บทที่ 386 คราบร่างเซียนเหรินมีผีพักอาศัย
สุยโย่วเปียนไม่ได้เปิดประตูให้ชุยตงซาน แม้ชุยตงซานจะบอกกับนางว่าตนสามารถช่วยทำให้เวทกระบี่ ปณิธานกระบี่ หรือแม้แต่วิถีกระบี่ของนางสูงขึ้นจากเดิมได้ถึงสามฉื่อ เท่ากับว่าสุยโย่วเปียนจะได้ตัวอ่อนกระบี่ตระกูลเซียนมาเพิ่มอีกเล่มหนึ่งอย่างเปล่าๆ แต่สุยโย่วเปียนก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ
ชุยตงซานยืนลูบปลายคางอยู่นอกประตู ลองเปลี่ยนวิธีใหม่โดยการถามสุยโย่วเปียนว่า อยากรู้หรือไม่ว่าเซียนกระบี่ที่แท้จริงของใต้หล้าไพศาลมีท่วงท่าองอาจสง่างามถึงเพียงไหน
สุยโย่วเปียนยังคงไม่สะทกสะท้าน ใช้แท่นสังการมังกรก้อนหนึ่งขัดกลึงกระบี่ชือซิน แท่นสังหารมังกรก้อนนี้นางซื้อต่อมาจากเฉินผิงอัน ตอนที่มาอยู่ในมือนางเหลือขนาดหนาเท่าแค่ฝ่ามือ ถือว่าเป็นของที่กระบี่บินชูอีสืออู่ ‘กิน’ เหลือ
แม้ว่าเดิมทีชือซินก็เป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนที่นักพรตคนหนึ่งสร้างขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะเลื่อนระดับขั้นให้สูงขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกฟูมฟักมาจากร่างของผู้ฝึกกระบี่ จึงยังถือว่ายังอยู่ในขอบเขตของวัตถุไร้ชีวิต ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับกระบี่บินสองเล่มนั้นของเฉินผิงอันที่แค่วางแท่นสังหารมังกรไว้ให้ก็ไม่ต้องสนใจอีก สุยโย่วเปียนที่ต้องการหล่อหลอมชือซินจึงจำเป็นต้องเผาผลาญพลังใจในการจับตามองดูมัน
ตอนที่กระบี่ถูกขัดกลึง ลูกไฟสาดกระเซ็นไปทั่วจนเกิดเป็นสะเก็ดแสงห้าสีที่ลี้ลับเกินจะหยั่ง สุยโย่วเปียนรู้แค่ว่าแท่นสังหารมังกรถูกขนานนามให้เป็นหินลับกระบี่ที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก ส่วนต้นสายปลายเหตุนั้น นางยังไม่รู้ แต่ระหว่างที่ใช้แท่นสังหารมังกรลับกระบี่ก็ทำให้สุยโย่วเปียนได้ผลประโยชน์มหาศาลเช่นกัน ปราณกระบี่ที่เล็กละเอียดไหลเวียนวนดุจก้อนเมฆที่มารวมตัว ก่อนจะแยกออกจากกัน ล่องลอยไปตามเส้นทางปราณวิญญาณบางอย่างที่ไม่หยุดนิ่ง ประกายแสงพุ่งวาบผ่านไปบนคมกระบี่ เกิดเป็นแสงวาววับคมกริบ
ราวกับว่าวัตถุที่ถูกลับ นอกจากกระบี่อาคมชือซินแล้ว ยังมีจิตแห่งกระบี่ของนางที่เดิมทีก็ใสกระจ่างอยู่แล้วด้วย
ชุยตงซานแปลกใจยิ่งนัก บุคคลที่ลุ่มหลงในกระบี่อย่างถึงที่สุดเฉกเช่นสุยโย่วเปียน เขาอาจเคยเจอมาไม่ถึงหนึ่งร้อย แต่ก็ต้องมีหลายสิบคนแล้ว อันที่จริงจิตใจของพวกเขานั้นเรียบง่ายที่สุด พูดให้น่าฟังก็เรียกว่าจิตใจมั่นคงยึดมั่น แต่พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็เรียกว่าหัวแข็งดึงดัน ไม่รู้จักเดินอ้อม สร้างถ้อยคำที่น่าฟังให้แก่ตัวเองว่าวิถีแห่งกระบี่ต้องเดินด้วยตัวเอง อีกทั้งดูจากการที่นางหล่อเลี้ยงปราณกระบี่ด้วยความอบอุ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สิ่งที่นางต้องการอย่างแท้จริงกลับเป็นจิตแห่งกระบี่ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกอาจารย์กระบี่แสวงหา เห็นได้ชัดว่าสุยโย่วเปียนตั้งใจจะเปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธ์มาเป็นผู้ฝึกลมปราณ มีปณิธานว่าจะได้เป็นหนึ่งในเซียนกระบี่อันดับต้นๆ ของใต้หล้าไพศาล อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงโง่เง่าที่คิดว่าโลกหมุนวนรอบตัวเอง ตามหลักแล้วนางก็ไม่ควรกระบิดกระบวนขนาดนี้ถึงจะถูก
ชุยตงซานที่กินน้ำแกงประตูปิดจนปัญญากับนาง หากเป็นเซี่ยเซี่ย ป่านนี้เขาคงถีบประตูบุกเข้าไปตบนางให้คว่ำแล้ว ทว่าสุยโย่วเปียนมีเฉินผิงอันเป็นยันต์คุ้มกันกาย ชุยตงซานจึงอดรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อไม่อาจร่ายใช้วิธีการอันอัศจรรย์ที่สั่งสอนและปรับเปลี่ยนใจคนได้ ก็ได้แต่จากไป
อันที่จริงเขายังมีอีกเรื่องหนึ่ง ขอแค่พูดออกไป ไม่มีทางที่สุยโย่วเปียนจะไม่หวั่นไหว เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่อยากแบไต๋ของตัวเองเท่านั้น
กลับไปที่ห้องของตัวเอง พอปิดประตูลง ชุยตงซานก็กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที เรียกเทพแห่งผืนดินของที่แห่งนี้ออกมารับคำสั่ง คือสตรีแต่งงานแล้วรูปร่างอวบอิ่มที่แต่งตัวได้งดงามฉูดฉาด นับว่าค่อนข้างหาได้ยาก ชุยตงซานยืนอยู่ริมเตียง ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สลัดรองเท้าหุ้มแข้งออก บอกให้เจ้าแม่เทพแห่งผืนดินที่ระดับขั้นต่ำที่สุดช่วยทุบขาให้เขา สตรีแต่งงานแล้วหลุบตาต่ำนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเท้าของเซียนซือท่านนี้ ลงมือนวดด้วยท่วงท่านุ่มนวล ว่าง่ายอย่างถึงที่สุด
อากาศหนาวเย็น สี่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน เกิดแก่เจ็บตาย ลมปราณทำให้เป็นเช่นนี้
ผู้ที่กินลมปราณอายุขัยยืนยาว นี่ก็คือหนึ่งในที่มาของผู้ฝึกลมปราณ เกี่ยวพันไปถึงรากฐานมหามรรคาที่แท้จริง
อริยะเคยกล่าวไว้ว่า คนกินเนื้อกล้าหาญแกร่งกร้าว คนกินธัญพืชทั้งห้าเฉลียวฉลาดมีปฏิภาณ คนกินลมปราณอายุขัยยืนยาว คนที่ไม่กินอะไรเลยคือเทพเซียนที่ไม่ตาย
สามอย่างแรกค่อนข้างจะเข้าใจได้ง่าย แต่ประโยคสุดท้ายกลับพูดอย่างคลุมเครือไม่ครบถ้วนกระบวนความ มีทั้งความนัยที่ว่า ‘มรรคามิอาจกล่าว’ เพราะในเรื่องนี้มีข้อห้ามที่ใหญ่มากเกินไป มีทั้งความนัยถึงทางสายขาดของผู้ฝึกยุทธ์ และมีทั้งความนัยที่ว่าอริยะของฝ่ายต่างๆ ล้วนไม่คาดหวังให้คนรุ่นหลังสืบเสาะตามหาต้นกำเนิดควันธูปของเทพเซียน
แต่ชุยตงซานกลับรู้ถึงสามชั้นของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน ตอนนี้ซ่งจ่างจิ้งอ๋องผู้ครองเมืองน่าจะอยู่แค่ช่วงปราณโชติช่วง กลับเป็นหลี่เอ้อร์ที่มีขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์เสียอีกที่เลื่อนสู่คืนความจริงแล้ว ครั้งแรกที่ชุยตงซานได้ข่าวนี้ เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เป็นเหตุให้วิ่งไปสั่งสอนอวี๋ลู่ที่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นส่งเดชเป็นเพื่อนเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยมาคำรบหนึ่ง อวี๋ลู่ที่หน้าบวมจมูกเขียวก็ไม่กล้าเอาคืน คาดว่าจนถึงตอนนี้ก็คงยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้โดนซ้อม และอวี๋ลู่ก็ยิ่งไม่เข้าใจประโยคว่า ‘ระวังว่าวันหน้าในมือจะมีกระดาษชำระ แต่กลับไม่มีห้องส้วมให้เจ้าเข้าไปขี้’ ของชุยตงซาน
ชุยตงซานร้อนใจแทนลูกสมุนจริงๆ ขนาดหนึ่งแคว้นยังมีการแบ่งชะตาบู๊ว่าหนาบางหรือตื้นลึก หนึ่งทวีปจะไม่มีได้อย่างไร? เดิมทีแจกันสมบัติทวีปก็เป็นทวีปที่เล็กที่สุดในใต้หล้าไพศาลอยู่แล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าซ่งจ่างจิ้งที่อายุยังน้อยก็ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตปลายทาง ตามมาติดๆ ด้วยหลี่เอ้อร์ที่พอเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีป เพียงไม่นานก็แซงหน้าอีกฝ่ายไป ตอนนี้จึงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบขั้นคืนความจริงแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีตาแก่ผู้นั้นอยู่อีกคน ว่ากันว่าตอนนี้นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมาก เก็บตัวเงียบเป็นฤษีอยู่ในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไปแล้ว
ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะเจิ้งต้าเฟิงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าล้มหัวทิ่มอยู่ในนครมังกรเฒ่า เปลี่ยนจากคนที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตปลายทางมาเป็นคนไร้ค่า คาดว่าร้อยปีในอนาคต เส้นทางสายขาดใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกยุทธ์แจกันสมบัติทวีปก็คงไม่ใช่ขอบเขตสิบอะไรอีกแล้ว แต่ถดถอยลงไปที่ขอบเขตเก้าโดยตรง บวกกับเฉินผิงอัน รวมไปถึงผู้ติดตามสี่คนที่จู่ๆ ก็โผล่มาในแจกันสมบัติทวีป เจ้าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย ในฐานะคู่บ่าวใต้การปกครองของข้าชุยตงซานกลับไม่ใช้สมอง ไม่รีบไปนั่งยองตำแหน่งห้องส้วมของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบซะ ไม่อย่างนั้นวันหน้าคิดจะขี้ก็ไม่มีที่ให้ขี้แล้ว
อวี๋ลู่-อวี๋หลู เศษเดนสกุลหลูที่เหลืออยู่ ในฐานะรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูที่แคว้นล่มสลาย หากไม่ใช่เศษเดนสกุลหลูยังจะเป็นอะไรได้อีก
ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของอวี๋ลู่ไต่ทะยานไปตลอดทาง ประเด็นสำคัญคือทุกก้าวที่เดินขึ้นบันไดไปยังนับได้ว่ามั่นคง นอกจากพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์ของตัวเขาเองที่ดีเยี่ยมที่สุดแล้ว ที่มากกว่านั้นยังเป็นเพราะฮ่องเต้สกุลหลูสติวิปลาส ถ่ายโอนโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของแคว้นมาไว้บนร่างของรัชทายาทอวี๋ลู่
ในสายตาของอริยะแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่ก้อนหินในห้องส้วมที่ทั้งเหม็นทั้งแข็ง ทั้งเอาออกหน้าออกตาไม่ได้หรอกหรือ?
ชุยตงซานเป็นกังวลอย่างมาก คนโง่ใต้หล้านี้มีมากเกินไปแล้ว ไม่มีใครเข้าใจการมองการณ์ไกลของเขาเลย ก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มเด็กๆ เซี่ยเซี่ย อวี๋ลู่ ตอนนี้ยังมามีคนข้างกายเฉินผิงอันอย่างพวกจูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงนี่อีก
ยังคงเป็นเป่าผิงน้อยที่ดีที่สุด
เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนิสัยเจ้าอารมณ์ไปสักหน่อย
ชุยตงซานล้มตัวลงบนเตียง ยกมือลูบหน้าผากตัวเอง อยู่ดีๆ ก็รู้สึกอารมณ์เสียจึงถีบเจ้าแม่เทพแห่งผืนดินของอำเภอแห่งนี้กระเด็นออกไป
ร่างของสตรีแต่งงานแล้วกระแทกลงบนผนัง ต่อให้ระดับขั้นต่ำแค่ไหนก็ยังเป็นองค์เทพที่ได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์ จึงไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา นางรีบลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ กล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ “บ่าวโง่เขลา ขอเซียนซือโปรดระงับโทสะ”
ก่อนหน้านี้เทพเซียนต่างถิ่นผู้มีที่มาไม่แน่ชัดคนนี้คุมตัวนางจาก ‘จวน’ เรียบง่ายใต้ดินให้ไปโผล่ที่ศาลบู๊ของอำเภอ จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งกระชากร่างทองของอริยะแม่ทัพบู๊ออกมาจากเทวรูป สอบถามต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวแล้วคืนนั้นก็จัดการกับความแค้นที่เดิมทีหากไม่มีใครตายก็ไม่ยอมเลิกราให้ยุติลง อริยะควันธูปสองท่านจากศาลบุ๋นบู๊ที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนผู้นี้ก็ได้ร่างทองที่บริสุทธ์กลับคืนมา แต่ที่ทำให้คนคิดเป็นร้อยตลบก็คิดไม่ตกเลยก็คือ ตระกูลที่มีลูกศิษย์สำนักเซียนแห่งนั้นกลับรู้สึกปิติยินดีชื่นมื่นกันไปทั้งจวน ราวกับว่าได้เปรียบครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
จะไม่ให้นางกลัวได้อย่างไร
ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่มีขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งกลับเกือบจะทำให้ฮวงจุ้ยของอำเภอเปลี่ยนแปลงไป คนต่างถิ่นที่นางใคร่ครวญดูแล้วคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนดินผู้นี้ ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ขนาดองค์เทพที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องสองท่านแห่งศาลบุ๋นบู๊ซึ่งตอนมีชีวิตอยู่หยิ่งทระนงอย่างถึงที่สุดก็ยังเต็มใจทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลให้กับเขา ยืนเฝ้าอยู่นอกโรงเตี๊ยมหนึ่งคืนเป็นการตอบแทนพระคุณ นางเป็นแค่เทพผืนดินเล็กๆ ที่ได้แต่กินเศษซากน้ำแกงเหลือของคนอื่น อีกทั้งยังเป็นสตรีคนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าวางตัวโอหังอวดดี
ชุยตงซานนั่งลงข้างโต๊ะ ด้านบนวางตำราของนักประพันธ์ปึกหนึ่งที่ซื้อติดมือมาระหว่างเดินทาง ส่วนใหญ่เป็นผลงานของนักประพันธ์ที่มีชื่อแคว้นชิงหลวน ชุยตงซานหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิด เปิดอ่านได้ไม่กี่หน้าก็เริ่มอ้าปากหาว
เขากวักมือเรียก “เจ้ามาช่วยเปิดหนังสือให้ข้า”
นางรีบเดินไปหา ช่วยเปิดตำราให้กับ ‘เด็กหนุ่ม’ ที่หน้าตางดงามผู้นี้ นี่เป็นงานที่ต้องใช้ความประณีตบรรจง จำเป็นต้องคอยสังเกตสายตาของเซียนซืออย่างละเอียด เปิดเร็วไปหรือเปิดช้าไปต้องทำให้เซียนซือไม่สบอารมณ์อีกเป็นแน่
ชุยตงซานอ่านไปอีกไม่กี่หน้าก็โบกมือ “หลังจากนี้ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว”
นางไม่กล้าเผยสีหน้าดีใจออกมาแม้แต่น้อย ขณะที่กำลังจะบอกลาก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจบอกเรื่องที่เห็นมาก่อนหน้านี้ให้ชุยตงซานฟังทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
นั่นก็คือเรื่องที่เฉินผิงอันออกไปเที่ยวนอกโรงเตี๊ยมในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เรื่องที่เขาไปเยือนศาลบู๊ พอออกมาก็เข้าไปในตรอกเปลี่ยวร้าง พบกับสาวงามในยันต์ผู้นั้น
ถึงอย่างไรนางก็เป็นเทพแห่งผืนดิน ร่างอยู่ใต้ดินก็เท่ากับอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางลมและน้ำของพื้นที่แถบหนึ่ง เว้นจากว่าเป็นเซียนดิน ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางก็ยากที่จะค้นพบร่องรอยของนาง
ชุยตงซานฟังจบแล้วปากก็บอกว่านางมีคุณความชอบครั้งใหญ่ ครั้นจึงคลี่ยิ้มโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที เกือบจะทำให้จิตวิญญาณของเจ้าแม่เทพแห่งผืนดินผู้นี้แหลกสลาย กว่าเขาจะหยุดมือก็เป็นช่วงที่คับขันอย่างถึงที่สุดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังช่วยนางสร้างร่างทองให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง นี่ถึงทำให้นางสูญเสียตบะควันธูปที่บริสุทธิ์ไปแค่เจ็ดแปดตำลึงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอำเภอแห่งนี้ก็น่าจะได้เปลี่ยนเทพแห่งผืนดินคนใหม่แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ควันธูปที่บริสุทธิ์เจ็ดแปดตำลึง นางก็ต้องใช้เวลาสะสมเกือบหกสิบปี ขณะเดียวกันกับที่รู้สึกหวาดผวาพรั่นพรึง ยังรู้สึกเสียดายเหมือนหัวใจหลั่งเลือดไปด้วย เพียงแต่นางก็ยังไม่กล้าแสดงความโกรธเคือง ได้แต่คุกเข่าอ้อนวอนน้ำตาคลอเจียนจะหยด “เซียนซือโปรดอภัยให้ด้วย”
ชุยตงซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้มกว้าง “เจ้าสร้างคุณความชอบใหญ่ขนาดนี้ ข้าควรแต่งตั้งเจ้าให้เป็นเทพแห่งภูเขาและสายน้ำที่ถูกต้องตามระบบสืบทอดของแคว้นชิงหลวนให้กับเจ้า ส่วนเรื่องที่เจ้าแอบสืบเรื่องของอาจารย์ข้าโดยพลการ ถือว่ามีโทษประหาร ความชอบก็ส่วนความชอบ โทษทัณฑ์ก็ส่วนโทษทัณฑ์ คุณความชอบไม่อาจลบล้างได้ การให้รางวัลและการลงโทษต้องแบ่งแยกอย่างชัดเจน เดิมทีเจ้าก็ต้องตายสถานเดียว ต่อให้ข้ามีใจอยากจะช่วยยกระดับตำแหน่งเทพของเจ้า รางวัลนี้ก็ไม่อาจหล่นลงบนหัวเจ้าได้ แต่ตอนนี้ เจ้าจงรอข่าวดีมาเคาะประตูบ้านอย่างว่าง่ายเถิด”
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเขาถึงยอมปล่อยนางไปในท้ายที่สุด ชุยตงซานกลับไม่ได้พูดถึง
เจ้าแม่เทพแห่งผืนดินหวนกลับไปยังใต้ดินด้วยความปิติยินดีอย่างยิ่งยวด
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแคว้นไฉ่อีครั้งนั้น เดิมทีก็เป็นหนึ่งในหมากจำนวนมากมายที่เขา หรือควรจะพูดว่า ‘พวกเขา’ วางไว้ในปีนั้นอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าปีนั้นชุยตงซานไม่ได้ทุ่มเทความคิดจิตใจกับนักพรตเฒ่าบ้ากามที่ชอบสะสมผีเร่ร่อนสาวงามผู้นั้นนัก ไม่ถือว่าเป็นหมากสำคัญอะไร แต่เมื่อได้อ่านจดหมายลับจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสายลับเมืองหลวงต้าหลีส่งมาดั่งเกล็ดหิมะปลิวปราย ชุยตงซานเคยให้ความสนใจบันทึกฉบับหนึ่ง ตัวอักษรในบันทึกมีไม่มาก แค่ยี่สิบกว่าตัวอักษรเท่านั้น ถือเป็นเนื้อหาที่เขียนลวกๆ อย่างขอไปที คาดว่าแม้แต่ตัวของสายลับต้าหลีที่รายงานเรื่องนี้ก็คงไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่
หากเป็นในอดีต เรื่องน่าสนใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกราชครูต้าหลีมองเป็นการฆ่าเวลาอันยาวนานที่น่าเบื่อนี้ก็คงไม่ต่างจากจดหมายลับในคลังของต้าหลีที่กองทับถมกันเป็นภูเขาซึ่งต้องถูกปิดผนึกทิ้งไว้ปีแล้วปีเล่า
เมื่อลองสืบสาวเบาะแสในขณะที่ว่างงานไม่มีอะไรทำ เนื่องจากชุยฉานเป็นคนจัดการเรื่องลับวงในจำนวนนับไม่ถ้วนของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นเขาจึงกล้าพูดว่าตัวเองรู้ประวัติความเป็นมาของผีสาวตนนั้นดียิ่งกว่าอดีตเจ้านายของนางซะอีก
ค้นหาถ้อยคำจากในตำรา นำบทความมาแต่งกวี ฝึกปรือทักษะอันน้อยนิด และสืบสาวราวเรื่องจนไปเจอสำนักหยินหยาง
ราชครูชุยฉานล้วนถนัดทั้งสองอย่าง
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากห้อง ไปเคาะประตูห้องของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเปิดประตูออกแล้วถามว่า “มีธุระหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับแรงๆ “ศิษย์มีเรื่องใหญ่จะพูดกับอาจารย์!”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขา ชุยตงซานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีแค่สำเร็จกับไม่สำเร็จเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์โชคดีหรือไม่ดี”
เฉินผิงอันจึงปิดประตูลง เพียงแต่ว่าชุยตงซานตาไวรีบยื่นสองมือมายันประตูไม้สองบานเอาไว้แน่น พูดอ้อนวอนอย่างอยากลำบาก “อาจารย์ให้ข้าค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังเถอะ หากเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ แต่อาจารย์กลับไม่ยินดีฟัง ถ้าอย่างนั้นก็จะต้องสิ้นเปลืองสมบัติสวรรค์แล้ว อีกทั้งยังถือว่าเป็นการย่ำยีของดีถึงสองชิ้น และยังพลาดวาสนาใหญ่ที่ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นในชีวิตไป ศิษย์ไม่โกหกท่านแม้แต่คำเดียว!”
เดิมทีชุยตงซานคิดว่าคงต้องหาโอกาสครั้งหน้า คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยอมให้เขาเข้าไปในห้อง
ชุยตงซานปิดประตู ยิ้มตาหยีแล้วนั่งลงไป รินน้ำชาให้เฉินผิงอันและตัวเองคนละหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ร่ายตราผนึก ปล่อยกระบี่บินที่ได้มาจากการเดิมพันหมากล้อมกับผู้ฝึกกระบี่แผ่นดินกลางคนหนึ่งออกมา แสงสีทองว่องไวราวสายฟ้าพุ่งหมุนวนเป็นวงกลมแนบติดพื้นดิน แล้วบินพรวดกลับมาที่หว่างคิ้วของชุยตงซาน ทว่าแสงสีทองที่หยุดลอยนิ่งอยู่บนพื้นกลับไม่สลายหายไปไหน ราวกับว่าใช้ผงสีทองวาดปากบ่อน้ำสีทองวงหนึ่งไว้บนพื้นอย่างไรอย่างนั้น
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าแม่เทพผืนดินของที่แห่งนี้ใจกล้า ไม่รู้จักกลัวตาย บังอาจสะกดรอยตามอาจารย์ไปที่ศาลบู๊ และนางก็ได้เห็นเรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรเห็น ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือ นางถึงกับกล้าเอามาขอความดีความชอบจากศิษย์ นางไม่รู้จักห้าสิ่งที่มีความหมายและบุญคุณต่อมนุษย์ (ได้แก่ ฟ้า ดิน กษัตริย์ บุพการีและครูบาอาจารย์) บ้างเลยหรือ…”
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็น “ดังนั้นเจ้าเลยฆ่าเจ้าแม่แห่งผืนดินไปแล้ว?”
ชุยตงซานหัวเราะร่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ศิษย์ก็แค่ใช้เหตุผลพูดจากับนางอย่างปรองดอง บอกนางว่าวันหน้าอย่าทำผิดแบบนี้อีก เจ้าแม่แห่งผืนดินผู้นี้รู้เหตุผลและมารยาทดี แค่มองก็รู้แล้วว่าฟังเข้าหู ดังนั้นข้าจึงมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้กับนาง ถือว่าเป็นการผูกบุญสัมพันธ์เล็กๆ”
เฉินผิงอันพูดแทงใจดำชุยตงซานด้วยประโยคเดียว “หากไม่เป็นเพราะเจ้ายังต้องมาหาข้าครั้งนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าแม่แห่งผืนดินที่ขอความดีความชอบไม่สำเร็จคงถูกตัดรายชื่อทิ้งจากทำเนียบวงศ์ตระกูลแห่งแม่น้ำภูเขาแคว้นชิงหลวนไปแล้วกระมัง”
ชุยตงซานยิ้มประจบ “อาจารย์เข้าใจข้าผิดไปไกลแล้ว เดี๋ยวนี้ศิษย์ทำดีกับคนอื่นทุกเรื่องทุกเวลาเชียวนะ”
เฉินผิงอันดื่มน้ำชาหนึ่งอึก “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกันเถอะ”
ชุยตงซานดื่มน้ำชาให้ลำคอชุ่มชื้น ตรึกตรองหาถ้อยคำที่เหมาะสมแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “เกี่ยวกับคราบร่างเซียนที่เป็นดั่งซี่โครงไก่นั้น หากอาจารย์โชคดี ไม่แน่ว่าอาจมีวิธีที่ทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง “ชุยตงซาน เจ้าไม่ได้เป็นบ้ากระมัง?! ผีสาวในแผ่นยันต์ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในสายตาของสำนักหยินหยาง กระดูกของมันแข็งพอหรือไม่ ต่อให้เจ้าใช้วิธีชั่งน้ำหนักหน่วยจินให้เป็นตำลึง ยกโครงกระดูกแข็งๆ นั่นไม่ไหว แต่ไม่ว่าจะพูดอีกสักกี่พันกี่หมื่นอย่าง นางก็ยังเป็นผี! เป็นผี! คราบร่างเซียนเหรินนี้คือจิตหยางกายนอกกายของตู้เม่า!”
ชุยตงซานใช้นิ้วลูบไปบนถ้วยชาเบาๆ สีหน้าเฉยเมย จ้องตาเฉินผิงอันนิ่ง “จะมาสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม? ต่อให้สนใจก็ไม่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของผีสาวในแผ่นยันต์หรอกหรือ อาจารย์จะต้องเปลืองแรงกายแรงใจไปกับมันทำไม?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปก่อน แต่จากนั้นก็พยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “คงไม่มีคำว่า ‘แต่ว่า’ ตามมาหรอกกระมัง?”
เมื่อความคิดของเขาฉุกขึ้น แผ่นยันต์กระดาษสีเหลืองที่ทำมาจากวัสดุพิเศษแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ล่องลอยส่ายไหวเบาๆ เฉินผิงอันใช้เวท ‘เปิดประตู’ ของพรรคมหายันต์ที่ไม่ถือว่าลึกล้ำเท่าใดนักปล่อยสือโหรวผีงามโครงกระดูกออกมาจากยันต์ที่เป็นทั้งบ้านและกรงขัง
สือโหรวลอยนิ่งอยู่เหนือโต๊ะ อาภรณ์สีสันสดใสลากระอยู่บนผิวโต๊ะ ชุยตงซานต้องเงยหน้ามองนาง
สือโหรวก้มหน้ามองไปเห็นเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีใฝแดงตรงหว่างคิ้ว แม้ฝ่ายหลังจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาบอกนางด้วยสี่คำอย่างชัดเจนว่า เจ้าอยากตายไหม?
แม้สือโหรวจะไม่รู้ตัวตนของคนผู้นี้ ถึงขั้นมองความตื้นลึกของตบะเขาไม่ออก แต่ส่วนลึกในใจกลับมีความหวาดกลัวผุดขึ้นมา จึงรีบพลิ้วกายลงบนพื้น หมุนตัวกลับไป ไม่กล้ามองสบสายตากับเด็กหนุ่ม หันไปเผชิญหน้าเฉินผิงอันแทน ทว่าต่อให้ทำเช่นนี้ก็ยังรู้สึกเสียวแผ่นหลังวาบๆ นางก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ พูดกับเฉินผิงอันด้วยสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลซึ่งค่อนข้างจริงใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “บ่าวคารวะนายท่าน”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ถูมือยิ้มบางๆ ท่าทางคันไม้คันมือเต็มแก่
เฉินผิงอันพยักหน้าให้เขา
ชุยตงซานยื่นมือมากดบ่าของผีสาวอาภรณ์สีสันฉูดฉาดตนนี้ นางรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ปราณดุร้ายของวัตถุหยินที่มีอยู่ทั่วร่างไหลพรั่งพรูออกมาจำนวนมหาศาล ใบหน้าบิดเบี้ยว เส้นผมสีนิลเต็มศีรษะโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง ชุยตงซานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่ยกนางขึ้นเบาๆ ร่างนางก็ลอยขึ้นช้าๆ ตามไปด้วย จนกระทั่งลอยพ้นพื้นมาหนึ่งฉื่อกว่า เขาก็เพิ่มน้ำหนักที่นิ้วมือ กระชากผีงามโครงกระดูกที่เผยความดุร้ายออกมาอย่างเต็มเปี่ยมตนนี้ให้สูงขึ้นอีกหนึ่งชื่อ ชุยตงซานยังคงไม่เลิกรา กระชากขึ้นเป็นครั้งที่สาม โครงกระดูกของผีสาวสือโหรวพลันคลายลงในชั่วพริบตา คล้ายกับถูกถลกเนื้อเละๆ ทั้งหมดที่อยู่บนกระดูก เป็นดั่งหุ่นเชิดที่ถูกเส้นใยยึดโยงไว้กลางอากาศถึงได้ไม่ล้มพับลงบนพื้น
ชุยตงซานปล่อยมือ ผีสาวยังคงลอยตัวอยู่ที่เดิม จิตวิญญาณสั่นสะท้าน ร่างล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ปราณชั่วร้ายอันเป็นพลังต้นกำเนิดไหลพรูออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ไม่ต่างจากเลือดที่ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ นางอ้าปากกว้างคล้ายกำลังร้องโหยหวน แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา
ชุยตงซานเดินวนอ้อมนางหนึ่งรอบ สามครั้งที่ดึงร่างของผีสาวให้สูงขึ้นล้วนมีส่วนที่ต้องพิถีพิถัน ครั้งแรกใช้วิชาชั่งจินให้เป็นตำลึงของหมอดูมาชั่งปราณกระดูก ครั้งที่สองคือ ‘ดึงต้นกล้า’ ของอูจู้ (คำเรียกแม่มดหมอผีหรือคนทำพิธีบวงสรวงเซ่นสังเวย) ในสมัยโบราณ ครั้งที่สามก็ยิ่งเป็นวิชาลับ คือวิธีจับจุดสำคัญที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นโดยตัวเขาเอง จึงหลุดพ้นไปจากวิชาอภินิหารซึ่งเป็นผลงานของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ จนไม่ต่างจาก ‘วิธีอ่านตำราโดยฉายประกายคมกริบทั้งแปดด้าน’ เป็นวิธีการที่บุคคลระดับขั้นต่ำสุดของลัทธิขงจื๊อก็ต้องเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาถึงจะสามารถควบคุมได้
นอกจากชุยตงซานจะมีสมบัติอาคมเยอะแล้ว วิชาคาถาที่เขาเชี่ยวชาญก็เยอะมากเช่นกัน เมื่อกวาดสายตามองไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่ง
ชุยตงซานชำเลืองตามองเฉินผิงอัน พบว่าฝ่ายหลังมีสีหน้าเป็นปกติ
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าฟางอย่างในปีนั้นอีกแล้ว
ชุยตงซานเก็บความคิดทั้งหมดลงไป ดีดเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งไปที่หว่างคิ้วของผีสาว ฝ่ายหลังร่วงลงบนพื้น มือกระดูกสองข้างยันพื้นไว้ ไหล่ห่อลง แม้แต่หน้าก็เงยไม่ขึ้น เห็นได้ชัดว่าทนรับกับความทรมานไม่น้อย
ยังดีที่เงินร้อนน้อยเหรียญนั้นหลอมละหลายกลายเป็นปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์ ทำให้ความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตวิญญาณผีสาวสงบลงไปได้หลายส่วน
เฉินผิงอันถาม “เป็นอย่างไร?”
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “พอใช้ได้ โชคของอาจารย์…ค่อนข้างจะธรรมดา”
คนทั้งสองกลับมานั่งตรงข้ามกันอีกครั้ง
เฉินผิงอันพูดกับผีสาวโครงกระดูกที่ลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซ “ข้ามีคราบร่างที่เท่าเทียมกับขอบเขตเซียนเหรินอยู่ร่างหนึ่ง เจ้ายินดีจะเข้าไปสิงสู่ในนั้นหรือไม่?”
ผีสาวตกตะลึงสุดขีด ไม่กล้าเชื่อเลยแม้แต่น้อยจึงเงียบงันไร้คำตอบโต้ไปชั่วขณะ
โชคดียิ่งใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ วัตถุหยินที่เป็นผีตนหนึ่งอย่างนางจะรับได้ไหวหรือ? อย่าว่าแต่ในสายตาของเทพเซียนพสุธาอย่างโอสถทองและก่อกำเนิดเลย คราบร่างเซียนเหรินนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็ยังอยากได้จนน้ำลายหก! หรือกระทั่งผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินก็อาจจะตาแดงก่ำ ถึงอย่างไรการตั้งใจหล่อหลอมคราบร่างเซียนเหรินให้กลายมาเป็นเสื้อเกราะของจิตหยินที่ออกเดินทางไกลก็จะใช้ได้ทั้งรุกและรับ นั่นคือเรื่องดีงามดุจพยัคฆ์ติดปีก และยิ่งเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่
แม้นางจะเป็นภูตผีวัตถุหยินที่มีตบะต่ำต้อย หาไม่แล้วก็คงไม่ถึงขั้นถูกผู้ฝึกตนที่ขอบเขตยังไม่ถึงเซียนดินคนหนึ่งกักขังเล่นงานได้ตามใจปรารถนา แต่ก็เพราะความสัมพันธ์บางอย่างถึงทำให้แท้จริงแล้วสายตาของนางไม่ได้ตื้นเขิน
ผีสาวสือโหรวล่องลอยไปหยุดที่ประตูห้อง คุกเข่าลงไปแล้วเริ่มโขกศีรษะคำนับ นี่น่าจะแสดงถึงการขอร้องอ้อนวอนเฉินผิงอันและรวมไปถึงชุยตงซานด้วย นางพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “ขอโปรดเมตตา! ให้บ่าวได้มีเรือนกาย สามารถเดินอยู่ในโลกคนเป็นได้อย่างเปิดเผย! บ่าวจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านทุกชาติทุกภพ…”
ชุยตงซานพลันเดือดดาลอย่างหนัก ยกฝ่ามือตบผีสาวโครงกระดูกอยู่ไกลๆ ทำให้ศีรษะของนางเอียงไปทางเฉินผิงอันเท่านั้น “เจ้าจะมาโขกหัวให้ผีตัวเล็กอย่างข้าไปเพื่ออะไร เข้าใจกฎเกณฑ์บ้างไหม เข้าวัดจุดธูป ต้องกราบไหว้พระโพธิสัตว์และองค์เทพที่แท้จริง! คนเป็นทั้งคน เข้าไปในศาลบุ๋นบู๊แล้วจะโขกหัวกราบไหว้คนเฝ้าศาลอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าเจ้าสือโหรวเป็นผีมาหกร้อยปี สมองคงเสื่อมจนฝ่อไปหมดแล้ว!”
ผีสาวโขกหัวถี่ยิ่งกว่าเดิม พูดประโยคนั้นกลับไปกลับมา ขอให้เมตตา ขอให้มอบร่างให้นาง
เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในตรอกเล็ก ข้าไม่เคยพูดชื่อสือโหรวนี้ของนางออกมา เจ้าชุยตงซานรู้ได้อย่างไร? หายนะที่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีนั่นเป็นแผนการลับของเจ้ากับต้าหลีใช่หรือไม่?”
สีหน้าของชุยตงซานแข็งค้าง ครั้งนี้ตนคะนองจนหลงลืมตนเกินไปจริงๆ ถึงกับหลุดช่องโหว่บัดซบนี่ออกมาได้ เฮ้อ เล่นหมากล้อมกับคนฝีมือห่วยแตกอย่างหลูป๋ายเซี่ยงแล้วทำให้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของตัวเองถดถอยฮวบฮาบอย่างที่คิดไว้จริงๆ ชุยตงซานรีบลุกขึ้นยืน โค้งกายก้มต่ำอย่างถึงที่สุดพลางเอ่ยแก้ตัวให้ตัวเอง “เป็นฝีมือของราชครูชุยฉาน อาจารย์โปรดตรวจสอบให้กระจ่าง ไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์ชุยตงซานแม้แต่น้อยเลย! ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง!”
คำพูดไร้ยางอายเช่นนี้ เฉินผิงอันกลับไม่อาจหาข้อบกพร่องใดได้เลย
เฉินผิงอันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
ชุยตงซานแสร้งทำเป็นยกมือเช็ดหน้าผากที่ไม่มีเหงื่อ
แต่กลับพบว่าเฉินผิงอันกำลังมองไปที่ผีสาวตนนั้น ชุยตงซานจึงได้แต่ก้มตัวคารวะอีกครั้ง
ผีสาวยังคงไม่เต็มใจจะลุกขึ้นยืน โขกหัวไม่หยุด ความจริงใจนี้ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยแล้ว
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับชุยตงซาน “ถ้าอย่างนั้นก็มอบนางให้เจ้าแล้ว หากเป็นไปได้ก็ช่วยให้นาง ‘เปิดภูเขา’ เข้าไปอยู่ในคราบร่างเซียน หากไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน”
ชุยตงซานตบอกรับรอง “อาจารย์วางใจได้เลย ต่อให้สุดท้ายทำไม่สำเร็จก็รับรองว่านี่จะยังเป็นการค้าที่มีแต่ผลกำไร ไม่มีขาดทุน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากสำเร็จ เจ้าต้องการให้ข้าตอบแทนเจ้ายังไง?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างตกตะลึง “เคารพครูบาอาจารย์และเคารพในคำสั่งสอน ช่วยอาจารย์แก้ไขปัญหายุ่งยากคือหน้าที่ของศิษย์อยู่แล้ว จำเป็นต้องตอบแทนด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ตัวเจ้าเองเชื่อคำพูดนี้ไหม?”
ชุยตงซานยิ้มเขินอาย “อาจารย์ไม่เพียงแต่มีความรู้ลึกล้ำ ทั้งยังเข้าใจจิตใจผู้คนเป็นอย่างดี ติดตามอาจารย์แสวงหามรรคา ศิษย์…”
เฉินผิงอันจำต้องตัดบทคำประจบสอพลอที่ทำให้คนขนลุกขนชันของชุยตงซาน “หยุดเถอะ มีอะไรพวกเราก็มาพูดกันตรงๆ”
ชุยตงซานคิดแล้วก็นั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวยาว ดื่มน้ำชาหนึ่งคำแล้วถามหยั่งเชิงว่า “หากศิษย์บอกว่าต้องให้อาจารย์นำเงินเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งหมดออกมา อีกทั้งยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อาจารย์จะตอบรับหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ชุยตงซานถาม “อาจารย์ไม่กลัวว่าโชคดีจะมาพร้อมหายนะ เมื่อผีสาวตนนี้ได้รับคำชี้นำจากข้าก็จะกลายเป็นนกพิราบยึดครองรังนกกางเขน เมื่อหล่อหลอมคราบร่างเซียนได้แล้ว ข้าจะเล่นตุกติก สุดท้ายนางก็ไม่จงรักภักดีต่ออาจารย์อีก? อาจารย์เต็มใจเชื่อข้าชุยตงซานในเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อใจเจ้าชุยตงซาน แต่เชื่อใจอาจารย์ที่ยอมให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”
ชุยตงซานเงียบไป
ผีสาวสือโหรวที่รับฟังอยู่รู้สึกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางไอหมอก
ไม่รู้เลยว่าอาจารย์และศิษย์คู่นี้กำลังทำนายปริศนาอะไรกันอยู่
ชุยตงซานยื่นนิ้วสองข้างมาคีบยันต์สีเหลืองแผ่นนั้น ขณะเดียวกันผีสาวสือโหรวก็ถูกกระชากกลับเข้าไปในยันต์และถูกเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะของชุยตงซาน
ต้องรู้ว่ายันต์แผ่นนี้เป็นวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอมจากเฉินผิงอันแล้ว
ผีสาวโครงกระดูกที่อารมณ์กระเพื่อมรุนแรงล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่มืดมิด อดรู้สึกเลื่อมใสเด็กหนุ่มเทพเซียนที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นี้เพิ่มขึ้นอีกไม่ได้
ส่วนเฉินผิงอันที่ถือว่าเป็นเจ้านายแท้จริงของนางในนาม อีกทั้งยังลงนามสัญญาเป็นตายต่อกันแล้วด้วย อันที่จริงนางไม่กลัวเขามากนัก ส่วนความนับถือเลื่อมใสก็ยิ่งไม่มี
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
เพราะเรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้
ชุยตงซานเก็บยันต์ไปแล้วก็กล่าวว่า “อาจารย์อยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันได้ไหม? อย่างมากสุดแค่สามวันก็รู้ผลแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ถึงเวลานั้นก็สามารถออกเดินทางต่อได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้”
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปให้เฉินผิงอันด้วยความรู้สึกละอายใจและเขินอายเล็กน้อย
เฉินผิงอันหยิบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุงที่ราชสำนักต้าหลีให้เป็นของขวัญไถ่โทษออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
ยังไม่ทันถือได้ร้อนมือก็ต้องส่งต่อไปให้คนอื่นแล้ว หากผีสาวเข้าไปอยู่ในคราบร่างเซียนเหรินได้สำเร็จ หลังจากนี้ยังต้องใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปเติมเต็มหลุมไร้ก้นที่น่ากลัวนั่นอีก
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบจิตหยางกายนอกกายของตู้เม่าออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ แล้วชุยตงซานก็เอาเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อของเขาอีกที
ชุยตงซานเดินไปที่ประตูห้องก็หยุดเดิน หันหน้ามายิ้มพูดว่า “อาจารย์ แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว แต่ศิษย์จัดการกับคนพวกนั้นด้วยวิธีเช่นนี้ อาจารย์โกรธหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ในเมื่อไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เจ้าก็ทำไปเถอะ”
ชุยตงซานถามอีก “แล้วเผยเฉียนล่ะ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้าได้แต่บอกกับตัวเองว่า ผิดไวก็รู้ไว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าวันหน้าปล่อยให้นางทำเรื่องผิดมหันต์แล้วค่อยล้อมคอกเมื่อวัวหาย”
ชุยตงซานทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป และนี่ก็ไม่ใช่วิธีแสร้งปล่อยเพื่อจับ สุดท้ายเขาเองก็ถอนหายใจเลียนแบบเฉินผิงอัน “ช่วงนี้ไม่สู้อาจารย์อ่านตำราของอริยะปราชญ์สำนักนิติธรรมให้มาก ถึงอย่างไรการใช้กฎเกณฑ์พิธีการของลัทธิขงจื๊อและบรรทัดฐานของลัทธิเต๋ามาวัดการกระทำของคนทั้งบนภูเขาและล่างภูเขาก็ยิบย่อยและกินแรงมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นข้อที่ว่า ‘กษัตริย์ขุนนาง บนล่าง สูงศักดิ์ต่ำต้อยล้วนทำตามกฎ’ ‘ไม่แบ่งแยกใกล้ชิดห่างเหิน ไม่แบ่งแยกยากดีมีจน ทุกอย่างล้วนตัดสินกันด้วยกฎเกณฑ์’ ของสำนักนิติธรรม ล้วนถือเป็นยาดีในการปกครองโลก ทั้งยังสามารถลดทอนเรื่องวุ่นวายใจที่ไม่จำเป็นได้มากมาย ต่อให้อาจารย์ไม่ยกย่องสำนักนิติธรรม แต่เอามาใช้ฆ่าเวลา นำสำนักนิติธรรมมาเป็นอาหารเสริม เป็นยาบำรุงของลัทธิขงจื๊อ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง ฉวยโอกาสช่วงสองสามวันที่ยังอยู่ในอำเภอ ข้าจะไปหาผลงานของสำนักนิติธรรมมาอ่านดู”
ชุยตงซานกุมมือคารวะ “อาจารย์ยอมรับฟังคำแนะนำด้วยความหวังดีอย่างเป็นธรรมชาติดุจน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ ศิษย์ละอายใจที่สู้ไม่ได้ ได้รับการชี้แนะแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ทำไมเจ้าไม่แข่งเรื่องความสามารถในการประจบสอพลอกับพวกเว่ยเซี่ยนล่ะ พวกเขาสี่คนต้องยอมแพ้เจ้าทั้งกายและใจแน่นอน”
ตอนที่ชุยตงซานปิดประตู เขายิ้มกว้างถามว่า “อาจารย์ วันหน้ามีเวลาว่าง ข้าสอนท่านเล่นหมากล้อมดีไหม?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง “ไว้ค่อยว่ากันเถอะ”
ชุยตงซานจากไปด้วยรอยยิ้ม
วงกลมที่มีแสงสีทองไหลเวียนวนในห้องก็สลายตามไปด้วย
ชุยตงซานกลับไปที่ห้องตัวเอง หลับตาทำสมาธิ
สุดท้ายเขาหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาอย่างเคร่งขรึม นั่นคือม้วนภาพที่มีแกนภาพทำมาจากวัสดุเดียวกับเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง
หลังจากที่ชุยตงซานเปิดมันออก ม้วนภาพวาดบนโต๊ะก็ไหลรินเหมือนแม่น้ำสายยาวแห่งกาลเวลา ภาพเหตุการณ์มากมายไหลผ่านตามกันไปไม่ขาดตอน คล้ายคนและสิ่งของที่สมจริงที่สุดในโลก
และคนที่อยู่บนม้วนภาพวาดก็คือเฉินผิงอัน
บุคคลที่อยู่ใน ‘ช่วงตอน’ ของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวบนม้วนภาพวาด ส่วนใหญ่คือเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินเพื่อนบ้านของเขาในตรอกหนีผิง
คนหนึ่งเกี่ยวพันกับมหามรรคาของราชครูชุยฉานเอง อีกคนหนึ่งเกี่ยวพันกับทิศทางการดำเนินไปของแคว้นต้าหลี
ม้วนภาพมหัศจรรย์ที่ใช้แม่น้ำแห่งกาลเวลามาเป็น ‘กระดาษเซวียนจื่อ’ เช่นนี้ ถูกตระกูลเซียนบนภูเขาเรียกว่าภาพม้าวิ่ง ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด
มีเพียงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เชี่ยวชาญวิชาลับบางอย่างในยุคบรรพกาลเท่านั้นถึงจะมีวิชาอภินิหารเช่นนี้ได้
ตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักในชื่อที่มีรากฐานลึกล้ำ ไม่ขาดแคลนทรัพย์สินเงินทองซึ่งคอยให้การปกป้องคนที่บุรพาจารย์ของสำนักกลับมาจุติอย่างลับๆ ส่วนใหญ่มักจะมีวัตถุชิ้นนี้และจะเก็บไว้อย่างทะนุถนอม ม้วนภาพน้ำไหล ภาพม้าวิ่งนี้ไม่ใช่ของชิ้นเล็กที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์อะไร ต้องเผาผลาญสมบัติมหาศาล เกี่ยวพันไปถึงการฝึกตนบนมหามรรคา
อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ริ้วกระเพื่อมในทะเลเสาบหัวใจที่เกิดขึ้นในทุกการกระทำ ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะ ทุกเสียงร้องไห้ ทุกอุปสรรคของคนที่ถูกจับตามองล้วนถูกบันทึกไว้บนม้วนภาพอย่างสมบูรณ์แบบ
ม้วนภาพนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ต้าหลีและมารดาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซินที่เคยเป็นพันธมิตรกับชุยฉานในอดีตก็ยังไม่เคยเห็น
มองเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินคนวัยเดียวกันบนภาพวาดค่อยๆ เปลี่ยนจากเด็กชายมาเป็นเด็กหนุ่ม ชุยตงซานก็จมจ่อมเข้าสู่ภวังค์ความคิด แต่เรื่องที่เขาครุ่นคิดกลับไม่ได้เกี่ยวกับคนสองคนที่อยู่บนภาพวาด
ระหว่างช่วงเวลาที่เขาพาเนื้อหนังมังสาร่างนี้ไปหยุดอยู่ในเมืองเล็ก ช่วงที่เรื่องราวใกล้จะปิดฉากลง หลังจากที่ร่างและมรรคาของฉีจิ้งชุนดับสลายไปแล้ว ชุยตงซานค้นพบว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาของถ้ำสวรรค์หลีจูถูกคนใช้วิชาอภินิหารปาดออกไปบางๆ หนึ่งชั้นอย่างลับๆ อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่ในเมืองเล็กเลย เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเซียนเหรินก็ยังสัมผัสไม่ได้
นี่หมายความว่าบนมือของใครบางคนน่าจะได้ครอบครองม้วนภาพ ‘น้ำไหล’ ที่มากพอจะประคับประคองเส้นเวลาที่ยาวนานยิ่งกว่า
ใครกันแน่ที่ทำเรื่องละเมิดต่อวิถีสวรรค์เช่นนี้ ยากที่จะบอกได้ อาจจะเป็นลู่เฉินหนึ่งในสามเจ้าลัทธิใหญ่ของลัทธิเต๋าที่ทำเพื่อหลี่ซีเซิ่ง ‘หนึ่งในศิษย์พี่ใหญ่’ ของเขา หรือไม่ก็เพื่อเด็กหนุ่มคิ้วยาวผู้เป็นลูกหลานของเทียนจวินเซี่ยสือ หรืออาจจะเป็นหร่วนฉงอริยะพิทักษ์เมืองเล็กที่มารับช่วงต่อจากฉีจิ้งชุนที่ทำเพื่อบุตรสาวหร่วนซิ่ว และอาจจะเป็นหยางเหล่าโถวแห่งร้านยาที่ทำเพื่อหม่าขู่เสวียนที่มีโชควาสนาเทียมฟ้า หรือไม่ก็เพื่อคนหนุ่มบางคนที่เขาแอบเดิมพันเอาไว้
ชุยตงซานเก็บม้วนภาพวาดกลับไปซ่อนไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็ใช้กระบี่บินวาดวงกลมสร้างฟ้าดินเล็กๆ แห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วถึงได้หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองกับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุง รวมไปถึง…คราบร่างเซียนเหรินที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นออกมา
ชุยตงซานนวดคลึงหว่างคิ้ว
เมื่อเทียบกับการประกอบร่างเด็กหนุ่มเศษกระเบื้องคนนั้นขึ้นมาในถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีแต่จะยากกว่า ไม่ง่ายกว่า
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “ศิษย์แบ่งเบาความกังวลแทนอาจารย์ ช่วยควักถุงเงินจ่ายให้อาจารย์อย่างใจกว้าง เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน มารดามันเถอะ กราบไหว้อาจารย์ขอเล่าเรียนความรู้สองครั้งล้วนมีสภาพที่ต้องกลายเป็นถุงเงินของคนอื่นอย่างน่าอนาถเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ข้าชุยตงซานและชุยฉานเป็นคนคนเดียวกัน”
……
เฉินผิงอันไปที่ร้านหนังสือในอำเภอเพื่อซื้อตำราที่กล่าวถึงความรู้ของสำนักนิติธรรมมาจุดตะเกียงอ่านยามค่ำคืนจริงๆ
ยามสนธยาของวันแรกหลังจากวันนั้น ชุยตงซานที่มีสีหน้าอิดโรยมาบ่นระบายทุกข์ให้เฉินผิงอันฟังคำรบหนึ่งพร้อมขอเหล้ากุ้ยฮวาดื่มหนึ่งกา แถมยังทำหน้าหนาเอากลับไปด้วยอีกหนึ่งกา
วันที่สองสีหน้าของชุยตงซานเหมือนขี้เถ้ามอด เดินสะโหลสะเหลเข้ามาในห้องของเฉินผิงอัน เผยเฉียนกำลังตั้งใจก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษร ชุยตงซานบอกให้เด็กหญิงขยับถอยไปนิด จากนั้นเขาก็ฟุบลงบนโต๊ะ นอนกรนครอกๆ ครึ่งชั่วยามถึงจะตื่นขึ้นมา เห็นเฉินผิงอันกำลังฝึกเดินด้วยท่าฟ้าดิน กับเผยเฉียนที่ฝึกเดินนิ่งหกก้าว เขาก็จากไปเงียบๆ แน่นอนว่าไม่ลืมเอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่วางไว้บนโต๊ะไปด้วย
วันที่สาม ชุยตงซานบอกว่าวันมะรืนถึงจะออกเดินทางได้ สีหน้าของเขาชื่นบานแจ่มใจ ตอนที่มาเยือนยังพกอุปกรณ์เล่นหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงมาด้วย บอกว่าเอามาเล่นแก้เบื่อ ต้องการจะสอนอาจารย์เล่นหมากล้อม ด้วยพรสวรรค์ของอาจารย์ เรียนแค่สองสามวันก็เก่งกาจเกินหลูป๋ายเซี่ยงแล้ว ห้าหกวันก็คงจัดการเขาชุยตงซานได้อย่างง่ายดาย
ก่อนจะเล่นหมากหล้อมอย่างเป็นทางการ มองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าจริงจัง ชุยตงซานก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
ชุยตงซานสอนรูปแบบปลายแหลมเล็กในตำราเมฆหลากสีเล่มนั้น
ผลคือเขาต้องเสียเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มในการอธิบายแก่นสำคัญและการเปลี่ยนแปลงมากมายในภายหลังของรูปแบบการเดินหมากนี้ หากหลูป๋ายเซี่ยงหรือฉีไต้จ้าวคนใดก็ตามของต้าหลี ‘โง่เง่า’ ขนาดนี้ เกรงว่าเขาคงด่าอีกฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แต่คงเป็นเพราะสถานะ ‘อาจารย์’ ของเฉินผิงอัน ถึงทำให้ชุยตงซานไม่มีความหงุดหงิดอย่างที่หาได้ยากยิ่ง แล้วก็อาจเป็นเพราะเฉินผิงอันที่ทำให้ชุยตงซานเผชิญกับความยากลำบากสุดแสนไม่เคยขอความรู้กับเขาอย่างจริงจังเช่นนี้มาก่อน?
สรุปก็คือชุยตงซานสอนหมากล้อม เฉินผิงอันเรียนหมากล้อม เสียงเม็ดหมากกระทบกระดานใสกังวาน รวมไปถึงเสียงถามตอบที่ดังขึ้นๆ ลงๆ แว่วมาเป็นระยะ
กลางดึกวันที่สี่
เมื่อเฉินผิงอันเปิดประตูห้องออกมาก็พลันรู้สึกผวาพรั่นพรึง แล้วตามมาด้วยขนทั้งร่างที่พากันลุกพรึ่บ
เห็นเพียงว่าข้างกายชุยตงซานมี ‘ตู้เม่า’ ที่ยิ้มด้วยสีหน้าเอียงอายยืนอยู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงขลาดๆ ว่า “บ่าวคารวะนายท่าน”