บทที่ 399 เรื่องที่ไม่กลัวที่สุดในใต้หล้านี้
หลี่เป่าเจินมองคนหนุ่มที่ไม่ควรมาปรากฏตัวบนทางสายนี้ที่สุดผู้นั้น ความคิดก็พลันแล่นเร็วจี๋
เป็นหลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ด้านหลังที่เล่นงานตน หวังจะยึดครองแผ่นดินเบื้องหลังของแคว้นชิงหลวนเพียงลำพัง? ไม่น่าจะใช่ ใต้เท้าราชครูไม่มีทางปล่อยให้หลิ่วชิงเฟิงกุมอำนาจใหญ่เพียงลำพัง ให้ตนคอยถ่วงดุลกับหลิ่วชิงเฟิงจึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้องเหมาะสม
ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นความบังเอิญ คืนนี้เป็นเพียงแค่การพบเจอกันโดยบังเอิญที่เกิดขึ้นกะทันหันเท่านั้น?
หลี่เป่าเจินถอนหายใจ หากตนโชคร้ายขนาดนี้ก็ไม่สู้ให้ถูกคนวางแผนทำร้ายเสียยังดีกว่า ถึงอย่างไรการแข่งขันด้านทักษะการเล่นหมากล้อมก็สามารถใช้สมองมางัดข้อกับผู้อื่นได้ แต่หากเป็นโชควาสนาที่ย่ำแย่ ถ้าอย่างนั้นเขาหลี่เป่าเจินจะต้องไปจุดธูปไหว้พระจริงๆ น่ะหรือ?
หลี่เป่าเจินลุกขึ้นยืนอยู่ด้านหลังสารถีเฒ่า ถามเสียงเบา “เป็นยังไง?”
สารถีเฒ่าพูดเสียงหนัก “หนึ่งในผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังคนผู้นี้ ผู้ที่เป็นคนแก่หลังค่อม มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล ขอบเขตไม่ต่ำไปกว่าข้า”
หลี่เป่าเจินตบหน้าผากตัวเอง “รายงานลับทำให้ข้าเข้าใจผิดซะแล้ว”
ตามคำบอกในรายงานที่สายลับส่งให้ช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันพักอยู่ในโรงเตี๊ยมสวนร้อยบุปผาของเมืองหลวง ปรมาจารย์สี่คนที่เป็นผู้ติดตามจากไปแล้วสามคน ข้างกายเหลือแค่ผู้ติดตามสองคนเท่านั้น คนหนึ่งมีชื่อว่าจูเหลี่ยน ยังไม่รู้ตบะตื้นลึก อาจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างทอง ส่วนอีกคนหนึ่งมีพฤติกรรมแปลกประหลาด ท่ามกลางคลื่นลมของสวนสิงโต เขาแสดงออกอย่างธรรมดาสามัญ ความสามารถที่แท้จริงน่าจะสู้จูเหลี่ยนไม่ได้ ส่วนตัวเฉินผิงอันเองนั้น ดูจากมาตรฐานการออกหมัดบนหัวกำแพงสวนสิงโต ขอบเขตต่ำสุดคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้า สามารถวาดยันต์ บนร่างสวมชุดคลุมอาคมตระกูลเซียนตัวหนึ่งที่บอกระดับได้ยากยิ่ง พกน้ำเต้าห้อยติดตัว คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีชื่อว่า ‘เจียงหู’ ด้านในเลี้ยงกระบี่บินไว้หรือไม่ ยังไม่รู้ได้
แม้จะบอกว่าเมื่อเอาเนื้อหาในรายงานที่กระจัดกระจายมาประกอบเข้าด้วยกันก็ยังไม่สามารถรู้รากฐานที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้อยู่ดี
แต่นี่ไม่สำคัญ หลี่เป่าเจินตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ต่อให้เฉินผิงอันที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนกลายมาเป็นเทพเซียนพสุธาภายในชั่วข้ามคืนเดียว ก็ยังไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาหลี่เป่าเจินอยู่ดี
หลี่เป่าเจินคิดจะอาศัยสถานการณ์ใหญ่ของต้าหลีมาเป็นกระดานหมากของตัวเอง เพื่อปั่นหัวเฉินผิงอันที่อยู่ในสถานการณ์
เมื่อหมากแต่ละตัวบนกระดานขยับเคลื่อนอย่างเงียบเชียบ รายงานของพื้นที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่ศาลาคลื่นมรกตของต้าหลีรวบรวมมาก็เหมือนใยแมงมุมที่ถูกถักทออย่างไม่หยุดนิ่ง
ก่อนจะออกมาจากต้าหลี ราชครูชุยฉานมอบทางเลือกให้หลี่เป่าเจินสามทาง ไปต้าสุย รับผิดชอบจับตามองพื้นที่แคว้นใต้อาณัติเก่าของต้าสุยซึ่งรวมไปถึงเชื้อพระวงศ์สกุลเกาและแคว้นหวงถิงด้วย หรือไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายและเป็นหินขวางทางก้อนใหญ่สุดที่ขวางอยู่เบื้องหน้ากีบเท้าม้าเหล็กของต้าหลี ความเคลื่อนไหวของสำนักศึกษากวานหูที่อยู่ทางทิศใต้ก็ถือว่าสำคัญในสำคัญ สุดท้ายก็คือแคว้นชิงหลวน เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสองแห่งแรก พื้นที่บ้านนอกเล็กๆ ที่ในอดีตถือเป็นพื้นที่รกร้างห่างไกลแห่งนี้ เมื่อมีปัญญาชนและชนชั้นสูงที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปย้ายถิ่นฐานลงใต้ สองปีที่ผ่านมานี้ศาลาคลื่นมรกตถึงได้เริ่มเพิ่มการลงทุนครั้งใหญ่ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการแสดงออกให้เห็นภายนอกซึ่งเขาหลี่เป่าเจินมองเห็นหลังจากขึ้นรับตำแหน่งขุนนางใหม่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นแม้แต่คดีของสารถีเฒ่าผู้นี้ เขาก็คงไม่ถึงขั้นตรวจสอบไม่ได้ แต่หลี่เป่าเจินไม่ใช่คนโง่ วงการขุนนางมีผู้เฒ่าถังจ้งแคว้นชิงหลวน ยุทธภพมีพวกคนอย่างจู๋เฟิ่งเซียนพรรคต้าเจ๋อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราชครูชุยฉานมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง และถึงขั้นยอมแหกกฎมาพบหลิ่วชิงเฟิงแห่งสวนสิงโต…ทั้งหมดนี้ต่างก็แสดงให้เห็นว่าสายตาของหลี่เป่าเจินไม่แย่ เลือกสถานที่แห่งนี้มาเป็น ‘สถานที่มังกรลุกผงาด’ ให้กับตัวเองที่อยู่ในราชสำนักต้าหลี อยู่ห่างจากน้ำวนใจกลางสกุลซ่งต้าหลีที่แม้แต่กระดูกคนก็ยังถูกบดให้แหลกเป็นผุยผงนั่นชั่วคราว ย่อมเป็นการเดิมพันที่ถูกต้องแล้ว
หลี่เป่าเจินโมโหเล็กน้อย หากรออีกสักสองสามวัน รอให้บุคคลยิ่งใหญ่ที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเขาเข้ามาในแคว้นชิงหลวนเสียก่อน นั่นก็จะเป็นสถานการณ์ดีเยี่ยมที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ต้องหวาดกลัว ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงเอย ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสกุลถังอย่างโจวหลิงจืออะไรเอย ล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง
แล้วทำไมเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นี้ถึงได้เลือกเวลาและสถานที่อย่างในตอนนี้ได้เล่า?
หลี่เป่าเจินหันกลับไปค้อมตัวเลิกม่านขึ้น ยิ้มบางๆ ถามว่า “ท่านหลิ่ว มีทางหนีทีไล่หรือไม่?”
หลิ่วชิงเฟิงส่ายหน้า “ก็เหมือนกับเจ้า ต้องรออีกสองสามวันถึงจะมีเลขาธิการฝ่ายบู๊คนหนึ่งมาทำหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้ติดตามประจำตัวข้า”
หลี่เป่าเจินหน้ามุ่ย “หรือท่านหลิ่วจะทนเห็นพันธมิตรอย่างข้าตายไปก่อนจะทันได้ออกรบได้ลงคอ?”
หลิ่วชิงเฟิงคิดแล้วก็ตอบว่า “ข้าเชื่อว่าแผนการของราชครูชุยฉานต้องไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน”
หลี่เป่าเจินถอนหายใจหนึ่งที ปล่อยผ้าม่านลง ดูท่าไม่ว่าคืนนี้จะเป็นโชคหรือหายนะก็ล้วนหลบเลี่ยงไม่พ้นแล้ว
ใช่ว่าหลี่เป่าเจินจะไม่เชื่อมั่นในฝีมือการเล่นหมากล้อมของซิ่วหู่ แต่เป็นเพราะไม่แน่เสมอไปว่าใต้เท้าราชครูจะเห็นหญ้าบนยอดกำแพงอย่างเขาอยู่ในสายตาจริงๆ นี่นา หลี่เป่าเจินถึงขั้นเชื่อด้วยว่า หากต้องให้ชุยฉานตัดใจเลือกระหว่างตนกับหลิ่วชิงเฟิง อย่างน้อยตอนนี้ชุยฉานก็คงจะเลือกเก็บหลิ่วชิงเฟิงไว้บนกระดานหมากอย่างไม่ลังเล ส่วนเขาหลี่เป่าเจินก็จะถูกคีบขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนกลับเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมากให้จบๆ เรื่องกันไป ภูเขาเศษเครื่องกระเบื้องที่บ้านเกิดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นั่นก็ล้วนเป็นเม็ดหมากน่าสงสารที่ถูกทอดทิ้งเพราะน้ำหนักไม่มากพอ จึงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงท่ามกลางการช่วงชิงบนมหามรรคาไม่ใช่หรือ?
หลี่เป่าเจินชอบที่จะปีนขึ้นไปอยู่บนยอดเขาเครื่องกระเบื้องเพียงลำพังมานานมากแล้ว เพราะมักจะรู้สึกเหมือนได้เหยียบย่ำขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของกองกระดูกขาวโพลน ความรู้สึกนั้นดีเยี่ยมอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันบอกให้สือโหรวปกป้องเผยเฉียนไปยืนอยู่ไกลๆ เพียงแค่พาจูเหลี่ยนเดินหน้าไปด้วยกันต่ออีกครั้ง
ชุยตงซานพลันส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งมาให้ตน บอกว่าหลี่เป่าเจินมาปรากฏตัวที่สวนสิงโต ถ้อยคำที่เขียนกระชับและรัดกุม ปิดท้ายด้วยสองคำว่า ‘ฆ่าได้’
เฉินผิงอันไม่มีความสงสัยหรือลังเลใดๆ เขารีบออกจากเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งมาที่สวนสิงโต
สำหรับเรื่องบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา เฉินผิงอันเลือกที่จะเชื่อใจชุยตงซาน ยกตัวอย่างเช่นเลือกสือโหรวผีสาวโครงกระดูกให้เป็นผู้ยึดครองคราบร่างเซียนของตู้เม่า แล้วก็ตามมาด้วยครั้งนี้
พออยู่ห่างจากรถม้าไม่ถึงห้าสิบก้าว เฉินผิงอันก็เดินไปข้างหน้าช้าๆ จนกระทั่งมองเห็นคุณชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังสารถีได้ชัดเจน
คือคนผู้นี้ที่หลอกใช้ความรักของเด็กสาวและจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาของจูลู่ จากนั้นก็โยนเหยื่อล่อนางโดยบอกว่าการที่ตัวเองเอาชื่อพวกเขาพ่อลูกออกจากความเป็นทาสก็เพื่อจะได้ช่วงชิงตำแหน่งฮูหยินตราตั้งมาให้นาง เป็นเหตุให้ปีนั้นจูลู่ที่เดินอยู่ท่ามกลางระเบียงพูดจายิ้มแย้มเดินเข้าหาเฉินผิงอัน ทว่าสองมือที่ไพล่หลังกลับมีแต่ปราณสังหาร
นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินผิงอันออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วรู้สึกถึงความลึกล้ำและความอันตรายของใจคนได้ดีขึ้นนับจากคุมเชิงกับวานรเฒ่าแห่งภูเขาตะวันเที่ยงซึ่งมีเพียงเส้นกั้นบางๆ ขวางระหว่างความเป็นและความตาย
“เฉินผิงอัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกันกระมัง?”
หลี่เป่าเจินยืนอยู่ด้านหลังสารถีเฒ่า เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มบางๆ “ลืมแนะนำตัวเองไป ข้าชื่อหลี่เป่าเจิน เป็นน้องชายของหลี่ซีเซิ่ง เป็นพี่ชายของหลี่เป่าผิง”
เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง ถามว่า “หากคืนนี้เจ้าตายอยู่ที่นี่ จะเสียใจภายหลังหรือไม่?”
หลี่เป่าเจินพยักหน้ารับ “ต้องเสียใจจนไส้เขียวอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เสียใจที่ทำงานได้ไม่ละเอียดรอบคอบพอมากกว่ากระมัง?”
ดูเหมือนหลี่เป่าเจินจะรู้สึกว่าไหแตกแล้วก็ทุ่มให้แหลกไปเสียเลย จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็ใช่น่ะสิ พอออกมาจากถนนฝูลวี่เขตการปกครองหลงเฉวียนและราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราก็รู้สึกว่าเป็นนกที่โบยบินขึ้นไปบนฟ้าสูงได้แล้ว ไม่ค่อยจะฉลาดสักเท่าไหร่ เฉินผิงอันเจ้าสอนหลักการที่ล้ำค่าในการเป็นคนให้กับข้าถึงสองครั้ง เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม วันหน้าเจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินไปบนทางสะพานไม้ของข้า ตกลงไหม?”
จูเหลี่ยนยกมือขึ้น ถูสองฝ่ามือเข้าด้วยกันท่าทางคันไม้คันมือเต็มแก่ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตาเฒ่าคนขับรถผู้นั้น แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล แต่บ่าวเฒ่าก็สามารถรับมือได้ นายน้อย จะดีจะชั่วก็เป็นคนขอบเขตเดียวกัน ถึงเวลานั้นหากบ่าวเฒ่าไม่ทันระวัง หยุดมือไม่ทันกาลก็อย่าถือสาเลยนะ”
สายตาสารถีเฒ่าฉายประกายร้อนแรง จ้องผู้เฒ่าหลังค่อมเขม็ง สามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว รวมไปถึงแคว้นเล็กๆ ที่อยู่รอบด้าน น้ำในยุทธภพตื้นเขิน อีกทั้งยังมีภารกิจติดตัว ไม่อาจเดินทางไกลโดยพลการ ย่ำยีคำเรียกขานว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดไปอย่างเสียเปล่า ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่คืนนี้จะได้มาเจอกับคนคนหนึ่งที่ฝีมือทัดเทียมกัน มีหรือจะยอมปล่อยผ่านไป เพียงแต่ว่าด้านหลังยังมีเจ้าสารเลวหลี่เป่าเจิน รวมไปถึงท่านหลิ่วที่อยู่ในห้องโดยสาร ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงถามว่า “รับมือกับผู้ติดตามคนนี้ก็หนักหนาพออยู่แล้ว ใต้เท้าหลี่ เจ้ามีแผนการแยบยลอะไรจะถ่ายทอดให้ข้าหรือไม่? แผนการที่ทั้งปกป้องเจ้าไม่ให้ตาย แล้วก็ทั้งช่วยให้ข้าต่อสู้ได้อย่างสาแก่ใจ?”
หลี่เป่าเจินยิ้มจืดเจื่อน “ข้าจะคิดแผนการอะไรแบบนั้นออกได้อย่างไร แผนการอันแยบยลทั้งหลายของข้ามีไว้แค่ทำร้ายคนอื่น ไม่ได้มีไว้ช่วยตัวเอง”
สารถีลุกขึ้นยืน หัวเราะหยันกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรเลยสินะ? คิดคำนวณไปมา มองดูเหมือนจะทำให้คนหูตาพร่าลาย ผลกลับกลายเป็นว่ามีปัญญาเท่านี้เอง”
หลี่เป่าเจินยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็คงต้องรบกวนให้เจ้าออกแรงมากหน่อย ช่วงชิงโอกาสให้ข้าได้ล้อมคอกหลังวัวหาย”
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ศักยภาพของสารถีเฒ่าสูง ภาระที่แบกไว้บนบ่าย่อมหนักอึ้งเป็นธรรมดา จึงไม่ถึงขั้นที่ว่าแค่รู้สึกรังเกียจหลี่เป่าเจินแล้วจะเดินหนีทิ้งเขาไปทั้งอย่างนี้
รถม้าสั่นสะเทือนน้อยๆ หลี่เป่าเจินรู้สึกเพียงว่ามีลมเบาๆ พัดผ่านใบหน้าไปวูบหนึ่ง สารถีเฒ่าพุ่งวูบออกไปเป็นสายยาว กระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน
พงต้นกกต้นอ้อที่ขึ้นอยู่สองฝั่งทางสายเล็กล้วนโน้มเอียงเข้าหาเฉินผิงอันและจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนเดินค้อมเอวไปด้านหน้าสองสามก้าวด้วยความเคยชิน เรือนกายว่องไวปราดเปรียวดุจสายฟ้า ยื่นฝ่ามือออกไปข้างหนึ่ง
เป็นหมัดที่ต่อยออกไปอย่างว่องไวเพื่อต้านรับพายุหมัดกระโชกแรงจนชายแขนเสื้อสองข้างพองโป่งของสารถีเฒ่า
จูเหลี่ยนถอยกรูดออกไปด้านหลัง มายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอันพอดี ส่วนสารถีเฒ่าก็ใช้โอกาสนี้พลิ้วกายลงยืนบนพื้น
พงต้นกกต้นออกสองข้างทางพากันเอนเอียงไปฝั่งซ้ายฝั่งขวาอีกครั้ง ก่อให้เกิดเสียงดังซู่ๆ ท่ามกลางค่ำคืนที่เดิมทีสรรพสิ่งเงียบสงัด จึงฟังแล้วบาดหูเป็นพิเศษ
หลี่เป่าเจินมองกระแสลมปราณของพายุหมัดที่กระจายออกไปสี่ทิศ ในขณะที่ล่องลอยไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเฉินผิงอันซึ่งยืนนิ่งไม่ขยับก็เหมือนลมพัดฝนโปรยปรายที่เจอเข้ากับร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง หยดน้ำจึงไม่อาจสัมผัสโดนคนกางร่มได้แม้แต่น้อย
หนังตาหลี่เป่าเจินกระตุกอย่างห้ามไม่ได้ ไม่เสียแรงที่เป็นคนอายุยังน้อยก็มีตบะวิถีวรยุทธ์ขอบเขตห้า
เจ้าเศษสวะตรอกหนีผิงผู้นี้ พอออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ดูท่าจะพบเจอกับโชควาสนาที่ไม่เลวเลยทีเดียว
หลี่เป่าเจินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หรือว่าตอนนั้นตนควรเลือกเดินบนเส้นทางของการฝึกตนจริงๆ?
ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสูงสุดที่อายุไม่ถึงสิบแปด เอาไปวางไว้ในราชสำนักต้าหลีที่เลื่อมใสผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าคงสามารถเรียกขานว่าอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ได้แล้วกระมัง?
หรือว่าหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา โชคชะตาบู๊ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลขุมนั้นจะถูกไอ้หมอนี่ยึดครองไปเพียงลำพัง? ไม่ถูกสิ ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง หลี่เอ้อร์ บวกกับเจิ้งต้าเฟิง สามคนนี้แบ่งสัดส่วนกันแล้ว อย่างมากสุดก็เหลือแค่เศษน้ำแกงเย็นๆ เท่านั้น
จูเหลี่ยนสะบัดข้อมือ หัวเราะเฮอๆ “พี่ชายท่านนี้ หมัดของเจ้านุ่มนิ่มไปหน่อยนะ ทำไม เกรงใจข้างั้นหรือ? กลัวว่าต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวแล้วจะไม่มีอะไรให้เล่นสนุกอีก? ไม่ต้องๆ ออกหมัดมาได้เต็มที่ ต่อยแบบเอาให้ถึงตาย ข้าคนนี้หนังหนาทนการทุบตีได้ดีที่สุด หากพี่ชายยังเก็บๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ!”
ร่างของจูเหลี่ยนเหมือนวานรที่เผ่นโผนโจนทะยานอยู่ในป่า ความเร็วนั้นราวกับเซียนซือใช้ยันต์ฟางชุ่นหดย่อพื้นที่พันลี้ พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าสารถีเฒ่า ปล่อยหมัดตรงๆ กลับคืนไปให้อีกฝ่าย
ความสามารถในการมองเห็นของหลี่เป่าเจินมีจำกัด เห็นเพียงว่าหลังจากจูเหลี่ยนปล่อยหมัดนั้นออกมา ทั้งสองฝ่ายก็คุมเชิงกัน ตอบโต้กลับคืนให้กันและกันอย่างมีมารยาทอยู่ในพื้นที่เล็กๆ มองจนเขาเวียนหัวตาลาย
และเพียงไม่นานหลี่เป่าเจินก็รู้สึกว่าหูอื้อจนเจ็บแปลบ ต้องกลืนน้ำลายถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
สารถีเฒ่าตวาดเบาๆ หนึ่งที ปล่อยสองหมัดรัวไปติดๆ กัน ทำเอาจูเหลี่ยนกระเด็นเข้าไปในพงต้นกกต้นอ้อ ส่วนตัวเขาเองก็ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ต้องกระทืบพื้นแรงๆ ยกเท้าอีกข้างขึ้นเบาๆ เพื่อหยุดร่างให้มั่นคง
หากไม่เป็นเพราะเป็นห่วงหลี่เป่าเจินที่อยู่ด้านหลัง สารถีเฒ่าย่อมออกหมัดได้เต็มคราบยิ่งกว่านี้
จูเหลี่ยนคลายร่างอยู่กลางอากาศ เหยียบอยู่บนต้นกกเล็กบางต้นหนึ่งด้วยเท้าข้างเดียว ร่างส่ายซ้ายเอียงขวาอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พี่ชาย ดูท่าเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตแปดมานานหลายปีขนาดนี้ คงเดินมาได้ไม่ราบรื่นเท่าไหร่สินะ เส้นทางที่พาขึ้นสู่ที่สูง เจ้าก็คงต้องคลานไปกระมัง?”
สารถีเฒ่าเอ่ยเย้ยหยัน “รีบพูดประโยคนี้เร็วไปหน่อยกระมัง?”
จูเหลี่ยนเดินอยู่บนยอดต้นกกต้นอ้อที่เป็นพุ่มเป็นพงประหนึ่งกบกระโดดแตะผิวน้ำ เมื่อเส้นเอ็นและกระดูกยืดขยายก็เกิดเสียงลั่นดังเป็นทอดๆ ดุจถั่วเหลืองระเบิดแตก เขาพูดพลางหัวเราะหึหึ “ไม่เร็วๆ ข้ากังวลว่าพวกเราสองพี่น้องจะเล่นกันเลยเถิด แล้วถึงเวลานั้นเจ้าไม่ทันได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ ได้ยินมาว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดใต้หล้านี้ค่อนข้างจะหาได้ยาก หากเจ้าตายไปทั้งอย่างนี้ ข้าจะเกิดความรู้สึกคล้ายกระต่ายตายหมาจิ้งจอกโศกเศร้าอะไรทำนองนั้น ฉวยโอกาสตอนที่นายน้อยของข้ายังไม่รู้สึกว่าเจ้าขวางหูขวางตา เลยต้องรีบพูดกับเจ้าก่อน”
สารถีเฒ่าไม่พูดไม่จา
หลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในห้องโดยสารรถม้าคิดจะลุกขึ้นยืน
รุ้งสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏวูบขึ้นบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน รุ้งเส้นนั้นวาดตัวเป็นเส้นโค้งพุ่งออกไปอย่างว่องไวแล้วแทงทะลุผนังห้องโดยสารรถม้ามาอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้ง มาหยุดลอยนิ่งอยู่ตรงหว่างคิ้วของหลิ่วชิงเฟิง
หลิ่วชิงเฟิงคลี่ยิ้มแล้วนั่งกลับลงไปที่เดิม
มือข้างหนึ่งของหลี่เป่าเจินที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเพิ่งจะเริ่มขยับ แสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็เปล่งวาบ แทงทะลุชายแขนเสื้อของเขาเข้ามา จากนั้นก็นำพายันต์แผ่นหนึ่งไปปักตรึงอยู่บนผนังรถม้าที่อยู่ด้านหลัง
ยันต์แผ่นนั้นเป็นสีทอง ลักษณะแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลังก็ล้วนเขียนอักขระไว้ด้วยสีชาด ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ตรงใจกลางของยันต์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังต่างก็วาดเป็นองค์เทพสวมเกราะสีขาวและเกราะสีดำ
คือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่หายสาบสูญไปนานแล้วในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้
หลี่เป่าเจินถอนหายใจ พูดกับสารถีเฒ่าว่า “หยุดเถอะ ไม่ต้องสู้แล้ว ข้าหลี่เป่าเจินจะอยู่เฉยๆ รอความตายก็แล้วกัน”
จูเหลี่ยนพูดอย่างรีบร้อน “อย่านะ พี่ชาย พวกเราสู้กันของพวกเราไป ไม่ส่งผลกระทบกับธุระของนายน้อยข้าและเจ้านายของเจ้าหรอก”
สารถีเฒ่าพยักหน้ารับแล้วพุ่งตัวไปทางจูเหลี่ยน
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างรถม้า หลี่เป่าเจินนั่งอยู่บนรถตั้งท่ายื่นคอรอให้ตัด
เฉินผิงอันกลับมองไปทางผ้าม่านรถม้า “เดิมทีนึกว่าเป็นประโยคตระกูลผู้สูงส่ง มิกลัวภูตผีทำร้ายที่เอ่ยถึงบนตำรา ที่แท้ก็เป็นอีกประโยคหนึ่งในตำรานี่เอง”
หลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในห้องโดยสารกล่าว “โชคและหายนะไร้ประตู มีแต่คนไปเรียกหามาเอง?”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก
หลักการน้อยใหญ่ อันที่จริงบัณฑิตล้วนเข้าใจ
โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีความรู้เต็มท้องมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังเป็นชนชั้นสูงที่ผ่านการฝึกประสบการณ์จากวงการขุนนางอย่างหลิ่วชิงเฟิงผู้นี้
อันที่จริงวีรบุรุษผู้กล้าในยุทธภพอย่างพวกจู๋เฟิ่งเซียนกลับทำให้คนรอบข้างมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งง่ายกว่า
ความเป็นความตาย เกียรติยศและอัปยศล้วนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาอยู่เสมอ
หลี่เป่าเจินมองเฉินผิงอัน
เขานั่ง เฉินผิงอันยืน คนทั้งสองมองประสานสายตากันพอดี
หลี่เป่าเจินถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ไม่ว่าเจ้าจะตามหาข้าเจอได้อย่างไร แต่คืนนี้หลังจากฆ่าข้าแล้ว วันหน้าเจ้าจะกลับต้าหลีอย่างไร ไม่ต้องการบ้านบรรพบุรุษที่ตรอกหนีผิงเขตการปกครองหลงเฉวียนนั่นแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันมองลูกหลานสกุลหลี่แห่งถนนฝูลวี่ที่แม้คนทั้งสองจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่กลับคิดอยากจะให้เขาเฉินผิงอันตายท่าเดียว
เป็นคนครอบครัวเดียวกัน เหตุใดนิสัยถึงได้แตกต่างจากหลี่ซีเซิ่งและหลี่เป่าผิงราวฟ้ากับเหวเช่นนี้
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดอะไร หลี่เป่าเจินก็ยิ้มพูดว่า “ข้าเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง ไม่อาจต้านรับหมัดของเจ้าได้ สมกับคำว่าลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผันจริงๆ นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่ปีเอง หมุนเปลี่ยนเร็วไปหน่อยไหม หากรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นข้าก็น่าจะหาทางผูกใจจูเหอไปพร้อมกันด้วย จะได้ไม่เพียงแต่ระหกระเหินออกจากบ้านเกิด แล้วยังต้องมาตายอยู่ในต่างแดนด้วยเช่นนี้”
หนึ่งหมัดปล่อยไป
หลี่เป่าเจินยกสองมือกุมท้อง ร่างค้อมงอ เกือบจะกระอักเอาน้ำดีออกมา
หมัดนี้เฉินผิงอันใช้แค่ตบะของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองเท่านั้น
เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าจอนผมของหลี่เป่าเจินแล้วกระชากลงมาจากรถ เหวี่ยงร่างอีกฝ่ายทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ หลี่เป่าเจินกลิ้งหลุนๆ อยู่บนเส้นทางดินเหลือง สุดท้ายคนผู้นี้กางแขนกางขาอ้าออก ใบหน้าอาบนองไปด้วยน้ำตา แต่กลับไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเจ็บแค้นอะไร เป็นเพียงแค่สัญชาตญาณของร่างกายที่รู้สึกเจ็บปวดล้วนๆ แล้วหลี่เป่าเจินก็หัวเราะเสียงดัง “คิดไม่ถึงว่าข้าหลี่เป่าเจินก็จะมีวันนี้ด้วย หลิ่วชิงเฟิง จำไว้ว่าช่วยเก็บศพข้าส่งกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีด้วย!”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง
หลี่เป่าเจินมองสบตากับเขา
มองเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้า
สายตาเช่นนี้ไม่เหมือนกับสายตาดั่งหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งของราชครูชุยฉาน หลี่เป่าเจินรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมองไม่เห็นก้นบึ้งที่ว่านั่น ไม่อย่างนั้นตนก็คงกลายเป็นศพศพหนึ่งไปแล้ว เพราะผู้ที่มองเห็นปลาในหุบเหวลึกย่อมเป็นลางร้าย ตอนนี้เขาอยู่ไกลเกินกว่าจะมีคุณสมบัติไปลอบมองความคิดในส่วนลึกของจิตใจซิ่วหู่ผู้นั้น
แต่สายตาของเฉินผิงอันในเวลานี้มีจุดหนึ่งที่เหมือนกับราชครูต้าหลี ซึ่งมอบความทรงจำที่ลึกล้ำให้แก่หลี่เป่าเจิน
ราวกับว่าในหุบเหวลึกและด้านใต้บ่อโบราณล้วนมีเจียวร้ายตัวหนึ่งที่ว่ายวนอยากจะชูหัวเงยคอขึ้นมา
ทันใดนั้นในดวงตาของหลี่เป่าเจินพลันเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ข้าจะรอวันที่เจ้ากลายมาเป็นคนอย่างข้า ข้ารอคอยวันนั้นอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันหยิบดินจากบนพื้นมากำหนึ่ง แบฝ่ามือเป็นสันมีดสับลงบนลูกกระเดือกของหลี่เป่าเจิน วินาทีที่ฝ่ายหลังอ้าปากอย่างไม่อาจห้ามตนเองได้ก็ยัดดินเข้าไปในปากอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้มือปิดปากหลี่เป่าเจินเอาไว้ ถามว่า “อร่อยหรือไม่?”
หลี่เป่าเจินดิ้นรนมือเท้าปัดป่าย ใบหน้าแดงก่ำ
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “พูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นเจ้าพูดให้ดังๆ หน่อยดีไหม”
หลี่เป่าเจินพลันหยุดดิ้นรน ค่อยๆ กลืนดินกำใหญ่ลงคอไปเอง ดวงตาจ้องมองใบหน้าเฉยเมยของชายหนุ่มผู้นั้นเขม็ง
เฉินผิงอันยกฝ่ามือขึ้น ใบหน้าของหลี่เป่าเจินบิดเบี้ยว พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “รสชาติไม่เลว!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “ตอนนี้คิดจะกินอาจมคงไม่ง่าย แต่กินดินจะไปยากอะไร”
เหมือนก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลังจากหลี่เป่าเจินกินดินกำใหญ่ไปแล้วก็ถูกเฉินผิงอันเอามืออุดปากอีกครั้ง คราวนี้เฉินผิงอันเพิ่มแรงมากขึ้น ท้ายทอยของหลี่เป่าเจินเริ่มจมลงไปในดินทีละนิด
หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยมือแล้ว หน้าอกของหลี่เป่าเจินก็สะท้อนขึ้นลง หายใจยากลำบากอย่างถึงที่สุด จากนั้นก็เริ่มไอสำลักอย่างรุนแรง ดินจำนวนมากกระเด็นออกมาจากปาก
เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้น โบกชายแขนเสื้อเบาๆ สลัดเศษดินที่กระเด็นมาโดนตัวเขาทิ้ง
ขณะเดียวกันหลี่เป่าเจินก็ร้องโหยหวนไปด้วย
มือซ้ายของเฉินผิงอันกุมมือซ้ายของหลี่เป่าเจินแน่น เสียงกร๊อบดังลั่น มือที่แอบกำเป็นหมัดของหลี่เป่าเจินแบออก เผยให้เห็นหยกพกที่เขาแอบกระชากมาจากเอว
นั่นคือหยกมันแพะงดงามที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งสลักอักษรโบราณสองคำว่า ‘วังมังกร’ เดิมทีไม่สะดุดตานัก เพียงแต่ว่าเวลานี้มันเปลี่ยนมาเป็นสีใสแวววาว ด้านในก็ยิ่งมีประกายแสงเล็กบางเหมือนเส้นผมไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
หลังจากเฉินผิงอันบีบกระดูกข้อมือของหลี่เป่าเจินให้แตกแล้ว แขนข้างนั้นทั้งแขนของหลี่เป่าเจินก็ได้แต่ทิ้งตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้น หยกที่อีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะสามารถเปิดใช้เวทคาถาได้สำเร็จถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในฝ่ามือ “ขอบใจนะ”
กระบี่บินชูอีสืออู่พากันย้อนกลับมาจากหว่างคิ้วของหลิ่วชิงเฟิงและผนังรถด้านนอก ยันต์ล้ำค่าแผ่นนั้นที่คนอื่นๆ บนโลกอาจจะมองที่มาของมันไม่ออก แต่เฉินผิงอันกลับจำได้เพียงแค่มองปราดเดียวถูกเขาเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกับหยก ‘วังมังกร’
ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนี้ก็คือยันต์ประเภทที่มีระดับขั้นสูงมาก มีบันทึกไว้อย่างละเอียดในหน้าที่สามหากนับย้อนมาจากด้านหลังของหนังสือ
มือขวาของหลี่เป่าเจินกุมข้อมือข้างซ้าย คลี่ยิ้มซีดเซียว “เจ้าช่างร้ายกาจนัก กลัวเจ้าแล้ว”
ของสองชิ้นนี้ หยกประดับวังมังกรคือหนึ่งในยันต์คุ้มกันกายที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสกุลหลี่ ส่วนยันต์แผ่นนั้นก็ยิ่งเป็นของขวัญก่อนจากลาที่หลี่ซีเซิ่งผู้เป็นพี่ชายมอบให้
ประเด็นสำคัญคือวัตถุตระกูลเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองทั้งสองชิ้นนี้จำเป็นต้องให้เจ้าของอย่างเขาหลี่เป่าเจิน ‘เปิดประตู’ ด้วยตัวเองเสียก่อน คนนอกถึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบภายในได้ ไม่อย่างนั้นหากเป็นผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดิน ใครได้ไปก็ล้วนเป็นของตายที่ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว
เฉินผิงอันเตะเข้าที่ชายโครงของหลี่เป่าเจินหนึ่งที ฝ่ายหลังกระเด็นหวือผ่านต้นกกต้นอ้อ ร่วงตูมลงไปในทะเลสาบ
บาดเจ็บไปถึงกระดูกเส้นเอ็นและชีพจร ต้องพักฟื้นอยู่นิ่งๆ หนึ่งร้อยวัน
หลิ่วชิงเฟิงลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องโดยสารรถม้า กระโดดลงจากรถ “ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร แต่ก็ยังต้องขอบคุณคุณชายเฉินที่ไม่ฆ่าหลี่เป่าเจิน”
เฉินผิงอันถาม “ทางสวนสิงโตจะทำอย่างไร หลิ่วชิงซานจะทำอย่างไร?”
หลิ่วชิงเฟิงกล่าว “ข้าได้หาทางถอยไว้ให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว”
สีหน้าของเฉินผิงอันเหนื่อยล้าเล็กน้อย เดิมทีไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความกับบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคนนี้ เพียงแต่ว่าพอคิดถึงบัณฑิตหนุ่มขาพิการคนนั้นก็อดถามไม่ได้ว่า “ข้าเชื่อมั่นว่าผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการน่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ดี และเจ้าหลิ่วชิงเฟิงก็น่าจะยิ่งรู้ตัวดีว่า วันนี้ได้เปลี่ยนไปเดินเส้นทางอื่นแล้ว แต่เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเดินอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไม่เดินออกห่างจากผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการไปไกลขึ้นทุกที?”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มขื่น ทอดสายตามองไปไกล ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ก็ได้แต่ต้องลองเดินไปดู ไม่อย่างนั้นแคว้นชิงหลวนของพวกเรา นับตั้งแต่ฮ่องเต้ไปจนถึงบัณฑิตและปัญญาชน แล้วก็ไปถึงชาวบ้านชาวเมือง เพียงไม่นานกระดูกสันหลังของทุกคนจะถูกคนอื่นตีจนแหลก ถึงเวลานั้นแม้แต่เดินพวกเราก็เดินไม่ได้ ดื่มยาพิษดับกระหาย ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้าย แต่หากกระหายจนใกล้จะตายจริงๆ ใครบ้างจะไม่ลองดื่ม? ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในศาลบรรพชนสวนสิงโต เจ้าแม่ต้นหลิ่วที่ข้าไม่ชอบอย่างมากผู้นั้นยุยงให้บิดาของข้าลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากข้าเป็นเพียงแค่คนในสถานการณ์ก็คงไม่สามารถหยัดยืนออกมาแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวในการรักษาขนบธรรมเนียมประจำสกุลหลิ่วได้อย่างหลิ่วชิงซาน และหลังจากข้าหลิ่วชิงเฟิงชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้วก็มีแต่ต้องทำผิดต่อเจตนาเดิมของตัวเองเท่านั้น”
หลิ่วชิงเฟิงดึงสายตากลับคืนมา ยิ้มกล่าวว่า “โชคดีที่เรื่องราวไม่ได้ถึงขั้นที่เลวร้ายที่สุด ทุกบ้านล้วนมีตำราที่อ่านยาก ข้าที่เป็นพี่ชายจึงได้แต่เป็นคนอ่านตำราที่อ่านยากเล่มนั้น ส่วนตำราที่อ่านง่ายก็ให้น้องชายข้าเป็นคนอ่านไป”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังทิศทางที่หลี่เป่าเจินตกน้ำ “เจ้าแข็งแกร่งกว่าไอ้หมอนี่ไม่น้อย”
เฉินผิงอันมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงพงต้นกกต้นอ้อห่างไปไกล ตะโกนเรียก “กลับมา”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันมาพูดกับหลิ่วชิงเฟิง “พวกเจ้าไปช่วยคนได้แล้ว”
หลิ่วชิงเฟิงถาม “ทำไมถึงไม่ฆ่าหลี่เป่าเจินไปตรงๆ เลยล่ะ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่อก่อนข้าเคยรับปากกับคนผู้หนึ่งว่าจะยอมปล่อยหลี่เป่าเจินไปสักครั้ง”
จูเหลี่ยนพุ่งวูบมาถึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าทิ้ง เมื่อครู่นี้ตนกำลังมือขึ้น อันดับต่อไปก็น่าจะเป็นคราวที่สารถีเฒ่ากระดูกอ่อนนอนพังพาบ หลังจากฮึกเหิมสุดๆ ก็เสียใจอย่างสุดแสนแล้ว
เพียงแต่เห็นท่าทางไม่อยากจะพูดคุยของเฉินผิงอัน จูเหลี่ยนจึงไม่ได้พูดล้อเล่นอะไร เพียงแค่เดินตามไปเงียบๆ
หลิ่วชิงเฟิงพลันพูดขึ้นกับแผ่นหลังของเฉินผิงอัน “คุณชายเฉิน หลังจากนี้ทางที่ดีที่สุดอย่ารอคอยโอกาสอยู่แถวเมืองหลวงอีกเลย เจ้าจะได้ทั้งรักษาสัญญา แล้วก็ได้ทั้งพบกับหลี่เป่าเจินใหม่อีกครั้ง”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา ยิ้มถาม “ทำไม?”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มส่ายหน้า ไม่ได้เปิดเผยอะไรไปมากกว่านั้น
ราชวงศ์ต้าหลีจะส่งคนมาอีกสองคนเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของเขาหลิ่วชิงเฟิงกับหลี่เป่าเจิน ว่ากันว่าคนหนึ่งในนั้นเคยเป็นอดีตเสาหลักสำคัญบนสมรภูมิรบของราชวงศ์สกุลหลู
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด จุดที่ร้ายกาจถึงชีวิตอย่างแท้จริงก็คือ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตอนนี้ราชครูชุยฉานต้าหลียังคงอยู่ในแคว้นชิงหลวน
พวกเฉินผิงอันเดินพ้นไปจากการมองเห็น
สารถีเฒ่าช่วยหลี่เป่าเจินที่ลมหายใจรวยรินขึ้นมาจากน้ำ ก่อนจะลงมือเบาๆ ช่วยให้หลี่เป่าเจินรีบคายน้ำเสียที่อัดแน่นอยู่เต็มท้องออกมา
ผ่านไปพักใหญ่ หลี่เป่าเจินถึงจะคืนสติ
ไปเดินวนรอบประตูผีมาหนึ่งรอบ เขาที่นั่งอยู่บนถนนจึงมีสีหน้าเหม่อลอย
สารถีเฒ่ายืนอยู่ข้างกายหลี่เป่าเจิน หันหน้าไปมองหลิ่วชิงเฟิง
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มส่ายหน้า
ดังนั้นหลี่เป่าเจินจึงได้ไปเดินวนรอบประตูมาอีกรอบ
คนสองคนที่อยู่ด้านหลังหลี่เป่าเจินแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่คุณชายที่คืนนี้มีสภาพน่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุดกลับยกมือตบหน้าตัวเองแรงๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงหันหน้ามายิ้มพูดว่า “ดูท่าท่านหลิ่วยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับความคิดของใต้เท้าราชครูอยู่มากเลยนี่นา”
หลิ่วชิงเฟิงทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่มาแคว้นชิงหลวนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะดีไปกว่าเจ้า”
หลี่เป่าเจินแสร้งทำเป็นเรอ “ทั้งกินดินทั้งกินน้ำ อิ่มไม่น้อย น้ำในยุทธภพลึกจริงๆ ทำให้คนตายได้ง่าย เกือบจะต้องทิ้งร่างอยู่ก้นทะเลสาบซะแล้ว”
หลิ่วชิงเฟิงประคองหลี่เป่าเจินให้ลุกขึ้น “ดูท่าพวกเราคงต้องย้อนกลับไปสวนสิงโตกันอีกสักรอบ หาเสื้อผ้ามาให้เจ้าเปลี่ยนใหม่ก่อน”
หลี่เป่าเจินเอียงศีรษะ กระโดดขึ้นลงสองสามทีเพื่อสลัดน้ำในหูออก จากนั้นก็ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ไม่ต้องเปลี่ยนๆ จะได้เป็นบทเรียนให้ตัวเอง วันหน้าจะได้ไม่รู้สึกว่าสวรรค์คืออันดับหนึ่ง ราชครูอันดับสอง ส่วนข้าเป็นอันดับที่สามอีก!”
หลิ่วชิงเฟิงไม่ได้พูดอะไร
ขึ้นรถม้ามาแล้วก็ไปนั่งในห้องโดยสาร หลี่เป่าเจินตัวสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว
รถม้าเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งออกจากเส้นทางพงต้นกกต้นอ้อขับเข้าไปในทางหลวง คราวนี้ไม่ได้พบกับพวกเฉินผิงอันอีก
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้อแรก ข้าแนะนำเจ้าว่าควรกลับไปที่สวนสิงโต ไม่อย่างนั้นพอไปถึงที่ว่าการอำเภอ ข้ายังต้องคอยดูแลเจ้าที่ล้มป่วยอีก ข้อที่สอง ข้าแนะนำเจ้าอีกครั้ง แล้วก็เป็นการเตือนตัวเองด้วยว่า คำพูดทำร้ายคน คมกริบยิ่งกว่าใบมีด ใช้แผนการร้ายทำร้ายคนอื่น อำมหิตยิ่งกว่าเสือร้าย”
ริมฝีปากของหลี่เป่าเจินซีดขาว จ้องมองเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยถามทั้งที่ฟันกระทบกันดังกึกๆ ว่า “หลิ่วชิงเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่ข้าได้มาพบกับเฉินผิงอันในครั้งนี้ ได้สูญเสียอะไรไปบ้าง? คำพูดล่องลอยบางเบาพวกนี้ยังต้องให้เจ้าเป็นคนมาบอกข้าด้วยหรือ?”
หลิ่วชิงเฟิงถามกลับ “มันสำคัญยิ่งกว่าชีวิตงั้นหรือ?”
หลี่เป่าเจินแสยะยิ้ม “ก็เปล่า”
เขาหันหน้าไปตะโกนพูดกับสารถีเฒ่า “หันหัวกลับไปที่สวนสิงโต!”
หลิ่วชิงเฟิงเริ่มหลับตาทำสมาธิ
จนกระทั่งบัดนี้หลี่เป่าเจินถึงได้มองคนตรงหน้าผู้นี้เป็นพันธมิตรที่สามารถนั่งทัดเทียมกับตนได้อย่างแท้จริง
หรือไม่หลี่เป่าเจินก็ยอมรับว่าตัวเองในเวลานี้สู้หลิ่วชิงเฟิงผู้นี้ไม่ได้ นามว่าชิงเฟิง แต่จิตใจกลับดุจขี้เถ้ามอด ทว่ากลับเป็นขี้เถ้ามอดที่มีลางว่าจะลุกติดไฟขึ้นใหม่
การเป็นคนอยู่บนโลกใบนี้ ผู้ที่ตั้งใจจริง แม้แต่เสียงฟ้าผ่าก็ยังไม่ได้ยิน
คิดไม่ถึงว่าแคว้นชิงหลวนเล็กๆ แห่งนี้จะมีบุคคลเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วย
สือโหรวคือคนที่สบายใจที่สุด
อยู่ดีไม่ว่าดีกลับออกจากเมืองยามค่ำคืน แถมยังบอกว่าจะไปพบคนบ้านเดิมคนหนึ่ง
เผยเฉียนไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังนัก แต่สือโหรวกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไม่คุ้นเคยที่เฉินผิงอันซุกซ่อนไว้บนร่าง นั่นคือปราณสังหาร
แล้วก็จริงดังคาด จูเหลี่ยนผ่านการประมือครั้งใหญ่กับคนอื่นมาก่อนจริงๆ
โชคดีที่พอเฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนกลับมาถึงก็บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว
สือโหรวไม่ได้ถามอะไรมาก ขอแค่เฉินผิงอันเอ่ยปากด้วยตัวเองว่าไม่มีเรื่องอะไรก็เชื่อถือได้ หากเปลี่ยนมาเป็นจูเหลี่ยน ต่อให้ตบอกจนอกแตกรับรองว่าไม่มีผลร้ายตามมาเบื้องหลัง สือโหรวก็ยังไม่มีทางเชื่อ
แม้เผยเฉียนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ โชยมาจากบนร่างของจูเหลี่ยน นางก็ยังรู้สึกว่าน่าตกใจมากอยู่ดี
เผยเฉียนถามเบาๆ “อาจารย์ คือศัตรูของที่บ้านเกิดงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พ่นไอขุ่นมัวที่อัดอั้นอยู่ตรงหน้าอกมานานมากแล้วคำหนึ่งออกมา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอู้ซง (หมอกที่เกาะเป็นกลุ่มตายสายไฟหรือใบไม้บนต้นไม้ในขณะที่อากาศหนาวและมีหมอกลง) ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ถือว่ายุติลงชั่วคราวแล้ว”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็ยิ้มถามว่า “อาจารย์ลงมือครั้งนี้ ได้กำไรหรือว่าขาดทุน?”
จูเหลี่ยนรู้ว่าเฉินผิงอันได้ยันต์หนึ่งแผ่นและแผ่นหยกมาหนึ่งชิ้น
แม้ว่าจะไม่ได้มองอย่างละเอียด แต่จูเหลี่ยนมั่นใจอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือคนในบ้านเกิดของเฉินผิงอัน ขอแค่ออกมาท่องอยู่ด้านนอก คาดว่าคงไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งต้าเฟิงที่นครมังกรเฒ่า รวมไปถึงหลี่เอ้อร์ที่ภายหลังมาปรากฎตัวอย่างเร่งร้อนแล้วก็จากไป คนหนึ่งขอบเขตเก้า คนหนึ่งขอบเขตสิบ ดังนั้นของสองชิ้นที่เฉินผิงอันแย่งชิงมาจากมือของเจ้าหมอนั่นต้องมีค่าแน่นอน
ทว่าเฉินผิงอันกลับพูดแค่ว่า “ไม่ขาดทุนแต่ก็ไม่ได้กำไร ได้ของมาสองชิ้น ข้าสามารถนำไปมอบให้กับคนที่เหมาะสมจะครอบครองพวกมันได้พอดี”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
นางหันหน้าไปมองเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่อยู่ห่างไกล
มือหนึ่งของนางกุมไม้เท้าเดินป่า อีกมือหนึ่งกุมน้ำเต้าลูกเล็ก
จูเหลี่ยนหันหน้ามา สือโหรวก็ย้ายสายตาหันมามองด้วย
จูเหลี่ยนถามยิ้มๆ “แม่นางสือโหรว เป็นห่วงข้าหรือ?”
สือโหรวปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “แม่นางสือโหรวไม่รู้อะไร คนที่ประมือกับข้าคือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ตบะอยู่ในขั้นสูงสุด ศักยภาพก็แข็งแกร่งสุดขีด หมัดเดียวก็ต่อยให้ภูเขาทลายพื้นดินแตกแยก ต่อยอีกหมัดก็สามารถพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร…”
สือโหรวเอ่ยเย้ยหยัน “ถึงขนาดนั้นก็ยังฆ่าเจ้าไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าวิชาหมัดของเจ้าจูเหลี่ยนเลิศล้ำค้ำฟ้า ไร้เทียมทานแล้วหรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้เจ้าไม่รู้แล้ว เป็นเพราะพี่ชายท่านนั้นเกรงใจกันเกินไป ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีท่าทีว่าจะแลกชีวิตกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่สามารถมายืนอยู่ข้างกายเจ้าด้วยอวัยวะครบสามสิบสองแล้ว หากปล่อยให้แม่นางสือโหรวได้เห็นสภาพอเนจอนาถของข้าที่เนื้อหนังปริแตก กระดูกขาวสองแขนโผล่ ถึงเวลานั้นแม่นางสือโหรวเห็นแล้วก็อาจจะเสียใจน้ำตาไหล ข้าเองก็คงเจ็บปวดปานจะขาดใจ ต้องระบายโทสะเพื่อหญิงงาม กลับไปเอาเศษซากชิ้นส่วนของพี่ชายคนนั้นที่กระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ มาประกอบเข้ากันใหม่อีกครั้ง…”
สือโหรวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
จู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “ครั้งนี้พอไปถึงสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียน พวกเราอาจต้องไปหาผีสาวสวมชุดเจ้าสาวตนหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา ตบะไม่อ่อนด้อย แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาตัวมันพบ”
จูเหลี่ยนตกตะลึงระคนยินดี “นายน้อย ผีสาวชุดเจ้าสาวนั่นสวยหรือไม่? เทียบกับหน้าตาของแม่นางสือโหรวตอนยังมีชีวิตอยู่แล้วเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ปีนั้นที่พบเจอนางเป็นครั้งแรก นางสวมชุดแต่งงานสีแดงสด สีหน้าซีดขาว รู้สึกเพียงว่าน่าขนลุก ส่วนรายละเอียดหน้าตาของนางว่าเป็นอย่างไร ข้าไม่ได้สนใจ”
เผยเฉียนแอบกลืนน้ำลาย หยิบยันต์แผ่นหนึ่งมาแปะบนหน้าผาก
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ผู้เฒ่าขอบเขตแปดคนนั้น เจ้าต้องออกแรงสักกี่ส่วนถึงจะสามารถเอาชนะได้?”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อย “นายน้อย เวลาข้าเข่นฆ่ากับผู้อื่น หากกำลังติดลมมักจะชอบทุ่มสุดพลังความสามารถที่มี ดังนั้นหากนายน้อยสั่งให้ข้าหยุดช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย พี่ชายท่านนั้นก็คงถูกฉีกเนื้อถลกหนังออกเป็นแปดส่วนแล้วจริงๆ จะกลายเป็นผีพรายหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ช่างเป็น…นิสัยที่ดี”
จูเหลี่ยนไม่ใคร่จะพอใจนัก
เผยเฉียนกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “พ่อครัวเฒ่า คราวนี้ทำไมไม่ประจบสอพลอแล้วเล่า ไม่บอกว่าเรียนรู้มาจากอาจารย์ข้าแล้วหรือ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะเฮอๆ ถีบเข้าที่ก้นเผยเฉียนหนึ่งที เผยเฉียนล้มหน้าทิ่ม ได้แต่ใช้ไม้เท้าเดินป่าทิ่มเข้าไปในพื้นดินตามจิตใต้สำนึก ร่างหมุนติ้วรอบไม้เท้าไปหนึ่งรอบ ไม่ทันได้อ้าปากด่าจูเหลี่ยน แล้วก็ไม่สงสัยว่าเหตุใดตนถึงไม่ล้มคว่ำ เผยเฉียนทำเพียงแค่ดึงไม้เท้าเดินป่าที่อยู่เคียงข้างกันมานานออกจากดิน วิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามอย่างสงสัย “อาจารย์ เหตุใด ‘นายท่านเทพภูเขา’ ของข้าอันนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หักเลยล่ะ ท่านดูสิ แม้แต่รอยปริแตกเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มี? หรือว่าข้าเก็บสมบัติมาได้ตั้งแต่แรกแล้ว? นี่คือต้นไม้เทพเซียนที่นายท่านเทพภูเขาบางองค์ปลูกไว้จริงๆ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นายน้อยใช้วิธีหลอมเล็กของตระกูลเซียนมาหลอมไม้เท้าเดินป่าอันนี้ให้เจ้าตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นป่านนี้มันก็แตกหักพังยับไปนานแล้ว กิ่งไม้ทั่วไปจะทนถูกการเหยียบย่ำจากวิชากระบี่มารคลั่งนั่นของเจ้าได้หรือ?”
เผยเฉียนเกาหัว “เป็นแบบนี้เองหรือ”
เหมือนจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็คล้ายว่าจะสมเหตุสมผลดีแล้ว
จากนั้นเผยเฉียนที่ในหัวค่อนข้างเต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิดก็เงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ มองม่านฟ้ามืดดำ “ทำไมฝนถึงยังไม่ตกสักทีนะ?”
เฉินผิงอันที่เดินนิ่งหกก้าวไปด้วยเอ่ยถามว่า “ทำไมฝนต้องตกด้วยล่ะ?”
เผยเฉียนเองก็ฝึกวิชาวานรขาวสะพายกระบี่ไปพร้อมกับการเดินเช่นกัน ตอนนี้ไม้เท้าเดินป่าถูกนางนำมาทำเป็นกระบี่ชั่วคราว นางตอบคำถามเฉินผิงอันว่า “ถ้าฝนตก ข้าก็จะได้ช่วยกางร่มให้อาจารย์ไงล่ะ”
จูเหลี่ยนยกเท้าขึ้นถีบ แต่เผยเฉียนกลับหลบเลี่ยงได้อย่างว่องไว จูเหลี่ยนจึงด่าอย่างขันๆ ปนฉิวว่า “เจ้าฟักแคระถังข้าวที่เอาแต่กินข้าว แต่ไม่ยอมโตอย่างเจ้า จะกางร่มให้นายน้อยอย่างไร?”
เผยเฉียนใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก “ก็จริงนะ”
เฉินผิงอันพูดปลอบใจ “แค่มีใจก็พอแล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าตัวขาดทุนผู้นี้ก็เหลือแค่ใจอย่างเดียวนี่แหละ”
เผยเฉียนหันมาถลึงตาดุดันใส่จูเหลี่ยน “หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เจ้าบาดเจ็บ ข้าจะต้องให้เจ้าได้ลิ้มรสวิชากระบี่มารคลั่งที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเองสักรอบให้ได้”
“มาๆๆ พวกเรามาซ้อมมือกันเลย”
จูเหลี่ยนก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วเริ่มวิ่งวนรอบกายเฉินผิงอัน
สือโหรวเหม่อลอยไปชั่วขณะ
เผยเฉียนที่วิ่งวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน ตลอดทางที่ขึ้นเขาลงห้วยมา นางก็ยังคงเป็นถ่านดำก้อนเล็กก้อนหนึ่ง
แต่พอนางออกวิ่งอยู่บนทางสายใหญ่ที่แสงจันทร์บริสุทธ์ของดวงจันทร์กลางนภากาศสาดส่องลงมา บนร่างของแม่นางน้อยกลับมีรัศมีแสงเรืองรองบางๆ แผ่ออกมาหนึ่งชั้น
เพียงแต่ไม่รู้ว่า สักวันหนึ่งเมื่อเผยเฉียนต้องท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง จะมีภาพเหตุการณ์ที่แตกต่างไปจากนี้อย่างสิ้นเชิงหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่นเป็นดั่งดวงตะวันร้อนแรงดวงใหญ่ที่คนแค่มองไกลๆ ก็ยังรู้สึกร้อนจ้าบาดตา?
เพียงแต่อารมณ์ซับซ้อนประเภทนี้ เมื่อได้ขึ้นเขาลงห้วยไปตลอดทาง สือโหรวก็เริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองถึงขั้นมีความคิดที่เหลวไหลเช่นนี้ได้
นั่นก็เพราะเผยเฉียนผู้นี้เป็นเด็กแก่นแก้วเกินไปจริงๆ
เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาเดินทางใกล้จะถึงท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ชายแดนตะวันออกของแคว้นชิงหลวนแล้ว
วันนี้ขณะที่อยู่ท่ามกลางป่าลึกบนภูเขา เผยเฉียนวิ่งไปเก็บกิ่งไม้ที่ห่างออกไปค่อนข้างไกลเพื่อเอามาใช้ก่อฟืนหุงหาอาหาร ตอนที่กลับมาบนร่างนางมีแต่ดินโคลน บนหัวก็เต็มไปด้วยเศษหญ้า นางจับกระต่ายป่าสีเทาตัวหนึ่งมาได้ก็วิ่งตื๋อกลับมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ชูกระต่ายป่าที่น่าสงสารที่ถูกนางคว้าหูไว้ส่ายอย่างแรง พูดอย่างลิงโลดว่า “อาจารย์ ดูสิข้าจับอะไรมาได้?! ภูเขากระโดดในตำนานเชียวนะ วิ่งเร็วนักล่ะ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันนี้พวกเรากินเจไม่กินเนื้อ ปล่อยมันไปเถอะ”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเสียดายเพราะนางต้องลำบากมากกว่าจะจับมาได้ จึงถามว่า “อาจารย์ เลี้ยงมันให้อ้วนก่อนแล้วค่อยกินได้ไหม? ข้าจะหาเชือกยาวๆ เส้นหนึ่งมามัดมัน ตลอดทางข้าจะเป็นคนดูแลมันเอง”
เฉินผิงอันโบกมือ “หากอยากกินเนื้อจริงๆ วันหน้าจะให้จูเหลี่ยนจับหมูป่าให้เจ้าหนึ่งตัว”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ยังรู้สึกว่านี่เป็นการค้าที่ได้กำไร ปล่อยก็ปล่อยสิ จึงพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หมุนตัวหนึ่งรอบ ขว้างกระต่ายป่าที่อยู่ในมือออกไปดังฟิ้ว กระต่ายที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายหายวับไปไม่เหลือเงาในชั่วพริบตา “บินเถิดเจ้าน้องชาย!”
สือโหรวยื่นมือมากุมขมับ
เผยเฉียนปัดฝ่ามือ นั่งยองลงข้างเฉินผิงอันที่กำลังก่อเตาไฟง่ายๆ ถามอย่างใคร่รู้ “อาจารย์ วันนี้เป็นวันอะไรหรือ? มีเรื่องอะไรที่ต้องพิถีพิถันไหม? ยกตัวอย่างเช่นเป็นวันเกิดของเทพภูเขาที่ร้ายกาจบางคน ก็เลยกินเนื้อบนภูเขาไม่ได้?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรต้องพิถีพิถัน”
ท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ริมชายแดนแห่งนั้น คือท่าเรือที่ไม่มีการวางมาดของตระกูลเซียนที่สุดเท่าที่เฉินผิงอันเคยพบเห็นมา
ไม่เพียงแต่ไม่มีตราผนึกภูเขาและแม่น้ำที่ต้องปิดบังอำพราง กลับกันยังกลัวว่าคนมีเงินบนโลกมนุษย์จะไม่ยินดีไปเยือน ยังอยู่ห่างจากท่าเรืออีกหลายสิบลี้ก็เริ่มมีการทำการค้ากันแล้ว ที่แท้ท่าเรือแห่งนี้มีเส้นทางการเดินเรือที่แปลกประหลาดอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นการไปเยือนถ้ำสถิตตระกูลเซียนบางแห่งที่อยู่รอบแคว้นชิงหลวน สามารถไปนั่งบน ‘แท่นตกปลา’ บนยอดเขาได้ จากนั้นก็โยนเบ็ดไปตกนกหรือปลาบินที่ล้ำค่ามาจากในทะเลเมฆ
ดังนั้นตลอดทางจึงมีคนสัญจรกันอย่างขวักไขว่ ผู้คนเบียดเสียดเนืองแน่น
เฉินผิงอันมาถึงที่นี่ก็ได้ยินข่าวมากมายจากทางเมืองหลวง
อย่างเช่นฮ่องเต้สกุลถังทำตามความต้องการของประชาชนยกลัทธิขงจื๊อขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติอันเป็นรากฐานในการหยัดยืนของแคว้น
ส่วนลัทธิเต๋ากับลัทธิพุทธนั้นใครจะอยู่อันดับสอง ว่ากันว่ายังต้องรอฟังผล
อารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งของเมืองหลวงที่ชื่อว่าอารามป๋ายอวิ๋นพลันกลายมาเป็นอารามที่เชื้อพระวงศ์แคว้นชิงหลวนมาจุดธูปไหว้พระ
ภิกษุหนุ่มของวัดป๋ายสุ่ยที่เดิมทีไร้แซ่ไร้นามก็เริ่มแสดงพระธรรมเทศนาต่อคนบนโลก ไม่ว่าจะอยู่ในวัด อยู่บนทางเส้นใหญ่ที่เชื่อมโยงไปได้หลายแห่ง หรืออยู่ท่ามกลางหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ว่ากันว่าเขาเทศนาด้วยถ้อยคำที่ตื้นเขินเรียบง่าย แม้แต่เด็กเล็กที่เรียนชั้นประถมก็ยังฟังเข้าใจ
หลังจากเดินขึ้นเรือข้ามฟากตระกูลเซียนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาอย่างราบรื่นแล้ว
ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะไม่มีความสนใจมากนัก อารมณ์ไม่ใคร่จะดี หลังจากคัดตัวอักษรในห้องเฉินผิงอันเสร็จก็กลับไปที่ห้องของตัวเองเงียบๆ เมื่อเทียบกับเผยเฉียนในอดีตแล้วราวกับเป็นคนละคน
เฉินผิงอันจึงไปสอบถามจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร จึงได้แต่ไปถามสือโหรว สือโหรวจึงบอกความคิดเห็นของตัวเอง
ดังนั้นวันนี้หลังจากเผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จก็เตรียมจะจากไป
เฉินผิงอันเรียกนางไว้ พานางออกไปจากห้องด้วยกัน ไปยืนชมทัศนียภาพของทะเลเมฆที่หัวเรือ
หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งเด็กหญิงยืนอยู่ตรงราวระเบียง เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง เตรียมจะดื่มเหล้า
เผยเฉียนควักน้ำเต้าลูกเล็กออกมาชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ มองซ้ายทีมองขวาที
เฉินผิงอันยังไม่ได้ดื่มเหล้า สุดท้ายก็ผูกน้ำเต้าไว้ตรงเอว หันมายิ้มถาม “มีเรื่องในใจรึ?”
เผยเฉียนพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อจะได้ฟุบตัวลงบนราวรั้ว ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ พอไปถึงสำนักศึกษาซานหยาแล้ว ท่านก็จะชอบแค่เป่าผิงน้อยที่เรียกท่านว่าอาจารย์อาน้อยแค่คนเดียว ไม่ชอบข้าอีกแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล ส่ายหน้าตอบ “ไม่หรอก”
เผยเฉียนนั่งแปะลงไปบนพื้น ยกสองแขนขึ้นกอดอก “ข้าไม่เชื่อ!”
เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายเผยเฉียน ยกเท้าขึ้นแล้วหันมาส่งสายตาให้เผยเฉียน
พอเผยเฉียนเห็นรองเท้าหุ้มแข้งบนเท้าของเขาก็ยิ้มจนตาหยีทันที สองนิ้วคีบน้ำเต้าจิ๋วสีเหลืองแกว่งส่ายไปมา “อาจารย์ พวกเราดื่มเหล้ากัน!”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาอีกครั้ง ชนกับน้ำเต้าเล็กลูกนั้นเบาๆ แล้วดื่มเหล้าหนึ่งคำ
เผยเฉียนแสร้งทำเป็นว่าในน้ำเต้าลูกเล็กของตัวเองก็มีเหล้าเช่นกัน จึงเงยหน้าทำท่าดื่มเหล้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองสามก้าวเหมือนผีขี้เหล้าน้อยที่กินเหล้าเมาแล้วเดินโซซัดโซเซ “โอ้ย อาจารย์ ข้าดื่มมากไปแล้ว ดื่มมากไปแล้ว…”
เฉินผิงอันเห็นภาพนี้ก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
เฉินผิงอันกำลังจะส่งเสียงเตือน
เผยเฉียนก็เดินชนเข้ากับชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดี คนผู้นั้นพกมีดยาวตรงเอว เขาหลุดหัวเราะดังพรืด “เจ้าตัวน้อยไม่มีตา ไสหัวไปให้ไกลๆ ข้าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้!”
บุรุษผู้นั้นยกฝ่ามือขึ้นมากดศีรษะของเผยเฉียนเอาไว้ หากบิดข้อมือทีเดียวก็ผลักเผยเฉียนให้กระเด็นได้เลย
เพียงแต่ว่าไม่รอให้เขาออกแรง ข้อมือก็ถูกคนหนุ่มที่ก่อนหน้านี้เขาเห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่สะพายกระบี่เอื้อมมาจับเอาไว้
เผยเฉียนรีบพูดกับคนผู้นั้นว่า “ขอโทษ เมื่อครู่ข้าไม่ทันเห็นว่าพวกเจ้าเดินผ่านมา ขอโทษด้วย”
บุรุษขมวดคิ้ว คงรู้สึกได้ว่าถูกคนขัดขวางขณะจะลงมือเป็นเรื่องที่เสียหน้า แล้วก็ไม่นึกกริ่งเกรงอีกฝ่าย พลันเพิ่มเรี่ยวแรงหมายจะใช้พายุลมกรดดีดเจ้าหมอนปักลายบุปผาที่ไม่รู้จักกลัวตายผู้นี้ออกไป แล้วค่อยผลักนังถ่านดำตัวน้อยที่เกะกะขวางทางให้กระเด็น
เพียงแต่วินาทีนั้น ความเจ็บปวดรุนแรงก็พลันส่งมาจากข้อมือ เป็นเหตุให้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พกมีดเล่มยาวล้มลงคุกเข่าดังตุ้บ เหงื่อแตกเต็มร่าง
เฉินผิงอันหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้เผยเฉียน บอกเป็นนัยให้นางไปยืนด้านหลังตัวเอง
มือหนึ่งที่ถือน้ำเต้าของเฉินผิงอันไพล่ไว้ด้านหลัง อีกมือหนึ่งเปลี่ยนจากที่กุมข้อมือของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนนั้นมาเป็นกางห้านิ้วจับกระหม่อมของเขา ค้อมเอวโน้มตัวลงต่ำ ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?”
ห้านิ้วงอเป็นตะขอ
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นหน้าซีดขาว กัดฟันไม่ขอร้อง
ทว่าความเจ็บปวดนี้ยากจะทานทนได้ไหวจริงๆ ชายฉกรรจ์จึงพูดเสียงกร้าว “ในเมื่อผูกปมความแค้นกันไว้แล้ว เรื่องนี้ก็ไม่จบง่ายๆ แน่!”
คนเจ็ดแปดคนที่จับกลุ่มเดินทางขึ้นเรือมาพร้อมกับเขาพากันกรูเข้ามา หมายจะอาศัยกำลังคนที่มากกว่าหาเรื่องสนุกให้ตัวเองทำ ซ้อมให้หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งเด็กหญิงคู่นี้พิการก็ถือเป็นการแก้เบื่อได้ดี
ผลกลับกลายเป็นว่ามีกระบี่บินสองเล่มลอยมาหยุดอยู่ตรงหว่างคิ้วของบุรุษสองคนที่อยู่หน้าสุดพอดี
พอเป็นเช่นนี้ทุกคนก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนระอุ แต่กลับรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว
ใต้หล้านี้ก็มีแต่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นที่สังหารคนได้อย่างมาดมั่นที่สุด!
ดังนั้นเรื่องที่เฉินผิงอันไม่กลัวมากที่สุดก็คือเรื่องนี้
มือหนึ่งของเฉินผิงอันกระชากบุรุษร่างกำยำที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ถีบเข้าที่หน้าอกของเขา ร่างของเขากระเด็นหวือออกไปกระแทกสหายหลายคนเข้าพอดี พวกพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งหลายจึงพากันแตกฮือหนีเอาชีวิตรอดอย่างอุตลุดไปหมด
เฉินผิงอันหันมายิ้มบางๆ ให้เผยเฉียน “ไม่ต้องกลัวนะ วันหน้าหากเจ้าท่องอยู่ในยุทธภพแล้วถูกคนรังแกก็แค่กลับบ้าน กลับไปหาอาจารย์”