Skip to content

Sword of Coming 344

บทที่ 344 ปฏิบัติตามความประสงค์

เฉินผิงอันมีโทสะ ในใจคิดว่าไม่ควรทำอะไรตามใจตัวเองเช่นนี้ พอความคิดบังเกิดขึ้นก็เหมือนควบม้าโดยไม่ดึงรั้งบังเหียน การเดินทางทางน้ำเป็นระยะทางสามร้อยลี้ในครั้งนี้ทำให้พวกผีน้ำปีศาจน้ำเกิดความละโมบ หากเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังอยู่กับร่างที่มีเนื้อหนังมังสา ก่อนหน้านี้ตอนเดินบนน้ำเขาก็ลองฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวซึ่งเป็นไปอย่างติดขัด ลองออกหมัดไปสองสามหมัดก็ยิ่งอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่าจิตหยินเกิดมาก็ไม่เชี่ยวชาญวิชาหมัด พอคิดถึงดวงตาดุจโคมไฟใต้น้ำคู่นั้น เฉินผิงอันก็อดรู้สึกหวาดกลัวในภายหลังไม่ได้

บางทีจงขุยอาจจะมองความคิดของเฉินผิงอันออก ถึงกล่าวว่า “เดิมทีจิตหยินก็ชื่นชอบท่องเที่ยวไปในฟ้าดินยามค่ำคืนอยู่แล้ว เจ้าปล่อยจิตออกจากร่างครั้งแรก จิตหยินที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่เลือกไปไหนก็ไม่ไป ดันเลือกมาที่ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอแห่งนี้ ตามคำกล่าวของผู้ฝึกลมปราณ นี่อาจจะเป็นโชควาสนาที่ได้แค่พบเจอแต่ไม่อาจครอบครองแล้ว แต่กระนั้นก็ยังต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง โชควาสนามาพร้อมกับหายนะเสมอ อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”

เฉินผิงอันถาม “คนเฝ้าศาลเทพวารีที่อยู่ข้างในไม่ใช่ผู้ฝึกตนหรือ? เขาสามารถมองเห็นจิตหยินของข้าได้ไหม?”

จงขุยพูดเสียงขุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ด้วยนิสัยของเจ้าแม่ลำคลองหมายเหอผู้นั้น ทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องออกมาต่อยตีกับปีศาจน้ำ อีกทั้งในลำคลองยังมีวิญญาณพยาบาทมากมายที่ถูกปีศาจน้ำบงการ เจ้าคิดว่าศาลเทพวารีที่วางร่างทองของนางไว้จะไม่มียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์สักคนเลยหรือ? ไม่อย่างนั้นก็คงถูกปีศาจน้ำที่แต่งตั้งตัวเองเป็น ‘หวงเซียนจวิน’ ผู้นั้นเขมือบกลืนลงท้องไปพร้อมกันทั้งศาลทั้งภูเขาแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างอับอาย “ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ”

ในที่สุดจงขุยก็บอกข่าวดีให้ฟัง “แต่เจ้าวางใจเถอะ จิตหยินตนนี้ของเจ้าพร่าเลือนอย่างมาก ขอแค่ไม่เข้าไปจุดธูปในศาล คนของศาลเทพวารีก็ไม่มีใครมองออก”

จงขุยขมวดคิ้ว เดินวนรอบกายเฉินผิงอันแล้วจุ๊ปากพูด “เฉินผิงอัน เจ้าเพิ่งเจอกับหายนะใหญ่มาสองครั้งใช่ไหม? ครั้งหนึ่งคือเมื่อนานมากแล้ว ถูกทำร้ายไปถึงชะตาชีวิต อีกครั้งหนึ่งคือเมื่อไม่กี่ปีมานี้ สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกทำลาย?”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ เขาที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนระมัดระวังตัวมาโดยตลอดกลับบอกความจริงโดยไม่คิดปิดบังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ประมาณนั้นแหละ”

ที่เขายอมบอกก็เพราะยศวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝูของคนผู้นี้ และยิ่งเพื่อ ‘อาจารย์ฉี’ ที่จงขุยเอ่ยเรียก

จงขุยลูบคลำปลายคางตัวเอง ตกอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด

เฉินผิงอันถาม “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”

จงขุยยังคงมองประเมินเฉินผิงอัน ก่อนจะพูดเนิบช้า “ต้นไม้มีวงปีให้สังเกตอายุ และอันที่จริงแล้วจิตวิญญาณของคนก็แทบไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าร่างกายของมนุษย์คือฟ้าดินขนาดเล็ก ฟ้าดินคือร่างกายมนุษย์ขนาดใหญ่ ผิวหนังของคนห่อหุ้มเลือดเนื้อเส้นเอ็นและกระดูก ก็เหมือนกับว่ามีกำแพงแห่งหนึ่งตั้งกั้นขวางระหว่างสองสิ่ง”

เห็นสีหน้ามึนงงของเฉินผิงอัน จงขุยก็ยกตัวอย่างให้ฟัง “ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้ามืดสลัว ผู้ฝึกตนคิดจะมองกันและกัน ต่อให้เป็นคนที่เชี่ยวชาญวิชาอภินิหารมองแม่น้ำและภูเขาผ่านฝ่ามือ ต่อให้เจ้ามีตบะเป็นเซียนเหรินขอบเขตสิบสองก็ยังทำไม่ได้ แต่เมื่อจิตหยินของเจ้าปรากฎตัว จิตวิญญาณเหมือนก้อนหินที่ผุดออกมาจากน้ำ ซึ่งจะยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน นั่นจึงทำให้ข้าสามารถมองเห็นเบาะแสต่างๆ ได้มากมาย”

จงขุยพลันยกยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้าที่เป็นช่างซ่อมปะชุนคงต้องลำบากหน่อยแล้ว”

ที่แตกหักไปคือเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต ทำให้เฉินผิงอันไม่อาจคว้าโชควาสนาใดๆ ในถ้ำสวรรค์หลีจูไว้ได้ ที่ขาดสะบั้นไปคือสะพานแห่งความเป็นอมตะ รอบทิศของเรือนกายล้วนมีแต่รูโหว่ จะแดดหรือลมฝนล้วนรั่วทะลุเข้ามา เขาจึงจำเป็นต้องฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาเพื่อต่อชีวิต

จงขุยบอกว่าเฉินผิงอันคือช่างซ่อมปะชุนที่เหนื่อยยากนั้น เรียกได้ว่าพูดจี้จุดในคำเดียว

ก่อนหน้านี้โจวจวี่นักปราชญ์แห่งแจกันสมบัติทวีปแค่ท่องบทกลอนก็สามารถทำให้ศัตรูตกอยู่ท่ามกลางพายุลมกรด พริบตาเดียวร่างก็เหลือเพียงโครงกระดูกขาวโพลน ภายหลังจงขุยวิญญูชนแห่งใบถงทวีปก็ยิ่งลึกล้ำเกินจะหยั่ง เวลานี้เฉินผิงอันยิ่งมีความรู้สึกที่ลึกลับซับซ้อนต่อสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมากขึ้น

เฉินผิงอันถาม “เจ้าจะเข้าไปจุดธูปในศาลหรือ? วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาทำเช่นนี้จะไม่มีปัญหาหรือไร?”

จงขุยหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “หากพวกอาจารย์คร่ำครึบางคนของสำนักศึกษารู้เข้าก็อาจจะถูกวิจารณ์อยู่บ้าง แต่ขอแค่ไม่ทำลายภาพลักษณ์อันสุภาพสง่างาม บัณฑิตก็ไม่ได้ยึดถือกรอบตายตัวอย่างที่เจ้าคิด”

จงขุยร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะคลี่ยิ้มมีเลศนัย “ดีนักนะ อาศัยบารมีของเจ้า ข้าเลยได้มีโอกาสเห็นนิสัยขี้หงุดหงิดของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอกับตาตัวเองแล้ว”

ริมฝีปากของจงขุยขมุบขมิบเบาๆ กระแสน้ำของลำคลองหมายเหอที่อยู่รอบกายคนทั้งสองเหมือนพบเจอกับเสาหินกลางน้ำจึงอ้อมวนผ่านไป ขณะเดียวกันก็มีประกายแสงอ่อนจางผุดขึ้นมาเป็นระลอกคล้ายร่มคันใหญ่ที่กางอยู่เหนือศีรษะ บดบังเรือนกายของคนทั้งสองเอาไว้

จากนั้นจงขุยก็จับแขนเฉินผิงอัน “ไปดูเรื่องสนุกกับข้า”

ลำคลองหมายเหอเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว ไหลซัดสาดขึ้นๆ ลงๆ คล้ายกับมีน้ำสายหนึ่งกระแทกลงกลางลำคลองแล้วระเบิดเสียงดังอื้ออึง

ห่างจากศาลเทพวารีไปสามสี่ลี้ เบื้องใต้ของกระแสน้ำช่วงหนึ่งได้กลายมาเป็นสนามรบ

เฉินผิงอันมองไปไกลๆ ก็เห็นว่ามีเรือนกายเล็กจ้อยเรือนกายหนึ่ง ในมือถือวัตถุบางอย่าง ทุกครั้งที่โบกมือจะต้องมีเส้นโค้งสีเงินที่ส่องประกายเจิดจ้าไหลออกมาจากในน้ำ เนื่องจากความเร็วนั้นมากเกินไป เส้นสีเงินจึงทับซ้อนสะสมกันอย่างต่อเนื่อง คล้ายตัวอักษรแบบหวัดไร้ระเบียบที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองของการตวัดพู่กัน

เรือนกายนั้นส่องประกายแสงสีทองอ่อนจาง เมื่ออยู่เบื้องใต้ลำคลองที่มืดมิดก็คล้ายโคมไฟดวงหนึ่งที่ถูกจุดไฟ จึงเด่นชัดสะดุดตาเป็นพิเศษ

เรือนกายของหญิงสาวเตี้ยมาก ดูเล็กกะทัดรัดอย่างเห็นได้ชัด รูปโฉมยังอ่อนเยาว์ อันที่จริงหน้าตาของนางธรรมดา แถมใบหน้ายังกลมดิกเหมือนตุ๊กตา เพียงแต่ประกายสีทองที่ฉาบทอไปทั่วร่างและสายตาที่คมกริบทำให้นางเปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม

ตรงเอวของนางห้อยดาบยาว ด้านหลังสะพายกระบี่เล่มยาว ในมือยังถือทวนเหล็กที่ยาวมากอีกหนึ่งอัน ยาวจนเกือบจะเท่าความสูงของนางสองคน

ฝักดาบเป็นสีม่วงเข้ม มีเส้นด้ายสีทองรัดพันไว้เกินครึ่ง

จุดที่ฝักกระบี่และด้ามกระบี่ตัดกันมีไอหมอกห้าสีระเหยขึ้นมา เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง คิดดูแล้วกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักเล่มนั้นต้องมีระดับขั้นที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

นางทะยานอยู่ในน้ำเหมือนสายลม ไร้อุปสรรคกีดขวาง รวดเร็วดุจสายฟ้า ทวนยาวในมือกรีดแทงเข้าใส่เรือนกายมหึมาของปีศาจใหญ่ในน้ำตนนั้นอยู่หลายครั้ง เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วทำให้น้ำในน้ำแม่หมายเหออบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

มีครั้งหนึ่งนางถูกศีรษะของปีศาจน้ำชนจนร่างกระแทกลงไปใต้ท้องน้ำ เกิดเสียงครืนครั่นดังเป็นระลอก แต่เพียงชั่วพริบตาร่างของนางก็ดีดผลุงขึ้นมา จ้วงทวนแทงเข้าที่ใต้คางของปีศาจใหญ่ตนนั้น ปีศาจร้องโหยหวนเสียงดังสะเทือนแผ่นฟ้า ดิ้นพราดๆ เป็นเหตุให้ลำคลองหมายเหอเริ่มมีคลื่นยักษ์โถมตัวขึ้นมา แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ตรงศาลเทพวารีก็ยังสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ เพียงแต่ไม่มีใครหวาดกลัว แต่ละคนเขย่งปลายเท้ายืดคอพยายามมองไปให้ไกล เห็นเป็นเพียงเรื่องแปลกใหม่เรื่องหนึ่งเท่านั้น

นอกจากสตรีร่างเล็กเตี้ยจะลงมืออย่างดุดันอำมหิตแล้ว แม่นางชุดดำผู้นี้ยังชอบด่าทอคนอื่นขณะต่อสู้อีกด้วย

“เจ้าเดรัจฉานเจ้ามันโอหังใหญ่แล้ว! ข้าไม่ไปหาเรื่องเจ้าก็ถือว่าหลุมศพบรรพบุรุษของเจ้ามีควันขึ้นแล้ว…ช่างเถอะ เดิมทีเจ้าก็เป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มีหลุมศพบรรพบุรุษอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้ากล้ามาปรากฏตัวอยู่หน้าศาลของข้า ข้าก็จะต้องให้เจ้าทิ้งเนื้อหลายสิบจินไว้ที่นี่!”

“อย่าคิดว่าเจ้ามีคนรู้จักอยู่ในราชสำนัก ทุกปีคอยยัดเงินให้เมืองเซิ่นจิ่งเจ็ดแสนแปดแสนตำลึงเงิน คิดอยากจะถอดถอนสถานะเจ้าเมืองของจวนปี้โหรวข้าทิ้งมาโดยตลอด แล้วข้าจะต้องกลัวเจ้า ต่อให้วันใดวันหนึ่งศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอกลายเป็นศาลเถื่อนของต้าเฉวียน ร่างทองของข้าถูกทำลาย แล้วจะอย่างไร? บอกแล้วว่าจะสับเจ้าเป็นสิบแปดชิ้นก็ไม่มีทางสับเจ้าแค่สิบเจ็ดชิ้นแน่นอน!”

“เจ้าเดรัจฉาน มาๆๆ มากินทวนข้าอีกรอบ! กลับไปแล้วข้าจะให้คนที่จวนปรุงปลาไหลผัดฉ่าให้สักถ้วย รสชาติคงเยี่ยมยอดยิ่งนัก!”

เรือนกายของปีศาจใหญ่โตมโหฬาร เป็นสีทองอร่าม ทั้งตัวไม่มีเกล็ดสักชิ้น ความเรียบลื่นนั้นทำให้คนสะอิดสะเอียน

เดิมทีมันคือปีศาจใหญ่ในทะเลสาบที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของต้าเฉวียน อยู่ในโลกมานานจนกลายเป็นปีศาจ เพียงแต่ว่าการฝึกตนเป็นไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าจะมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าหล่นมาอยู่ในมือนานแล้ว ทว่าหลังจากหมั่นฝึกตนอย่างมุมานะมาหกร้อยกว่าปีก็ยังคงถูกกักไว้นอกธรณีประตูขอบเขตประตูมังกรนานถึงร้อยกว่าปี ภายหลังมียอดฝีมือที่เดินทางผ่านทะเลสาบให้คำชี้แนะ มันจึงออกจากทะเลสาบซึ่งเป็นรังเดิม ขึ้นมาอยู่บนฝั่ง ผ่านความยากลำบากนานัปการ ก่อนจะเริ่มลงน้ำจากแหล่งกำเนิดของลำคลองหมายเหอ เลียนแบบการลงน้ำของเจียวหลง ฝ่าทะลุคอขวดมาได้จนได้เลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกร หากมันสามารถว่ายลงน้ำอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงจุดที่ลำคลองและแม่น้ำบรรจบกัน จากนั้นก็ไหลลงสู่มหาสมุทร ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นโอสถทอง

คิดไม่ถึงว่าตอนที่ผ่านศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ ผู้หญิงบ้าคนนั้นจะชิงชังที่มันฆ่าคนธรรมดาจำนวนหนึ่งไป จึงบอกว่าจะทำหน้าที่ทวงคืนความยุติธรรมแทนสวรรค์ ถึงขั้นสู้ตายกับมันอย่างไม่เสียดายชีวิต ตอนนั้นมันเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกร พลังอำนาจกำลังโชติช่วงรุ่งเรือง จึงไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา ทะเลสาบอันเป็นรังเดิมของมันก็มีเทพวารีเฝ้าพิทักษ์ แต่เทพวารีตนนั้นเป็นได้แค่แมลงที่ต้องส่งเสียงขานรับ (เปรียบคนที่ไม่มีความคิดเห็นอะไร เอาแต่เออออไปกับคนอื่น) มัน คอยค้อมเอวคุกเข่าให้มัน ทุกปียังต้องส่งของบรรณาการมาให้มัน

ทั้งสองฝ่ายไล่ฆ่ากันจากลำคลองช่วงที่อยู่นอกศาลเทพวารีขึ้นมาบนลำคลองตอนบนอย่างต่อเนื่อง การเข่นฆ่าสังหารครั้งนั้นฟ้าสะท้านดินสะเทือน สุดท้ายชายฝั่งสองด้านในระยะสองร้อยลี้ก็ท่วมเอ่อไปด้วยน้ำ โชคดีที่พื้นที่ช่วงนั้นเป็นป่ารกร้างจึงไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปด้วย

มันอยู่ในน้ำแต่กลับเอาชนะเทพวารีลำคลองหมายเหอผู้นั้นไม่ได้ จึงได้แต่ถอยกลับไปที่ลำคลองหมายเหอตอนบน ใช้เวลาพักฟื้นนานหลายสิบปี หลังจากที่ขอบเขตประตูมังกรมั่นคงดีแล้วก็สามารถจำแลงกายเป็นคน มันขึ้นฝั่งด้วยรูปลักษณ์ของชายฉกรรจ์ พกพาเอาสมบัติชิ้นใหญ่ไปขอขมาถึงจวนปี้โหรวด้วยตัวเอง ไหนเลยจะรู้ว่าผู้หญิงบ้าสมองมีปัญหาผู้นั้นจะไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงไม้ลงมือกับมัน คราวนี้นิสัยดุร้ายของมันก็ถูกกระตุ้นแล้วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างปล่อยสมบัติอาคมออกมาจนหมดสิ้น เทียบกับการต่อสู้เนื่องจากพบเจอกันบนลำคลองโดยบังเอิญในครั้งแรกแล้วยังรุนแรงดุเดือดยิ่งกว่า จวนปี้โหรวจมน้ำหายไปเกินครึ่ง เกิดความเสียหายนับไม่ถ้วน ร่างทองของเทพลำคลองถึงกับเกิดรอยปริร้าว มันเองก็ยิ่งไม่ดีไปกว่ากัน สมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งเสียหายและสมบัติสำคัญสยบวารีชิ้นหนึ่งถูกทำลาย ต้องถอยร่นไปพร้อมกับความพ่ายแพ้อเนจอนาถ หลังจากนั้นสองร้อยปีที่ผ่านมานี้ มันก็มองศึกกับจวนปี้โหรวเป็นความอัปยศที่ใหญ่สุดในชีวิต ต่อให้หลังจากวางแผนมาแล้วหลายรูปแบบ ตบะเพิ่มพูนจนขยับเข้าไปใกล้ธรณีประตูโอสถทอง แต่ก็ยังไม่ยอมจำแลงกายเป็นคนอีก มันสาบานกับตัวเองว่ามีเพียงวันที่ร่างทองของหญิงบ้าผู้นี้พังทลาย ศาลของนางถูกทอดทิ้งเท่านั้น มันถึงจะเดินอาดๆ ขึ้นฝั่ง

ส่วนเศษชิ้นส่วนร่างทองของอีกฝ่ายก็ย่อมต้องกลายมาเป็นอาหารในจานของมัน ไม่แน่ว่าไม่ต้องลงแม่น้ำสายใหญ่หรือลงมหาสมุทร มันก็อาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทองแล้ว!

เพียงแต่ว่าการต่อสู้ในน้ำอย่างจริงจัง มันกลับไม่เคยได้เปรียบคู่ต่อสู้อย่างเทพวารีลำคลองหมายเหอเลยสักครั้ง

รู้จักกันมาสองร้อยกว่าปี ดูเหมือนสตรีผู้นั้นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะขัดขวางมันไว้ที่ตอนบนของลำคลองหมายเหอ แล้วก็เพราะว่าทำเรื่องโง่ๆ ที่ทำร้ายคนอื่นอีกทั้งยังส่งผลเสียต่อตัวเองนี้ ต่อให้แต่ละปีนางได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์มากมาย แต่การสร้างร่างทองของนางก็ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้าอยู่ดี

และไม่ต้องสงสัยเลยว่าคืนนี้มันต้องพ่ายแพ้อีกครั้ง มันจึงรีบถอยกลับขึ้นไปยังลำคลองตอนบนอย่างรวดเร็ว

สตรีร่างเล็กเตี้ยเห็นว่ามันตัดสินใจแล้วว่าหากตนไล่ฆ่าไปอย่างไม่ยอมเลิกรา มันก็จะขึ้นฝั่งไปทำร้ายชาวบ้าน นางถึงได้หยุดมืออย่างขุ่นเคือง

ขณะที่ศึกใหญ่ดำเนินอยู่ ทวนเหล็กอันนั้นได้จมลงไปยังใต้น้ำนานแล้ว นางเก็บดาบและกระบี่เข้าฝัก พอหาอาวุธที่เหมาะมือที่สุดชิ้นนั้นเจอแล้วก็แผดเสียงด่าทอ ก่อนจะขยับร่างทะยานวูบหายเข้าไปในจวนปี้โหรว

จงขุยกับเฉินผิงอันถึงได้ปรากฏตัว

คนทั้งสองขึ้นฝั่งมุ่งหน้าไปยังศาลเทพวารี

ชาวบ้านที่มารอประตูเปิดเพื่อจะได้เข้าไปจุดธูปไหว้พระมีมากเกือบพันคน ตรงตีนเขามีทั้งลาและรถม้าจอดเรียงรายเต็มไปหมด เป็นเหตุให้นอกศาลมีร้านแผงลอยขายอาหารมื้อดึกอยู่มากมาย บวกกับเมื่อครู่นี้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในลำคลองตอนบน ทุกคนจึงกำลังตื่นเต้นฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด

จงขุยไปดูป้ายศิลาหยกขาวซึ่งมีมากมายดุจหน่อไม้อ่อนที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตกเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำขอฝนที่ฮ่องเต้และขุนนางท้องถิ่นของต้าเฉวียนแต่ละยุคสมัยมาเขียนไว้ ในนั้นยังมีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกับหนังสือยอมรับผิด รวมไปถึงคำขอบคุณหลังจากที่การขอฝนประสบความสำเร็จ ป้ายศิลาเหล่านี้เฉินผิงอันกวาดตามองไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจงขุยไปหยุดอยู่ด้านหน้าสุดของป่าป้ายศิลานานแล้ว เขานั่งยองอยู่บนพื้น มองป้ายหินเก่าแก่โบราณก้อนหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก บนป้ายเหลือตัวอักษรแค่ไม่กี่สิบตัว เนื้อหาขาดๆ หายๆ เพราะตัวอักษรเสียหายไปเยอะมาก

เฉินผิงอันมาหยุดอยู่ข้างกายจงขุย พบว่านั่นเป็นกลอนบทหนึ่ง แต่ไม่ได้ลงนามไว้ว่าใครเป็นผู้เขียน น่าจะเป็นเพราะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ถูกแดดส่อง ถูกฝนชะ ถูกลมพัด จึงเหลือตัวอักษรอยู่แค่ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น

ฟ้าดินไม่ได้ยิน ตะวันจันทรามองไม่เห็น…ภูเขาลำคลองร่วงโรย ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา คนมีความสุขอยู่บนชั้นฟ้าบอกเล่าความทุกข์เวทนาแก่คนอื่น เจ้าแห่งสายฟ้า ควบคุมสายอสนี พุ่งทะยานไปในฟ้าดิน ลมเมฆกลืนกิน…เชี่ยวชาญการต่อสู้ น้ำขวดทองหนึ่งหยดบนชั้นนภา เส้นใยเต็มฟ้าดุจเครื่องทอผ้า…ปัดเป่าไอร้อนใต้หล้า

จงขุยถาม “มองอะไรออกบ้างไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่รู้จักตัวอักษรพวกนี้เท่านั้น”

จงขุยทอดถอนใจ “อาจารย์เคยกล่าวว่า ตัวอักษรที่บันทึกไว้ในศิลาก้อนนี้ แท้จริงแล้วคือบทท่องในการบำเพ็ญตนของลัทธิเต๋าบทหนึ่งที่หายสาบสูญไปเนิ่นนาน”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเจ้าดูออกน่ะสิ?”

จงขุยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แค่รู้จักตัวอักษรพวกนี้เท่านั้น”

เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ

คนทั้งสองลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูใหญ่ของศาล มากคนก็มากความ จงขุยจึงอดบ่นไม่ได้ “เพื่อเจ้าแล้ว ข้าคงไม่ได้จุดดอกแรกแล้วสินะ?”

แต่ไม่นานจงขุยก็พูดขึ้นอีกอย่างจนใจว่า “ตรงประตูหลังต้องมีขุนนางหรือไม่ก็ชนชั้นสูงมารออยู่แล้วเป็นแน่ ประตูบานเล็กแห่งนั้นจะเปิดเร็วกว่าประตูใหญ่ทางฝั่งนี้หนึ่งถึงสองเค่อ ดังนั้นพวกชาวบ้านที่รออยู่นอกศาลพวกนี้ ต่อให้เจ้ารอหลายวัน หลายปี ขอแค่ไม่ไปข้างหลัง ให้คนเฝ้าศาลเปิดประตูหลังให้ด้วยตัวเอง ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ไม่มีทางได้จุดธูปดอกแรก”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างลังเล “ที่บ้านเกิดของข้ามีภาษาธรรมสี่คำบอกว่า ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกาย”

จงขุยอืมรับหนึ่งคำ “คำกล่าวนี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ศาสนาพุทธยึดมั่นในศรัทธาที่เที่ยงตรง นั่นคือต้องการให้คนมีจิตศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงธรรม เกี่ยวกับเรื่องธูปดอกแรกนี้ อันที่จริงผู้แสวงบุญหลายคนบนโลกต่างก็เข้าใจผิด จุดธูปแรก ไม่ใช่ธูปดอกแรกที่ปักลงไปในกระถางธูปยามที่เข้าไปในศาล ก็เหมือนที่เจ้าพูดว่า ‘ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย’ นั่นแหละ ธูปดอกแรกก็เป็นแค่ธูปดอกแรกที่มาจากความตั้งใจจริงของคนจุดเอง ธูปดอกแรกในชีวิต ธูปดอกแรกของปีนี้ ธูปดอกแรกของเดือนนี้ ล้วนเป็นธูปดอกแรกทั้งสิ้น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

จงขุยยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่าการได้เป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาง่ายนักหรือ? ต้องมีความรู้กว้างขวางถึงจะได้”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าแต่งกลอนให้ข้าสักบทสิ? หัวข้อก็คือความรู้สึกหลังจากอ่านบทขอฝนดีไหม? ข้าเห็นว่าในผลงานของพวกนักเขียนมักจะเป็นอย่างนี้ เจ้าไม่ลองดูบ้างล่ะ?”

จงขุยเงยหน้ามองสีพระจันทร์ “คืนนี้เหมาะให้ขึ้นเขาลงน้ำ เหมาะให้ไปเยี่ยมเยือน เหมาะให้ใกล้ชิดองค์เทพ มีเพียงอย่างเดียวคือไม่เหมาะให้ร่ายบทกลอน”

เฉินผิงอันหัวเราะหึหึอีกครั้ง

จงขุยอับอายจนพานเป็นโกรธ “เฉินผิงอัน เจ้าทำตัวแบบนี้น่าเบื่อนะรู้ไหม”

แล้วจงขุยก็หัวเราะ เอ่ยถามว่า “อยากไปเที่ยวชมจวนปี้โหรวกับข้าสักครั้งไหม นั่นคือตำหนักเทพวารีในอนาคตเชียวนะ ต่อให้เป็นทั่วทั้งใบถงทวีปก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ หากโชคดีเจ้าอาจจะยังได้เจอเจ้าแม่เทพวารีของลำคลองหมายเหอผู้นั้นด้วย…”

เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อครู่ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ?”

จงขุยตบหน้าผากตัวเอง เพียงแต่การตบครั้งนี้ทำให้สมองเขามีประกายแสงเปล่งวาบ “วาสนา! เทพหยินของเจ้าออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนครั้งนี้ก็คือวาสนา ไม่แน่ว่าอาจอยู่ที่จวนปี้โหยวหรือไม่ก็บนร่างของนาง!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถอะ ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว”

จงขุยทำหน้าเหมือนเห็นผี บนโลกยังมีคนที่ไม่เห็นโชควาสนาอยู่ในสายตาแบบนี้ด้วยหรือ?

มีเสียงอึกทึกดังมาจากทางตีนเขา จงขุยจึงลากเฉินผิงอันไปด้วยกัน “ปัญหามาแล้ว ไปดูกันเถอะ”

หญิงชราที่ดูแลศาลแห่งนี้กับผู้ฝึกตนเฒ่าที่ลักษณะเหมือนเซียนคนหนึ่งยืนเคียงไหล่กันอยู่ตรงตีนเขา ขัดขวางไม่ให้สตรีสวมชุดขาวคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนทางภูเขา

พวกชาวบ้านที่อยู่ตามร้านขายอาหารยามดึกห่างไปไกลพากันซุบซิบชี้ไม้ชี้มือใส่

สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน

ขออนุญาตทักทายและพูดคุยก่อนเข้าเนื้อหานิยายนะคะ

ทีมงานได้ตั้งราคาตอนนี้เป็น 5 เหรียญทอง เนื่องจากมีความยาวมากกว่าปกติ และเมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาแล้ว ทีมงานเห็นว่าหากแยกตอน อาจจะทำให้เสียอรรถรสและทำให้ขาดช่วงเกินไป จึงได้ตั้งราคาให้เหมาะสมกับเนื้อหานั่นเองค่ะ และต้องแจ้งให้ทราบว่า ในอนาคต หากนิยายบางตอนมีเนื้อหายาวและการรวบเนื้อหาจะทำให้อ่านลื่นกว่าเหมือนในกรณีนี้ ราคาของตอนนั้นๆ อาจจะเพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นทีมงานจะพยายามทำให้อยู่ในราคาปกติที่ 3-5 เหรียญทองค่ะ

ทีมงานและนักแปลขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่สนับสนุนน้องผิงอันด้วยนะคะ

ที่แท้สีหน้าของสตรีผู้นั้นซีดขาวเหมือนคนป่วย ไม่เพียงเท่านี้ แม้เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางจะไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป แต่หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าตลอดเส้นทางที่นางเดินผ่านมาล้วนเปียกโชกเห็นร่องรอยอย่างชัดเจนราวกับถือตะกร้าไม้ไผ่แล้วทำน้ำหยดมาเป็นทาง

หญิงชรากระแทกไม้เท้าหัวมังกรที่ถือไว้ในมือลงพื้นแรงๆ แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “แค่ผีพรายน้อยตัวหนึ่งก็กล้าล่วงเกินศาลของเจ้าแม่เทพวารี รนหาที่ตาย!”

ผู้ฝึกตนเฒ่าคลี่ยิ้มกล่าว “เดิมทีก็เป็นผีร้ายที่อยู่ในน้ำตัวหนึ่งอยู่แล้ว พูดว่ารนหาที่ตายคล้ายจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงชราน่าสะพรึงกลัว นางจ้องผีพรายในลำคลองหมายเหอที่ทำตัวกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรงตนนี้เขม็ง

ผีสาวตนนั้นตัวสั่นเทิ้ม กัดริมฝีปาก ปลุกความกล้ามองไปยังบุคคลยิ่งใหญ่ที่สูงส่งเกินใครทั้งสองท่านแล้วเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “เทพเซียนผู้เฝ้าศาล เซียนซือท่านนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาบัณฑิตคนหนึ่ง เขาบอกว่าสามารถช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากพันธนาการของปีศาจลำคลอง ไม่ต้องคอยช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญอีกต่อไป…”

หญิงชราเลิกคิ้ว “ตลกสิ้นดี! เจ้าขึ้นฝั่งมาอย่างไร้สาเหตุ นี่ต้องเป็นแผนการชั่วร้ายของปีศาจลำคลองตนนั้นแน่นอน!”

ผู้ฝึกตนเฒ่าลูบหนวดพลางคลี่ยิ้ม “เจ้าจะจัดการหรือให้ข้าจัดการ?”

หญิงชรากำไม้เท้าแน่น คิดจะใช้ไม้เท้าสังหารผีตนนี้

แต่กลับค้นพบว่าทำอย่างไรก็ยกหัวมังกรไม่ขึ้น จึงหันขวับกลับมา มองเห็นบัณฑิตคนหนึ่งคลี่ยิ้มมาให้ พูดกับนางว่า “มีอะไรก็พูดกันดีๆ แม่นางคนนี้ไม่ได้โกหก ข้ารับปากนางเรื่องนี้จริงๆ นางกล้าเสี่ยงกับการถูกปีศาจน้ำทรมานเพื่อขึ้นฝั่งมาหาข้า ไม่ง่ายเลยทีเดียว หากข้าเป็นพวกนักต้มตุ๋นที่พูดจาหาความเชื่อถือไม่ได้ สิบปีร้อยปีหลังจากนี้นางต้องมีชีวิตอนาถมากแน่ๆ ไม่แน่ว่าอาจกลายไปเป็นดวงวิญญาณไส้เทียนใต้ลำคลองหมายเหอ ถูกเผาไหม้อยู่ในน้ำจนกระทั่งวิญญาณมอดม้วย ความทรมานเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าทัณฑ์ทรมานทุกอย่างบนโลกเสียอีก”

จงขุยหันไปยิ้มให้ผีสาวที่ก่อนหน้านี้เคยถูกตนกระชากผม “แม่นางมีจิตใจที่กล้าหาญ และยิ่งมีสายตาที่ดี ความปรารถนานี้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวังเอง! แค่การที่เจ้ากล้าขึ้นฝั่งมา ข้าก็จะลองพยายามขอโอกาสให้เจ้าได้ไปเกิดใหม่…”

หญิงชราหน้าแดงก่ำ ยังคงไม่สามารถขยับหัวมังกรที่อยู่ในมือได้แม้แต่นิดเดียว นางอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไร?! เจ้าคิดจะปกป้องผีพรายลูกน้องปีศาจลำคลองตนนั้นภายใต้เปลือกตาของเจ้าแม่เทพวารีอย่างนั้นรึ?!”

สายตาของผู้ฝึกตนเฒ่าอึมครึม คำพูดที่ออกมาจากปากก็ยิ่งอันตราย “คนผู้นี้มีเจตนาชั่วร้าย ไม่แน่ว่าคิดจะใช้แผนในนอกประสาน ช่วยปีศาจลำคลองตนนั้นทำร้ายเจ้าแม่เทพวารีของพวกเรา”

จงขุยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แค่จ้องไปที่ดวงตาของผีพรายตนนั้น

ในดวงตาของนางมีความหวาดกลัว เจ็บแค้น และยังมีความละอายใจเสี้ยวหนึ่งต่อบัณฑิตตกอับที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้

จงขุยคลี่ยิ้มพยักหน้าให้ “เห็นแก่จิตใจที่ดีงามของเจ้าดวงนี้ ต่อให้ถูกอาจารย์ด่า ข้าก็จะแหกกฎเพื่อเจ้าสักครั้ง อย่างน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าจงขุย ทำดีต้องได้ดี ไม่แบ่งแยกว่าคน ผีหรือตัวประหลาด แม่นาง โปรดรอสักครู่”

จงขุยยื่นมือออกมาทำท่ากระตุกลงด้านล่างหนึ่งที ไม้เท้าหัวมังกรหนักร้อยจินจึงฝังลงไปบนพื้นดินแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นตบหญิงชราคนเฝ้าศาลจนร่างของนางหมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายสิบรอบ ก่อนจะไปหล่นกระแทกห่างไปไกลสิบกว่าจั้ง แล้วยกมือตบผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นั้นให้ปลิวลงไปตกในลำคลองหมายเหอ

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สมเหตุสมผล แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่นะ”

นี่คือคำพูดที่จงขุยเคยพูดกับเขาตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม

จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “ถามใจตัวเองไงล่ะ”

จงขุยหุบรอยยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างเล่นแง่ “แค่มีเหตุผลก็พอแล้ว คำว่ามารยาทนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ข้าเป็นแค่วิญญูชน ไม่ใช่อริยะ ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้”

ผีสาวลำคลองหมายเหอตนนั้นอ้าปากกว้าง

นางเดาออกว่าบัณฑิตตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกลมปราณที่มีตบะไม่ตื้นเขิน แต่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถตบเทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองคนโดยที่พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่นิด

พลังอำนาจของจงขุยผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเดินก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ชายแขนเสื้อสองข้างส่ายไหว หยุดยืนนิ่งตรงหน้าผีสาวแล้วกล่าวเสียงหนักว่า “บอกชื่อแซ่ บ้านเกิด ช่วงเวลาตกฟากมา!”

ผีสาวบอกไปทีละอย่างตามคำสั่ง

จงขุยพยักหน้ารับบอกให้รู้ว่าตนทราบแล้ว ครั้นจึงประกบสองนิ้วเขาด้วยกัน ทิ่มไปที่หว่างคิ้วของผีสาวเบาๆ พูดอย่างเรียบง่ายว่า “ข้า จงขุย วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝู”

เฉินผิงอันค้นพบว่านอกจากเขาและผีสาวแล้ว ดูเหมือนว่าชาวบ้านทุกคนที่อยู่นอกศาลเทพวารีจะตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดชะงักในช่วงเวลาสั้นๆ

จงขุยเอ่ยเนิบช้าว่า “ขอประกาศแก่ดินแดนเฟิงตู (ดินแดนที่ผู้ตายอาศัยอยู่) ไว้ ณ ที่นี้ว่า หญิงสาวผู้นี้จะไปยังโลกแห่งความมืด หมื่นผีมิอาจกล้ำกราย พญายมราชมิอาจดูหมิ่น เคราะห์กรรมทั้งหลายให้ยกเลิกหมดไป ข้าจะเป็นผู้รับไว้เอง ปล่อยให้นางได้ไปเกิดใหม่ รับพรอันประเสริฐ”

เฉินผิงอันพลันเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงว่าบนอากาศห่างจากลำคลองหมายเหอไปร้อยจั้งมีเมฆดำเคลื่อนมารวมตัวกันบดบังแสงจันทร์ พอจะมองเห็นศีรษะของผีในโลกมืดตนหนึ่งที่ใหญ่โตราวขุนเขาลอยผลุบโผล่ได้เลือนราง พลังอำนาจน่าตะลึง ลักษณะคล้ายกุ่ยชา (หมายถึงผีที่ได้รับหน้าที่ในโลกแห่งความตาย) ระดับขั้นสูงสุดของเมืองเฟิงตูซึ่งวาดไว้ในภาพวาดของตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จากนั้นทะเลเมฆก็รวมตัวกันหนาหนัก ลดวูบลงต่ำเคลื่อนมาแผ่ปกคลุมไปทั่วน้ำของลำคลองหมายเหอ ขุนนางในโลกแห่งความตายในตำนานผู้นั้นเดินออกมาจากไอหมอกสีมืดดำช้าๆ พอขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็หยุดฝีเท้าลงอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าลง บนศีรษะสวมหมวกขุนนางแห่งยมโลก กุมหมัดกล่าวว่า “รับคำสั่งตามประสงค์!”

เมื่อเขายกมือขึ้นกุมเป็นหมัดก็มีเสียงเคร้งคร้างดังกระทบกันเป็นระลอก ที่แท้บนแขนสองข้างของเขาก็มีโซ่เหล็กสองเส้นพันไว้ ห้อยยาวลงไปจนถึงพื้น

จงขุยหดมือกลับมา

วิญญาณของผีสาวเริ่มสลายเหมือนแสงหิ่งห้อยที่พากันล่องลอยไปหากุ่ยชาที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ

นางพูดด้วยเสียงสะอื้น “ขอบคุณคุณชายจง หวังว่าชาติหน้าข้าจะได้ตอบแทนพระคุณของท่าน”

จงขุยโบกมือพลางคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องหรอก อย่าได้มามีความเกี่ยวข้องกับข้าอีกเลย ชาติหน้าจงเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ของเจ้าให้สบายใจเถอะ”

สุดท้ายผีสาวถูกกุ่ยชาแห่งดินแดนเฟิงตูที่มีหน้าที่คล้ายคลึงกับทูตลาดตระเวนพาตัวไป ไอเมฆหมอกสีดำที่ลอยอยู่บนลำคลองหมายเหอและกลางอากาศต่างก็ม้วนตัวแล้วสลายหายไปด้วย

ก่อนจะจากไป กุ่ยชาตนนั้นชำเลืองมองมาทางจิตหยินของเฉินผิงอันคล้ายไม่ตั้งใจ แต่ก็คล้ายจะเจตนา

จงชุยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ หนึ่งที แล้วหันหน้ามาเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่า “จิตหยินนี้ของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงขนาดไม่ถูกสยบไปด้วย หรือว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยไปท่องแม่น้ำแห่งกาลเวลามาก่อน? เป็นไปไม่ได้กระมัง?”

เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ พูดเพียงว่า “ข้ารู้สึกว่าจิ่วเหนียงน่าจะชอบเจ้า”

ดวงตาจงขุยเป็นประกาย “เจ้าคิดอย่างนี้จริงๆ หรือ?!”

เฉินผิงอันยิ้มบางกล่าวว่า “พูดกับเจ้าไปตามมารยาทน่ะ อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง”

จงขุยยิ้มจืดเจื่อน จากนั้นก็พึมพำเบาๆ ว่า “วิธีการที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์เช่นนี้ ข้ากลับทำสำเร็จจริงๆ หรือนี่?”

จู่ๆ จงขุยก็เอียงศีรษะ ใช้ฝ่ามือถูปลายคาง จุ๊ปากพูด “ข้านี่มันเก่งจริงๆ บุรุษที่หน้าตาหล่อเหลาแถมยังมีความสามารถอย่างข้า หาไม่ง่ายนักหรอก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยคล้อยตาม “แถมยังสามารถเขียนกลอนที่ไม่มีสัมผัสคล้องจอง แล้วยังเป็นคนทำบัญชีด้วย”

จงขุยทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “คุยกับเจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ”

……

จวนปี้โหรวไม่ได้สร้างไว้ริมลำคลองหมายเหอ แต่ตั้งอยู่กลางหุบเขาห่างจากลำคลองไปอีกสิบกว่าลี้ บวกกับที่สองข้างฝั่งของลำคลองช่วงนี้ไม่มีเส้นทางภูเขา ภูเขาสูงชันเดินลำบาก ร้างผู้คน หากขุนนางในพื้นที่คิดจะมาเยือนจวนปี้โหรวจึงเป็นเรื่องยากลำบาก ยังดีที่เจ้าแม่เทพวารีที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางช่วยลดความลำบากของพวกเขาไปได้เยอะ เหล่าขุนนางท้องถิ่นแค่ต้องไปเยือนจวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาและแม่น้ำปีละครั้งเท่านั้น นี่จึงกลายมาเป็นความเคยชินของวงการขุนนางไปแล้ว

อาจารย์และลูกศิษย์จากอารามจินติ่งสองคนอย่างอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานต่างก็เป็นผู้ฝึกตน แน่นอนว่าพวกเขาไม่คิดว่าการเดินทางมาที่นี่เป็นเรื่องยากลำบากตรงไหน เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่จวนปี้โหรว อิ่นเมี่ยวเฟิงก็บอกชื่อแซ่ด้วยเสียงดังกังวาน นอกจากบอกสถานะข้ารับใช้จักรพรรดิราชวงศ์สกุลหลิวแล้ว ยังบอกชื่ออารามจินติ่งซึ่งเป็นสำนักของตนด้วย ผู้ฝึกตนของต้าเฉวียนล้วนเคยได้ยินเรื่องนิสัยประหลาดของเทพวารีลำคลองหมายเหอกันมาก่อน อิ่นเมี่ยวเฟิงจึงกลัวว่าหากตนไม่เอ่ยถึงอารามจินติ่ง คืนนี้จวนปี้โหยวอาจจะไม่เปิดประตูให้

แต่นักพรตเป่าเจินท่านนี้คิดผิดแล้ว

ต่อให้เขาบอกชื่ออารามจินติ่งและสถานะของอาจารย์ปู่เส้ายวนหรานออกไป ประตูใหญ่ของจวนปี้โหรวก็ยังคงปิดสนิท แม้แต่คนเฝ้าประตูก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาให้เห็น

สีหน้าของอิ่นเมี่ยวเฟิงไม่สบอารมณ์ แต่จำต้องข่มกลั้นเอาไว้ เอ่ยขอร้องให้เทพวารีลำคลองหมายเหอเปิดประตูยอมให้พวกเขาเข้าพบอีกครั้ง แถมยังบอกไปตามตรงว่าตนนำพระราชโองการลับของฮ่องเต้มาแจ้ง

ส่วนเส้ายวนหรานกลับยิ่งสงสัยใคร่รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรกันแน่ อาจารย์ของตนถึงยอมให้พวกเขาสองคนต้องมากินน้ำแกงประตูปิดอยู่อย่างนี้ (กินน้ำแกงประตูปิดเปรียบเปรยถึงการไปเยือนบ้านคนอื่นแล้วเขาไม่ต้อนรับ ไม่เชื้อเชิญให้เข้าไปข้างใน)

กลางจวนขนาดมโหฬารที่กินอาณาบริเวณถึงร้อยกว่าไร่ ในห้องโถงใหญ่ที่แสงไฟโชติช่วงแห่งหนึ่งมีหญิงสาวร่างเล็กเตี้ยนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวโดยยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่ง ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะ

หรือควรจะพูดให้ถูกว่า อ่างบะหมี่

ใหญ่กว่าศีรษะของนางสองศีรษะรวมกันเสียอีก

คือบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่า

ในห้องโถงมีพ่อบ้านและสาวใช้ของจวนยืนกันอยู่หลายคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมในลำคลองหมายเหอ

ผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นถามขึ้นเบาๆ “เหนียงเนียง จะไม่พบหน้านักพรตจากอารามจินติ่งสองคนนั้นจริงๆ หรือขอรับ?”

หญิงสาวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น จ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน เวลากินเส้นก็มีเสียงสูดดังสวบๆๆ นางพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “พบกะผีน่ะสิ! พูดไปพูดมาก็แค่คำพูดแบบเดิมๆ น่ารำคาญจะตาย”

นางพลันเงยหน้าขึ้น พูดกับชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อๆ ลักษณะคล้ายพ่อครัวที่กำลังปลดปลอกแขนออก “ผัดได้ไม่เลว คราวหน้าใส่พริกเยอะๆ หน่อย ใส่สักสามสี่จิน รสชาติจะได้ดียิ่งขึ้น อย่าลืมล่ะว่าทางที่ดีที่สุดต้องเป็นพริกชี้ฟ้าของร้านหลิวเหล่าซาน พริกของที่นั่นรสชาติดั้งเดิมที่สุด!”

พ่อครัวคนนั้นพยักหน้ารับ พูดตะกุกตะกัก “เหนียง…เนียง ข้า…ข้า…ทราบแล้ว”

หญิงสาวร่างเล็กเตี้ยกลอกตามองบน พูดอย่างขุ่นเคือง “เหนียงเนียงกับท่านทวดเจ้าน่ะสิ ข้ายังเป็นหญิงสาวในห้องหอ!”

นางพลันใจสั่น ตบตะเกียบวางลง ลุกพรวดขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยปราณสังหาร “มารดามันเถอะ ยังมีคนกล้ามาก่อกวนที่ศาลอีกรึ?! ใจกล้าไปหน่อยแล้วกระมัง!”

บนโต๊ะปรากฏควันกลุ่มหนึ่งเหมือนมีคนจุดธูป เพียงแต่ว่านอกจากควันที่ลอยอ้อยอิ่งแล้วยังมีเสียงของหญิงชราผู้หนึ่งดังขึ้นมาด้วย

หลังจากนางตั้งใจรับฟังจนจบ นางที่ไอสังหารเดือดพล่านก็เรอดังเอิ้ก ก่อนจะรีบก้มหน้าค้อมเอวหยิบตะเกียบขึ้นมากินบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าอีกคำโต แล้วถึงได้เช็ดปาก เดินก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก พอเดินไปใกล้ธรณีประตูแล้วถึงพูดกับพ่อบ้านชราว่า “ข้าจะไปที่ศาลสักรอบ เจ้าไล่แขกที่อยู่ข้างนอกกลับไปซะ บอกว่าข้ายังคงยืนกรานคำเดิม เว้นเสียจากว่าทางราชสำนักจะสามารถบอกให้สำนักศึกษาเอาตำราเล่มนั้นออกมาได้ ไม่อย่างนั้นจวนปี้โหรวของเราก็ยอมเก็บรักษาป้ายเก่านี้เอาไว้”

พ่อบ้านชราหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้ว่าจะเคารพเจ้าแม่เทพวารีท่านนี้มาก แต่กลับไม่ได้หวาดกลัวนางสักเท่าไหร่ จึงถามไปตามตรงว่า “เหนียงเนียง หากเทพเซียนลัทธิเต๋าสองคนนั้นขุ่นเคืองขึ้นมา ทำลายจิตวิญญาณข้าจนแหลกสลาย ข้าควรจะทำอย่างไร? แล้ววันหน้าใครจะยังไปช่วยหาซื้อของจากในตลาดของโลกมนุษย์มาให้ท่าน?”

นางร้องถุย “กลัวตายก็บอกมาตรงๆ สิ ยังจะมาหาข้ออ้างให้ตัวเองอีก”

พูดอย่างนี้ก็จริง แต่พอนางก้าวหนึ่งก้าวออกไปจากธรณีประตู ร่างหายวับไปแล้ว กลับยังมีเสียงของนางก้องสะท้อนอยู่ข้างนอกจวนปี้โหรว “พูดคุยกันดีๆ ห้ามฆ่าคน…พูดผิด ห้ามฆ่าผี”

……

ในศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ เรือนกายเล็กเตี้ยของสตรีปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ห้อยดาบสะพายกระบี่ แต่ไม่ได้พกทวนเหล็กเล่มนั้นมาด้วย

เมื่ออยู่ในอาณาเขตของศาลร่างทอง ก้าวแค่หนึ่งก้าวนางก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของตัวการร้ายสองคนนั้น “พวกเจ้าสองคน เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดต้องมาก่อเรื่องที่นี่? หญิงแก่คนเฝ้าศาลที่ผู้ว่าเขตการปกครองยัดเยียดมาให้พูดจาเชื่อถือได้แค่สามสี่ส่วน ข้าไม่เชื่อคำพูดที่เสริมเติมแต่งจนเกินจริงของนาง แต่ความเคลื่อนไหวของที่นี่ ข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจน พวกเจ้าลองพูดมาสิ ข้าจะรับฟัง”

นางที่คุมเชิงอยู่กับเฉินผิงอันและจงขุยพูดพลางถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ

ไม่ใช่ว่าหวาดกลัวอะไร แต่เป็นเพราะการที่ต้องแหงนหน้าพูดกับคนอื่น นางรู้สึกว่าน่าขายหน้าไม่น้อย

รอจนไม่จำเป็นต้องเงยหน้าแล้ว นางถึงได้หยุด นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าก็คือเทพวารีของลำคลองหมายเหอแห่งนี้”

จงขุยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในนางฟังหนึ่งรอบ เขาพูดอย่างกระชับแต่ได้ใจความ ความจริงของเหตุการณ์จึงปรากฏกระจ่างแจ้ง

พอนางฟังจบก็พยักหน้ารับเบาๆ “ก็คงต้องทำประมาณนี้แหละ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าเดินเล่นกันตามสบาย ข้าจะบอกให้หญิงแก่เฝ้าศาลผู้นั้นสำรวมตน อย่าได้คิดลอบกัดพวกเจ้า”

จงขุยเห็นว่านางนึกจะไปก็ไปจึงรีบรั้งเอาไว้ “ข้ามีธุระสำคัญอยากจะคุยกับเจ้า”

สีหน้าของนางเคร่งเครียด

ในฐานะเทพวารีของระบบสืบทอดดั้งเดิมที่ควบคุมโชคชะตาของน้ำในลำคลองหมายเหอ ความเคลื่อนไหวผิดปกติของที่แห่งนี้ช่วงก่อนหน้าได้บดบังเจตนารมสวรรค์ ราวกับว่าพื้นที่ในรัศมีหลายสิบลี้ถูกไอหมอกในภูเขาเคลื่อนเข้าปกคลุม เป็นเหตุให้นางสัมผัสไม่ได้ถึงความแปลกประหลาดที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ฝ่ายตรงข้ามมีตบะตื้นลึกเท่าไหร่ นางพอจะรู้อยู่ในใจคร่าวๆ เมื่อเทียบกับปีศาจลำคลองที่รับมือได้ยากตนนั้น มีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ต่อให้อยู่ในศาลของตัวเอง พลังการต่อสู้ของนางย่อมเหนือกว่าอยู่ใต้น้ำ แต่เรื่องตีรันฟันแทงนี้ นางเป็นสตรีคนหนึ่ง หากไม่ต้องลงไม้ลงมือกันย่อมดีกว่า ในเมื่อบัณฑิตผู้นี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างชัดเจนแล้ว ก็ถือว่าพวกเขาได้มาพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น เจ้าเดินบนเส้นทางหยางกวาน (หมายถึงเส้นทางที่กว้างใหญ่ไร้อุปสรรค) ของเจ้า ข้าก็จะได้กลับไปกินบะหมี่ปลาไหลชามนั้นของข้า

คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าจะยังมีธุระสำคัญอยากพูดคุย?

หรือว่าเป็นเรื่องที่จวนปี้โหรวจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนัก?

นางจึงถามไปตามตรง “เจ้าเป็นคนของสำนักศึกษาต้าฝู?”

จงขุยยิ้มตอบ “เจ้าแม่เทพวารีแค่เดาก็ถูกต้อง สมกับ…”

“ไม่ต้อง ‘สมกับ’ แล้ว หยุดเลยๆ !”

นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตัดบทคำพูดที่กล่าวตามมารยาทของจงขุย แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าชอบประจบสอพอ สมกับที่เคยได้ยินมาจริงๆ”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจ

จงขุยเกาหัว “เปลี่ยนเป็นตำราของอริยะเล่มอื่นไม่ได้จริงๆ หรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าดึงดันแบบนี้ ฮ่องเต้สกุลหลิวต้าเฉวียนลำบากใจอย่างมาก ไม่แน่ว่าวิญญูชนของสำนักศึกษาที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งอาจหงุดหงิดที่เจ้าไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น หาใช่ว่าสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเราไม่เข้าใจผู้อื่น วางมาดใหญ่โต แต่เป็นเพราะข้อเรียกร้องของเทพวารีอย่างเจ้าเกินจากหลักปกติไปจริงๆ”

นางพยักหน้ารับ “ข้ารู้ว่าข้าเรียกร้องมากเกินไป ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่ารับปากเรื่องนี้เลย ข้าไม่ได้ต้องการตำหนักปี้โหยวอะไรเสียหน่อย ใช่แล้ว หวังว่าสำนักศึกษาของพวกเจ้าจะไม่พาลโกรธราชสำนักต้าเฉวียน หากมีเรื่องอะไรก็ให้มาหาข้า ข้ากล้าทำก็กล้ารับ ความรับผิดชอบแค่นี้ จวนปี้โหยวของพวกเรายังพอมีอยู่”

จงขุยกล่าวอย่างจนใจ “ข้าคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้าถึงต้องการตำราของอริยะท่านนั้นให้ได้? หรือเจ้าเคยรู้จักกับอริยะท่านนั้น?”

เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าเป็นแค่เทพวารีตัวน้อยๆ ไหนเลยจะรู้จักกับท่านอริยะเหวินเซิ่งที่มีความรู้ใหญ่กว่าผืนฟ้าได้ ก็แค่เคยอ่านหนังสือของท่านผู้อาวุโส รู้สึกว่าบทความของเขา แต่ละคำล้วนงดงามดุจไข่มุก เขียนได้ดีกว่าหลี่เซิ่งที่มีหลักการยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่เลือกใช้ถ้อยคำชวนให้อึดอัดกลัดกลุ้ม และดีกว่าหย่าเซิ่งที่ความรู้ย่ำแย่กว่าอยู่มาก อืม หากเอาบทความของปรมาจารย์มหาปราชญ์มาเทียบกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแล้วก็พอจะถือได้ว่าสูสีกันกระมัง…”

จงขุยกะพริบตาปริบๆ “เจ้าแม่เทพวารี เจ้าพูดจาแบบนี้ต่อหน้าวิญญูชนของสำนักศึกษา ไม่กลัวจะถูกฟ้าผ่าตายหรือ? หืม?!”

ถึงอย่างไรจงขุยก็มีชาติกำเนิดมาจากสายของหย่าเซิ่งสายดั้งเดิมที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เขา เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูก็ยิ่งเดินออกมาจากจวนของหย่าเซิ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

จงขุยโมโหก็ส่วนโมโห แต่ไม่ได้คิดจะทำอะไรเจ้าแม่เทพวารีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แต่หากไม่ข่มขู่นางสักหน่อย มโนธรรมในใจของเขาก็มิอาจสงบลงได้

อันที่จริงสาเหตุจริงๆ นั้นเป็นเพราะจงขุยกังวลว่าอาจารย์ที่เฝ้าพิทักษ์ภาคกลางของใบถงทวีปจะถูกปรากฎการณ์ประหลาดของที่แห่งนี้ดึงดูดความสนใจ แล้วใช้วิชาอภินิหารเพ่งมองมายังภูเขาแม่น้ำแถบนี้ ถ้าอย่างนั้นหากเขายังไม่เอ่ยถ้อยคำผดุงคุณธรรมหรือพูดอะไรที่ช่วยกู้หน้าตาสายบุ๋นฝั่งเขากลับคืนมาสักหน่อย กลับไปจะไม่ถูกอาจารย์ด่าตายหรอกหรือ?

คงเป็นเพราะตระหนักได้ว่าตัวเองปากเปราะพูดไม่คิด ถือเป็นไม่ความเคารพอย่างใหญ่หลวงแล้ว นางจึงกะพริบตาปริบๆ “ในบ้านข้ามีบะหมี่อยู่ถ้วยหนึ่งที่ยังกินไม่หมด ต้องกลับไปกิน ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย”

เฉินผิงอันฟังเงียบๆ ยืนอยู่ด้านข้าง แต่ในใจกลับมีคลื่นซัดโถมกระหน่ำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version