Skip to content

Sword of Coming 343

บทที่ 343 เที่ยวศาลเทพวารียามค่ำคืน

เผยเฉียนจ้องเขม็งไปยังสะพานยาวสีทองพลางท่องคำสอนของอริยะปราชญ์ ส่วนจูเหลี่ยนครุ่นคิดอยู่ในใจ

สะพานยาวที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำค่อยๆ หายไป เผยเฉียนรู้สึกคอแห้งเล็กน้อยจึงหมดอารมณ์ท่องหนังสือ นางอยากเรียนวิชาหมัดกับเวทกระบี่ แต่น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่เต็มใจสอนนาง ส่วนพวกจูเหลี่ยน ต่อให้พวกเขาเต็มใจสอน เผยเฉียนกลับไม่เต็มใจจะเรียนด้วย

เฉินผิงอันยังคงอยู่ในสภาวะนั่งลืมตนที่มหัศจรรย์ ที่แปลกประหลาดไปมากกว่านั้นก็คือเขาค้นพบว่าร่างตัวเองเบาหวิว ดวงจิตหลุดพ้นจากกายมาลอยอยู่กลางอากาศ มองตัวเองที่นั่งขัดสมาธิ ในใจก็ให้รู้สึกแปลกๆ นี่ไม่เหมือนตอนที่หนึ่งดวงจิตแยกออกเป็นสามเมื่อครั้งประมือกับติงอิงและขันทีชุดหม่าง ดวงจิตออกจากร่างคราวนี้ จิตของเขาคล้ายคลึงกับเทพหยินในตำนาน เหมือนกับเทพหยินของวิญญูชนที่ออกไปจากโรงเตี๊ยมคืนนั้น เพียงแต่ว่าจงขุยมีทั้งเทพหยินและเทพหยาง แต่ ‘เฉินผิงอัน’ ในเวลานี้เมื่อถูกปราณวิญญาณและลมกรดที่ซุกซ่อนอยู่ในสายลมริมแม่น้ำหมายเหอพัดมาโดน ร่างของเขากลับไม่มั่นคง ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับการรวมตัวหนาแน่นมั่นคงของเทพหยินเทพหยางทั้งสองตนของจงขุยได้

หากจะบอกว่า ‘เฉินผิงอัน’ ผู้นี้เป็นแค่เด็กน้อยที่หัดเดิน ถ้าอย่างนั้นจงขุยก็คือชายฉกรรจ์ที่เดินขึ้นเขาลงห้วยได้เหมือนเดินบนทางราบแล้ว

ภาพเหตุการณ์ประหลาดในเวลานี้ ทั้งเผยเฉียนและจูเหลี่ยนต่างก็สัมผัสไม่ถึงแม้แต่น้อย

จิตของเฉินผิงอันสองคนขยับเคลื่อนเบาๆ แทบจะพร้อมกัน ในใจมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา วนเวียนไม่จางหาย เฉินผิงอันที่ล่องลอยไม่อยู่นิ่งหันหน้าไปมองตอนล่างของแม่น้ำหมายเหอแวบหนึ่ง จากนั้นเฉินผิงอันที่นั่งขัดสมาธิก็ลืมตาขึ้นเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจำเป็นต้องฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ที่นี่ สถานการณ์ในคืนนี้แตกต่างออกไป ไม่อาจบอกอย่างละเอียดได้ เผยเฉียน จูเหลี่ยน พวกเจ้าอาจต้องช่วยเฝ้ายามแทนข้าสักสองสามชั่วยาม”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นหน้าที่ของบ่าวเฒ่าอยู่แล้ว”

เผยเฉียนกระทืบเท้าหนึ่งที ก่อนทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “ก็น่าจะบอกกันแต่แรก ข้าจะได้พกขนมมากินเป็นอาหารมื้อดึกด้วย”

เฉินผิงอันที่ออกจากร่างก้าวหนึ่งก้าวเข้าหาแม่น้ำหมายเหอ พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง จนกระทั่งมาหยุดอยู่บนผิวน้ำ เขาก็คล้ายท่อนไม้ที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ ‘ในน้ำ’ เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง หลังจากปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแปลกประหลาดที่เหมือนยืนเหยียบอยู่กลางอากาศสูงว่างเปล่าได้แล้วก็ดีดปลายเท้าหนึ่งที ร่างของเขาลอยลิ่วไปไกลมาก เฉินผิงอันโน้มตัวไปข้างหน้าเหมือนกบที่กระโดดเตะอยู่บนผิวน้ำแม่น้ำหมายเหอ ราวกับเทพเซียนบนภูเขาที่ทะยานลมอยู่กลางอากาศ หรือไม่ก็ขอบเขตเดินทางไกลขอบเขตที่แปดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว

ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดพลิ้ว ทะยานลมเดินทางไกล

ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ตัวว่า ภายใต้โอกาสที่ประจวบเหมาะหลายอย่าง นี่คือเค้าโครงของเทพหยินของผู้ฝึกลมปราณแล้ว

ผลัดครรภ์เปลี่ยนกระดูก เสินชี่รวบรวมเป็นหนึ่ง นอกร่างมีร่าง คือจิตหยาง ชื่นชอบแสงสว่าง

ความคิดปลอดโปร่ง ออกจากความมืดเข้าสู่ความมืด ไร้พันธนาการ คือจิตหยิน ชื่นชอบท่องเที่ยวยามค่ำคืน

ไปเยือนศาลเทพวารียามค่ำ

เฉินผิงอันรู้สึกว่าแค่ได้ไปเห็นสักครั้งก็ยังดี ไปแปบเดียวก็กลับแล้ว

ส่วนเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ริมตลิ่งนั้นกำลังหลับตา มือสองข้างทำท่ามุทราเจี้ยนหลู

แม้ว่าหนึ่งนั่งหนึ่งจิตล่องลอย แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผสานเป็นร่างเดียวกัน

ทุกสิ่งที่จิตหยินซึ่งออกจากช่องโพรงได้เห็นได้สัมผัส เฉินผิงอันที่หลับตาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูก็ล้วนเห็นและสัมผัสอย่างชัดเจนเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง

ความมหัศจรรย์ของมหามรรคานั้นลี้ลับสุดจะหยั่ง

จนกระทั่งบัดนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดคนที่ฝึกตนถึงพากันออกห่างจากโลกมนุษย์ มุ่งมั่นตั้งใจฝึกตนเพียงอย่างเดียว มุ่งหน้าเดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปไกล คิดดูแล้วคงเป็นเพราะทัศนียภาพในสายตาของผู้ฝึกลมปราณคือจุดสูงของนอกโลกแล้ว

เวลานี้เฉินผิงอันที่อยู่ริมแม่น้ำมองดูเหมือนฝึกท่าเจี้ยนหลู แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับจินตนาการถึงสะพานยาวอยู่ในใจตัวเองอีกครั้ง

เมื่อเทียบกับสองครั้งที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวถือว่ามั่นคงขึ้นเยอะมาก แม้ลางสังหรณ์ของเขาจะบอกว่ายังไม่อาจเดินขึ้นสะพานเพื่อข้ามผ่านแม่น้ำ

แต่หากคิดจะขึ้นไปบนสะพานเพื่อมองแม่น้ำกลับทำได้แล้ว หากไม่เป็นเพราะข้างกายมีจูเหลี่ยน เฉินผิงอันก็อยากจะลองเดินขึ้นไปดูจริงๆ

การที่คืนนี้เขามีนิมิตเช่นนี้เป็นเพราะคิดถึงคำกล่าวว่าวิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย และยังคิดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างช่วยคนอื่นและช่วยตัวเอง

พาเผยเฉียนมาไว้ข้างกาย เฉินผิงอันแค่อยากจะให้นางท่องหนังสืออ่านหนังสือ แต่ไม่เคยพูดถึงหลักการหรือเหตุผลใดๆ ที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้กับนาง แต่ขอแค่ได้เห็นการกระทำ เห็นคำพูดคำจาแต่ละอย่างของเผยเฉียนกลับเหมือนการส่องกระจกดูตัวเอง เฉินผิงอันจึงอดหันกลับมาทบทวนตัวเองไม่ได้ เนื้อหามากมายในตำรา เฉินผิงอันมักจะสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก ไม่เคยรู้ถึงความหมายที่แท้จริง แต่เมื่อมีเผยเฉียนอยู่ เฉินผิงอันก็จะคิดให้มากขึ้นอีกนิด ยกตัวอย่างเช่นวิญญูชนต้องหมั่นทบทวนตัวเอง ควบคุมตัวเองให้อยู่ในมารยาทพิธีการ สำรวมตน…

อ่านตำราหมื่นเล่ม เขียนตัวอักษรจึงมีท่วงทำนอง

ประเสริฐยิ่ง

เผยเฉียนท่องตำราเล่มที่หนึ่งได้จนแตกฉานขึ้นใจแล้ว ดูท่าคืนนี้หลังจากเขาไปเที่ยวชมศาลเทพวารีกลับมาก็น่าจะให้เผยเฉียนเริ่มอ่านตำราเล่มที่สองได้แล้ว

การอ่านหนังสือไม่ได้ดูว่าอ่านมากกี่เล่ม แต่ต้องดูว่าอ่านเข้าท้องตัวเองไปกี่ตัวอักษรกันแน่

หลักการที่ไม่ใช่หลักการนี้สามารถพูดกับเผยเฉียนได้ แต่คาดว่านางน่าจะเห็นเป็นลมที่พัดผ่านข้างหูเสียมากกว่า

เล่าลือกันว่ามีภิกษุรูปหนึ่ง รู้จักตัวอักษรไม่มาก แต่พออ่านคัมภีร์หนึ่งบทกลับบรรลุพระธรรม

……

ริมแม่น้ำหมายเหอ มีคนสองคนพุ่งทะยานผ่านมาราวกับสายรุ้ง เรือนกายของพวกเขาพร่าเลือน ทะยานร่างไปยังตอนปลายของแม่น้ำอย่างเร่งร้อน

พอเห็นสามคนที่อยู่ริมน้ำพวกเขาก็พยักหน้าให้เบาๆ ถือเป็นการทักทายแล้ว

รอจนพวกเขาหายไปท่ามกลางม่านราตรี จูเหลี่ยนถึงดึงสายตากลับมา

ที่แท้หลังจากกลับไปถึงจุดพักม้า อาจารย์และศิษย์สองคนที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าก็บอกกับเหยาเจิ้นว่าคืนนี้พวกเขาต้องออกไปทำธุระข้างนอก ก่อนฟ้าสว่างจะกลับมาที่โรงเตี๊ยม

เหยาเจิ้นไม่ขัดขวาง และในความเป็นจริงแล้วเขาก็ขวางไว้ไม่อยู่ คนทั้งสองคือข้ารับใช้สกุลหลิวที่ปักหลักอยู่ชายแดน แม้แต่เหยาเจิ้นที่เป็นเจ้าประมุขตระกูลเหยา เป็นผู้คุมกองทัพม้าเหล็กก็ยังไม่รู้ภูมิหลังหรือต้นกำเนิดสำนักของคนทั้งสอง เหยาเจิ้นถึงขั้นสงสัยว่าอาจารย์และศิษย์จากลัทธิเต๋าคู่นี้รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้เลยหรือเปล่า ทั้งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ของเป่ยจิ้นมาลอบสังหารตนจนเกิดความวุ่นวายขึ้นในกองทัพ ขณะเดียวกันก็จับตามองความเคลื่อนไหวของกองทัพชายแดนตระกูลเหยาด้วย ถึงอย่างไรเขาก็มีญาติที่เกี่ยวดองทางการแต่งงานซึ่งเพิ่งจะปลดระวางจากตำแหน่งเจ้ากรมขุนนางไป

ด้วยเรื่องนี้เหยาเจิ้นยังเคยไปถามเหยาจิ้นจือเป็นการส่วนตัวว่าจำเป็นต้องจงใจตีสนิทกับข้ารับใช้สองคนนั่นหรือไม่ ไม่หวังให้พวกเขาปกป้องลูกหลานสกุลเหยาที่จะแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งภายภาคหน้า แต่อย่างน้อยก็ฉวยโอกาสนี้ผูกบุญสัมพันธ์กันไว้

แต่นางกลับไม่เห็นด้วย บอกว่าสถานะของคนทั้งสองพิเศษ ห้ามคิดดึงพวกเขามาเป็นพวกโดยพลการเด็ดขาด ขุนนางรับใช้ฮ่องเต้ หากฮ่องเต้มีพระปรีชา ความเฉลียวฉลาดอันดับหนึ่งของคนเป็นขุนนางก็คืออย่าคิดจะคาดเดาจิตใจของฮ่องเต้ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ แต่นี่พูดถึงแค่ขุนนางที่เฝ้าพิทักษ์ชายแดนอย่างตระกูลเหยาเท่านั้น หากเป็นขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ก็อีกเรื่องหนึ่ง เหยาเจิ้นกลับไม่ยินยอม ชีวิตของคนในตระกูลถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายสองครั้ง หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันยื่นมือเข้าช่วยเหลือทั้งสองครั้ง ป่านนี้พวกเขาก็ไม่มีชีวิตรอดกันแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังถูกใส่ร้ายด้วยข้อหาว่าสมคบคิดกับศัตรูต่างแคว้น วางแผนคิดช่วงชิงบัลลังก์ด้วยก็เป็นได้ หากตอนนี้ยังคิดจะวางตัวให้พ้นจากความยุ่งยาก ไม่สนใจผู้ใด พอไปถึงเมืองเซิ่นจิ่ง ข้างกายไร้กองทัพชายแดนช่วยหนุนหลังให้ ก็ไม่เท่ากับว่ายิ่งต้องตกอยู่ในอันตรายยากจะคาดเดาหรอกหรือ?

เหยาเจิ้นนึกถึงเจ้าเมืองผู้เป็นลูกศิษย์ที่ลงจากหลังม้ามาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้นั้น ในใจก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วน หรือว่าจะเป็นอย่างที่หลานสาวกล่าวไว้ วันหน้าตนต้องคอยคบค้าสมาคมกับพวกตะพาบน้อยเหล่านี้จริงๆ หรือ?

เหยาจิ้นจือพูดกลั้วยิ้มว่าตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว ปีนั้นหลังจากท่านอาน้อยแต่งงานไปอยู่เมืองหลวง ตระกูลเหยาของพวกเรายังคิดแต่จะกวาดหิมะหน้าบ้านตัวเอง (อุปมาว่าสนใจเรื่องของตัวเอง ไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นให้มากเกินไป) ไม่ว่าเรื่องใดก็ทำตามกฎบ้านกฎของบรรพบุรุษอย่างเดียว นั่นผิดแล้ว เมื่อไปถึงเมืองเซิ่นจิ่ง ภายใต้เงื่อนไขที่ทางราชสำนักยอมรับในตัวท่านปู่ หากท่านเลือกรักษาตัวรอดอย่างมีหลักการต่อไป นั่นจึงจะถูกต้อง แต่หากคิดจะงัดข้อและแข่งเรื่องคนหนุนหลังกับพวกตระกูลสูงศักดิ์ ตระกูลขุนนางผู้มีคุณูปการเหล่านั้น ตระกูลเหยาก็อย่าหวังว่าจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคงอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ปล่อยให้คนอื่นคิดจะบีบหรือคลายได้ตามใจขอบ

เหยาจิ้นจือเอ่ยประโยคภาษาฉาน (นิกายหนึ่งของศาสนาพุทธหรือนิกายเซน) ที่มีชื่อเสียงว่า “เดินหาแหล่งกำเนิดของน้ำ นั่งมองเมฆาเปลี่ยนแปรผัน”

เหยาเจิ้นทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด

ตอนนั้นเหยาจิ้นจือยังอายุน้อย จึงอาศัยเรื่องที่หลี่ซีหลิงซึ่งแต่งงานกับอาหญิงน้อยนั่งคุกเข่าอยู่นอกศาลบรรพชนของตระกูลเหยาในวันที่หิมะตกหนักอ้างคำพูดของบิดามาเสนอความเห็นกับเหยาเจิ้นผู้เป็นปู่ ความหมายคร่าวๆ ก็คือว่าตระกูลเหยารักษากฎบรรพชนมานานหลายร้อยปี การแหกกฎครั้งนี้ คนทั้งตระกูลเหยารู้ว่าเป็นเพราะความจริงใจที่คนทั้งสองมีให้กัน แต่คนนอกไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เมืองเซิ่นจิ่งไม่สน ฮ่องเต้ก็ไม่สน กฎบรรพบุรุษที่บอกว่าหญิงสาวสกุลเหยามิอาจแต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์ ในเมื่อแหกกฎไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นกองทัพตระกูลเหยาที่จงรักภักดีกับตระกูลหลิวจะแหกกฎอีกครั้งหรือไม่?

ไม่มีครั้งแรกก็ไม่มีครั้งที่สอง แต่พอมีครั้งแรกแล้ว ครั้งที่สอง สาม สี่ก็จะตามมาติดๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นหลักปกติทั่วไป

ท่านปู่ หากข้าเหยาจิ้นจือเป็นคนนอกก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะสกุลเหยาอยู่ห่างไกลเกินไปเลยรู้สึกอัดอั้นตันใจหรือเปล่า

แม่ทัพผู้เฒ่าได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยโทสะ ทว่าในใจกลับมีความเศร้าเสียใจมากกว่า

เหยาจิ้นจือส่งชาถ้วยหนึ่งให้ท่านปู่ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ พูดกลั้วยิ้มว่า “แม่ทัพดื่มสุราช่วยให้เกิดความห้าวเหิม แต่เมื่อไปถึงเมืองเซิ่นจิ่ง ท่านปู่เป็นขุนนางก็ควรต้องดื่มชากระมัง”

เหยาเจิ้นรับถ้วยชามาด้วยความโมโห ยังคงกระดกดื่มรวดเดียวหมดเหมือนดื่มเหล้า

เหยาจิ้นจือคลี่ยิ้มหวานส่งให้

……

เงาร่างของนักพรตสองคนที่อยู่ริมแม่น้ำพลันเป็นเหมือนควันเขียวสองกลุ่มที่มีความเร็วเหนือกว่าควบม้ามากนัก

อาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ ผู้เฒ่ามีชาติกำเนิดจากลัทธิเต๋านอกรีตแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าอารามจินติ่ง อย่าเห็นว่าคำว่านอกรีตไม่น่าฟัง อันที่จริงแล้วถือว่าร้ายกาจอย่างมากแล้ว ลัทธิเต๋าที่นอกจากสำนักซึ่งมีตัวอักษรคำว่าจงแล้ว พวกที่มีคุณสมบัติจะเลื่อนเป็นสำนักนอกรีตได้นั้น ในหนึ่งทวีปไม่ถือว่ามีเยอะ

นักพรตเต๋าจากอารามจินติ่งชอบฝึกตนอยู่โลกมนุษย์ จำนวนมีไม่มากนัก ไม่ถึงหนึ่งร้อยคน แต่พอเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์กลับมักจะอำพรางชื่อแซ่ ไม่ชอบพึ่งพาสำนักและเหล่าบุรพาจารย์

เจ้าอารามจินติ่งคนปัจจุบันอายุมากถึงห้าร้อยปีแล้ว คือเซียนดินก่อกำเนิดตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง และมีชื่อเสียงอย่างมากในทางเหนือของใบถงทวีป

ชื่อทางโลกของผู้เฒ่าคืออิ่นเมี่ยวเฟิง ฉายาทางเต๋าคือนักพรตเป่าเจิน ซึ่งเอามาจากประโยคที่ว่า ‘ในชีวิตอมตะยาวนาน รักษาธรรมชาติของตนสืบไป’ (เป่าเจินมาจากคำว่ารักษาธรรมชาติของตน) เป็นคนของสายเจ้าอารามจินติ่ง

เส้ายวนหรานคือลูกศิษย์สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเขา หลังจากที่อิ่นเมี่ยวเฟิงลงจากเขามาอยู่ในโลกมนุษย์ก็บังเอิญได้พบเจอกับเด็กหนุ่มเส้ายวนหราน เขาใช้เวลาถึงสิบสี่ปีเต็มถึงจะตัดสินใจรับเขาเป็นลูกศิษย์ของตัวเอง ระหว่างนี้นักพรตเป่าเจินได้ตั้งการทดสอบใหญ่ไว้สามครั้ง เส้ายวนหรานล้วนผ่านได้ทุกครั้ง ทั้งจิตใจและพรสวรรค์ของเขาล้วนเป็นคนเหนือคนอย่างไม่ต้องสงสัย

เส้ายวนหรานติดตามนักพรตเป่าเจินไปที่อารามจินติ่งรอบหนึ่ง ได้เข้าพบเจ้าอาราม กราบภาพแขวนของอาจารย์ปู่ในห้องโถงใหญ่ ได้รับการบันทึกชื่อลงในทำเนียบของสำนัก นับจากนั้นก็กลายเป็นลูกศิษย์รุ่นที่ใช้อักษรคำว่าเฉียนของอารามจินติ่งอย่างเป็นทางการ สุดท้ายติดตามอาจารย์มาที่ราชวงศ์ต้าเฉวียน อาจารย์และศิษย์สองคนจับมือกันกลายมาเป็นข้ารับใช้ของสกุลหลิว รับผิดชอบจับตามองสภาพการณ์ทางชายแดนทิศใต้มาเป็นเวลานานถึงสิบปีแล้ว

อย่าเห็นว่าเส้ายวนหรานที่รูปร่างสะโอดสะองดุจต้นไม้หยกต้องลมมีโฉมหน้าเหมือนคนอายุยี่สิบ อันที่จริงเขาอายุสี่สิบปีแล้ว

สองอาจารย์และศิษย์ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร นักพรตเป่าเจินคิดว่าชีวิตนี้ตัวเองคงไม่มีความหวังจะได้เป็นโอสถทองแล้ว เส้ายวนหรานมีพรสวรรค์โดดเด่นกว่าเขา อายุน้อยแค่นี้ก็กลายเป็นขอบเขตประตูมังกรเหนือชมมหาสมุทรแล้ว มีพรสวรรค์ในการฝึกตนอย่างแท้จริง เจ้าอารามได้ยินว่าเส้ายวนหรานฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่ชายแดนต้าเฉวียนก็ถึงกับสั่งให้คนลงจากเขา นำอาวุธอาคมหนึ่งชิ้นของสำนักมามอบให้ อีกทั้งยังรับปากว่าขอแค่เส้ายวนหรานได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทองสำเร็จก็จะมอบสมบัติพิทักษ์สำนักที่สืบทอดกันมาเป็นพันปีให้เขา รอให้เขาเส้ายวนหรานกลับไปรับที่ภูเขาด้วยตัวเอง ถือเป็นของขวัญแสดงความยินดี

ดังนั้นอิ่นเมี่ยวเฟิงจึงหวังอาศัยรากฐานที่แน่นหนายิ่งใหญ่ของสกุลหลิวต้าเฉวียนมาช่วยให้เส้ายวนหรานพัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่เป็นเทพเซียนอย่างแท้จริง

ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำกว่าโอสถทองลงมาล้วนยังอยู่ในกรงขังเล็กใหญ่สองใบ

เกี่ยวกับเรื่องที่แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นเดินทางไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง เส้ายวนหรานอดทนมานานแล้ว ในที่สุดคืนนี้ทนไม่ไหวจึงต้องเปิดปากถาม “อาจารย์ สกุลเหยาจะข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ทั้งอย่างนี้จริงๆ หรือ?”

อิ่นเมี่ยวเฟิงถาม “ทำไม ผิดหวังมากนักหรือ? สกุลเหยาสามารถถอนตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย เหยาจิ้นจือสามารถมีชีวิตที่สงบสุขมั่นคงของนางต่อไป ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งก็อาจได้แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์สักตระกูลอย่างรวดเร็ว จวนตระกูลใหญ่ลึกดุจมหาสมุทร ยากที่จะได้พบหน้ากันอีก ดังนั้นเจ้าเลยไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่?”

เส้ายวนหรานส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ผิดหวังเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ก็แค่ต้องตั้งใจฝึกตนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น หากสกุลเหยาล่มสลาย ศิษย์ย่อมสามารถปกป้องเหยาจิ้นจือไว้ใต้ปีกของตัวเองได้ แต่ในเมื่อสกุลเหยาผ่านหายนะมาได้ก็หมายความว่าวาสนาระหว่างข้ากับเหยาจิ้นจือยังไม่มาถึง ไม่จำเป็นต้องฝืนชะตา วันหน้ายังมีโอกาส”

อิ่นเมี่ยวเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ภูเขาลึกย่อมมีต้นไม้พันปี แต่ในโลกมนุษย์น้อยนักที่จะมีคนอายุร้อยปี เหยาจิ้นจือไม่ใช่ผู้ฝึกตน วันนี้นางมีรูปโฉมงดงามเย้ายวน เจ้าจะหวั่นไหวก็เป็นเรื่องปกติ แต่อีกยี่สิบปีให้หลัง ต่อให้โชควาสนามาถึง แต่นางก็กลายเป็นหญิงแก่ดั่งไข่มุกเก่าเหลืองซีดแล้ว ถึงเวลานั้นหากเจ้าโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทพเซียนพสุธาท่านหนึ่งแล้ว ยังจะมีจิตหวั่นไหวกับสตรีธรรมดาที่ความงามร่วงโรยอีกหรือ?”

เส้ายวนหรานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ถึงตอนนั้นก่อนค่อยว่ากัน”

เส้ายวนหรานเงียบไปครู่หนึ่ง หูฟังเสียงลมที่พัดหวีดหวิว ถามว่า “อาจารย์ ครั้งนี้พวกเราไปเยือนจวนปี้โหยวกะทันหันด้วยเรื่องอะไร? เกี่ยวข้องกับกระบี่บินส่งข่าวจากเมืองหลวงที่ได้รับมาเมื่อวานหรือ?”

อิ่นเมี่ยวเฟิงยิ้มบาง “สรุปคือไม่ใช่เรื่องเล็กก็แล้วกัน”

เส้ายวนหรานยิ้มอย่างจนใจ ในเมื่ออาจารย์ไม่เต็มใจจะพูด เขาก็ได้แต่สะกดกลั้นความอยากรู้เอาไว้ในใจเท่านั้น

จวนปี้โหยวก็คือจวนของเทพวารีแม่น้ำหมายเหอท่านนั้น ซึ่งคล้ายคลึงกับจวนจินหวงของเทพภูเขาที่ถูกองค์ชายสามจับกุมตัวไปคุมขังก่อนหน้านี้

เพียงแต่ว่าจวนจินหวงไม่มีเจ้าของอยู่แล้ว ตอนนี้น่าจะกลายเป็นจุดศูนย์รวมของพวกภูตผีปีศาจแทนแล้ว

ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ โชคชะตาลำคลองและภูเขาของแคว้นเป่ยจิ้นถูกทำลายอย่างหนัก อีกไม่นานเจ้าเมืองเทพภูเขาจินหวงก็จะถูกคุมตัวส่งไปที่เมืองเซิ่นจิ่ง ส่วนศาลเทพวารีทะเลสาบซงหูที่ไม่ถูกกันมานานหลายร้อยปีก็ยิ่งพินาศเร็วกว่า พวกกากเดนที่เหลือของศาลเทพวารีมีเพียงพวกกุ้งหอยปูปลาตัวน้อยที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย หากไม่ทำให้พื้นที่แถบนั้นวุ่นวายก็ถือว่าเป่ยจิ้นโชคดีแล้ว

แต่เส้ายวนหรานก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหลุดหัวเราะพรืด ฮูหยินเทพภูเขาที่เพิ่งแต่งเข้าจวนเจ้าเมืองจินหวงกลับต้องกลายเป็นนักโทษในชั่วพริบตา สตรีผู้นี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ เดิมนึกว่าสามีภรรยาจะได้ครองรักกันไปหลายร้อยปี น่าอิจฉายิ่งกว่าคู่ยวนยางชายหญิงในโลกมนุษย์ ไหนเลยจะคิดว่าจุดจบจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมืองเซิ่นจิ่งจะจัดการกับนางอย่างไร

แต่เรื่องหยุมหยิมไม่สลักสำคัญเหล่านี้ก็เป็นแค่เรื่องสนุกน่าสนใจบนเส้นทางของการฝึกตนเท่านั้น

สิ่งที่สายตาของเส้ายวนหรานมองเห็นคือความอิสระเสรีบนมหามรรคาของเหล่าผู้อาวุโสเซียนดินทั้งหลาย สิ่งที่ในใจของเขาคิดถึงคือความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย มีชีวิตยืนยาวเคียงคู่ฟ้าดิน

ความห้าวเหิมเอ่อล้นอยู่ในใจของเส้ายวนหราน เห็นว่าบนชายฝั่งทั้งสองด้านของลำคลองหมายเหอไร้ผู้คนจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “อาจารย์ ข้าจะลองเลียนแบบเจียวหลงลงแม่น้ำดูบ้าง!”

นักพรตหนุ่มแห่งอารามจินติ่งกล่าวจบก็พลิ้วกายไปที่ผิวน้ำ เอาเท้าเหยียบลงไปเบื้องล่าง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าของเขาสัมผัสกับน้ำก็จะมีสะเก็ดน้ำลูกใหญ่ยักษ์กระจายออกมา เพียงแต่ว่าบนชุดเต๋าของเขากลับไม่เปียกน้ำสักหยด

อิ่นเมี่ยวเฟิงยังคงทะยานตัวอยู่ริมลำคลอง เห็นท่าทางของลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตัวเองแล้วก็ด่ากลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าเด็กบ้า วันหน้าเป็นเซียนพสุธาแล้วยังจะทำตัวแบบนี้อีกไหม?!”

……

เฉินผิงอันรู้แค่ระยะห่างและตำแหน่งคร่าวๆ ของศาลเทพวารีเท่านั้น แต่โชคดีที่แค่ล่องไปตามลำน้ำแล้วคอยจับตามองชายฝั่งทั้งสองข้างก็พอ

ตามคำบอกของเหยาเจิ้นและเหยาจิ้นจือ ตอนล่างของลำคลองซึ่งห่างจากจุดพักม้าไปสามร้อยลี้ก็คือที่ตั้งของศาลเทพวารีหมายเหอแล้ว ศาลแห่งนี้สร้างขึ้นบนภูเขาลูกเล็กไร้นาม เนินเขาราบเรียบ ทุกวันที่หนึ่งถึงสิบห้าของเดือนสามของทุกปี งานจุดธูปบูชาเทพเจ้าจะมีคนมารวมตัวกันมากถึงหลายร้อยคน คึกคักมากเป็นพิเศษ ขุนนางและชนชั้นสูงของเขตการปกครองที่อยู่ใกล้เคียงก็จะตั้งโรงทานแจกโจ๊กแจกน้ำชาระหว่างช่วงที่มีงานวัด

ตอนนั้นเหยาเจิ้นพูดทอดถอนใจหนึ่งประโยค บอกว่าการเปิดจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำคือธรณีประตูใหญ่แห่งที่หนึ่ง หากสามารถเลื่อนขั้นจวนให้เป็นตำหนักได้ นั่นถึงจะเรียกว่าบรรลุถึงระดับที่สูงส่งอย่างแท้จริง

ไม่ต่างจากการที่ตระกูลเซียนบนภูเขาได้รับคำว่าจง (สำนัก) ใส่เข้ามาในชื่อ

ส่วนเหยาจิ้นจือกลับพูดถึงเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งของศาลเทพวารี บอกว่าในห้องปีกข้างตั้งบูชาเทวรูปของเจ้าแม่หลิงก่านไว้องค์หนึ่ง ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องการประทานบุตรอย่างมากจนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทิศ แทบทุกวันจะต้องมีสตรีแต่งงานแล้วจากแดนไกลเดินทางมาเยือน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนจากตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยที่ตั้งครรภ์ได้ยาก เมื่อมาถึงจะมายังเรือนปีกข้างของศาลเทพวารีแห่งนี้ จุดธูปกราบไหว้ บริจาคเงินเล็กน้อยก็สามารถขอตุ๊กตาดินเหนียวตัวจิ๋วที่ตรงเอวผูกด้ายสีแดงจากหญิงชราที่เฝ้าศาลไปได้หนึ่งตัว เอาไปผูกไว้ที่ข้อมือ หากกลับบ้านเกิดแล้วมีลูกได้สมใจปรารถนาก็ไม่จำเป็นต้องเอากลับมาคืน แค่ห้ามทิ้งตุ๊กตาดินเหนียวที่เอากลับบ้าน ต้องเอาไปบูชา ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเจ้าแม่หลิงก่านอยู่ไกลๆ

แต่สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการเห็นอย่างแท้จริงคือศิลาหยกขาวขนาดใหญ่สองร้อยกว่าก้อนที่อยู่ด้านหน้าศาลเทพวารีแห่งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนจารึกบทกวีและคำแซ่ซ้องสรรเสริญที่คนในราชสำนักและนักประพันธ์เขียนให้แก่เทพวารีลำคลองหมายเหอหลังจากที่เทพวารีลำคลองหมายเหอช่วยขจัดภัยแล้งให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน

ไม่ถึงสองชั่วยาม เฉินผิงอันที่คอยเหลียวซ้ายแลขวา ‘ล่องลอย’ ไปตามกระแสน้ำอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ริมน้ำ

ม่านราตรีมืดดำ ประตูใหญ่ของศาลเทพวารีปิดสนิท แต่เฉินผิงอันยังคงมองเห็นแสงโคมไฟที่ส่องสว่างแจ่มจ้าจากที่แห่งนั้นได้ไกลๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินผิงอันมองเห็นศาลเทพวารีได้ในปราดเดียว

เฉินผิงอันพลันตระหนักได้ว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้ แม้เผยเฉียนและจูเหลี่ยนจะมองไม่เห็น แต่หากในศาลเทพวารีมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางอยู่เล่า? เขาจะมองเห็นแล้วคิดว่าตนเป็นพวกภูตผีปีศาจที่ออกอาละวาดยามค่ำคืนหรือไม่?

นี่ทำให้เฉินผิงอันเริ่มลังเล

หรือระยะทางสามร้อยลี้ที่ล่องลอยมานี้จะเสียเที่ยว? หากบวกกับระยะทางกลับด้วยก็ตั้งหกร้อยลี้เชียวนะ

แต่คิดไปคิดมา เฉินผิงอันที่ลอยตัวอยู่ใจกลางลำคลองหมายเหอก็ยังตัดสินใจว่าจะลองขยับเข้าไปใกล้ชายฝั่งดู ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือได้แค่มองประตูศาลเทพวารีไกลๆ แล้วถูกคนเฝ้าศาลหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้จับได้ จากนั้นถูกไล่ฆ่าเป็นระยะทางสามร้อยลี้ คงต้องขอให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยมช่วยออกหน้าอธิบายให้

และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู “จิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืน? เฉินผิงอัน เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่หรือ? หัดมีเหตุผลบ้างได้ไหม?”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ห่างไปประมาณสามสิบก้าว มีบัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่งนั่งยองอยู่บนผิวน้ำ สองมือของเขาขยุ้มเส้นผมกำใหญ่ราวกับกำลังจะกระชากหัวใครออกมาจากในลำคลอง

เขาก็คือจงขุย

เฉินผิงอันขยับมาอยู่ข้างกายจงขุย ถามว่า “นี่คือ?”

จงขุยเงยหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังแย่งจองพื้นที่กับคนอื่นที่ศาลเทพวารี คิดว่าพอฟ้าสว่างแล้วจะได้จุดธูปเป็นคนแรก ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้จิ่วเหนียงมองข้าแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาน้อยลงอีกนิด”

เฉินผิงอันชี้ไปยังเส้นผมที่อยู่ในมือจงขุย “ข้าหมายถึงเจ้านี่”

จงขุยเหลือกตามองบน “ผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมในน้ำน่ะสิ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีกแล้ว น่าจะถูกจิตหยินของเจ้าดึงดูดมา เมื่อกินเจ้าเข้าไปแล้ว รับรองว่าตบะของมันต้องเพิ่มขึ้นพรวดพราดแน่นอน ข้าเห็นมันโผล่หัวออกมา แต่หน้าตากลับไม่ได้เละเทะอัปลักษณ์เหมือนผีพรายทั่วไป กลับกันยังงดงามไม่น้อย ข้าเลยอยากจะมาปรึกษากับผีสาวตัวนี้ดูหน่อยว่ามันจะออกมาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”

เพราะจงขุยไม่ได้ปล่อยจิตหยินและจิตหยางออกจากกายเหมือนอย่างคืนนั้น ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั่วร่างจึงไหลออกมาอย่างกำเริบเสิบสาน คืนนี้เขาจงใจอำพรางลมปราณเหมือนยามปกติที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ดังนั้นเหล่าผีพรายใต้น้ำจึงไม่ได้ตัวสั่นเทิ้มรีบจมดิ่งลงไปในจุดที่ลึกที่สุดใต้น้ำเหมือนอย่างคืนนั้น หาไม่แล้วต่อให้จงขุยแค่เข้าใกล้ศาลเทพวารี เกรงว่าวิญญาณของพวกผีพรายในลำคลองหมายเหอก็คงแหลกสลายกันไปหมดแล้ว

ในชายแขนเสื้อสองข้างของจงขุยยังมีลมฤดูใบไม้ร่วงที่เยียบเย็น ซึ่งมันไม่มีทางสนใจว่าเจ้าจะเป็นผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมหรือผีร้ายที่สมควรโดนกรรมตามสนอง

เฉินผิงอันมองเส้นผมสีนิลของผีสาวที่อยู่ในมือจงขุย แล้วค่อยมองจงขุยที่กำลังชักคะเย่อกับผีสาว

เฉินผิงอันถามว่า “สนุกไหม?”

จงขุยพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองศาลเทพวารีที่อยู่ห่างไปไกล

จงขุยปล่อยเส้นผมในมือออก เงาหยินใต้น้ำเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบเผ่นแน่บหายวับไปทันที

จงขุยลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่จิตหยินของเฉินผิงอัน เอ่ยกลั้วยิ้ม “เพ่งมองให้ละเอียดก็จะรู้แล้วว่าสนุกหรือไม่สนุก”

ทันใดนั้นคนทั้งสองก็จมวืดลงไปใต้น้ำ

จิตหยินออกมาท่องเที่ยวตอนกลางคืน สรรพสิ่งในโลกที่มองเห็นล้วนสว่างจ้าราวกับเวลากลางวัน

ต่อให้อยู่ในน้ำ แต่เมื่อมองไป เส้นสายตาก็ยังไม่ถูกขัดขวาง ความสามารถในการมองเห็นเท่าเทียมกับตบะวิถีวรยุทธ์ของร่างจริงเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเคยเห็นภูตผีปีศาจมานักต่อนักแล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึก…สะอิดสะเอียน

ห่างออกไปไม่ไกลก็คือศาลเทพวารีและชาวบ้านที่ถือโคมไฟ

แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ รอบกายของเฉินผิงอันและจงขุยที่อยู่ใต้น้ำของลำคลองหมายเหอจึงมีผีพราย ‘ยืน’ เบียดเสียดกันอย่างแออัด พวกมันยืนนิ่งไม่ขยับ ส่วนใหญ่ล้วนสวมชุดสีขาวหิมะ เส้นผมที่ดำสนิทเป็นพิเศษแผ่คลุมปิดบังใบหน้า ทิ้งตัวยาวลงมาจนถึงช่วงเอว คล้ายหมวกคลุมหน้าที่เรียกว่างอบสตรีในห้องหอซึ่งคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้สำรวมตนมักจะสวมใส่ยามออกมาข้างนอก

ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองก็เห็นดวงตาสีเงินคู่หนึ่งที่ใหญ่ราวโคมไฟ ประกายสายตาที่เย็นชาผิดปกติกำลังจ้องเขม็งมาที่พวกเขาสองคน แต่กลับเห็นเรือนกายของมันไม่ชัดเจน

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันอย่างน้อยหนึ่งลี้ ทว่าดวงตาคู่นั้นยังใหญ่โตขนาดนี้ แค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าหากมองใกล้ๆ เจ้าสิ่งนี้จะมีขนาดใหญ่มโหฬารขนาดไหน

จงขุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มันและพวกผีพรายล้วนถูกเจ้าดึงดูดมา เพียงแต่ไม่กล้าจับเจ้ากิน หนึ่งเพราะถึงแม้จิตหยินตนนี้ของเจ้าเป็นแค่ตัวอ่อนที่มีแค่เค้าโครงรูปร่าง แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากจิตหยินทั่วไป พวกมันจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เพียงแต่เพราะอยากกินเจ้าจริงๆ จึงมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง อีกอย่างคือพวกมันมีเจตนาชั่วร้ายอย่างอื่น นั่นคือหวังให้เจ้าไปรบกวนปีศาจใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำตนนั้น เมื่อเกิดการเข่นฆ่ากัน พวกมันก็จะได้รับส่วนแบ่ง ผลคือเจ้ามาหยุดอยู่ที่ศาลเทพวารีแล้วไม่ขยับต่ออีก ปีศาจใหญ่ใต้น้ำตนนั้นคงโมโหเจ้าแทบคลั่งแล้ว แต่ก็ไม่กล้าวู่วาม ถึงอย่างไรจวนปี้โหยวของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอก็ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก”

ในเมื่อมาแล้วก็ควรอยู่ให้สบายใจ

เฉินผิงอันจึงกวาดตามองไปรอบด้าน คิดว่ากำลังชื่นชมทัศนียภาพ

จงขุยก็มองตามไปด้วย ก่อนจะตะโกนขึ้นว่า “แม่นางผีพรายที่หน้าตางดงามคนเมื่อครู่นี้ยังอยู่ไหม? หากเจ้าไม่อยากเป็นผีพรายอยู่ที่นี่ต่อไป ข้าสามารถตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ส่วนข้อที่ว่าจะได้ไปเกิดใหม่หรือไม่ ข้าไม่กล้ารับรอง แต่หากจะให้ช่วยเจ้าหลุดพ้นจากพันธนาการของปีศาจใหญ่ใต้น้ำตนนั้น ไม่ต้องคอยช่วยมันก่อกรรมทำชั่วอีก กลับไม่ยาก”

โคมไฟคู่นั้นขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายส่วน

เฉินผิงอันหรี่ตามองไปตามจิตใต้สำนึก

คล้ายกับเวลาไปตกปลาไหลในท้องนาตอนเป็นเด็ก เวลาที่เห็นหัวและตัวมันเลื้อยส่ายไปอย่างเชื่องช้า เขาก็จะหรี่ตาแบบนี้

ลองกะประมาณดูคร่าวๆ แล้ว ปีศาจใหญ่แห่งลำคลองหมายเหอตนนี้น่าจะใหญ่กว่างูเหลือมขาวดำสองตัวที่อยู่บนภูเขาฉีตุนอยู่มาก

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เทพวารีลำคลองหมายเหอไม่คิดจะจัดการมันเลยหรือ?”

จงขุยเอ่ยยิ้มๆ “ไม่จัดการ? ทำไมจะไม่จัดการเล่า การที่เจ้าแม่เทพวารีที่นิสัยฉุนเฉียวท่านนั้นไม่ชอบเผยกายก็เพราะพยายามจะสังหารปีศาจตนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้รากฐานของร่างทองได้รับความเสียหายไปแล้วถึงสามครั้ง แทบทุกๆ สามสิบสี่สิบปีจะต้องออกมาสั่งสอนปีศาจใหญ่ตนนี้ครั้งหนึ่ง ภายในหนึ่งร้อยปียังต้องเปิดฉากสังหารอย่างจริงจังหนึ่งครั้ง ครั้งที่เลวร้ายที่สุด ร่างทองในศาลเทพวารีของนางถึงกับเกิดรอยปริแตก จวนปี้โหยวก็จมน้ำไปเกินครึ่ง”

เฉินผิงอันยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม “ราชสำนักไม่ช่วยกันล้อมปราบปรามมันหรือ? หากราชสำนักต้าเฉวียนทำไม่ได้ แล้วสำนักศึกษาของพวกเจ้าไม่สนใจเลยหรือ?”

จงขุยสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “เรื่องราวในโลกไม่ง่ายดายหรอกนะ ปีศาจใหญ่ตนนี้สามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ นอกจากตบะของมันแล้วยังอาศัยมันสมองของมันที่มีมากด้วย อีกอย่างภาคกลางของใบถงทวีปใหญ่ขนาดนี้ สำนักต้าฝูมีคนน้อยนิดแค่นั้น และคนที่สามารถฆ่าปีศาจใหญ่ตนนี้ได้ก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก บัณฑิตในสำนักศึกษาต้องอบรมบ่มเพาะตัวเอง ทุกวันจะต้องอ่านตำราศึกษาหาความรู้ ยุ่งมากเลยล่ะ เดี๋ยวก็ต้องช่วงชิงตำแหน่งนักปราชญ์ ตำแหน่งวิญญูชน เป็นอริยะ คนที่สามารถเป็นอริยะใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ นอกจากจะต้องอ่านตำราแล้วยังมีเรื่องให้ทำอีกมาก อีกอย่างเดิมทีราชสำนักต้าเฉวียนก็มีวิญญูชนอยู่คนหนึ่งอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในใจกระจ่างแจ้ง

การเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัวคราวนั้น เขาได้เห็นชีวิตสารพัดรูปแบบในโลกมนุษย์มาแล้ว

แค่จงขุยบอกว่ามีวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษาเฝ้าพิทักษ์ราชวงศ์ต้าเฉวียน เฉินผิงอันขบคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง คิดดูแล้วการแข่งขันกันของแต่ละสำนักก็มีอยู่ในสำนักศึกษาเช่นกัน

แต่คำพูดอันดับถัดมาของจงขุยทำให้เฉินผิงอันได้เปิดโลกทัศน์ เขาชี้ไปที่โคมไฟคู่ที่อยู่ใต้น้ำแล้วกล่าวว่า “เจ้าลองถลึงตามองข้าอีกสักครั้งดูสิ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจ้าส่งไปเป็นของขวัญแสดงความยินดีแก่เทพวารีลำคลองหมายเหอ?”

ปีศาจใหญ่ตนนั้นค่อยๆ ถอยกลับไป

ผีพรายพวกนั้นก็แยกย้ายกันตามไปด้วย

เฉินผิงอันถาม “ของขวัญแสดงความยินดี?”

จงขุยพยักหน้ารับ “การที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็เพราะได้ข่าวว่าจวนปี้โหยวของลำคลองหมายเหอจะได้แหกกฎเลื่อนเป็นตำหนักปี้โหยวแล้ว การตัดสินใจนี้ของสกุลหลิวต้าเฉวียน สำนักศึกษาของพวกเราให้การยอมรับโดยปริยาย ซึ่งอันที่จริงราชวงศ์ต้าเฉวียนไม่มีคุณสมบัติจะแต่งตั้ง ‘ตำหนัก’ นี้ คาดว่านี่น่าจะเป็นฝีมือล้อมคอกหลังวัวหายของวิญญูชนในเมืองเซิ่นจิ่งผู้นั้น”

เทพวารีแห่งลำคลองท่านหนึ่งที่ได้รับคำว่า ‘สืบทอดระบบดั้งเดิม’ นั้นจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากทางราชสำนักเสียก่อน จากนั้นกษัตริย์จะออกราชโองการแต่งตั้ง กรมพิธีการมอบหนังสือทองป้ายหยกหรือสัญญาเงินตำราเหล็กให้ พอได้รับการบันทึกชื่อลงในผังรายชื่อของราชสำนักแล้วก็จะมีคุณสมบัติสร้างศาล สร้างร่างทองคำ ได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันยังต้องได้รับการยอมรับจากสำนักศึกษาในทวีปที่อยู่ใกล้เคียงด้วย ไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นได้แค่ศาลที่ถูกต้องของแคว้น แต่กลับเป็นศาลเถื่อนของในทวีป ศาลเล็กๆ ของเทพภูเขาในท้องถิ่นบางแห่งอาจไม่ต้องให้ความสนใจก็ได้ แต่หากเป็นศาลเทพวารีขนาดใหญ่ จะถูกมองว่ามีมรรคายิ่งใหญ่แต่ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะต้องพยายามขอร้องให้ฮ่องเต้ขอตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งมาจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ เอามาตั้งบูชาเพื่อให้ได้รับควันธูปร่วมกัน

ส่วนข้อที่ว่าตำราลัทธิขงจื๊อนั้นเป็นผลงานของอริยะท่านไหนจะถูกกำหนดตามที่เห็นสมควร โดยทั่วไปแล้วสำนักศึกษาจะตัดสินใจให้โดยดูตามสถานการณ์ แต่ก็มีเทพวารีส่วนน้อยที่นิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างหรือมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าต้องการตำราเล่มไหนของอริยะท่านใด

แต่สถานการณ์เช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ในใบถงทวีปก็ยิ่งหายาก พันปีถึงจะพานพบสักครั้ง เทพวารีที่กล้าแข็งข้อกับสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาลจะมีมากได้อย่างไร?

จงขุยไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เฉินผิงอัน การที่เขาออกจากเมืองหูเอ๋อร์ชั่วคราว มาเข้าร่วมเรื่องครึกครื้นในครั้งนี้ก็เพราะเจ้าแม่เทพวารีที่นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดเป็นที่เลื่องลือคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหลต่อสำนักศึกษาต้าฝูและสกุลหลิวต้าเฉวียนกับการที่จวนของตัวเองจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนัก กลับกันยังป่าวประกาศว่านางต้องการตำราของอริยะเล่มหนึ่งมาวางไว้ในตำหนักเทพวารี หาไม่แล้วนางก็ยอมแขวนป้าย ‘จวนปี้โหยว’ ต่อไป

ซึ่งทุกวันนี้ตำราอริยะปราญ์เล่มนั้นกลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘อริยะปราชญ์’ เลยแม้แต่นิดเดียว

นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ทำให้สกุลหลิวต้าเฉวียนรวดร้าวมากที่สุด

เพราะตำราเล่มนั้นเขียนโดยเหวินเซิ่งในอดีต

พอจงขุยได้ยินว่ามีเรื่องวุ่นวายนี้เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าตนต้องเดินทางมาเยือนจวนปี้โหยวให้ได้

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับเฉินผิงอันที่ปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางยามค่ำคืนก็เท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version