าเหลือเชื่ออยู่อย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านฉีอยู่ในเมือง หมื่นสิ่งชั่วร้ายไม่อาจย่างกรายมารุกราน ตอนนี้ท่านฉีไม่อยู่แล้ว ไม่แน่ว่าที่นี่อาจจะเป็นสภานที่ที่พวกภูตผีสร้างเรื่องก่อราว ตนต้องระวังตัวให้มาก ต่อให้อาจารย์หร่วนจะเป็น “อริยะ” คนต่อไป เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าประมาท จะว่าไปแล้วเฉินผิงอันเชื่อใจท่านฉีมากกว่า สำหรับอาจารย์หร่วนที่เงียบขรึมพูดน้อย ใจนับถือเลื่อมใสย่อมต้องมี แต่ใจที่อยากใกล้ชิดสนิทสนมกลับไม่มีอยู่เลย
ที่เฉินผิงอันกล้าเดินไปหาตัวประหลาดในนามตามความรู้สึกตัวเองก็เพราะอาจารย์หร่วนเพิ่งจะเดินจากไป เฉินผิงอันคิดว่าหากมีผีอยู่ในน้ำจริงๆ ก็คงไม่กล้ากระโจนออกจากน้ำมาสังหารต้นใต้ปลายจมูกของอริยะ อีกอย่างตอนนี้ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันซ่อนตราประทับภูเขาและแม่น้ำที่ท่านฉีมอบให้ไว้ในชายแขนเสื้อ หนึ่งในนั้นคือตัวอักษรคำว่า “น้ำ” ดังนั้นความกล้าของเด็กหนุ่มจึงมีมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันขว้างหินออกไปสองก้อนติดกัน กำลังโน้มตัวลงเตรียมจะเก็บหินขึ้นมาใหม่ ห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงคนถามว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
เด็กสาวชุดเขียวมัดผมหางม้า ที่แท้ก็คือหร่วนซิ่ว
ความสนใจทั้งหมดของเฉินผิงอันอยู่ที่น้ำในลำธารตลอดเวลา จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าหร่วนซิ่วขยับมาใกล้ เขาไม่คิดปิดบัง จึงชี้ไปที่ผิวน้ำในลำธาร ตอบตามตรงโดยไม่กลัวว่านางจะหัวเราะเยาะ “ข้ารู้สึกว่าในน้ำมีของสกปรก เลยอยากลองดูว่าจะใช้ก้อนหินขว้างให้มันออกมาได้หรือไม่”
หร่วนซิ่วเพ่งสายตามองไปในธารน้ำ สีหน้าเคร่งขรึม
เฉินผิงอันถาม “มีปัญหาจริงๆ ใช่ไหม?”
หร่วนซิ่วส่ายหน้า “มองไม่ออก”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “น่าจะเป็นเพราะข้าระแวงไปเอง”
หร่วนซิ่วเอ่ยเสียงเบา “เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะกินอะไรอยู่ตรงนี้สักพักค่อยกลับร้าน หากท่านพ่อข้าถามถึง เจ้าก็บอกว่าไม่เห็นข้าแล้วกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหาก้อนหินที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจนก้อนหนึ่งขึ้นมาจากบนพื้น เอ่ยถามว่า “แม่นางหร่วน ข้าถามเจ้าหน่อยได้หรือไม่ว่าความหมายของตัวอักษรบางส่วนคืออะไร อ่านว่าอย่างไร?”
หร่วนซิ่วตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
เรียนหนังสือ?
สิ่งของอย่างหนังสือนี้ก็คือศัตรูที่น่ากลัวที่สุดบนโลก เพียงแค่ลองเปิดหน้าหนึ่ง ตัวอักษรทุกตัวก็ล้วนเหมือนนักพรตใหญ่ที่จัดเรียงขบวนรบ โอ้อวดแสนยานุภาพที่ต่อหน้าหร่วนซิ่ว เห็นทีไรหร่วนซิ่วก็ปวดหัวทุกครั้ง เดิมทีหลังจากที่ติดตามบิดาหร่วนฉงเข้ามาอยู่ในเมืองเล็ก นางก็ควรจะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ไม่จำเป็นต้องช่วยงานตีเหล็กหลอมกระบี่อะไรเลย แต่ให้ตายนางก็ไม่ยอมไป วันนี้ปวดท้อง พรุ่งนี้ตัวร้อน วันมะรืนอาจจะมีฝนตก วันมะเรื่องข้อเท้าบวม…หร่วนฉงคร้านจะฟังข้ออ้างเหล่านั้นของนาง ถึงได้ยอมปล่อยหร่วนซิ่วไป
เพียงแต่ว่าวันนี้หร่วนซิ่วไม่ต้องการแสดงความขี้ขลาดต่อหน้าเด็กหนุ่ม จึงฝืนสงบจิตสงบใจ เค้นรอยยิ้มส่งให้อีกฝ่าย “เจ้าลองเขียนดูก่อนสิ”
เมื่อเฉินผิงอันใช้ก้อนหินเขียนตัวอักษรสองตัวลงบนพื้นดิน หร่วนซิ่วก็เหมือนสลัดโฉมหน้าใหม่ สีหน้าเบิกบานเริงร่า ยิ้มตอบด้วยความมั่นใจ “ตัวอักษรสองตัวนี้น่ะหรือ ง่ายมากเลย ข้ารู้จักพวกมันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตัวหนึ่งคืออักษรเสิน (神)อีกหนึ่งคืออักษรถิง (庭)พอรวมเข้าด้วยกันก็คือชื่อเรียกช่องโพรงแห่งหนึ่งในร่างกายมนุษย์ เสินถิง การที่มนุษย์อย่างพวกเราถูกเรียกว่าคำว่าสัตว์ประเสริฐ และการที่ภูตผีปีศาจจำนวนมากเลือกฝึกตนเพื่อเดินสู่มหามรรคา สุดท้ายจำต้องจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ ก็เพราะร่างของมนุษย์เหมาะสมกับการฝึกตนมากที่สุด ช่องโพรงน้อยใหญ่ในร่างมนุษย์มีทั้งหมดสามร้อยหกสิบห้าแห่ง ล้วนเป็นที่ซ่อนสมบัติเหมือนภูเขาเงินภูเขาทอง คนสมัยโบราณมีคำกล่าวไว้ว่า ช่องโพรงก็คือ ‘สถานที่ที่เสินชี่ (ปราณแห่งจิต สภาพจิตที่เข้มแข็ง) ไหลเวียนเข้าออก’ สามจิตเจ็ดวิญญาณของมนุษย์อย่างพวกเราก็เหมือนเด็กที่ไปขอบ้านคนอื่นกินไปทั่ว อยู่บ้านนี้กินข้าวหนึ่งถ้วย อยู่บ้านนั้นดื่มน้ำหนึ่งแก้ว หล่อเลี้ยงตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง”
หร่วนซิ่วพูดเจื้อยแจ้ว จากนั้นจึงยื่นนิ้วชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง เอ่ยพลางยิ้มบางๆ “ส่วนเสินถิงนี้จะอยู่ตรงนี้ เจ้าเลิกเส้นผมขึ้น เหนือไรผมขึ้นไปข้างบนประมาณห้าส่วน สำหรับผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารอย่างข้าและพ่อของข้า ช่องโพรงนี้ไม่สำคัญเท่าใดนัก อืม หากใช้คำพูดของพวกเราก็จะถือว่าเป็น ‘สถานที่ที่สำนักการทหารไม่จำเป็นต้องช่วงชิง’ จะมีหรือไม่มีก็ได้ กลับเป็นพวกคนที่ดำรงอยู่ได้ด้วยควันธูปต่างหากที่ให้ความสำคัญกับช่องโพรงนี้อย่างมาก แต่ท่านพ่อข้าเคยบกว่า พวกคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่มีใครได้ดีสักคน ต่อให้วิชาอภินิหารจะยิ่งใหญ่แค่ไหน วิถีชั่วร้ายจะกว้างใหญ่เท่าไหร่ ก็เป็นแค่พวกแมลงน่าสงสารที่ต้องพึ่งพาคนอื่น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจ จากนั้นก็ถามอักษรคำว่า “จวี้เชวฺ” (巨阙) และ “ไท่ยวน” (太渊)
หร่วนซิ่วเองก็ไล่ตอบไปทีละคำ แม้ว่าเด็กสาวจะไม่ชอบเรียนหนังสือ นั่นก็เป็นแค่เพราะไม่ชอบตำราและคัมภีร์ของพวกนักปราชญ์สำนักขงจื๊อเท่านั้น สำหรับการฝึกตนของสำนักการทหารและการฝึกกระบี่หลอมกระบี่แล้ว เด็กสาวชื่นชอบมาก ชื่อของช่องโพรงพวกนี้นางจึงท่องจำได้ขึ้นใจมาตั้งแต่เด็ก
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยปากขอร้อง เด็กสาวก็ยิ้มกว้าง “วันหน้าหากมีเวลาว่าง ข้าจะบอกชื่อเรียก ตำแหน่งและประโยชน์ของช่องโพรงทั้งสามร้อยหกสิบห้าแห่งให้แก่เจ้า”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “รบกวนแม่นางหร่วนแล้ว”
หร่วนซิ่วถาม “ข้าให้เจ้าไปช่วยซื้อขนมมาให้ตั้งหลายครั้ง เจ้ารู้สึกลำบากหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เรื่องง่ายดายเพียงแค่ยกมือ ย่อมไม่ลำบากอยู่แล้ว
หร่วนซิ่วยิ้มยินดี “งั้นก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
นางพลันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “อันที่จริงต่อให้รู้เรื่องช่องโพรงพวกนี้แล้วก็ไม่มีความหมายมากนัก การที่การฝึกตนบนโลกมนุษย์สำนักนอกรีตและสำนักมารมากมายล้วนอยู่ที่ความแตกต่างด้านเส้นทางการอบรม การฝึกฝนของแต่ละคน ต่างนิดเดียวอาจห่างไกลเป็นพันลี้ แน่นอนว่าตระกูลข้าก็มีสองวิชาฝึกจิตที่สืบทอดกันมาอย่างการแผ่ปราณและหล่อเลี้ยงปราณ แต่ไม่อาจนำมาถ่ายทอดแก่คนนอกได้ นี่ไม่ใช่ปัญหาแค่ที่ว่าบิดาข้าจะยินยอมหรือไม่ เฉินผิงอัน ขอโทษนะ”
เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่ได้คืบจะเอาศอก จึงรีบอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรๆ ข้าก็แค่อยากรู้จักตัวอักษรให้มากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรมากมายขนาดนั้น อีกอย่างตัวข้าเองก็มีตำราหมัดเล่มหนึ่งที่สามารถฝึกฝนได้ แค่ท่าหมัดในตำรานี้ข้าก็แทบจะฝึกไม่รอดแล้ว จะยังแบ่งสมาธิไปฝึกอย่างอื่นอีกได้ยังไง”
หร่วนซิ่วยิ้มโล่งใจ ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ “งั้นก็ดีแล้ว”
กระเทือนพึ่บพั่บ ทัศนียภาพตรงนี้ดีงามเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันรีบดึงสายตาที่เผลอมองโดยไม่ได้ตั้งใจกลับมา ลุกขึ้นยืน สีหน้าเป็นการเป็นงาน “แม่นางหร่วน ข้าจะกลับไปรอเจ้าว่างแล้วกัน อย่างไรซะข้าก็กลับตรอกหนีผิงดึกหน่อยได้”
หร่วนซิ่วลุกขึ้นยืนตาม พยักหน้ายิ้มๆ “ตกลง”
เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ กลับไปที่ร้านตีเหล็ก
หร่วนซิ่วเดินลงจากฝั่ง ขยับมาใกล้ลำธาร นางควักผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาก่อน โยนขนมหนึ่งก้อนใส่ปากเคี้ยวช้าๆ
รอจนเฉินผิงอันน่าจะกลับไปถึงเมืองเล็กแล้ว นางถึงได้ม้วนชายแขนเสื้อ เผยให้เห็นกำไลข้อมือสีแดงสดวงนั้น สายตานางมองไปยังน้ำกระจ่างใส เอ่ยเสียงหนัก “มังกรเพลิงลงน้ำ”
กำไลข้อมือวงนั้นพลันกลายมาเป็นของเหลว มีสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งฟื้นตื่น ดิ้นสะบัดตัวไม่หยุด สุดท้ายแปรเปลี่ยนมาเป็นเจียวหลงตัวน้อยที่ตลอดร่างล้อมพันไปด้วยเปลวเพลิง หัวและหางของมันติดกัน คล้องอยู่ตรงข้อมือของเด็กสาวได้พอดี
ตามคำสั่งของเด็กสาว
เจียวหลงสีชาดที่เดิมทียาวไม่ถึงหนึ่งฉื่อกระโจนพรวดลงน้ำทันควัน
หนึ่งจั้ง สามจั้ง สิบจั้ง
เป็นมังกรเพลิงแต่กลับสามารถเดินอยู่ในน้ำได้!
หร่วนซิ่วออกคำสั่ง “พอแล้ว”
มังกรเพลิงที่ลำตัวยาวเกินสิบจั้งไม่ขยายใหญ่ต่ออีก แต่น้ำในบริเวณใกล้เคียงกับมันล้วนระเหยจนแห้งเหือด ไม่เพียงเท่านี้ ลำธารตอนนบยังเหมือนทหารแตกพ่ายที่ขวัญหนีกระเจิดกระเจิง ให้ตายก็ไม่กล้าบุกเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรูอีก จึงได้แต่เบียดเสียดอยู่ด้วยกัน ทำให้น้ำในลำธารขยับขึ้นด้านบนอย่างต่อเนื่อง แต่น้ำในลำธารตอนล่างกลับยังคงพุ่งเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง
หร่วนซิ่วหรี่ตามอง
รอเงียบๆ ให้น้ำลดหินผุด
จากนั้นนางจึงลงไปเดินล่างลำธารที่ท้องน้ำแห้งเหือด ติดตามมังกรเพลิงสิบจั้งตัวนั้นเดินไปเบื้องหน้า
ตอนนี้ถ้ำสวรรค์ปริแตก ตราผนึกที่อริยะสี่ท่านร่วมใจกันจัดวางไว้จึงหายตามไปด้วย จึงไม่อาจขัดขวางการใช้เวทคาถาอีกต่อไป
นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมหร่วนฉงต้องตั้งใจ ซ้ำเพียงลงมือก็เลือกใช้วิธีดุดันรุนแรงดุจสายฟ้าหมื่นชั่ง ต่อให้สถานที่แห่งนี้เคยเป็นหนึ่งในถ้ำสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่ง ครอบครองอาณาบริเวณน้อยที่สุด แล้วก็มีวัตถุดิบวิเศษเกิดขึ้นน้อยที่สุด แต่จะอย่างไรซะก็เป็นพื้นที่วิเศษที่แต่เดิมคือถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก ข้อดีมากมายยังคงมีประโยชน์มหาศาลต่อการฝึกตน ตอนนี้ไม่มีค่ายกลใหญ่คอยสร้างขีดจำกัด หากไม่มีใครกำราบไว้ นักพรตภายนอกกรูกันเข้ามา คนดีคนชั่วปะปนกัน ความคิดไม่บริสุทธิ์ ถึงท้ายที่สุดคนหกพันกว่าคนในเมืองเล็ก นอกจากพวกตะพาบแก่เต่าตัวใหญ่ (คำด่าอย่างหนึ่ง หมายถึงคนเลวระยำ) ที่โชคดีรอดชีวิตมาได้พวกนั้น คนธรรมดาที่เหลืออยู่คงตายสิ้นในวันเดียว
อันที่จริงเวลาคนของสำนักการทหารจะลงมือทำสิ่งใดก็ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างมาก แต่กลับเน้นย้ำในด้านการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์มากกว่า ยืดหยุ่นกว่าสำนักขงจื๊อมากนัก สามารถพลิกแพลงไปตามความแตกต่างของสิ่งที่ต้องเผชิญเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ดูเหมือนว่าในที่สุดมังกรเพลิงที่กระโจนปัดซ้ายป่ายขวาอยู่ในท้องน้ำต่อเนื่องก็จับตัวเป้าหมายที่เจ้าเล่ห์ตัวนั้นได้ กรงเล็บของมันจึงตวัดกดลงไป ค่อยๆ ก้มหน้าลงอย่างเชื่องช้า
หร่วนซิ่วเดินไปใกล้ศีรษะของมังกรเพลิง ก้มหน้ามองตาม ใต้กรงเล็บของมังกรเพลิงคือหญิงชราคนหนึ่งที่นอนขดตัว นางถูกกรงเล็บมังกรกักตรงช่วงเอวเอาไว้ เส้นผมยาวถึงเอวปกป้องร่างทั้งหมดของนางไว้อย่างแน่นหนา
หร่วนซิ่วถามอย่างแปลกใจ “แค่เทพลำธารตัวเล็กๆ ก็กล้ามาอาละวาดต่อหน้าประตูบ้านข้าเชียวรึ? เรื่องที่ปีนั้นบิดาข้าสังหารเทพแม่น้ำหกคนติดต่อกัน เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ?”
แม่ย่าลำธารที่เปลี่ยนจากหญิงชราร่างผอมแห้งมาเป็นหญิงสาวที่ออกเรือนแล้ววิงวอนอย่างน่าสงสาร “ท่านเซียนใหญ่ ท่านเซียนใหญ่ บ่าวแค่ผ่านมาทางนี้ ไม่มีใจจะทำร้ายผู้ใดเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่การที่บ่าวกล้าแผ่ปราณของเทพหยินออกมาก็เพราะหวังว่าจะช่วยเพิ่มน้ำหนักน้ำในลำธารให้แก่อริยะหร่วน โดยอาศัยกำลังอันน้อยนิดที่ทุ่มเทสุดความสามารถของตนเท่านั้น ท่านเซียนใหญ่โปรดอย่าได้โกรธเคือง หากรู้สึกว่าข้าน้อยหน้าตาอัปลักษณ์ มองแล้วขัดหูขัดตา วันหน้าข้าน้อยจะแค่ว่ายผ่านตอนกลางคืนเท่านั้น…”
หร่วนซิ่วถามตรงเผงเข้าประเด็น “เจ้ารู้จักเฉินผิงอัน?”
ใบหน้าของแม่ย่าลำธารที่ถูกมังกรเพลิงกดเอวเอาไว้เหี่ยวโทรมแก่ชราอย่างรวดเร็ว แต่กลับกล้าแค่ร้องสะอื้นในลำคออย่างน่าสงสาร พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวสาร “รู้จักๆ เดิมทีข้าน้อยคือคนในตรอกซิ่งฮวา เฉินผิงอันผู้นั้นคือเด็กกำพร้าตรอกหนีผิง เคยพูดคุยกันบ้าง แต่ไม่ได้มีบุญคุณความแค้นใดต่อกัน บ่าวก็แค่รู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นคนในเมืองมาเดินริมลำธาร วันนี้ได้เห็นเด็กหนุ่มฝึกหมัด ด้วยความใคร่รู้จึงจ้องมองนานหน่อยเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่ากลับกลายเป็นการชักนำหายนะใหญ่เทียมฟ้ามาสู่ตน ขอท่านเซียนใหญ่โปรดเห็นแก่ที่ข้าน้อยไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ออมมือไว้ไมตรีด้วยเถิด…”
หร่วนซิ่วโบกมือ มังกรเพลิงกลายมาเป็นกำไลสีแดงลวดลายโบราณเรียบง่ายสวมอยู่บนข้อมือของเด็กสาวอีกครั้ง
หร่วนซิ่วยังคงยืนอยู่ห่างไปไกล ด้านหลังก็คือน้ำในลำธารที่ซัดบ่าลงมาอย่างรวดเร็ว
แต่ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้แม่ย่าลำธารอกสั่นขวัญแขวนกลับเกิดขึ้น น้ำในลำธารเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูสวรรค์ผู้สูงส่ง ยังไม่ทันต่อสู้ก็ยอมยกธงขาวศิโรราบ เป็นฝ่ายอ้อมผ่านหร่วนซิ่วไหลไปทางตอนล่าง
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ แม่ย่าลำธารก็สามารถสัมผัสได้ว่าเด็กสาวชุดเขียวผู้นี้ไม่ได้ใช้เวทคาถาใดๆ เลย
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี “อย่าเอาแต่เหม่ออยู่เลย ไหนลองเล่าเรื่องของตรอกซิ่งฮวาและตรอกหนีผิงให้ข้าฟังหน่อยสิ เอาทุกเรื่อง เจ้ารู้อะไรก็พูดออกมาให้หมด”
แม่ย่าลำธารที่ได้อิสระกลับคืนมาอีกครั้งผิวหนังหน้าตาเริ่มฟื้นคืนสู่ความเยาว์วัยอย่างเชื่องช้า แต่นาทีถัดมานางก็กรีดร้องเสียงแหลมอย่างอดไม่ไหว ที่แท้เส้นผมดำขลับราวขนกาน้ำที่สยายดุจม่านน้ำตกของนางกำลังหดสั้นลง นางหวีดร้องอย่างร้าวรานใจ “ทำไมตบะของข้าถึงกำลังไหลหายไป!”
เด็กสาวชุดเขียวเคี้ยวขนมอยู่ในปากจึงพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “หืม? เรื่องนี้เองหรือ ขอโทษที ลืมบอกเจ้าไป ข้าเกิดมาก็มีร่างของเทพแห่งเพลิง เป็นศัตรูทางธรรมชาติกับน้ำ”
แม่ย่าลำธารพยายามข่มอารมณ์ให้สงบลง ได้แต่หลั่งน้ำตาวอนขอ “ขอท่านเซียนใหญ่โปรดเมตตา ละเว้นโทษที่ข้าน้อยกระทำลงไปโดยไม่ตั้งใจครั้งนี้ด้วยเถิด”
หร่วนซิ่วครุ่นคิดจริงจัง “วันหน้าข้าจะเรียกเจ้ามาเล่าเรื่องให้ฟัง วางใจเถอะ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะอำพรางปราณแห่งชะตาของตนเอาไว้”
แม่ย่าลำธารหน้าม่อย ไม่กล้าปฏิเสธ จึงได้แต่รับปาก
หร่วนซิ่วเดินขึ้นฟัง หันหน้ากลับมาพูด “ห้ามมีครั้งหน้าอีกนะ”
แม่ย่าลำธารพูดติดๆ กันว่าไม่กล้าอีกแล้ว
พอขึ้นฝั่งแล้ว เด็กสาวก็เดินสะบัดผมหางม้ามุ่งหน้าไปยังร้านตีเหล็ก
ร่างของแม่ย่าลำธารจมลงไปในน้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดันเคียดแค้น แต่ว่าหลังจากเสียเปรียบหลายครั้งเข้า นางก็เริ่มรู้จักที่จะข่มกลั้นอารมณ์ชั่วร้ายขุมนี้ไว้อย่างแน่นหนา
เสียงในใจของคนอื่นที่ดังมาจากจุดอื่นกลับดังกระหึ่มขึ้นมาในใจของนาง
“เจ้าโง่ เก็บความเบาปัญญาของเจ้าลงไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าโอกาสที่เด็กสาวคนนี้จะใช้พิสูจน์วิถีของตัวเองในอนาคตคือเรื่องใด? ก็คือสังหารเทพแม่น้ำของทวีปหนึ่งให้สิ้นซาก เจ้าเป็นแค่แม่ย่าลำธารตัวเล็กๆ ยังกล้ามีใจคิดสังหารคนผู้นี้? ไม่กลัวว่าคนจะหัวเราะจนฟันร่วงหรือไง ต่อให้นางยื่นคอมาให้เจ้าฆ่า สุดท้ายก็มีแต่เจ้าที่ต้องตาย! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการรับสัมผัสถึงสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดในน้ำของนางเฉียบไวมากแค่ไหน? ดังนั้นนางจึงเดาความคิดในใจของเจ้าเวลานี้ได้อย่างแม่นยำ แม่ย่าลำธารคนแรกที่นางต้องการสังหารในอนาคต ก็คือเจ้า! ดังนั้นหลังจากนี้จงคิดให้ดีว่าจะชดเชยแก้ไขอย่างไร หายนะที่เดิมทีก็ใหญ่ท่วมหัวครั้งนี้ก็คือเมล็ดพันธ์ที่จะทำให้เจ้าได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่”
“นี่เป็นการเตือนเจ้าครั้งสุดท้ายแล้ว หากเจ้ายังกล้ากระทำการล้ำเส้นอีก ไม่ต้องรอให้คนอื่นลงมือ ข้านี่แหละจะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย”
หลังจากเสียงนั้นหายไป แม่ย่าลำธารหยุดนิ่งอยู่ในน้ำอย่างเหม่อลอย ร่างกายส่ายสะบัดมีพลัง แต่กลับไร้ซึ่งชีวิตชีวา
มหามรรคาล่องลอยไม่อยู่นี่ ช่างทำให้คนหดหู่ยิ่งนัก
……
หร่วนฉงที่อยู่ในห้องหลอมกระบี่มองลูกสาวตัวเองกระโดดโลดเต้นขึ้นมาก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “รังแก่แม่ย่าลำธารที่ไร้ฝีมือคนหนึ่ง อารมณ์ดีนักรึ?”
รอยยิ้มของเด็กสาวเจิดจ้า “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้นางกลายเป็นเทพแม่น้ำก่อน ข้าค่อยรังแกนางอีกครั้ง”
หร่วนฉงขมวดคิ้ว “ซิ่วซิ่ว ห้ามทำเป็นไม่เห็นเทพลำธารเทพแม่น้ำอยู่ในสายตาเด็ดขาด เพราะถึงแม้ว่าเทพวารีดั้งเดิมที่ได้เข้าไปอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลของทวีปแห่งหนึ่งจะเทียบกับเทพห้าขุนเขาของแต่ละแคว้นไม่ได้ แต่การสังหารพวกเขาในน้ำ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เด็กสาวร้องอ้อหนึ่งที ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้พวกเราไม่มีน้ำให้พึ่งพาสิ”
หร่วนฉงใจสั่น แล้วก็ต้องรีบกดรอยยิ้มที่กำลังจะตวัดขึ้นตรงมุมปากลงไปอย่างรวดเร็ว
—-
[1] เซียนซือ คือ คำเรียกขานเหล่าเซียน หรือคำที่ใช้เรียกยกย่องพวกนักพรต
[2] ศาสนาเต๋ากล่าวว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่มีดาวเทียนกังอยู่ทั้งห้าสามสิบหกดวง ดาวเทียนกังทุกดวงล้วนเป็นตัวแทนของเทพองค์หนึ่ง
[3] ตี้ซ่า มีความหมายหลักสองอย่าง หนึ่งคือดาวพิฆาต อีกความหมายคือหมายถึงอสูรหรือกองกำลังที่ชั่วร้าย)