บทที่ 385 เล่นหมากจบ คัดตัวอักษรเสร็จ
หลูป๋ายเซี่ยงลุกขึ้นยืน ยิ้มมองเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่หว่างคิ้วมีปานแดงหนึ่งเม็ดแล้วผายมือเชื้อเชิญให้ชุยตงซานนั่งหน้ากระดานหมากล้อม “ใครเรียนรู้จากใคร อันที่จริงไม่สำคัญเลย”
หนึ่งในผู้ที่มีฝีมือการเล่นหมากล้อมยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวท่านนี้มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า วันนี้ตนอาจจะได้ผลงานที่ดีเลิศที่สุดในชีวิตการเล่นหมากล้อม
ชุยตงซานนั่งลง เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่ง ค้อมตัวลง เอาคางวางบนเข่า เมื่อเทียบกับท่านั่งตัวตรงอย่างสำรวมของหลูป๋ายเซี่ยงแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
ชุยตงซานยื่นมือมา เอานิ้วปาดผ่านขอบโถใส่เม็ดหมากล้อมเบาๆ กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้ายังไม่ได้ถูกจัดลำดับสินะ?”
หลูป๋ายเซี่ยงหลุดหัวเราะพรืด คิดไม่ถึงว่าในวงการหมากล้อมจะมีวันที่ตนถูกคนดูแคลนเช่นนี้ เพียงแต่หลูป๋ายเซี่ยงยังไม่ถึงขั้นวุ่นวายใจเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้ เขาจึงพยักหน้ายิ้มรับ “เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ยังไม่ได้ถูกจัดลำดับจริงๆ นั่นแหละ”
ชุยตงซานผงกศีรษะ “เรื่องของการจัดลำดับ หากอิงตามกฎของโลก สามารถเล่นกับฉีไต้จ้าวลำดับเก้าท่านหนึ่งได้สามตา สามสองหนึ่ง ฉีไต้จ้าวจะยอมให้คนเล่นใหม่สามเม็ด สองเม็ดและหนึ่งเม็ด แน่นอนว่าแพ้ชนะจะไม่ส่งผลต่อการจัดลำดับในท้ายที่สุด แต่จะถือเป็นการสนับสนุน เป็นการสร้างเกียรติให้มากกว่า โชคของเจ้าหลูป๋ายเซี่ยงแข็งแกร่งกว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเจ้ามากนัก”
ผู้ที่ตัดสินอันดับของผู้เล่นใหม่อย่างแท้จริง แน่นอนว่าต้องเป็นพวกคนที่เล่นได้เสมอกับนักเล่นหมากล้อมลำดับสี่ลำดับห้า
ชุยตงซานพลันเงยหน้าขึ้น “เจ้าอาจจะรู้สึกว่าการประลองระหว่างเจ้ากับข้าหลังจากนี้ ทำให้เจ้ามีโอกาสได้เล่นกระดานที่สุดยอดที่สุดในชีวิต ไม่สู้ข้าบอกเจ้าก่อนดีกว่าว่า นี่เป็นความรู้สึกที่เจ้าคิดไปเอง แต่เจ้าต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเรียงลำดับกลับหลัง จะยอมให้เจ้าหนึ่งเม็ดก่อน ให้เจ้าได้รู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง เป็นอย่างไร? ส่วนจะใช้ระบบจั้วจื่อ (ระบบที่ก่อนเริ่มเล่นให้วางหมากสี่เม็ดลงบนมุมสี่ตำแหน่ง ซึ่งหมากแต่ละสีจะตรงกันในแนวทแยง และในกฎกติกาของหมากล้อมในสมัยโบราณนี้จะกำหนดให้หมากขาวเดินก่อน) หรือเปิดกระดานด้วยการไม่วางเม็ดหมากลงไปก่อนก็ตามแต่เจ้าจะเลือก”
หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “ไม่ต้องยอมต่อให้ ต่อให้ข้าแพ้ก็ยังรู้ระยะห่างระหว่างเจ้าและข้าได้อยู่ดี”
ชุยตงซานยื่นนิ้วชี้หน้าหลูป๋ายเซี่ยง “ข้าชอบความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างหน้ามืดตามัวไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินของพวกเจ้าแบบนี้นี่แหละ เอาล่ะ ข้าเดาว่าหากบอกว่าจะยอมต่อเม็ดหมากให้ เจ้าก็คงไม่ตอบรับ ถ้าอย่างนั้นก็มาเปิดกระดานด้วยการไม่วางเม็ดหมากแล้วกัน แต่ว่าไม่ต้องเสี่ยงทายหมากแล้ว ให้เจ้าหลูป๋ายเซี่ยงที่ถือหมากดำเดินก่อนแล้วกัน”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นจะได้แต้มต่อเท่าไหร่?” (ภาษาญี่ปุ่นคือ komi หรือแต้มต่อ คือคะแนนที่ฝ่ายขาวจะได้เพื่อชดเชยความเสียเปรียบที่ฝ่ายดำได้เดินก่อน)
ชุยตงซานหุบยิ้ม เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว “เดินก่อนค่อยว่ากัน”
หลูป๋ายเซี่ยงประหนึ่งแขกที่ตามใจเจ้าบ้าน โถเก็บเม็ดหมากที่อยู่ข้างฝ่ามือเป็นโถเก็บเม็ดหมากสีดำพอดี จึงหยิบขึ้นมาแล้ววางหมากลงก่อน
ชุยตงซานปล่อยให้หลูป๋ายเซี่ยงวางหมากตามรูปแบบปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้าของ ‘ตำราเมฆหลากสี’ หมากดำหนึ่งสามห้ายึดมุม หมากดำเจ็ดพิทักษ์มุม หมากดำเก้าปลายแหลมเล็ก ทั้งแข็งแกร่งมิอาจทำลาย ทั้งแฝงไว้ด้วยปราณสังหารประหนึ่งลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือน
ชุยตงซานไม่เห็นเป็นสำคัญ เขาวางหมากตามกฎตามเกณฑ์ ถึงขั้นไม่ได้ใช้วิธีรับมือที่ ‘ไม่เสียเปรียบ’ ใดๆ ของคนรุ่นหลัง
หลูป๋ายเซี่ยงเหมือนภิกษุเฒ่าเข้าฌาน จมจ่อมอยู่กับสถานการณ์บนกระดานหมากจนเรียกได้ว่าลืมตนไปอย่างสิ้นเชิง
ทว่าชุยตงซานกลับเป็นพวกช่างจ้อ ไม่เพียงแต่วางหมากอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ยังเริ่มยกเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูด ราวกับกำลังสอนหลูป๋ายเซี่ยงว่าควรจะเล่นหมากล้อมอย่างไรจริงๆ “อันที่จริงระบบจั้วจื่อสนุกกว่า แน่นอนว่าวิธีเปิดกระดานด้วยการไม่วางเม็ดหมากที่นิยมในทุกวันนี้ก็ต้องมีข้อดีของตัวเอง เพราะจะทำให้กระดานหมากเปลี่ยนมาเป็น ‘ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม’ แต่หากฝีมือการเล่นหมากล้อมไม่ดีพอ ช่วงเปิดฉากก็ใช้รูปแบบอันมหัศจรรย์ที่ปรัชญาเมธีผู้ล่วงลับสร้างไว้จนหมดสิ้น มองดูเหมือนกลุ่มบุปผาเป็นพุ่มเป็นช่อ แต่พอมาถึงช่วงกลางกระดานกลับกลายเป็นว่าเข้าผิดออกผิดจนแทบทนมองไม่ได้ ชาวนาขุดหลุมขี้ หมาบ้ากัดคนไม่เลือกหน้า จับปลาหนีชิวในน้ำคลำ น่าเบื่ออย่างยิ่ง ทำให้ผู้ชมที่ดูอยู่ด้านข้างหลับได้เลย”
“คนยุคปัจจุบันวิจารณ์ระบบจั้วจื่อของคนโบราณว่าชอบลดค่าของการเล่นโหมโรง ยอมรับแค่ความตระการตาของการไล่ตามกวางในทุ่งกว้างช่วงกลางกระดาน อันที่จริงพูดแบบนี้ก็ไม่ค่อยถูกนัก”
“หลูป๋ายเซี่ยง ลางสังหรณ์ที่เจ้ามีต่อสถานการณ์ของหมากถือว่าไม่เลว แต่ก็แค่ไม่เลวเท่านั้น ส่วนสัจธรรมแห่งหมาก กลับเหมือน…เอี๊ยมตัวในของสุยโย่วเปียน อย่าว่าแต่เจ้าจะลูบคลำเลย แม้แต่เห็นคงก็ไม่เคยเห็นมาก่อนกระมัง”
สถานการณ์บนกระดานเพิ่งเข้าสู่ช่วงกลางกระดาน ชุยตงซานที่พูดพร่ำไม่หยุดก็ใช้ฝ่ามือปิดโถใส่เม็ดหมากแล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงเงยหน้าขึ้น “ท่านชุยทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
ชุยตงซานอึ้งตะลึง “เจ้ามองไม่ออกหรือว่าเจ้าแพ้แล้ว? อย่างมากสุดก็แค่เดินอีกสามสิบครั้งเท่านั้น”
ชุยตงซานยกมือขึ้น “งั้นก็เล่นต่อเถอะ”
หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้ว วางเม็ดหมากต่อ
จำต้องยอมรับว่าเวลาที่หลูป๋ายเซี่ยงวางเม็ดหมากเปี่ยมไปด้วยบุคลิกอันเลิศล้ำ ไม่ว่าจะเป็นตอนยื่นมือมาคีบเม็ดหมากหรือตอนที่โน้มตัวลงมาวางเม็ดหมาก หรือแม้แต่ตอนที่ไล่สายตาตรวจสอบสถานการณ์บนกระดานก็ล้วนพลิ้วไหวสง่างาม
น่าเสียดายก็แต่ชุยตงซานไม่คิดจะมองเรื่องพวกนี้ หรือแม้แต่หมากบนกระดาน ชุยตงซานก็ยังไม่ค่อยใส่ใจนัก เขาวางเม็ดหมากรวดเร็วราวกับบิน หลังจากที่หมากสีขาวแต่ละเม็ดวางลงบนกระดานหมากอย่างเป็นรากเป็นฐานแล้วก็รอคอยหลูป๋ายเซี่ยงอย่างเบื่อหน่าย และนี่น่าจะเป็นสาเหตุที่เขาบ่นอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้สึกว่าการรอคอยน่าเบื่อเกินไป
ชุยตงซานพูดชวนคุย “กระดานแบบวางหมากไว้ก่อนกับกระดานแบบว่างเปล่า อันที่จริงก็ไม่ถือว่ามีข้อดีหรือข้อเสียอะไร ตอนนี้นักเล่นหมากล้อมเถียงกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ จะว่าไปแล้วก็เพียงแค่เพราะมุมมองที่มีต่อสถานการณ์หมากบนกระดานไม่ลึกซึ้งมากพอ ไม่กว้างขวางมากพอ โดยเฉพาะนอกเหนือจากสิบตาของการแข่งเมฆหลากสี เดิมทีควรยังต้องมีตาที่สิบเอ็ด ส่วนกระดานมากก็คงไม่ได้มีแค่ตั้งนอนสิบเก้าช่องเท่านั้น เล็กเกินไป”
หลูป๋ายเซี่ยงหัวใจหดรัดตัว หยุดนิ่งไปนาน จับจ้องมองหมากบนกระดานที่สถานการณ์ไม่ซับซ้อนเงียบๆ
ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีกระบวนท่าพิฆาตที่พลังสังหารไร้เทียมทานมากนัก ไม่มีการสลับสับเปลี่ยนที่อัศจรรย์ ไม่มีมีดปีศาจเอียงทแยงอะไร
ราวกับว่าแค่เล่นอีกครึ่งกระดานที่เหลือเป็นเพื่อนหลูป๋ายเซี่ยงอย่างสบายๆ แค่อดใจรอให้เขายอมแพ้เท่านั้น
อารมณ์ของหลูป๋ายเซี่ยงหนักอึ้ง วางหมากสองเม็ดไว้ที่มุมขวาล่างของกระดาน
โยนเม็ดหมากยอมแพ้
ชุยตงซานหาวหวอด “ใช่ไหม ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องคิดเรื่องแต้มต่อไม่แต้มต่ออะไรนั่น จากนี้จะยอมให้เจ้าหนึ่งเม็ดดีไหม?”
หลูป๋ายเซี่ยงพูดเสียงหนัก “ท่านชุยยอมให้ข้าสองเม็ด ตกลงไหม?”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ ไม่เลวๆ ไม่เสียแรงที่ข้าสอนหมากเจ้าหนึ่งตา”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มขื่นอย่างอับจนคำพูด หลังจากปรับจิตใจให้มั่นคงก็เริ่มเก็บกระดานหมาก สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เริ่มตาที่สอง
ชุยตงซานยังคงไม่มีท่าทีว่าจะทุ่มสุดกำลังที่มี เพียงแค่เอ่ยคำทำนายทายทักไว้แต่เนิ่นๆ ว่า “ข้าไม่ผิดพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ย่อมต้องชนะอย่างสมบูรณ์แบบ”
พอหมากเดินไปถึงกลางกระดาน หลูป๋ายเซี่ยงมักจะต้องใช้เวลาครุ่นคิดค่อนข้างนาน
ชุยตงซานไม่ได้เอ่ยเร่ง เพียงแต่เหลียวซ้ายแลขวาไม่อยู่นิ่ง ไร้กฎระเบียบอยู่เหมือนเดิม
หลังจากหลูป๋ายเซี่ยงวากหมากตัวหนึ่งลงแล้วก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “แค่ไม่ผิดพลาดแม้แต่ก้าวเดียวเท่านั้นหรือ?”
ชุยตงซานอืมรับหนึ่งที “เป็นเช่นนั้นแหละ แต่คำว่าไม่ผิดพลาดของข้า ไม่ใช่อย่างที่พวกนักเล่นระดับแคว้นลำดับเก้าทั่วไปพูดกัน เจ้าไม่เข้าใจ นี่คือความรู้อันลึกล้ำที่อยู่ห่างจากพื้นไปหนึ่งแสนแปดพันลี้ จะเอามาสอนนักเรียนประถมในโรงเรียนคนหนึ่งได้อย่างไร?”
หมากกระดานนี้หลูป๋ายเซี่ยงลากไปถึงช่วงปิดท้าย แต่กระนั้นก็ยังโยนหมากยอมแพ้อยู่ดี
ชุยตงซานพลันเปลี่ยนท่าที กลายเป็นว่าเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ยิ้มถามว่า “ตาที่สาม พวกเรามาเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ กันดีไหม?”
หลูป๋ายเซี่ยงถามกลับ “เดิมพันด้วยอะไร?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อาจารย์ของข้าเคยบอกข้าว่า พวกเจ้าสี่คนต่างก็ได้รับประโยคกันคนละหนึ่งประโยค เนื้อหาคร่าวๆ ข้าพอจะรู้แล้ว แต่ข้าเองก็รู้ว่าในบรรดาพวกเจ้าต้องมีคนที่โกหก ไม่แน่เสมอไปว่าจะพูดความจริงทั้งหมด น่าจะกึ่งจริงกึ่งเท็จ ตามหลักแล้วเจ้าหลูป๋ายเซี่ยงเป็นคนที่น่าสงสัยมากที่สุด เพราะประโยคนั้นของเจ้าไร้ประโยชน์มากที่สุด แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ หากข้าชนะตาที่สาม เจ้าหลูป๋ายเซี่ยงต้องบอกข้าว่า เจ้าคิดว่าใครน่าจะโกหกมากที่สุด แค่บอกชื่อใครมาก็ได้ ขอแค่เจ้าบอกชื่อแก่ข้าก็พอ”
หลูป๋ายเซี่ยงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำเช่นนี้จะยังมีความหมายอีกงั้นหรือ?”
ชุยตงซานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “มี”
หลูป๋ายเซี่ยงครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “สองตาก็เพียงพอแล้ว”
ใบหน้าของชุยตงซานเต็มไปด้วยความผิดหวัง “หากเจ้าคิดจะช่วงชิงลำดับเก้าแข็งแกร่งของแจกันสมบัติทวีป ไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะบอกว่าเทียบเท่าได้กับลำดับเก้าทั่วไปของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเท่านั้น แต่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เรียนหมากล้อมให้มากหน่อย ศึกษาตำราบ่อยๆ วันหน้าในวงการหมากล้อมของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มียอดฝีมือมากมายดุจก้อนเมฆก็สามารถมีพื้นที่ของเจ้าหลูป๋ายเซี่ยง ยอมให้เจ้าสามเม็ดก็ยังไม่กล้าเล่นอีกหรือ?”
หลูป๋ายเซี่ยงลังเลเล็กน้อย ถามอย่างใคร่รู้ว่า “วิชาหมากล้อมของท่านชุย สามารถอยู่สิบอันดับแรกของใต้หล้าไพศาลนี้หรือไม่?”
ชุยตงซานกลอกตามองบน “หมากล้อมเป็นแค่มรรคาเล็กๆ ติดสิบอันดับแรกแล้วอย่างไร? พวกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของสำนักหยินหยางและสำนักคำนวณ แต่ละคนต่างเชี่ยวชาญวิชานี้ แต่ก็ยังถูกผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันซ้อมจนร้องหาพ่อหาแม่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
สายตาหลูป๋ายเซี่ยงฉายประกายเร่าร้อน “ขอถามอีกหนึ่งคำ ท่านชุยกับเจ้านครจักรพรรดิขาว ห่างชั้นกันแค่ไหน?”
ชุยตงซานคิดแล้วก็ตอบว่า “ต่างกันเท่าหม่าเหลยถือหมากดำเดินก่อนกระมัง?”
จิตใจของหลูป๋ายเซี่ยงเริ่มสงบลง ถามด้วยรอยยิ้ม “หากยอมให้สามเม็ด แล้วข้าชนะ ท่านชุยจะทำอย่างไร?”
ชุยตงซานชี้ไปที่ ‘ตำราเมฆหลากสี’ เล่มนั้น “ข้าก็จะกินมัน”
หลูป๋ายเซี่ยงแค่คิดว่าอีกฝ่ายล้อเล่น แต่ก็อดไม่ไหวถามอีกว่า “ฝีมือการเล่นหมากล้อมของท่านชุยกับชุยฉานราชครูต้าหลี ห่างกันมากน้อยเท่าไหร่?”
ชุยตงซานชำเลืองมองหลูป๋ายเซี่ยง ไม่พูดอะไรอีก
หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยขออภัย “เป็นข้าที่เสียมารยาทแล้ว”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ถามว่า “แพ้ไปสองตา คิดว่าอย่างไร?”
หลูป๋ายเซี่ยงลุกขึ้นยืนตาม พูดชื่นชมด้วยใจจริง “ได้รับผลประโยชน์มากมาย แม้จะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ”
ชุยตงซานโคลงศีรษะอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “เจ้ามีคุณสมบัติจะพูดประโยคสุดท้ายเสียเมื่อไหร่”
มองแผ่นหลังของชุยตงซาน
หลูป๋ายเซี่ยงกลับไปนั่งที่เดิม เริ่มย้อนทวนกระดานหมากอยู่กับตัวเอง
ชุยตงซานเดินอยู่กลางระเบียง พึมพำเบาๆ ว่า “เว่ยเซี่ยน ค่อนข้างอันตรายแหะ”
แต่จากนั้นเขาก็เอ่ยเยาะหยันตัวเอง “นี่จะนับเป็นอะไรได้?”
เขาพลันยิ้มกว้าง เดินไปเคาะประตูห้องของสุยโย่วเปียน “พี่หญิงสุย อยู่หรือไม่? ข้าเรียนหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยงเสร็จแล้ว จะมาขอเรียนวิชากระบี่กับเจ้าบ้างแล้วกัน”
……
หลังจากเฉินผิงอันเอากล่องเก็บสมบัติมาเก็บไว้ในหีบไม้ไผ่ก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมไปเพียงลำพัง ถือโอกาสเดินดูขนบธรรมเนียมประเพณีของคนในท้องถิ่น
อำเภอขนาดเล็ก แม้จะเป็นนกกระจิบแต่ก็ยังมีอวัยวะภายในครบถ้วน ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง โรงเรียนในอำเภอ ร้านรวงต่างๆ มีครบหมดทุกอย่าง
ถนนทางดินสีเหลืองที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ต้นหลิ่วที่เพิ่งแตกหน่อ เสียงหมาเห่าเสียงไก่ขัน ภาพเทพทวารบาลกลอนคู่ใหม่เอี่ยม
พ่อค้าหาบเร่ต่างถิ่นที่เร่งร้อนเดินทางหอบหิ้วสินค้ามาขายโดยไม่ได้ลงหลักปักฐาน เด็กเล็กที่วิ่งไล่จับกัน ส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยมสำหรับช่วงปีใหม่ บรรยากาศสดชื่นมีชีวิตชีวา
เดินไปเดินมาก็มาถึงด้านนอกศาลบู๊โดยไม่ทันรู้ตัว ระหว่างนี้ยังเดินผ่านศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภแห่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับศาลบุ๋นที่เงียบสงบแล้ว ที่นี่กลับมีควันธูปโชติช่วงกว่ามาก
เฉินผิงอันเดินทางขึ้นเขาลงห้วยมาเป็นระยะทางนับพันนับหมื่นลี้แล้ว เขาพบเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง นั่นคือดูเหมือนว่าชาวบ้านบนโลกจะไม่ค่อยใกล้ชิดสนิทใจกับเทพใหญ่เท่าใดนัก แต่องค์เทพในศาลเล็กที่ตำแหน่งไม่สูงอย่างศาลเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ศาลเทพเจ้าที่และศาลเจ้าแม่ต่างๆ กลับมีความใกล้ชิดมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นแคว้นชิงหลวนที่มีวัดวาอารามมากมายดาษดื่น องค์เทพหลักที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องโถงใหญ่ พวกชาวบ้านมักจะแค่มาจุดธูปกราบไหว้เสร็จแล้วก็แล้วกันไป ส่วนใหญ่จะไม่รั้งรออยู่นาน แต่กลับโขกหัวก้มลงกราบอยู่ใต้ฝ่าเท้าขององค์เทพที่มีหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องบางอย่างด้วยความจริงใจ ปากก็พร่ำท่องขอพรไปด้วย
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในศาลบู๊ ด้านในมีผู้มีจิตศรัทธาบางตา น้อยจนนับนิ้วได้
เทวรูปเป็นลักษณะของแม่ทัพบู๊ รูปปั้นดินเผาลงสี ในอ้อมกอดคือคทาเหล็ก ถลึงตาสีหน้าดุดัน มีอำนาจบารมีอย่างยิ่ง
คนดูแลศาลของที่แห่งนี้ไม่ได้ปรากฏตัว ตอนนี้เฉินผิงอันมีตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตห้า เพียงแต่ว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี จึงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีความหวังเสี้ยวหนึ่งที่จะช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดอันเลือนรางล่องลอยนั้นมาได้ แน่นอนว่าก่อนที่จะเป็นเช่นนั้นต้องให้เฉาสือผู้มากพรสวรรค์แห่งราชวงศ์ต้าตวนเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกเสียก่อน กุญแจสำคัญของขอบเขตหกก็คือตามหาดีวีรบุรุษหนึ่งดวง ซึ่งค่อนข้างคล้ายคลึงโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณ โดยรวมแล้วมีทางลัดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเข้าไปในศาลบุ๋นบู๊เพื่อเสี่ยงโชค ดูว่าจะได้รับความโปรดปรานจนได้รับมอบโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งมาหรือไม่
นอกจากนี้ก็คือไปยังซากปรักหักพังของสนามรบโบราณ เข่นฆ่าสังหารวิญญาณวีรบุรุษบนสนามรบที่จิตหยินยังไม่แหลกสลาย แต่วิธีนี้ค่อนข้างจะอันตรายอย่างมาก ในซากปรักของสนามรบโบราณ น้อยมากที่วิญญาณวีรบุรุษจะเร่ร่อนอยู่เพียงลำพัง แม่ทัพบู๊วิญญาณวีรบุรุษที่สติปัญญาไม่จางหายเหล่านั้นจะต้องมีขุนพลหยินทหารหยินเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนไม่เท่ากัน ซึ่งรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด หนังสือเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นบันทึกไว้ว่าในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีซากปรักขนาดใหญ่มโหฬารอยู่แห่งหนึ่ง วิญญาณวีรบุรุษตนนั้นมีตบะเท่าเทียมได้กับขอบเขตสิบสองของผู้ฝึกยุทธ์ บวกกับที่เมื่ออยู่ในซากปรักจะเป็นเหมือนอริยะสำนักการทหารที่เฝ้าบัญชาการณ์สนามรบ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีตบะเท่ากับขอบเขตบินทะยานในตำนาน ขุนพลหยินทหารหยินที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาน่าจะมีมากหลายแสนตน เล่าลือกันว่าก่อนที่เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์แต่ละรุ่นจะรับสืบทอดตำแหน่งล้วนต้องเดินทางไปฝึกประสบการณ์ ณ ที่แห่งนั้น ถึงขั้นที่ว่ามีโศกนาฎกรรมมากมายเกิดขึ้นที่นั่น
เฉินผิงอันไม่เคยคาดหวังว่าจะได้รับโชควาสนาอะไรจากศาลบุ๋นบู๊ และวันนี้ก็แค่มาเดินเล่นเท่านั้น เขาหวังไว้กับซากปรักหักพังของสนามรบโบราณที่มีชื่อในประวัติศาสตร์มากกว่า อาศัยสองหมัดของตัวเองช่วงชิงขอบเขตหกที่มั่นคงมา
เฉินผิงอันยืนอยู่ในห้องโถงของศาลบู๊เพียงลำพัง ศาลบู๊ของอำเภอเล็กเกินไป ไม่มีจุดให้เชิญธูป ล้วนเป็นพวกชาวบ้านที่พกธูปกันมาเอง เฉินผิงอันรู้สึกว่าหากใช้แค่สิบนิ้วพนมคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ จึงเลือกจะกุมหมัดคารวะ ใช้ตัวตนของผู้ฝึกยุทธ์ขออภัยอริยะบู๊ท่านนั้นเสียเลย จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป
นอกห้องโถงใหญ่ แสงฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นงดงาม
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูออกไป
ตอนนี้สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นแรกได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูของผู้ฝึกลมปราณเข้ามาแล้ว
แต่นี่ไม่ใช่โชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าอะไร ใต้หล้านี้มีเรื่องดีที่คนคนหนึ่งได้กินทั้งอุ้งตีนหมีและหูฉลามพร้อมกันน้อยมาก โดยเฉพาะคนที่ควบสองสถานะอย่างผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งห่างไกลเป้าหมาย ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ฝึกควบสองอย่าง แต่กวาดตามองไปตามทั่วหล้าทั้งหลายกลับมีหร็อมแหร็มเพียงหยิบมือ ผู้ฝึกกระบี่บางคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นักพรตเรือนเตาซือ และยังมีตัวประหลาดทั้งหลายที่ชุยฉานเคยเอ่ยถึงเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ก็ถือว่าอยู่ในประเภทนี้ การที่การกระทำเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องโง่เง่านั้นอยู่ที่ว่า ยิ่งเดินไปข้างหลังก็ยิ่งง่ายที่จะปรากฏช่องโหว่ที่ร้ายแรงถึงชีวิต เดิมทีการสร้างโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว การฝ่าทะลุคอขวด การทำลายจิตมารของก่อกำเนิดก็ยากยิ่งกว่ายาก ร่างทองมิพ่ายที่ลัทธิพุทธฝึกฝน ร่างแก้วไร้มลทินที่ลัทธิเต๋าแสวงหา อันที่จริงก็คือการไล่ตามสองคำว่า ‘ไร้ที่ติ’ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น และการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ก็ยิ่งต้องมีคำว่าเต็มตัวนำหน้า
หากเลือกที่จะบุกเบิกทางสองเส้นในเวลาเดียวกันก็เท่ากับหาเรื่องลำบากให้ตัวเอง ง่ายที่จะไปไม่ถึงทั้งสองฝั่ง ความสำเร็จในท้ายที่สุดจึงมีจำกัด
และในขณะที่เท้าขวาของเฉินผิงอันก็กำลังจะข้ามออกไปจากธรณีประตูนั้นเอง ปราณวิญญาณระลอกหนึ่งก็กระเพื่อมไหวอยู่ด้านหลังเขาพร้อมเสียงทุ้มหนักดังขึ้น “เซียนซือโปรดหยุดก่อน”
เฉินผิงอันหดเท้าหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนักใหญ่ บนเทวรูปหลากสีมีแสงสีทองชั้นหนึ่งกระเพื่อมเป็นริ้ว จากนั้นก็มีแม่ทัพบู๊วัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะสีทองตนหนึ่งเดินออกมาจากในเทวรูป พลิ้วกายลงในตำหนักใหญ่
อริยะบู๊ในท้องถิ่นของแคว้นชิงหลวนท่านนี้กุมหมัดยิ้มกล่าวว่า “เรื่องครั้งนี้โชคดีที่ได้ลูกศิษย์คนนั้นของเซียนซือให้การช่วยเหลือ ถึงได้ทำให้ศาลบุ๋นบู๊ของพวกเขาผ่านพ้นหายนะมาได้ ไม่ทราบว่าเซียนซือจะให้โอกาสพวกเราได้ตอบแทนสักครั้งหรือไม่? หากเซียนซือต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย ขอแค่เป็นสิ่งที่พวกเราสองศาลทำได้ ย่อมไม่กล้าปฏิเสธแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลงมือช่วยเหลือครั้งนี้เป็นความต้องการของลูกศิษย์ข้าคนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า อริยะบู๊ไม่ต้องขอบคุณข้า ครั้งนี้ข้าก็แค่ผ่านทางมาเท่านั้น รบกวนท่านแล้ว”
อริยะบู๊กล่าวอย่างจนใจ “แต่ข้ากลับอยากให้ท่านรบกวน”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
ควันธูปขององค์เทพคือเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด
เดิมทีเฉินผิงอันก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว จึงไปหยิบเบาะรองนั่งมาแล้วนั่งลง อริยะบู๊ร่ายเวทอำพรางตาเพื่อป้องกันไม่ให้คนธรรมดาแตกตื่น แล้วก็นั่งลงเช่นกัน
เฉินผิงอันสอบถามเรื่องประวัติความเป็นมาและกฎระเบียบเกี่ยวกับศาลบุ๋นบู๊ทั้งสองแห่ง แล้วก็ถามเกี่ยวกับเรื่องหัวใจบุ๋น คำถามข้อนี้ปะปนอยู่กับคำถามมากมายที่ฟังดูสะเปะสะปะ จึงฟังดูแล้วไม่กะทันหันสักเท่าไหร่
อริยะบู๊ตอบทุกเรื่องที่ตัวเองรู้ไปทีละคำถาม
เฉินผิงอันได้สิ่งที่ต้องการก็ลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณแล้วบอกลา อริยะบู๊เพียงแค่มาส่งที่หน้าประตูของห้องโถงใหญ่ หลังจากที่เซียนซือหนุ่มผู้นั้นค่อยๆ จากไปไกลแล้ว ร่างทองก็หวนย้อนกลับไปพักพิงอยู่ในเทวรูปดินเผาอีกครั้ง
คนหนุ่มชุดขาวเดินอยู่บนถนน เดินผ่านต้นไม้สีเขียวขจี เดินผ่านสุนัขพันธ์พื้นบ้านที่นอนหมอบตากแดดอยู่บนพื้น เดินผ่านกลุ่มเด็กๆ ที่หัวเราะสนุกสนาน คนหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ ไปด้วย
“เจ้าอายุเท่านี้ ย่อมต้องมีเรื่องที่ทำไม่ได้ หรือบางทีพยายามแล้วทำได้ แต่ก็ทำได้ไม่ดี จะเป็นอะไรไป ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่ทำไม่ดีกับทำผิดเป็นคนละเรื่องกัน อายุน้อยทำความผิดก็ไม่ต้องกลัว แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่รู้ว่าผิดแล้วไม่แก้ไข”
“หากเจ้ามีพ่อแม่คอยดูแล เมื่อทำผิดพวกเขาย่อมตีเจ้าดุเจ้า หากไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน อาจารย์ก็จะเอาไม้บรรทัดมาตีฝ่ามือเจ้า เป่าผิงน้อยมีอาจารย์ฉี มีพี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่ง เฉาฉิงหล่างมีพ่อแม่ ตอนนี้ยังได้เรียนในโรงเรียน แต่เจ้าไม่มีเลยสักอย่าง ไม่เป็นไร ข้าจะสอนเจ้าเอง”
“แต่สอนอย่างไรถึงจะดีกับเจ้าที่สุดกันนะ? ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าก็ไม่เคยมีใครสอนข้ามาก่อนเหมือนกัน”
คนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้เดินผ่านกลอนคู่ที่เขียนได้ธรรมดาสามัญ เดินผ่านเทพทวารบาลที่วาดอย่างหยาบๆ
เขาไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยม
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่เงียบสงบ หยิบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อ ก็คือยันต์แผ่นที่ผีงามโครงกระดูกของแคว้นไฉ่อีพักอาศัย ตอนที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาเดินทางไปภูเขาห้อยหัว น้ากุ้ยกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหม่าจื้อช่วยให้เขาทำสัญญากับนาง เพียงแต่ในอดีตเฉินผิงอันเคยเจอกับความยากลำบากที่ผีสาวชุดแต่งงานสร้างให้มาก่อน จึงรู้สึกไม่ชอบพวกวัตถุหยินที่สร้างความวุ่นวายตามสัญญาตญาณ นับตั้งแต่ออกจากเกาะกุ้ยฮวามาจนถึงทุกวันนี้จึงไม่เคยให้โอกาสผีสาวได้ปรากฎตัว
เวลานี้นางกลับมาได้เห็นแสงตะวันอีกครั้งก็ให้รู้สึกปรับตัวไม่ทัน ยืนอยู่ในเงามืด เรือนกายสะโอดสะอง แต่กลับแผ่ปราณอึมครึมเยียบเย็น
นางสวมชุดหรูหรางดงามชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ สองมือซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อ แต่เฉินผิงอันรู้ดีว่า นอกจากดวงหน้าที่งามล้ำแล้ว นับตั้งแต่ลำคอลงไปของผีสาวตนนี้ล้วนมีแต่กระดูกขาวโพลน
นางยอบกายคารวะ เผยให้เห็นข้อมือสองข้าง…ที่เป็นโครงกระดูกสีขาวหิมะ กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “บ่าวคารวะนายท่าน”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจที่จะพูด จึงเกิดลังเลใจตัดสินใจไม่ได้
ตอนที่ลงนามทำสัญญา เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะรู้ว่าชื่อจริงของผีสาวคือสือโหรว
เฉินผิงอันคอยระวังว่าบริเวณใกล้เคียงมีคนผ่านทางมาหรือไม่พลางใคร่ครวญหาคำพูดไปด้วย
นางยิ้มกล่าว “นายท่านต้องการให้บ่าวทำเรื่องสกปรกบางอย่างหรือ? นายท่านไม่ต้องลังเลใจ เดิมทีนี่ก็เป็นงานในหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้จะให้เจ้าไปทำเรื่องสกปรกที่สู้หน้าใครไม่ได้ เจ้าเป็นสตรี ข้าอยากจะถามเรื่องบางอย่างที่พวกเจ้าถนัด”
ผีงามโครงกระดูกหรี่ตาลง “อ้อ? ขอถามนายท่าน เป็นเรื่องระหว่างชายหญิงหรือไม่?”
แล้วนางก็เริ่มหัวเราะ ยื่นมือกระดูกข้างหนึ่งโผล่มาจากชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ ยกขึ้นปิดปากหัวเราะ ทว่าสายตากลับเย็นชา “คิดไม่ถึงว่านายท่านจะมีความชื่นชอบในเรื่องนี้ด้วย นับว่าเป็นโชคดีของบ่าว”
เฉินผิงอันไม่ถือสาคำเหน็บแนมของนาง เพียงกล่าวอย่างหน่ายใจว่า “ข้าอยากถามเจ้าว่าตอนยังมีชีวิตอยู่ เคยแต่งงานเป็นภรรยาของบุรุษ เคยอบรมสั่งสอนบุตรหรือไม่? เข้าใจวิธีตั้งกฎเกณ์ให้กับลูกหลานหรือเด็กรุ่นหลังในตระกูลบ้างไหม”
นางมึนงงสับสน เห็นได้ชัดว่าความคิดของเฉินผิงอันอยู่เหนือจากการคาดการณ์ของนางไปมาก ในอดีตจิตวิญญาณของนางถูกกักไว้ในม้วนภาพวาด ถูกเซียนซือผู้เฒ่าคนนั้นใช้ให้ทำเรื่องชั่วร้าย เรื่องน่าสะอิดสะเอียนที่ขัดต่อเจตจำนงของตนจนเคยชิน เพราะถึงอย่างไรก็ดีกว่าต้องทนเห็นดวงวิญญาณของพี่สาวน้องสาวแหลกสลาย ดวงวิญญาณของพี่น้องที่น่าสงสารเหล่านั้นยังต้องถูกผู้เฒ่าใช้ ‘วิชานั่งเทียน’ หนึ่งในเวทอาคมของตระกูลเซียนอันโหดเหี้ยมอำมหิตมาทำเป็นไส้ตะเกียง ค่อยๆ หลอมละลายไปทีละนิด น่าสังเวชอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด นอกจากนาง ใครจะกล้าละเมิดกฎไม่ทำตามอีก?
ตอนนี้นางได้เปลี่ยนเจ้านายคนใหม่แล้ว แต่เหตุใดถึงเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้?
นางผ่อนลมหายใจโล่งอก ก่อนจะส่ายหน้า “ตอนมีชีวิตอยู่บ่าวไม่เคยแต่งงาน ยิ่งไม่เคยรู้เรื่องที่นายท่านพูดถึง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เก็บนางกลับเข้าไปในยันต์ แล้วใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
ในความมืดมิดของกรงขังยันต์ ร่างของผีสาวล่องลอย นางมีสีหน้ามึนงง นี่คือจบเรื่องแล้ว?
นางไม่พอใจเล็กน้อย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ควรจะหลอกเขาสักหน่อย นี่มันนานเท่าไหร่แล้วที่ตนไม่เคยเห็นทัศนียภาพของฟ้าดินด้านนอกเลย?
ต่อให้ต้องเจ็บปวดเพราะถูกลมพายุพัดเป่าเหมือนถูกกรีดเนื้อ โดนสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิฟาดผ่าประหนึ่งถูกเถือกระดูก นางก็ยินดี
เฉินผิงอันเดินออกจากตรอก สุดท้ายไปนั่งกอดเข่าเหม่อลอยอยู่บนบันไดนอกประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท
ครอบครัวหนึ่งที่มีกันสามคน แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเดินผ่านมา เด็กน้อยไร้เดียงสา ไร้ทุกข์ไร้กังวล แต่สตรีแต่งงานแล้วกลับตาแดงก่ำคล้ายกำลังน้อยเนื้อต่ำใจ บุรุษยิ้มประจบ พูดจาหวานหู ในมือถือเนื้อชิ้นยาวที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมัน ทว่ายิ่งบุรุษทำตัวกระตือรือร้นเช่นนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ่งโมโห สุดท้ายจึงจูงมือลูกเดินเร็วๆ จากไป ทิ้งบุรุษให้ยืนอยู่เพียงลำพัง
บุรุษห่อไหล่งอเอว รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย กลับบ้านเดิมพร้อมภรรยาครั้งนี้ ลูกเขยทั้งหลายมารวมตัวกัน บางคนทำงานในที่ว่าการ บางคนเป็นอาจารย์สอนหนังสือในบ้านคนรวย แน่นอนว่ายังมีชาวไร่ชาวนาอย่างเขา พ่อตามอบของขวัญกลับคืนมาให้ ลูกเขยอีกสองคนต่างก็ได้ขาหมู แต่เขากลับได้เนื้อยาวๆ มาชิ้นเดียว ในใจเขาย่อมมีโทสะ แต่ภรรยาโทษเขา เขาเป็นบุรุษจะให้ทะเลาะกับนางต่อหน้าลูกอย่างนั้นหรือ? จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะเขาไม่เอาถ่านเองไม่ใช่หรือไง? บุรุษถอนหายใจ พลันสังเกตเห็นว่าหน้าประตูห่างไปไม่ไกลมีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ บุรุษจึงยืดเอวตั้งตรงตามจิตใต้สำนึก คลี่ยิ้มให้เฉินผิงอันแล้วถึงวิ่งเหยาะๆ ไล่ตามภรรยาที่เดินห่างไปไกลทุกที
เฉินผิงอันมองภาพนี้ แม้ว่าจะพูดภาษาถิ่นของที่นี่ไม่ได้ แต่เดิมทีเขาก็มีชาติกำเนิดยากจนจากตรอกหนีผิงอยู่แล้ว รู้ดีถึงการกระทบกระทั่งในกลุ่มชาวบ้านชนชั้นล่าง รู้ดีถึงเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยที่บั่นทอนใจคนไปอย่างช้าๆ พวกนั้นดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพอจะเดาได้คร่าวๆ ว่า รอให้เด็กคนนั้นโตขึ้นอีกหน่อย เกรงว่าคงจะรู้ได้ถึงความทุกข์ยากของพ่อแม่เขาบ้างกระมัง ตอนที่เรียนหนังสือในโรงเรียนก็น่าจะขยันมากขึ้น รอยยิ้มในช่วงเวลาปกติอาจจะน้อยลงไปมาก อาจจะรู้สึกว่าบิดาที่ค้ำฟ้ายันดินได้ในใจของเขา แท้จริงแล้วค่อนข้างจะไม่ได้เรื่อง จะรังเกียจพ่อเหมือนกับแม่เขาไปด้วย แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าระหว่างทางที่กลับบ้านวันนี้จะช่วยพ่อเขาแบกเนื้อชิ้นนั้น จากนั้นพ่อแม่ของเขาก็จะกลับมาดีกันดังเดิม รู้สึกว่าถึงท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็ยังผ่านพ้นไปได้
ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น
……
เผยเฉียนคัดตัวอักษรอยู่ในห้องของตัวเอง
คัดตัวอักษรเสร็จแล้ว นางก็ย่องมายืนอยู่ตรงหน้าประตูเงียบๆ แอบฟังความเคลื่อนไหวจากข้างนอก
เพียงแต่ว่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า
นางจึงนั่งหันหลังให้กับประตู มองปลายเท้าตัวเอง
ตอนแรกๆ ที่ยังไม่ชินกับทางเดินบนภูเขา ใต้ฝ่าเท้าของนางเต็มไปด้วยตุ่มแผลผุพอง แต่นางกลับไม่กล้าใช้หนามบ่งให้แตก
มีคนคนหนึ่งมานั่งอยู่ข้างกายนาง ช่วยบ่งตุ่มน้ำให้นางทีละตุ่มทีละตุ่ม จากนั้นพอทายาสมุนไพรที่ถูกบดจนเละก็จะไม่เจ็บแล้ว
ตอนที่เผยเฉียนกำลังนั่งเหม่อ ด้านนอกประตูก็มีเสียงที่คุ้นเคยถามขึ้น “คัดตัวอักษรของวันนี้แล้วหรือยัง?”
เผยเฉียนรีบกระโดดผลุงขึ้น ตะโกนตอบเสียงดัง “คัดเสร็จแล้ว!”
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นก็เป็นเสียงประตูห้องด้านข้างที่ปิดลงเบาๆ