บทที่ 354 ชุดเกราะห้าพันล้อมขุนเขา
ถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงแค่เฉินผิงอัน เผยเฉียนและเหยาเซียนจือสามคนเท่านั้นที่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาจ้าวผิง
เผยเฉียนเบิกตากว้าง ฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง เพ่งมองดวงอาทิตย์กลมโตที่ลอยพ้นมาจากทะเลทิศตะวันออก รู้สึกเหมือนเห็นขนมเปี๊ยะสีทองชิ้นหนึ่ง อยากจะเก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋าตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด
หลังจากตกตะลึงกับความงามและทอดถอนใจอยู่ในชั่วครู่สั้นๆ แล้ว เหยาเซียนจือก็ไม่ได้มองอะไรมากอีก ถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ภาพที่ดวงจันทร์ส่องแสงไปตามแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลบ่าและท้องฟ้ามากหมู่ดาวที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของชายแดนบ้านเกิดก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่นี่เลย ทว่าเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เหตุใดเผยเฉียนถึงจ้องดวงอาทิตย์ได้นานขนาดนั้น ไม่ปวดตาบ้างเลยหรือ? เฉินผิงอันกระโดดเบาๆ ขึ้นไปนั่งบนรั้วกั้นริมหน้าผา เหยาเซียนจือคิดอยากจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อคืนนี้มีทั้งปู่และพี่สาวอย่างเหยาจิ้นจืออยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าก่อเรื่อง ภายหลังก็มีเฉินผิงอันที่เขาให้ความเคารพเลื่อมใสที่สุดนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน เขาจึงยังไม่กล้าอยู่ดี คราวนี้เฉินผิงอันนำขึ้นมาก่อน เหยาเซียนจือจึงรีบทำตามทันที นั่งมองทะเลตะวันออกอยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอัน ราวกับว่าสภาพจิตใจปลอดโปร่งขึ้น จึงเปี่ยมไปด้วยความหวังและจินตนาการต่อชีวิตในเมืองเซิ่นจิ่งหลังจากนี้
ตอนที่ลงมาจากภูเขา ใบหน้าของแม่ทัพผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง บ่นเฉินผิงอันว่าไม่มีคุณธรรม ก่อนที่ตะวันจะขึ้นไม่ยอมเรียกเขาสักคำ ปล่อยให้เขาพลาดภาพเหตุการณ์ธรรมชาติอันงดงามนั้นไป ที่อุตส่าห์เดินขึ้นเขามาตั้งไกลล้วนเสียเที่ยวเปล่า เฉินผิงอันไม่สนใจเหยาเจิ้นที่แก่แล้วแต่ทำตัวเหมือนเด็ก เหยาจิ้นจือพูดประโยคเดียวว่า “ท่านปู่ เมื่อคืนวานอนุญาตให้ท่านดื่มเหล้าเป็นกรณีพิเศษ ท่านยังไม่พอใจอีกหรือ?” แม่ทัพผู้เฒ่าจึงหยุดบ่นทันที
ไม่ว่าจะเป็นเหยาเจิ้นหรือเหยาเซียนจือ ปู่หลานสองคนที่สนิทกับเฉินผิงอันมากที่สุดต่างก็รู้ดีว่าอีกไม่นานต้องจากลากับเขาแล้ว
การจากลากำลังจะมาถึง ความเศร้าย่อมกัดกินใจ
เพียงแต่ว่าหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มต่างก็เป็นแม่ทัพและขุนพลที่กินลมดื่มทรายบนสมรภูมิรบมาจนเคยชินแล้ว แม้จะเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ทำใจปล่อยวางได้ วันหน้ายังมีโอกาสได้ดื่มเหล้าร่วมกันใหม่ แสร้งตีหน้าเซ่อเลียนแบบเจ้าเด็กนั่นก็ดีเหมือนกัน เพราะจะทำให้กลายเป็นเรื่องน่าขำแทน
ในที่สุดก็มาถึงท่าเรือเถาเย่นอกเมืองเซิ่นจิ่ง ตระกูลเหยาหยุดรถม้าลง
เฉินผิงอันสะพายหีบหนังสือไม้ไผ่เขียว
เหยาหลิ่งจือเด็กสาวสะพายดาบกุมหมัดเอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันอย่างเปิดเผยก่อนใคร “คุณชายเฉิน ข้าขอให้การเดินทางขึ้นเหนือของเจ้าราบรื่นปลอดภัย! และยิ่งขอให้โชคชะตาบู๊ของเจ้าโชติช่วงรุ่งเรือง!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเตือนว่า “การฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์จะใจร้อนไม่ได้ ยิ่งพรสวรรค์ดีเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ควรเอาแต่จับจ้องอยู่กับคำว่าฝ่าทะลุขอบเขตมากเท่านั้น วิชาหมัดนั้นพิถีพิถันในเรื่องปล่อยหมัดเก็บหมัดได้ดังใจปรารถนา คิดจะให้ร่างเบาหมัดหนักก็ต้องปูพื้นฐานให้ดี หยดน้ำทะลุหิน ก้อนหินเป็นดั่งศัตรูตัวฉกาจ หยดน้ำนี้ก็คือสัจธรรมแห่งการเรียนวิถีวรยุทธ์ของเจ้า แม่นางหลิ่งจือ ขอแค่ทำใจให้นิ่ง เจ้าย่อมต้องสามารถฝึกฝนจนประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน”
เหยาหลิ่งจือแค่นเสียงหึ แต่ในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “อายุก็ไม่ได้มากกว่าข้าสักเท่าไหร่ แต่กลับทำตัวเหมือนคนแก่!”
แล้วเด็กสาวก็สะบัดหน้าเดินจากไป
เหยาเจิ้นไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอ่ยสองคำว่า “รักษาตัวด้วย” กระบอกใส่พู่กันไม้ไผ่เขียวที่แกะสลักบทความของอริยะปราชญ์อันนั้นได้ถูกผู้เฒ่าเก็บไปอย่างระมัดระวังแล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บมันไว้เหมือนสมบัติสืบทอดชิ้นหนึ่งของตระกูล
เมื่อคืนวานเหยาเซียนจือก็ทำหน้าด้านขอภาพวาดตัวอักษรแผ่นหนึ่งมาจากเฉินผิงอัน เก็บไว้บูชาประหนึ่งสมบัติอันดับหนึ่งของโลก วันนี้เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่บอกว่า หวังว่าวันหน้าเฉินผิงอันจะมาเยือนเมืองเซิ่นจิ่ง
เหยาจิ้นจือที่สวมผ้าคลุมหน้ากลับพูดในสิ่งที่อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของทุกคน นางบอกว่าจะเดินไปบนท่าเรือเถาเย่กับเฉินผิงอันเพียงลำพังระยะหนึ่ง
เหยาเซียนจือผิวปากหวือ เลยโดนเหยาหลิ่งจือถองศอกใส่เอว ทำเอาเด็กหนุ่มเจ็บจนเหงื่อแตกพลั่ก
เหยาจิ้นจือตาดี เห็นว่าป้ายหยกตรงเอวของเฉินผิงอันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ เพราะพลิกหันอีกด้านหนึ่งขึ้น
ตอนที่ออกมาจากเมืองฉีเห้อ ก่อนจะมาถึงท่าเรือเถาเย่ เฉินผิงอันหันแค่ด้านที่บอกว่า ‘สืบทอดควันธูปศาลบรรพจารย์’ ให้คนอื่นเห็น
แต่วันนี้กลับหันด้านที่มีตัวอักษรโบราณหกคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’
เหยาจิ้นจือใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองคนหนุ่มที่เดินทางจากแคว้นเป่ยจิ้นของทางเหนือมายังเมืองหลวงต้าเฉวียนผู้นี้ด้วยสายตาลึกล้ำ
นางพูดถ้อยคำตามมารยาท เนื้อหานั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพียงแต่กลับทำให้คนรู้สึกว่านางมีความจริงใจ อ่อนโยนนุ่มนวล น่าประทับใจมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันคล้ายจะรับน้ำใจ แต่ก็คล้ายว่าจะไม่ รสชาติที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้นคงมีเพียงคนสองคนที่ต่างก็รู้กันดีแก่ใจเท่านั้น
สุดท้ายเหยาจิ้นจือพูดคุยเรื่องความเป็นมาของคำว่า ‘จือ’ ในชื่อของคนสกุลเหยารุ่นนี้เหมือนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ที่แท้เป็นเพราะในอดีตมีหมอดูคนหนึ่งเดินทางผ่านมา โชคไม่ดีมาเจอเข้ากับเหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งหนึ่ง ถูกเหยาเจิ้นท่านปู่ช่วยไว้ หมอดูจึงช่วยทำนายให้ตระกูลเหยา เรื่องหนึ่งในนั้นคือบอกว่าในบรรดารุ่นของบรรพบุรุษสกุลเหยาได้มีบุคคลที่สุดยอดมากคนหนึ่ง อักษรตัว ‘จือ’ คืออักษรแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับรุ่นของหลานเหยาเจิ้นพอดี ขอแค่ทุกคนใช้อักษรตัวจือก็จะสามารถรับบุญบารมีมาจากบรรพบุรุษได้ สามารถช่วยสร้างฮวงจุ้ยที่ดี ไม่แน่ว่าเด็กรุ่นหลังคนใดที่อาศัยการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษอาจจะได้ดิบได้ดีอย่างที่ใครก็มิอาจจินตนาการถึง เหยาเจิ้นเองก็ไม่คิดอะไรมาก เห็นว่าเป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่งจึงเอาอักษรตัว ‘จือ’ ใส่เข้าไปในชื่อของเด็กๆ อย่างพวกเหยาจิ้นจือ สกุลเหยารุ่นนี้ คนยี่สิบกว่าคนล้วนมีตัวอักษรนี้อยู่ในชื่อทั้งสิ้น หลานสายอื่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะเหยาเจิ้นไม่ใช่คนลำเอียง
ซึ่งในบรรดาหลานทั้งหลายก็เป็นสามเหยาที่อยู่ข้างกายเหยาเจิ้นนี้ที่โดดเด่นที่สุด
พอเฉินผิงอันฟังจบก็พลันกระจ่างแจ้ง
สุดท้ายเหยาจิ้นจือยอบตัวคำนับเฉินผิงอันอย่างแช่มช้อย
เฉินผิงอันกำหมัดคารวะกลับคืน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “แม่นางจิ้นจือ อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งนอกจากจะช่วยแม่ทัพผู้เฒ่าวางแผนป้องกันคนถ่อยของฝ่ายต่างๆ แล้ว เจ้าต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย พูดประโยคหนึ่งที่เป็นการล่วงเกิน วันหน้าหากเจอกับอุปสรรคที่ตัวแม่นางคิดว่าข้ามผ่านไปไม่ได้ ไม่สู้ลองถามแม่ทัพผู้เฒ่าดู ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ ไม่ต้องเก็บไว้ในใจตัวเอง ไม่ต้องทนรับกับความยากลำบากด้วยตัวเองทุกเรื่อง”
เหยาจิ้นจือถอดหมวกคลุมหน้าออกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นางคลี่ยิ้มหวาน แต่กลับไม่พูดอะไร เอาแต่มองเฉินผิงอันอย่างเดียว
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะและบอกลาอีกครั้ง
เหยาจิ้นจือที่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่กลับกำหมัดเลียนแบบคนในยุทธภพ ดวงตาฉ่ำประกายน้ำทั้งคู่ของนางเต็มไปด้วยประกายสดใส นางเอ่ยเสียงดังว่า “ภูเขาเขียวไม่แปรเปลี่ยน แม่น้ำมรกตไหลยาว!”
เฉินผิงอันจึงได้แต่พูดตามไปว่า “ไว้พบกันใหม่วันหน้า”
เหยาจิ้นจือไม่ต้องดื่มสุรารสเลิศ สองแก้มก็แดงปลั่งดั่งลูกท้อแล้ว
ห่างไปไกล จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “บุญคุณสาวงามยากจะทนรับ ประกายน้ำในดวงตารั้งใจคน”
สุยโย่วเปียนที่ยืนสะพายกระบี่อยู่ด้านข้างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เฉินผิงอันเดินกลับมาหาพวกเขา เผยเฉียนสะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า การเดินทางหลังจากนี้ไม่มีรถม้าให้นั่งอีกแล้ว แต่นางกลับกระตือรือร้นพร้อมออกเดินทาง แค่เดินจะต้องกลัวอะไร ไม่อย่างนั้นรอยด้านที่ขึ้นบนฝ่าเท้าจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ?
เฉินผิงอันโบกมือบอกลาขบวนเดินทางตระกูลเหยา
ก้นของม้าตัวที่เหยาเซียนจือขี่อยู่กระดกขึ้นสูง เขาโบกมือให้เฉินผิงอันอย่างแรง
คนกลุ่มของเฉินผิงอันเดินทางขึ้นเหนือกันต่อ เขาทอดถอนใจด้วยความเสียดายเบาๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีหิมะใหญ่ตกลงมา ไม่อย่างนั้นจะได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขาจ้าวผิงอีกครั้ง ดูสิว่าเมืองเซิ่นจิ่งจะเป็นดินแดนเซียนบนโลกมนุษย์อย่างที่เล่าลือหรือไม่”
เผยเฉียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นพวกเรารอให้หิมะตกก่อนค่อยไปดีไหม?”
สองวันมานี้นางเอาแต่พันแข้งพันขาอยู่ข้างกายเหยาจิ้นจือทั้งวัน ปากก็เรียกพี่หญิงเทพเซียนไม่หยุด พยายามประจบเอาใจสตรีที่ในใจนางคิดว่า ‘หน้าตางดงามแต่ไม่กล้าพบเจอผู้คน’ แล้วหลังจากนั้นเหยาจิ้นจือก็มอบของขวัญก่อนจากลาให้นางชิ้นหนึ่งจริงๆ มันบรรจุไว้ในกล่องไม้ขนาดเล็กกะทัดรัด ด้านในมีเงินยาเซิ่งรูปแบบของราชวงศ์ก่อนที่เหยาจิ้นจือเก็บสะสมมาด้วยความยากลำบากสองสามเหรียญ และยังมีหลินจือขนาดเล็กที่แกะสลักจากไม้ลักษณะโบราณชิ้นหนึ่ง บวกกับของอื่นๆ อีกสิบกว่าชิ้น ตอนแรกเผยเฉียนคิดจะหลอกเอาเงินมาจากนางหลายๆ ตำลึง เฉินผิงอันไม่มีทางห้าม และนางเองถือไว้ก็ไม่หนัก ผลกลับกลายเป็นว่าเหยาจิ้นจือมอบปัญหาใหญ่ที่ยุ่งยากนี้ให้กับนาง เผยเฉียนเลยไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ สุดท้ายเป็นเหยาจิ้นจือที่จูงมือเผยเฉียนมามอบกล่องเก็บสมบัติให้กับเฉินผิงอัน อธิบายว่าด้านในมีสิ่งของที่แปลกและประณีต แต่กลับไม่มีค่า หวังว่าเฉินผิงอันจะไม่ปฏิเสธ เดิมทีเฉินผิงอันจะไม่รับไว้ หรือไม่ก็จะเลือกเอามาแค่ชิ้นเดียว แต่ว่าเหยาจิ้นจือยืนกรานหนักแน่น เฉินผิงอันจึงได้แต่ช่วยรับไว้แทนเผยเฉียน ใส่เก็บไว้ในหีบไม้ไผ่ สำหรับเรื่องนี้เผยเฉียนไม่แสดงท่าทีไม่สบอารมณ์เลยสักนิด กลับกันยังมองว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน กล่องไม้ใหญ่ขนาดนี้หนักจะตายไป ใส่ไว้ในห่อสัมภาระแล้วให้นางเดินแบกไปที่ยอดเขาเทียนเชวียอะไรนั่น จะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ?
คราวนี้ด้านหนึ่งนางยุให้เฉินผิงอันไปรอคอยหิมะใหญ่ในเมืองเซิ่นจิ่ง ด้านหนึ่งก็คิดในใจอย่างอารมณ์ดีว่าจะได้มีการจากลาเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะได้เงินขาวทองอร่ามที่นางอยากได้มากที่สุดมาก็เป็นได้!
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อในเมืองเซิ่นจิ่ง?”
เผยเฉียนกระดกห่อสัมภาระที่สะพายอยู่ด้านหลังให้เข้าที่ กำไม้เท้าเดินป่าแน่น กลับคำใหม่อย่างว่องไวเหมือนหญ้าบนกำแพง (ตรงกับสำนวนไทยว่า นกสองหัว เพราะหญ้ายอดกำแพงมันล้มเอนลงมาได้ทั้งสองฝั่ง) ด้วยการพูดอย่างเด็ดเดี่ยวผึ่งผาย “อยู่ดีๆ ข้าก็รู้สึกว่าควรต้องรีบเดินทางถึงจะถูก!”
เฉินผิงอันพูดกับคนทั้งสี่ว่า “ไม่ได้ขอม้าศึกมาจากตระกูลเหยา พวกเราก็ได้แต่เดินเท้าไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาเทียนเชวียแล้วล่ะ”
จูเหลี่ยนคลี่ยิ้มทันใด “เดินมากๆ ช่วยให้ยืดเส้นยืดสายได้”
……
ในท่าเรือเถาเย่มีเรืออูเผิง (เรือไม้ขนาดเล็กที่ตรงกลางมีหลังคาครึ่งวงกลม ทอจากไม้ไผ่ ทาด้วยสีดำ) ลำเล็กอยู่ลำหนึ่งลอยห่างจากขบวนเดินทางตระกูลเหยามาไกลมาก ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่งค่อยๆ หุบฝ่ามือข้างหนึ่งที่ขาวนวลราวกับหยกกลับมา แล้วหันไปพูดกับผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างกาย “นำความไปบอกเซินกั๋วกงเสียหน่อยว่า เลิกคิดหาเรื่องเฉินผิงอันได้แล้ว คนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพชนแห่งภูเขาไท่ผิง หากฆ่าคนผู้นี้ อย่าว่าแต่ราชวงศ์ต้าเฉวียนจะเจอกับหายนะเลย อารามจินติ่งของพวกเราก็จะเจอกับภัยพิบัติล้างสำนักไปด้วย”
ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวจากไป
ยังเหลือผู้ฝึกตนสาวอีกคนหนึ่งที่คอยต้มชาให้กับบุรพาจารย์ ถึงอย่างไรก็เป็นหญิงสาวจากตระกูลเซียนที่ฝึกตนมาตั้งแต่เด็ก ผิวพรรณของนางจึงขาวนวลยิ่งกว่าหิมะ
เซียนดินก่อกำเนิดท่านนี้นั่งเฉยอย่างนิ่งสงบ เอ่ยด้วยสีหน้าที่เฉยชาว่า “ทุกอย่างที่ทำมาล้วนสูญเปล่า”
เนื่องจากจำนวนมีน้อยนิด เดิมทีป้ายหยกศาลบรรพชนของภูเขาไท่ผิงที่ห้อยอยู่ตรงเอวเฉินผิงอันนั้นก็ถูกกล่าวขานถึงเป็นวงกว้างในกลุ่มของตระกูลเซียนบนภูเขาใหญ่อยู่แล้ว
และเซียนดินทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด ส่วนใหญ่ล้วนต้องรู้เรื่องวงในอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรนักพรตหญิงหวงถิงผู้นั้นก็เคยทำให้สำนักต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากกันมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าตลอดหกสิบปีมานี้ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่รู้ว่านางกำลังปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตหรือว่าถูกบุรพาจารย์ของภูเขาไท่ผิงกักตัวไว้กันแน่
หากไปหาเรื่องภูเขาไท่ผิงในเวลานี้ย่อมถือว่าเสียสติยิ่งกว่าไปท้าทายสำนักใบถงและสำนักกุยหยกในเวลาปกติเสียอีก
ต่อให้เป็นตู้หันหลิงก็ยังไม่กล้าเหมือนกัน
อีกอย่างเดิมทีเขาก็แค่ทำการค้าเล็กๆ ประหนึ่งการปักลายบุปผาลงบนผ้าแพรกับเสินกั๋วกงและผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเกาซื่อเจินก็เท่านั้น หากฆ่าเฉินผิงอันได้ย่อมดีที่สุด ไม่ฆ่าเฉินผิงอันก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ส่งผลกระทบกับแผนการใหญ่ของอารามจินติ่งพวกเขาอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าทำเช่นนี้เกาซื่อเจินอาจจะเต้นผางด่ากราดลามไปถึงมารดาเขา
แต่นั่นจะสำคัญกับอารามจินติ่งและเขาตู้หันหลิงได้อย่างไร?
เรื่องเล็กๆ บนโลกมนุษย์ ฮ่องเต้หรืออัครเสนาบดีจะใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว
เซียนดินก่อกำเนิดท่านนี้ครุ่นคิด เวลานี้สถานการณ์โดยรวมวุ่นวายโกลาหล หมากบางเม็ดของอารามจินติ่งถูกวางรากฐานไว้ตามที่ต่างๆ แล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรลองเดินไปให้สูงอีกก้าว ไม่อย่างนั้นขอบเขตที่มีอยู่ตอนนี้ย่อมไม่มากพอ
ส่วนข้อที่ว่าเกาซื่อเจินจะตามไปไล่ฆ่าคนหนุ่มผู้นั้นอย่างเสียสติหรือไม่ นี่ไม่เกี่ยวข้องกับอารามจินติ่งนานแล้ว
“ท่านบุรพาจารย์ จะให้ข้าแอบไปเตือนเฉินผิงอันสักคำหรือไม่?”
นักพรตหญิงเอ่ยถามเสียงเบา เพียงแต่ไม่นานนางก็ปฏิเสธความคิดนี้ของตัวเอง “วาดงูเติมหาง ทุกเรื่องย่อมมีขอบเขต หากเลยเถิดไปจะไม่ดี”
ตู้หันหลิงส่ายหน้ายิ้ม “ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม อีกอย่างคนที่จะทำหน้าที่เป็นคนดีนี้ก็ควรจะเป็นเส้ายวนหราน มิใช่เจ้า”
ในดวงตาของผู้ฝึกตนหญิงแต้มยิ้ม “ท่านบุรพาจารย์ช่างปราดเปรื่อง”
ตู้หันหลิงยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
……
ไม่ต้องให้เฉินผิงอันขอ เหยาเจิ้นก็เอาแผนที่ขอบเขตทางทิศเหนือของต้าเฉวียนหนึ่งฉบับมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังมีแผนที่ของมณฑลและเขตการปกครองที่ละเอียดยิ่งกว่า ทำให้เฉินผิงอันรู้เส้นทางคร่าวๆ ในการเดินทางไปยังยอดเขาเทียนเชวียนานแล้ว
คนทั้งกลุ่มเดินออกจากถนนทางหลวงเข้าไปในถนนดินเหลืองเส้นหนึ่ง
บนหน้าผากของเผยเฉียนแปะยันต์สีเหลืองหนึ่งแผ่น ในมือถือไม้เท้าเดินป่า เดินเร็วราวกับสายลม
เผยเฉียนอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงชวนคุย “เหล่าเว่ย หลังจากเจ้ากินอิ่มแล้วต้องผายลมเหม็นๆ ออกมาบ้างไหม?”
เว่ยเซี่ยนไม่สนใจนาง
เผยเฉียนจึงไปก่อกวนคนอื่นแทน “เสี่ยวป๋าย ทำไมถึงไม่เคยเห็นเจ้าอึเลยล่ะ? อั้นไว้ในท้องแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”
หลูป๋ายเซี่ยงหลุดหัวเราะพรืด
เผยเฉียนวิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายสุยโย่วเปียนที่อยู่ด้านหลังสุด นางเงยศีรษะขึ้น พูดด้วยสีหน้าประจบประแจง “พี่หญิงสุย เจ้าบินได้หรือเปล่า? ข้าได้ยินนักเล่านิทานใต้สะพานลอยเล่าบ่อยๆ ว่าพวกเทพเซียนไม่เพียงแต่บินบนหลังคา เดินไต่กำแพงได้ ยังสามารถสาดถั่วเหลืองออกไปให้กลายเป็นทหาร ทะยานลมขี่เมฆ ตาแก่นั่นจะหลอกดื่มเหล้าจากคนอื่น ข้าไม่เชื่อหรอก แต่ข้าเชื่อพี่หญิงสุย ข้าเคยเห็นคนเหยียบบนกระบี่บินมาแล้ว พี่หญิงสุยเจ้าหน้าตางดงามปานนี้ก็น่าจะทำเป็นเหมือนกันกระมัง? หากข้าโตแล้ว แล้วสวยได้สักครึ่งหนึ่งของพี่หญิงสุย ข้าคงดีใจตายเลย”
สุยโย่วเปียนหัวเราะหึหึใส่เจ้าตัวขี้ประจบน้อย
สุดท้ายเผยเฉียนไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดปลงอนิจจังอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก “เมื่อก่อนตอนข้าอยู่บ้านเกิดมักจะรู้สึกว่าหากกินดินแล้วอิ่มท้องได้ อีกทั้งกินแล้วยังไม่ตายก็คงเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าอ่านเจอจากในตำราบอกว่าทิศเหนือของใบถงทวีปมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ดินกวนอิมของที่นั่นสามารถกินแทนข้าวได้จริงๆ”
เผยเฉียนทำสีหน้าตื่นตะลึง “เอาดินมากินแทนข้าวได้จริงๆ ?! ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรสะพายตะกร้าไปขุดมาหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ทางผ่าน”
ในหัวของเผยเฉียนมักจะมีความคิดประหลาดอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นนางจะถามเฉินผิงอันอย่างจริงจังว่าเขารู้สึกหรือเปล่าว่าบ้านทุกหลัง ต้นไม้ทุกต้นเหมือนคนคนหนึ่งอย่างมาก?
เหตุผลของนางก็คือหน้าต่างคล้ายกับดวงตาของบ้าน ประตูใหญ่คล้ายกับปากของบ้าน ส่วนใบไม้ก็เหมือนเสื้อผ้าของต้นไม้ใหญ่
เฉินผิงอันถามกลับว่าแล้วทำไมหน้าหนาวอากาศหนาวขนาดนั้น ต้นไม้ถึงไม่ยอมใส่เสื้อผ้า หน้าร้อนอากาศร้อนขนาดนั้น ทำไมยังใส่เสื้อผ้าตั้งมากมาย?
จริงด้วย
เผยเฉียนเกาหัว รู้สึกว่าเฉินผิงอันอ่านหนังสือมามากก็เลยมีเหตุผลมากกว่าจริงๆ
ตลอดทางมานี้นอกจากบางครั้งที่เผยเฉียนจะชวนคุยเรื่องเหลวไหลแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันแทบไม่ได้พูดอะไรกับอีกสี่คนเลย
พูดไปแล้วก็น่าเหลือเชื่อ ห้าคนที่จับกลุ่มกันตอนนั้นล้วนเป็น ‘อันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ห้าท่านในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวทั้งสิ้น
ตอนที่เฉินผิงอันเดินจะต้องขบคิดถึงคาถาหล่อหลอมบนแผ่นหยกแผ่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา
วันนี้เดินอยู่บนถนนปูพื้นหินในป่าเขา จูเหลี่ยนถามขึ้นเบาๆ ว่า “นายน้อย เอาอย่างไร?”
พวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนเดินด้วยฝีเท้าเป็นปกติ แต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในเวลาเดียวกัน
เฉินผิงอันตอบ “ไม่ต้องรีบร้อน”
การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้จงใจเดินอ้อมผ่านพื้นที่เขตการปกครองส่วนหนึ่งของทหารชายแดนทางเหนือ ส่วนใหญ่จะเดินอยู่บนเส้นทางภูเขา
แต่ในที่สุดวันนี้ก็มีคนเผยพิรุธ เพียงแต่ว่าพวกเขาเป็นกองกำลังจากฝ่ายใด เป็นคนของชายแดนที่มาเจอคนทั้งห้าเข้าโดยบังเอิญ เกิดความกริ่งเกรงจึงจงใจมาตรวจสอบดู หรือว่าวางแผนไว้แต่แรกอยู่แล้ว เลยจงใจมุ่งมาหาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ ล้วนยังไม่อาจบอกได้
ยามสนธยาของวันนี้ฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมา เส้นทางบนภูเขาเดินยาก ในป่าเปลี่ยวร้างที่ไร้เงาผู้คน พวกเขาได้เจอกับซากวัดร้างที่ถูกทอดทิ้งมานานหลายปีแห่งหนึ่ง เผยเฉียนดีใจมาก ในที่สุดก็มีที่ให้หลบฝนแล้ว รองเท้าและขากางเกงของนางเปรอะไปด้วยดินโคลน ทุกครั้งเวลายกเท้าเหมือนต้องยกน้ำหนักเพิ่มอีกหลายจิน ต่อให้กางร่มน้ำมันคันนั้น แต่สายลมที่พัดพาเม็ดฝนมาในแนวเฉียงก็ยังทำให้เส้นผมของนางเปียกแนบติดหน้าผาก รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก
เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนหยุดเดิน เขาหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาคีบไว้ระหว่างร่องนิ้ว เดินนำทุกคนเข้าไปในวัดร้างที่ว่างเปล่าก่อน พอเห็นว่ายันต์ไม่ได้ติดไฟจึงบอกให้เผยเฉียนที่อยู่นอกประตูเดินเข้าไป
คนโบราณบอกไว้ว่า สุสานนอนหลับได้ แต่วัดร้างนั้นห้ามเข้า
เป็นเพราะมีเหตุผล นอกจากที่วัดร้างจะง่ายต่อการกลายเป็นสถานที่ที่โจรขโมยซึ่งปล้นฆ่าผู้คนมาปักหลักอยู่แล้ว หลังจากที่องค์เทพไปจากอารามเต๋าหรือวัดที่ถูกทิ้งร้างก็ยิ่งง่ายที่จะเรียกให้ภูตผีและวิญญาณร้ายมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบด้าน ทำให้สถานที่แห่งนั้นกลายเป็นสถานที่แห่งความชั่วร้ายที่เก็บซ่อนสิ่งสกปรก ล่อลวงทำร้ายผู้คนที่เดินทางผ่านมาค้างแรม ตอนที่เดินทางร่วมกับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียในแจกันสมบัติทวีปก็เคยเจอกับปีศาจจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง เพียงแต่ถึงอย่างไรปีศาจแห่งภูเขาและแม่น้ำที่มีจิตใจดีงามเหมือนปีศาจตัวนั้นก็มีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นผีร้ายที่ละโมบในเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ หรือไม่ก็เคียดแค้นปราณหยางบนร่างของคนที่เดินทางผ่านมาเสียมากกว่า
แท่นบูชาเทวรูปในวัดร้างล้วนล้มระเนระนาด รูปปั้นองค์เทพก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน บนเสาคานมีหยากไย่ขึ้นเป็นหย่อมๆ
จูเหลี่ยนเก็บกิ่งไม้แห้งที่กระจัดกระจายมารวมกัน แต่ก็ยังไม่มากพอให้จุดกองไฟ จึงได้แต่ออกไปเก็บมาจากข้างนอกเพิ่ม หรือไม่ก็ตัดต้นไม้ที่เปียกชื้นมา ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะก่อไฟได้สำเร็จ
หลังจากเข้ามาในวัดร้างแล้ว เผยเฉียนก็มีข้ออ้างขอยันต์แผ่นหนึ่งจากเฉินผิงอันมาแปะบนหน้าผากทันที บอกว่านางขี้ขลาด ต้องอาศัยแผ่นยันต์ให้ช่วยขับไล่วิญญาณชั่วร้าย
ทุกวันนี้มีเพียงเขียนบทความของอริยะปราชญ์ได้ครบห้าร้อยตัวเท่านั้น นางถึงจะสามารถยืมยันต์มาแปะบนหน้าผากไว้โอ้อวดคนได้
เฉินผิงอันบอกให้นางใช้กิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่งเขียนตัวอักษรห้าร้อยตัวลงบนพื้น เผยเฉียนหน้าบูดบอกว่าถ้าอย่างนั้นนางก็ไม่แปะยันต์แล้ว วันนี้เหนื่อยเกินไป เอาไว้ค่อยคัดหนังสือคราวหน้าได้หรือไม่
มองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ทั้งตัวเปรอะเลอะไปด้วยดินโคลนอย่างน่าอนาถ เฉินผิงอันก็พยักหน้ารับ เผยเฉียนเหมือนได้รับอภัยโทษ ขยับมาใกล้เฉินผิงอันถามว่าขอดูกล่องไม้ใส่สมบัติอันเล็กที่เหยาจิ้นจือมอบให้นางสักหน่อยได้หรือไม่
เดิมทีนี่ก็เป็นของของนางอยู่แล้ว เพียงแต่ฝากไว้ในหีบไม้ไผ่ของเฉินผิงอันเท่านั้น
เฉินผิงอันให้นางไปหยิบหีบไม้ไผ่มาเอง เผยเฉียนหยิบกล่องเก็บสมบัติที่ทำขึ้นอย่างประณีตงดงามออกมาอย่างระมัดระวัง นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน แต่กลับหันหลังให้พวกเว่ยเซี่ยนสี่คน ไม่ยอมให้พวกเขาได้เห็นเหล่าสมบัติที่อยู่ในกล่องแม้แต่ครั้งเดียว
นิสัยขี้งกนี้ เกรงว่าคงยากที่จะแก้ไขได้
อีกอย่างดูเหมือนเฉินผิงอันจะไม่ได้จงใจทำให้เผยเฉียนลำบากใจในเรื่องนี้ด้วย
ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนแกล้งหยอกเผยเฉียนโดยการเอาไม้เท้าเดินป่าที่ใครก็ห้ามแตะต้องอันนั้นไปซ่อน เผยเฉียนเกือบสู้ตายกับเขา
ในกล่องเก็บสมบัติแบ่งเป็นเก้าช่องที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
นอกจากไม้แกะสลักหลิงจือที่อันเล็กกะทัดรัด ลวดลายไม้เรียบลื่น รวมไปถึงเหรียญเงินของอดีตราชวงศ์ต้าเฉวียนซึ่งหาได้ยากไม่กี่เหรียญแล้ว ยังมีป้ายคำสั่งของลัทธิเต๋าที่เรียบเป็นมันวาว สลักเป็นรูปเทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋าที่มีใบหน้าแดง หนวดเครายาว สวมชุดคลุมสีแดงเสื้อเกราะสีทอง กลางหว่างคิ้วมีทิพย์จักษุ ลักษณะเปี่ยมไปด้วยบารมีคล้ายกับมีชีวิตจริงๆ ป้ายคำสั่งสีแดงพุทราชิ้นนี้มีขนาดเล็กมาก น่าจะเป็นสิ่งของที่ตระกูลใหญ่เช่ากลับมาจากอารามกวานเต๋า เอาไว้ให้เด็กรุ่นหลังในตระกูลพกติดตัว หวังให้ช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย คุ้มครองเด็กๆ ให้ปลอดภัย
ของที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเครื่องประดับของหญิงสาวที่ประณีตงดงาม
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นสอบถามเฉินผิงอันเบาๆ “ข้างในนี้ ชิ้นไหนมีค่ามากที่สุด?”
เฉินผิงอันเอนตัวมาด้านหลังเล็กน้อย ชำเลืองตามองของละลานตาที่อยู่ในกล่องเก็บสมบัติแล้วเอ่ยว่า “หลิงจือไม้และป้ายหลิงกวานคือของวิเศษที่มีระดับขั้นไม่เลว ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง หากได้ครอบครองชิ้นใดชิ้นหนึ่งนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกาย “แล้วสรุปว่ามีค่ากี่ตำลึงล่ะ?”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่ “ของที่คนอื่นมอบให้เจ้าด้วยความหวังดี เจ้าเอาแต่คิดว่ามันมีค่าเท่าไหร่งั้นหรือ?”
เผยเฉียนย่นคอ พูดอย่างระมัดระวัง “หากมีแค่ข้า พี่หญิงจิ้นจือก็ไม่มีทางมอบของมากมายขนาดนี้ให้ข้าหรอก”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ? มองออกได้อย่างไร?”
เผยเฉียนยื่นนิ้วชี้ไปที่ตาของตัวเอง ยิ้มตาหยีพูด “ใช้ตามองน่ะสิ”
เฉินผิงอันยกมือขึ้นอีกครั้ง ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบยกมือกุมศีรษะจนกล่องเก็บสมบัติที่วางอยู่บนขาเกือบจะร่วงตกพื้น
เฉินผิงอันช่วยนางประคองกล่องเอาไว้ ไม่ได้เขกหัวนางจริงๆ
เผยเฉียนเก็บกล่องเก็บสมบัติให้เรียบร้อยเหมือนเดิม หมุนตัวกลับมา หลังจากยื่นกล่องส่งให้เฉินผิงอันแล้วก็กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “พี่หญิงจิ้นจือสวยมากจริงๆ ข้ารู้สึกว่านางมี…ความเป็นผู้หญิงมากกว่าใครบางคนเสียอีก”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาชำเลืองมองไปนอกวัด ฝนเริ่มตกหนักขึ้นทุกทีแล้ว
จูเหลี่ยนง่วนอยู่กับการหุงหาอาหาร
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอื้อมหยิบกิ่งไม้ที่เหลือจากส่วนที่เอาไปทำเป็นฟืนขนาดยาวเท่ากระบี่กิ่งหนึ่งมา แล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าประตู พอยืนนิ่งแล้วก็แหงนหน้ามองม่านน้ำฝน
แทบจะเวลาเดียวกันนั้นพวกจูเหลี่ยนสี่คนต่างก็หันหน้ามามองเฉินผิงอัน
ต่อให้เป็นสุยโย่วเปียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ห่างไปไกลที่สุดก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น หลังจากลืมตาแล้วก็แยกมือสองข้างไปวางไว้บนหัวและท้ายของกระบี่ยาวชือซิน
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันทำเพียงแค่กำกิ่งไม้เหมือนกำกระบี่ ไม่มีท่าทีว่าจะขยับเขยื้อน
นานเข้า สุยโย่วเปียนก็หลับตาลง จูเหลี่ยนทำอาหารต่ออีกครั้ง เว่ยเซี่ยนเดินเตร่ไปทั่วทั้งในและนอกวัดร้าง เวลานี้กำลังนั่งยองอยู่ตรงมุมกำแพง ในมือถือหินแตกหักที่ถูกทาสีชิ้นหนึ่ง นี่น่าจะเป็นเศษเสี้ยวของเทวรูปในศาลภูเขาที่เหลือทิ้งไว้ หลูป๋ายเซี่ยงกำลังอ่านตำราหมากล้อมเล่มหนึ่ง เหยาจิ้นจือเป็นคนมอบให้เขา ว่ากันว่าด้านในบันทึก ‘การประชันสิบตาท่ามกลางเมฆหลากสี’ ระหว่างชุยฉานราชครูต้าหลีและเจ้านครจักรพรรดิขาวเอาไว้ หลูป๋ายเซี่ยงชื่นชอบหนังสือหมากล้อมเล่มนี้มากจนแทบไม่ยอมวาง มีเวลาว่างเมื่อใดจะต้องหยิบมาเปิดอ่าน และได้ประโยชน์จากตำราเล่มนี้ไม่น้อย
ระหว่างที่รอให้ข้าวสุก จูเหลี่ยนหยิบเอานิยายรักในหมู่ชาวบ้านซึ่งทำการพิมพ์แบบหยาบๆ เล่มหนึ่งออกมา เผยเฉียนปลุกความกล้าขยับเข้าไปใกล้หมายจะแอบอ่าน แต่กลับถูกจูเหลี่ยนผลักศีรษะเล็กๆ ออกมา
เผยเฉียนอ่านตำราหมากล้อมในมือของหลูป๋ายเซี่ยงแวบหนึ่ง นางอ่านไม่เข้าใจ ยิ่งไม่มีความสนใจ การเล่นหมากล้อมเป็นเรื่องที่นางรังเกียจมากที่สุด เจ้าวางทีข้าวางที แถมยังต้องใช้เวลาขบคิดอีกนาน น่าเบื่อยิ่งนัก หากคนอื่นวางหมากหนึ่งตัว แล้วนางสามารถวางปุๆๆ รวดเดียวสามสี่ตัว แบบนั้นต่างหากที่น่าสนุก
ในขณะที่เริ่มได้กลิ่นหอมของข้าว เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาทางวัดเล็กแห่งนี้ พวกเจ้าทำธุระของตัวเองไป ไม่ต้องสนใจ หากหิวก็กินข้าวกันก่อนได้เลย”
ฝนตกหนัก คนกลุ่มหนึ่งเดินตากฝนมุ่งหน้ามาหลบฝนที่วัดร้างแห่งนี้
มีคนสิบกว่าคน ต่างสวมงอบและเสื้อกันฝน แต่ละคนร่างกายแข็งแรงปราดเปรียว ห้อยดาบไว้ตรงเอว ลมปราณหนักแน่นและทอดยาว
เฉินผิงอันอยู่กับขบวนทัพตระกูลเหยามานานขนาดนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าคนเหล่านี้ต้องเป็นเหล่าทหารที่มีฝีมือในกองทัพอย่างแน่นอน
คนที่เป็นหัวหน้าคือบุรุษร่างกำยำอายุประมาณสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง เวลาที่เขาก้าวเดินประหนึ่งมังกรเลื้อย ประหนึ่งพยัคฆ์เยื้องย่าง สะดุดตามากกว่าทุกคนที่เดินตามมาด้านหลัง เรียกได้ว่าโดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่
คนผู้นั้นหยุดเดินห่างจากวัดร้างไปประมาณสิบก้าว เขาถามเฉินผิงอันที่ถือกิ่งไม้ไว้ในมือด้วยรอยยิ้ม “ใช่คุณชายเฉินที่ช่วยแม่ทัพผู้เฒ่าเหยามาจากเงื้อมมือของผู้ฝึกกระบี่ และสังหารกั๋วกงน้อยเกาซู่อี้หรือไม่?”
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูด คนผู้นี้จึงเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่จางหาย “ข้าชื่อหลิวจง เป็นลูกหลานสกุลหลิวต้าเฉวียน หลายปีมานี้กินเม็ดทรายของชายแดนทิศเหนือมาจนอิ่ม พอได้รู้ข่าวสองข่าวนี้ก็คิดว่าจะต้องมาพบคุณชายเฉินสักครั้งให้จงได้ ก่อนหน้านี้ทหารสอดแนมในกองทัพข้าแอบติดตามพวกเจ้ามาถือเป็นการล่วงเกินแล้ว ข้าต้องขออภัยคุณชายเฉินมา ณ ที่นี้ด้วย!”
หลิวจง
องค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน
ในมือกุมอำนาจใหญ่ของกองทัพภาคเหนือ มีบารมีสูงส่งในกองทัพราชวงศ์ต้าเฉวียน นอกจากอาศัยแซ่ที่ได้มาตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องมารดาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังอาศัยคุณความชอบทางการทหารระหว่างที่ประจำอยู่ชายแดน
เฉินผิงอันถาม “แค่เรื่องนี้น่ะหรือ?”
หลิวจงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แน่นอนว่าไม่ใช่ คุณชายเฉินอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเมืองเซิ่นจิ่งนัก ตอนเด็กเกาซู่อี้ผู้นั้นคอยตามก้นข้าต้อยๆ อยู่ทุกวัน ตลอดหลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาก็ไม่เลว คุณชายเฉินสังหารเขา หากจะบอกว่าข้าเสียใจ ก็คงไม่ถึงขั้นนั้น เพราะถึงอย่างไรหลังจากที่ข้าออกมาจากเมืองหลวง เขาก็เอนเอียงเข้าหาเหล่าซาน (หมายถึงองค์ชายสาม) แล้ว แต่ข้าแปลกใจอย่างมากว่าตบะต้องสูงส่งเพียงใดกันแน่ถึงสามารถมีฝีมือต่อสู้ทัดเทียมกับขุนนางผู้กุมตรากองทัพม้าอย่างขันทีหลี่หลี่ได้!”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน
หลิวจงยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง “ไม่มาก แค่กองทัพม้าห้าพันนาย บนภูเขามีพลทหารราบฝีมือยอดเยี่ยมสองพันนาย ตรงตีนเขายังมีอีกสามพัน ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินคิดว่าของขวัญพบหน้าครั้งนี้ พอหรือไม่?!”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ในเมื่อเอาทหารม้ามากมายขนาดนี้มาล้อมไว้ เจ้าเป็นถึงองค์ชาย ยังจะต้องพาตัวมาเสี่ยงอันตรายทำไม? เจ้าและข้าอยู่ห่างกันแค่สิบก้าว ต่อให้เจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ฝีมือไม่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็ไม่น่าจะประมาทขนาดนี้กระมัง?”
หลิวจงถามกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เฉินผิงอัน ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่? ยังไม่ถึงยี่สิบกระมัง รู้หรือไม่ว่าข้าอายุเท่าไหร่แล้ว? สามสิบปีเต็มแล้ว ไม่พูดถึงการขัดเกลาร่างกายและจิตใจตอนอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่ง หลายปีมานี้ผ่านการเข่นฆ่าอยู่ที่ชายแดนมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้ก็เพิ่งจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหก! หากจะให้ข้าปะทะกับโส่วกงไหวของราชวงศ์ต้าเฉวียนเรา อย่าว่าแต่ต่อสู้ให้รู้เป็นรู้ตายเลย เกรงว่าแม้แต่จะออกหมัดชักดาบใส่ขันทีเฒ่า ข้าก็คงยังไม่กล้า เจ้าว่าคนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมันน่าโมโหมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินมาถึงที่นี่ก็เพราะ…มารนหาที่ตาย?”
มือข้างหนึ่งของหลิวจงจับด้ามดาบ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ข้างหลังตัวเอง แสยะยิ้มพูดว่า “ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่โดดเด่นที่สุดในชายแดนเหนือของต้าเฉวียน เจ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยรึ?”
เห็นว่าคนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้ไม่เต็มใจพูดคุยด้วย สายตาของหลิวจงก็ฉายแววมีเลศนัย “มีคนอยากจะได้ศีรษะบนบ่าของเจ้า มีคนอยากจะให้เจ้ามอบวัตถุที่ได้จากจวนปี้โหยวออกมา และมีคนอยากจะได้น้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวของเจ้า เฉินผิงอัน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าวิญญูชนสำนักศึกษาคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว กับแผ่นหยกศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอมแผ่นหนึ่ง จะสามารถทำให้เจ้าเดินทางไปถึงยอดเขาเทียนเชวียได้อย่างปลอดภัย? เดินอาดๆ ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือตระกูลเซียนออกไปจากใบถงทวีปได้สำเร็จ?”
ในวัดร้าง จูเหลี่ยนถือถ้วยข้าวใบหนึ่งนั่งอยู่ริมกองไฟ หลังจากพุ้ยข้าวสองสามคำจนหมดเกลี้ยงก็ลุกขึ้นยืน
เว่ยเซี่ยนเคี้ยวข้าวอย่างละเอียด ก่อนจะพ่นประโยคหนึ่งออกมา “พูดมากขนาดนี้ มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก”
ฝ่ามือของหลูป๋ายเซี่ยงกดด้ามดาบ เดินไปทางประตูของวัด สุยโย่วเปียนที่สะพายกระบี่เล่มยาวเดินตามหลังไปติดๆ
เว่ยเซี่ยนยกข้าวที่เหลือครึ่งถ้วยให้เผยเฉียนที่นั่งอยู่ข้างกาย “ให้เจ้าเป็นรางวัล”
เผยเฉียนรับข้าวมาเทใส่ถ้วยของตัวเอง จากนั้นก็เอาถ้วยข้าวซ้อนกัน เงยหน้าถามอย่างจริงจังว่า “เหล่าเว่ย หากเจ้าตาย ข้าจะต้องช่วยหาที่ฝังศพให้เจ้าแน่…ถึงเวลานั้นเงินบนร่างของเจ้า ข้าเอาไปเป็นค่าตอบแทนได้ไหม?”
เว่ยเซี่ยนกำเม็ดเสื้อเกราะไว้ในมือ พูดหน้าตึง “พวกเราสี่คน คิดจะตายยังยาก”
เขาเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน แล้วรวมเสียงให้เป็นเส้นเพื่อพูดเรื่องที่เดิมทีเขาไม่เต็มใจจะพูดสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันได้ยินอย่างชัดเจน จูเหลี่ยนที่มีมือเปล่า หลูป๋ายเซี่ยงที่ถือดาบแคบและสุยโย่วเปียนที่สะพายกระบี่ต่างก็พอจะได้ยินเนื้อหานั้นแว่วๆ
แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
ฝนตกกระหน่ำรุนแรง กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกจึงได้ยินไม่ชัดเจน
รอยยิ้มของจูเหลี่ยนเหี้ยมเกรียม “นายน้อย หลังผ่านศึกนี้ไปช่วยมอบของดีให้ข้าสักชิ้นได้ไหม? ตอนนี้ในบรรดาคนทั้งสี่เหลือแค่บ่าวเฒ่าเท่านั้นที่ยังไม่มีของติดกาย”
เฉินผิงอันตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ยังไม่มีของจะมอบให้เจ้า”
จูเหลี่ยนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาหันหน้าไปมองกลุ่มคนที่ไม่ได้รับเชิญแล้วจุ๊ปากพูด “นายน้อย อีกเดี๋ยวหากบ่าวเฒ่าลงมือสังหารคน จะไม่เหมือนคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมที่ยังต้องคิดเล็กคิดน้อยว่ากระบวนท่าหมัดจะสง่างามหรือไม่แล้วนะ”
สุยโย่วเปียนสีหน้าเย็นชา นางยืนอยู่ฝั่งขวาสุด “คุณชาย หากทลายทหารชุดเกราะได้หนึ่งพันนาย ท่านยกกระบี่ชือซินให้ข้าเลยได้หรือไม่?”
หลูป๋ายเซี่ยงยืนอยู่ฝั่งซ้ายสุด พูดพร้อมยิ้มบางๆ “นายท่าน หากข้าทลายทหารชุดเกราะหนึ่งพันนาย ให้ข้ายืมใช้หยุดหิมะแค่สิบปีก็พอแล้ว”
สุดท้ายเว่ยเซี่ยนเอ่ยว่า “สังหารพวกทหารชุดเกราะมาจนเอียนแล้ว พวกผู้ฝึกลมปราณยกให้เป็นหน้าที่ข้าทั้งหมดแล้วกัน”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วข้าต้องทำอะไร?”
เผยเฉียนที่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวคำโตอยู่ในวัดร้างพูดขึ้นเสียงอู้อี้ “ท่านพ่อ ท่านมากินข้าวเป็นเพื่อนข้า!”