บทที่ 351 วานรขาวลากดาบ คำพูดของวิญญูชน
บนเส้นทางของชีวิตคน มักจะต้องเจอฝนกระหน่ำลมพัดแรงอยู่หลายครั้ง นี่เป็นการที่สวรรค์กำลังบอกเตือนคนบนโลกว่า พวกเจ้าอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ก็จงก้มหน้ายอมรับไปเสียแต่โดยดี
เหมือนอย่างตอนที่เฉินผิงอันพบเจอกับไช่จินเจี่ยนหน้าประตูบ้านตัวเองใน ตรอกหนีผิง เจอกับเจ้าของเดิมของชุดคลุมอาคมจินหลี่ในร่องเจียวหลง จับผลัดจับผลูเข้าไปในจุดลึกของดอกบัวแล้วจึงเจอกับการล้อมสังหารที่ปรมาจารย์หลายท่านร่วมมือกัน
แค่ต้องดูว่าจะอดทนผ่านมันไปได้หรือไม่
หากผ่านไปได้ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใส หากผ่านไปไม่ได้ อย่างมากสุดก็เหมือนพวก ผู้ฝึกยุทธ์ที่ตะโกนโหวกเหวกว่าอีกสิบแปดปีให้หลังก็ยังเป็นวีรบุรุษชายชาตรีได้อยู่ดี
อาจารย์เป็นผู้นำพาเข้าสำนัก การฝึกบำเพ็ญตนอยู่ที่ตัวคน
วันนี้จงขุยก็เป็นเช่นนี้
ก่อนหน้าจะถึงวันนี้ การฝึกตนของจงขุยแห่งสำนักศึกษาต้าฝูดีเกินไปและเร็วเกินไป ทำให้คนตกตะลึงและอิจฉามากเกินไป บนมหามรรคาเขาพุ่งนำไปข้างหน้าจนคนด้านหลังมองไม่เห็นฝุ่น ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อทุกคนที่อยู่ในใบถงทวีปต่างก็มองไม่เห็นแผ่นหลังของเขา
ทว่าวันนี้วานรขาวปรากฏกายบนโลก
ศัตรูตัวฉกาจที่จะตัดสินเป็นตาย
เมื่อเทียบกับอาจารย์ของจงขุย เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูที่ไปขัดขวางไม่ให้ปีศาจใหญ่ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใกล้กับสำนักฝูจีลงมหาสมุทรแล้ว อันที่จริงจงขุยกลับอันตรายกว่ามาก
นี่นับว่าผิดต่อความตั้งใจเดิมของเจ้าขุนเขา
สภาพการณ์ของจงขุยในเวลานี้แทบจะเรียกได้ว่าต้องตายสถานเดียว
วานรขาวมองบัณฑิตหนุ่มที่ถูกมองว่ามีหวังจะได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาบางแห่งในอนาคตด้วยสายตาเฉยชา
จงขุยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ต่อให้จะยังไม่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหริน ทั้งยังไม่ใช่เผ่าปีศาจที่เกิดมาก็มีเรือนกายแข็งแกร่ง
แต่วานรขาวที่สะพายกระบี่โบราณเล่มหนึ่งไว้ด้านหลังตนนี้ก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง
หากจะบอกว่าผู้ฝึกลมปราณคือโจรที่ละเมิดวิถีสวรรค์ กล้าที่จะท้าทายโชคชะตาความเป็นความตายที่วัฏจักรแห่งวิถีสวรรค์กำหนดไว้มากที่สุดในใต้หล้า ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ฝึกกระบี่ก็คือหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณที่ไม่มีเหตุผลมากที่สุด
วิญญูชนนั้นไซร้ หากมิเกิดเหตุใดย่อมมิไร้หยกพกติดกาย
กระบี่แรกที่วานรขาวชักออกจากฝักก็คือทำลายหยกประดับคุ้มกันกายที่วิญญูชนทุกคนจะได้รับมอบมาจากสำนักต้าฝูให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง
ระหว่างหนึ่งวิญญูชนกับหนึ่งปีศาจใหญ่คือเศษซากหยกประดับที่ซุกซ่อนสัจธรรมแห่งบทประพันธ์ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ตัวอักษรสีทองหลายร้อยตัวพากัน สลายหายไปจากโลกมนุษย์คล้ายฝนเม็ดเล็กสีทองที่ตกลงมาครู่สั้นๆ
จงขุยพลันถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้งจนไปอยู่ริมขอบด้านนอกอีกฝั่งหนึ่งของบ่ออเวจี ชายแขนเสื้อสองข้างพองโป่ง ลมฤดูใบไม้ร่วงเยียบเย็น ในชายแขนเสื้อ สีเขียวเล็กๆ สองข้างเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจหนาข้นยิ่งใหญ่ดุจทหารที่จัดเรียง ขบวนทัพอยู่บนสนามรบในฤดูใบไม้ร่วง
บ่ออเวจีแห่งนี้ของภูเขาไท่ผิงคือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายบ่อน้ำขนาดใหญ่มโหฬารแห่งหนึ่ง ผนังบ่อเจาะเป็นขั้นบันไดที่ทอดยาวหมุนวนลงไปด้านล่าง ภายในเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึมประหนึ่งถ้ำไร้ก้นแห่งหนึ่งที่มุ่งหน้าลงไปสู่ โลกแห่งความมืดมิด
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างแค่ขยับเข้าใกล้บ่ออเวจีก็จะถูกปราณชั่วร้ายที่สั่งสมมานานหลายปีของบ่อปั่นป่วนลมปราณให้วุ่นวาย รุกรานเข้าไปในร่างกาย
นักพรตที่ได้เข้ามาอยู่ในภูเขาไท่ผิงอย่างเป็นทางการจะต้องผ่านการฝึกบำเพ็ญตน ที่ยากลำบากอย่างหนึ่ง นั่นคือต้องนั่งเข้าฌานลืมตนอยู่ใกล้กับบ่อโบราณเพื่อ หล่อหลอมเรือนกายและจิตใจ นั่นเป็นความลำบากยากเข็ญที่แทบเอ่ยเป็นคำพูดไม่ได้
การที่นักพรตหญิงหวงถิงถูกมองเป็นหยกงามแห่งการฝึกตนที่มีพรสวรรค์ น่าครั่นคร้ามก็เพราะว่าครั้งแรกที่นางเข้าใกล้บ่ออเวจีพร้อมกับศิษย์พี่ชายหญิงใน ปีนั้น ในขณะที่ทุกคนพยายามประคับประคองตัวไม่ให้ปราณชั่วร้ายไหลบ่าเข้าไปในช่องโพรงลมปราณอย่างยากลำบาก นางกลับไม่รู้สึกอะไรที่ผิดปกติเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังแอบเดินไปยังทางเข้าริมขอบบ่ออเวจีด้วย หากไม่เป็นเพราะตอนนั้น นักพรตเฒ่าของภูเขาไท่ผิงที่รับผิดชอบคอยจับตามองการฝึกตนของเด็กรุ่นหลัง รีบตามไปดึงคอเสื้อของเด็กหญิงขึ้นมา ไม่แน่ว่าตอนที่หวงถิงอายุเก้าขวบก็น่าจะได้เข้าไปในบ่ออเวจีแล้ว
หลังจากนั้นมาหวงถิงก็คอยประชันปัญญาประชันความกล้าหาญอยู่กับผู้อาวุโสของภูเขาไท่ผิง ในที่สุดตอนที่อายุสิบเอ็ดปีก็สามารถเข้าไปในบ่ออเวจีได้สำเร็จ
ผลคือเกือบจะต้องไปตายอยู่ในจุดลึกของบ่อ ลงไปไม่ได้ ออกมาก็ไม่ได้ หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
สุดท้ายเป็นวานรขาวชุดดำตนหนึ่งที่โยนนางออกมานอกบ่ออเวจี
วานรเฒ่าเดินไปข้างหน้าช้าๆ ย่างก้าวผ่อนคลาย มาหยุดอยู่ริมขอบของปากบ่อที่กั้นขวางเขากับจงขุย
กระบี่โบราณที่ออกจากฝักเล่มนั้นปราณกระบี่หนักอึ้งเกินไปจึงมองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของตัวกระบี่แล้ว หลังจากหนึ่งกระบี่ทำลายหยกประดับที่ถือเป็น สมบัติอาคมชั้นยอดไปแล้ว กระบี่บินเล่มนั้นก็ไม่ได้อยู่บนภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ แต่ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าห่างออกไปมีรุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยาน ดุจสายฟ้า ราวกับงูขาวตัวเล็กบางที่เลื้อยอยู่บนผ้าสีดำขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาไท่ผิงที่เดิมทีควรถูกชักนำจึงหยุดการโคจรในเสี้ยววินาที อีกทั้งยังเกิดความวุ่นวายโกลาหลที่ผิดปกติด้วย
จงขุยไม่สามารถบังคับค่ายกลใหญ่ให้กำราบปีศาจตนนี้ได้
บรรพจารย์กำลังเดินทางไปรับหวงถิงมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าประมุข ไปสกัดขวางปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองที่สำนักฝูจี เซียนดินก่อกำเนิดที่เป็นผู้จัดการดูแลภูเขาไท่ผิง ก่อนจะลงจากภูเขาได้บอกวิธีควบคุมจุดศูนย์กลางของค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขาให้กับจงขุยที่เป็นคนนอกอย่างไม่ปิดบัง ไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะ วิญญูชนสำนักศึกษาต้าฝูของเขา เพียงแค่เชื่อมั่นในตัวจงขุยเท่านั้น อันที่จริง การกระทำเช่นนี้ย่อมต้องตกเป็นผู้สงสัยว่ากระทำเกินขอบเขตอำนาจ อีกทั้งยังมี ความเป็นไปได้มากว่าจะเปิดเผยความลับวงในของภูเขาไท่ผิง ทว่าคนทั่วทั้งบน และล่างภูเขาไท่ผิงกลับไม่มีใครมีความเห็นต่าง
เคยมีอริยะกล่าวไว้ว่านักพรตของภูเขาไท่ผิงต่างก็มีมาดแห่งจอมยุทธ์ใน สมัยโบราณ
ซึ่งพวกเขาก็คู่ควรกับคำสรรเสริญนี้จริงๆ
เพียงแต่ว่าธรรมะสูงหนึ่งศอก อธรรมสูงหนึ่งจั้ง ไม่เสียแรงที่วานรขาวเป็นข้ารับใช้ ผู้พิทักษ์ภูเขาไท่ผิงมาสามพันปี ถึงกับทำให้ค่ายกลใหญ่หยุดชะงักได้
จงขุยสีหน้าเคร่งเครียด ในใจท่องบทความของอริยะปราชญ์บทหนึ่ง
ลมฤดูใบไม้ร่วงในชายแขนเสื้อทั้งสองข้างของเขา เมื่อเทียบกับลมเปิดหน้าหนังสือที่ผู้คนได้แต่ปรารถนา ทว่าไม่อาจได้มาครอบครองแล้วยังมีระดับสูงยิ่งกว่า
ตอนนั้นจงขุยยังอายุไม่ถึงยี่สิบก็ได้เลื่อนขั้นเป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษา เนื่องจากใช้ชีวิตหลงระเริงอยู่ตลอดทั้งปี เขาที่อยู่ในสำนักศึกษาต้าฝูจึงมี ‘ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ อย่างยิ่ง อาจารย์หลายคนที่มีนิสัยคร่ำครึตายตัวต่างก็ไม่ชอบเขา หากไม่เป็นเพราะเจ้าขุนเขาให้การปกป้องเขาอย่างที่แทบจะเรียกได้ว่าลำเอียง ยศนักปราชญ์คงถูกถอดถอนไปนานแล้ว การได้เป็นนักปราชญ์และวิญญูชนของ สำนักศึกษาไม่ใช่เรื่องที่ลำบากครั้งเดียวแล้วจะสบายไปตลอดชาติ ทุกๆ ระยะเวลาสองสามปีจะต้องมีการทดสอบครั้งใหญ่ ตอนนั้นจงขุยดื่มเหล้าจนเมามาย นอนหลับไปสามวันสามคืน ทำให้เขาขาดสอบไปโดยตรง เหล่าอาจารย์อายุมากของสำนักศึกษา บ้างก็ทนรับนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของจงขุยไม่ไหว บ้างก็โกรธเคืองที่เขาย่ำยีพรสวรรค์ของตัวเองให้เสียเปล่า บ้างก็คิดว่าในเมื่อสวรรค์ประทานภารกิจยิ่งใหญ่มาให้ก็ย่อมต้องตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี ดังนั้นนักปราชญ์และวิญญูชนทุกคนจึงพร้อมใจกันลงชื่อเสนอให้เจ้าขุนเขาถอดถอนสถานะนักปราชญ์ของจงขุยออก
ผลกลับกลายเป็นว่าวันนั้นคือฤดูหนาวที่หิมะตกหนักพอดี จงขุยเดินเท้าเปล่าอยู่ท่ามกลางหิมะ ปากก็ท่องบทความจริยธรรมของอริยะบางท่านบทหนึ่ง อีกทั้ง ยังทำท่าแหงนหน้าถามสวรรค์ แสดงข้อสงสัยที่มีต่อบทความของอริยะท่านนั้น อย่างกำเริบเสิบสาน สุดท้ายจงขุยก็ถามเองตอบเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่น้อย
ตอนที่จงขุยหยุดเดิน ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บกลับมีลมฤดูใบไม้ร่วงระลอกหนึ่งพัดพาเอาคำชมว่า ‘ประเสริฐ’ จากปากของอริยะท่านนั้นมาให้ดังก้องไปทั้งสำนักศึกษาต้าฝู
ลมฤดูใบไม้ร่วงผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อ
วันนั้นจงขุยก็ได้เลื่อนขั้นเป็นวิญญูชนโดยที่ไม่มีใครกล้ากังขาในตัวเขาอีก
เล่าลือกันว่ายามที่อริยะสร้างตัวอักษร ทั้งผีและเทพต่างก็ร่ำไห้
ตัวอักษรมีพลังในตัวมันเองอย่างแท้จริง อย่างน้อยสำหรับลูกศิษย์สำนักศึกษาแล้วก็เป็นเช่นนี้
การแสดงออกในระดับขั้นที่สูงที่สุดก็คือตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตที่ ‘สุภาพงดงามอันเป็นต้นตำรับแท้จริง’ ซึ่งอริยะในศาลบุ๋นได้ครอบครอง อริยะใหญ่เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนถูกเคารพบูชาอยู่บนแท่นสูงมายาวนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน ได้รับการกราบไหว้จากคนในโลกมนุษย์ สายบุ๋นสืบทอดไม่ขาดหาย ควันธูปดำรงอยู่ตลอดกาล
ทว่าต่อให้เป็นอริยะของศาลบุ๋น ‘ดั้งเดิม’ แห่งนั้น ไม่พูดถึงปรมาจารย์อริยะปราชญ์ ที่ถูกวางไว้ตรงกลางและห้าท่านที่ถูกวางขนาบซ้ายขวา แน่นอนว่าตอนนี้เหลือแค่ สี่ท่านแล้ว อริยะคนอื่นๆ ก็ได้ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตแค่คนละตัวเท่านั้น
ใต้หล้านี้มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น
ฉีจิ้งชุนแห่งสำนักศึกษาซานหยา
ชุน จิ้ง ล้วนเป็นตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของบัณฑิตท่านนี้ อีกทั้งสองตัวอักษรนี้ ยังยิ่งใหญ่อย่างมาก
รองลงมาถึงเป็นคำว่าปากอมกฎแห่งสวรรค์ (เปรียบเปรยว่าพูดจาเป็นหลักเกณฑ์เป็นกฎหมาย สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้) ของพวกวิญญูชนหรือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ปราณเที่ยงธรรมซื่อตรงที่มีอยู่เต็มท้องพวกเขา จะชักนำการขานรับจากฟ้าดิน
หลังจากนั้นก็เป็นบทกวีที่ท่องออกจากปากของพวกนักปราชญ์ซึ่งสามารถชักนำพายุลมกรด ทำให้คนเหลือเพียงโครงกระดูกที่ตั้งอยู่ ทำให้จิตวิญญาณของพวกภูตผีแหลกสลาย
วานรขาวที่สะพายกระบี่แค่เล่มเดียวไว้ด้านหลังยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบ่อซึ่งห่างไปไกล ไม่ได้เอ่ยคำใด มันเพียงแต่ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว
น่าจะกำลังบอกว่า สังหารเจ้าจงขุย ใช้แค่สามกระบี่ก็พอ?
จงขุยไม่พูดไม่จา ไม่ลับฝีปากโต้แย้งใดๆ
หยกประดับที่เป็นตัวแทนของสถานะวิญญูชนชิ้นนั้นได้แจ้งสถานการณ์ของที่แห่งนี้กลับไปยังสำนักศึกษาแล้ว
บริเวณสี่ด้านแปดทิศรอบกายจงขุยคล้ายมีม่านน้ำตกสีขาวหิมะหลายสายปรากฎขึ้น กระแสน้ำสีขาวเหล่านั้นเกิดจากการรวมตัวกันของตัวอักษรขนาดเท่าหัวแมลงวันจำนวนมากที่ส่องประกายแสงเจิดจ้า
ราวกับว่าข้างบ่ออเวจีของภูเขาไท่ผิงมีหน้าหนังสือขนาดใหญ่มหึมาในตำรา อริยะปราชญ์ตั้งวางอยู่หลายหน้า
เป็นเหตุให้ปราณดุร้ายที่แผ่ออกมาจากบ่ออเวจีถูกบังคับข่มทับลงไปเบื้องล่าง สยบภูตผีปีศาจที่อยู่ในนั้นเอาไว้ แต่ละตัวจึงออกฤทธิ์ออกเดชคำรามเสียงแหบแห้ง
เสียงโซ่เหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ใต้บ่ออเวจีสั่นสะเทือนรุนแรงประหนึ่งเสียงสายฟ้าระเบิดแตก
วานรขาวกวาดตามองไปรอบด้าน อันที่จริงภูเขาไท่ผิงมีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอยู่สองอย่าง แบ่งออกเป็นในและนอก มืดและสว่าง หากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่คนทั่วทั้งใบถงทวีปต่างก็รู้จักนั้นถูกเปิดใช้ขึ้นมา จะมีกระจกบานหนึ่งเป็นดั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นบนนภา สาดสะท้อนแสงสว่างไปทั่วภูเขาไท่ผิง ทำให้เหล่าภูตผีปีศาจไม่มีที่ให้ หลบเร้นกาย เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสว่างนั้น ไม่เพียงแต่ตบะและขอบเขตเท่านั้นที่จะถูกกดเอาไว้ ยิ่งเป็นปีศาจและภูตผีก็จะยิ่งพ่ายแพ้ไปในทันที พวกที่มีตบะตื้นเขินอย่างเช่นตบะที่ต่ำกว่าเซียนดิน แค่ถูกกระจกส่องมาร่างก็จะแหลกสลายไปใน ชั่วพริบตา
ทว่าสิ่งที่วานรขาวยำเกรงอย่างแท้จริงไม่ใช่ค่ายกลที่ถูกเล่นตุกติกไปแล้วค่ายกลนี้ แต่เป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของภูเขาไท่ผิงต่างหาก
ประโยชน์ที่แท้จริงของกระจกจันทร์กระจ่างที่สามารถสยบผู้คนครึ่งทวีปนั้น คนนอกคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่มีทางคิดออก เพราะการดำรงอยู่ของมันมีไว้เพียงแค่สะดวกให้ภูเขาไท่ผิงหาตัวศัตรูออกมา แค่นี้เท่านั้น!
สำหรับใบถงทวีปแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นสำนักใหญ่อันดับที่สามตามหลัง สำนักใบถงและสำนักกุยหยกนั้น
ตลอดพันปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปต่างก็พูดกันว่าสำนักฝูจีที่ทั้งเจ้าสำนักและคู่บำเพ็ญเพียรของเขาต่างก็เป็นห้าขอบเขตบน ไม่ว่าคนนอกจะประจบยกยอ หรือให้การยอมรับจากใจจริงแค่ไหน สำนักฝูจีก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือสำนัก อันดับที่สามของใบถงทวีป สำหรับข้อถกเถียงนี้ เจ้าสำนักของสำนักฝูจีเคยพูดจา บ่ายเบี่ยงข้อถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่าหากสำนักฝูจีย้ายไปอยู่แจกันสมบัติทวีปอันเป็นทวีปเล็กๆ ทางทิศเหนือแห่งนั้น ต่อให้พยายามจะช่วงชิงเป็นอันดับหนึ่ง จะมีอะไรยาก?
สายรุ้งสีขาวที่ว่ายวนไม่หยุดนิ่งอยู่นอกภูเขาไท่ผิงเส้นนั้นแหวกผ่าชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาชั้นหนึ่งที่มองไม่เห็นเข้ามาอีกครั้ง ร่วงดิ่งลงมาจากท้องฟ้า ตรงปักเข้าใส่ศีรษะของจงขุย
หน้าหนังสือแต่ละแผ่นที่เป็นดั่งม่านน้ำตกไหลย้อนทวนขึ้นไปด้านบนในแนวเฉียง ก่อตัวเป็นค่ายกลหิมะครึ่งวงกลมอยู่รอบกายและเหนือศีรษะของจงขุย
หลังจากปลายกระบี่ของกระบี่ยาวชนเข้ากับม่านน้ำตก ประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็แตกออก
ความเร็วในการลดลงสู่เบื้องล่างของกระบี่ยาวถูกขัดขวางให้ชะลอช้าลงไป หลายส่วน ทว่าปราณเที่ยงธรรมแห่งฟ้าดินที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำตกกลับสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ต่อให้จะเป็นแค่สะเก็ดไฟที่สาดกระเซ็นออกไปก็ทำให้ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ศาลาชมทัศนียภาพและถ้ำสถิตอันเป็นที่ฝึกตนของเซียนซือซึ่งตั้งอยู่บริเวณโดยรอบบ่ออเวจีของภูเขาไท่ผิงถูกทำลายจนมีแต่หลุมบ่อเต็มไปหมด สัตว์ป่าจำนวน นับไม่ถ้วนร้องโหยหวนแตกฮือเผ่นหนีไปคนละทิศคนละทาง
จงขุยไม่สนใจกระบี่โบราณที่ไม่ช้าก็เร็วต้องแหวกกระแสน้ำตกพุ่งมาถึงตัวเล่มนั้น แต่กลับจ้องไปยังปีศาจใหญ่ที่ยืนนิ่งไม่ขยับตนนั้นเขม็ง
สีหน้าของวานรขาวเป็นปกติ มุมปากยกยิ้มมีเลศนัย เห็นได้ชัดว่ากำลังตั้งตารอ อยากจะเห็นว่าวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่เขาต้องฆ่าสถานเดียวผู้นี้จะยังมีความสามารถอะไรเก็บไว้ก้นกรุอีก
กระบี่ที่อยู่เหนือศีรษะของจงขุยนั้นเป็นแค่กระบี่ที่สองของมันเท่านั้น
เดิมทีหากพวกเผ่าปีศาจคิดจะฝึกตนก็เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว คิดจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งยากอย่างถึงที่สุด ดังนั้นปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้นั้นล้วนเป็นผู้พิชิตของพื้นที่แถบหนึ่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างสมเกียรติ ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจที่เป็นห้าขอบเขตกลาง เมื่ออยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย แทบจะเท่าเทียมกับลูกศิษย์ของสำนักศึกษาใน ใต้หล้าไพศาล ต่อให้ไปแก้แค้นหรือโจมตีผู้อื่นโดยมีเหตุผลที่ถูกต้อง ผู้ฝึกกระบี่ ห้าขอบเขตกลางก็ยังสามารถได้รับการละเว้นโทษตายหนึ่งครั้ง แต่คนที่ไม่รักษากฎ สังหารผู้ฝึกกระบี่อย่างกำเริบเสิบสาน ไม่ว่าสถานะจะสูงส่งมากเท่าไหร่ หากถูกจับได้ล้วนต้องถูกลงโทษสถานหนัก
ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลอาจจะไม่ค่อยรู้ถึงความน่ากลัวของปีศาจใหญ่ ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เท่าใดนัก เพราะถึงแม้จำนวนของภูตผีปีศาจจะมีเยอะมาก แต่ปีศาจใหญ่ที่แท้จริงกลับมีน้อยนิด ทว่าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับรู้ถึงระดับความรับมือยากของปีศาจใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกกระบี่เป็นอย่างดี เพราะต้องให้ ผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์จำนวนเหลือคณานับกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างห้าวหาญถึงจะรับรู้พลังการสังหารที่น่าหวาดกลัวและวิธีการอันอำมหิตของพวกมัน
อาเหลียงแข็งแกร่งถึงเพียงไหน เหตุใดคนจำนวนนับไม่ถ้วนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้ชื่นชมเลื่อมใส ให้การสนับสนุนอาเหลียงมากขนาดนั้น นั่นก็เพราะว่าอาเหลียงขัดเกลาวิถีกระบี่ของตัวเองอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานาน นับร้อยปี ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนซึ่งเป็นขอบเขตเท่าเทียมกันล้วนไม่มีศัตรูคนใดทัดทานเขาได้ ไม่เพียงแต่ไม่เคยพ่ายแพ้ กลับยังไล่ล่าอีกฝ่ายไปไกลหลายหมื่นลี้ ถึงขั้นทำสถิติสังหารศัตรูตายคาที่ได้มากที่สุด
ดังนั้นสำหรับเรื่องที่อาเหลียงบินทะยานจากใต้หล้าไพศาลไปยังสถานที่ประหลาดที่มีเทวบุตรมารอาละวาดอย่างโอหังซึ่งเป็นที่อยู่ของเต๋าเหล่าเอ้อร์ พวกเขาต่อสู้กันจนฟ้าพลิกดินสะเทือน ผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลต่างก็รู้สึกว่าถึงแม้ อาเหลียงจะพ่ายแพ้ แต่กลับเป็นความพ่ายแพ้อย่างทรงเกียรติ
ทว่าหากหันกลับมามองเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พวกมันส่วนใหญ่ล้วนเชื่อมั่นว่าอาเหลียงที่ต่อให้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ยังไม่เพียงพอผู้นั้น จะต้องเล่นงานให้ ‘ผู้ไร้ศัตรูที่แท้จริง’ ผู้นั้นกลายมาเป็นมีศัตรูได้จริงๆ อย่างแน่นอน
เผ่าปีศาจเคารพยำเกรงและเลื่อมใสคนที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้จะเกลียดแค้นเจ้าอาเหลียงที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ผู้นั้นเข้ากระดูกดำ แต่หลังจากที่ปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดตนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับอาเหลียงแล้วพ่ายแพ้ ทว่า จุดที่ฝังร่างของเขาในใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับใช้กระบี่เป็นป้ายหน้าหลุมศพ
ตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างคือสถานที่ป่าเถื่อนที่ใต้หล้าไพศาลมองว่า ‘ไม่มีเสียงท่องตำราแม้แต่ประโยคเดียว’ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้กลับถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล
นักพรตร้อยกว่าคนที่อยู่บนภูเขาไท่ผิงไม่ได้นิ่งดูดาย ทุกคนเป็นนักพรตที่มี ลำดับศักดิ์ต่ำที่สุดในสำนักแทบทั้งสิ้น และส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักพรตเด็กที่สีหน้า ซีดขาว ทว่าสายตากลับเด็ดเดี่ยว
จงขุยกลับตวาดพวกเขาเสียงกร้าว “ถอยกลับไป! อย่าพาตัวมาตาย!”
แม้ว่านักพรตเฒ่าขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งในบรรดาคนมากมายพอจะรู้ตัวตนของวานรขาวแล้ว แต่กลับเอ่ยด้วยประโยคหนึ่งที่ทำให้จงขุยหาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้ “ในการกำจัดปีศาจปราบมาร ไม่มีเหตุผลให้นักพรตของภูเขาไท่ผิงอย่างข้าตายอยู่เบื้องหลังคนอื่น”
วานรขาวไม่แม้แต่จะชายตามองนักพรตโอสถทองคนนั้น กำหมัดง่ายๆ ครั้งเดียว พายุหมัดก็ต่อยให้เรือนกายของเซียนดินโอสถทองในสายตาของคนบนโลก แหลกสลาย โอสถทองปริแตก
ใช้ความดีตอบแทนความดี แม้ตายก็ไม่เสียดาย
นักพรตภูเขาไท่ผิงเป็นเช่นนี้
จงขุยเองก็ไม่ต่างกัน
ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดโบกหนึ่งครั้ง ลมฤดูใบไม้ร่วงสองขุมในชายแขนเสื้อห่อหุ้มนักพรตของภูเขาไท่ผิงเหล่านั้นเอาไว้แล้วโยนออกไปไกล
วานรขาวไม่สนใจเรื่องนี้ ปล่อยให้จงขุยโยนนักพรตเหล่านั้นออกไปนอกสนามรบตามใจชอบ
จงขุยคนเดียวก็ชดเชยกับภูเขาไท่ผิงทั้งแห่งได้แล้ว
ความคิดของวานรขาวฉุกขึ้น
กระบี่โบราณที่ออกจากฝักลดระดับความเร็วลง
นิ้วมือสองข้างของจงขุยคีบแผ่นยันต์กระดาษเขียวแผ่นหนึ่งไว้อย่างเงียบเชียบ
กระดาษต้นฉบับของอริยะ ถูกจงขุยวิญญูชนใช้เหล็กหมาดหิมะที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ วาดยันต์สยบกระบี่ที่จงขุยสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยตัวเอง!
วินาทีที่กระบี่ยาวแหวกผ่านม่านน้ำตกเข้ามา เหนือศีรษะของจงขุยก็มียันต์สยบกระบี่แผ่นนั้นลอยขึ้น
กระบี่โบราณเล่มนั้นเหมือนตกเข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของเจ๋อเซียน ท่านหนึ่ง แล้วหายวับไปอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่วานรขาวที่หล่อหลอมมันมานานเป็นพันปีก็ยังสัมผัสไม่ถึง
ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาสองแห่งของภูเขาไท่ผิงซาน กระจกจันทร์กระจ่าง ที่เป็นดั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางนภามีไว้เพื่อใช้ส่องปีศาจตามหาตัวภูตผี ต่อให้เป็นนักพรตขอบเขตหยกดิบก็ยังถูกมันกักขังไว้ด้านในครู่หนึ่ง แต่กระบวนท่าสังหารที่แท้จริงกลับตามมาติดๆ หลังจากนั้น
นั่นก็คือกระบี่เซียนบรรพกาลที่สร้างเลียนแบบกระบี่สี่เล่มซึ่งบรรพบุรุษ ผู้บุกเบิกขุนเขาที่มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าของภูเขาไท่ผิงทุ่มทั้งแรงคนและทรัพย์สิน สร้างขึ้นมา แม้จะเป็นของเลียนแบบ แต่ทุกเล่มล้วนมีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน หลังจากกระบี่ทั้งสี่เล่มก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกล พลานุภาพก็จะยิ่งผงาดค้ำฟ้า สามารถเทียบกับอาวุธเซียนที่ใช้ในการพิฆาตสังหารอย่างแท้จริงชิ้นหนึ่งได้เลยทีเดียว
แต่กระบี่ที่วานรขาวตัวนี้สะพายอยู่ด้านหลังกลับเป็นหนึ่งในกระบี่สี่เล่มพอดี
ในฐานะข้ารับใช้ผู้พิทักษ์ขุนเขา เวลาสามพันปีที่ผ่านมา มันไม่เพียงแต่ไล่จับและสังหารพวกปีศาจใหญ่ในบ่ออเวจีที่ ‘หนีไป’ แต่ยังเคยแอบลงจากภูเขาไปสังหารศัตรูนับครั้งไม่ถ้วน คุณความชอบที่มันสร้างไว้มีมากมายเกินจะกล่าวได้หมด
สุดท้ายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิงในปีนั้นไม่สนใจคำคัดค้านของผู้คนมากมาย ยืนกรานจะมอบกระบี่โบราณเล่มหนึ่งให้กับวานรขาวที่ ‘มีคุณูปการมากมายจนมิอาจโต้แย้งได้’
แม้ว่าวานรขาวจะไม่สามารถควบคุมค่ายกลใหญ่สี่กระบี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากคิดจะอาศัยช่องโหว่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งกลับง่ายมาก หากเป็นเซียนดินทั่วไปที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนแล้วถูกบีบให้ควบคุมค่ายกลใหญ่อย่างฉุกละหุก วานรขาวยังสามารถบังคับให้กระบี่ทั้งสี่เล่มแว้งกลับมาเล่นงานผู้ควบคุมค่ายกลได้
ไม่มีกระบี่โบราณที่เป็นทั้งกระบี่ประจำกายและวัตถุแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นแล้ว
วานรขาวก็หรี่ตาลงเล็กน้อย กระตุกมุมปาก ความเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยนี้ กลับเต็มไปด้วยความอำมหิตป่าเถื่อนและกลิ่นคาวเลือดที่คลุ้งตลบฟ้า
จงขุยเอามือหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งถือเหล็กหมาดหิมะ เริ่มเขียนตัวอักษรแรกลงไปเหมือนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
ผู้เป็น
ตัวอักษรที่สอง อริยะ
ตัวอักษรที่สาม เคย
ตัวอักษรที่สี่ กล่าวไว้ว่า
พู่กันตวัดรัวเร็วยิ่งยวด
ตัวอักษรทุกตัวที่อยู่เบื้องล่างพู่กันเหล็กหมาดหิมะล้วนลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย พลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล
บนภูเขาไท่ผิง ลมหอบเอาก้อนเมฆให้กลิ้งซัดหลุนๆ เข้ามา
วานรขาวส่ายหน้าเบาๆ
ร่างของมันพุ่งวูบออกไป
วานรขาวใช้มือสองข้างเป็นท่าถือดาบพุ่งผ่านปากบ่ออเวจีตรงเข้าหาจงขุย
ครั้นจึงฟันดาบออกไปเป็นแนวขวาง
ไม่มอบความหวังใดๆ ให้แก่วิญญูชนหนุ่มผู้นี้อีก
ไม่ได้หมายความว่าเมื่อจงขุยเขียนบทความนั้นได้สำเร็จแล้ว วานรเฒ่าจะไร้หนทางให้รับมือ เพราะถึงอย่างไรตอนที่มันออกจากด่านมาก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว
มันทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จึงจงใจกดขอบเขตเอาไว้นานถึงห้าร้อยปี
เว้นเสียแต่ว่าจงขุยที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดคือมรรคาจารย์เต๋าหรือศาสดาพุทธกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วตรงกลางมีขอบเขตหยกดิบกั้นขวาง อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับร่องลึกปราการธรรมชาติที่อยู่ระหว่างห้าขอบเขตกลางกับห้าขอบเขตบน จงขุย จะรอดชีวิตไปได้อย่างไร?
หากจงขุยสามารถควบคุมค่ายกลปกป้องภูเขาไท่ผิงทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกันก็ว่าไปอย่าง
น่าเสียดายก็แต่ค่ายกลใหญ่ทั้งสองแห่งนี้ เว้นเสียจากว่าเจ้าสำนักและบรรพจารย์ท่านนั้นมาเป็นผู้ควบคุมเอง หาไม่แล้วก็ล้วนถูกวานรขาวมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง
แต่ว่าหากมันยังอยู่ต่อที่ภูเขาไท่ผิงนานกว่านี้อีกหน่อยย่อมเป็นปัญหายุ่งยากมาก ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง
เมื่อวานรขาวพลิ้วกายลงบนตำแหน่งที่จงขุยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง ร่างของจงขุยถูกฟันออกเป็นสองท่อน ข้างศพทั้งสองซีกมีเลือดไหลนองเต็มพื้น
ตัวอักษรสีทองสี่ตัว เหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กหนึ่งด้ามล้วนถูกทำลายจนสิ้น
โอสถทองที่เปี่ยมไปด้วยปราณของความเที่ยงธรรมไม่หลงเหลืออยู่นานแล้ว ร่างทารกก่อกำเนิดที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดก็ยิ่งแหลกสลายหายไป
นี่ก็คือจุดจบที่มาจากการลงมืออย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสองคนหนึ่ง
วานรขาวยื่นมือไปคว้า กระชากยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งที่มีรอยปริแตกมาจากความว่างเปล่า สองนิ้วขยี้หนึ่งครึ่งก็ดึงเอากระบี่โบราณที่หลุดพ้นจากกรงขังสอดกลับเข้าฝักด้านหลัง
วานรขาวชำเลืองตามองบัณฑิตชุดเขียวที่เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้ สุดท้ายจึงเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า นี่เป็นประโยคแรกที่มันเอ่ยออกมา ถ้อยคำนั้นเนิบช้ายิ่ง “ก็ถือว่าตายเพื่อความยุติธรรมแล้ว”
มันแหงนหน้าขึ้น กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงก็สั่นสะเทือนตามไปด้วย ร่างของมันทะยานขึ้นสูงไปถึงยอดของภูเขาไท่ผิง ครั้นจึงหมุนตัวพุ่งทะยานไปทาง ทิศใต้อย่างรวดเร็ว
หลังจากภูเขาสั่นสะเทือนก็เหมือนว่าชั้นใต้ดินของบ่ออเวจีจะไม่เหลือพันธนาการอีก ปราณชั่วร้ายพลันทะยานขึ้นฟ้าแผ่อวลไปทั่วทั้งปากบ่อ
ภูตผีปีศาจที่ถูกสยบอยู่ในบ่ออเวจีมานานปี หลังจากผ่านความตื่นตะลึง เลื่อนลอยในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น เหล่าภูตผีปีศาจที่ใจคิดอยากจะให้คนของภูเขาไท่ผิงถูกฆ่าล้างจนสิ้นซากกำลังจะพุ่งออกมาจากบ่ออเวจี ทว่าปราณปีศาจชั่วร้ายที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามนี้กลับหยุดชะงักแข็งค้าง เริ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้
ที่แท้
ห่างออกไปไกลทางเหนือของภูเขาไท่ผิงมีจุดแสงจุดหนึ่งปรากฏขึ้น
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทะเลเมฆปั่นป่วนแหลกกระจุยกระจาย
ภูเขาสั่นสะเทือนอีกครั้ง แล้วผู้เฒ่าสวมชุดเต๋าเรือนกายสูงใหญ่ เส้นผมขาวโพลนเต็มศีรษะก็พลิ้วกายลงมายืนอยู่ข้างศพของจงขุย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและละอายใจ
กายธรรมร่างทองทะยานขึ้นจากพื้นดินจนแทบจะสูงเสียดเมฆทัดเทียมกับระดับความสูงของภูเขาไท่ผิง ชูมือข้างหนึ่งขึ้นสูง ด้านบนภูเขาก็มีพระจันทร์กลมโตดุจ ถาดหยกทรงกลมลอยขึ้นมา ถูกนักพรตผู้เฒ่าที่เรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขาถือไว้ในมือแล้วส่องไปทางทิศใต้
ขณะเดียวกันก็สะบัดชายแขนเสื้อ แสงกระบี่สามเส้นพุ่งขึ้นจากสามทิศทางอย่างออกตกและใต้ของภูเขาไท่ผิง สุดท้ายพากันมาลอยขนาบข้างกายธรรมร่างทอง
นักพรตท่านนี้ก็คืออาจารย์อาของเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงคนปัจจุบัน
ปีนั้นศิษย์พี่ดึงดันจะมอบหนึ่งในกระบี่เซียนให้กับวานรขาว เขาก็คือคนที่ต่อต้านมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้สองศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สนิทสนมจึงกลายมาเป็นเหมือน คนแปลกหน้าต่อกัน
ซ้ำร้ายยังมีคนนอกคนหนึ่งที่ลำดับศักดิ์เท่าเทียมกับพวกเขาสองศิษย์พี่ศิษย์น้องพูดจาเย้ยหยันเขาให้คนอื่นฟังว่า เขาอิจฉาที่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งได้โชควาสนาไปครอบครอง
ในมือของบรรพจารย์ขอบเขตเซียนเหรินของภูเขาไท่ผิงท่านนี้ถือกระจกจันทร์กระจ่างที่ส่องแสงโชติช่วงไม่ต่างจากดวงจันทร์บนนภาไล่ตรวจหาไปรอบด้านอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ส่องไปเห็นวานรขาวที่หลบหนีไปได้ไกลนับพันนับหมื่นลี้ตัวนั้น
เสียงของกายธรรมร่างทองประหนึ่งเสียงสายฟ้าระเบิด “เจ้าเดรัจฉานเฒ่าเนรคุณ! ข้าผู้เป็นนักพรตจะต้องสับศพเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
ถ้อยคำเปล่งออกไป คาถาอาคมก็ตามติด
กระบี่เซียนพิทักษ์ภูเขาไท่ผิงทั้งสามเล่มกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้าสามเส้นที่ ส่องพื้นที่โดยรอบในรัศมีพันลี้ให้สว่างราวกับเวลากลางวัน พวกมันพุ่งผ่าน กลางอากาศไล่ตามวานรขาวที่หลังจากกระทำการชั่วร้ายแล้วก็พยายามเผ่นหนีไปทางทิศใต้อย่างสุดชีวิต
วานรขาวสะพายกระบี่ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด มันยื่นมือออกมาดึง กระบี่ด้านหลังซึ่งเป็นหนึ่งในกระบี่เซียนสี่เล่มออกจากฝัก บังคับให้พุ่งเข้าชนลำแสง สีเขียวมรกตหนึ่งในสามเส้น
มันแค่ต้องการให้กระบี่สามเล่มของภูเขาไท่ผิงหยุดชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น
บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงยิ่งลงมือโหดเหี้ยมกว่าเดิม เขาถึงขั้นยอมให้ กระบี่โบราณที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสองเล่มพินาศวอดวายไปพร้อมกัน กระบี่ เล่มหนึ่งระเบิดแสงเจิดจ้าสะท้านฟ้าสะเทือนดินพร่างพราวอยู่กลางอากาศ นักพรตเฒ่ายังคงควบคุมกระบี่บินสองเล่มอย่างไม่ลังเล กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้าจ้วงแทงวานรขาวที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างไรก็หลบเลี่ยงไม่พ้น ทว่าวานรขาว กลับยังคงไม่ปล่อยให้กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุศีรษะของมันโดยตรง แต่ใช้แผ่นหลัง เข้ารับ ปล่อยให้กระบี่แทงหัวใจทางด้านหลังแทน
นี่บีบให้วานรขาวจำต้องเผยร่างกายธรรมร้อยจั้ง สองเท้ากระทืบลงบนภูเขาและแม่น้ำอย่างหนัก สองมือกำกระบี่โบราณเล่มที่สองเอาไว้แน่น
มือทั้งสองข้างของวานรยักษ์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด เรือนกายสูงใหญ่มโหฬารถอยกรูดออกไป สุดท้ายก็ไม่อาจจับกุมกระบี่โบราณเล่มนั้นไว้ได้ กระบี่หลุดพ้นจากพันธนาการแทงเข้าผ่านหัวใจแล้วทะลุร่างของมันออกไป
วานรขาวร่างยักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสสองครั้งไม่อาจรักษาร่างกายธรรมเอาไว้ได้อีก จึงกลับคืนสภาพมามีความสูงเท่าคนธรรมดาอีกครั้ง และบาดแผลนั้นก็ทำลายลึกไปถึงรากฐานมหามรรคาของมัน มันได้แต่พยายามหนีไปทางใต้อย่างสุดชีวิตต่อ อีกครั้ง
ก่อนที่ร่างยักษ์ของวานรเฒ่าจะหายไป มันหัวเราะเหี้ยมพลางกล่าวว่า “เจ้าไม่คิดจะช่วยจงขุยผู้นั้นเลยหรือ?! เจ้ายังมีโอกาสเหลืออีกเสี้ยวหนึ่ง สรุปว่าเจ้าจะช่วยคนหรือฆ่าปีศาจกันแน่ ฆ่าปีศาจก็เท่ากับฆ่าคน ฮ่าๆ …”
หลังจากที่ปีศาจใหญ่ตนนี้ห้อตะบึงออกได้หลายร้อยลี้ก็ถูกกระบี่โบราณที่เนื่องจากอยู่ห่างจากภูเขาไท่ผิงไกลเกินไป ในที่สุดก็เผยร่างจริงแทงทะลุเรือนกาย อีกสองครั้ง
นักพรตเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที เดิมทีเขาก็ฝืนบังคับเปลี่ยนชะตาภูเขาและแม่น้ำทำให้ภูเขาไท่ผิงทรุดโทรมลงเร็วอยู่แล้ว แล้วยังฝืนเคลื่อนย้าย ‘กายธรรม’ ของตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงให้บุกรุดไปข้างหน้าหลายร้อยลี้ นี่ก็เพื่อประคับประคองพลานุภาพของกระบี่เซียนทั้งสองเล่มเอาไว้ แต่หากเขาทำอย่างนี้ บัณฑิตที่นอนอยู่ข้างบ่ออเวจี ตรงกึ่งกลางภูเขาก็คงสูญเสียโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งไปแล้ว ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้หลังจากที่เขาใช้กายธรรมร่างทองแล้ว ร่างจริงยังคงอยู่ที่เดิมเพื่อช่วยรวบรวม จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของจงขุย พยายามที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต ทำให้เขายังเป็น ‘คนมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์’ เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ขัดต่อวิถีสวรรค์อยู่แล้ว ย่อมต้องสร้างความเดือดดาลแก่ดินแดนเฟิงตูในยมโลก ขอแค่ลมปราณบนภูเขาของภูเขาไท่ผิงเกิดการเคลื่อนไหว ไม่แน่ว่าทางดินแดนเฟิงตูอาจจะฉวยโอกาสนี้บุกเข้ามาช่วงชิงจิตหยินที่หลงเหลืออยู่อีกไม่มากของจงขุยไป
นี่จึงเป็นสาเหตุให้สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นพูดว่าฆ่าปีศาจก็คือฆ่าคน
คาดว่าการที่มันไม่ได้ทำลายดวงจิตต้นกำเนิดของจงขุยให้สิ้นซากก็คงเป็นหนึ่งในแผนการของวานรขาวตัวนั้นด้วย
บริเวณใกล้กับบ่ออเวจี เบื้องหน้านักพรตเฒ่ามีจิตหยินที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ดวงหนึ่ง นั่นก็คือบัณฑิตชุดเขียวสีหน้าซีดขาว วิญญูชนจงขุย
นักพรตเฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “เป็นภูเขาไท่ผิงของข้าที่ผิดต่อเจ้า อาจารย์จง ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีหน้าจะไปพบสำนักศึกษาต้าฝูแล้ว”
หากพูดกันตามลำดับศักดิ์ของนักพรตเฒ่าขอบเขตเซียนเหริน ไม่ว่าจะเป็นสำนักอย่างภูเขาไท่ผิงหรือตลอดทั้งใบถงทวีป เขาก็ล้วนถือเป็นเทพเซียนกลางเมฆาที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขา ผู้เฒ่าเรียกคนหนุ่มอย่างจงขุยว่าอาจารย์ก็ถือว่าเป็นการให้การยอมรับอย่างยิ่งใหญ่แล้ว
เพียงแต่ว่าคนก็ตายไปแล้ว เหลือเพียงจิตหยินอ่อนแอหนึ่งดวงที่อาจจะสลายหายไปจากฟ้าดินได้ทุกเมื่อ แล้วจะยังมีประโยชน์อะไร?
ทว่าการกระทำของบรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงคนนี้กลับคู่ควรกับคำว่า ‘เจินเหริน’ แล้ว
จิตหยินของจงขุยส่ายหน้าพร้อมคลี่ยิ้มบางเบา ริมฝีปากขยับนิดๆ ไม่มีเสียงใดๆ ดังอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่นักพรตเฒ่าย่อมเข้าใจในสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา “ท่านเจินเหรินผู้เฒ่าไม่ต้องละอายใจ เป็นข้าเองที่ต้องเจอกับหายนะครั้งนี้ ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น หากไม่ใช่ที่ภูเขาไท่ผิง ก็ย่อมต้องเป็นที่สำนักศึกษาต้าฝู หรือไม่ก็ที่อื่นๆ ในใบถงทวีป”
ข้างบ่ออเวจียังมีนักพรตสาวอีกคนหนึ่ง
ริมฝีปากที่เม้มแน่นของนางมีเลือดซึมออกมา
นางก็คือหวงถิงที่เดิมทียังต้องอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวต่ออีกหกสิบปี หรือควรจะเรียกนางอีกอย่างว่าฝานกว่านเอ่อร์ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน
ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงนี้ นางเป็นคนที่โกรธเคืองขุ่นแค้นยิ่งกว่าใคร
วานรขาวที่สะพายกระบี่ไว้บนแผ่นหลังตัวนั้นเคยเป็นหนึ่งในโชควาสนา บนเส้นทางการฝึกตนของนาง มันถ่ายทอดวิชาสะพายกระบี่ที่ไม่เคยบันทึกไว้ในสำนักให้แก่นาง นางจดจำไว้ได้ขึ้นใจ ถึงขั้นพาไปที่พื้นที่มงคลดอกบัวด้วย ดังนั้นในยุทธภพถึงมีคำกล่าวว่า ‘ฝานกว่านเอ่อร์ที่สะพายหรือไม่สะพายกระบี่ คือคนละคนกัน อย่างสิ้นเชิง’
วานรเฒ่าเคยพานางเดินเข้าไปในจุดลึกของบ่ออเวจีหลายครั้งเพื่อขัดเกลาจิต แห่งกระบี่ ช่วยในการฝึกตนของนาง
นางต้องสังหารมันกับมือตัวเอง แล้วค่อยถามมันว่า เคยเสียใจกับการทรยศ หักหลังภูเขาไท่ผิงบ้างไหม!
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดมันถึงเลือกจะทรยศ หวงถิงไม่คิดจะถาม แล้วก็ไม่เต็มใจอยากจะถาม!
ร่างของจงขุยตายไปแล้ว บนยอดเขาของภูเขาไท่ผิงปรากฏน้ำวนสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่ง พอจะมองเห็นเรือนกายมโหฬารที่บนศีรษะสวมมงกุฎจักรพรรดิกำลังหลุบตามองต่ำมายังภูเขาไท่ผิงได้รางๆ
จิตหยินของจงขุยเงยหน้าขึ้นมองแล้วคลี่ยิ้มเศร้าสลด
เดิมทีนักพรตเฒ่าคิดจะเก็บกายธรรมร่างทองลงไป แต่อยู่ดีๆ เข่าของกายธรรมร่างทองก็งอลงเล็กน้อย จากนั้นก็กระโดดขึ้นสูง มือทั้งสองข้างต่อยน้ำวนลูกนั้นให้แตกสลายไปโดยตรง
เพียงแต่ว่ากายธรรมร่างทองของนักพรตเฒ่าก็แหลกสลายตามไปด้วย
ค่าตอบแทนนี้ยิ่งใหญ่จนมิอาจจินตนาการได้
จงขุยกำลังจะอ้าปากพูด
นักพรตเฒ่ากลับโบกมือ คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เรื่องของการฝึกตน ขอบเขตอะไรนั่นจะนับเป็นผายลมอะไรได้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการทำให้ตัวเองรู้สึก…สาแก่ใจ!”
กล่าวจบสีหน้าของนักพรตเฒ่าก็หม่นหมองเล็กน้อย
อาจารย์จงขุยท่านนี้ ไม่พูดถึงอนาคตอันยิ่งใหญ่ยาวไกลที่จะได้เป็นว่าที่อริยะหรือผู้อำนวยการใหญ่อะไร ลำพังแค่นิสัยของเขา วิญญูชนที่มีบุคลิกนิสัยเช่นนี้ ไม่ควรเลยที่จะต้องมาตายก่อนวัยอันควรแบบนี้
หวงถิงหันไปถ่มเลือดทิ้งคำหนึ่ง แล้วพูดกับนักพรตเฒ่าว่า “บรรพจารย์ ข้าจะลงจากภูเขา!”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “หากวานรขาวยังไม่ตาย เจ้าหวงถิงห้ามกลับคืนสู่ภูเขา หากไม่หิ้วหัวของมันกลับมา เจ้าก็จงไปตายอยู่ข้างนอกนั่นเถิด กระบี่โบราณพิทักษ์ภูเขาสองเล่มนั้น เจ้าสามารถยืมใช้ได้หกสิบปี หลังจากนั้นก็อาศัยความสามารถของตัวเองไล่ฆ่าวานรขาวซะ”
หวงถิงกล่าวเสียงหนัก “หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงน้อมรับคำสั่งจากท่านบรรพจารย์!”
นักพรตหญิงกลายร่างเป็นรุ้งเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานไปทางทิศใต้
ถึงอย่างไรบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงก็ไม่ใช่คนที่พูดเก่งอะไรนัก อีกอย่างในใจเขาก็เต็มไปด้วยความละอาย เวลานี้จึงยิ่งเงียบงันมากกว่าเดิม
จุดลึกในใจจงขุยก็มีความละอายใจอยู่เช่นกัน
ดวงตาของนักพรตเฒ่าพลันมีประกายของความประหลาดใจปรากฏขึ้น
เห็นเพียงว่าบริเวณใกล้กับบ่ออเวจีมีลมเย็นสองขุมโชยมาหาจิตหยินของจงขุย แล้วล้อมวนอยู่รอบกายเขา
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กที่เป็นสีใสโปร่งแวววาวเล่มหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของที่จับต้องได้จริงมาลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย
และยิ่งมีชุดสีแดงสดลักษณะคล้ายชุดขุนนางในสมัยโบราณชุดหนึ่งพลิ้วร่วงลงมาจากตำแหน่งที่น้ำวนสลายหายไป
จงขุยมองเหล็กหมาดหิมะด้ามนั้น ลังเลอยู่ชั่วขณะก็กุมไว้ในมือเบาๆ
ชุดขุนนางสีแดงห่มคลุมอยู่บนร่างของจงขุย
ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นเฉียบสองขุมกรูกันเข้าไปอยู่ในชายแขนเสื้อใหญ่
ขณะเดียวกันนั้น
เบื้องใต้บ่ออเวจี เหล่าภูตผีปีศาจที่ว่านอนสอนง่ายดุจสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน ก็ไม่เพียงแต่ถอยกลับเข้าไปอยู่ในคุกที่คุมขังพวกมันเหมือนเดิม อยู่ดีๆ ยังถอยกรูด ไปด้านหลัง จนกระทั่งไม่เหลือทางให้ถอยอีกต่อไป
จงขุยนึกถึงคำพยากรณ์ประโยคนั้นขึ้นมา
เขาไม่ใช่บัณฑิตชุดเขียวอีกต่อไป แต่เป็นจิตหยินของจงขุยที่สวมใส่ชุดคลุมสีแดง พึมพำเบาๆ ว่า “ก่อนที่จงขุยจะลงจากภูเขา หมื่นภูตผีบนโลกไร้ความหวาดเกรง”
เขาหันหน้ามองไปแล้วหลุดปากพูดกับบ่ออเวจีว่า “ได้แต่โขกหัวกราบกราน”
ในบ่ออเวจีจึงมีแต่เสียงโขกศีรษะดังขึ้นนับไม่ถ้วน
นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม
จากขอบเขตเซียนเหรินกลับมาเป็นหยกดิบ ดูท่าการถดถอยของขอบเขตในครั้งนี้จะไม่ได้เสียเปล่า
จงขุยพลันตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเงียบงันไปเป็นนาน
สุดท้ายถึงเปิดปากเอ่ยว่า “เจินเหรินผู้เฒ่า ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ขอแค่เจ้าไม่บอกให้ข้าผู้เป็นนักพรตโขกหัวคำนับเจ้า ก็ล้วนได้หมด”
จงขุยหลุดหัวเราะพรืด สุดท้ายกุมมือคารวะ “แม้ข้าจะเป็นวิญญาณแล้ว ทว่าภูเขาไท่ผิงซานกลับเป็นคนที่แท้จริง (ตรงกับคำว่าเจินเหรินที่หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญพรตจนบรรลุธรรม)”
นักพรตเฒ่าตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “คำประจบเช่นนี้ ถูกใจนัก!”
………
กลางดึกของคืนนี้ อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็จิตใจว้าวุ่นหงุดหงิด จึงออกมาฝึกวิชากระบี่ในลานกว้างด้านนอกโรงเตี๊ยมของจุดพักม้า
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิอาจทำใจให้สงบลงได้
เขาพลันเงยหน้าขึ้น
ม่านฟ้าที่ห่างไปไกลปรากฏริ้วกระเพื่อมบางเบาจนแทบไม่อาจสังเกตเห็น
เฉินผิงอันก้าวถอยหลังไปหลายก้าว กระบี่บินชูอีกับสืออู่ต่างก็พุ่งพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
แต่ไม่นานเฉินผิงอันก็ถอนหายใจโล่งอก
เพราะเขาเห็นว่าเป็นวิญญูชนจงขุยที่สวมชุดคลุมสีแดงแปลกประหลาด ข้างกายยังมีนักพรตเฒ่าเส้นผมขาวโพลนอยู่อีกคนหนึ่ง
นักพรตเฒ่ามองเฉินผิงอันแล้วผงกศีรษะให้เขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาพูดกับจงขุยเบาๆ ว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ คุยกันจบแล้วก็บอกข้าผู้เป็นนักพรต ข้าจะรีบพาเจ้าออกไปจากที่นี่ ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้นานเกินไปนัก”
หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดตัว
จงขุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ให้ข้าเล่าให้เจ้าฟังเองแล้วกัน”
หลังจากเล่าถึงศึกบนภูเขาไท่ผิงให้ฟังคร่าวๆ จบ จงขุยทำตัวราวกับเป็นคนนอกสถานการณ์คนหนึ่ง เขาเล่าอย่างราบเรียบไร้รสชาติ ไม่น่าตื่นเต้นตกใจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งบนใบหน้ายังมีรอยยิ้ม พูดเจื้อยแจ้วว่าเอาชนะปีศาจใหญ่วานรขาวตัวนั้นไม่ได้ ฝีมือเก่งกาจไม่เท่าคนอื่น เลยถูกคนอื่นใช้สองกระบี่กับหนึ่งดาบฆ่าตาย กลายมาเป็นวิญญาณผีเร่ร่อน วันหน้าไม่อาจเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาได้อีกแล้ว…
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเดือดดาล “อย่างนี่เนี่ยนะ? ตายแล้ว?!”
เขาชี้หน้าจงขุย “เปลี่ยนจากคนไปเป็นผีทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ? เจ้าเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาไม่ใช่หรือ? สามารถปล่อยจิตหยินจิตหยางออกจากช่องโพรงได้ไม่ใช่ หรือไร?”
กล่าวมาถึงท้ายที่สุด น้ำเสียงของเฉินผิงอันก็ยิ่งแผ่วเบาลงทุกที สีหน้าของเขาเลื่อนลอย ถามเบาๆ ว่า “ตายได้อย่างไรกัน?”
กล่าวประโยคนี้แล้ว เฉินผิงอันก็พูดอะไรไม่ออกอีก
ในสมองมีภาพเหตุการณ์แล่นผ่านไปเหมือนโคมไฟม้าวิ่ง สุดท้ายหยุดอยู่ที่ ภาพเหตุการณ์หนึ่ง
มีบัณฑิตจอมเสเพลไม่ชอบตกอยู่ใต้อาณัติใครคนหนึ่งนั่งยองอยู่บนพื้นผิวแม่น้ำ รู้สึกว่าผีสาวหน้าตางดงามจึงดึงกระชากผมของผีสาว คิดอยากจะเห็นหน้านางสักครั้ง
เหตุใดบัณฑิตที่อยู่ในใจของตนจึงตายแล้ว?
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาตามจิตใต้สำนึก แต่แล้วก็ผูกมันกลับ ตรงเอวเงียบๆ
เหล็กหมาดหิมะด้ามนั้นหยุดลอยอยู่เบื้องหน้าจงขุย เห็นได้ชัดว่าได้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตหยินของจงขุยไปแล้ว
จงขุยกล่าวอย่างระมัดระวัง “เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เป็นข้าที่ไร้คุณธรรม จงใจเล่นตุกติกกับเหล็กหมาดหิมะด้ามนี้ของเจ้า จะตีจะด่า เชิญเจ้าตามสบาย!”
เฉินผิงอันถาม “คำพูดของวิญญูชน ประโยคหลังว่าอย่างไรแล้วนะ?”
จงขุยกล่าวอย่างร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ “รถเทียมม้าสี่ตัวก็ยากจะตามทัน?” (เปรียบเปรยว่าคำพูดเมื่อพูดออกมาแล้ว ไม่สามารถเก็บกลับคืนได้ ต้องพูด คำไหนเป็นคำนั้น)
เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งข้างโต๊ะหิน จงขุยเกาหัวนั่งลงด้านข้าง
เฉินผิงอันกล่าว “ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ตายไปแล้ว ไม่ใช่วิญญูชนอะไรอีกแล้ว”
มโนธรรมในใจจงขุยยิ่งไม่อาจสงบลงได้
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองจงขุย เอ่ยเนิบช้าว่า “แต่เรื่องที่ข้าเคยรับปากคนอื่น ข้าจะต้องทำให้ได้ กับอาจารย์ฉีเป็นเช่นนี้ กับเจ้าจงขุยก็เป็นเช่นเดียวกัน”
จงขุยเริ่มมึนงง “หืม?”
เฉินผิงอันตาแดงก่ำ พูดช้าๆ ว่า “บอกว่าให้เจ้ายืมก็คือให้เจ้ายืม หนึ่งปีคือให้ยืม หนึ่งร้อยหนึ่งพันปีก็คือให้ยืมเหมือนกัน”
จงขุยเงียบงัน
สุดท้ายเฉินผิงอันถามว่า “หนึ่งพันปีไม่พอ หนึ่งหมื่นปีพอหรือไม่?”
จงขุยพยักหน้ารับเบาๆ
เขาลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันจึงลุกตามด้วย
จงขุยยิ้มกว้างอย่างสดใสอีกครั้ง “จงขุย ภูตผีแห่งใบถงทวีป! ข้ามีสหายอยู่ คนหนึ่ง แซ่เฉินนามผิงอัน!”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่เขาหนึ่งครั้ง แต่จากนั้นก็ยิ้มกว้างตามไป “เฉินผิงอัน มือกระบี่แห่งแจกันสมบัติทวีป! ข้าได้รู้จักวิญญูชนเจิ้งเหรินคนหนึ่ง ชื่อว่าจงขุย”
ห่างออกไปไกล
บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงลูบหนวดพลางพยักหน้า เอ่ยชื่นชมว่า “หนึ่งร้อยหนึ่งพันปีให้หลัง การพบกันคืนนี้ก็จะกลายมาเป็นเรื่องเล่าที่งดงามเรื่องหนึ่งหรือไม่?”