บทที่ 353 ป้ายศาลบรรพจารย์ แสงจันทร์ส่องเหนือศีรษะ
หลังจากเทียนจวินผู้เฒ่าและจงขุยจากไป หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข
เผยเฉียนที่ต่อสู้กับเปลือกตาตัวเองไม่ไหวถูกเฉินผิงอันอุ้มขึ้นไปตรงบานหน้าต่างแล้วให้นางกลับไปนอนเอง
เฉินผิงอันอยู่ในลานบ้านเพียงลำพัง ไม่ได้ฝึกเดินนิ่งและไม่ได้ฝึกวิชากระบี่ แต่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหินใคร่ครวญถึงแผนการหลังจากนี้
บางครั้งก็เงยหน้ามองม่านฟ้าอย่างเหม่อลอย ก่อนหน้านี้จงขุยเคยเล่าให้ฟังว่า ในบรรดาอริยะที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ นอกจากพวกที่ต้องไปบุกเบิกที่ดินตามหาพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์แห่งใหม่แล้ว อริยะคนอื่นส่วนใหญ่แล้วจะเฝ้าบัญชาการณ์อยู่ตามทวีปใหญ่ในใต้หล้าไพศาล อยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบหรือมหาสมุทร หลุบตาลงมองมายังโลกมนุษย์ ในสายตาของพวกเขา ผู้ฝึกตนใหญ่บนโลกมนุษย์ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็เหมือนคนธรรมดาที่เห็นหิ่งห้อยลอยไปลอยมาในยามค่ำคืนของฤดูร้อน ความเจิดจ้าหรืออ่อนด้อยของแสงก็อยู่ที่ว่าขอบเขตของเหล่าเทพเซียนพสุธาสูงหรือต่ำ ดังนั้นศึกที่ภูเขาไท่ผิง การเปิดฉากสังหารอย่างเต็มกำลังกับวานรขาว เมื่อไม่มีการอำพรางภาพเหตุการณ์เอาไว้ ในสายตาของอริยะที่อยู่เหนือใบถงทวีปก็คล้ายกลุ่มแสงสองกลุ่มที่ระเบิดแตก เป็นเหตุให้ดึงดูดอริยะลงมา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีวิชาอภินิหารสูงส่งสร้างความวุ่นวายอย่างไร้สาเหตุ หรือไม่ก็ใช้เวทคาถาชำระความแค้นส่วนตัว หากพวกเขาต่อสู้กันอย่างไร้ความพะวงจนภูเขาและแม่น้ำปริแตกพังทลาย อาณาประชาราษฎร์ก็จะเผชิญกับความยากลำบาก
เวลาที่มากกว่านั้น เฉินผิงอันจะหลับตาทำสมาธิ ในใจท่องคาถาตระกูลเซียนที่บันทึกอยู่บนแผ่นหยกของจวนปี้โหยว
อ่านตำราหนึ่งร้อยรอบย่อมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หมื่นคาถาอาคมบนโลกล้วนหนีไม่พ้นต้นกำเนิดดั้งเดิม
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ได้ยินเสียงฝีเท้าของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นดังมาจากนอกเรือน ก่อนหยุดตรงหน้าประตูคล้ายลังเลว่าควรจะเคาะประตูดีหรือไม่
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเรือน เหยาเจิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ สามารถฟังฝีเท้าแล้วแยกแยะได้”
เฉินผิงอันถาม “ไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่สวนดอกไม้ของจุดพักม้ากันดีหรือไม่?”
เหยาเจิ้นเดินเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ที่เมื่อวานตอนกลางวันไม่ได้ไปเที่ยวชมสถานที่ที่เซียนบรรพกาลขี่กระเรียนบินทะยานก็เพราะข้าได้รับข่าวว่าทูตลับของเมืองเซิ่นจิ่งจะมาถึงจุดพักม้า ข้าจึงได้แต่รอ รอจนกระทั่งยามสองตอนกลางคืน แขกผู้ทรงเกียรติท่านนั้นถึงจะมา เจ้าเดาดูสิว่าเป็นใคร?”
ในเมื่อถามเขาเฉินผิงอันก็ย่อมไม่ใช่บุคคลในเมืองเซิ่นจิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนแน่ ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัวของเฉินผิงอัน เอ่ยตอบว่า “เซินกั๋วกง เกาซื่อเจิน”
เหยาเจิ้นยกนิ้วโป้งให้พลางพยักหน้ารับ “คือท่านกั๋วกงผู้นั้นนั่นแหละ”
ผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือน
ในเมื่อสามารถทำให้เซินกั๋วกงรับหน้าที่เป็นทูตลับได้ อีกทั้งยังนำพระราชโองการของฮ่องเต้มาบอกที่เมืองฉีเฮ้อ ก่อนที่ขบวนเดินทางตระกูลเหยาจะเข้าไปในเมืองเซิ่นจิ่ง นี่ก็หมายความว่าในใจของฮ่องเต้ น้ำหนักของเซินกั๋วกงเหนือกว่าเหยาเจิ้นว่าที่เจ้ากรมกลาโหมมากนัก ส่วนเรื่องที่ว่าก่อนหน้าเซินกั๋วกงจะออกจากเมืองหลวง ฮ่องเต้สกุลหลิวได้กระซิบกระซาบสั่งสอนก่อกวนให้ความคิดของเขายุ่งเหยิงหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยพบฮ่องเต้สกุลหลิวมาก่อนจึงไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นการที่เซินกั๋วกงมาเยือนจุดพักม้าเมืองฉีเฮ้ออย่างลับๆ สำหรับท่านแม่ทัพผู้เฒ่าแล้วย่อมไม่ต่างอะไรจากการมาอวดอ้างอำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า
การอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนั้นไม่ง่าย
ต่อให้จะเป็นเจ้าเหยาเจิ้นก็เหมือนกัน เจ้าก็ยังคงเป็นคนนอกที่อยู่ริมชายแดนคนหนึ่งเท่านั้น
การ ‘เดินทางไกล’ ข้ามผ่านกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนั้น เฉินผิงอันที่พิศมรรคาร่วมกับนักพรตผู้เฒ่าตงไห่ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย บางทีจนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้ว เด็กบ้านนอกแห่งตรอกหนีผิงถึงจะสลัดดินโคลนก้อนสุดท้ายให้หลุดออกจากกางเกงได้อย่างแท้จริง
เหยาเจิ้นเอ่ยเนิบช้า “กั๋วกงและจวิ้นอ๋องต่างแซ่ของราชวงศ์ต้าเฉวียนมีทั้งหมดสิบคน เผชิญเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างที่สกุลหลิวก่อตั้งแคว้นมาสองร้อยปี ตอนนี้ก็เหลือแค่จวนของเซินกั๋วกงอยู่เพียงหน่อเดียวแล้ว ชื่อเสียงของอดีตเซินกั๋วกงดีเยี่ยม เป็นคนมีคุณธรรม มีสองครั้งที่เขายอมเสี่ยงถูกปลดป้ายกั๋วกงออกจากจวนเพื่อปกป้องขุนนางน้ำดีครั้งหนึ่งและแม่ทัพบู๊ชายแดนผู้หนึ่ง ดังนั้นคนในราชสำนักไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ก็ล้วนมีความสัมพันธ์ควันธูปอยู่กับจวนเซินกั๋วกง เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงคนปัจจุบันเป็นคนคมในฝัก ไม่ค่อยชอบแสดงฝีมือนัก แต่ตอนเป็นหนุ่มเคยไปมาหาสู่กับจวนขององค์รัชทายาทในยุคสมัยนั้น ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว กั๋วกงท่านนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย ดังนั้นเกาซู่อี้ถึงได้มีความสามารถให้ทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งได้…”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยแทรก “เกาซู่อี้ทำตัวโอหังอวดดี สร้างความเดือดดาลให้กับชนชั้นสูงหลายฝ่าย ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่ใช่ฝีมือการทำลายชื่อเสียงตัวเองของเซินกั๋วกง กั๋วกงทั้งสองรุ่นต่างก็อาศัยความสามารถของตัวเองครอบครองผลประโยชน์ที่ขุนนางในราชสำนักต่างก็ไม่กล้าคิดถึง หากเกาซู่อี้ไม่ทำอะไรซะบ้าง จุดจบของจวนกั๋วกง ไม่แน่ว่าอาจเป็นแบบเดียวกับที่ทหารชายแดนตระกูลเหยาต้องประสบพบเจอก่อนหน้านี้”
เหยาเจิ้นมีสีหน้าประหลาด ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอันอีกครั้ง “เหมือนกับที่เหยาจิ้นจือหลานสาวข้าพูดไว้เลย”
แต่ว่าจากนั้นเหยาเจิ้นก็ตบไหล่เฉินผิงอัน “แต่ว่าคำพูดเหล่านี้ จิ้นจือของพวกเราพูดไว้ตอนอายุสิบสี่ปี”
เฉินผิงอันรู้สึกขำอยู่ในใจ ท่านเป็นถึงแม่ทัพผู้เฒ่ามางัดข้อกับข้าเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร แต่ปากกลับเอ่ยคล้อยตาม “แม่นางจิ้นจือมีจริยาดุจบุปผาฮุ่ยหลัน (เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่ที่มีนิสัยบริสุทธิ์ผุดผ่อง ลักษณะนิสัยชดช้อยสง่างาม) ไม่ว่าจะเรียนรู้สิ่งใดก็ล้วนชำนาญ ข้าย่อมเทียบนางไม่ติดอยู่แล้ว”
ใบหน้ายับย่นแก่ชราของเหยาเจิ้นดุจบุปผาผลิบาน พยับเมฆในใจหายไปสิ้น
ส่วนข้อที่ว่าเซินกั๋วกงเกาซื่อเจินมาถึงจุดพักม้าแล้วพูดอะไรบ้าง ในฐานะขุนนางสกุลหลิว เหยาเจิ้นย่อมไม่เอามาแพร่งพรายอยู่แล้ว
แต่หากเมืองเซิ่นจิ่งและท่านกั๋วกงคิดจะเล่นงานผู้มีพระคุณน้อยของตน เหยาเจิ้นก็ไม่ถือสาหากต้องตายอีกสักรอบ ถึงอย่างไรชีวิตแก่ๆ นี้ของตนก็มอบให้เฉินผิงอันแล้ว และนี่ยังถือว่าสกุลเหยาได้กำไรแล้วด้วย อีกอย่างกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาก็หลุดพ้นจากคลื่นมรสุมลูกนี้ไปแล้ว นี่คือข้อสรุปของหลานสาวเหยาจิ้นจือเมื่อได้พูดคุยกับเขาท่ามกลางแสงเทียนหลังจากส่งเกาซื่อเจินออกนอกเมืองไปแล้ว ก่อนที่เขาเหยาเจิ้นจะเข้าเมือง จะมีคนนับหมื่นมายืนตามตรอกซอกซอยเพื่อรอต้อนรับ ชื่อเสียงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาจะถูกผลักดันอยู่ในวงการขุนนางไปเป็นชั้นๆ จนกระทั่งชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทั้งราชสำนัก
สวนดอกไม้ของจุดพักม้ามีชื่อเสียงอย่างมาก ภายใต้การช่วยกันกระจายข่าวอย่างสุดกำลังของนักท่องเที่ยว นักประพันธ์และขุนนางที่ถูกเลื่อนขั้นหลายยุคหลายสมัย สถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น ‘ความงดงามแห่งบ่อภูเขา ความวิจิตรแห่งศาลาหอเก๋ง อ๋องทั้งหลายของเมืองหลวงล้วนมิกล้าอาจเอื้อม’
ใบไม้เขียวขจีเป็นพุ่มหนา สะพานเล็กสายน้ำไหลริน คนทั้งสองเดินไปบนสะพานไม้ทรงโค้ง ตอนนี้ความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อโครงสร้างของสะพานอาจไม่เป็นรองขุนนางของกรมโยธาคนใดแล้วก็ได้ เฉินผิงอันเดินอยู่บนสะพาน บางครั้งฝีเท้าก็แผ่วเบา บางครั้งก็หนักหน่วง เขายื่นมือออกไปเคาะราวระเบียงเบาๆ เหยาเจิ้นคิดแค่ว่านี่เป็นความชอบของเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามเพื่อแสดงความสงสัยใคร่รู้
ขบวนเดินทางตระกูลเหยาออกเดินทางในวันมะรืน คืนนี้มีงานเลี้ยงที่ผู้ว่าฯ ของเมืองจัดให้ พรุ่งนี้ก็เป็นเจ้าเมืองที่เชื้อเชิญแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นไปเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงยังต้องอยู่เที่ยวในเมืองฉีเฮ้ออีกสองวัน
เฉินผิงอันปิดด่านฝึกตนอยู่ในเรือน
เรื่องการเลื่อนขั้นบนวิถีวรยุทธ์ ความเร็วในการไต่ทะยานเหนือกว่าที่คาดการณ์ก่อนออกมาจากภูเขาห้อยหัวมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แล้วก็รีบร้อนไม่ได้ด้วย
แต่เรื่องการสร้างสะพานแห่งความอมตะขึ้นมาใหม่อีกครั้งกลับเป็นเรื่องเร่งด่วนจวนตัวเหมือนไฟไหม้ขนคิ้ว
การจินตนาการสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือในพื้นที่มงคลดอกบัว อีกครั้งหนึ่งคือริมฝั่งลำคลองหมายเหอ สะพานยาวสีทองแห่งนั้นปรากฏขึ้นเหนือลำคลองได้สำเร็จแล้ว และทุกครั้งที่ปรากฏล้วนมั่นคงขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะครั้งที่สองที่สามารถพาดผ่านลำคลองหมายเหอไปได้ เฉินผิงอันถึงขั้นมั่นใจว่าสามารถขึ้นไปเดินบนนั้นได้แล้ว
แต่พอคิดถึงว่าการสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ ยังต้องหล่อหลอมสมบัติอาคมห้าธาตุให้เป็นวัตถุพิทักษ์เรือนของ ‘เรือนกายซึ่งเป็นฟ้าดินขนาดเล็ก’ เฉินผิงอันก็ให้ปวดหัวขึ้นมาครามครัน มีคาถาบนแผ่นหยกที่เจ้าแม่เทพวารีมอบให้ก็เท่ากับว่าตอนนี้เฉินผิงอันจำเป็นต้องลงมือเตรียมการได้แล้ว หมายความว่าเฉินผิงอันต้องหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากถึงห้าชิ้น ไม่อย่างนั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สร้างขึ้นมาก็ยังคงเป็นดั่งเส้นทางสายขาด เว้นเสียแต่ว่าจะละทิ้งตบะวิถีวรยุทธ์ของทั้งร่าง ไม่อย่างนั้นหากสะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ ปราณวิญญาณจะเป็นดั่งน้ำมหาสมุทรที่กรอกเทเข้ามา ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงเกินกว่าจะคาดถึง แต่หากช่องโพรงลมปราณในร่างมีสิ่งที่คล้ายคลึงกับทะเลสาบหรือจวนตระกูลเซียนอยู่ห้าแห่ง ก็จะสามารถกักเก็บปราณวิญญาณสะสมเอาไว้ ขณะเดียวกันก็จะไม่ส่งผลต่อการสำรวจตรวจตราไปรอบทิศของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น มองโดยรวมแล้วทั้งสองฝ่ายจะสามารถเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
สภาพการณ์ที่ลี้ลับเกินจะหยั่งเช่นนั้นเหมือนเฉินผิงอันคนหนึ่งอาศัยสองหมัดเดินไปทั่วใต้หล้า ส่วนเฉินผิงอันอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ในภูเขาลึก ปิดประตูไม่รับแขก เพียงตั้งใจฝึกตนไปเงียบๆ
เวลาที่เฉินผิงอันเดินนิ่งก็พูดกับตัวเองในใจไปด้วย “ตราประทับตัวอักษรน้ำที่อาจารย์ฉีมอบให้ต้องเอามาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเชื่อมโยงเข้ากับชะตาชีวิต เหมือนอย่างตราประทับตัวอักษรภูเขาที่ถูกคนทำลาย ขอแค่ตัวคนไม่ตาย มันก็ยังคงสามารถผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในช่องโพรงลมปราณ ต่อให้จะไม่เหลือพลานุภาพอยู่อีก แต่อย่างน้อยก็ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ อยากเห็นตอนไหนก็ได้เห็นไปชั่วชีวิต อีกอย่างคาถาเซียนที่เจ้าแม่เทพวารีมอบให้ก็มีบทความที่พูดถึงการหล่อหลอมน้ำมากที่สุด”
“ส่วนแผ่นหยกโบราณที่ทั้งสามารถบำรุงความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและจิตวิญญาณนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับน้ำของห้าธาตุ แต่ระดับขั้นของมันสูงหรือต่ำ ภูมิหลังเป็นอย่างไร ข้ากลับไม่รู้เลยสักอย่างเดียว คงต้องถามเว่ยป้อก่อนถึงจะได้”
“น่าเสียดายที่ชุดคลุมอาคมสีทองไม่อยู่ในห้าธาตุ ไม่อย่างนั้นระดับขั้นของมันก็เพียงพอ แล้วก็เหมาะให้เอามาหล่อหลอม ไม่จำเป็นต้องคอยสวมอยู่บนร่างตลอดเวลาจนทำให้เซียนดินก่อกำเนิดมองเห็นตื้นลึกได้ในปราดเดียว เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ”
“หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นของเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี ตอนที่ข้าพูดถึงความรู้เรื่องการเรียงลำดับในจวนปี้โหยวมีความรู้สึกเชื่อมโยงมาถึงใจข้า ดูเหมือนว่าสามารถเอามาหลอมเป็นธาตุทองของห้าธาตุได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเรื่องการเรียนหนังสือก็ไม่ต่างจากการฝึกหมัดฝึกกระบี่ที่เป็นการฝึกฝนยาวนานชั่วชีวิตอยู่แล้ว”
“ดินของห้าธาตุ นักพรตเด็กที่ถูกนักพรตเฒ่าไหว้วานมาได้พูดถึงดินห้าสีของภูเขาและแม่น้ำในห้าขุนเขาของต้าหลี ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ ไฟสงครามลุกลามไปทั่ว หรือจะบอกว่าสกุลซ่งต้าหลีจะสามารถยึดครองแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งจริงๆ ? หากเป็นเช่นนี้จริง ดินห้าสีของห้าขุนเขาราชวงศ์ต้าหลีก็คงจะมีค่ามาก ดูท่าแล้วเรื่องนี้คงต้องรอให้กลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนเสียก่อน แล้วก็ยังต้องรบกวนถามเว่ยป้อที่มีสถานะเป็นองค์เทพของขุนเขาเหนือต้าหลีอีกที”
เฉินผิงอันที่สวมชุดขาวออกหมัด ‘ลืมตน’ ได้ดุจเมฆคล้อยน้ำไหล คล่องแคล่วราบรื่นเป็นพิเศษ
ไม่ได้เหมือนตอนที่ยังเป็นลูกศิษย์เรียนขึ้นรูปของเตามังกรที่ทุกจุดล้วนมีกลิ่นอายของช่างปั้นผู้คร่ำครึ หากเทียบว่าตอนนั้นเขาคือคนเขียนตัวอักษรบรรจง ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นอักษรแบบตวัดที่เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองพลิ้วไหวแล้ว
แก่นสำคัญที่ทำให้เขาทำได้เช่นนี้ มีเพียงการทนทานต่อความยากลำบาก คว้าจับโชควาสนาเอาไว้ได้ก็เท่านั้น
……
คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดต่างก็มีงานอดิเรกแปลกๆ แตกต่างกันออกไป
ช่วงนี้เว่ยเซี่ยนจะชอบกินของขบเคี้ยว ตรงเอวซ้ายขวาจะต้องแขวนถุงเล็กๆ ไว้สองใบ ด้านในบรรจุเต็มไปด้วยอาหารที่ซื้อมาจากร้านต่างๆ
หลูป๋ายเซี่ยงชอบของทุกอย่างที่ประณีตงดงาม ตอนนี้ชอบกำหมากหลายเม็ดไว้ในมือ เวลาที่เดินเล่นจะชอบถูเม็ดหมากจึงมีเสียงกริกๆ เบาๆ ส่งมาจากฝ่ามือ
จูเหลี่ยนไม่ชอบถูกพันธนาการ ยกตัวอย่างเช่นเวลาสวมรองเท้าหุ้มแข้งยังต้องสวมถุงเท้า นี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมากสำหรับเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาซื้อรองเท้าฟางสานคู่หนึ่งมาจากที่ไหนในเมืองฉีเฮ้อ อีกทั้งยังเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าป่านสีเหลืองอ่อนจาง นอกจากนี้ไม่ว่าจะหยุดพักที่เมืองใด จูเหลี่ยนจะต้องไปหาซื้อนิทานเรื่องเล่าพิสดารเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ หรือไม่ก็นิยายรักประโลมโลกมาสองสามเล่ม ทุกครั้งที่มีเวลาว่างก็จะเปิดหนังสืออ่านฆ่าเวลา
สุยโย่วเปียนนอกจากจะทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่ทุกวันแล้ว การที่นางไม่มีงานอดิเรกใดๆ เลย เดิมทีก็ถือเป็นงานอดิเรกแปลกๆ ที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
รอจนเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเสร็จก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
วันนี้จูเหลี่ยนกำลังนั่งอาบแดดอันอบอุ่นของต้นฤดูหนาวอยู่ในลานบ้านพลางอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญเล่มหนึ่ง
เด็กหนุ่มเหยาเซียนจือวิ่งมาเคาะประตูขอเรียนวิชาหมัดกับเว่ยเซี่ยน
หลูป๋ายเซี่ยงกำลังเล่นหมากล้อมกับเหยาจิ้นจือที่มาถึงก่อนหน้านี้
หลังจากที่สุยโย่วเปียนไปยังภูเขาลูกเล็กแห่งนั้น ท่าทางของนางก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจึงเริ่มปิดด่านอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง นางวางกระบี่พาดไว้ตรงเข่า แล้วมักจะผลักกระบี่ออกมาจากฝักชุ่นกว่า ก่อนจะผลักกลับคืนไป ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เผยเฉียนเป็นคนที่ไม่ยอมหยุดอยู่นิ่ง มองหลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกับเหยาจิ้นจือได้พักหนึ่งก็รู้สึกว่าน่าเบื่อจึงกลับห้องไปหยิบไม้เท้าเดินป่าอันนั้นมาออกท่ากระบองอันบ้าคลั่งซึ่งเป็นจุดขายของตัวนางเองอยู่ข้างเว่ยเซี่ยนและเหยาเซียนจือ เว่ยเซี่ยนบอกให้เหยาเซียนจือฝึกวิชาหมัดท่าหนึ่งไปก่อน เขามองเผยเฉียนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงียบไปนาน เด็กหญิงถือไม้เท้าเดินเขาอันนั้นแล้วออกกระบวนท่าอย่างสะเปะสะปะ บางครั้งไม่ทันระวังยังตีโดนตัวเอง ไม่เสียแรงที่เป็นกระบวนท่าอันป่าเถื่อนที่สังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย
เหยาเซียนจือที่ฝึกท่ายืนนิ่งเห็นแล้วก็เหลือกตามองบน
แต่ดูเหมือนเว่ยเซี่ยนจะไม่ได้รู้สึกว่าเด็กหญิงที่ผิวดำดุจถ่านกำลังทำตัวเหลวไหลไร้สาระ
เผยเฉียนหอบฮักๆ ค้อมตัวลง เอาสองมือค้ำไม้เท้าเดินป่าอันนั้น ถามว่า “เหล่าเว่ย พรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง เรียกได้ว่าโดดเด่นเป็นหนึ่งในหมื่นเลยหรือไม่? พรุ่งนี้…ไม่ดีกว่า ปีหน้าข้าจะสามารถกลายเป็นยอดฝีมือล้ำโลกอย่างพ่อข้าได้แล้วใช่หรือไม่? แค่ฝ่ามือเดียวก็เล่นงานเจ้าสิบคนได้แล้ว?”
เว่ยเซี่ยนตอบไม่ตรงคำถาม “คนในยุทธภพกล่าวไว้ว่าปีกระบี่เดือนดาบฝึกทวนยาวนาน หากเจ้าอยากจะให้วิชากระบองพัฒนาอย่างรุดหน้าจริงๆ ข้ามีข้อแนะนำสองอย่าง อย่างแรกคือออกกระบองดุจมังกรทะยานในไร่นาหรือสวนดอกน้ำมัน นานวันเข้าก็จะมีพลังอำนาจของผู้ไร้ศัตรูแห่งใต้หล้า สองคือไปแหย่รังแตน เมื่อพาตัวไปตกอยู่ในอันตรายก็จะมีพลังอำนาจอีกอย่างหนึ่งคือมองความตายเสมือนบ้านเกิด”
เผยเฉียนเห็นว่าเว่ยเซี่ยนพูดจาดูจริงใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้าไม่หลอกข้าแน่นะ?”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า”
หลูป๋ายเซี่ยงที่หันหลังให้กับเรือนแห่งนี้ยิ้มบางๆ
จูเหลี่ยนร่างโก่งค่อมที่กำลังอ่านหนังสือเพิ่งใช้นิ้วแตะน้ำลายพลิกหน้าหนังสือไปอีกหน้าหนึ่ง ทว่าบทอัศจรรย์ชายหญิงหน้าก่อนหน้านี้เขียนได้งดงามยิ่งจึงพลิกกลับไปเปิดอ่านซ้ำอีกรอบอย่างอดไม่อยู่
เผยเฉียนพลันส่ายหน้า ถอนหายใจหนึ่งที พูดด้วยสีหน้าน่าสงสารว่า “เหล่าเว่ยเอ๋ย เจ้ามองไม่ออกหรือว่าที่ข้าฝึกไม่ใช่วิชากระบอง แต่เป็นวิชากระบี่น่ะ?!”
เว่ยเซี่ยนแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง คราวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้จริงใจสักเท่าไหร่
เผยเฉียนอับอายจนพานเป็นโกรธ “เหล่าเว่ยหากเจ้ายังทำตัวน่าเบื่อแบบนี้อีก ความสัมพันธ์น้ำตาลปั้นไม้นั้นของพวกเราถือว่าขาดกัน!”
เว่ยเซี่ยนกระตุกมุมปาก ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
กำลังจะพูดออกไป เผยเฉียนก็รีบโยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง ยกมืออุดปากทันที
แล้วเสียงของเฉินผิงอันก็ดังขึ้นจริงดังคาด “กลับห้องไปคัดตัวอักษรห้าร้อยตัว”
นอกจากอ่านหนังสือ ท่องหนังสือแล้ว เฉินผิงอันยังบอกให้เผยเฉียนคัดหนังสือด้วย
ทุกครั้งที่เผยเฉียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคัดหนังสือจะต้องรู้สึกอยากตบตัวเองสักสองที ใครใช้ให้เจ้าไปขอพู่กันกระดาษอะไรมาจากผีสาวเซวียนฮวาจวนปี้โหยวนั่น ผลกลับกลายเป็นเปิดช่องให้เฉินผิงอันพูดว่า ในเมื่อเจ้ามีพู่กันเป็นของตัวเองแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มฝึกคัดตัวอักษรทุกวันเถอะ ไม่มาก แค่ห้าร้อยตัว แต่ตัวอักษรไหนคัดไม่ตั้งใจ บิดเบี้ยวเกินไป จะไม่นับรวมในห้าร้อยตัว จะต้องคัดชดเชยไปอีก เผยเฉียนถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว นี่ตนเพิ่งจะมีชีวิตสุขสบายเหมือนเทพเซียนได้กี่วันเอง?
เผยเฉียนพองแก้มโป่งเหมือนซาลาเปาลูกใหญ่ หยิบไม้เท้าเดินป่าอันนั้นขึ้นมาแล้วเดินกลับห้องไปคัดหนังสือแต่โดยดี
ภายใต้บรรยากาศที่กลมเกลียวปรองดองกันของเรือนพักแห่งนี้
ในเขตการปกครองของศาลเทพภูเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองฉีเฮ้อไปหนึ่งร้อยลี้ เพราะควันธูปของทุกปีมีมากเกินไป แม้ศาลแห่งนี้จะไม่อาจถูกเรียกว่าเป็นจวนเทพภูเขา แต่ก็ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนจวนในดินแดนเซียนแห่งหนึ่ง
สองวันมานี้มีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนที่จวนไม่หยุด แสงไฟถูกจุดสว่างไสว เหล่าบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่อยู่ในศาลเทพภูเขาเล็กๆ คอยยกน้ำรินชาปรนนิบัติแขกสูงศักดิ์เหล่านั้นอย่างกระตือรือร้น
ผู้ที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ก่อนใครคือเทพเซียนบนภูเขาตัวจริงเสียงจริงท่านหนึ่ง ข้างกายมีผู้ฝึกตนหญิงงดงามปานเทพธิดาติดตามมาด้วยสองคน
เขาคือตู้หันหลิงเจ้าอารามแห่งอารามจินติ่ง เซียนดินขอบเขตก่อกำเนิดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ อารามจินติ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีภูเขาสวยน้ำใสในทางตอนเหนือของใบถงทวีป
เทพเซียนพสุธาที่มีความเป็นมายิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ศาลเทพภูเขาที่ไม่เข้าขั้นแห่งนี้เลย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเชิญตัวเซียนซือผู้เฒ่าได้
ตอนแรกเทพภูเขายังตกใจจนร่างทองในศาลส่ายไหวไม่มั่นคงตามไปด้วย เพียงแต่ว่าพอได้รับฟังคำที่ตู้หันหลิงป่าวประกาศด้วยตัวเอง บอกว่าแค่มาขอยืมสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นที่รับรองสหาย หลังจบเรื่องย่อมมีของขวัญตอบแทนให้ เทพภูเขาก็มีความมั่นใจทันที ตู้หันหลิงเซียนซือไม่ถึงขั้นต้องใช้อุบายกับบุคคลตัวเล็กจ้อยเช่นตน เทพภูเขาตัวเล็กๆ อย่างเขายังไม่คู่ควร
หลังจากนั้นก็เป็นขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ ข้าติดตามหลายคนล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จ
ต่อมาก็เป็นนักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดุจหยกสลักคนหนึ่ง เขาขึ้นเขามาอย่างเงียบเชียบ ข้างกายมีอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งติดตามมาด้วย ผู้เฒ่าขอบเขตไม่สูง อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส ส่วนลูกศิษย์คือเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่หน้าตาท่าทางเหมือนคนซื่อ
สุดท้ายคือผู้บัญชาการณ์ที่อยู่เบื้องบนศาลเทพภูเขาเล็กๆ อย่างเขาที่ปรากฏตัวกลางดึก ซึ่งก็คือเทพอภิบาลเมืองของศาลเทพอภิบาลเมืองในเขตการปกครอง แต่งกายด้วยชุดขุนนางเหมือนผู้ว่าฯ ของในโลกมนุษย์ มีหน้าที่ควบคุมดูแลศาลเทพอภิบาลเมืองและพวกเทพภูเขาแม่น้ำในระดับอำเภอทั้งหมด ส่วนศาลบุ๋นบู๊สองแห่งนั้นกลับไม่นับรวมอยู่ด้วย เพราะอยู่ในการปกครองของกรมพิธีการแห่งแคว้นโดยตรง แต่ไหนแต่ไรมาศาลเทพอภิบาลเมืองก็ไม่ไปมาหาสู่กับศาลทั้งสองแห่งนั้นอยู่แล้ว ส่วนข้อที่ว่าทั้งสองฝ่ายใครมีระดับสูงกว่ากัน ใครมีอำนาจมากกว่ากัน เวลาที่พบเจอกับสถานการณ์เร่งด่วน ใครจะเป็นคนควบคุมสถานการณ์ แต่ละสถานที่ก็จะมีสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่ง เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงแห่งต้าเฉวียน เทพอภิบาลเมืองของเมืองฉีเฮ้อ
บวกกับเส้ายวนหรานที่เป็นทั้งลูกศิษย์ของอารามจินติ่ง และเป็นทั้งข้ารับใช้เชื้อพระวงศ์สกุลหลิวต้าเฉวียน
แสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาว ทัศนียภาพงดงามชวนให้สบายอกสบายใจ คนทั้งสี่มารวมตัวกันอยู่ที่ศาลาชมทิวทัศน์บนภูเขาที่มีทัศนียภาพงามเป็นเอก
เทพภูเขายืนคอยอยู่ไกลๆ พร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อ
ตรงศาลา ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ
หลังจากที่ลงจากภูเขา กลับไปยังเมืองเซิ่นจิ่งอันเป็นเมืองหลวงของต้าเฉวียน เซินกั๋วกงเกาซื่อเจินก็ไม่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม มืดทะมึนดั่งตอนที่เดินทางมาอีก
เทพอภิบาลเมืองกลับไปยังหอเทพอภิบาลเมืองซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในเมืองฉีเฮ้อ เขาจ้องมองไปทางจุดพักม้าแห่งนั้นด้วยสายตาเย็นชา มุมปากกระตุกยิ้มดูแคลน
ตู้หันหลิงอยู่ต่อบนภูเขาอีกวันหนึ่ง
ก่อนจะจากมาได้เรียกลูกศิษย์ที่ชั่วชีวิตนี้ไม่มีหวังจะได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทองอย่างนักพรตเป่าเจิน อิ่นเมี่ยวเฟิงและศิษย์หลานอย่างเส้ายวนหรานมาพบ ตอนนี้อาจารย์และศิษย์ทั้งสองต่างก็เป็นขอบเขตประตูมังกร นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถรับหน้าที่เป็นข้ารับใช้ระดับต้นอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งได้ แต่ต้องไปปักหลักอยู่ที่ริมชายแดนเพื่อคอยจับตามองกองทัพม้าเหล็กสกุลเหยาให้แก่สกุลหลิว
นอกจากจะมอบสมบัติสำคัญชิ้นหนึ่งให้เส้ายวนหราน ซึ่งถือเป็นของขวัญที่ทางสำนักสมควรมอบให้เส้ายวนหรานหลังจากเขาได้กลายเป็นโอสถทองล่วงหน้าแล้ว
เซียนดินตู้หันหลิงยังบอกเรื่องลับอีกเรื่องหนึ่งแก่พวกเขา
ขนาดเส้ายวนหรานที่มีนิสัยสุขุมหนักแน่นก็ยังปิดบังสีหน้าปิติยินดีเป็นล้นพ้นไว้ไม่อยู่ อิ่นเมี่ยวเฟิงก็ยิ่งหัวเราะจนหุบปากไม่ลง ลุกขึ้นยืนขอบพระคุณอาจารย์แทนลูกศิษย์ตัวเองอย่างพินอบพิเทา
ตู้หันหลิงเอ่ยชมเส้ายวนหรานสองสามคำแล้วก็ทะยานลมมุ่งหน้าไปทางเหนือ กลับไปยังอารามจินติ่ง ก่อนจะจากไปยังไม่ลืมมอบสมบัติวิเศษชั้นดีที่ระดับขั้นไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่งให้กับเทพภูเขา
เทพภูเขาย่อมซาบซึ้งในพระคุณอย่างสุดแสน หลังจากเทพเซียนผู้เฒ่าตู้ทะยานเมฆจากไปแล้ว เขาถึงกับคุกเข่าโขกศีรษะคำนับขอบคุณอยู่ไกลๆ
อันที่จริงวิธีการประจบสอพลอที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าต่ำช้าของเทพภูเขานี้ มองดูเหมือนจอมปลอมไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วจะโทษที่เทพภูเขาไม่มีมาดของคนเป็นเทพก็ไม่ได้ ของวิเศษตกมาอยู่ในมือไม่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่การที่ได้แอบอิงผู้มีอิทธิพลอย่างเซียนดินก่อกำเนิดซึ่งเป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางท่านหนึ่งของอารามจินติ่งต่างหากถึงจะเป็นความโชคดีท่วมเทียมฟ้าของศาลเทพภูเขาเล็กๆ แห่งนี้
นับจากวันนี้ไป ขอแค่พูดถึงการประเมินผลด้วยพู่กันด้ามทองจากเทพอภิบาลเมืองท่านนั้น เขายังจะแย่ได้หรือ?
อาจารย์และลูกศิษย์ที่เส้ายวนหรานนักพรตหนุ่มพาขึ้นภูเขามาหยุดพักรักษาตัวบนภูเขาต่อ
อิ่นเมี่ยวเฟิงเจินเหรินผู้เฒ่าและเส้ายวนหรานไม่ได้เข้าเมืองไปพร้อมกัน แต่ทยอยกันกลับไปถึงจุดพักม้าในเมือง
บนเรือนพักที่เงียบสงบแห่งหนึ่งบนภูเขา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่บุกเข้าไปยืมดาบในศาลบู๊มีสีหน้าซับซ้อน เขานั่งอยู่บนม้านั่งผ้าแพรปักดิ้นที่วางอยู่ข้างเตียง สองมือกำเป็นหมัดราวกับกำลังขบคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งที่ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
อาจารย์ของเขานอนพักฟื้นอยู่บนเตียง แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่เบา หากคิดจะต่อสู้เข่นฆ่ากับคนอื่น หรือกำจัดปีศาจปราบมารในช่วงเวลาอันใกล้นี้ถือเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อ แต่ลงจากเตียงมาเดินกลับไม่ใช่เรื่องยาก
ผู้เฒ่าหน้าซีดขาวเล็กน้อย ทว่าท่าทางกระปรี้กระเปร่า สายตาเป็นประกายเจิดจ้า เขาหันหน้ามาจ้องลูกศิษย์ที่มีเพียงคนเดียวของตน “รับลูกศิษย์ที่ดีคือความยากอย่างหนึ่ง ลูกศิษย์ฝึกตนได้อย่างราบรื่นคือความยากอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้ง่ายไปกว่าการดูแลลูกหลานในครอบครัวเลย ข้าไม่มีลูกหลาน ลูกศิษย์ก็มีเพียงเจ้าคนเดียว แล้วนับประสาอะไรกับที่พรสวรรค์ของเจ้าดีกว่าข้ามากนัก ไม่ช่วยวางแผนการที่ดีในอนาคตให้แก่เจ้า ข้าที่เป็นอาจารย์ย่อมนอนตายตาไม่หลับ”
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ล้วนพูดถึงเหตุผลและเรื่องในอดีตให้เจ้าฟังหมดแล้ว ส่วนข้อที่ว่าอาจารย์รู้จักกับอารามจินติ่งได้อย่างไร เหตุใดครั้งนี้เจ้าถึงเพิ่งได้มาเจอกับเจินเหรินน้อยเส้า เจ้าก็อย่าถามมากเลย นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าแค่ตั้งใจฝึกตนให้ดีก็พอ เทพเซียนผู้เฒ่าตู้ช่วยลงมือทำลายคอขวดให้เจ้าด้วยตัวเอง เจ้าก็จะได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง บุญคุณครั้งนี้ต้องจดจำให้ขึ้นใจ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย อารามจินติ่งเป็นตระกูลเซียนที่ใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้เจ้าอยากตอบแทนบุญคุณด้วยความจริงใจ คนเขาจะต้องการไหม? แต่ว่าใจรู้คุณคนนี้ก็ยังต้องมี ไม่อย่างนั้นจะไม่มีแม้แต่คุณสมบัติได้เป็นหมาตัวหนึ่งของอารามจินติ่งด้วยซ้ำ”
ดวงตาของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่มีน้ำตาเอ่อคลอ ก้มหน้าพูดว่า “ศิษย์ไม่ได้เรื่อง ทำให้อาจารย์ต้องได้รับความอยุติธรรมแล้ว”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ ยื่นนิ้วมาจิ้มเจ้าตอไม้ทื่อผู้นี้ “เจ้าน่ะยังไม่เฉลียวฉลาดมากพอ ช่างเถอะๆ หากไม่เป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่มีทางรับเจ้าเป็นศิษย์เพียงผู้เดียว บอกตามตรง บุคคลที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างเจินเหรินน้อยเส้านี้ ต่อให้ข้าได้พบเจอเขาเร็วกว่าใครก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้ารับเข้ามาในสำนัก หากเขาทะยานลมกลายเป็นมังกรขึ้นมา นักพรตขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างข้าหรือจะบังคับควบคุมเขาได้”
ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ยังอยู่ในวัยที่ชอบเอาชนะ จึงพูดว่า “อาจารย์ อายุน้อยๆ ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นประตูมังกร ข้าเองก็พอจะมีความหวังบ้างเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าด่ายิ้มๆ “เจ้าเด็กเพ้อเจ้อ! ออกไปฝึกตนเลย อาจารย์ยังต้องรักษาบาดแผล ไม่อยากสีซอให้ควายฟังแล้ว!”
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ร้องอ้อรับแล้วลุกขึ้นยืน บอกลาจากไป
ตอนที่เด็กหนุ่มเดินไปถึงหน้าประตู นักพรตเฒ่าก็เอ่ยปลอบใจเขาขึ้นมาเบาๆ “บนเส้นทางของการฝึกตน บางครั้งก็หลีกเลี่ยงความอยุติธรรมไม่ได้ กลัวก็แต่ชีวิตนี้ได้แต่สะสมความอยุติธรรมเอาไว้ ดังนั้นเจ้าต้องเดินไปให้ไกลกว่าและสูงยิ่งกว่าอาจารย์ จะได้ทำให้ตัวเองได้รับความอยุติธรรมน้อยลง ศาลเทพภูเขาและศาลาชมทิวทัศน์ของที่แห่งนี้ไม่ถือว่าสูงพอ เดินจากใบถงทวีปถึงราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่ถือว่าไกลพอ ฟ้าดินแถบนี้ บุคคลพิเศษที่มีความสามารถ มีแต่จะอยู่สูงยิ่งกว่านี้”
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หันหน้ามาพยักหน้ารับ “ข้าจำไว้แล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคลี่ยิ้ม “หากเป็นไปได้ วันหน้าเมื่อขอบเขตสูงขึ้นแล้ว ถ้ามีวันที่สามารถนั่งทัดเทียมกับบุคคลอย่างเทพเซียนผู้เฒ่าตู้จริงๆ ถึงเวลานั้นจงจำไว้ว่ามนุษย์ธรรมดาใต้ภูเขา อย่างไรก็ดีกว่า”
เด็กหนุ่มที่อัดอั้นไม่สบายใจมาตลอดเวลา บัดนี้พลันคลี่ยิ้มเจิดจ้า พยักหน้ารับอย่างแรงตามสัญชาตญาณ
ผู้เฒ่ายิ้ม “เป็นเด็กเพ้อเจ้อจริงๆ !”
……
หนึ่งวันก่อนจะเดินทางไปยังเมืองเซิ่นจิ่ง มีคนมาเยี่ยมเฉินผิงอันถึงเรือนที่พัก
คือนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่สวมชุดนักพรตเฒ่า บนศีรษะสวมกวานดอกบัว เนื้อตัวมอมแมมจากการเดินทาง เขาดื่มชาเย็นๆ ถ้วยหนึ่งในห้องเฉินผิงอัน บอกว่าเขาอยู่ใกล้กับเมืองฉีเห้อมากที่สุดจึงโชคดีได้รับคำสั่งจากท่านบรรพจารย์ให้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้เฉินผิงอัน
นักพรตหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากภูเขาไท่ผิงหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง
พอวางป้ายหยกลงบนโต๊ะแล้วก็อธิบายให้เฉินผิงอันฟังถึงความเป็นมาของแผ่นหยกไปคำรบหนึ่ง นักพรตหนุ่มพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านบุรพาจารย์ต้องการให้ข้าบอกอย่างชัดเจนว่า คุณชายเฉินไม่ต้องกังวลว่าภูเขาไท่ผิงจะเล่นตุกติกกับป้ายหยกแผ่นนี้ ทำให้ร่องรอยของท่านอยู่ในสายตาของภูเขาไท่ผิงเรา ป้ายหยกได้ถูกท่านบุรพาจารย์ถอนพันธนาการของสำนักออกไปแล้ว คุณชายแค่มองมันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่คุณภาพดีก็พอ แต่แน่นอนว่าสำหรับคนนอกแล้ว ความหมายมันไม่ธรรมดา ดังนั้นหวังว่าก่อนที่คุณชายเฉินจะออกไปจากใบถงทวีปจะยอมยุ่งยากแขวนมันไว้ข้างเอวทุกวัน”
เฉินผิงอันลุกขึ้นขอบคุณ นักพรตภูเขาไท่ผิงรีบคำนับกลับคืน พูดติดๆ กันว่ามิกล้า
เฉินผิงอันเก็บป้ายหยกมาแล้วเอาแขวนไว้ที่ข้างเอวทันที กลายเป็นว่าป้ายหยกกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หนึ่งอยู่ซ้าย หนึ่งอยู่ขวา
จากนั้นก็เดินไปส่งนักพรตหนุ่มที่บอกชื่อแซ่ตัวเองแล้วเดินเข้ามาในจุดพักม้าอย่างตรงไปตรงมาที่หน้าประตูใหญ่
การกระทำนี้มาจากความปรารถนาดีจากใจจริงของภูเขาไท่ผิง
ป้ายหยกของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงที่อยู่ตรงเอวเฉินผิงอันแผ่นนี้ หน้าตรงและหน้าหลังสลักคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’ กับ ‘สืบทอดควันธูปศาลบรรพจารย์’
เซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้แขวนป้ายนี้
เพราะนี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะและอายุ
ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงมีคนที่แขวนป้ายหยกนี้อยู่แค่ห้าหกคน คนที่อายุมากสุดก็สามร้อยกว่าปีเข้าไปแล้ว ตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลตำราของลัทธิเต๋าที่เก็บสะสมไว้ในภูเขาไท่ผิง มีตบะแค่ขอบเขตประตูมังกรเท่านั้น คนที่อายุน้อยที่สุดเป็นนักพรตเด็กที่เพิ่งจะอายุเจ็ดแปดขวบ พรสวรรค์เลิศล้ำ
แต่หากจะพูดถึงคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็ย่อมต้องเป็นหวงถิงนักพรตหญิงที่ลงเขาไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์พร้อมกับกระบี่แค่เล่มเดียว
ดังนั้นนับแต่บัดนี้ไปก็เท่ากับว่ายันต์คุ้มกันกายของเฉินผิงอันในใบถงทวีปก็คือตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงแล้ว
อีกทั้งเทียนจวินผู้เฒ่าบรรพาจารย์ของภูเขาไท่ผิงท่านนั้นก็เพิ่งจะร่ายวิชาอภินิหารเซียนเหรินที่ทำให้คนต้องหันมามอง เผยกายธรรมร่างทองบนโลก ในมือถือกระจกจันทร์กระจ่าง ควบคุมกระบี่เซียนให้สังหารศัตรูไปไกลเป็นหมื่นลี้
เวลาอย่างนี้ใครยังจะกล้ามาแหยมกับภูเขาไท่ผิงที่ฉายประกายคมกริบอีก?
เฉินผิงอันทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง แล้วจึงเดินกลับเรือนพัก
สวมชุดคลุมสีขาว ปักปิ่นหยกบนมวยผม ตรงเอวห้อยแผ่นหยก
ขุนนางในจุดพักม้าเห็นเฉินผิงอันระหว่างทางยังคิดว่าเขาเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง
ยามเช้าตรู่ของวันนี้ ขบวนเดินทางตระกูลเหยาก็ได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเซิ่นจิ่ง
ยิ่งขยับเข้าใกล้ท่าเรือที่มีชื่อเสียงของเมืองเซิ่นจิ่งมากเท่าไหร่ก็หมายความว่าช่วงเวลาที่เฉินผิงอันจะจากลากับคนตระกูลเหยาใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
ยามสนธยาของวันหนึ่ง ตระกูลเหยาเข้าพักที่จุดพักม้าแห่งสุดท้ายบนเส้นทางการเดินทางขึ้นเหนือ จุดพักม้าแห่งนี้เรียบง่ายไม่หวือหวา มองดูแล้วค่อนข้างธรรมดา เมื่อเทียบกับจุดพักม้าที่มีสวนดอกไม้ในเมืองฉีเฮ้อแล้วเรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เดินไปบนทางหลวงนอกจุดพักม้าประมาณสิบกว่าลี้มียอดเขาจ้าวผิงอยู่แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สูง แต่กลับเหมือนกระบี่แหลมคมที่ชักออกจากฝัก เหมาะสำหรับการมาชมพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งเมืองหลวง มักจะมีลูกหลานขุนนางใหญ่หรือชนชั้นสูงมาพักค้างแรมอยู่ที่โรงเตี๊ยมบนยอดเขาเป็นประจำ ก็เพื่อมาชมภาพธรรมชาติอันงดงามยามที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นมหาสมุทร สาดส่องแสงสว่างไปทั่วภูเขา
เหยาเจิ้นดึงดันจะลากเฉินผิงอันไปที่ยอดเขาจ้าวผิงด้วยกันให้ได้ อีกทั้งนอกจากสามเหยาแล้วก็ไม่ให้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนใดตามไปด้วย
สุดท้ายจึงมีแค่แม่ทัพผู้เฒ่าเหยา สามเหยา เฉินผิงอันและเผยเฉียนที่ไปพักค้างแรมยังหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่สร้างขึ้นบนยอดเขาจ้าวผิงแห่งนี้
โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ทางด้านหลัง เป็นหอชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออก คือจุดที่เหมาะแก่การชมทิวทัศน์มากที่สุดในบรรดาโรงเตี๊ยมทั้งหกแห่งบนยอดเขาจ้าวผิง
คนทั้งกลุ่มหยิบเอาเหล้ารสดีและอาหารมื้อดึกของโรงเตี๊ยมวางลงบนโต๊ะ ชมจันทร์กันก่อนแล้วค่อยชมพระอาทิตย์ขึ้น
เด็กหนุ่มเหยาเซียนจือเล่นสนุกกับเผยเฉียนที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า คนทั้งสองกำลังยุ่งอยู่กับการ ‘ประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้’
เหยาหลิ่งจือเดินไปทางรั้วกั้นตรงหน้าผาเพียงลำพัง ทอดสายตามองไปทางทิศใต้เหมือนจะเศร้าโศกเล็กน้อย
แม่ทัพผู้เฒ่าพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะตั้งตารอให้พระอาทิตย์ขึ้น แต่พอดื่มเหล้าไปสองกา มอมให้เฉินผิงอันล้มไม่ได้ ตัวเองกลับเมาเละไปก่อน เหยาจิ้นจือและเหยาหลิ่งจือจึงได้แต่ประคองท่านปู่กลับไปที่โรงเตี๊ยม
เผยเฉียนกับเหยาเซียนจือสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ย่อมสามารถรอจนเห็นภาพที่พระอาทิตย์ขึ้นได้แน่นอน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะเพียงลำพัง ถือไม้เท้าเดินป่าที่เผยเฉียนโยนทิ้งไว้ด้านข้าง เอามันวาดวงกลมลงบนพื้นดินข้างเท้าอย่างเบื่อหน่าย
วงกลมหนึ่งเล็ก วงกลมหนึ่งใหญ่ อีกวงกลมหนึ่งใหญ่ยิ่งกว่า แล้วก็มีวงกลมที่ใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก
ชั้นแล้วชั้นเล่าล้อมเชื่อมต่อกันไป
จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับการวาดวงกลมของตัวเอง
เหยาจิ้นจือมายืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน มองอยู่นานมากแล้ว ก่อนจะถามว่า “ทำไมไม่วาดต่อไปเล่า?”
เฉินผิงอันเก็บไม้เท้าเดินป่า เอนตัวพิงโต๊ะหิน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คงวาดได้แค่นี้แล้วล่ะ”
เหยาจิ้นจือนั่งลง รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย หลังจากเข้ามาในโรงเตี๊ยม นางก็ปลดหมวกคลุมหน้าลง ตอนที่ดื่มเหล้า นางยู่หน้า ดูท่าคงเป็นเพราะเหล้าถ้วยนี้ดื่มยาก พอดื่มหมดแล้วถึงชำเลืองตามองไปบนพื้น กล่าวว่า “เป็นเพราะยากจะวาดต่อไปได้ ข้าเดาว่าต่อให้เป็นวิญญูชนลัทธิขงจื๊อก็วาดไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปทางราวกั้น เหยาเซียนจือและเผยเฉียน หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กทำท่าลับๆ ล่อๆ คล้ายกำลังปรึกษาอะไรกันบางอย่าง
เหยาจิ้นจือถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ถามข้าหรือว่าเข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าวาดอะไร หรือแค่แกล้งทำเป็นเข้าใจกันแน่?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “แม่นางเหยานางจะรู้อยู่แล้ว”
เหยาจิ้นจือลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังรินเหล้าให้ตัวเองอีกถ้วย กระดกดื่มจนหมด ใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งเปล่งประกายเจิดจรัส นางเอ่ยเนิบช้าว่า “ระหว่างเจ้าและข้า ระหว่างบ้านและเรือน สงครามระหว่างแคว้นและแคว้น ระหว่างทวีปและทวีป ระหว่างสายบุ๋น ระหว่างสามลัทธิ ระหว่างความรู้ของร้อยสำนัก ระหว่างใต้หล้าและใต้หล้า ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ! เจ้าเฉินผิงอันกำลังคิดว่าหลักการเหตุผลที่ตัวเองรู้มา คำว่า ‘หลักการและเหตุผล’ สองคำนี้ จะสามารถรวมเป็นวงกลมได้กี่วง จากนั้นเจ้าก็จะเดินวนไปวนมาบนวงกลมที่อยู่ด้านนอกสุด จนกระทั่งเจ้าแน่ใจว่าขอบเขตของวงกลมอันถัดไปอยู่ตรงไหนถึงค่อยข้ามไป แล้วออกเดินต่ออีกครั้ง! มีเพียงทำแบบนี้เท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถเดินทุกก้าวได้อย่างไร้ความละอาย แม้ว่าการเป็นคนอยู่บนโลกจะเหนื่อยมาก แต่ในใจเจ้ากลับไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย ดังนั้นขอแค่เจ้าออกหมัดออกกระบี่ก็สามารถบุกรุดไปข้างหน้าได้อย่างไม่หวั่นเกรง แล้วก็มีเพียงเจ้าเฉินผิงอันที่ถึงจะมีคุณสมบัติพูดคำว่า ‘ถามใจตัวเอง’ กับวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาในโรงเตี๊ยม!”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองหญิงสาวคนนี้แล้วพยักหน้า “แม่นางเหยา เจ้าคือหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา”
นี่เป็นความจริง
หากไม่มีคำว่า ‘หนึ่งใน’ ก็เท่ากับเป็นการคุยโวที่ขัดต่อความเป็นจริงแล้ว
เพราะต่อให้ไม่พูดถึงคนอื่น ลำพังแค่ชุยตงซาน ‘ลูกศิษย์’ ของตนก็ไม่ใช่คนที่เหยาจิ้นจือจะเทียบเคียงได้แล้ว
อาจเป็นเพราะดื่มเหล้าไปสองถ้วย อีกทั้งยังดื่มเหล้าไม่เก่ง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือสีหน้าของเหยาจิ้นจือถึงได้ผิดแปลกออกไปจากปกติ นางจ้องหน้าเฉินผิงอันนิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในสายตาของคุณชาย จิ้นจือแค่ฉลาดเท่านั้นหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยกมือเกาหัว “แม่นางเหยา ข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว”
เหยาจิ้นจือปิดปากหัวเราะคิก ไม่รู้สึกโมโหแม้แต่น้อย กลับกันยังถามอีกว่า “นางสวยมากหรือ?”
ฉับพลันนั้นสีหน้าของเฉินผิงอันเปล่งประกายสดชื่นแจ่มใส ตอบอย่างไม่ลังเล “ภูเขาสวยงามทุกลูก สายน้ำงดงามทุกสายในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้รวมเข้าด้วยกัน ก็ยังไม่งดงามเท่าเทียมนาง!”
ดูเหมือนเหยาจิ้นจือจะไม่รู้สึกแสลงใจใดๆ นางหัวเราะแล้วดื่มเหล้าหนึ่งอึก นั่งคุยถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีในเมืองเซิ่นจิ่งเป็นเพื่อนเฉินผิงอันอีกหนึ่งก้านธูป ถึงได้ลุกขึ้นยืนบอกลา
หลังจากหันตัวกลับมา หญิงสาวที่งามล่มบ้านล่มเมืองผู้นี้ก็เดินไปทางโรงเตี๊ยม สายตามืดมนหม่นหมอง
เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้าไปมอง เขาเอาข้อศอกเท้าโต๊ะ เอียงตัวยิ้มมองไปทางดวงจันทร์ตลอดเวลา
สายตาของเขาอ่อนโยน ราวกับว่ามองแม่นางคนหนึ่งแล้วก็ไม่อาจรับความงามอื่นใดในโลกมนุษย์ไว้ได้อีก
แม่นางคนนั้นที่เขาชอบเป็นทั้งใฝแดงในหัวใจ (เปรียบเปรยว่าอยู่ในใจ เก็บไว้ในหัวใจ เป็นคนสำคัญที่สุดของหัวใจ) ของเขา แล้วก็เป็นทั้งแสงจันทร์นวลกระจ่าง