บทที่ 387 ฤดูใบไม้ผลิอีกปี
ความคิดในหัวของเฉินผิงอันตีกันอยู่พักหนึ่งถึงได้บอกให้ชุยตงซานและจิตหยางกายนอกกายที่สือโหรวสิงสู่เข้ามาในห้อง
ชุยตงซานยังคงใช้กระบี่บินสีทองเล่มนั้นวาดวงกลมวงใหญ่ เฉินผิงอันอดไม่ไหวสอบถามว่านี่คือวิชาอภินิหารอะไร ชุยตงซานยิ้มบอกว่าเป็นวิธีการของเทพบรรพกาล วาดพื้นให้เป็นกรงขัง สามารถนำมาเป็นได้ทั้งสถานที่ปกป้องคุ้มครองคน แล้วก็สามารถกักขังผู้คน เข้าไปไม่ได้ ออกมาไม่ได้ ดังนั้นจึงมีคำเรียกว่า ‘บ่อสายฟ้า’ คนรุ่นหลังนำวิชาตระกูลเซียนนี้มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนแตกกิ่งก้านออกไปอีกหลายสิบชนิด ส่วนใหญ่ล้วนเบี่ยงออกจากทางสายตรง ไม่มีค่าพอให้พูดถึง
พอนั่งลงแล้วพูดถึงสือโหรว ชุยตงซานก็หน้าบานเป็นกระด้ง ชื่นชมฐานกระดูกของสือโหรวคำรบใหญ่ บอกว่าเรื่องของการเปิดภูเขานี้ นอกจากต้องผลาญเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปสองถุงแล้ว ทุกอย่างล้วนราบรื่นไปหมด สือโหรวที่เป็นวิญญาณหยินถึงกับสามารถใช้ความเด็ดเดี่ยว ใช้โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่มาเปลี่ยนร่างทองแก้วใสที่ดึงออกมาจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานให้กลายเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่ฝากวิญญาณพักพิงเอาไว้ ตอนนี้ระหว่างเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของตู้เม่ากับจิตวิญญาณของสือโหรว แม้ว่ายังมีบางส่วนที่ขัดแย้งผลักไสกัน แต่หลังจากนี้ก็แค่ต้องใช้เวลาและเงินทองเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว
ชุยตงซานบอกข่าวดีใหญ่เทียมฟ้านี้แล้วก็เริ่มพูดถึงข้อบกพร่อง “เมื่อเปิดประตู เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน ก็เป็นแค่ด่านแรกเท่านั้น ในเรื่องฐานกระดูก สือโหรวนับว่าได้รับการดูแลจากสวรรค์เป็นพิเศษ หากก่อนหน้านี้มีคนที่มองของดีออก อีกทั้งยังยอมทุ่มเงิน จะช่วยวางแผนให้นางกลายเป็นองค์เทพของห้าขุนนางอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่มีปัญหา เพราะว่ารากฐานดี นางถึงได้สามารถช่วงชิงความได้เปรียบใหญ่ขนาดนี้มาได้ เพียงแต่ว่าฐานกระดูกของนางดีไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์จะเลิศล้ำไปด้วย ในความเป็นจริงแล้วสือโหรวเป็นวิญญาณเร่ร่อนมีชีวิตมาหลายร้อยปีก็ยังไม่สามารถฝึกตนจนเป็นรูปเป็นร่างอะไร ไม่ได้กลายเป็นพวกราชาแห่งผีอะไรนั่น นอกจากที่เจ้านายคนเก่าพึ่งพาไม่ได้แล้ว ยังเป็นเพราะพรสวรรค์ของสือโหรวเองไม่ถือว่าโดดเด่นนัก ดังนั้นคอขวดของสือโหรวจึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ถูกกำหนดมาแล้วว่านางจะไม่สามารถทำลายขีดจำกัดของร่างทองแก้วใสนี้จนพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น กระทั่งมีอิสระเสรีที่แท้จริงได้”
เฉินผิงอันหยิบเหล้ากุ้ยฮวาออกมาหนึ่งกา หลังจากชุยตงซานรับไปดื่มแล้วก็แหงนหน้ากระดกอึกใหญ่ ก่อนจะเช็ดปากกล่าวว่า “ยังดีที่เข้ามาในภูเขาทอง ต่อให้เป็นผีน้อยขนสมบัติที่น่าเวทนา ทุกครั้งขนสมบัติได้น้อยแค่ไหน แต่ผ่านไปหลายสิบปีหลายร้อยปี มุมานะไม่ย่อท้อ สุดท้ายก็จะขนสมบัติจนกลายเป็นคนมีเงินเป็นเศรษฐีในพื้นที่แถบหนึ่งได้ หลังจากนี้สือโหรวแค่ต้องใช้วิธีโง่ๆ แทะกระดูกแข็งๆ เท่านั้น นางจะไม่เจอด่านในการฝึกตนใดๆ อีก นี่ก็คือจุดที่น่าอิจฉาที่สุดของคราบร่างเซียนเหริน มันมุ่งไปยังห้าขอบเขตบนตลอดเวลา ไม่ต้องสร้างโอสถทอง ไม่ต้องฟูมฟักทารกก่อกำเนิด แม้แต่เทวบุตรมารก็ไม่ต้องสนใจ ใครเล่าจะไม่ริษยา?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “แน่นอนว่าอาจารย์เฉลียวฉลาดและมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ไม่มีทางอิจฉาแน่ ส่วนศิษย์อย่างข้าก็มีอัญมณีมาวางไว้ตรงหน้านานแล้ว ไม่จำเป็นต้องอิจฉา สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ข้าก็ยังสู้อาจารย์ไม่ได้อยู่ดี”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ไม่ว่าสือโหรวจะต้องสั่งสมเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเพื่อใช้ในการฝึกตนอย่างไร ข้าก็จะต้องเก็บเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไว้ในมือหกเหรียญ เจ้าอย่าได้หวังว่าจะแตะต้องเงินก้อนนี้”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีอาจารย์ที่จิตใจกว้างขวางเปี่ยมเมตตาเป็นเจ้านายของมดสี่ตัวจากพื้นที่มงคลดอกบัว ช่างเป็นโชควาสนาที่พวกเขาสั่งสมมาหลายชาติจริงๆ หากพวกเขายังไม่รู้จักทะนุถนอมความโชคดีนี้ไว้ก็ควรถูกฟ้าผ่าตายแล้ว อาจารย์ท่านวางใจได้ วิชาห้าอสนีของภูเขามังกรพยัคฆ์ ศิษย์พอจะใช้เป็นอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะเชี่ยวชาญยิ่งกว่าชนชั้นสูงหวงจื่อของจวนเทียนซือบางคนด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นอาจารย์สั่งมาคำเดียว ข้าจะผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ทันที”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ายังคงหวังให้พวกเขาทั้งสี่คนมีการเริ่มต้นที่ดีและจุดจบที่ดี”
ชุยตงซานเอ่ยเบาๆ “เหตุใดอาจารย์ถึงไม่ถามว่า อีกหกสิบปีให้หลังควรจะควบคุมสือโหรวให้อยู่มืออย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ถาม แล้วเจ้าจะไม่พูดหรือ? พูดแค่เรื่องทำการค้า เรื่องการวางแผน ข้าห่างชั้นจากเจ้าไกลนัก ข้าเชื่อเจ้า ยิ่งเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางทำลับๆ ล่อๆ อยู่นอกมหามรรคา เพราะแบบนั้นเป็นการดูแคลนเจ้าชุยตงซานเกินไป”
ชุยตงซานซาบซึ้งใจเหลือแสน “ไม่เคยคิดเลยว่าในใจอาจารย์ ศิษย์จะเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นถึงเพียงนี้ อาจารย์เต็มใจเชื่อใจศิษย์ ศิษย์จะกล้าไม่ทุ่มเทให้ท่านจนตัวตายได้อย่างไร?!”
เฉินผิงอันมองผีงามโครงกระดูกที่มาเดินอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยรูปลักษณ์ของตู้เม่าก็ถามว่า “ไม่เสียใจภายหลังรึ?”
สือโหรวยิ้มกล่าว “นายท่านไม่รู้ถึงความเจ็บปวดนานาประการที่วิญญาณหยินต้องพบเจอ ได้ยินเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ เสียงระฆังตียามเช้าเย็น ลมพายุปราณสะอาดบริสุทธิ์ระหว่างฟ้าดิน ความหนาวเหน็บในช่วงฤดูใบไม้ร่วง กลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าบนสนามรบ ศาลตามภูเขาแม่น้ำและศาลเทพอภิบาลเมืองของพื้นที่แต่ละแห่ง และอีกมากมาย ล้วนเป็นความทุกข์ทรมานสำหรับผีเร่ร่อนอย่างพวกเรา อีกทั้งยังง่ายที่จะทำให้สูญเสียสติปัญญาส่วนสุดท้าย กลายมาเป็นผีชั่วร้ายที่รู้จักแต่การเข่นฆ่า…”
สือโหรวพูดจ้อเกี่ยวกับเรื่องวงในและกฎเกณฑ์มากมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกของวัตถุหยิน
เฉินผิงอันตั้งใจรับฟัง นั่นถึงพอจะลดความรู้สึกกระดากเวลาที่เขาเผชิญหน้ากับ ‘ตู้เม่า’ ให้ลดน้อยลงไปได้บ้าง
ใบหน้าของชุยตงซานมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ตลอดเวลา เงี่ยหูรับฟังคำอธิบายของสือโหรวพร้อมกับเฉินผิงอันไปด้วย
เรื่องที่เข้ามาพักอยู่ในร่างทองแก้วใสของตู้เม่าคงจะถือว่าเรียบร้อยดีแล้ว
ชุยตงซานบอกแค่ว่าพรุ่งนี้ต้องหยุดพักอีกหนึ่งวัน เฉินผิงอันก็พยักหน้าตอบรับ
บรรยากาศในห้องค่อนข้างคล้ายกับการเฉลิมฉลอง เพียงแต่ว่าสามคนที่อยู่ในสถานการณ์มีแค่เหล้ากุ้ยฮวากาเดียวเท่านั้น
สุดท้ายชุยตงซานก็ลุกขึ้นยืนบอกลา เฉินผิงอันเดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าประตูห้อง พอปิดประตูลงแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวและผู้เฒ่าชุดขาวก็เดินตามหลังกันไปกลางระเบียง
แม้ว่าใบหน้าของชุยตงซานจะเต็มไปด้วยแววปิติยินดี แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดสือโหรวถึงรู้สึกอกสั่นขวัญผวามากขึ้นทุกที พอไปถึงในห้องของชุยตงซานก็จริงอย่างที่นางคาด เขาคว้ากระชากศีรษะของ ‘ตู้เม่า’ ห้านิ้วงอเป็นตะขอกดหัวสือโหรวเข้ากับผนัง พูดเสียงกร้าวสีหน้าดุดัน “เป็นแค่วัตถุหยินตัวเล็กๆ ยังสู้กับมดสักตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าบังอาจพูดจาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าอาจารย์ข้ารึ?! ใครให้ความกล้านี้แก่เจ้า!”
ร่างทองแก้วใสที่เท่าเทียมกับร่างของขอบเขตเซียนเหรินแข็งแกร่งไม่แพ้ร่างของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าเลย ตามหลักแล้วเมื่อถูกชุยตงซานที่มีแค่ขอบเขตเซียนดินกระชากดึงทึ้ง สือโหรวก็น่าจะแค่คันๆ เท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานใช้วิชาอภินิหารลับบางอย่างที่บอกกับใครไม่ได้ ประหนึ่งเหมือนมีพายุลมกรดพัดกระโชกใส่รากฐานจิตวิญญาณของสือโหรว พาให้จิตวิญญาณของนางสั่นสะเทือน เจ็บปวดจนใบหน้าแก่ชราของสือโหรวบิดเบี้ยว หลั่งน้ำตาไม่ขาดสาย
ชุยตงซานยกมืออีกข้างหนึ่งดีดนิ้วลงบนหน้าผากของสือโหรว ปานประหนึ่งเสียงระฆังดังกังวานสะเทือนไปทั้งห้องหัวใจของสือโหรว
หลังจากปล่อยนิ้วทั้งห้าออก สือโหรวก็ตัวอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น ร่างทั้งร่างสั้นเทิ้ม เหงื่อแตกโซมกาย
ชุยตงซานยกเท้าเหยียบลงบนศีรษะของนาง เป็นเหตุให้ท้ายทอยของสือโหรวกระแทกกับผนัง ชุยตงซานค้อมเอวลง หลุบตามองนางจากมุมสูง พูดเย้ยหยันว่า “ความสามารถไม่คู่ควรกับคุณธรรม คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง เจ้ากลับยึดครองมันทั้งสองอย่าง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะกระชากดวงวิญญาณเจ้าออกมาจากคราบร่างเซียนใหม่อีกครั้ง ปล่อยให้เจ้าอาบไล้อยู่ท่ามกลางฝนรสหวานและลมชำระบาปที่ยิ่งใหญ่ทั้งวันทั้งคืน หรือไม่ก็เอาคราบร่างนี้มาทำเป็นตะเกียงดวงหนึ่ง โดยใช้วิญญาณของเจ้าเป็นไส้ตะเกียง แต่เจ้ากลับไม่อาจรับรู้ได้เลย หกสิบปีให้หลังเจ้าก็จะตายอย่างเฉียบพลัน?!”
ชุยตงซานเพิ่มน้ำหนักเท้า ผนังด้านหลังท้ายทอยของสือโหรวเกิดรอยปริแตกออกทีละนิด
ชุยตงซานสายตาเย็นชา “ทำไม แค่ในกางเกงมีไอ้จ้อนโผล่มาก็เย่อหยิ่งจนลืมหน้าที่ที่ตนต้องทำไปแล้วหรือ?”
สือโหรวพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาเฉยเมย ต่อให้ได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงและได้รับความเจ็บปวดทางวิญญาณก็ยังคงเงยหน้าขึ้น จ้องมองสบตากับเซียนซือชุดขาวผู้นี้เป็นครั้งแรก
ชุยตงซานรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด จึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “กากเดนที่แคว้นล่มสลายเมื่อหกร้อยปีก่อนอย่างเจ้า สายรองของลัทธิเต๋าสายนั้นตายดับกันไปหมด สู้ลำบากอดทนมานานหลายปีขนาดนี้ กลับฝึกปรือจนมีน้ำอดน้ำทนได้แค่นี้เองหรือ? ถึงขั้นกล้าแข่งฝีมือหมากล้อมกับข้า? ผู้อื่นถามคำถาม แต่ตอบกลับเป็นบทเพลง รูปร่างดุจโครงกระดูก หัวใจดุจขี้เถ้ามอด เป็นอย่างไร ถูกข้าจับจุดได้แล้วสินะ? ไม่อย่างนั้นให้ข้าใช้เวทลับที่มีเฉพาะของบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ในสายของเจ้ามาลบรัศมีแสงลัทธิเต๋าที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดของเจ้าให้หมดสิ้นไปเลยดีไหม?”
สือโหรวทำสีหน้าเหลือเชื่อ ในที่สุดก็เผยความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำออกมา นั่นเป็นความหวาดกลัวที่มากกว่ายามเผชิญหน้ากับความตายเสียอีก
ตอนอยู่บนป้ายศิลาในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี นางเคยคลอเพลงหนึ่งเบาๆ ซึ่งเฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพลงพื้นบ้านของแคว้นไฉ่อี เดิมทีนางนึกว่านั่นเป็นเรื่องเก่าแก่ของเมื่อหลายร้อยปีก่อน บวกกับที่ร่องรอยทุกอย่างล้วนถูกกองกำลังฝ่ายต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปทำลายทิ้งไปหมด จึงไม่มีใครรู้เรื่องวงในมานานแล้ว อีกทั้งต่อให้เปิดเจอเนื้อเพลงที่ไม่เต็มบทพวกนี้จากหนังสืออ่านเล่น แต่จะเอามาอนุมานถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง อยู่ดีๆ ก็คว้าจับจุดตายของผีสาวตัวเล็กๆ อย่างนางได้อย่างไร?
ชุยตงซานยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว กระบี่บินสีทองเล่มนั้นพุ่งออกมาจากหว่างคิ้ว บินล้อมวนอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลับวาดยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ทำให้บนปลายนิ้วของชุยตงซานคล้ายมีดอกบัวสีทองที่เคร่งขรึมโอฬารผลิบานหนึ่งดอก
สือโหรวอยากจะอ้าปากขอร้อง แต่กลับค้นพบว่าไม่ว่าตนจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจเปล่งเสียงได้ ได้แต่เบิกตามองปลายนิ้วของคนผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้หว่างคิ้วของนางเรื่อยๆ
สือโหรวหลับตาลง ริมฝีปากสั่นสะท้าน ใช้เสียงในใจคลอเพลงช่วงต้นของบทเพลงสายรองลัทธิเต๋าที่นางเคยอยู่ในปีนั้นขึ้นมา
สือโหรวที่กำลังรอความตายลืมตาขึ้นช้าๆ พบว่าคนผู้นั้นหยุดมือแล้ว กำลังใช้สายตาเวทนามองประเมินนาง
ชุยตงซานยืดเอวตั้งตรง ถูพื้นรองเท้าลงบนใบหน้าของ ‘ตู้เม่า’ ปานประหนึ่งเหยียบโคลนแล้วรองเท้าสกปรกจึงต้องเช็ดออกให้สะอาด
เขาชำเลืองตามองสือโหรวที่เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาอย่างหวุดหวิด “คราวหน้าห้ามทำอีก”
สือโหรวพยักหน้ารับเบาๆ
ชุยตงซานเพิ่งเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันขวับกลับมา กระทืบเท้าลงบนศีรษะของสือโหรวแรงๆ หนึ่งครั้ง ศีรษะเกินครึ่งผลุบหายเข้าไปฝังในผนัง พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พระคุณที่ไม่ฆ่า ยังไม่รู้จักพูดขอบคุณข้าสักคำหรือ?”
สือโหรวงัดศีรษะออกมาจากผนัง คุกเข่าโขกหัวคำนับชุยตงซานสามครั้งเงียบๆ
ชุยตงซานไปนั่งข้างโต๊ะ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่อาจเดินทางร่วมกับอาจารย์ได้ตลอดไป เมื่อข้าจากไปแล้ว จำไว้ว่าอย่าได้ย่ำยีเรือนกายที่ทนทานกับการถูกซ้อมมากที่สุดนี้ให้เสียเปล่า หากอาจารย์ข้าได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้าไม่พยายามอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะบาดเจ็บน้อยหรือมาก ข้าก็จะดึงแสงรัศมีของเมล็ดพันธ์เต๋าที่อยู่ในจุดลึกของจิตวิญญาณเจ้าออกมา แล้วค่อยย้ายเอาไปปลูกไว้บนร่างของภิกษุ”
สือโหรวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าระทม มองเซียนซือที่รูปงามดั่งเทพเซียน ความคิดละเอียดรอบคอบ แต่จิตใจกลับอำมหิตโหดเหี้ยมผู้นี้แล้วพึมพำเบาๆ “บนโลกมีคนน่ากลัวอย่างเจ้าอยู่ได้อย่างไร?”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “นี่ก็ไม่ใช่เพราะอาจารย์สั่งสอนหรอกหรือ ข้าก็เรียนรู้ด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จอย่างไรล่ะ”
สือโหรวลุกขึ้นยืน ได้แต่กล้ายืนแนบอยู่ติดผนัง
ชุยตงซานเอามือตบโต๊ะ “ยังไม่รีบไสหัวกลับไปที่ห้องของตัวเองอีก มายืนบื้อเป็นคนตายอยู่ตรงนี้ทำไม? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเฉือนเจ้าของเล่นในกางเกงเจ้าออกมา แล้วให้เจ้ากินมันลงไป?”
สือโหรวที่ทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าใจก้มหน้าลง เดินเร็วๆ ออกไปจากห้องที่เหมือนนรกบนดินแห่งนี้
ชุยตงซานเปิดตำราที่นักประพันธ์แคว้นชิงหลวนเขียนซึ่งวางไว้บนโต๊ะออกอ่าน ยิ่งอ่านไฟโทสะก็ยิ่งลุกโหม กระแทกหน้าหนังสือปิดลงอย่างแรง ปากก็สบถด่าไปด้วย “สามวันไม่อ่านตำรา พูดจาน่าเบื่อ เห็นหน้าให้พาลรังเกียจ (คนที่ไม่อ่านหนังสือมักจะเป็นคนน่าเบื่อหน่าย พานให้คนอื่นไม่ชอบ) กับผายลมสุนัขอะไร อ่านเจ้าของเล่นพวกนี้แล้ว เหมือนมีคนเอาขี้มาป้ายหน้าข้าผู้อาวุโส แถมแม่งยังเป็นขี้ท้องเสียด้วย”
ชุยตงซานนอนไม่หลับ ด้วยความเบื่อหน่ายจึงออกจากโรงเตี๊ยมไปเดินเล่นข้างนอกเงียบๆ
บังเอิญเห็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่างท่าทางยากจนคนหนึ่งกำลังใช้วิชาผีน้อยขโมยเงินชั้นต่ำบังคับให้ภูตผีตัวจิ๋วสิบกว่าตัวไปขโมยเงินเก็บของชาวบ้านครอบครัวหนึ่งมา มองดูแล้วเหมือนมดกำลังย้ายรัง พวกมันจับกลุ่มกันสองตนสามตนร่วมแรงร่วมใจขนเงินเหรียญทองแดงและเศษเงินเม็ด ผู้ฝึกตนนั่งยองอยู่มุมกำแพง ชั่งน้ำหนักเศษเงินสองสามก้อนที่มีค่ามากที่สุดแล้วยิ้มกว้างจนแทบหุบปากไม่ลง
สะสมทีละเล็กทีน้อยจนมากขึ้น ไม่หมิ่นเงินน้อย
ผลคือพอหันหน้ากลับมามองก็เห็นคนหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ข้างกายตน นี่มานั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนเขาหรือไร?
ผู้ฝึกตนอิสระตกใจสะดุ้งโหยง
ชุยตงซานยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าทำลงด้วยหรือ? ทำไมถึงไม่ไปขโมยเงินของตระกูลใหญ่ล่ะ?”
ผู้ฝึกตนอิสระกลืนน้ำลาย พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เพราะพวกเทพทวารบาลของตระกูลใหญ่รับมือยาก ผีน้อยขนเงินที่ข้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากจะถูกพวกเขาฆ่าตายเสียเปล่าๆ เป็นการค้าที่ขาดทุน”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”
ผู้ฝึกตนอิสระกลอกตาว่องไว คิดจะหาทางหนี ต้องฆ่าเด็กหนุ่มท่าทางประหลาดผู้นี้ปิดปาก? เพื่อเงินแค่ไม่กี่ตำลึง คุ้มกันแล้วหรือ? อีกอย่างสวรรค์เท่านั้นกระมังที่รู้ได้ว่าใครจะฆ่าใครกันแน่?
ชุยตงซานยื่นสองนิ้วไปคีบผีน้อยขโมยเงินที่ร่างสูงเท่านิ้วคนขึ้นมาหนึ่งตน จากนั้นวางไว้กลางฝ่ามือ ประกบนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน ปั้นๆ คลึงๆ อย่างไร้กฎเกณฑ์อยู่พักหนึ่ง ทำเอาผู้ฝึกตนอิสระที่ตบะน้อยนิดมองจนหนังตากระตุก ดีนักนะ นี่ถือว่าแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาตายไปคนหนึ่งแล้ว มันจะทนรับการนวดคลึงบดบี้จากคนแบบนี้ได้อย่างไร ผีน้อยขโมยเงินที่เขาเลี้ยงมาพวกนี้มีระดับขั้นต่ำยิ่ง ไม่อย่างนั้นแม้แต่ด่านของเทพทวารบาลก็คงไม่ถึงขั้นข้ามผ่านไปไม่ได้
ในขณะที่ผู้ฝึกตนอิสระกำลังเสียใจอย่างสุดแสนนั้นเอง ชุยตงซานก็แบฝ่ามือออก บนร่างของผีน้อยขโมยเงินที่แสยะปากแยกเขี้ยวตนนั้นคล้ายจะมีชุดสีแดงเพิ่มขึ้นมาอีกตัว เขาโยนมันลงบนพื้น ออกคำสั่งว่า “ไป ไปขโมยทองก้อนหนึ่งมาจากบ้านเศรษฐี”
สองมือของเจ้าตัวน้อยกำเป็นหมัด อมลมแก้มป่องวิ่งฉิวออกไปอย่างขยันขันแข็ง
ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป มันก็แบกทองก้อนขนาดเท่าเล็บมือมาได้ก้อนหนึ่งจริงๆ
ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นมองตาค้าง พอคืนสติกลับมาก็รีบกุมมือคารวะ “เซียนซือมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ ทำให้คนได้เปิดโลกทัศน์แล้ว”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ร่างทะยานวูบหายไป หลงเหลือเพียงผู้ฝึกตนอิสระที่ตื้นเต้นเป็นกำลัง
เขาไปเยือนศาลบุ๋นบู๊สองแห่งของอำเภอ ชุยตงซานทนรับความพินอบพิเทาของพวกเขาไม่ไหว ชวนคุยสัพเพเหระอยู่ไม่กี่คำก็จากไป
เพราะว่าเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด ชุยตงซานจึงใช้วิธีแต้มนัยน์ตามังกรกับภาพเทพทวารบาลหลากสีของครอบครัวหนึ่ง ทำให้เทพทวารบาลสองตนสามารถรวบรวมเค้าโครงร่างทองขึ้นมาได้ ห่างจากการเป็นองค์เทพที่แท้จริงอีกประมาณหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่ก็สามารถข่มขู่วัตถุหยินที่ไร้ประโยชน์ที่สุดได้ และสามารถบดบังลมปราณชั่วร้ายได้มากกว่าเดิม จากนั้นก็ไปเยือนครอบครัวเศรษฐีอันดับสองของอำเภอ แงะรูปปั้นสัตว์บนชายคาของพวกเขาทิ้งเล่น
ไร้เป้าหมาย ทำไปตามใจปรารถนา
เซียนดินท่านหนึ่งกลับเบื่อหน่ายได้ถึงขนาดนี้ก็คงมีแค่ชุยตงซานผู้เดียวแล้ว
ค่ำคืนนี้ หลังจากชุยตงซานพาสือโหรวจากไป เฉินผิงอันที่ฝึกท่าฟ้าดินเสร็จแล้วก็เดินออกไปจากห้อง เคาะประตูห้องด้านข้างเบาๆ พูดอย่างฉุนๆ ด้วยรอยยิ้ม “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีก”
เผยเฉียนกำลังนั่งอ่านนิยายจอมยุทธ์เล่มใหม่ที่เพิ่งได้มาไม่นานอยู่ใต้แสงตะเกียง พอเฉินผิงอันมาเคาะประตูก็รีบเป่าไฟให้ดับ กระโจนตัวลงบนเตียงนอน แสร้งทำเป็นว่าเพิ่งจะสะดุ้งตื่น “นอนแล้วนะ ทำไมอาจารย์ยังไม่นอนอีก? ต้องให้ข้าไปเปิดประตูไหม?”
เฉินผิงอันยิ้ม ไม่ได้ถือสาคำโกหกเล็กๆ น้อยๆ นี้ เพียงเอ่ยเตือนว่า “ไม่ต้องเปิดประตู หนังสืออะไรก็เลิกอ่านได้แล้ว เดี๋ยวจะเสียสายตา พรุ่งนี้พวกเราไม่ต้องเร่งเดินทางต่อ ค่อยอ่านใหม่ตอนกลางวัน”
เฉินผิงอันหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงยืนพูดอยู่หน้าประตูอีกว่า “พอข้าจากไปแล้ว เจ้าห้ามเอาตะเกียงไปซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มแอบอ่านหนังสืออีก”
เผยเฉียนที่อยู่ในห้องอ้าปากกว้าง อาจารย์ร้ายกาจจริงๆ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วยหรือ?
นางได้แต่ตอบไปว่า “ทราบแล้ว”
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินออกไป แม้ว่าจะยังพะวงถึงบุญคุณความแค้นและแสงดาบเงากระบี่ในนิยายเล่มนั้น แต่เผยเฉียนก็ยังอดทนข่มกลั้นต่อความล่อลวง ล้มตัวลงนอน เพียงแต่ว่าดวงตายังเบิกกว้าง ไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย ผ่านไปนานกว่าจะค่อยๆ ผล็อยหลับไป
วันที่สองพอกินอาหารเช้าเรียบร้อย ชุยตงซานก็ยังคงมาสอนเฉินผิงอันเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องของเขา ยังคงพัวพันอยู่กับรูปแบบปลายแหลมเล็กนั้นอยู่เหมือนเดิม
ก่อนหน้านี้หลูป๋ายเซี่ยงมานั่งดูด้วย พอดูแล้วก็เพลิดเพลินจนละสายตาไม่ได้ สุดท้ายระหว่างชั่วครู่สั้นๆ ก่อนจะวางเม็ดหมาก เขากลับลุกขึ้นแล้วก้าวจากไปเร็วๆ ไปเรียกสุยโย่วเปียนให้มาดูด้วยกัน บอกว่ามหัศจรรย์จนบรรยายไม่ถูก สุยโย่วเปียนเคยถูกหลูป๋ายเซี่ยงใช้ปลายแหลมเล็กเปิดฉากบนกระดาน จากนั้นก็เข่นฆ่าสังหารจนนางต้องโยนหมวกเหล็กทิ้งเสื้อเกราะ นางไม่ยอมแพ้ ปล่อยให้หลูป๋ายเซี่ยงใช้รูปแบบนี้ติดกันสามครั้ง ผลคือเล่นก่อนแต่กลับสูญสิ้นทั้งหมด แพ้เละเทะราบคาบ เป็นเหตุให้นางยอมแหกกฎวางหมากมั่วซั่วสะเปะสะปะไปเป็นชุดๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ยังไม่อาจกู้คืนสถานการณ์ ดังนั้นตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงพูดว่าก่อนหน้านี้ความเข้าใจที่ตัวเองมีต่อปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้ามีแค่แก่นแท้สามสี่ส่วนของมันเท่านั้น สุยโย่วเปียนจึงบังเกิดความสนใจ เลยตามมาดูด้วยว่าชุยตงซานสอนคนอื่นเล่นหมากล้อมอย่างไร แล้วเฉินผิงอันเรียนหมากล้อมจากคนอื่นอย่างไร
ไม่นานจูเหลี่ยนก็มาร่วมวงความครึกครื้นด้วย เว่ยเซี่ยนเดินเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้าย
เพียงแต่ว่าไม่นานสุยโย่วเปียนก็หมดอารมณ์จะดู นั่นเป็นเพราะพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมของเฉินผิงอันธรรมดาเกินไป ต่อให้ชุยตงซานจะสอนคนด้วยวิธีการอันยอดเยี่ยมมหัศจรรย์แค่ไหน แต่มาเจอกับคนหัวทึบอย่างเฉินผิงอันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
นี่ย่อมทำให้สุยโย่วเปียนที่เชี่ยวชาญกับการเล่นหมากล้อมแล้วอดจะรู้สึกหงุดหงิดและเบื่อหน่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ช่วงเวลาระหว่างนี้สุยโย่วเปียนก็อดหันไปมองผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังชุยตงซานหลายทีไม่ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกพิลึกพิลั่น ทำไมรู้สึกว่าเขาทำให้คนสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าจูเหลี่ยนเสียอีก…กระเทยเฒ่า? เจ้าเป็นบุรุษกลับไม่กล้าสบตาคนอื่น แถมยังชอบเม้มปาก จีบนิ้วจับชายอาภรณ์ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หลังจากที่สุยโย่วเปียนออกไป จูเหลี่ยนและเว่ยเซี่ยนก็ทยอยกันเดินออกจากห้อง
การเข่นฆ่าสังหารในนครมังกรเฒ่าครั้งนั้น สนามรบถูกแบ่งแยกห่างกันไกล ดังนั้นคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดจึงไม่เคยเห็นตู้เม่ามาก่อน ส่วนสือโหรวผีงามโครงกระดูกก็อยู่ในยันต์กระดาษเหลืองมาตลอดเวลา พวกเขาจึงไม่เคยพบมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคราบร่างเซียนเหรินของตู้เม่าเผยกาย พวกสุยโย่วเปียนที่ถูกปิดหูปิดตาจึงได้แต่คิดว่าเป็นคนนอกที่ไม่รู้ว่าชุยตงซานไปลากออกมาจากมุมไหน
หลังจากกินอาหารเที่ยงแล้ว ชุยตงซานก็เริ่มปิดประตูไม่ออกไปไหน
เช้าตรู่วันถัดมา คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง มุ่งหน้าไปเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน
วัวสีเหลืองที่เดิมทีเดินทางร่วมอยู่ในกลุ่มคนสะดุดตาเกินไป แต่พอชุยตงซานขึ้นไปขี่บนหลังวัวเหลือง แม้ว่าจะยังคงมีคนให้ความสนใจ แต่คนผ่านทางที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็แค่คาดเดาไปว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้นี้น่าจะแค่มีชาติกำเนิดจากตระกูลร่ำรวยที่พาพวกผู้ติดตามออกมาท่องเที่ยวในยุทธภพ แม้จะแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่อายุยังน้อยก็มีบุคลิกสง่างามดั่งนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงแล้ว
มีชุยตงซานอยู่ด้วย จึงเดินทางกันไปตามอารมณ์ตลอดทาง
คนทั้งสี่ในภาพวาดก็พอจะขบคิดใคร่ครวญความหมายบางอย่างออก หากจะบอกว่าตอนที่เฉินผิงอันเจอกับสหายสองคนอย่างสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิง เขาอยู่ในสภาวะอารมณ์ร่าเริงสดใส ไม่เหลือความคร่ำครึของคนแก่เกินวัยอยู่เลย ถ้าอย่างนั้นเมื่อมาเจอกับลูกศิษย์ในต่างถิ่นต่างแดนผู้นี้ เขากลับมีความสบายในระดับหนึ่ง แม้ว่าการอยู่ร่วมกันของอาจารย์และศิษย์ทั้งสองจะไม่นับว่าสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทั่วไปมากนัก แต่ก็ดูเหมือนว่าภาระบนบ่าของเฉินผิงอันได้ลดน้อยลงไปส่วนหนึ่ง อีกทั้งในฐานะอาจารย์ นอกจากเฉินผิงอันจะเรียนวิชาหมากล้อมกับลูกศิษย์แล้ว ยังขอความรู้จากลูกศิษย์ผู้นี้ด้วย
ตลอดทางล้วนเป็นชุยตงซานที่แย่งออกค่าใช้จ่าย ไม่ยอมให้อาจารย์ของตัวเองควักเงินแม้แต่แดงเดียว
ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันกับชุยตงซานพูดคุยกัน คนทั้งสี่ในภาพวาดก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อย ความเข้าใจที่มีต่อใต้หล้าไพศาลแห่งนี้จึงยิ่งแจ่มชัดและกว้างไกลมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นหลูป๋ายเซี่ยงรู้ว่าเมื่ออยู่ในฟ้าดินที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์แห่งนี้ นอกจากจิตใจที่มุ่งมั่นจะเดินไปถึงยอดเขาสูงสุดเพื่อบรรลุมรรคาและขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์แล้ว อันที่จริงยังมีชาวลัทธิขงจื๊อที่ทุ่มเทกับเรื่องความรู้และการฝึกตนอย่างแท้จริงอยู่ด้วย
แล้วก็มีผู้ฝึกลมปราณไม่น้อยของเมธีร้อยสำนักที่ถูกมองว่าเป็นเจินเหรินผู้บำเพ็ญตน ให้ความสำคัญกับระบบของการศึกษา แต่ดูแคลนตบะและศักยภาพของคน
สุยโย่วเปียนได้เห็นคาถาตระกูลเซียนที่ชุยตงซานร่ายออกมาซึ่งเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยแสงสีประหลาดพิสดาร รู้ว่าควรจะปรับตัวเข้ากับชีวิตประจำวันไปทีละนิดอย่างไร
เวลาที่รอบกายไร้ผู้คน จูเหลี่ยนเคยขอความรู้จากชุยตงซานอีกสองครั้ง ความคิดของเขานั้นง่ายมาก นั่นคืออยากจะรู้ว่าไอ้หมอนี่ได้ครอบครองสมบัติวิเศษตระกูลเซียนกี่ชิ้นกันแน่
เว่ยเซี่ยนยังคงเป็นคนที่เงียบขรึมพูดน้อยที่สุด มีแต่กับเผยเฉียนที่เขาคุยได้รู้เรื่องที่สุด หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก วันๆ เอาแต่ทำตัวไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่
ชุยตงซานยังคงทำเหมือนตอนที่ออกจากเมืองหลวงต้าสุยสมัยก่อน คนทั้งสองจับคู่เดินทางด้วยกัน แต่บางครั้งก็หายตัวไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เฉินผิงอันก็ไม่เคยถามไถ่อยากรู้
ในที่สุด ‘ผู้เฒ่า’ สือโหรวก็ยอมสลัดกลิ่นเครื่องประทินโฉมทิ้ง เวลาเดินก็ไม่ยักย้ายส่ายสะโพกเหมือนสตรีสักเท่าไหร่ ดวงตาไม่มีริ้วประกายน้ำแผ่กระเพื่อม แล้วก็ไม่จีบนิ้วโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็มีลักษณะคล้ายผู้เฒ่าผมขาวอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว
แต่สือโหรวยังคงเป็นคนที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดในกลุ่ม เกรงว่าสถานะของนางยังเทียบกับวัวเหลืองไม่ได้ด้วยซ้ำ
เผยเฉียนค่อนข้างมุมานะตั้งใจฝึกวิชาวานรขาวสะพายกระบี่และลากดาบ ถึงอย่างไรก็มีกระบวนท่าอยู่แล้ว อีกทั้งยังน่าเกรงขาม ไม่ต้องทนเจ็บปวดกับการถูกดึงเอ็นเคลื่อนกระดูก เมื่อเทียบกับการเดินนิ่งหกก้าวแล้ว นางชอบใช้กระบี่ไม้ไผ่และดาบไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันทำให้มาฝึกกระบวนท่าดาบและกระบี่ที่นักพรตหญิงหวงถิงสอนนางมากกว่า เพียงแต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งถูกชุยตงซานที่นั่งขี่อยู่บนหลังวัวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง ถล่มวิชาสะพายกระบี่ของนางเสียจนยับเยิน แถมเขายังกุมท้องหัวร่องอหงาย ถึงกับกระโดดจากหลังวัวลงมาบนพื้น โจมตีให้เผยเฉียนเงียบงันไปหลายวัน ทุกวันได้แต่กล้าฝึกเดินนิ่งเท่านั้น
คนทั้งกลุ่มเดินทางมาถึงเมืองแห่งหนึ่งที่ใกล้กับเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนมากที่สุด
ไม่รู้ว่าชุยตงซานตามหาอย่างไร ทุกคนถึงได้พักแรมอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวาย
เฉินผิงอันไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อมจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งมันไป แล้วก็ไม่ได้มุ่งมั่นศึกษาจนถ่วงเวลาการฝึกวิชาหมัดและวิชากระบี่ ทุกวันจะเรียนหมากล้อมกับชุยตงซานแค่ประมาณหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ชื่อว่าสวนร้อยบุปผาแห่งนี้ ว่ากันว่าเถ้าแก่คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีโฉมหน้าเป็นบุรุษวัยกลางคน เพียงแต่ว่าไม่ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเฉินผิงอัน อาณาบริเวณของโรงเตี๊ยมค่อนข้างใหญ่ อีกทั้งยังปลูกต้นไม้ดอกไม้มากมายละลานตา พาให้จิตใจคนปลอดโปร่ง เนื่องจากงานโต้วาทีพุทธเต๋าจะจัดขึ้นในเมืองหลวงที่ห่างไปไม่ไกล โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนในเมืองแห่งนี้จึงเหลือห้องว่างอีกไม่มาก เผยเฉียนได้นอนร่วมห้องกับสุยโย่วเปียนอีกครั้ง หลูป๋ายเซี่ยง จูเหลี่ยนและเว่ยเซี่ยนสามคนนอนเบียดกันในหนึ่งห้อง ชุยตงซานนอนกับสือโหรว มีเพียงเฉินผิงอันที่ได้นอนคนเดียว
อาศัยอยู่ที่นี่สิ้นเปลืองเงินทองอย่างมาก เพียงแต่ว่าก็คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไป เพราะมีผลประโยชน์หลายอย่างที่ต่อให้มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องวงในที่น่าสนใจบนภูเขาเกี่ยวกับงานโต้วาทีพุทธเต๋าซึ่งลูกจ้างร้านจะนำมาบอกแก่แขกในโรงเตี๊ยมทุกวันคล้ายคลึงกับการส่งรายงานในจวนขุนนาง นอกจากนี้ทุกห้องจะยังได้รับวัตถุวิเศษชิ้นเล็กๆ ที่มีประโยชน์มากแต่ราคาต่ำ แม้จะเรียกว่าสมบัติวิเศษของตระกูลเซียน แต่แท้จริงแล้วก็แค่ทำมาจากเศษวัสดุที่ใช้ทำของวิเศษเท่านั้น มูลค่ารวมกันแล้วประมาณสองสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ จึงปล่อยให้แขกที่เข้าพักเอากลับไปได้ตามใจชอบ
นี่ทำให้เผยเฉียนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
นางพูดจาหวานหูกับสุยโย่วเปียนจนได้ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในห้องของพวกนางไปแล้วก็วิ่งไปหาเหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋าย เชื้อเชิญให้พวกเขากินเมล็ดแตงกับผลไม้แล้วก็ยังทำอิดๆ ออดๆ ไม่ยอมออกจากห้องเสียที สุดท้ายเป็นจูเหลี่ยนที่ทนรำคาญไม่ไหวจึงบอกให้เผยเฉียนเอาของสามชิ้นนั้นไปแล้วรีบออกไปซะ สุดท้ายเมื่อรวมกับของชิ้นเล็กอีกสี่ชิ้นในห้องของเฉินผิงอัน เผยเฉียนจึงมีวัตถุวิเศษระดับปลายแถวเพิ่มมาทีเดียวถึงสิบชิ้น เซียนซือห้าขอบเขตกลางดูแคลนตัวถ่วงที่ถูกตาแต่ไร้ผลประโยชน์เหล่านี้ เซียนซือห้าขอบเขตล่างกลับไม่มีปัญญาจะเข้าพักที่นี่ได้ ผลกลับทำให้เผยเฉียน ‘กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน’ กล่องเก็บสมบัติใบนั้นไม่มี ‘ที่พักอาศัย’ ให้กับของมากมายขนาดนี้ นางจึงได้แต่เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อของเฉินผิงอันชั่วคราวก่อน
สถานที่ที่เซียนซือพักแรมย่อมต้องเงียบสงบและห่างไกล อีกทั้งเมื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับทางการได้แล้วก็ยังสามารถสร้างค่ายกลที่เก็บรวบรวมน้ำและลมเอาไว้ ปราณวิญญาณจึงเหนือกว่าพื้นที่ทั่วไปในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด
อีกทั้งเทพทวารบาลหลากสีสององค์ที่แปะไว้บนหน้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นยันต์เทพทวารบาลของแท้แน่นอน หากมีภูตผีหรือสิ่งเสนียดจัญไรเข้าใกล้ มัลละเทพที่สวมเสื้อเกราะสีทองก็จะเดินออกมาสยบกำราบกลิ่นอายชั่วร้ายแล้วกลืนกินเหล่าภูตผี
นอกจากนี้ทุกวันบนโต๊ะจะยังมีผลไม้ตระกูลเซียนวางไว้จานเล็กๆ เป็นของดีที่ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมคนหนึ่งของสวนร้อยบุปผาถนัดที่สุด แล้วก็เป็นป้ายทองเรียกแขกของโรงเตี๊ยมบนภูเขาที่สร้างอยู่ล่างภูเขาแห่งนี้
ตอนที่เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษร มีหลายครั้งที่นางวางพู่กันบิดข้อมือก็จะเห็นว่าเฉินผิงอันนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าพุทราและสาลี่ที่อยู่ในจานนั้น
นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ
รู้สึกว่าดูเหมือนอาจารย์จะนึกถึงเรื่องที่ไม่สบายใจอะไรบางอย่าง
พอนางคัดตัวอักษรเสร็จก็พบว่าเฉินผิงอันยังนั่งอยู่ที่เดิม เพียงแต่หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
เผยเฉียนค่อนข้างเป็นห่วง จึงเอ่ยหยอกล้อเขา “อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป? คิดถึงอาจารย์แม่หรือ?”
เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ยิ้มบางๆ ตอบว่า “อยากคัดเพิ่มอีกห้าร้อยตัวรึ?”
เผยเฉียนหน้าม่อย
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ แล้วเริ่มเดินนิ่งหกก้าววนไปรอบโต๊ะ
เผยเฉียนยิ่งสงสัยใคร่รู้ ทุกวันนี้เฉินผิงอันมักจะฝึกท่าฟ้าดินซึ่งรวมทั้งสามท่าไว้ด้วยกันมากกว่า ไม่ค่อยจะฝึกท่าหมัดที่ง่ายที่สุดและเป็นขั้นเริ่มต้นที่สุดนี้เดี่ยวๆ เท่าไหร่แล้ว
เผยเฉียนเก็บกระดาษและพู่กัน ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามชวนคุย “อาจารย์ ท่านไม่กลัวผีมาตั้งแต่เลยหรือ?”
เฉินผิงอันเดินนิ่งช้าๆ พลางตอบคำถามไปด้วย “ไม่ค่อยเหมือนกับเจ้าเท่าไหร่ ข้าไม่กลัวผีมาตั้งแต่เด็กแล้ว กลับกันยังหวังให้บนโลกมีพวกภูติผีอยู่จริงๆ จึงมักจะไปที่สุสานเทพเซียนนอกเมืองเล็กของบ้านเกิดคนเดียวเป็นประจำ พอโตขึ้นมาหน่อยก็ติดตามคนอื่นไปตัดไม้ในภูเขาเอามาทำฟืน หรือไม่ก็ไปหาดินที่เหมาะสำหรับนำมาเผาเครื่องปั้น ก็ไม่เคยกลัวมาก่อน”
เผยเฉียนร้องว้าว “อาจารย์ช่างมีพรสวรรค์เลิศล้ำจริงๆ”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ได้อธิบายต้นสายปลายเหตุ
ตอนเที่ยงของวันนี้ ลูกจ้างในโรงเตี๊ยมก็นำข่าวตระกูลเซียนอีกข่าวหนึ่งมาบอกให้ เนื้อหาค่อนข้างสะเปะสะปะ มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันสนใจที่สุด พอเรียนหมากล้อมกับชุยตงซานเสร็จแล้ว เขาจึงถามความคิดเห็นจากชุยตงซาน
ระหว่างทางที่ผู้บัญชาการใหญ่แคว้นชิงหลวนนำทหารเดินทางขึ้นเหนือได้ผ่านเมืองแห่งหนึ่ง เพราะเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งจึงลากตัวขุนนางสองคนที่บกพร่องต่อหน้าที่ออกมาได้ คนหนึ่งคือทหารฝ่ายบู๊ที่ทุจริตและละเมิดกฎหมาย รับสินบนหลายแสนตำลึงเงิน อีกคนหนึ่งเล่นสำนวนบิดเบือนข้อกฎหมายเพื่อยักยอกเงินทอง ผลกลับกลายเป็นว่าฝ่ายแรกแค่ถูกลดขั้น ฝ่ายหลังกลับฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง
ชุยตงซานหลุดปากตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดพิจารณา “นี่ก็คือวิธีการจัดการเรื่องราวของสำนักนิติธรรม สำหรับฝ่ายหลัง คนทั่วไปมักจะมองว่าความผิดเบากว่าฝ่ายแรก แต่สำนักนิติธรรมกลับจะเพิ่มโทษให้หนักขึ้น”
ชุยตงซานยิ้มถาม “อาจารย์นึกถึงจุดที่เชื่อมโยงกันของเรื่องราวนี้ออกหรือไม่?”
เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญแล้วก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ร้ายกาจจริงๆ”
ชุยตงซานพูดชวนคุย “นอกเหนือจากสามลัทธิที่สามารถตั้งตระหง่านมาเป็นพันปีโดยไม่ล้มมาจนถึงทุกวันนี้ เมธีร้อยสำนักต่างก็มีรากฐานในการหยัดยืนและเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงมีคนผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้นานแล้วว่า ‘หนึ่งชีวิตของคนสามารถมองเห็นขอบเขต แต่ความรู้นั้นไร้ขอบเขต ใช้ชีวิตที่มีขอบเขตไปไล่ตามแสวงหาความรู้ที่ไร้ขอบเขต อันตรายย่อมใกล้เข้ามา’ คนธรรมดาชอบครึ่งประโยคแรก ผู้ฝึกตนกลับรู้สึกว่าความมหัศจรรย์อยู่ที่ครึ่งประโยคหลัง จะว่าไปแล้ว ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก หากศึกษาแค่อย่างเดียว เกรงว่าผู้ฝึกตนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่กล้าพูดว่าเดินไปถึงปลายทางของความรู้ แค่ต้องดูที่ว่าจะคัดเลือกอย่างไร เลือกมาแล้ว มีความรู้กี่ส่วนที่กลายมาเป็นความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริง แล้วส่วนที่ละทิ้งไปเล่า จะกลายเป็นว่าหยิบเมล็ดงาทิ้งเมล็ดแตงหรือไม่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ชุยตงซานหยิบสาลี่ลูกหนึ่งขึ้นมากิน เสียงพูดจึงอู้อี้คลุมเครือ “เพียงแต่ว่าความรู้ก็คือความรู้ การประพฤติตัวก็คือการประพฤติตัว มีความสัมพันธ์กัน แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ตายตัว ดังนั้นถึงมีคำกล่าวที่ว่าโลกนี้ซับซ้อนอย่างไรเล่า คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างไร กับเล่าเรียนตำราอะไรบ้าง เรียนไปแล้วมีประโยชน์หรือไม่ ล้วนเป็นผลบุญผลกรรมของแต่ละคน คนโง่บนโลกมีมากมายเกินไป พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าการเรียนหนังสือคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้พวกเราได้รู้จักโลกใบนี้มากขึ้น ทำลายความหวังดีของเหล่าอริยะปราชญ์ของสามลัทธิร้อยเมธี อริยะถ่ายทอดความรู้ ตำราคัมภีร์แต่ละเล่มก็คล้ายกับโคมไฟแต่ละดวงที่แขวนไว้ยามราตรี เส้นทางแตกต่าง โคมไฟมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง มีสลัวรางมีสวางจ้า เสียดายก็แต่คนบนโลกหูตามืดบอดกันไปเอง”
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เดิมทีชุยตงซานก็แค่หาเรื่องชวนคุยอยู่แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงเรื่องประสบการณ์อันรุ่งโรจน์ของเป่าผิงน้อย
บอกว่าเมื่อปลายปีที่แล้ว เจ้าเด็กทึ่มหลี่ไหวทะเลาะกับเพื่อนร่วมห้อง ตำราเล่มหนึ่งที่ทางสำนักศึกษาเพิ่งแจกให้ถูกเพื่อนร่วมห้องเอาไป บอกว่าเป็นของเขา หลี่ไหวหาหลักฐานมาไม่ได้ ผลคือหลี่เป่าผิงผ่านทางมาพอดีจึงทำหน้าที่ตัดสินคดีเสียเลย นางใช้วิธีการนำตำราเล่มนั้นมาแล้วบอกกับพวกหลี่ไหวสองคนว่า ถึงอย่างไรพูดกันไปก็ไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็ฉีกแบ่งเป็นสองส่วนแล้วเอาไปกันคนละครึ่ง หลี่ไหวร้อนใจตาแดงก่ำ แต่เด็กอีกคนกลับเห็นด้วยอย่างอารมณ์ดี ดังนั้นหลี่เป่าผิงจึงโยนตำราเล่มนั้นให้หลี่ไหวแล้วซ้อมเด็กอีกคนอย่างแรง จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่งที่แอบมองอยู่ไกลๆ หัวเราะร่าเสียงดัง เด็กคนนั้นไม่รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงไหนจึงร้องไห้ไปฟ้องอาจารย์ผู้เฒ่า ผลกลับกลายเป็นว่าถูกตีอีกรอบ
เฉินผิงอันฟังจบก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
เผยเฉียนที่นั่งฟังอยู่ด้วยกันทอดถอนใจ “เจ้าคนขโมยหนังสือเล่มนั้นก็โง่เกินไปหน่อยแล้ว เฮ้อ ใต้หล้านี้มีคนโง่เยอะจริงๆ ด้วย ช่วยไม่ได้เลย”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง “ไม่ใช่เรื่องโง่หรือไม่โง่ แต่การขโมยหนังสือก็ผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ขโมยหนังสือแล้วฉลาดจนใครจับพิรุธไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ถูกต้อง”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “ข้าไม่ได้บอกสักหน่อยว่าขโมยหนังสือเป็นเรื่องถูก”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “คนที่ทั้งโง่และเลวบนโลกนี้ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน คนจำพวกนี้ ความรู้ลัทธิขงจื๊อไม่อาจนำมาสั่งสอนได้”
เผยเฉียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง นางพยักหน้ารับ “สำนักนิติธรรมที่พวกท่านเพิ่งพูดกันเมื่อครู่นี้ดีมาก ใช้รับมือกับคนโง่ รู้สึกว่าได้ผลอย่างยิ่ง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็รีบหุบปากฉับด้วยกลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธ
เฉินผิงอันกลับยิ้ม “ตอนนี้เจ้าคิดอย่างนี้ก็ไม่ผิด แต่ก็ยังต้องอ่านหนังสือให้มากจึงจะได้ อย่าได้รู้สึกว่าตอนนี้ก็ได้คำตอบที่ถูกต้องแล้ว”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นลัทธิขงจื๊อก็คงจะดีกว่ากระมัง”
ตอนนี้นางคัดตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้นเล่มเดียวก็เหนื่อยมากพอแล้ว หากยังมีตำราของสำนักนิติธรรมเพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม จะไม่เท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ?
ชุยตงซานยกนิ้วโป้งให้ “ไม่เสียแรงที่จูเหลี่ยนชมว่ามีความหยิ่งในศักดิ์ศรี”
เผยเฉียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ชุยตงซานยิ้มถาม “เผยเฉียน ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเว่ยเซี่ยนไม่เลวเลยนี่?”
เผยเฉียนเกิดใจระแวดระวัง แต่ก็ยังยิ้มตาหยีตอบว่า “ก็ธรรมดาๆ”
ชุยตงซานร้องโอ้โห “ขับเรือตามกระแสลม ฉลาดมาก”
เผยเฉียนเหลือกตามองบน
พออยู่กับอาจารย์กลับเอ่ยคำประจบสอพลอคำแล้วคำเล่า แต่พอมาเจอกับนางกลับเป็นปากสุนัขที่ไม่งอกงาช้าง ไม่มีคำพูดน่าฟังสักคำ ไอ้หมอนี่ช่างน่ารังเกียจจริงๆ
วันใดเจ้าคนแซ่ชุยผู้นี้ทำให้อาจารย์โมโห แล้วนางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา เวลานั้นคงฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว นางจะทำแบบที่บอกไว้ในนิทานจอมยุทธ์ เก็บกวาดทำความสะอาดสำนัก!
ชุยตงซานเหมือนเป็นพยาธิในท้องเผยเฉียน เขาหัวเราะคิกคัก “ทำไม อาศัยวิชากระบี่วิชากระดาบชั้นต่ำนั่นของเจ้า ก็คิดว่าวันใดในอนาคตจะหาโอกาสมางัดข้อกับข้างั้นหรือ?”
เผยเฉียนตีหน้ามึน “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
ชุยตงซานหยิบพุทราลูกหนึ่งออกมาจากจานใบเล็ก ขว้างใส่หน้าผากเผยเฉียนเบาๆ “นังหนูน้อย คิดจะสู้กับข้างั้นรึ?”
เผยเฉียนยื่นมือมารับพุทราที่ร่วงลง แสร้งทำท่าว่าจะขว้างกลับไป ชุยตงซานนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน เผยเฉียนแสร้งทำอยู่อีกหลายที ชุยตงซานยังคงยิ้มเฉย เผยเฉียนคิดว่าตนน่าจะขว้างไม่โดนเจ้าหมอนี่ แต่หากทำได้สำเร็จจริงๆ สุดท้ายนางก็คงต้องเสียเปรียบอยู่ดี จึงยัดพุทราใส่ปาก ถลึงตาดุดันใส่เขาแทน
ชุยตงซานพลันพูดขึ้นอย่างแตกตื่น “แย่แล้ว พุทราลูกนี้คือลูกหลานของภูตพุทราสวนร้อยบุปผา ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราไม่กลัวว่าภูตผีจะมาตอแย แต่เด็กน้อยอย่างเจ้าเผยเฉียน เจ้าหมอนั่นต้องคิดว่าเป็นมะพลับนิ่มที่รังแกง่ายแน่นอน ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะนอนจะต้องตรวจดูประตูหน้าต่างให้ดี ไม่อย่างนั้นกลางดึกอาจจะมีกิ่งไม้มากมายไต่คลานเข้ามาในห้อง น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
ระหว่างที่พูด ชุยตงซานยังแกล้งบิดแขนพร้อมทำเสียงประกอบเลียนแบบให้ดูว่าภูตต้นไม้แอบแฝงเข้าไปในห้องทำร้ายคนอย่างไร
ทำเอาเผยเฉียนตกใจจนรีบหยิบยันต์ที่รักที่สุดแผ่นนั้นออกมาแปะลงบนหน้าผากหนักๆ จากนั้นยกสองแขนขึ้นกอดอก
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “ไม่ได้หรอก ยันต์แผ่นนี้คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ พวกต้นไม้ที่กลายมาเป็นภูตไม่กลัวยันต์ประเภทนี้หรอก”
เผยเฉียนหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟที่เฉินผิงอันยกให้นางในตอนหลังออกมาอีก แล้วก็แปะไว้บนหน้าผาก
ชุยตงซานใช้หมัดทุบฝ่ามือ พูดอย่างเป็นกังวล “ไม่นะ ยันต์แผ่นนี้คือยันต์นำทาง ไม่สามารถต้านทานภูตผีปีศาจได้สักหน่อย ไม่แน่ว่ากลับจะยิ่งดึงดูดความสนใจของภูตต้นไม้ตัวอื่นๆ มา แล้วรู้สึกว่าเจ้าท้าทายพวกมันก็ได้นะ ถึงเวลานั้นภูตดอกไม้ภูตต้นไม้ต่างพากันติดตามภูตต้นพุทรามาเป็นแขกที่ห้องเจ้า ยืนออกันข้างเตียงเจ้า ใต้เตียงเจ้าก็มี”
เผยเฉียนเม้มปากยู่ใบหน้าเล็กๆ สีดำราวกับถ่าน น้ำตาเริ่มมาคลอในดวงตา
เฉินผิงอันตบศีรษะชุยตงซานหนึ่งที ด่ายิ้มๆ “เลิกแกล้งขู่เผยเฉียนได้แล้ว”
ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งกุมท้อง ยื่นนิ้วของมืออีกข้างไปยังเผยเฉียนที่กระจ่างแจ้งในบัดดล “ฮ่าๆ เจ้าโง่น้อย!”
เผยเฉียนอับอายจนพานเป็นความโกรธ เตรียมจะไปหยิบไม้เท้าเดินป่าในห้องด้านข้างมา ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็รู้สึกว่าวิชากระบี่มารคลั่งที่ตัวเองสร้างสรรค์ขึ้นก็ยิ่งมีอานุภาพมากกว่าเดิมแล้ว นางพร้อมจะสู้ตายกับเขา!
ชุยตงซานเห็นท่าไม่ดีก็เผ่นหนีว่องไวเหมือนใต้รองเท้าทาด้วยน้ำมัน
พอชุยตงซานหนีไปแล้ว เผยเฉียนก็หันมายิ้มให้เฉินผิงอัน “อาจารย์ เมื่อครู่ข้าแกล้งกลัวไปอย่างนั้นแหละ ต่อให้ไม่มียันต์สองแผ่นนี้ ตอนกลางคืนก่อนนอนข้าก็ยังท่องตำราอริยะปราชญ์ สิ่งชั่วร้ายใดๆ ก็ไม่อาจรุกราน ภูตผีก็ไม่ย่างกรายเข้าใกล้ ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันมองเจ้าตัวน้อยที่หน้าผากยังแปะยันต์อยู่สองแผ่นก็กลั้นยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “อาจจะกระมัง”
เผยเฉียนตื่นตระหนก “แค่ ‘อาจจะ’ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้ม “ที่นี่คือโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ไหนเลยจะมีภูตผีกล้าทำร้ายแขกที่มาเข้าพัก”
เผยเฉียนพูดอย่างน่าสงสาร “แล้วถ้ามีล่ะ?”
เฉินผิงอันงันไป ก่อนจะลูบศีรษะของนาง “วางใจเถอะ ข้าก็อยู่ห้องติดกับเจ้าไม่ใช่หรือ จะกลัวอะไร?”
เผยเฉียนตาเป็นประกาย รีบปลดยันต์เก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ วิ่งไปที่ริมหน้าต่างแล้วพร่ำพูดกับสวนดอกไม้ หนีไม่พ้นคำพูดไร้เดียงสาทำนองว่าอาจารย์ของข้าคือเฉินผิงอัน พวกเราเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ฯลฯ
มุมอื่นของโรงเตี๊ยม สุยโย่วเปียนเป็นฝ่ายไปหาชุยตงซานด้วยตัวเอง ถามว่า “เจ้ามีวิชาลับในการบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตใช่หรือไม่?”
ชุยตงซานเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
สุยโย่วเปียนถามเข้าประเด็น “เจ้าต้องการให้ข้าจ่ายด้วยอะไร?”
ชุยตงซานนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองสตรีสะพายกระบี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วยิ้มบางๆ “ง่ายมาก ไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง”
สุยโย่วเปียนขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”
ชุยตงซานทำสีหน้ารังเกียจ โบกมือไล่คน “เรื่องแค่นี้ยังคิดไม่เข้าใจ แล้วยังกล้าจะใช้ร่างของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวมาบำรุงหล่อเลี้ยงตัวอ่อนกระบี่ของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ในเร็ววันอีกรึ?”
สุยโย่วเปียนหมุนกายเดินจากไปด้วยใบหน้าประหนึ่งน้ำค้างแข็ง
ชุยตงซานไม่ถือสา คิดแล้วก็ไปยังที่พักของเว่ยเซี่ยน
จูเหลี่ยนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนร้อยบุปผา ไม่อยู่ในห้องพอดี ประตูห้องไม่ได้ลงดาล ชุยตงซานจึงผลักประตูเดินเข้าไปโดยตรง
เว่ยเซี่ยนกำลังอ่านอักขรานุกรมท้องถิ่นและตำราประวัติศาสตร์ที่ทำขึ้นเองซึ่งซื้อมาจากข้างทาง เขาวางหนังสือลง ถามว่า “มีธุระรึ?”
ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุยตงซานพลิ้วสะบัด พอเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ประตูห้องก็ปิดลงด้วยตัวเอง
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา กำเป็นหมัดเบาๆ “เจ้าเว่ยเซี่ยนไม่ดูขั้นตอน ดูแค่ผลลัพธ์ ในบรรดาคนทั้งสี่ เจ้าคือคนที่มีฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกที่สุด แต่กลับเป็นคนที่ใกล้ชิดสัจธรรมแห่งหมากล้อมมากที่สุดโดยไม่รู้ตัว สักวันหนึ่งต้องมีหนึ่งหมัดของเจ้าที่ต่อยลงบนจุดอันตรายของร่างกายอาจารย์ข้า ไม่สู้ให้ข้าต่อยเจ้าให้ตายไปวันนี้เลยดีกว่า”
เว่ยเซี่ยนกล่าวอย่างเฉยเมย “คิดจะใส่ร้ายคนอื่น ย่อมไม่หน่ายจะหาข้ออ้างสินะ?”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ภาพวาดภาพหนึ่งก็หล่นลงบนโต๊ะข้างกายเว่ยเซี่ยน และยังมีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองอีกสามเหรียญ
ชุยตงซานก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัด “ฆ่าผิดก็ฆ่าผิดไปเถอะ ฆ่าจนขอบเขตเจ้าถดถอยจนถอยกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว รอจนอาการบาดเจ็บของอาจารย์ข้าหายดี ค่อยถือโอกาสฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตห้า ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าคิดอยากจะลงมือก็ทำไม่ได้แล้ว”
เว่ยเซี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ความเสียหายจากการที่ขอบเขตของข้าถดถอยจะมากกว่า หรือการที่เจ้าสูญเสียความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์จะน่าอนาถยิ่งกว่า เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าภาพวาดนี้คือเวทอำพรางตาของเจ้าชุยตงซาน? เฉินผิงอันเป็นคนอย่างไร คิดว่าเจ้าน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ”
ชุยตงซานตกตะลึงเล็กน้อย เขาทอดฝีเท้าให้ช้าลง “ก่อนหน้านี้ดูแคลนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างเจ้าไปหน่อยจริงๆ พูดมาเถอะ พวกเราสองคนต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าเจ้าเว่ยเซี่ยนต่างหากที่เป็นภัยร้ายซ่อนแฝงที่แท้จริง แต่เจ้าไม่ยอมลงมือสักที ข้าประหลาดใจอย่างมาก เป็นเพราะ…เผยเฉียนอย่างนั้นรึ?”
เว่ยเซี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่พูดตอบโต้
ชุยตงซานคลี่ยิ้มแล้วนั่งลง “อาศัยโอกาสตอนที่สอนอาจารย์ข้าเล่นหมากล้อมแล้วช่วยทบทวนกระดานหมากให้เขา เกี่ยวกับเรื่องของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ข้าก็ล้วนสอบถามมาหมดแล้ว หนึ่งในนั้นคือภูมิหลังความเป็นมาของคนทั้งสี่ในภาพวาดอย่างพวกเจ้า ขอแค่เป็นเรื่องที่เขารู้ ข้าก็รู้หมด เบาะแสใดๆ ที่เขาไม่สังเกต ข้าล้วนไม่ปล่อยผ่าน”
ชุยตงซานชี้ไปยังตำราประวัติศาสตร์ที่รวบรวมขึ้นเองเล่มหนึ่งบนโต๊ะ “เมื่อเทียบกับบันทึกประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นเองของคนรุ่นหลังในแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นที่อำมหิตโหดร้ายคนนั้นของพวกเขารักองค์หญิงน้อยที่ตายไปตั้งแต่ยังเด็กมากที่สุด เพื่อนางแล้ว เขาถึงกับส่งผู้ที่งมงายในเรื่องของเซียนและอายุวัฒนะทุกคนในราชสำนักไปตามหาเซียน ถ้าเช่นนั้นในสายตาของเจ้าเว่ยเซี่ยน เผยเฉียนกับบุตรสาวของเจ้าคล้ายคลึงกันกี่ส่วน? หากสังหารเฉินผิงอัน เจ้าก็จะสามารถให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในพื้นที่มงคลดอกบัว หรือไม่ก็อาศัยร่างของเผยเฉียนทำให้บิดาและบุตรสาวกลับมาพบกันใหม่อีกครั้งในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้? อืม บางทีเจ้าเว่ยเซี่ยนอาจจะตาย แต่ถึงอย่างไรนางก็สามารถมีชีวิตได้อีกหนึ่งชาติภพ ส่วนเรื่องที่ว่าจะได้อยู่ในแคว้นหนันเยวี่ยนอันเป็นมาตุภูมิหรือไม่กลับไม่สำคัญแล้ว ถึงอย่างไรญาติพี่น้องก็ล้วนเหลือเพียงโครงกระดูก ไม่แน่ว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่า ดังนั้นเจ้าเว่ยเซี่ยนจึงเลือกที่จะรออยู่เงียบๆ หวังจะปูทางให้นางได้มากกว่านี้ก่อน? สะสมทรัพย์สมบัติให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้นางพบจุดจบที่ต้องตายก่อนวัยอันควรอีกครั้ง? ดังนั้นจึงต้องฆ่าเฉินผิงอันให้ได้ เพียงแต่ว่าสมบัติมากมายบนร่างของเขา เจ้าก็ต้องการเช่นเดียวกัน จะได้เก็บไว้ให้เผยเฉียนคนใหม่ของเจ้าเป็นสมบัติในการฝึกตนวันหน้า?”
มือที่อยู่ใต้โต๊ะของเว่ยเซี่ยนกำเป็นหมัด
ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “อาจารย์ของข้าพูดได้ดี ผู้อาวุโสท่านนี้มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้า คิดคำนวณทุกด้านอย่างรอบคอบ เขามอบพื้นที่ว่างในการเลือกให้แก่เฉินผิงอัน ให้แก่เผยเฉียนและให้แก่เจ้าตามกฎเกณฑ์ และยังวางแผนแห่งมหามรรคาไว้ในกฎเกณฑ์บางอย่างอีกด้วย”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจการเล่นหมากล้อม แต่วิชาหมากล้อมของท่านชุยสูงส่งอย่างแท้จริง”
จากนั้นเว่ยเซี่ยนก็ยิ้มกล่าวว่า “แต่หากต่อให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรับกับเฉินผิงอัน ท่านชุยจะทำอะไรได้?”
ชุยตงซานหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเว่ยเซี่ยนคิดว่าตัวเองเข้าใจเฉินผิงอันจริงๆ หรือ? ไม่พูดถึงวิชาลับเฉพาะบางอย่างของข้าที่สามารถกักขังวิญญาณเจ้าให้คายความจริงออกมาได้ ข้ากล้ายืนยันเลยว่า ขอแค่ข้าบอกคำอนุมานเหล่านี้แก่เฉินผิงอันไปตามตรง จุดจบของเจ้าเว่ยเซี่ยนก็น่าจะเป็น…ข้าใช้กระบี่บินวาดวงกลม อำพรางฟ้าดิน จากนั้นเขาเฉินผิงอันใช้ตบะในปัจจุบันต่อยให้เจ้าเว่ยเซี่ยนตายติดต่อกันสามครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นชีวิตนี้เจ้าเว่ยเซี่ยนจะไม่มีโอกาสได้พบคนที่เจ้าอยากพบที่สุดอีกแล้ว”
เว่ยเซี่ยนคลายหมัดที่อยู่ใต้โต๊ะ ตอบอย่างตรงไปตรงมา “เป็นเช่นนี้จริง”
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ชุยตงซานเรียกชื่อเฉินผิงอันออกมาตรงๆ ต่อหน้าคนสี่คนในภาพวาด
ชุยตงซานบังคับกระบี่บินเล่มนั้นให้วาดเป็นวงกลมแล้วก็หยิบเอาภาพม้าวิ่งออกมาคลี่เปิด หยิบช่วงหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาออกมา ยิ้มกล่าวว่า “อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองย่อมนำทรัพย์สมบัติมาให้ ไม่เห็นจำเป็นต้องฆ่าแกงกัน จิตใจของเจ้าเว่ยเซี่ยนไม่เลว แต่เสียตรงที่วิสัยทัศน์คับแคบ มาๆๆ ข้าจะบอกตาแก่บ้านนอกอย่างเจ้าเองว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้เอาเศษกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตกองใหญ่มาตั้งใจประกอบให้เป็นคนมีชีวิตที่กระโดดโลดเต้นได้อย่างไร เบิกตาสุนัขของเจ้าให้กว้าง ตั้งใจดูให้ดี ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่านอกจากนายท่านผู้เฒ่าจมูกวัวหน้าเหม็นในพื้นที่มงคลดอกบัวของเจ้าคนนั้นแล้ว ข้าชุยตงซานก็มีโอกาสจะทำให้เจ้าได้สมปรารถนาเช่นเดียวกัน ไม่กล้ารับรองว่าจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน แต่โอกาสก็มีมากกว่าที่ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นอย่างเจ้าจะใช้วิธีเสี่ยงอันตรายภายใต้เปลือกตาข้ากระมัง?”
ครึ่งก้านธูปต่อมา
เว่ยเซี่ยนลุกขึ้นยืน ก้มหน้ากุมหมัดไม่พูดไม่จา
ชุยตงซานเก็บภาพกาลเวลาม้าวิ่งไปแล้วก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
เว่ยเซี่ยนเงยหน้าขึ้น แต่ยังคงกุมหมัดเอาไว้ “ท่านก็คือราชครูต้าหลี ซิ่วหู่ ชุยฉานกระมัง?”
ชุยตงซานเลิกคิ้วขึ้น “ไม่เสียแรงที่เคยเป็นฮ่องเต้มาก่อน รู้เพียงน้อยนิดก็อนุมานไปได้กว้างไกล ฉลาดกว่าหลูป๋ายเซี่ยงไม่น้อย”
สายตาเว่ยเซี่ยนฉายประกายร้อนแรง “ใต้เท้าราชครูช่วยบอกข้าน้อยได้หรือไม่ว่า ต้าหลีที่มีอาณาเขตเล็กๆ สามารถเขมือบกลืนแผ่นดินครึ่งหนึ่งของทวีปได้อย่างไร?”
ชุยตงซานยิ้มคลุมเครือ “เจ้าอาศัยอะไรมาเรียกร้องกับข้าเช่นนี้?”
เว่ยเซี่ยนวางหมัดลง กลับไปนั่งที่เดิม “ก็อาศัยที่ใต้เท้าราชครูยินดีเปลืองน้ำลายพูดคุยกับข้าเว่ยเซี่ยนที่ต้องแพ้อย่างแน่นอนอยู่ในห้องนี้ บนร่างข้าย่อมต้องมีสิ่งที่ราชครูคิดว่ามีค่า วันนี้ไม่มี วันหน้าก็ต้องมี”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เหล่าเว่ย เจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาดีจริงๆ พูดคุยกับเจ้าแล้วไม่เหนื่อยใจ”
เว่ยเซี่ยนลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง
ชุยตงซานกลับโบกมือ “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร นี่ต่างหากถึงเป็นกุญแจสำคัญที่แท้จริงที่ทำให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของอาจารย์ข้า หากเจ้ากล้าคิดร้ายกับเผยเฉียนจริงๆ ขอแค่เอานางมาทำเป็นหุ่นเชิดแล้วเผยพิรุธออกมา เจ้าก็ต้องตายอย่างที่ไม่อาจตายไปได้มากกว่านั้นได้อีกแล้ว ไม่ใช่ข้าที่ฆ่าเจ้า แต่เป็นเฉินผิงอัน”
สายตาของชุยตงซานมืดลึก “เจ้ากำลังรอโอกาส เฉินผิงอันเองก็กำลังรอให้เจ้าลงมืออยู่เช่นกัน อาจจะเป็นเช่นนี้ หรือบางทีอาจจะไม่ใช่ แต่โอกาสที่จะใช่มีมากกว่า”
เว่ยเซี่ยนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่เชื่อ”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย แหงนหน้ากล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงไม่รู้สินะว่าเฉินผิงอันเคยงัดข้อ เคยเล่นชักคะเย่อบนสภาพจิตใจกับคนแบบใดมาบ้าง ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าวิสัยทัศน์ของเจ้าเว่ยเซี่ยนคับแคบ”
เว่ยเซี่ยนถาม “ราชครูต้องการอะไรอีก?”
ชุยตงซานถอนหายใจ “บอกยาก ไว้รอดูอีกที จำไว้ว่าวันหน้าห้ามเรียกข้าว่าราชครู ตอนนี้ข้าเป็นศัตรูกับตัวเองครึ่งตัว”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บนพื้นก็ปรากฏภาพแผนที่แจกันสมบัติทวีป คือภาพแผนที่ก่อนที่สกุลซ่งต้าหลีจะฮุบกลืนราชวงศ์สกุลหลู ชุยตงซานเดินไปบนจุดที่อยู่เหนือสุดของทวีป หัวเราะเสียงดังอย่างฮึกเหิม “อยู่ว่างๆ ก็น่าเบื่อ จะเล่าให้เจ้าฟังถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้าในปีนั้นก็แล้วกัน เล่าว่าข้าลงใต้อย่างไร ในอนาคตจะทำให้อาณาเขตของหนึ่งทวีปกลายเป็นแผ่นดินของหนึ่งแคว้นได้อย่างไร!”
……
หลังจากเผยเฉียนออกจากห้องไปแล้ว
เฉินผิงอันที่อยู่คนเดียวก็หลับตาทำสมาธิคล้ายเหนื่อยล้าเล็กน้อย
เขาลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง
ฤดูใบไม้ผลิของอีกปีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
เฉินผิงอันฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนขอบหน้าต่าง คลี่ยิ้มมองออกไปข้างนอก
……
จวนตระกูลเซียนแห่งใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นบนภูเขาเมฆาเรือง คือที่พักสำหรับฝึกตนในปัจจุบันของเทพธิดาไช่จินเจี่ยน
จวนตั้งอยู่ติดกับหน้าผา การมองเห็นจึงเปิดกว้าง สามารถมองไปได้ไกลมาก
นางไล่พวกบ่าวรับใช้หญิงที่พรสวรรค์ในการฝึกตนพอใช้ออกไป ตัวเองนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองเพียงลำพัง ในมือถือม้วนภาพที่ไม่เคยเอาให้ใครดูมาก่อน
ตอนนี้ไช่จินเจี่ยนมีชื่อเสียงโด่งดังในภูเขาเมฆาเรือง หรือแม้แต่ในบรรดาพรรคและตระกูลเซียนมากมายของแจกันสมบัติทวีป นางก็กลายมาเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีคุณสมบัติจะนั่งทัดเทียมกับผู้อาวุโสเซียนดินได้แล้ว
หลังกลับมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู นอกจากตบะของนางจะเพิ่มพูนขึ้นแล้ว ยังมีความลับอีกมากมายที่ไม่มีใครล่วงรู้ ยกตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์อันสนิทแน่นแฟ้นระหว่างนางกับฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า
และเมื่อไช่จินเจี่ยนได้ผ่านความรุ่งโรจน์สูงสุดและความตกต่ำสูงสุดมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหายนะแห่งความตายที่แม้แต่บุรพาจารย์ในสำนักก็ยังไม่รู้ครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือจิตใจของไช่จินเจี่ยนก็ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรียกว่าผลัดครรภ์เปลี่ยนกระดูก ทำให้คนรู้สึกตกตะลึงและอิจฉา
เมื่อหลายปีก่อนไช่จินเจี่ยนชอบลงจากภูเขาไปท่องเที่ยวไกลๆ ทว่าสองปีนี้กลับปิดด่านตลอด
ไช่จินเจี่ยนคลี่ม้วนภาพวาดที่อยู่ในมือ ด้านบนคือภาพของชาวลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่สวมชุดสีเขียว จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา
เป็นภาพที่นางวาดเอง
ไช่จินเจี่ยนที่ในสายตาของคนนอกจิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งขึ้นทุกที อีกทั้งมหามรรคายังรออยู่ตรงหน้า เวลานี้ก้มหน้าลง ขนตาสั่นระริก พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ฉี”
นางเก็บม้วนภาพวาดช้าๆ นำมาประคองไว้ในอ้อมกอด ใจลอยไปไกล
ปีนั้นนางตายและฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง ช่วงเวลาก่อนที่จะแยกจากกับอาจารย์ฉี เขาบอกว่ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องนาง
ไช่จินเจี่ยนย่อมยินดีช่วย
อาจารย์ฉีต้องการให้นางนำภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลาภาพหนึ่งส่งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของภูเขาห้อยหัว
อีกทั้งหลังจากนั้นอาจารย์ฉียังบอกให้นางช่วยทยอยส่งภาพอีกหลายม้วนไปที่นั้น
บุคคลสำคัญในภาพวาดก็คือเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคนนั้น เนื้อหาในม้วนภาพนอกจากเฉินผิงอันตอนเป็นเด็กที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ก็ยังมีภาพที่เขาออกเดินทางไกลไปยังต้าสุย และจากนั้นก็เดินทางลงใต้ไปส่งกระบี่เพียงลำพัง สุดท้ายคือก่อนจะเดินทางไปถึงแคว้นไฉ่อี หลังจากนั้นอาจารย์ฉีก็เอ่ยขอบคุณและบอกลานางไช่จินเจี่ยน
ไช่จินเจี่ยนเคยปลุกความกล้าถามไปด้วยความใคร่รู้ว่าตนสามารถดูภาพพวกนั้นได้ไหม
อาจารย์ฉียิ้มอ่อนโยน พยักหน้าบอกว่าได้
บนภาพม้วนสุดท้ายมีอาจารย์ฉีปรากฎตัว เอ่ยคำสั่งเสียสุดท้ายก่อนจากลา
พูดให้คนผู้นั้นที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ฟัง
‘ข้ามีคำขอร้องที่อาจจะไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก ขอแม่นางหนิงโปรดรับไว้พิจารณา’
‘เฉินผิงอันที่เป็นเช่นนี้จะดีต่อคนบนโลก ถ้าอย่างนั้นก็ขอแม่นางหนิงโปรดดีต่อเฉินผิงอัน’
‘หากสุดท้ายแล้วแม่นางหนิงยังคงไม่ชอบเฉินผิงอันก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าทำให้ศิษย์น้องเล็กของข้าเสียใจกับคำว่ารักมากเกินไป ฉีจิ้งชุนขอขอบคุณมา ณ ที่นี้’
เวลานี้ไช่จินเจี่ยนเงยหน้าขึ้น เหม่อมองไปยังทิศไกล
อาจารย์ฉี มักจะทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้เสมอ