บทที่ 352 อายุสิบเอ็ดปีหน้า
หลังจากจงขุยไปจากจุดพักม้าแล้วก็ถูกนักพรตผู้เฒ่าเก็บไว้ในไม้ไหวเก่าแก่ลักษณะคล้ายไม้ปลุกสติ (ไม้ปลุกสติลักษณะเป็นไม้สี่เหลี่ยมทรงยาวที่มีมุมมีเหลี่ยม ใช้เคาะในศาลให้คนเงียบเสียงลง) ชิ้นหนึ่ง แต่แล้วนักพรตเฒ่าก็พลันหมุนตัวกลับ ย่อพื้นที่พันลี้ให้สั้นลงเหลือในระยะประชิด ก้าวเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงเรือนที่พักของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันที่ยังยืนเหม่อ สติยังไม่กลับคืนเข้าร่างรีบโค้งตัวกุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยเฉินผิงอันคารวะเซียนซือผู้เฒ่า”
ก่อนหน้านี้จงขุยเล่าเรื่องที่ร่างของตัวเองมอดม้วยมรรคาแหลกสลายด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายเหมือนเป็นเรื่องสบายๆ ทว่าตอนที่พูดถึงนักพรตของภูเขาไท่ผิงกลับไม่ปกปิดความใกล้ชิดสนิทสนมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
นักพรตเฒ่ายื่นมือออกมากดลงเบื้องล่างสองที “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
เฉินผิงอันยืดเอวขึ้นตรงแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้เฒ่าไปแล้วย้อนกลับมา มีธุระอันใด?”
นักพรตเฒ่ามองเฉินผิงอันแล้วพยักหน้า “ผูกใจได้มั่นคง จึงจะถือว่าเป็นวีรบุรุษตัวจริง มิน่าเล่าทั้งหวงถิงและจงขุยต่างก็มองเจ้าไม่เหมือนมองผู้อื่น”
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
นักพรตเฒ่าอารมณ์ไม่เลว จึงถามด้วยรอยยิ้ม “เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ แล้วกระบี่ของเจ้าเล่า?”
นักพรตเฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นกระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่ออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันบอกไปตามความจริง “ก่อนหน้านี้ฝึกวิชาหมัด เพิ่งจะฝึกวิชากระบี่ได้ไม่นาน ดังนั้นการฝึกกระบี่ในช่วงนี้จึงแค่ทำท่าจับกระบี่เสมือนจริงและจินตนาการภาพไว้ในใจเท่านั้น”
นักพรตเฒ่าพูดพึมพำกับตัวเอง “หากรู้ว่าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ก็ไม่ควรงัดข้อกับคนอื่นเรื่องการอนุมาน สุดท้ายไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ ยังพลาดโอกาสที่จะได้มองดูสภาพการณ์ของเจ้าในพื้นที่มงคลดอกบัวด้วย”
นักพรตเฒ่าเรือนกายสูงใหญ่ บนศีรษะสวมกวานดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในสามสายของลัทธิเต๋า ชุดคลุมเต๋าที่สวมใส่เป็นสีขาวสะอาด อีกทั้งยังมีหนวดขาวผมขาว มองดูแล้วจึงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียน
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจึงไม่ได้พูดอะไรไป
เผชิญหน้ากับเทพเซียนผู้เฒ่าที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องทำตัวอวดฉลาด หากจงใจแต่งแต้มสิ่งใดเข้าไปก็ไม่ต่างจากหญิงชราโปะแป้งประทินโฉมลงบนใบหน้า ไม่ต่างจากเด็กเล็กสวมชุดขุนนาง มีแต่จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเท่านั้น
นักพรตเฒ่าพลันเอ่ยถาม “ข้าผู้เป็นนักพรตสามารถให้เจ้ายืมกระบี่ได้หนึ่งเล่ม หกสิบปีก็ดี ร้อยปีก็ช่าง ล้วนปรึกษากันได้ เจ้าสามารถใช้สมบัติอาคมมาแลกเปลี่ยนหรือจะจ่ายเป็นเงินฝนธัญพืชก็ได้”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “ขอบพระคุณในความหวังดีของเซียนซือผู้เฒ่า แต่อันที่จริงข้ามีกระบี่แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “แล้วนับประสาอะไรกับที่บนตัวข้าไม่มีเงินฝนธัญพืชอยู่แม้แต่เหรียญเดียว”
นักพรตเฒ่าเองก็ไม่ได้บังคับฝืนใจ การที่เขาเกิดความคิดอยากให้คนหนุ่มผู้นี้ยืมกระบี่ขึ้นมาในฉับพลัน ล้วนเป็นเพราะรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสในสัญญาพันปีหมื่นปีระหว่างเขากับจงขุย
แล้วก็มีความปรารถนาดีที่เป็นความต้องการส่วนตัวซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกลงไปของใจ เพียงแต่ว่าพอพูดออกมาแล้ว เขากลับรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย
อย่าดึงต้นกล้าช่วยให้เติบโตก่อนเวลาอันควรจะดีกว่า
ความวุ่นวายในสำนักฝูจีทำให้นักพรตเฒ่าเป็นกังวลไม่น้อย
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงได้ย้อนกลับมายังเรือนหลังเล็กอีกครั้ง ก็เพราะมองออกถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน ราวกับว่าการตายของจงขุยส่งอิทธิพลที่ค่อนข้างใหญ่หลวงต่อสภาพจิตใจของคนผู้นี้
แต่เมื่อเขาลองมองสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้งก็วางใจลงได้
ข้อห้ามหนึ่งของผู้ฝึกตนก็คืออย่าปล่อยให้จิตใจเหมือนเรือลำน้อยที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ ส่วนพวกคนที่มีสภาพจิตใจเหมือนดอกหลิ่วปลิวปรายอย่างระเกะระกะนั้น ในสายตาของนักพรตเฒ่าแล้วไม่จำเป็นต้องพูดว่าเป็นข้อห้ามหรือไม่ใช่ข้อห้ามอะไรทั้งนั้น เพราะเดิมทีคนเหล่านี้ก็ไม่ควรฝึกตนอยู่แล้ว หากฝึกตนจนโชคดีขอบเขตไต่ทะยานขึ้นสูง ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภยศ ช่วงชิงโชควาสนาแย่งเอาสมบัติอาคมและปราณวิญญาณมาเป็นของตน เดินลงจากภูเขาไปยังโลกมนุษย์ นอกจากโอ้อวดอำนาจบารมี ใช้กำลังรังแกคนอื่นแล้ว ยังจะทำเรื่องดีๆ อะไรได้อีก?
เพียงแต่ว่าต่อให้นักพรตเฒ่าจะไม่ชอบใจในตัวผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่ฝึกฝนแต่พละกำลัง ไม่ได้ฝึกฝนจิตใจมากแค่ไหน ก็ยังได้แค่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของบ้านตัวเองอย่างภูเขาไท่ผิงไม่ให้เอียงเอนไปเท่านั้น
เฉินผิงอันแข็งใจทำหน้าหนาถามออกไปว่า “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้เฒ่ามีค่ายกลพิทักษ์ภูเขาหรือไม่?”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ภูเขาไท่ผิงของข้ามีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอยู่สองอย่าง จุดศูนย์กลางของค่ายกลหนึ่งคือกระจกจันทร์กระจ่าง สามารถสาดส่องภูตผีปีศาจที่อยู่บนโลก ทำให้พวกมันไม่มีที่ให้หลบเร้นกาย ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ก็ต้องดูว่าคนที่ถือกระจกมีตบะสูงหรือต่ำ หากถูกกระจกส่องไปโดนสามารถทำให้คนผู้นั้นตบะถดถอยได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นก็จะเป็นเวลาของค่ายกลสี่กระบี่ กระบี่โบราณสี่เล่มถูกสร้างเลียนแบบกระบี่เซียนใหญ่สี่เล่มในยุคบรรพกาล มีระดับขั้นของอาวุธกึ่งเซียน พอรวมกันเป็นค่ายกลก็เท่ากับกลายเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง แม้จะอยู่ไกลเป็นหมื่นลี้ก็ยังมาถึงได้ในชั่วพริบตา ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะเจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นได้หล่อหลอมกระบี่เล่มหนึ่งในนั้นก็คงถูกข้าผู้เป็นนักพรตสังหารไปนานแล้ว ต่อให้มันจะหนีไปได้อีกหลายพันลี้ก็ยังไม่เป็นปัญหา ตอนนี้มันหนีความตายไปได้ แต่ขอบเขตเซียนเหรินแบ่งออกเป็นซ้ายขวา เดิมทีเจ้าเดรัจฉานเฒ่าก็เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองได้ไม่นาน ขอบเขตยังไม่มั่นคง บวกกับถูกกฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้กดกำราบเอาไว้ ตอนนี้เมื่อวัตถุแห่งชะตาชีวิตถูกทำลาย ร่างจริงยังถูกแทงจนเกิดรูอีกหลายรู จึงบาดเจ็บไปถึงจิตวิญญาณต้นกำเนิด ไม่มีค่าพอให้พูดถึงแล้ว”
ตอนที่เอ่ยถึงวานรเฒ่าสะพายกระบี่ตัวนั้น นักพรตเฒ่าแผ่ปราณสังหารออกมาอย่างท่วมท้น ปราณวิญญาณที่มากมหาศาลบนร่างเหมือนกลายมาเป็นของจริง มีไอหมอกสีขาวประหนึ่งธารน้ำเส้นเล็กหลายเส้นไหลรินล้อมวนไปทั่วร่างกาย นักพรตเฒ่าหยุดความคิดทั้งหมดลง ภาพปรากฎการณ์ประหลาดจึงหายไป อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในโรคร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากขอบเขตถดถอย “ปัญหาก็คืออยู่ดีๆ เจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นก็มุดลงไปใต้ดิน หายเข้าไปในเส้นทางมังกรยุคโบราณที่พังภินท์ไปนานแล้ว คาดว่านี่น่าจะเป็นทางหนีทีไล่ที่มันเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้านานแล้ว”
นักพรตเฒ่าชี้ไปเหนือศีรษะของตัวเอง “ก่อนหน้านี้ข้าเปิดฉากสังหารกับเจ้าเดรัจฉานเฒ่าหนึ่งรอบ ภายหลังยังเล่นงานให้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งโลกมืดตนหนึ่งถอยกลับไป อริยะลัทธิขงจื๊อบางคนที่รับผิดชอบนั่งบัญชาการณ์อยู่บนม่านฟ้าเหนือใบถงทวีปย่อมต้องมองเห็นแล้ว จึงพลิ้วกายลงมาที่ภูเขาไท่ผิงของพวกเรา พอรู้ว่าจงขุยตายแล้วก็เดือดดาลอย่างหนัก ตามไปไล่ฆ่าวานรขาวตัวนั้นด้วยตัวเอง ไหนเลยจะคิดว่าเจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นจะหลบไปซ่อนตัว ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าหวงถิงซึ่งพอจะมีบุญกรรมร่วมกับมันจะตามหาเบาะแสจนเจอตัวมันหรือไม่ ต่อให้หวงถิงตายไปในการต่อสู้ หนึ่งในเจ็ดสิบสองอริยะที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นท่านนั้นซึ่งครั้งนี้ลงมือโดยเตรียมการมาก่อน ก็ยังสามารถสังหารมันให้ตายได้ด้วยการโจมตีเดียว”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป
นักพรตเฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ไหนแต่ไรมานังหนูหวงถิงผู้นั้นก็โชคดีมาโดยตลอด อีกทั้งตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัวยังได้ขัดเกลานิสัยใจคอ มีกระบี่โบราณสองเล่มคอยคุ้มกัน การไล่ฆ่าวานรขาว ไม่แน่ว่าอาจเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งที่ทำให้นางได้ฝ่าทะลุขอบเขต”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “พอถูกข้าผู้เป็นนักพรตกระชากตัวพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เดิมทียังนึกว่านางต้องบ่นอยู่เป็นครึ่งๆ วัน คาดไม่ถึงว่านังหนูนั่นจะไม่บ่นอะไรแม้แต่คำเดียว ตลอดทางคอยพูดถึงเจ้าอยู่หลายครั้ง บอกว่าวันหน้าจะต้องไปหาเจ้าที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีให้จงได้”
นักพรตเฒ่าโบกชายแขนเสื้อเบาๆ “แปลกซะจริง ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ใช่คนพูดเก่ง คำพูดในคืนนี้มากพอกับคำพูดหลายสิบปีมารวมกันแล้ว กลับมาเข้าเรื่อง ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของภูเขาไท่ผิงมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ ได้ทั้งป้องกันและโจมตี ต่อให้เป็นสำนักดั้งเดิมหรือสำนักเบื้องบนหลายแห่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังเทียบไม่ได้ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่อาจบอกวิถีหล่อหลอมและวิธีโคจรค่ายกลให้แก่เจ้าโดยพลการได้ นี่เกี่ยวพันถึงโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำของภูเขาไท่ผิง แต่ข้าผู้เป็นนักพรตมีค่ายกลพิทักษ์ภูเขาของตัวเองอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งได้มาจากถ้ำสวรรค์อันเป็นพื้นที่ลับของเซียนยุคบรรพกาล พลังพิฆาตสูงยิ่ง สามารถขายให้เจ้าได้ เพียงแต่ว่ามันกินเงินเยอะมาก เมื่อสร้างขึ้นมาต้องเผาผลาญเงินมหาศาล หากคิดจะประคับประคองการโคจรของค่ายกลใหญ่ก็ยิ่งต้องกินโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำ เดิมทีข้าผู้เป็นนักพรตคิดว่าหากวันหนึ่งหวงถิงคิดจะสร้างสำนักขึ้นเป็นของตัวเอง ตั้งสำนักอยู่ที่อื่นในใบถงทวีปหรือจะแต่งงานเป็นภรรยา ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญตนกับผู้อื่น ต่อให้คิดมอบมันเป็นสินเดิมให้แก่นาง ข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังต้องควักเงินทุนค่าโลงของตัวเองออกมาอีกเกินครึ่ง”
เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะคำว่าหวงถิง สินเดิมหรือเงินทุนค่าโลงอะไร แต่เพราะตกใจกับสี่คำว่า ‘กินเงินเยอะมาก’!
ไม่รอให้เฉินผิงอันใคร่ครวญจนเข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องราว นักพรตเฒ่าก็ไม่พูดถึงเรื่องค่ายกลอะไรอีก แต่เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน แม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ว่าบนร่างของเจ้ามีสมบัติอะไรที่สามารถอำพรางความลับสวรรค์ ป้องกันไม่ให้คนอื่นอนุมานทำนายตำแหน่งและโชคชะตาของเจ้าได้ แต่ของแบบนี้ เจ้าต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี สิ่งของที่ได้แต่ปรารถนาทว่ามิอาจครอบครองนี้ ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงก็ยังมีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น อีกทั้งนั่นยังเป็นสิ่งของที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของพวกเราทิ้งไว้ให้ด้วย”
เฉินผิงอันนึกถึงร่มกระดาษน้ำมันที่ไม่สะดุดตาคันนั้นขึ้นมาแล้วพยักหน้ารับแรงๆ
มองเฉินผิงอันแล้ว
นักพรตเฒ่าก็รู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก
นักพรตหญิงหวงถิง วิญญูชนจงขุย ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวในจำนวนน้อยนิดที่เข้าตานักพรตผู้เฒ่าได้
ตอนนี้มีเฉินผิงอันเพิ่มมาอีกคน
นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าใบถงทวีปที่อยู่ในมุมหนึ่งของทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ดี หรือเป็นใต้หล้าไพศาลที่ยิ่งใหญ่กว้างขวางก็ช่าง คนหนุ่มสาวแบบนี้มีเพิ่มมาได้คนหนึ่งก็ขอให้เพิ่มคนหนึ่ง
ต่อให้โลกจะวุ่นวายมากแค่ไหน
ก็ยังมีเสาหลักค้ำยัน
ก่อนหน้านี้เพื่อปกป้องจิตหยินของจงขุย นักพรตเฒ่าจึงถูกผู้อาวุโสใหญ่แห่งยมโลกที่จะมารับดวงวิญญาณไปสู่เส้นทางน้ำพุเหลืองเล่นงานจนขอบเขตถอยมาหนึ่งระดับ ในใจเขารู้ดีว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสชดเชยความเสียดายที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตอีกแล้ว
ปีนั้นหลังจากที่บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงท่านนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหรินสำเร็จก็ได้รับราชทินนามมาจากลัทธิเต๋าสายหนึ่งว่ากวานเมี่ยวเทียนจวิน ฐานะสูงส่งอย่างถึงที่สุด
เรื่องที่นักพรตเฒ่าเสียดายที่สุดในชีวิตก็คือ ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้าไพศาลที่มีลัทธิขงจื๊อเป็นระบบสืบทอดดั้งเดิม หรือใต้หล้ามืดสลัวที่มีลัทธิเต๋าเฝ้าบัญชาการณ์ ขอแค่มีนักพรตเลื่อนจากเจินจวินเป็นเทียนจวิน ไม่ว่าจะเป็นสายไหนในสามสายก็ล้วนสามารถเชื้อเชิญให้บรรพจารย์แห่งลัทธิเดินทางมามอบชุดคลุมเต๋า กวานเต๋าและวัตถุแทนตัวชิ้นหนึ่งให้ด้วยมือของตัวเองได้ ทว่าในฐานะเทียนจวินคนใหม่ล่าสุดของระบบเต๋า กวานเมี่ยวเทียนจวินกลับไม่สามารถได้เห็นเจ้าลัทธิใหญ่ท่านนั้นออกจากหอป๋ายอวี้จิงมาเยือนใต้หล้าไพศาลกับตาตัวเอง เทียนจวินผู้เฒ่าไม่กล้าคาดเดาไปเอง ทว่าคนทั่วทั้งภูเขาไท่ผิงต่างก็คาดเดากันไปคำรบหนึ่ง ด้วยเรื่องนี้เจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิงยังตั้งใจไปเยือนสำนักศึกษาที่อยู่ทางเหนือสุดของใบถงทวีปเพื่อลองถามหยั่งเชิงว่า เป็นเพราะอริยะลัทธิขงจื๊อที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋นท่านใดแอบขัดขาหรือไม่ ถึงได้ทำให้เจ้าลัทธิเต๋าสายนี้ของพวกเขาไม่อาจปรากฎตัว
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาท่านนั้นก็เป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมา คร้านจะพูดจาวกวนกับเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิง จึงยิ้มพลางถามกลับว่า เจ้าลัทธิของอีกสองสายอาจจะ ‘ได้รับการปฏิบัติ’ เช่นนี้ แต่ด้วยความสัมพันธ์ควันธูประหว่างเจ้าลัทธิใหญ่ของลัทธิเต๋าสายพวกเจ้ากับลัทธิขงจื๊อของพวกเรา หากท่านผู้อาวุโสคิดจะลงมาเยือนใต้หล้าไพศาล ใครเล่าจะขัดขวางไว้ได้?
พอได้รับคำตอบนี้ เทียนจวินผู้เฒ่าก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ
คิดไปคิดมาก็คิดได้แค่ว่า อาจเป็นเพราะขอบเขตของตนสูงมากพอ แต่มหามรรคากลับยังเล็กนัก จึงเป็นเหตุให้บรรพจารย์เจ้าลัทธิจงใจเตือนตนทางอ้อม
ก่อนเกิดศึกขึ้นในภูเขาไท่ผิง เทียนจวินผู้เฒ่ายังคิดว่าหากอนาคตสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานได้ก็คงจะมีโอกาสได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าเจ้าลัทธิเอง
ทว่าตอนนี้ความคิดนี้กลับกลายเป็นเพียงความเพ้อฝันไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ไม่ได้รู้สึกเสียใจทีหลัง แต่ความเสียดายนั้นกลับเลี่ยงได้ยาก
นักพรตผู้เฒ่ากำลังจะจากไป เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นว่า “ขอบพระคุณท่านเจินเหรินผู้เฒ่า!”
นักพรตเฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงขอบคุณข้า? หมายถึงเรื่องที่ข้ายอมให้ตัวเองขอบเขตถดถอยเพื่อจงขุยน่ะหรือ?”
เทียนจวินผู้เฒ่าท่านนี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก นี่เป็นเพราะภูเขาไท่ผิงติดค้างเขา”
เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “ขอบคุณท่านเจินเหรินผู้เฒ่าและภูเขาไท่ผิงที่ทำให้ข้าได้รู้ว่าเทพเซียนบนภูเขาก็มีจิตใจที่กล้าหาญเปี่ยมด้วยคุณธรรม คิดอยากปฏิบัติต่อโลกมนุษย์ด้วยความดี”
อารมณ์ของนักพรตเฒ่าดีขึ้นทันตาเห็น “ดีนักนะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเองก็แทบไม่ต่างกับจงขุย ต่างก็เชี่ยวชาญเรื่องประจบสอพลอเหมือนกัน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของข้า”
นักพรตผู้เฒ่ามองคนหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “คำพูดประจบจากใจจริงต่างหาก ถึงจะทำให้คนสบายใจได้อย่างแท้จริง”
แล้วนักพรตผู้เฒ่าก็ทะยานลมจากไป
ศีรษะเล็กๆ ศีรษะหนึ่งฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง มองเหม่อมาทางเฉินผิงอัน
พูดแล้วก็แปลก การปรากฏตัวของจงขุยกับเทียนจวินผู้เฒ่า ไม่มีใครในจุดพักม้าสัมผัสได้ถึง มีเพียงเผยเฉียนที่บางทีอาจจับผลัดจับผลูตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นเฉินผิงอันที่อยู่ในลานกว้าง
เฉินผิงอันหันกลับไปมองเผยเฉียน “กลับไปนอนซะ”
ไม่พูดยังดี แต่พอเฉินผิงอันพูด เผยเฉียนก็ไปยกม้านั่งตัวหนึ่งมา ปีนข้ามหน้าต่างออกมาอย่างคล่องแคล่ว กระโดดลงบนพื้นอย่างมั่นคง
เฉินผิงอันถาม “ไม่หลับไม่นอน วิ่งมาทำอะไรที่นี่?”
เผยเฉียนเอ่ยเอาใจ “นอนไม่หลับ จะมาพูดคุยกับเจ้าสักครู่”
เฉินผิงอันโบกมือ บอกว่าตนต้องฝึกวิชาหมัด เจ้าอยากจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะ”
เผยเฉียนมองอยู่หนึ่งก้านธูปก็ให้ง่วงงุน จึงบอกกับเฉินผิงอันว่าจะไปนอน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วพุ่งพรวดไปทางหน้าต่างของห้อง นางกระโดดตัวขึ้นสูง คิดว่าคงจะพยายามใช้สองมือคว้าจับขอบหน้าต่างไว้ก่อน แล้วค่อยใช้สองขาปีนป่ายขึ้นไป หากปีนกลับไปได้ย่อมองอาจมากแน่ๆ
ผลกลับกลายเป็นว่าคางกระแทกเข้ากับขอบหน้าต่างดังปึก
ร่างผงะหงายตึงลงบนพื้น
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมามองอย่างอดไม่ได้
เผยเฉียนนั่งอยู่บนพื้น ยื่นมือมากุมคาง หันหน้ากลับมา น้ำตากลบตาจะหยดมิหยดแหล่
เฉินผิงอันเดินมาหา ย่อตัวลงนั่งยอง ดึงมือของนางออกเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ยังคิดจะแสดงมาดวีรบุรุษผู้องอาจอีกไหม?”
บนใบหน้าดำเกรียมของเด็กหญิง น้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย
เฉินผิงอันได้แต่หุบยิ้ม ประคองนางลุกขึ้นยืน “มีแม่นางน้อยคนหนึ่งอายุพอๆ กับเจ้า นางเองก็มีนิสัยใจร้อนซุ่มซ่ามแบบนี้เหมือนกัน แต่นางอดทนกับความลำบากได้ดีกว่าเจ้า หากเปลี่ยนมาเป็นนาง เวลานี้คงหันมายิ้มให้ข้า ไม่แน่อาจจะยังพูดปลอบใจข้าว่าไม่ต้องเป็นห่วงนางก็เป็นได้”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมไปอีกหนึ่งประโยค “แต่ว่าทุกคนล้วนมีนิสัยแตกต่างกัน เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบนาง”
คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน
เผยเฉียนได้แต่อ้าปากน้อยๆ ถามเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน “นางชื่ออะไร”
เฉินผิงอันตอบ “นางชื่อหลี่เป่าผิง ชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสด แถมยังชอบเรียกข้าว่าอาจารย์อาน้อย”
เผยเฉียนถามเสียงเบาขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าชอบนางมากหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ใต้หล้านี้จะมีอาจารย์อาน้อยที่ไม่ชอบหลี่เป่าผิงได้อย่างไร?!
นางเข้าใจถูกแล้ว
เผยเฉียนเงียบเสียงไป
เฉินผิงอันถาม “เมื่อครู่นี้เห็นข้าฝึกท่าหมัดเดินนิ่งแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
เผยเฉียนสีหน้ามึนงง คราวนี้นางไม่ได้แกล้งทำ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเขาถึงถามเช่นนี้
เฉินผิงอันเองก็เริ่มสงสัยเหมือนกัน “เจ้าไม่ได้แอบลักจำเรียนจากข้ารึ?”
เผยเฉียนถามกลับ “ข้าจะเรียนท่าเดินส่ายเอียงไปเอียงมาของเจ้าทำไม?”
นางลุกขึ้นยืน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา กางเล็บแยกเขี้ยว แล้วแสร้งทำท่าชักกระบี่ออกจากฝัก สองนิ้วประกบกันจ้วงแทงมั่วซั่ว เดี๋ยวก็กระโดดขึ้นลงสองสามที ยังปล่อยหมัดส่งเดชอีกหนึ่งคำรบ โอ้อวดฝีไม้ลายมือของตัวเองครบหนึ่งรอบก็กล่าวว่า “แน่นอนว่าหากข้าจะเรียนก็ต้องเรียนกระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุด!”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าน่าตลก กลับกันสีหน้ายังเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
บนถนนใหญ่ของพื้นที่มงคลดอกบัว การบังคับกระบี่ของลู่ฝ่าง
ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ของเฉินผิงอัน
รวมไปถึงกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ต่อยให้จ้งชิวถอยร่น
ปะปนไปกับกระบวนท่าที่มารเฒ่าติงอิงใช้แบบกระจัดกระจาย
แม้ว่ามองไปแล้วจะไม่เหมือน
แต่ว่า
เคยมีคนบอกว่า หากฝึกหมัดไม่จริงจังย่อมทำให้เทพและผีหัวเราะเยาะ แต่หากฝึกหมัดแล้วโยนกระบวนท่าหมัดทั้งหมดทิ้งไป แต่ฝึกสัจธรรมที่แท้จริงของหมัดโดยตรงเลยล่ะ?
ในความทรงจำของเฉินผิงอัน มีเพียงคนเดียวที่ทำได้แบบนี้
จริงดังที่คาดไว้
เฉินผิงอันถามหนึ่งคำถาม “เมื่อตอนกลางวันเจ้าจ้องมองนักพรตเส้าแบบนั้น เป็นเพราะมองอะไรออก?”
เผยเฉียนไม่กล้าตอบ
เฉินผิงอันเอ่ย “ขอแค่ไม่โกหก ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรก็ล้วนไม่มีปัญหา”
เผยเฉียนถึงได้กวาดตามองซ้ายมองขวา ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าคนแซ่เส้าผู้นั้นไม่ได้มีเจตนาดี ไม่ใช่คนดี”
เฉินผิงอันถามคำถามข้อที่สอง “เจ้ามองเห็นนักพรตผู้เฒ่าที่มาเยือนคืนนี้ใช่หรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
นั่นคือวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ย่อพื้นที่ให้เล็กลงที่บรรพจารย์แห่งภูเขาไท่ผิงเป็นผู้ร่ายใช้เชียวนะ
เฉินผิงอันถามอีก “หากวันหน้าเจ้าฝึกหมัดแล้วได้ดี เมื่อมีคนมารังแกเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร บอกมาตามตรง!”
เผยเฉียนสองจิตสองใจ “ต่อยหมัดเดียวให้เขาร่อแร่ใกล้ตาย?”
เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะโมโห ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนางจึงยกสองมือกอดอก พูดเสียงขุ่นเคืองอย่างไม่แยแส “ต่อยหนึ่งหมัดให้ตายไปเลย!”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วถ้าความจริงเจ้าเป็นคนผิดเล่า?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “ข้าอยู่ข้างกายเจ้าทุกวัน จะทำผิดได้อย่างไร!”
ในใจเฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่กลับตีหน้าเคร่งถามว่า “แต่สักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องออกจากบ้านไปเดินทางท่องยุทธภพเพียงลำพัง”
เผยเฉียนกล่าวอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง! ทำไมข้าต้องออกจากบ้านไปคนเดียวด้วย ข้างนอกมีคนชั่วอยู่มากมายขนาดนั้น หากเอาชนะพวกเขาไม่ได้จะทำอย่างไร? อีกอย่าง หากถึงเวลานั้นข้าเอาเงินไปไม่มากพอ ทุกวันต้องทนหิว ข้าต้องไปขโมยไปแย่งชิงของของคนอื่นแล้วเจ้ารู้เข้า เจ้าก็จะต้องตีข้าด่าข้าอีก ข้าจะทำยังไงได้? ถูกไหม ดังนั้นข้าไม่มีทางออกจากบ้านแน่”
เฉินผิงอันถาม “แล้วถ้าวันหนึ่งเจ้าฝึกวรยุทธ์จนเก่งกาจอย่างมาก เก่งกว่าข้าอีกล่ะ?”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว ตั้งใจคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะส่ายหน้าสุดชีวิต “ข้าขี้เกียจจะตาย ชอบนอนมากที่สุด แถมยังกลัวเจ็บ ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทาง ฝ่าเท้าข้ามีตุ่มน้ำพอง เวลาที่ต้องเจาะมันให้แตก ข้ายังแหกปากร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง ตอนอยู่โรงเตี๊ยมเจ้าต่อสู้กับคนอื่นจนกระดูกโผล่ออกมาจากแขนสองข้าง เจ้าไม่ร้องไห้ แต่ข้าน่ะทำไม่ได้หรอกนะ หากข้าก้มหน้าลงแล้วเห็นแขนตัวเองเป็นอย่างนั้นอาจจะตกใจจนเป็นลมไปเลยก็ได้ เฮ้อ ใต้หล้านี้หากมีวิชายุทธ์ล้ำโลกที่ไม่ต้องทนลำบากแล้วฝึกได้สำเร็จในวันเดียวก็ดีน่ะสิ”
เฉินผิงอันกลั้นหัวเราะ “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือว่าตัวเองขี้เกียจ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า แถมยังขี้ขลาดด้วย?”
เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจ “เจ็บคาง”
เฉินผิงอันหัวเราะ หมุนตัวกลับไป เอาหลังพิงโต๊ะหิน เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
เผยเฉียนเลียนแบบเขาบ้าง เพียงแต่ว่านางตัวเล็ก จึงได้แต่เอาท้ายทอยวางพาดบนโต๊ะหินเท่านั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ผ่านปีนี้ไป เจ้าก็จะอายุสิบเอ็ดขวบแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้มาก ศึกษาเล่าเรียนเหตุผลและหลักการเยอะๆ”
แบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วง ทั้งยังต้องทนรับความลำบากอย่างยาวนาน
เหนื่อยใจยิ่งกว่าตอนตนฝึกวิชาหมัดหนึ่งล้านครั้งเสียอีก
แต่ว่าก็ยังดี
เฉินผิงอันพูดความในใจกับเผยเฉียนอย่างที่หาได้ยาก “ตอนที่อยู่บ้านเกิด ข้าอายุค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้เรียนหนังสือ อาจารย์ฉีจึงบอกกับข้าว่าหลักการอยู่ในหนังสือ แต่การปฏิบัติตนนั้นอยู่นอกตำรา”
สุดท้ายเฉินผิงอันพึมพำว่า “หวังว่ายามเยาว์วัยของทุกคนบนโลกล้วนสามารถได้พบเจอกับอาจารย์ฉี”
เผยเฉียนในเวลานี้ยังคงเป็นเด็กหญิงที่ชอบจะเลือกฟังแค่ในสิ่งที่ตัวเองชอบใจ
ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันบอกว่าปีหน้านางจะอายุสิบเอ็ดปีแล้ว
บนโลกนี้มีเพียงแค่เฉินผิงอันที่จดจำเรื่องพวกนี้ได้ ปีนี้นางอายุสิบขวบ ปีหน้าก็สิบเอ็ดขวบ
……
นักพรตเฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิงพลันหยุดชะงัก หยิบไม้ไหวออกมา จิตหยินของจงขุยจึงปรากฏกาย
บนทะเลเมฆ จงขุยเห็นคนที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดคนหนึ่งยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาก็คือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู อาจารย์ของเขา
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูเพียงแค่มองจงขุย
จงขุยจึงเอ่ยเรียกเบาๆ “อาจารย์?”
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เจ้าขุนเขาจะไม่กล้าเชื่อว่าฝันร้ายนี้เป็นความจริง แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า “ไม่ควรเป็นเช่นนี้ ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย”
แค่ความคิดเดียวที่ผิดพลาด ตอนนั้นเขาไม่ควรไปที่จวนปี้โหยว ไม่ควรให้ลูกศิษย์ที่ ‘ตนภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต’ คนนี้เดินทางไปที่ภูเขาไท่ผิง ควรให้เขาอยู่ในโรงเตี๊ยมของเมืองเล็กริมชายแดน คอยจับตามองจิ้งจอกเก้าหางที่อำพรางตัวไม่ยอมเผยกายตัวนั้นไปซะ
แม้ว่าจิ้งจอกเก้าหางจะเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสอง ทว่าสถานะของนางพิเศษอย่างยิ่ง ลำดับศักดิ์ก็สูงมาก เป็นเหตุให้นามแท้จริงของนางถูกเปิดเผยมานานแล้ว ขอแค่รู้ชื่อจริงของปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลทั้งหมดที่อยู่บนโลก และขอแค่ร่างของจงขุยอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็เท่ากับว่ามีพลังเหลือให้ปกป้องตัวเอง
ใครก็คิดไม่ถึงว่าวานรขาวสะพายกระบี่ของภูเขาไท่ผิงต่างหากถึงจะเป็นตัวการชั่วร้ายที่ทำให้ปีศาจของบ่ออเวจีหนีไป
จงขุยไม่อาจทนรับกับบรรยากาศในเวลานี้ได้ไหวจึงพูดขึ้นเสียงดังว่า “อาจารย์ ก็แค่ภาระหน้าที่ที่พึงปฏิบัติซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้เท่านั้น บัณฑิตหากไม่ใช้ความรู้อบรมสั่งสอนปวงประชา ปรับปรุงแก้ไขบ้านเมือง ก็ต้องใช้ปราณเที่ยงธรรมที่มีอยู่ในร่างกำจัดความชั่วร้ายผดุงคุณธรรม…”
เจ้าขุนเขาเดือดดาลอย่างหนัก “จำต้องให้เจ้ามาอธิบายหลักการพวกนี้กับข้างั้นหรือ?!”
จงขุยเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว
เทียนจวินผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “หากทางสถานศึกษาคิดจะเอาผิด ภูเขาไท่ผิงของพวกเราย่อมไม่มีทางปฏิเสธความรับผิดชอบแน่”
ยามที่เจ้าขุนเขาเผชิญหน้ากับนักพรตผู้เฒ่ากลับไม่แสดงสีหน้าเหมือนที่ปฏิบัติต่อจงขุยแล้ว เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์พี่ของข้าท่านนั้นย่อมต้องมีไฟโทสะแน่นอน แต่กลับไม่ถึงขั้นที่จะต้องยกกำลังคนไปปราบปรามเอาผิด อีกอย่างภูเขาไท่ผิงมีความผิดอะไร? เทียนจวินเคยกล่าวโทษจงขุยที่ไม่อาจปกป้องภูเขาไท่ผิงได้หรือไม่? เหตุใดถึงไม่ปกป้องเซียนดินท่านนั้น?”
จงขุยเอ่ยเสริมเบาๆ อีกหนึ่งประโยค “อาจารย์ ผู้อาวุโสท่านนั้นชื่อว่าเหลียงซู่”
เจ้าขุนเขาเตรียมจะระเบิดโทสะอีกครั้ง
จงขุยหุบปากฉับทันที
นักพรตเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ผ่านหายนะในครั้งนี้ หลังจากนี้ไปใบถงทวีปอาจจะดีขึ้นมาหน่อย แต่นาตยทวีปและฝูเหยาทวีปอาจต้องโกลาหลปั่นป่วนกันใหญ่แน่ ก่อนหน้านี้ทั้งสามทวีปต่างก็มีสมบัติล้ำค่าเผยตัวบนโลก แล้วนี่ก็เป็นแผนการของเผ่าปีศาจจริงๆ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็ลดระดับเสียงลงจนแผ่วเบา “สำนักศึกษาของพวกเจ้าต้องปกป้องเด็กหนุ่มคนนั้นของสำนักฝูจีให้ดี เขาสามารถเปิดโปงเรื่องครั้งนี้ได้…”
แล้วก็ไม่ได้พูดต่ออีก
เจ้าขุนเขาพยักหน้ารับ “ตามหลักแล้วควรจะเป็นเช่นนี้ ข้าปรึกษากับสำนักฝูจีเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นจะใช้ชื่อปลอมเข้ามาเรียนหนังสือในสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเรา ส่วนข้อที่ว่าหลังจากนั้นเขาจะกลายเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหรือไม่ก็ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเด็กหนุ่มเอง”
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้ม “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของจีไห่วิ่งไปเป็นนักปราชญ์เป็นวิญญูชน สำนักฝูจีจะไม่สู้ตายกับเจ้าเลยหรือไร?”
เจ้าขุนเขาพูดถึงสำนักฝูจีและจีไห่ผู้ฝึกตนใหญ่ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะปลงอนิจจัง “จีไห่บอกกับข้าตามตรงว่า ไม่ว่าจะรับเด็กหนุ่มเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดหรือมอบอาวุธให้ชิ้นหนึ่งก็ล้วนเป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่พอเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น ในใจของเขาจีไห่ก็ยากจะสงบลงได้ นั่นจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตน ทำให้เขาไม่อาจเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเซียนเหรินได้ชั่วชีวิต แล้วอนาคตจะไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองตนอื่นได้อย่างไร?”
นักพรตเฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าเสียดาย “คู่รักเทพเซียนห้าขอบเขตบนคู่เดียวในใบถงทวีป คู่สร้างคู่สมที่สวรรค์สรรค์สร้างซึ่งหาได้ยากยิ่ง ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก การฝ่าขอบเขตของจีไห่ย่อมกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก ยิ่งดึงดันอยากจะทำสำเร็จมากแค่ไหน จิตมารก็ยิ่งยากจะกำจัดมากเท่านั้น”
เจ้าขุนเขายิ้มขื่น “เรื่องบางเรื่อง คนนอกเกลี้ยกล่อมได้ แต่เรื่องบางเรื่องกลับไม่อาจทำได้”
นักพรตเฒ่าถอนหายใจหนึ่งที
ความยากของการฝึกบำเพ็ญตนนั้น ยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์
……
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงตระหง่านมากที่สุด
มีเทพเกราะทององค์หนึ่งใช้สองมือค้ำยันด้ามกระบี่ ใบหน้าสวมหน้ากากปิดทับทำให้มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเทพองค์นี้ เขายืนอยู่ด้านข้างป้ายศิลาบนยอดเขา ซึ่งบนยอดศิลาก็มีผู้เฒ่าซึ่งเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างไร้มารยาท
ผู้เฒ่านับนิ้วคำนวณอยู่ในชายแขนเสื้อแล้วตบเข่าฉาด “ประเสริฐ ประเสริฐเลิศล้ำ!”
เทพเกราะทองกระตุกมุมปาก
ผู้เฒ่าถามด้วยท่าทางลำพองใจ “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าคนนี้เป็นอย่างไร?”
เทพเกราะทองที่ถูกตาเฒ่าตามตอแยมานานถึงหนึ่งเดือนเต็มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ดีๆๆ พอใจหรือยัง?”
ผู้เฒ่ายากจนชี้หน้าองค์เทพที่ตัวสูงใหญ่แทบจะเท่ากับป้ายศิลาพลางหัวเราะร่า “ท่าทางปากยอมแต่ใจไม่ยอมของเจ้านี้ ข้าล่ะถูกใจจริงๆ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เริ่มทำตัวเป็นชายชาตรีที่ดีต้องพูดถึงวีรกรรมกล้าหาญในอดีตอีกครั้ง (ประโยคแท้จริงคือชายชาตรีที่ดีไม่พูดถึงวีรกรรมกล้าหาญในอดีต ประโยคนี้จึงเป็นในเชิงเหน็บแนม) “นึกถึงปีนั้นที่ข้าทะเลาะกับคนอื่น พอพวกเขาแพ้ แต่ละคนก็มีท่าทางขี้แพ้ชวนตีเหมือนเจ้านี่แหละ ข้าล่ะชอบใจนัก”
เทพเกราะทองก็คือหนึ่งในองค์เทพแห่งห้าขุนเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาเอ่ยเหน็บแนมว่า “ตอนนั้นใครเป็นคนเสนอแนะให้ซิ่วไฉยากจนอย่างเจ้าได้เลื่อนขั้นเข้าไปอยู่ในศาลบุ๋น? เจ้าช่วยบอกข้าที ข้าจะได้ไปถามเขาว่า ตาสุนัขของเขามืดบอดไปแล้วหรืออย่างไร”
นี่ก็คือคดีใหญ่ที่คนของลัทธิขงจื๊อให้การยอมรับว่ายังไม่อาจตัดสินได้
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกวนอารมณ์ “เจ้าลองเดาดูสิ?”
ต่อให้องค์เทพใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานจะนิสัยดีแค่ไหน แต่มีคนมาคอยบ่นพึมพำข้างหูเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มก็ให้หงุดหงิดแล้วเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ตาแก่สกปรกผู้นี้มีนิสัยไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว (หมายถึงลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น) การมาเยือนครั้งนี้จะมีเรื่องดีได้หรือ?
ตอนนี้เขาจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป “เดากับปู่ทวดเจ้าน่ะสิ!”
ซิ่วไฉเฒ่ากระดกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่ใช่ปู่ทวดของข้า แต่เป็นบรรพจารย์ของลัทธิขงจื๊อพวกเรา ข้าก็อยากให้ท่านผู้อาวุโสเป็นปู่ทวดของข้าอยู่เหมือนกัน เฮ้อ น่าเสียดายๆ …”
นิสัยหัวแข็งเกรี้ยวกราดขององค์เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานท่านนี้เป็นที่เลื่องลือ ทว่าเวลานี้เขากลับลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กุมหมัดคารวะให้แก่ฟ้าดิน ถือเป็นการขออภัยปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้น
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงพูดพึมพำกับตัวเอง “เจ้าก็รู้จักข้าดีนี่นาว่าเป็นคนหน้าบางมาก มักจะชอบเอ่ยเตือนตัวเองว่าไม่มีคุณความชอบมิอาจรับผลตอบแทน ทว่าความรู้ของข้าสูงส่ง บทความก็เขียนได้ดี หลักการเหตุผลที่พูดออกมาล้วนมหัศจรรย์ ดังนั้นปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้นจึงมาหาข้า พูดด้วยความหวังดี เกลี้ยกล่อมอย่างน่าฟัง ทำเอาข้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดถึงเรื่องบางเรื่องที่ตัวข้าเองคิดว่าตัวเองธรรมดามาโดยตลอด ทว่ามีประโยคหนึ่งในนั้นที่ข้ารู้สึกว่าเขาพูดได้ตรงใจข้ายิ่งนัก อริยะปราชญ์ในยุคบรรพกาลล้วนเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง แต่วีรบุรุษที่แท้จริงล้วนไม่อาจเป็นอริยะปราชญ์ได้เสมอไป! พอข้าได้ยินก็รู้สึกว่ายังคงเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่เข้าใจข้า ข้าก็เลยเสนอข้อเรียกร้องเล็กๆ กับบรรพจารย์ท่านนี้…”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดเสียงหนัก “ข้าไม่อยากฟัง หุบปาก!”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายสุดแสน “ทำไมเจ้าคนนี้ถึงไม่รู้จักแบ่งแยกดีเลวบ้างเลยนะ?”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานหัวเราะเสียงเย็น “หากข้าแยกแยะดีเลวได้จะปล่อยให้เจ้าขึ้นมาบนภูเขาหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่านวดคลึงปลายคาง เหมือนรู้สึกว่าเรื่องนี้ตนไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่ จึงรีบเปลี่ยนมาพูดใหม่ว่า “ตงไห่เจ้าจมูกโคเฒ่าผู้นั้น (จมูกโคเป็นคำเรียกดูหมิ่นนักพรตเต๋า เนื่องจากนักพรตโบราณมักจะไว้ผม ด้วยการมวยผมสองจุก แลดูคล้ายโค) นิสัยไม่น่ารักเอาซะเลย แต่เรื่องนี้ยังพอจะถูไถไปได้ ลงมือทีก็ถือว่าใจกว้าง ไม่ลดสถานะของตัวเอง รู้จักมอบของดีชิ้นหนึ่งให้กับเด็กคนนั้น แม้ว่าจะไม่อาจช่วยเหลือในการฝึกตน ทว่าเรื่องราวและวัตถุบนโลกนี้ ดีย่อมไม่สู้บังเอิญ สามารถช่วยอำพรางความลับสวรรค์ได้พอดี ดีกว่างอบผุๆ อันนั้นของอาเหลียงด้วยซ้ำ เห็นแก่ความดีข้อนี้ ข้าจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องสกปรกที่เขาทำลงไปในพื้นที่มงคลดอกบัว”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดเสียดสี “ต่อให้ตอนนี้เจ้าคิดอยากจะงัดข้อกับเขา แล้วเจ้าทำได้หรือไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “ในด้านการอธิบายหลักการเหตุผลกับคนอื่น บัณฑิตอย่างพวกเราต้องมีการแบ่งแยกสูงต่ำ ตีรันฟันแทงกัน เจาะท้องฟ้าให้เป็นรูล้วนไม่ถือว่าเป็นความสามารถที่แท้จริง”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานไม่ได้โต้เถียงอย่างที่หาได้ยาก
ชายแขนเสื้อสองข้างของซิ่วไฉเฒ่าพองโป่งไม่หยุดเพราะลมกรดบนยอดเขาสุ้ยซาน ต่อให้เป็นบนเสื้อเกราะสีทองของเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานก็ยังมีริ้วคลื่นกระเพื่อม ทว่าอาภรณ์และเส้นผมของซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่โบกสะบัดไปตามลมเลยแม้แต่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่าพูดเสียงเบา “อริยะตายยาก วิญญูชนกลับมีชีวิตอยู่ได้ยาก”
“เมธีร้อยสำนัก มีเพียงลัทธิขงจื๊อของพวกเราเท่านั้นที่ไม่ควรยึดถือในเรื่องผู้ปกป้องมรรคาอะไร สำนักศึกษาก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดของบัณฑิตในโลก สถานศึกษาสามแห่ง สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาลล้วนมีวิญญูชนที่ตายอยู่เบื้องหน้าอริยะเช่นนี้อยู่ ข้ารู้สึกว่าวิญญูชนเจิ้งเหรินที่ไม่ฉลาดพอเหล่านี้ก็คือกระดูกสันหลังของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ของพวกเรา สามารถ…”
ซิ่วไฉเฒ่าพูดมาถึงตรงนี้ก็พลันหมดคำพูด หันหน้ามาตวาดถามว่า “เจ้าโง่ ไหนเจ้าลองคิดหาคำพูดมาสิ”
เทพใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานกล่าวอย่างเฉยเมย “ค้ำฟ้ายันดิน”
ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าฉาดใหญ่อีกครั้ง “ประเสริฐยิ่ง!”
เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานพูดขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “เจ้าไม่เคยเป็นวิญญูชนที่แท้จริงของลัทธิขงจื๊อด้วยซ้ำ”
ซิ่วไฉเฒ่าเงียบงัน
……
ในศาลบุ๋นมีอริยะท่านหนึ่งเดินออกมาจากเทวรูปดินเผาของตัวเอง แท่นบูชาที่ตั้งวางเทวรูปนั้นสูงมาก ตำแหน่งของเทวรูปเองก็อยู่ใกล้กับปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ตั้งอยู่ตรงกลางอย่างถึงที่สุด เขายังจูงมือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามเขาจากสถานที่อื่นมาเยือนใต้หล้าไพศาลด้วย
พอพาเด็กหนุ่มเดินข้ามธรณีประตูออกไปแล้ว อริยะก็หันไปมองตำแหน่งที่ตั้งเทวรูปที่ว่างเปล่า แล้วหันมาเอ่ยยิ้มๆ กับเด็กหนุ่มว่า “วันหน้าเมื่อเจ้ามีโอกาสก็ลองช่วงชิงกับใครบางคนดู”