Skip to content

Sword of Coming 345

บทที่ 345 อริยะมาเยือนจวนปี้โหยว

หญิงชราคนเฝ้าศาลของศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอเป็นคนสนิทของจวนผู้ว่าราชการในท้องถิ่น นอกจากใต้เท้าผู้ว่าฯ จะเป็นคนแนะนำมาด้วยตัวเองแล้ว นางยังต้องใช้ทรัพย์สินส่วนตัวอีกเป็นจำนวนมากการในสร้างสายสัมพันธ์กับที่ว่าการกรมพิธีการของเมืองเซิ่นจิ่ง กว่าจะได้ครอบครองตำแหน่งที่ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชามากพอนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกลมปราณมากน้อยเท่าไหร่ที่อิจฉาตาร้อน ก่อนหน้านี้หญิงชราใช้วิธีจุดธูปเทพสูงฟ้องไปยังจวนปี้โหยว เวลานี้ไม่ต้องรอให้เจ้าแม่เทพวารีเอ่ยเตือนอะไร นางก็หยุดด้วยตัวเองแล้ว ไม่เหลือความคิดอยากแก้แค้นอีกต่อไป ไม่กล้า ไม่กล้าอย่างสิ้นเชิง

แค่วิญญูชนหนุ่มของสำนักศึกษาต้าฝูผายลมก็มากพอจะสะเทือนให้นางตายแล้ว

เหตุใดราชวงศ์ต้าเฉวียนถึงได้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะได้เป็นพันธมิตรกับหลายแคว้นในภาคกลางของใบถงทวีป?

นอกจากความปรีชาสามารถของฮ่องเต้และมีขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊มากความสามารถมารวมตัวกันแล้ว อันที่จริงทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะมีวิญญูชนท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่ง แคว้นดั้งเดิมที่แข็งแกร่งอย่างเป่ยจิ้น หนันฉี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีนักปราชญ์ของสำนักศึกษาอยู่แม้แต่คนเดียว

วิญญูชนจากสำนักศึกษาเบื้องหน้าคนนี้อายุน้อยขนาดนี้ เดิมทีนี่ก็เป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งอยู่แล้ว

อายุสามสิบปีหรืออายุสี่สิบปี จอหงวนที่ตรากตรำกับการสอบกับเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่ช่วงชิงความรุ่งโรจน์มาได้ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว คือความต่างราวฟ้ากับดิน

หญิงชราเฝ้าศาลและผู้ฝึกตนเฒ่าที่กลับขึ้นมาบนฝั่งคล้ายเด็กน้อยทำผิดสองคนที่รอให้อาจารย์ลงโทษ

พวกเขาที่เป็นเทพเซียนผู้อาวุโสในสายตาของชาวบ้านมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับจวนปี้โหยว รู้ดีว่าลึกๆ แล้วในใจเจ้าแม่เทพวารีดูแคลนพวกเขา แต่เพราะเห็นแก่หน้าของผู้ว่าฯ กับราชสำนัก เจ้าแม่ถึงได้หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง เรื่องหารายได้เข้ากระเป๋า ขอแค่ไม่เกินกว่าเหตุ ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาที่อยู่ในศาลเทพวารี

เพียงแต่ว่าคืนนี้เป็นคืนที่ค่อนข้างยากลำบากสำหรับพวกเขาแล้ว

เพราะเจ้าแม่เทพวารีและศาลเทพวารีไม่อาจเป็นยันต์คุ้มกันกายให้พวกเขาได้อีกต่อไป

จงขุยตวาดเสียงกร้าว “คนหนึ่งคือคนเฝ้าศาลที่รับผิดชอบดูแลควันธูปของศาล อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนที่ทางราชสำนักส่งตัวให้มาปักหลักอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย ไม่ทันได้ถามไถ่ความเป็นมาก็จะอาศัยกำลังที่เหนือกว่าทำตัวดุร้าย มิน่าเล่าผีพรายใต้ลำคลองหมายเหอถึงได้มีมากขนาดนี้ นอกจากจะถูกปีศาจใหญ่ทำร้ายแล้ว พวกเจ้าสองคนก็ยากจะปฏิเสธความผิดให้พ้นตัวไปได้!”

หญิงชรากับผู้ฝึกตนเฒ่าตกใจหน้าซีดเผือด ถ้อยคำทองวาจาหยกของอาจารย์สำนักศึกษาหลังจาก ‘สวมอาภรณ์สวมกวานอย่างเป็นระเบียบ’ (การสวมอาภรณ์สวมกวานอย่างเป็นระเบียบแสดงถึงรูปลักษณ์ภายนอก ขณะเดียวกันก็หมายถึงการจัดระเบียบมาจากภายใน เป็นการตักเตือนให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงธรรม) ไม่ว่าคำใดก็ตามที่หลุดออกมาล้วนมีน้ำหนักหมื่นจิน นี่ไม่ใช่แค่คำกล่าวลอยๆ เท่านั้น

สตรีร่างเล็กเตี้ยเอ่ยเสียงหนักอึ้ง “เรื่องสังหารผีพรายใต้น้ำพร่ำเพื่อ หลักๆ แล้วถือเป็นความผิดของข้าเอง”

จงขุยโบกชายแขนเสื้อ ไม่ไว้หน้าเจ้าแม่เทพวารีแม้แต่น้อย “คนละเรื่องกัน! สองคนนี้มีหน้าที่สำคัญขนาดนี้ แต่กลับคิดจะออมแรงกายแรงใจกับทุกเรื่อง ไม่ยอมเปลืองน้ำลายสอบถามแม้แต่ครึ่งคำ ไม่ยอมเสียเวลาคิดให้มากขึ้นอีกนิด แล้วจะรับหน้าที่นี้ต่อไปได้อย่างไร! พวกเขาไม่ใช่เศรษฐีที่นอนเสวยสุขอยู่ในบ้านเสียหน่อย อยู่ตำแหน่งไหนต้องพึงระลึกถึงเรื่องของตำแหน่งนั้น อยู่ที่นี่ ทุกการกระทำของพวกเขาล้วนเกี่ยวพันไปถึงโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาของราชสำนัก!”

คนทั้งสองตื่นตระหนกจนแทบจะขวัญหนีดีฝ่อแล้ว

ดูจากท่าทางที่ดึงเอาราชสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องนี้แล้ว หากวิญญูชนดึงเอาจุดประสงค์ของสำนักศึกษามาพูดอีก พวกเขาจะไม่เจอกับหายนะที่มิอาจพลิกฟื้นกลับคืนมาอีกเลยหรือ?

หญิงชราลงไปนั่งคุกเข่าเอ่ยขอร้องก่อน ถ้อยคำที่กล่าวก็ไม่พ้นทำนองว่า วันหน้าไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว

ผู้ฝึกตนเฒ่าก็ค้อมเอวคารวะ บอกว่าตนผิดต่อความไว้วางใจที่ราชสำนักมีให้ วันหน้าจะต้องอุทิศตนทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ

จงขุยแค่นเสียงเย็น “เห็นแก่ที่พวกเจ้าเพิ่งทำความผิดเป็นครั้งแรก จะยกหน้าที่นี้ให้เจ้าแม่เทพวารีเป็นคนจัดการ”

คนทั้งสองรีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็หันไปขอรับผิดจากเจ้าแม่เทพวารี

จงขุยเห็นพวกเขาแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาจึงโบกชายแขนเสื้อตวาดว่า “ยังไม่รีบกลับไปปิดประตูทบทวนตัวเองที่ศาลอีก อย่ามาอยู่ตรงนี้ให้อับอายขายหน้าผู้คน!”

คนทั้งสองจึงจากไปอย่างกระเซอะกระเซิง

จงขุยหันไปพูดกับหญิงสาวร่างเล็กเตี้ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ในฐานะเทพวารีลำคลองหมายเหอ ได้รับการเคารพบูชาจากชาวบ้านนับหมื่น จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเสียบ้าง อย่าเอาแต่จ้องจะจัดการจับปีศาจลำคลองตนนั้น เรื่องควันธูปขององค์เทพ ไม่ใช่แค่รบราฆ่าฟันกันอย่างเดียว หากชาวบ้านที่มาจุดธูปมีจิตศรัทธาอย่างแท้จริง ต่อให้หนึ่งปีมีธูปแค่ก้านเดียว ควันธูปก็ไม่มีทางขาดหาย แต่หากคนในเขตการปกครองมีแต่ความละโมบ คนที่มาจุดธูปมีแต่ใจเห็นแก่ได้ ไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสักเท่าไหร่ จะเป็นอย่างไร? ควันธูปหลายร้อยปี หมอกควันลอยแผ่เต็มฟ้า ขนาดยามค่ำคืนยังมีคนหลายร้อยมารออยู่ข้างนอกหวังได้เข้ามาจุดธูปในศาล บารมียิ่งใหญ่กว่าศาลบุ๋นและศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองเซิ่นจิ่งด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วควันธูปมีมากน้อยแค่ไหน หนักเบาเท่าไหร่ ทุกวันมีน้ำหนักกี่จิน คนธรรมดาไม่รู้ คนเฝ้าศาลก็ไม่รู้ แต่เจ้าในฐานะเทพวารีลำคลองหมายเหอจะไม่รู้ได้หรือ? หากไม่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของตำหนักเจ้าแม่หลิงก่านช่วยเจ้ารวบรวมควันธูปและการเคารพบูชาจากสตรีแต่งงานแล้วที่มีจิตศรัทธาอย่างแท้จริงมาได้กลุ่มใหญ่ ป่านนี้เจ้าก็คงถูกปีศาจลำคลองที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาตนนั้นถอนรากถอนโคนศาลเทพวารี เหยียบย่ำจวนปี้โหยวจนเละเป็นหน้ากลองไปแล้ว!”

สตรีร่างเล็กเตี้ยรู้สึกกระดากใจและอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จงขุยไม่พูดอะไรอีก

ทะเลสาบในหัวใจของเฉินผิงอันสงบลงแล้ว การเดินทางไกลในใต้หล้าไพศาลทั้งสองครั้ง เวลาที่คนนอกพูดถึงอาจารย์ฉีและซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งมีแค่สามครั้งเท่านั้น

เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อีแจกันสมบัติทวีป นักพรตเฒ่าในพื้นที่มงคลดอกบัวพูดถึงเรื่องของการจัดลำดับ จากนั้นก็เป็นเจ้าแม่เทพวารีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าหลังจากได้อ่านหนังสือของซิ่วไฉเฒ่าแล้วนางจะกลายเป็น…ผู้ศรัทธาในตัวซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่ความเลื่อมใสศรัทธาธรรมดา แต่แทบจะใกล้เคียงกับความหลงใหล ขนาดเฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าพูดว่าความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่า ต่อให้เอาไปเทียบกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ยังแค่พอจะสูสีกันเท่านั้น ปีนั้นตอนที่ชุยตงซานพูดถึงอดีตอาจารย์ของตนก็ยังบอกแค่ว่าเหวินเซิ่งรอบรู้ ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภาในสายตาของบัณฑิตทุกคนในโลก แต่ไม่เคยเอาไปเปรียบเทียบกับอริยะคนใดที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋น

แล้วนับประสาอะไรกับที่การที่สำนักศึกษาต้าฝูอัญเชิญตำราเล่มหนึ่งของลัทธิขงจื๊อออกมาบูชาไว้ในศาลสักแห่ง ต้องเกี่ยวพันไปถึงรากฐานร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง นอกจากนี้ยังเกี่ยวพันกับการเลื่อนขั้นจวนเป็นตำหนักที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน

สำหรับการตัดสินใจของสตรีร่างเล็กเตี้ยตรงหน้าผู้นี้ เฉินผิงอันทั้งรู้สึกตื่นตะลึง ไม่เข้าใจและทั้งดีใจจากใจจริง

ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มากมายดุจน้ำในมหาสมุทร แล้วในที่สุดก็ได้พบเจอกับคนที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

จงขุยหันมาพูดกับเฉินผิงอัน “รู้หรือไม่ว่าทำไมเหตุผลถึงใช้ได้ผล? ไม่เพียงแต่เรื่องที่ตบคนไปสองที แล้วก็ไม่ใช่แค่เพราะสถานะวิญญูชนของข้าด้วย”

เฉินผิงอันอยากรู้จริงๆ จึงถามอย่างจริงใจ “ช่วยอธิบายที”

จงขุยพูดด้วยสีหน้าฮึกเหิม “เป็นความดีความชอบของการนำตำราอริยะปราชญ์เล่มแล้วเล่มเล่าในสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อของพวกเรามาสั่งสอนให้แก่ความรู้ผู้คนนานนับพันปี สำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่งตั้งตระหง่านอยู่ในเก้าทวีปใหญ่ เป็นเหตุให้ผู้คนทั้งบนและล่างภูเขาเกิดความเคารพยำเกรง หากพวกอาจารย์ของสำนักศึกษาเอาแต่อาศัยพละกำลัง แน่นอนว่าผู้คนย่อมเลื่อมใสแต่ปาก แต่ไม่ได้เลื่อมใสจากใจจริง มีแต่จะสะสมความไม่พอใจเอาไว้ ข้าจงขุยก็แค่อาศัยร่มเงาจากต้นไม้ที่บรรพชนปลูกไว้ก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันรู้สึกแปลกๆ

คำพูดและการกระทำของจงขุยตอนนี้แตกต่างจากเวลาปกติราวฟ้ากับเหว

แน่นอนว่าเหตุผลที่จงขุยพูดมานั้นหาข้อตำหนิไม่ได้เลย

ลูกตาของจงขุยกลอกไปมาสองสามที ทำท่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ในที่สุดอาจารย์ก็ไปสักที ดูท่าคลื่นมรสุมในคืนนี้คงถูกข้ารับมือจนผ่านไปได้แล้ว โชคดีมาเยือนหลังโชคร้าย ฮ่าๆ ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่กลับไปยังสำนักศึกษา อาจารย์อาจจะยังพูดชมเชยข้าสองสามคำ”

เฉินผิงอันพูดไม่ออก นี่ต่างหากถึงจะเป็นจงขุยที่เขารู้จัก

เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอได้เปิดโลกทัศน์ เกือบจะสงสัยว่าสถานะวิญญูชนของคนผู้นี้เป็นของปลอมหรือไม่

จงขุยตบท้อง “พอเจ้าพูดถึงบะหมี่ถ้วยนั้นก็ให้นึกอยากกิน พวกเราไปกินมื้อดึกที่จวนปี้โหยวของเจ้าสักมื้อดีไหม?”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ห่างไปไม่ไกลมีร้านขายอาหารรอบดึกอยู่”

เฉินผิงอันในเวลานี้ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ประสาในเรื่องทางโลกอีกแล้ว รูปปั้นของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งไม่เพียงแต่ถูกย้ายออกมาจากในศาลบุ๋น ยังถูกคนทุบทำลาย หนังสือของเขาทุกเล่มที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลห้ามจัดพิมพ์อีกทั้งยังถูกเผาทิ้ง ตอนนั้นสำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่งในเก้าทวีปใหญ่ หากไม่ใช่เจ้าขุนเขาออกหน้าด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องมีวิญญูชนท่านหนึ่งจัดการเรื่องนี้ รับผิดชอบคอยตรวจตราให้ราชสำนักของแต่ละพื้นที่ปฏิบัติตาม ห้ามให้มีข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด

หากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ ราชสำนักต้าเฉวียนและสำนักศึกษาต้าฝู ขอแค่ถูกคนมีใจคิดไม่ซื่อหลอกใช้ ถึงเวลานั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทำร้ายคนอื่นและยังทำร้ายตัวเอง

การประชันขันแข่งของสายบุ๋นได้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงไปแล้ว คนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องพูดหลักการเหตุผลอะไรอีก เพราะอะไร? เพราะเหล่าอริยะได้พูดเหตุผลหลักการทั้งหมดออกมานานแล้ว

เจ้าแม่เทพวารีที่มีร่างกายเล็กกะทัดรัดคล้ายจะเปลี่ยนใจ จึงเริ่มเชื้อเชิญคนทั้งสองไปที่จวนปี้โหยวด้วยการยิ้มพูดว่า “ร้านแผงลอยที่อยู่นอกศาลหรือจะเทียบกับอาหารมื้อดึกในจวนปี้โหยวของข้าได้ ไปๆๆ ข้าจะได้ถือโอกาสเอาสุราหมักร้อยปีไหหนึ่งมารับรองแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่านด้วย”

นางอยากใช้สถานะวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาของคนผู้นี้แสร้งเป็นจิ้งจอกที่ห่มหนังสือ เอามากำราบข้ารับใช้สกุลหลิวสองคนที่อยู่นอกจวนปี้โหยวซึ่งพยายามตื๊อนางโดยใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง

นางแอบหัวเราะชอบใจอยู่กับตัวเอง รู้สึกว่าแผนการของตนไม่เป็นรองปีศาจลำคลองตนนั้นเลย

นางยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมาอย่างโง่งม

เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ซื่อเกินไปหน่อยแล้ว ทำแบบนี้ไม่เท่ากับบอกให้รู้ว่าอาหารมื้อดึกของจวนปี้โหยวเจ้ากินยากหรอกหรือ? อย่างน้อยก็ควรจะรอให้หลอกพวกเขาสองคนเข้าไปในจวนได้ก่อนแล้วเจ้าค่อยหัวเราะชอบใจก็ยังไม่สาย

จงขุยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเหมือนคนตาบอด ลากเฉินผิงอันไปด้วยกัน บอกแค่ว่าอยากจะเห็นสุรารสเลิศที่หมักมานานเป็นร้อยปีไหนั้น อยากรู้ว่าจะสู้เหล้าบ๊วยหมักห้าปีได้หรือไม่

การปรากฏตัวที่ศาลเทพวารีคืนนี้ไม่อาจปิดบังหูตาของผู้คนได้อีกแล้ว อีกทั้งจงขุยยังช่วยตำหนิสั่งสอนหญิงชราคนเฝ้าศาลให้ สตรีร่างเล็กเตี้ยจึงปล่อยตัวตามสบาย ยื่นมือข้างหนึ่งไปยังลำคลองหมายเหอ ผิวน้ำพลันกระเพื่อมซัดรุนแรง ก่อนที่ลำน้ำเส้นหนึ่งจะพุ่งขึ้นไปยังชายฝั่ง จากนั้นก็จำแลงกายเป็นเจียวหลงสีเหลืองยาวร้อยจั้งที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริงตัวหนึ่ง มันมาหยุดอยู่นอกศาลบนภูเขา เจียวหลงก้มหัวลงอย่างว่าง่าย เทพวารีลำคลองหมายเหอกระโดดขึ้นไปบนหัวของเจียวหลง จงขุยดึงเฉินผิงอันให้ขึ้นไปด้วยกัน ยืนอยู่ตรงระหว่างลำคอของเจียวหลงสีเหลือง

มันหมุนบิดลำตัว ย้อนกลับจากฝั่งลงไปยังลำคลอง ว่ายวนไปยังจวนปี้โหยวที่อยู่ตอนล่างของลำคลองอย่างรวดเร็ว

พวกชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งรอให้ประตูเปิดจะได้เข้าไปจุดธูปได้เห็นท่วงท่าอันองอาจและวิชาอภินิหารของเจ้าแม่เทพวารีกับตาตัวเอง แต่ละคนลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ พอลุกขึ้นยืน ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความปิติยินดี รู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่มาเยือน ได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่เทพวารี นี่เป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด!

คนทั้งสามโดยสารเจียวหลงที่จำแลงกายมาจากน้ำในลำคลอง ไม่นานก็มาถึงจวนปี้โหยวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาอันเงียบสงบ มองดูเหมือนห่างจากลำคลองมาค่อนข้างไกล แต่อันที่จริงแล้วด้านล่างจวนมีสายน้ำเชื่อมโยงกันอยู่ จวนแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางค่ายกลแห่งหนึ่ง สามารถรวบรวมแก่นของลำคลองหมายเหอเอาไว้เพื่อดูดดึงโชคชะตาควันธูปที่อยู่ในแถบของลำคลองหมายเหอ นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนของเทพวารีลำคลองหมายเหอ เทวรูปร่างทองที่อยู่ในศาลก็เป็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

อาจารย์และศิษย์ของลัทธิเต๋าที่มาจากอารามจินติ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูคู่นั้น นอกจากนักพรตเป่าเจินอิ่นเมี่ยวเฟิงและลูกศิษย์เส้ายวนหรานจะต้องกินน้ำแกงประตูปิดจากเจ้าแม่เทพวารีไปพักหนึ่งแล้ว ยังได้กินอาหารยามดึกอีกหนึ่งมื้อ เป็นพ่อบ้านเฒ่าที่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่ถนัดมือซึ่งครบถ้วนทั้งกลิ่นสีและรสชาติ นอกจากนี้ยังยกสุรารสดีอีกสองกามารับรองข้ารับใช้ของต้าเฉวียนสองท่านที่ป่าวประกาศว่าหากไม่ได้พบเจ้าแม่เทพวารีก็จะไม่จากไป ในใจของพ่อบ้านวัยชรารู้สึกละอายใจเล็กน้อย แขกทั้งสองท่านนี้เดินทางมาไกล อีกทั้งยังมีนิสัยดีมาก ทั้งไม่บุกเข้าไปในจวน แล้วก็ไม่ได้พูดจาหยาบคาย นักพรตเฒ่าเป่าเจินผู้นั้นแค่คลี่ยิ้มขออาหารมื้อดึกจากพวกเขา ทำเอาพ่อบ้านวัยชราที่กลัวจะโดนฆ่าอยู่หน้าประตูซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

เจียวหลงจำแลงกายกลับไปเป็นสายน้ำเส้นหนึ่งที่หายไปบนพื้นดินนอกจวนอย่างรวดเร็ว

จงขุยพลันกระจ่างแจ้งในใจ ชำเลืองตามองสตรีร่างเล็กเตี้ยที่อยู่ข้างกาย เจ้าแม่เทพวารีก็หัวเราะแห้งๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

อาจารย์และศิษย์สองเห็นเห็นจงขุยก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ พอเดินลงบันไดมาแล้วก็ยกมือขึ้นกุมคารวะพลางบอกชื่อแซ่ของตัวเอง

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นจงขุยใช้เทพหยินและเทพหยางออกจากโรงเตี๊ยมไปสั่งสอนองค์ชายสองท่านกับตาตัวเอง แต่สำหรับชื่อจงขุยที่เป็นดั่งสายฟ้าผ่าดังข้างหูนี้ อิ่นเมี่ยวเฟิงเคยได้ยินมานานแล้ว ช่วงแรกเริ่มสุดพวกเขาสองคนค้นพบว่าทุกครั้งที่กองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาเปิดศึกใหญ่เข่นฆ่าศัตรูอยู่บนชายแดน จุดที่ห่างจากสนามรบออกไปจะต้องมีบัณฑิตชุดเขียวท่าทางสกปรกมอซอคนหนึ่งยืนมองศึกอยู่ไกลๆ ไม่เคยยื่นมือเข้าแทรก พอศึกใหญ่ปิดฉากลงถึงจากไปอย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นหากศึกใหญ่เกิดขึ้นใหม่ในที่แห่งอื่นอีกครั้ง คนชุดเขียวก็จะมาเยือนเงียบๆ เหมือนเดิม

อิ่นเมี่ยวเฟิงจึงใช้สถานะข้ารับใช้ผู้ปรนนิบัติจักรพรรดิของตนสอบถามเรื่องนี้จากเมืองเซิ่นจิ่ง แต่กลับไม่มีใครสามารถตรวจสอบเจอที่มาของคนผู้นี้ ภายหลังอาศัยอารามจินติ่งสำนักของตัวเองถึงได้รู้ว่าจงขุยคือวิญญูชนที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาต้าฝู อายุสิบสองเป็นนักปราชญ์ อายุสิบแปดเป็นวิญญูชน อายุยี่สิบก็ได้รับสองคำว่า ‘เจิ้งเหริน’ (เจิ้งเหรินหมายถึงคนที่ซื่อตรงเปิดเผย/คนที่เหมาะสม/คนที่ใช่) เสริมมาด้านหลังบรรดาศักดิ์วิญญูชน การได้รับคำว่าเจิ้งเหริน ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งจะตัดสินใจได้เอง จำเป็นต้องให้อริยะของสถานศึกษาสายบุ๋นที่วิญญูชนผู้นั้นอยู่ทำการทดสอบด้วยตัวเอง จากนั้นอริยะหลายท่านที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นต้องพยักหน้ารับเห็นด้วยถึงจะถือว่าผ่านด่าน

เพราะว่าวิญญูชนเจิ้งเหรินทุกคนล้วนถูกเรียกว่าเป็น ว่าที่อริยะ

ชื่อเสียงของสำนักศึกษาต้าฝูเทียบกับสำนักศึกษาอีกสองแห่งที่ตั้งอยู่ทางเหนือและใต้ของใบถงทวีปไม่ได้ แต่ในสายตาของคนฝ่ายในลัทธิขงจื๊อและตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักในชื่อแล้ว ในฐานะบัณฑิตที่เกิดและเติบโตมาในใบถงทวีป จงขุยได้รับความใกล้ชิดสนิทสนมจากกองกำลังแต่ละฝ่ายและพวกเซียนดินอย่างมาก เพื่อช่วงชิงให้วิญญูชนเจิ้งเหรินท่านนี้มานั่งบัญชาการณ์อยู่ในแคว้นของตัวเอง ราชวงศ์หลายแห่งที่แข็งแกร่งที่สุดในใบถงทวีปต่างก็พยายามอุทิศตนเพื่อสำนักศึกษาต้าฝูกันอย่างเต็มที่

ต่อให้เป็นเจ้าอารามอารามจินติ่ง เมื่อลงจากภูเขามาพบเจอกับจงขุยโดยบังเอิญ เกรงว่าก็คงต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยมารยาทของคนในระดับที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานจึงไม่กล้าแสดงความไม่เคารพออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว

เส้ายวนหรานสัมผัสได้ว่านักพรตเป่าเจินอาจารย์ของตนถึงขั้นจงใจแสดงความนอบน้อมและประจบเอาใจจงขุยด้วยซ้ำ

ในใจของผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนแห่งอารามจินติ่งผู้นี้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมา

อิ่นเมี่ยวเฟิงจำต้องทำตัวถ่อมตนเช่นนี้

เรื่องการเลื่อนขั้นจวนปี้โหยวเป็นตำหนักอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมาก ในฐานะลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู ไม่แน่ว่าจงขุยอาจจะกลายเป็นผู้ตัดสินใจในท้ายที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะทั้งทำภารกิจลับของเมืองเซิ่นจิ่งได้สำเร็จ อีกทั้งยังช่วยต้าเฉวียนผูกสัมพันธ์กับว่าที่อริยะลัทธิขงจื๊อในอนาคตคนหนึ่งด้วย ถ้าเช่นนั้นในอนาคตเส้ายวนหรานลูกศิษย์ที่ตนให้ความสำคัญที่สุดก็จะมีที่พึ่งนอกเหนือจากอารามจินติ่ง

จงขุยย่อมเคยได้พบนักพรตที่มาอยู่ในโลกมนุษย์คู่นี้มาก่อน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ความประทับใจไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ถือว่าดีนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดทักทายกับพวกเขาไปนานแล้ว

หลังจากอิ่นเมี่ยวเฟิงกล่าวถึงเป้าหมายการมาเยือนจวนปี้โหยวยามค่ำคืนในครั้งนี้แล้ว จงขุยที่ค้นพบว่าเทพวารีลำคลองหมายเหอทำท่าวางตัวอยู่เหนือเรื่องราว เขาก็ทั้งโมโหทั้งขำ เพียงแต่ว่าคืนนี้เขามาที่ลำคลองหมายเหอ เดิมทีก็เพราะเรื่องนี้อยู่แล้ว บวกกับเรื่องที่ปีศาจลำคลองติดสินบนเมืองเซิ่นจิ่ง ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ถือว่าละเมิดข้อห้ามของเขา ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสพูดกับอิ่นเมี่ยวเฟิงว่า “เรื่องหนังสือที่จะเอามาตั้งบูชาในจวนปี้โหยว ข้าจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมเจ้าแม่เทพวารีเอง พวกเจ้าเอาไปรายงานทางเมืองเซิ่นจิ่งได้อย่างสบายใจ แน่นอนว่าต้องเลือกใช้คำที่ฉลาดหน่อย เมื่อเรื่องนี้สำเร็จ พวกเจ้าก็จะมีคุณความชอบ แต่หากไม่สำเร็จ พวกเจ้าก็ไม่ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดครั้งนี้ข้าถึงยอมช่วยพวกเจ้า นั่นก็ย่อมต้องมีต้นสายปลายเหตุอยู่แล้ว แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดส่งเดชให้วุ่นวาย”

อิ่นเมี่ยวเฟิงซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด ครั้นจึงบอกลาไปพร้อมกับลูกศิษย์เส้ายวนหราน

พ่อบ้านผู้เฒ่าเดินนำทางพาเจ้าแม่เทพวารีของตนและแขกหนุ่มคนนั้นที่เหมือนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนที่ใช้รับรองแขก

เฉินผิงอันเดินอยู่ข้างกายจงขุย สายตาก็คอยมองทัศนียภาพของจวนปี้โหยวไปด้วย บนผนังบังตาวาดภาพมีชีวิตของศาลเทพวารีและลำคลองหมายเหอที่ไหลรินเอาไว้ ควันธูปลอยหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง น้ำในแม่น้ำซัดโถม และยังมีเสียงน้ำดังมาให้ได้ยิน

มีเพียงเทพวารีเท่านั้นที่มองเห็นจิตหยินของเฉินผิงอัน อาจารย์และลูกศิษย์ของลัทธิเต๋าสองคนนั้นต่างก็ไม่อาจมองเห็น นี่เป็นเพราะว่าศาลเทพวารีและจวนปี้โหยวที่เฉินผิงอันอยู่ในเวลานี้ล้วนอยู่ในอาณาเขตของลำคลองหมายเหอ ส่วนปีศาจลำคลองกับผีพราย ฝ่ายแรกขอแค่อยู่ในแม่น้ำลำคลองและทะเลสาบ ตบะก็จะลึกล้ำ โดยเฉพาะในลำคลองหมายเหอที่มันเลือกเดินลงมา อันที่จริงมันได้รับวิชาอภินิหารที่ใกล้เคียงกับเทพวารีมาอย่างหนึ่งแล้วด้วย ดังนั้นจึงมองเห็นเฉินผิงอันเช่นกัน ส่วนพวกผีพรายทั้งหลายกลับเหมือนเวลาที่ผีขี้เหล้า ‘ได้กลิ่นหอมของเหล้า’ ถึงได้ถูกดึงดูดมาตามธรรมชาติมากว่า

มองห้องโถงขนาดใหญ่ที่สว่างเจิดจ้าเพราะเทียนที่ใช้จุดไฟใหญ่เท่าแขนคน บนโต๊ะยังวางบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าถ้วยนั้นเอาไว้

พอเห็น ‘ถ้วยใหญ่’ ใบนั้น เฉินผิงอันก็อึ้งตะลึงจนพูดไม่ออก

จงขุยสีหน้าเป็นปกติ นั่งแปะลงไปข้างโต๊ะ พูดกับเจ้าแม่เทพวารีด้วยรอยยิ้ม “ขอข้าด้วยถ้วยหนึ่ง ไม่เอาถ้วยใหญ่ขนาดนี้ แค่ใส่ถ้วยเล็กๆ มาก็พอ”

นางพยักหน้ารับ จากนั้นหันไปมองเฉินผิงอัน “คุณชายท่านนี้จะกินอาหารมื้อดึกด้วยหรือไม่?”

จิตหยินไม่หมือนจิตหยางที่เป็นดั่งร่างนอกร่างของผู้ฝึกตน ไม่อาจกินอาหารรสเลิศในโลกมนุษย์ได้ ได้แค่ใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินมาเป็นสิ่งชดเชย

เฉินผิงอันจึงยิ้มส่ายหน้าบอกว่าไม่กิน

หนึ่งเทพวารี หนึ่งวิญญูชนนั่งร่วมโต๊ะกัน ต่างคนต่างกินบะหมี่ปลาไหลในอ่างและในถ้วยของตัวเอง

เสียงของจงขุยดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน “เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ไม่รู้ว่าเจอกับโชควาสนาแบบใดถึงได้รับการสืบทอดจากยุคบรรพกาลมา สามารถใช้บทกวีขอฝนบนป้ายศิลามาเป็นคาถาในการหลอมอาวุธ ว่ากันว่าระดับขั้นของคาถานี้สูงมาก ถือเป็นรากฐานในการบรรลุมรรคาของเซียนห้าขอบเขตบนท่านนั้น ด้วยเหตุนี้คนบางคนจึงให้ความสนใจอย่างมาก เพียงแต่ติดที่ชื่อเสียง จึงได้แต่วางแผนอย่างเชื่องช้า”

ตามคำบอกของจงขุย เทพวารีลำคลองหมายเหอหลอมอาวุธมาแล้วทั้งสิ้นเก้าชิ้น สองชิ้นในนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นสมบัติอาคม ระหว่างที่ต่อสู้กับปีศาจลำคลองทำเสียหายไปสามชิ้น นั่นคือสมบัติอาคมที่ทำให้นางสามารถกำราบปีศาจลำคลองไว้ได้อย่างอยู่หมัดตลอดเวลาสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าจำนวนอาวุธของนางมีมากเกินไป

สตรีบนโลกเวลาออกไปท่องเที่ยวชานเมืองจะต้องเปลี่ยนชุดกระโปรง เปลี่ยนเครื่องประทินโฉม ทว่าเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอท่านนี้ ยามที่ออกตรวจตราพื้นที่ในปกครองจะเลือกอาวุธชิ้นไหนติดตัวไปด้วยก็ต้องดูที่อารมณ์ในขณะนั้น

กินอาหารมื้อดึกเรียบร้อยแล้ว เจ้าแม่เทพวารีก็พูดกับจงขุยอย่างตรงไปตรงมาว่า “รบกวนท่านวิญญูชนช่วยยืนยันให้ข้าแน่ใจสักหน่อยว่า หากข้าดึงดันจะขอตำราเล่มนั้นของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาให้ได้ สำนักศึกษาต้าฝูจะหาข้ออ้างมาทำลายจวนปี้โหยวของข้าให้พินาศวอดวายหรือไม่? หรือจะจงใจสร้างความลำบากใจให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน ทำให้ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกเป่ยจิ้นและหนันฉีร่วมมือกันมาทำลายจนสิ้นชาติ?”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าต้องหันมามองนางเสียใหม่แล้ว

จงขุยส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำนักศึกษาต้าฝูไม่ได้ป่าเถื่อนเผด็จการขนาดนั้น อย่างมากก็แค่ปล่อยให้จวนปี้โหยวทำลายอนาคตของตัวเองไป วันหน้าไม่ว่าเจ้าและราชวงศ์ต้าเฉวียนจะสร้างคุณความชอบมากแค่ไหนก็ไม่มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนักอีกแล้ว ข้อนี้เจ้าต้องคิดให้ดี วันนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะลึกๆ ในใจเจ้ารู้สึกว่าการเลื่อนขั้นเป็นตำหนักปี้โหยวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะเลื่อมใสในบทความอันมีคุณธรรมของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งผู้นั้นจริงๆ สรุปแล้วก็คือเจ้ายืนยันจะปฏิเสธความหวังดีจากสำนักศึกษาต้าฝู นับจากนี้ไปย่อมถูกสำนักศึกษาจดจำความแค้น เรื่องในวันนี้จะถูกจดลงในเอกสารคดีของสำนักศึกษา วันหน้าต่อให้เจ้าสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ทำให้ปวงประชาผาสุก มีคุณความชอบต่อแผ่นดินมากแค่ไหน ก็ยังได้แค่แขวนป้ายคำว่าจวนปี้โหยวเท่านั้น ถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะรู้สึกว่าสำนักศึกษาทำไม่ถูก เช่นนั้นก็ไม่สู้ลองพิจารณาการเลือกในวันนี้ดูให้ดี”

นางพยักหน้ารับ “ข้าจำไว้แล้ว ถึงเวลานั้นจะไม่มีทางตำหนิสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเจ้าเด็ดขาด ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็ต้องบอกว่าข้าดูหมิ่นอำนาจของสำนักศึกษาต้าฝูพวกเจ้าถึงจะถูก”

จงขุยหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้ด้วยหรือ?”

เทพวารีตัวเล็กๆ ของจวนปี้โหยวกล้าปฏิเสธการแต่งตั้งจากสำนักศึกษาต้าฝู หากสำนักศึกษาอีกสามแห่งในใบถงทวีปมาเห็นเข้า นี่ไม่ใช่เรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ?

‘ข้อสรุป’ เหล่านี้ของจงขุยมองดูเหมือนเรียบง่ายผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วเขากลับต้องแบกรับความเสี่ยงและแรงกดดันที่สูงมาก

บัณฑิตให้ความสำคัญกับหน้าตามากที่สุด แม้บางครั้งต้องอัดอั้นตันใจ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าหากถูกตบหน้าต่อหน้าคนมากมาย มีความเป็นไปได้มากว่าจะยกพู่กันขึ้นมาสังหารคน

ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ของจงขุยในคืนนี้ก็คือยันต์คุ้มกันกายแผ่นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับจวนปี้โหยวและศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ

ถึงอย่างไรจงขุยก็ต้องเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูคนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นมีคนเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตนี้จงขุยมีหวังว่าจะได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง

นางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เอาบะหมี่อีกสักชามไหม?”

จงขุยจุ๊ปากพูด “บะหมี่หนึ่งชาม ปกป้องคนทั้งจวนปี้โหยว บะหมี่หนึ่งชาม ปกป้องคนทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียน เจ้าแม่เทพวารี เจ้าช่างดีดลูกคิดไว้ได้ถี่ถ้วนยิ่งนัก”

แม้ปากของจงขุยจะไม่ละเว้นคน แต่ก็ยังขอบะหมี่เพิ่มอีกหนึ่งชาม เพราะว่าอร่อยมากจริงๆ นางยังบอกให้คนยกเหล้าชั้นดีมาอีกสองไห กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ขนาดเฉินผิงอันที่ดื่มเหล้ามานักต่อนักแล้ว หากไม่นับรวมเหล้าลืมทุกข์หวงเหลียนของภูเขาห้อยหัว คิดว่าคงมีแต่เหล้าหมักกุ้ยฮวาเท่านั้นที่พอจะทัดเทียมได้ เพียงแต่ว่าทั้งดื่มเหล้า ทั้งกินบะหมี่ เขาล้วนไม่อาจมีส่วนร่วมด้วยได้เลย

ก่อนจะดื่มเหล้า เจ้าแม่เทพวารีพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่านี่คือเหล้าหมักร้อยปี ห้ามดื่มมากเด็ดขาด คนหนึ่งดื่มมากสุดได้แค่สามถ้วยใหญ่เท่านั้น หากดื่มมากกว่านี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็เมาล้มได้

แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าทั้งนางและจงขุยต่างก็ดื่มกันคนละสี่ถ้วยใหญ่ เหล้าไหหนึ่งถูกดื่มจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เจ้าแม่เทพวารียังบอกให้บ่าวในจวนไปหยิบมาเพิ่มอีกไห

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้เห็นผีขี้เหล้าสองคนที่คออ่อนยิ่ง

จงขุยคร่ำครวญเรียกหาจิ่วเหนียง

ส่วนเทพวารีก็ตะเบ็งเสียงพูดจาภาษาคนเมา บางครั้งยังยกมือตบโต๊ะช่วยเพิ่มความฮึกเหิมให้กับตัวเอง เวลานี้นางยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนเก้าอี้ ใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง ถามจงขุยที่นางเพิ่งรับเป็นพี่น้องว่า “อยู่ในยุทธภพ ต้องอาศัยอะไร?!”

จงขุยยังคงพร่ำเพ้อถึงจิ่วเหนียงของเขา

นางจึงถามเองตอบเองว่า “ความหยิ่งในศักดิ์ศรี! กระดูกสันหลังต้องยืดตรง หมัดต้องแข็ง คำพูดคำจาและการวางตัวต่างก็ต้องผ่าเผยกว้างขวาง! พี่น้องจงขุย ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว มีความรับผิดชอบเหมือนชายชาตรี! ข้าเลยรับเจ้าเป็นพี่น้อง วันหน้าจะบุกน้ำลุยไฟ เจ้าแค่พูดมาคำเดียว!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเบื่อหน่าย

ในใจคิดว่าหากเด็กชายชุดเขียวงูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงอยู่ที่นี่ด้วย คงต้องพูดอะไรที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำมิตร แถมยังตบอกเสียงดังสะเทือนไปถึงชั้นฟ้าแน่ๆ

จงขุยชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ทว่าตำแหน่งที่ชี้ห่างจากเทพวารีไปไกลโข พูดด้วยดวงตาปรือปรอยว่า “ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพไม่ใช่เรื่องของผู้ฝึกยุทธ์หรอกหรือ เจ้าเป็นเทพวารีคนหนึ่ง…ไม่ถูกสิ ดูเหมือนการพูดว่าเทพวารีอยู่ในยุทธภพ (แปลอีกอย่างได้ว่าแม่น้ำและทะเลสาบ) จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว ก็ได้ ถือว่าเจ้าพูดถูกแล้ว เพียงแต่ว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้…”

เทพวารีเลิกคิ้ว กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ พูดลิ้นพันกัน “เวลาปกติก็มีข้าวกิน! กินอิ่มมากเลยล่ะ เนื้องูตุ๋น บะหมี่ปลาไหลผัดฉ่า พ่อครัวของข้าบอกว่าเมื่อก่อนเคยทำอาหารให้ฮ่องเต้กิน ฝีมือจึงยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้น…คนเราจึงยังต้องมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี!”

จงขุยโคลงศีรษะ “เจ้ามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าต้องการแค่จิ่วเหนียง…”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เตรียมจะไปชมทิวทัศน์ที่หน้าประตูห้องโถง

เหล้ารสดีอยู่ใกล้ในระยะประชิดแต่ดื่มไม่ได้ ได้แต่มองอย่างเดียวย่อมชวนให้คนหงุดหงิดใจ

และเวลานี้เอง จงขุยก็ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง ชุดเขียวสั่นสะเทือน ความเมามายหายเป็นปลิดทิ้ง

ส่วนเทพวารีกลับหัวกระแทกโต๊ะดังโป้กแล้วหลับสนิทไปทันที

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง

เห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่มีความสูงในระดับปานกลาง สวมใส่ชุดลัทธิขงจื๊อ

จงขุยกุมมือคารวะ “ลูกศิษย์จงขุยคารวะท่านอาจารย์”

คนผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักเนิบช้า “ช่วงก่อนหน้านี้ลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักฝูจีไปเจอเข้ากับหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนที่ข่าวส่งมาถึงสำนักศึกษา ยังไม่ทันรอให้พวกเราวางแผนเสร็จสิ้น ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้เสียก่อนว่าท่าไม่ดี นั่นคือปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนตนหนึ่ง ภูเขาของสำนักฝูจีถูกมันทำลายไปเกือบครึ่ง ขอบเขตหยกดิบสองคนของสำนักฝูจี คนหนึ่งตาย คนหนึ่งบาดเจ็บ ปีศาจใหญ่เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พยายามจะหนีไปทางทะเลตะวันตก ยังดีที่เจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงขวางเอาไว้ ทว่าพวกภูตผีปีศาจที่ภูเขาไท่ผิงกำราบไว้ใต้บ่อมานานหลายพันปีกลับหนีไปเกินครึ่งในช่วงเวลานี้พอดี ตอนนี้ภาคกลางของใบถงทวีปจึงโกลาหลไม่หยุด”

จงขุยสีหน้าเคร่งเครียด “อาจารย์ ศิษย์ควรทำเช่นไร?”

คนผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ใช่ดื่มสุราดับทุกข์จนดึกดื่นก็แล้วกัน”

จงขุยก้มหน้า “ศิษย์ผิดไปแล้ว”

คนผู้นั้นถอนหายใจหนึ่งที “ก่อนฟ้าสางจงออกเดินทางไปยังภูเขาไท่ผิง ถึงเวลานั้นเจ้ากับลูกศิษย์ของสำนักศึกษาทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งจากนักพรตของภูเขาไท่ผิง ห้ามอาศัยสถานะของสำนักศึกษากระทำการตามอำเภอใจเด็ดขาด ได้ยินไหม?!”

จงขุยพยักหน้ารับ “ทราบแล้ว”

จงขุยทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

บุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่น่าจะเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักต้าฝูส่ายหน้า “การล้อมปราบปีศาจใหญ่ตนนี้ มีเพียงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนถึงจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วม”

จงขุยเงียบงัน

สุดท้ายบุรุษชุดลัทธิขงจื๊อกล่าวว่า “จงขุย เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก ภัยพิบัติในครั้งนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสตายได้ทั้งนั้น ต่อให้เป็นข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

จงขุยพยักหน้ารับ แล้วพลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง “เมืองหูเอ๋อร์?”

อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบว่า “สามารถปล่อยไปก่อนได้ชั่วคราว”

สายตาของจงขุยซับซ้อน

กายธรรมของอริยะที่มาเยือนจวนปี้โหยวพลันหายวับไป

เฉินผิงอันยืนอึ้งปากอ้าตาค้างอยู่ตรงหน้าประตู

สำนักฝูจี ภูเขาไท่ผิง

ล้วนเป็นชื่อสำนักในใบถงทวีปที่เฉินผิงอันคุ้นหูดี โดยเฉพาะเทพธิดาจากหอจิ้งซินในพื้นที่มงคลดอกบัวผู้นั้น ตัวตนที่แท้จริงของนางก็คือนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่ชื่อว่าหวงถิง

ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือปีศาจใหญ่ตนนั้นกลับทำให้คู่รักเทพเซียนของสำนักฝูจี หนึ่งตาย หนึ่งบาดเจ็บ?

จงขุยลุกขึ้นยืน มองมายังเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันไม่เข้าใจ “มีอะไรหรือ?”

จงขุยยิ้มเจื่อน “ข้าอาจจะมีคำขอร้องอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ้าลำบากใจ”

เฉินผิงอันเข้าใจความคิดของจงขุยทันที “เหล็กหมาดหิมะชิ้นนั้น?”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ส่ายหน้า

จงขุยสีหน้าหม่นหมอง แต่ก็เข้าใจเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ยกให้เจ้าไม่ได้ แต่ให้เจ้ายืมได้”

จงขุยถาม “จริงหรือ?! เจ้าคิดดีแล้วหรือ การเข่นฆ่าครั้งนี้อันตรายอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่ข้าจงขุยเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าก็อาจตายได้ เจ้าไม่กลัวว่าให้ข้ายืมเหล็กหมาดหิมะ ช่วยให้ข้าตวัดพู่กันเหมือนมีเทพช่วย แต่วันใดวันหนึ่งมันอาจถูกทำลายอยู่ในสนามรบหรอกหรือ? ไม่กลัวว่าต่อให้ข้าจงขุยไม่ตาย สุดท้ายก็อาจจะเล่นแง่ไม่ยอมคืนมันให้เจ้าหรือไร?”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ยื่นนิ้วออกมาสี่นิ้ว

จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “เข้าใจแล้ว ถามใจตัวเอง”

เฉินผิงอันพลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง “ให้ร่างจริงของข้ามาที่จวนปี้โหยว? ระยะทางน้ำสามร้อยลี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย ไม่สู้เจ้าจงขุยไปเอาเหล็กหมาดหิมะที่โรงเตี๊ยมริมลำคลองโดยตรงเลยดีกว่า?”

จงขุยครุ่นคิด “สามารถให้เจ้าแม่เทพวารีพาร่างจริงของเจ้ามาได้ รับรองว่าเร็วมาก เพราะข้ายังต้องทำบางอย่างที่จวนปี้โหยวแห่งนี้ ไม่เหมาะให้คนนอกเห็น”

จงขุยพูดพลางเดินมาหน้าโต๊ะ ใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะ “เจ้าแม่เทพวารี ยังจะแกล้งหลับอยู่อีกรึ?”

นางลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วคลี่ยิ้ม ก่อนจะลุกออกมา “ข้าจะไปรับร่างจริงของคุณชายท่านนี้เดี๋ยวนี้ เพียงแต่รบกวนให้ร่างจริงของคุณชายกระโดดลงมาในลำคลองหมายเหอหลังจากข้านับถึงสิบ”

จากนั้นเจ้าแม่เทพวารีก็เริ่มนับเลขเสียงดังพลางพุ่งตัวไปยังช่วงหนึ่งของลำคลองหมายเหอที่อยู่ใกล้กับจวนปี้โหยวเพื่อ ‘งมคน’ นี่ก็คือวิชาอภินิหารเฉพาะขององค์เทพในพื้นที่แถบนี้

พอนับถึงสิบ เฉินผิงอันตบหัวตัวเองด้วยความจนใจเล็กน้อย

ครู่หนึ่งต่อมา นอกจากเทพวารีจะพาร่างจริงของเฉินผิงอันมาแล้ว ยังพาหนอนตามก้นตัวน้อยที่ร่างเปียกโชกมาด้วย

จงขุยหัวเราะร่าเสียงดัง

เฉินผิงอันถาม “จิตหยินจะกลับเข้าร่างอย่างไร?”

จงขุยสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ลมเย็นๆ ก็พัดพาเอาจิตหยินของเฉินผิงอันกลับเข้าร่างจริงไปเบาๆ เขาเอ่ยเตือนว่า “หากยังไม่มีจิตหยางคอยติดตามมาช่วยคุ้มครอง วันหน้าอย่าได้ปล่อยจิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนง่ายๆ อีก”

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะหยิบเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น มอบให้กับจงขุย

จงขุยรับเหล็กหมาดหิมะมาแล้วก็ถามว่า “วันหน้าจะคืนให้เจ้าอย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถมอบเหล็กหมาดหิมะไปให้กับเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน ราชสำนักต้าหลีของแจกันสมบัติทวีป”

จงขุยพยักหน้ารับแล้วสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด ยิ่งนานสีหน้าของเขาก็ยิ่งพิลึกพิลั่น

อดไม่ไหวจริงๆ จงขุยจึงถามว่า “เจ้าคงไม่ได้รู้จักกับอาจารย์ฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาจริงๆ หรอกนะ? ข้ารู้เรื่องหลายเรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี”

เฉินผิงอันทั้งไม่พยักหน้ารับและไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ

ส่วนเจ้าแม่เทพวารีกลับดื่มเหล้าดับความตกใจก่อน ถึงค่อยถามอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้จักอาจารย์ของอาจารย์ฉีไหม?”

เฉินผิงอันเกาหัว ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า

ดูเหมือนว่าเรื่องดื่มเหล้านี้จะเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนเขา?

ตอนนั้นพอซิ่วไฉเฒ่าถูกเด็กหนุ่มบางคนแบกไว้บนหลัง ผู้เฒ่าก็ตบศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างแรง แล้วโวยวายว่าเป็นเด็กหนุ่มต้องดื่มเหล้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version