บทที่ 423 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ
ฮูหยินเซียวหลวนสี่คนนั่งลงประจำตำแหน่ง และที่นั่งของพวกนางก็อยู่ติดกับธรณีประตูใหญ่ของโถงเซวี่ยหมางจริงๆ เหมาะแก่การชมทัศนียภาพนอกประตูอย่างยิ่ง
สาวใช้ประจำตัวของฮูหยินเซียวหลวน นางที่ภูตผีพรายน้ำทั้งหมดในเขตการปกครองแม่น้ำป๋ายกู่ซึ่งกินอาณาเขตแปดร้อยลี้ล้วนพากันเรียกขานอย่างยกย่องว่าเทพน้ำน้อย เมื่อมาอยู่ที่จวนจื่อหยางกลับไม่มีแม้แต่ที่นั่ง
สาวใช้จึงได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินเซียวหลวน สีหน้านิ่งสนิทดุจน้ำค้างแข็ง
นับตั้งแต่จมน้ำตายกลายมาเป็นผีพราย ระยะเวลาสองร้อยปี จากทูตลาดตระเวนของจวนเทพวารีป๋ายกู่ที่ฮูหยินเซียวหลวนช่วยเลื่อนตำแหนงให้ทีละก้าว ภูตผีปีศาจและผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างทุกคนที่อาละวาดก่อกวนในอาณาเขต นางสามารถสังหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง เคยหรือที่จะถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ การมาเยือนจวนจื่อหยางครั้งนี้ นับว่าความมีหน้ามีตาที่นางสะสมมาสองร้อยกว่าปีล้วนถูกโยนทิ้งลงพื้นทั้งหมด ถึงอย่างไรอยู่ในจวนจื่อหยางแห่งนี้ก็อย่าหวังว่าจะเก็บกลับคืนมาได้
ยังดีที่นางติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินเซียวหลวนมานานจึงถูกกล่อมเกลาให้รู้จักหนักเบา ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินเตือน นางก็ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอยู่ก่อนแล้ว พยายามทำให้สีหน้าของตัวเองดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่กล้าเผยความไม่พอใจออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว ก่อนหน้านี้หลังจากฮูหยินพูดคุยธุระสำคัญกับหวงฉู่เจ้าประมุขคนปัจจุบันของจวนจื่อหยางเรียบร้อยแล้ว อารมณ์ของฮูหยินก็ยังคงไม่ผ่อนคลาย นางเอ่ยเตือนพวกเขาสี่คนว่า หากยังไม่โดยสารเรือกลับไปถึงจวนเทพวารีก็ยังมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นขอให้ทุกคนโปรดอดทนกันอีกนิด
ตอนนั้นฮูหยินเซียวหลวนค่อนข้างละอายใจ สีหน้าทุกข์ตรม ในคำพูดของนางถึงขั้นแฝงไว้ด้วยแวววิงวอนขอร้องเสี้ยวหนึ่ง ทำเอาสาวใช้ปวดแปลบในใจ เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา
เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม การแต่งกายหรือท่านั่งของฮูหยินเซียวหลวนก็แทบไม่มีข้อตำหนิ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่หม่นหมองไม่แจ่มใส
นางสามารถเฝ้าบัญชาการณ์แม่น้ำป๋ายกู่ ใช้แผนกลยุทธทางการเมืองขยายแม่น้ำป๋ายกู่ที่แต่เดิมมีแค่หกร้อยลี้ให้ยาวไปเกือบเก้าร้อยลี้ อำนาจใหญ่ที่นางกุมไว้ในมือเหนือกว่าขุนนางใหญ่ในแคว้นศักดินาของราชสำนักในโลกมนุษย์เสียอีก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาหลายแห่งของแคว้นหวงถิง รวมไปถึงปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์อย่างซุนเติงเซียน แน่นอนว่าไม่ได้อาศัยแค่การรบราฆ่าฟันอย่างเดียวเท่านั้น
นางคือคนกลุ่มแรกในสองกลุ่มที่เดินก้าวเข้ามาในโถงจัดงานเลี้ยง ห้องโถงที่อัดเต็มไปด้วยโต๊ะที่นั่ง มีเทพเซียนมารวมตัวกันอยู่เนืองแน่น มีเพียงตำแหน่งสองแห่งเท่านั้นที่ว่างเปล่า แขกจากจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่รวมถึงตัวนางด้วยนั้น ในเมื่อได้รับแจ้งมาแต่แรกแล้วว่าที่นั่งคือตำแหน่งห่างไกลใกล้กับธรณีประตูมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งฝั่งซ้ายมือที่สูงศักดิ์ที่สุดซึ่งรองลงมาจากตำแหน่งประธานที่เว้นว่างอยู่จะเก็บไว้ให้ใคร ฮูหยินเซียวหลวนแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว
แล้วก็จริงดังคาด เห็นว่าเฉินผิงอันเดินเข้ามาในโถงเซวี่ยหมาง อู๋อี้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอย่างเกียจคร้าน บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาของจวนจื่อหยางที่ไม่แม้แต่จะปรายตามองหน้าฮูหยินเซียวหลวน
กลับลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เดินลงมาจากบันได ตรงรี่เข้าหาพวกเฉินผิงอัน คล้องแขนเฉินผิงอันไว้แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “คุณชายเฉินยังไม่มาถึงโถงเซวี่ยหมาง พวกเราก็ไม่กล้าเริ่มงานเลี้ยงก่อนโดยพลการ”
เฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดทั่วร่างผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ดีๆ แขนกลับถูกสตรีแปลกหน้าคล้องไว้พลันตัวแข็งทื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็ไม่อาจปฏิเสธท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมของอู๋อี้ต่อหน้าทุกคนที่กำลังจับตามองได้ จึงรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกตนใหญ่ของจวนจื่อหยางซึ่งรวมถึงเจ้าประมุขหวงฉู่ แต่ละคนจิตใจไหวเอนไม่หยุดนิ่ง ยิ่งรู้สึกว่าคนหนุ่มแปลกหน้าแซ่เฉินผู้นี้ อาจจะเป็นคู่รักของบรรพจารย์ แต่ความเป็นไปได้ข้อนี้มีไม่มากเลยจริงๆ ถึงอย่างไรนับตั้งแต่ที่บรรพจารย์สร้างจวนจื่อหยางขึ้นมาก็ไม่เคยมีคู่บำเพ็ญตนมาก่อน บรรพจารย์หลงใหลอยู่กับมหามรรคา สำหรับความรักฉันท์ชายหญิงแล้ว นางไม่เคยมีความสนใจ หรือว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีบางคนที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่?
หาไม่แล้วการแสดงออกแต่ละอย่างของอู๋อี้ในงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ออกจะผิดแผกแปลกประหลาดเกินไปหน่อย
โชคดีที่หลังจากอู๋อี้พาเฉินผิงอันมาถึงที่นั่งแล้ว นางก็ปล่อยมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ เดินตรงไปที่ตำแหน่งประธานแล้วนั่งลง ยังคงมีท่าทางโปรดปรานใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินผิงอันดังเดิม พูดด้วยเสียงอันดังว่า “คุณชายเฉิน อย่างอื่นในจวนจื่อหยางของเราไม่ต้องพูดถึง ทว่าเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอนี้มีชื่อเสียงระบือไกลไปสี่ทิศ ไม่ใช่แค่คำยกยอโอ้อวดตนเองเท่านั้น ต่อให้เป็นฮ่องเต้สกุลเกาเกอหยางต้าสุยก็ยังเคยมาขอร้องสกุลหงแคว้นหวงถิงเป็นการส่วนตัวว่าขอให้จวนจื่อหยางของพวกเราส่งไปให้ปีละหกสิบไห ตอนนี้เหล้าเตรียมมาวางรอไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เมื่อดื่มหมดแล้วจะมีคนยกมาเติมให้ใหม่ จะไม่มีทางปล่อยให้ถ้วยเหล้าเบื้องหน้าใครว่างเปล่าเด็ดขาด ทุกท่านเชิญดื่มให้เต็มที่ คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!”
ผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามหลายสิบคนของจวนจื่อหยาง สาวใช้ที่ทำหน้าที่ยกสุราวางอาหารสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสใหม่เอี่ยมเดินกรูกันออกมาจากสองฝากฝั่งของโถงเซวี่ยหมาง ประหนึ่งผีเสื้อหลากหลายสีสันกางปีกบิน สดใสสะดุดตายิ่งนัก
อู๋อี้ลุกขึ้นยืนแล้วชูจอกหล้าขึ้น “จอกแรกนี้ขอดื่มคารวะให้คุณชายเฉินที่มาเยือนจวนจื่อหยางของพวกเรา ทำให้จวนของพวกเราสว่างสดใสเรืองรองขึ้นอีกหลายเท่า!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย พร้อมใจกันชูจอกเหล้า หันไปดื่มคารวะให้กับเฉินผิงอัน
ในแคว้นหวงถิง นี่เรียกว่าหน้าใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า
เกรงว่าต่อให้ฮ่องเต้สกุลหงเสด็จมาเยือนตำหนักจื่อชี่ด้วยตัวเองก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะทำให้อู๋อี้เอ่ยประโยคเช่นนี้ได้
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันนั่งประจำที่แล้ว ซุนเติงเซียนยังไม่ทันคืนสติ นั่งเหม่ออยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง ยังดีที่ถูกสหายเหยียบเท้าหนึ่งที ถึงได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน
เฉินผิงอันได้แต่เอ่ยขอบคุณแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมด
โต๊ะตัวเล็กจิ๋วกะทัดรัดที่วางอยู่ด้านหน้าเผยเฉียนก็มีเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอวางไว้สองกาเช่นกัน แต่ทางจวนจื่อหยางเอาใจใส่ดีเยี่ยม เตรียมเหล้าผลไม้รสชาติหอมหวานสดชื่นไว้ให้แม่หนูน้อยกาหนึ่ง ทำให้เผยเฉียนที่ลุกขึ้นยืนชูจอกเหล้าเบิกบานใจสุดขีด
จวนจื่อหยางเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ
เผยเฉียนตัดสินใจแล้วว่าวันหน้านางจะต้องพร่ำพูดอยู่ข้างหูอาจารย์ว่าให้มาเป็นแขกที่จวนจื่อหยางบ่อยๆ แม้ว่าอู๋อี้ผู้นี้จะหน้าตาไม่งดงามนัก เมื่อเทียบกับหวงถิงหรือเหยาจิ้นจือแล้วจะดูป่าเถื่อนกว่าเยอะมาก แต่กลับนิสัยดี ต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้น หาข้อบกพร่องไม่ได้แม้แต่น้อย! ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องให้อาจารย์แต่งนางเข้าบ้านมาเป็นอาจารย์แม่ของนาง หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่สำคัญหรอก
หลังจากนั้นอู๋อี้กลับไม่ได้ใส่ใจเฉินผิงอันมากนัก ปล่อยให้งานเลี้ยงดำเนินไปเหมือนการฉลองของตระกูลเซียนบนภูเขาธรรมดาเท่านั้น
อาหารเลิศรสหลากหลายสีสันที่หายากล้ำค่าซึ่งถูกยกมาด้วยมือของผู้ฝึกตนหญิงเรือนกายสะโอดสะองดุจผีเสื้อหลากสีพากันเปล่งประกายแสงตัดสลับละลานตาอยู่ในโถงเซวี่ยหมาง
ไม่เสียแรงที่เจ้าประมุขหวงฉู่คือมือวางอันดับสองของจวนจื่อหยางที่รับผิดชอบเป็นหน้าเป็นตาให้ทางสำนัก เขาเป็นคนที่รู้จักพูด ในงานนี้ก็เป็นคนนำขบวนดื่มคารวะอู๋อี้ เอ่ยประโยคน่าฟังที่ไหลรื่นดุจไข่มุก พาให้คนทั้งห้องโถงกู่ร้องชอบใจ
อู๋อี้พูดไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับท่าทียามอยู่ในงานเลี้ยงของจวนจื่อหยางในอดีตแล้ว วันนี้นางกลับน่าเข้าใกล้กว่าเยอะมาก ราวกับเป็นคนละคน ยังเป็นฝ่ายเล่าเรื่องน่าสนใจบนภูเขาสองสามเรื่อง ทุกคนในจวนจื่อหยางย่อมพากันหัวเราะเสียงดังไม่ขาดสาย อันที่จริงอู๋อี้มีนิสัยไม่ชอบหัวเราะพูดคุย หากเปลี่ยนมาเป็นหวงฉู่ที่เป็นคนเล่าเรื่องเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจไม่ด้อยไปกว่านักเล่านิทานเลย แต่พอหลุดออกมาจากปากของอู๋อี้ เฉินผิงอันฟังแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ตลกเลยสักนิด ทว่าผู้คนที่ส่งเสียงหัวเราะในโถงเซวี่ยหมางกลับมีท่าทางจริงใจยิ่ง สีหน้าแต่ละคนเป็นธรรมชาติไม่น้อยหน้ากันเลย
บางทีนี่ก็คงจะถือว่าเป็นยุทธภพกระมัง
อันที่จริงครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้สึกเช่นนี้ ยังคงเป็นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ล่องลอยเหมือนภาพมายาแห่งนั้น หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลงก็ได้พบกับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนที่เหลาสุราโดยบังเอิญ
ฮูหยินเซียวหลวนถือจอกเหล้าไว้ในมือ ลุกขึ้นยืนช้าๆ
ทุกคนหยุดส่งเสียงดังจอแจพร้อมกันราวกับจิตสื่อถึงกันได้ ทันใดนั้นห้องโถงก็เงียบกริบ
ฮูหยินเซียวหลวนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เซียวหลวนขอเป็นตัวแทนจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ดื่มคารวะบรรพจารย์หยวนจวินหนึ่งจอก”
อู๋อี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่สายตากลับหยุดนิ่งอยู่บนร่างของฮูหยินเซียวหลวน
ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่านางอู๋อี้ไม่คิดจะให้หน้าจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ และเจ้าเซียวหลวนก็อย่าหวังมาได้หน้าได้ตาที่จวนจื่อหยางแม้แต่เสี้ยวเดียว
ซุนเติงเซียนโมโหจนอกเกือบแตก สองหมัดกำแน่นวางไว้บนโต๊ะ ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
อู๋อี้ชำเลืองหางตามองเฉินผิงอันคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ฝ่ายหลังกำลังหันหน้าไปพูดเบาๆ กับเผยเฉียน ราวกับกำลังเตือนนังหนูน้อยว่ามาเป็นแขกที่บ้านของคนอื่น จำเป็นต้องนั่งให้สำรวม กินให้สุภาพ อย่าหลงระเริงลืมตน เหล้าผลไม้ไม่ใช่เหล้า จะหาข้ออ้างว่าดื่มจนเมามายเลยไม่คิดสนใจสิ่งใดไม่ได้เผยเฉียนยืดเอวขึ้นตรง แต่กลับโคลงศีรษะพูดกลั้วหัวเราะคิกคักว่ารู้แล้วน่า รู้แล้วน่า ผลคือถูกเฉินผิงอันประเคนมะเหงกให้หนึ่งลูก
อู๋อี้เห็นว่าเฉินผิงอันไม่คิดจะเข้ามามีเอี่ยวด้วยจึงดึงสายตากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว อ้าปากหาวหวอด มือหนึ่งจับคอของกาเหล้าที่บรรจุเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอไว้เต็มกาพลางแกว่งมันเบาๆ อีกมือหนึ่งเท้าคาง ถามอย่างเกียจคร้าน “แม่น้ำป๋ายกู่? อยู่ที่ไหน?”
จากนั้นอู๋อี้ก็หันหน้าไปมองหวงฉู่ ถามว่า “ห่างจากจวนจื่อหยางของพวกเราไปไกลเท่าไหร่?”
หวงฉู่รีบลุกขึ้นยืนตอบอย่างนอบน้อม “เรียนท่านบรรพจารย์ จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่แห่งนี้ห่างจากจวนจื่อหยางของพวกเราแค่ระยะทางของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนกางกั้น เป็นระยะทางน้ำสามร้อยลี้”
อู๋อี้แสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “งั้นก็ไม่ไกลน่ะสิ”
ไม่ไกล ก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน คำสุภาษิตของชาวบ้านเคยกล่าวไว้ว่าญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง สำหรับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำแล้ว ระยะทางสามร้อยลี้ก็เป็นระยะทางที่สามารถมาถึงได้ในชั่วพริบตา เท่ากับระยะทางเวลาที่คนธรรมดากินข้าวเสร็จแล้วออกมาเดินเล่นเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่กลับวางท่าว่าต่อให้ตายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กับจวนจื่อหยาง เมื่ออยู่ในสายตาของอู๋อี้ นี่จึงไม่ต่างจากการท้าทายของฮูหยินเซียวหลวน
แต่สำหรับเรื่องนี้ อู๋อี้ก็มีการดีดลูกคิดรางแก้วของตัวเอง ถึงได้ปล่อยให้จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่บุกเบิกขยับขยายพื้นที่โดยที่ไม่เปิดปากสั่งให้ผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางและศาลจีเซียงลำคลองเถี่ยเชวี่ยนขัดขวาง
ในโถงเซวี่ยหมางที่บรรยากาศกลมเกลียวปรองดองพลันเปี่ยมไปด้วยปราณสังหารดุดัน
ฮูหยินเซียวหลวนใช้สองมือถือประคองจอกเหล้าไว้เบื้องหน้าตัวเองอยู่อย่างนั้น บนใบหน้าที่งามพิลาสไร้ข้อบกพร่องยังคงคลี่ยิ้มหยดย้อยไม่เปลี่ยน “หวังว่าต้งหลิงหยวนจวินจะให้อภัย ถ้าอย่างนั้นข้าเซียวหลวนจะดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
และในขณะที่ฮูหยินเซียวหลวนยกแขนขึ้น อู๋อี้พลันยื่นฝ่ามือออกมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “เซียวหลวน จวนจื่อหยางเล็กๆ ไหนเลยจะรับสุราคารวะจากองค์เทพแม่น้ำท่านหนึ่งได้ หวงฉู่ เจ้าเป็นเจ้าสำนักอย่างไร เซียวหลวนเขาไม่มาเยี่ยมเยียน เจ้าก็ไม่รู้จักเป็นฝ่ายไปเยือนจวนเทพวารีบ้างเลยหรือ? จะต้องให้ฮูหยินเทพแม่น้ำมาพบเจ้าให้ได้? ดูมาดเจ้าประมุขที่เจ้าวางนี่เถอะ สามารถเทียบเคียงกับฮ่องเต้สกุลหงได้แล้ว เร็วเข้า มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบเป็นฝ่ายดื่มคารวะฮูหยินเทพแม่น้ำเข้าสิ ช่างเถิด หวงฉู่เจ้าดื่มลงโทษตัวเองสามจอกก็แล้วกัน”
หวงฉู่ไม่พูดไม่จาก็หันหน้าไปทางฮูหยินเซียวหลวนแล้วยกจอกเหล้าขึ้นดื่มติดๆ สามจอกรวด
บรรยากาศในโถงเซวี่ยหมางตึงเครียดจนแม้แต่เข็มตกก็คงได้ยินกันถ้วนทั่ว
ฮูหยินเซียวหลวนถือจอกเหล้าที่ไม่มีโอกาสได้ดื่มค้างไว้ตลอดเวลา หลังจากก้มตัวลงวางจอกเหล้าแล้วก็ทำท่าทางแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง นางหันไปยกไหเหล้าสองใบที่วางไว้บนโต๊ะของผู้เฒ่าและซุนเติงเซียนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวามาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง เหล้าสามไหวางเรียงกัน นางยกไหหนึ่งในนั้นขึ้นมา หลังจากเปิดผนึกดินออกก็กอดกาเหล้าหนักประมาณสามจินเอาไว้ พูดกับอู๋อี้ว่า “จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่รับเหล้าคารวะของเจ้าประมุขหวงไปแล้วสามจอก นี่เป็นเพราะใต้เท้าแห่งจวนจื่อหยางเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่ถือสาสตรีอย่างข้าเซียวหลวน แต่ข้าก็อยากจะดื่มสุราลงโทษสามไหเพื่อเป็นการขออภัยต้งหลิงหยวนจวิน ขณะเดียวกันก็ขออวยพรให้หยวนจวินเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน เปิดสำนักให้แก่จวนจื่อหยางได้ในเร็ววัน!”
หลังจากนั้นเซียวหลวนก็จงใจสยบการโคจรของร่างทอง เท่ากับว่าสลายตบะของเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ออก ใช้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์ทั่วไปชั่วขณะ แล้วยกเหล้าสามไหดื่มหมดรวดเดียว
ใบหน้าของเซียวหลวนแดงก่ำ นางยกไหเหล้าขึ้นสูงสามครั้ง แหงนหน้ากระดกดื่ม สุราจึงหกเลอะออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สาบเสื้อตรงหน้าอกของอาภรณ์ชาววังที่งดงามเปียกชื้นเล็กน้อย นางหันหน้ากลับไป ใช้มืออุดปาก
เผยเฉียนอ้าปากกว้าง มองวีรสตรีที่ห้าวหาญผู้นั้นอยู่ไกลๆ หากเปลี่ยนมาเป็นตน อย่าว่าแต่เหล้าสามไหเลย ต่อให้เป็นเหล้าผลไม้ไหเล็กๆ นางก็คงกรอกไม่เข้าท้องแล้ว
นางรีบยกจอกเหล้าขึ้น รินเหล้าผลไม้ให้ตัวเองหนึ่งจอก เตรียมจะยกขึ้นดื่มระงับความตกใจ
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ กับเผยเฉียน “แค่พอประมาณก็พอแล้ว”
อู๋อี้ที่มองประเมินเฉินผิงอันอีกครั้งหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ยังไม่กล้านั่งแล้วผงกศีรษะให้ “สุราคารวะดื่มแล้ว สุราลงทัณฑ์ก็ดื่มไปไม่น้อย ดีมาก ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าบ้านหลังเดียวกัน วันหน้าจวนเทพวารีของพวกเจ้าก็ถือว่าเป็นญาติกับจวนจื่อหยางของพวกเราครึ่งตัวแล้ว ยามถึงช่วงเทศกาลหรือปีใหม่ก็จำไว้ว่ามาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ แต่ข้าคงต้องขอเตือนฮูหยินเซียวหลวนสักคำว่า วันนี้ที่เจ้ามีโอกาสนี้ล้วนเป็นคุณความชอบของคุณชายเฉิน ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยรึ?”
เห็นได้ชัดว่าฮูหยินเซียวหลวนผู้นั้นย่ำแย่เต็มที ลมหายใจของนางถี่กระชั้นจนเกิดเป็นทัศนียภาพที่เทือกเขาสลับสล้างขึ้นลง แต่ก็ยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สมควรต้องทำอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะดื่มอีกหนึ่งไห ก็อย่างที่ต้งหลิงหยวนจวินกล่าวไว้ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ไม่เมาไม่กลับ! ข้าเซียวหลวนล้วนไม่กล้าผิดต่อฤกษ์งาม ทัศนียภาพน่ามอง สุราเลิศรสและวีรบุรุษ หวังเพียงว่าถึงเวลานั้นหากข้าเมามายแล้วเสียกิริยา หยวนจวินจะไม่หัวเราะเยาะ…”
ระหว่างที่พูดเซียวหลวนก็ยกเหล้าขึ้นมาอีกไห นิ้วที่แกะผนึกดินสั่นเบาๆ อย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หยิบจอกเหล้ามาไว้ในมือ มองไหเหล้าในมือของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่อยู่ห่างไปตรงหน้าประตู พอก้มลงมองจอกเหล้าในมือของตัวเองก็หันไปหาอู๋อี้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ยิ้มกล่าวว่า “หยวนจวิน ข้าดื่มเหล้าไม่เก่ง ไม่สู้ให้ทั้งข้าและเจ้าแม่เทพวารีดื่มกันคนละจอกดีไหม? ไม่อย่างนั้นหากข้าดื่มหนึ่งจอก แต่เจ้าแม่เทพวารีกลับดื่มหนึ่งไห ตามเหตุตามผลแล้วล้วนเป็นข้าที่ทำไม่ถูก วันหน้าหากต้องมารบกวนจวนจื่อหยางอีกครั้ง ยามที่เดินทางผ่านจวนเทพวารีจะได้ไม่ถึงขั้นไม่กล้าไปเยี่ยมเยียนเจ้าแม่เทพวารี”
สายตาของอู๋อี้มืดลึก แกว่งกาเหล้า ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเฉิน แบบนั้นไม่ได้หรอก เซียวหลวนคารวะข้าสามไห แต่กลับดื่มให้คุณชายแค่จอกเดียว แบบนี้จะนับได้อย่างไร ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทำไม หรือคุณชายเฉินเกิดมีใจนึกรักหยกถนอมบุปผาขึ้นมา? หากเป็นเช่นนั้นก็บังเอิญเลย ใช้สุราเป็นสื่อ ฮูหยินเซียวหลวนของเราอยู่ตัวคนเดียวมานานหลายปีแล้ว คุณชายเฉินผิงอันเองก็เป็นมังกรในกลุ่มคน…”
เฉินผิงอันรีบตัดบทคำพูดของอู๋อี้ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเลไปไกล หิ้วไหเหล้าขึ้นมา แกะผนึกดินออก พูดคล้ายขอร้องอู๋อี้ “หยวนจวิน ข้าพูดสู้ท่านไม่ได้ ข้าเองก็น้อมรับการลงโทษ ดื่มสุราลงทัณฑ์ครึ่งไห ที่เหลืออีกครึ่งไหก็ถือซะว่าข้าคารวะเจ้าแม่เทพวารีกลับคืนแล้วกัน”
อู๋อี้พลันหัวเราะเสียงดังลั่น
ดังนั้นในโถงเซวี่ยหมางจึงมีเสียงหัวเราะสะเทือนฟ้าดังขึ้นมาอีกครั้ง
เฉินผิงอันหันหน้าเข้าหาตำแหน่งประธาน ดื่มหมดรวดเดียวครึ่งไห จากนั้นก็หันหน้าไปทางฮูหยินเซียวหลวน ชูไหเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งกาขึ้นสูง “คารวะเจ้าแม่เทพวารี”
ฮูหยินเซียวหลวนกระดกดื่มสุราหมดไหอีกครั้ง
คราวนี้นางไม่มัวรักษามารยาทอีก รีบนั่งลง หันหน้ากลับไปใช้หลังมืออุดปากไว้แน่น
หลังจากเรื่องวิวาทผ่านไป งานเลี้ยงก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
ผู้ฝึกตนสาวที่สวมชุดสีสันงดงามยุ่งวุ่นวายไม่หยุดมือ
มีคนเริ่มลุกออกจากที่นั่งเพื่อมาดื่มคารวะกันและกันแล้ว
ถึงอย่างไรในจวนจื่อหยางตอนนี้ก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางมารวมตัวกัน ในจำนวนนี้มีคนไม่น้อยที่เร่งรุดเดินทางมาจากจวนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับจวนจื่อหยาง ผู้ฝึกตนสองขอบเขตอย่างชมมหาสมุทรและประตูมังกรพิถีพิถันในเรื่องน้ำหยดลงหินมากที่สุด ผู้ฝึกตนที่เรียกได้ว่าฝึกบำเพ็ญตนจนประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงประเภทนี้ หากไม่ได้พบหน้ากันสิบกว่าปีหรือหลายสิบปีก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก หากไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดในตำนานก็ยิ่งชื่นชอบความสงบดุจมังกรซ่อนตัวในหมู่เมฆ
สาวใช้ก้มตัวลงลูบแผ่นหลังฮูหยินเซียวหลวนเบาๆ แต่กลับถูกเซียวหลวนสะบัดออก สาวใช้รีบหยุดมือ ยืนนิ่งเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว
ฮูหยินเซียวหลวนที่สายตาปรือปรอยด้วยความเมายิ่งงดงามจับตา โดดเด่นชวนมอง นางพูดกับซุนเติงเซียนเบาๆ ว่า “เติงเซียน ไม่ไปดื่มเหล้ากับสหายของเจ้าสักหน่อยหรือ?”
สีหน้าของซุนเติงเซียนเผยความลำบากใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมามายหรือไม่ ฮูหยินเซียวหลวนเวลานี้จึงดูแตกต่างไปจากสตรีสุภาพเรียบร้อยในเวลาปกติ กลับมีท่าทางออดอ้อนเหมือนสาวน้อย นางกำลังมองซุนเติงเซียนด้วยสีหน้าน่าสงสาร
ซุนเติงเซียนรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาเคารพนับถือเจ้าแม่เทพวารีท่านนี้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีใจคิดรักใคร่นางแบบชายหญิง แต่ใต้หล้านี้จะมีบุรุษสักกี่คนที่เห็นประกายออดอ้อนอ่อนหวานในดวงตาของคนงามแล้วจะทำใจแข็งเป็นหินได้?
ซุนเติงเซียนจึงได้แต่พยักหน้ารับ ลุกขึ้นหยิบจอกเหล้า เตรียมจะไปดื่มคารวะเฉินผิงอัน
ต่อให้ซุนเติงเซียนจะมีนิสัยพยศเย่อหยิ่ง หากไม่รู้ว่าเฉินผิงอันคือแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งของจวนจื่อหยางที่แม้แต่บรรพจารย์อู๋อี้ก็ยังต้องประจบเอาใจ แต่คิดว่าเขาคือจอมยุทธหนุ่มขอบเขตสามสี่ในความทรงจำของปีนั้น ทุกคนมาพบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพ ในเมื่อมีโอกาสกลับมาเจอกันในยุทธภพอีกครั้ง อย่าว่าแต่เฉินผิงอันไม่มาดื่มคารวะเลย เขาซุนเติงเซียนนี่แหละจะเป็นฝ่ายไปชนแก้วกับเขาแล้วชวนคุยเอง แต่ตอนนี้ซุนเติงเซียนกลับรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ความห้าวเหิมหายเกลี้ยงไม่มีเหลือ
แต่ซุนเติงเซียนก็ต้องอึ้งตะลึงอยู่กับที่
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ผู้นั้นเดินมาพร้อมเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านที่กระโดดโลดเต้นตามมา
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซุนเติงเซียน “จอมยุทธใหญ่ซุน ขอดื่มคารวะท่านหนึ่งจอก”
แม้ว่าก่อนหน้านี้ซุนเติงเซียนจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่พอเฉินผิงอันมาหาถึงที่ ซุนเติงเซียนก็ให้รู้สึกดีใจไม่น้อย แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีหน้ามีตา ในที่สุดการเดินทางมาจวนจื่อหยางที่น่าอึดอัดคับข้องใจนี้ก็มีช่วงเวลาที่สบายใจได้บ้าง ซุนตงเซียนคลี่ยิ้มลุกขึ้นยืนเคียงบ่ากับเฉินผิงอัน หลังจากชนแก้วกันแล้ว ต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าในจอกของตัวเองจนหมด ตอนที่ชนจอกกัน เฉินผิงอันจงใจลดระดับจอกของตัวเองให้อยู่ต่ำกว่า ซุนเติงเซียนรู้สึกว่าไม่เหมาะเท่าไหร่ จึงลดระดับต่ำตามไปด้วย คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะลดระดับต่ำลงไปอีก ซุนตงเซียนจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เดิมทีคืนนี้ซุนเติงเซียนก็เอาแต่ดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองด้วยความอัดอั้นจึงเริ่มกรึ่มๆ บ้างแล้ว พอดื่มเหล้าหนึ่งจอกนี้ไปแล้ว คำพูดบางอย่างที่วิ่งมารออยู่ตรงปากก็โพล่งหลุดออกไปทันที “เฉินผิงอัน เจ้าไปเรียนกฎบนโต๊ะสุราพวกนี้มาจากไหน บ้านนอกยิ่งนัก! อีกอย่าง ข้าเองก็รับมารยาทนี้ของเจ้าไม่ไหวหรอก”
ฮูหยินเซียวหลวนลุกขึ้นยืนแล้ว สหายสองคนของจวนเทพวารีซึ่งรวมถึงผู้เฒ่าเห็นว่าซุนเติงเซียนทำตัวเป็นกันเองขนาดนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายจ้า “จอมยุทธใหญ่ซุน ท่านรับได้ไหวอยู่แล้ว!”
ซุนเติงเซียนอารมณ์ดีทันใด “ก็แค่จับปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งได้ไม่ใช่หรือ เจ้าต้องจดจำไม่ลืมถึงขนาดนี้ด้วยหรือไง?”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดความในใจที่เป็นความรู้สึกซึ่งเขามีต่อยุทธภพ เพียงแต่หยิบเหล้าไหหนึ่งบนโต๊ะข้างๆ ขึ้นมา รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก แล้วก็รินให้ซุนเติงเซียนจนเต็มจอก ยิ้มกล่าวว่า “บนโลกมนุษย์ทางคับแคบ จอกเหล้ากว้าง ขอดื่มกับจอมยุทธใหญ่ซุนอีกจอก!”
คนทั้งสองยังคงดื่มเหล้าในจอกรวดเดียวหมด ซุนเติงเซียนหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้าตัวดี ความสามารถในการชวนดื่มมีไม่น้อยเลยนี่นา!”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอฤทธิ์แรงไปรวดเดียวหนึ่งไห ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำแล้วเช่นกัน
ครั้นแล้วก็บอกลาซุนเติงเซียน ไม่ได้โอภาปราศรัยกันนานนัก
ยิ่งไม่ได้พูดคุยกับเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นเลยแม้แต่คำเดียว
ก่อนที่เฉินผิงอันจะจากไป เขาหันไปมองทางประตูใหญ่แวบหนึ่ง
ผู้ดูแลที่ได้แต่เฝ้าอยู่นอกธรณีประตูมองมาทางเฉินผิงอันและฮูหยินเซียวหลวนตาปริบๆ ตลอดเวลา พอเห็นสายตาเฉินผิงอันที่มองมา เขาก็รีบก้มหน้าค้อมตัวลงต่ำทันที
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกจอกเหล้าที่ว่างเปล่าในมือขึ้นสูง แล้วถึงได้ย้อนกลับไปที่นั่ง
พอได้รับสัญญาณนี้ ผู้ดูแลที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่นานก็ดีใจจนแทบจะน้ำตาไหล
ฮูหยินเซียวหลวนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะก้มหน้าลงต่ำ เช็ดคราบเหล้าที่เปื้อนสาบเสื้อเบาๆ พ่นลมหายใจขุ่นมัวและกลิ่นสุราออกมา
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการดื่มสุราลงทัณฑ์อย่างเอาเป็นเอาตายนี้ก็คือ ต่อให้เจ้าอยากจะดื่มลงโทษตัวเองสักกี่ร้อยกี่พันจิน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ให้โอกาสเจ้าได้ดื่มแม้แต่สองสามจิน
สาวใช้มองแผ่นหลังที่จากไปไกลของคนหนุ่มผู้นั้น หลังจากขบคิดใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจ
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ถามอย่างใคร่รู้ “ตาแก่นั่นใช้ตาสุนัขมองคนอื่นต่ำต้อย อาจารย์ท่านไม่โกรธหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีอะไรให้ต้องโกรธกันเล่า”
เผยเฉียนถามเสียงเบา “เพราะอาจารย์หวังดีต่อพวกจอมยุทธใหญ่ซุนสินะ”
เฉินผิงอันตบศีรษะนางเบาๆ “เจ้านี่ฉลาดจริงๆ”
ห่างจากที่นั่งอีกแค่ไม่กี่ก้าว เผยเฉียนก็จับฝ่ามือที่อบอุ่นของเฉินผิงอันเอาไว้ เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนหัวเราะคิกคัก “แตะสัมผัสกลิ่นอายในยุทธภพและกลิ่นอายเซียนของอาจารย์คนดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใช่ กินฟรีอยู่ฟรีมาได้ตลอดทาง จะไปหาอาจารย์แบบนี้ได้จากที่ไหนอีก”
เผยเฉียนถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ ขอข้าดื่มเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอสักนิดได้ไหม หอมยิ่งนัก ข้าอยากกินจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เผยเฉียนพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสามารถดื่มจอกเล็กๆ ได้ ข้าเองก็อยากจะทางแคบจอกเหล้ากว้างเหมือนกัน”
เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน โยนนางไปไว้บนที่นั่งพิเศษที่ตั้งโต๊ะตัวเล็กและเก้าอี้ตัวเล็กสำหรับนาง “ดื่มเหล้าผลไม้ของเจ้าไปเลย”
เฉินผิงอันเตรียมจะนั่งลง อู๋อี้กลับเดินลงจากตำแหน่งประธาน มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา นางโบกมือบอกให้คนในโถงเซวี่ยหมางที่เงียบลงในชั่วพริบตาดื่มเหล้ากันต่อ รอจนงานเลี้ยงสุรากลับคืนสู่ความคึกคักอีกครั้ง
อู๋อี้ถึงใช้เสียงในใจถามว่า “คุณชายเฉิน เจ้าเคยฆ่าพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงมาไม่น้อยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ศึกที่ร่องเจียวหลง เขาไม่ใช่คนสังหารเจียวเฒ่าก่อกำเนิดตนนั้นด้วยมือของตัวเอง
แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงปีศาจปลาไหลตอนอยู่ริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีปขึ้นมาได้ เจ้านั่นเป็นเฉินผิงอันที่สังหารเองตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ถามว่า “หยวนจวินมองอะไรออกหรือ?”
ตอนที่อู๋อี้เห็นเฉินผิงอันส่ายหน้า ลึกๆ ในใจก็ให้รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่พอนึกถึงจดหมายจากทางบ้านที่ได้ผลยิ่งกว่าคำสั่งของอริยะก็ได้แต่เอ่ยอธิบายอย่างอดทนว่า “ข้าเองก็ไม่สะดวกจะซักไซ้เรื่องในอดีตของคุณชายเฉิน แต่ข้ามองออกว่าบนร่างของคุณชายมีผลกรรมติดตัวอยู่ไม่น้อย”
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “หมายความว่ายังไง?”
อู๋อี้ยิ้มกล่าว “บนโลกนี้มีปีศาจบางตน เมื่อสังหารแล้วผลบุญจะติดตัว แต่ก็มีบางตนที่กลายเป็นเวรกรรมตามติด กฎเกณฑ์ที่ไม่เหมือนปกติทั่วไปพวกนี้ ลัทธิขงจื๊อเก็บไว้เป็นความลับตลอดเวลา ดังนั้นคุณชายอาจจะไม่รู้”
เฉินผิงอันถามอย่างตรงไปตรงมา “มีวิธีแก้ไขหรือขจัดทิ้งไหม?”
อู๋อี้อุบไว้ไม่ยอมบอก “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรคุณชายก็ยังต้องอยู่ที่จวนจื่อหยางอีกวันสองวัน รอให้สร่างเมาเมื่อไหร่ ข้าค่อยคุยกับคุณชายเฉินเรื่องนี้ คืนนี้แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวก็พอ อย่าคุยเรื่องที่ทำให้หมดสนุกพวกนี้เลย”
ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา
อู๋อี้ออกไปจากงานเลี้ยงก่อนใคร
และเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็พาพวกเผยเฉียนออกจากโถงเซวี่ยหมาง เดินย้อนกลับไปทางเดิม
เผยเฉียนยังคงอารมณ์ดี ไม่ลืมหยิบไม้เท้าเดินป่ามาคลอเพลงพื้นบ้านที่แต่งขึ้นเองไปตลอดทาง เนื้อเพลงล้วนเป็นภาษาถิ่นของบ้านเกิดในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่นางได้ยินมาจากอาจารย์
“วันนี้เทพเจ้าสายฟ้าร้องเพลง พรุ่งนี้ฝนตกก็คงไม่มาก นกนางแอ่นบินต่ำ งูเลื้อยผ่านทาง มดย้ายบ้าน ภูเขาสวมหมวก…ดวงจันทร์มีขน ฝนตกเซาะปราการ บนท้องฟ้าลายพร้อยด้วยจุดปลาหลี พรุ่งนี้ตากธัญพืชไม่ต้องพลิก…”
ร้องไปเรื่อยไม่มีท่าทีจะหยุด
จูเหลี่ยนฟังเพลงพื้นบ้านเพลงนี้มานานจนหูจะด้านชาแล้ว จึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “จอมยุทธหญิงเผย เจ้าโปรดเมตตาปล่อยหูข้าไปเถอะนะ?”
เผยเฉียนทอดถอนใจ คืนนี้นางอารมณ์ดีมากก็เลยยอมตามใจพ่อครัวเฒ่าสักครั้ง นางวิ่งออกไปบนทางที่เงียบสงัดสองสามก้าว โบกตวัดไม้เท้าเดินป่า “หมาดุร้ายในใต้หล้าออกอาละวาด หมาป่าและหมาในสมคบคิดกันทำชั่ว ถึงได้ทำให้ยุทธภพอันตรายถึงเพียงนี้ ผู้คนอยู่กันอย่างหวาดหวั่น แต่ข้ายังฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบล้ำโลกไม่สำเร็จ ต้องโทษข้า ต้องโทษข้าคนเดียว”
จูเหลี่ยนถีบเข้าที่ก้นของเผยเฉียน
เผยเฉียนเซถลาไปหลายก้าว แต่ก็ยังพลิ้วตัวหยุดยืนนิ่งได้อย่างสบายๆ ก่อนจะหันหน้ามาพูดอย่างเคืองๆ “ทำอะไรน่ะ?”
จูเหลี่ยนกำลังจะเอ่ยหยอกล้อนาง แต่กลับร้องเอ๊ะขึ้นมาเสียก่อน เขาเงยหน้าขึ้น ยื่นมือออกไป “ฝนตกแล้ว?”
เฉินผิงอันอืมหนึ่งที
มีฝนเม็ดบางๆ ตกลงมาจริงๆ
คนทั้งกลุ่มจึงเดินเร็วๆ กลับไปที่หอเก็บสมบัติแห่งนั้น
สือโหรวคือวัตถุหยิน ไม่จำเป็นต้องนอนหลับ จึงเฝ้ายามอยู่ที่ชั้นหนึ่ง
จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนแยกกันอาศัยในชั้นที่สองและชั้นที่สาม
ส่วนเฉินผิงอันไปยืนอยู่ตรงระเบียงของชั้นสี่เพียงลำพัง คืนนี้ฝนตกไม่แรงนัก
เดินนิ่งอยู่กลางระเบียงได้ครึ่งชั่วยาม กลิ่นเหล้าที่คลุ้งอยู่นอกกายก็หายไปสิ้น
เฉินผิงอันจึงกลับไปนอนในห้อง เขาหลับไม่สนิทนัก ถึงอย่างไรก็อยู่ที่จวนจื่อหยางซึ่งอู๋อี้ผู้มีนิสัยยากคาดเดาเป็นเจ้าของ
ครึ่งคืนหลังพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
เฉินผิงอันลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า พอเปิดประตูออกกลับเห็นคนที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็น
เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ ฮูหยินเซียวหลวน
เห็นเพียงว่านางมีสีหน้าสับสนระคนเขินอาย ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ดูเหมือนว่านางจะเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงที่รัดรึงแนบกายชุดใหม่ นางเบี่ยงหน้ามา กัดริมฝีปาก ปลุกความกล้าแล้วพึมพำแผ่วเบาว่า “คุณชายเฉิน…”
เฉินผิงอันกลับปิดประตูลงดังปัง
ฮูหยินเซียวหลวนที่ยืนอยู่ข้างนอกใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ได้ยินเพียงเสียงเดือดดาลของคนหนุ่มที่อยู่ในห้องดังลอดมา “ฮูหยินโปรดสำรวมกิริยาด้วย!”