Skip to content

Sword of Coming 441

บทที่ 441 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี

ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงของวันนี้ บนท้องฟ้าประดับประดาด้วยจุดลายปลาหลีสีทองระยิบระยับ ราวกับว่ามีปลาหลีสีทองขนาดมหึมาตัวหนึ่งว่ายสะบัดหางอยู่บนม่านฟ้า คนบนโลกไม่เคยได้เห็นร่างทั้งหมดของมัน

ผู้ดูแลหลักห้องตกปลาของเกาะชิงเสียคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีความอาวุโสมากคนหนึ่ง เขาพาเด็กหนุ่มท่าทางขลาดกลัวคนหนึ่งลงจากเรือขึ้นฝั่ง เดินตรงไปยังประตูภูเขาด้วยตัวเอง

ผู้ฝึกลมปราณของห้องตกปลาเกาะชิงเสียมีความคล้ายคลึงกับหน่วยจานกานของราชวงศ์ต้าหลี ผู้ฝึกตนเฒ่ามีนามว่าจางเย่ (ตัวอักษรเย่ของชื่อนี้แปลว่าลักยิ้ม) เป็นชื่อประหลาดที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของอิสตรีอย่างหนึ่ง แต่เขากลับเป็นคนสนิทที่แท้จริงของสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่า จางเย่คือผู้ฝึกตนที่ติดตามหลิวจื้อเม่าก่อนใครเพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่หนึ่งใน ตอนนั้นหลิวจื้อเม่ายังเป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตชมมหาสมุทร ทว่าจางเย่กลับมีชาติกำเนิดมาจากเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่แท้จริง อีกทั้งตอนนั้นก็ยังเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้วด้วย เรื่องราวภายในระหว่างพวกเขา คนรุ่นอาวุโสของเกาะชิงเสียสามารถเอามาเล่าในวงเหล้าได้หลายมื้อ

เด็กหนุ่มมีชื่อว่าเจิงเย่ คือต้นกล้าที่ดีที่เพิ่งถูกขุดออกมาจากเกาะเหมาเยว่ เกิดมาก็เหมาะกับการเป็นผู้ฝึกตนผี แต่คุณสมบัติที่ดีไม่ได้หมายความว่าจะสามารถมีอนาคตที่ดีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน หากไม่มีห้องตกปลาของเกาะชิงเสียยื่นเท้าเข้าแทรก เด็กหนุ่มเจิงเย่จะต้องถูกเจ้าเกาะเอามาเป็นอาหารเลี้ยงวิญญาณและบ่มเพาะให้เป็นทารกผี ช่วงแรกเริ่มขอบเขตของเด็กหนุ่มจะต้องทะยานพันลี้ภายในวันเดียว ราวกับว่ากลายเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่เกาะเหมาเยว่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอบรมปลูกฝัง แต่ในความเป็นจริงแล้ว วันที่เจิงเย่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางจะต้องถูกกรีดจิตลอกวิญญาณ ถึงเวลานั้นเด็กหนุ่มจึงจะรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

จางเย่คือผู้ฝึกตนที่มีนิสัยเงียบขรึมพูดน้อย อันที่จริงไม่ค่อยชอบคุยกับใครนานนัก ต่อให้อยู่กับหลิวจื้อเม่า จางเย่ก็ยังพูดไม่มาก เพียงแต่ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญจึงจำต้องเปิดปากเอ่ยเตือนอีกครั้ง “เจิงเย่ ท่านเฉินผู้ถวายงานของพวกเราคนนั้น เจ้าเองก็คงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขามาบ้างไม่มากก็น้อย เขาคือบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง ตอนนี้เขาพักอยู่ใกล้กับประตูภูเขา อีกเดี๋ยวถ้าเจ้าได้พบท่านเฉินแล้วไม่ต้องจงใจพูดถึงแต่เรื่องดีๆ แทนข้าและเกาะชิงเสีย ทุกอย่างให้พูดไปตามความจริง ตอนอยู่เกาะเหมาเยว่ เจ้าเองก็เคยได้ยินแผนการที่อาจารย์และบรรพจารย์ของเจ้าเล่าให้ข้าฟังอย่างตรงไปตรงมากับหูตัวเองมาก่อน ดังนั้นชีวิตน้อยๆ นี้ของเจ้า หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นท่านเฉินที่ช่วยเอาไว้ อีกอย่างข้ารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร คิดว่าเพิ่งจะออกจากบ่อมังกรก็ต้องมาเข้าถ้ำพยัคฆ์อีกแล้วใช่ไหม? ข้าจะบอกกับเจ้าตามตรงก็แล้วกัน ท่านเฉินผู้นี้ไม่มีทางทำร้ายเจ้าแน่นอน เจ้าอยู่ที่เกาะเหมาเยว่มีแต่จะตายอย่างอเนจอนาถ แต่เมื่อมาอยู่เกาะชิงเสียของพวกเรากลับกลายเป็นโชควาสนาในการฝึกตนที่แท้จริง บอกตามตรง แม้แต่ข้าก็ยังอิจฉาเจ้า ในถ้ำสถิตตระกูลเซียน ต่อให้เป็นพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับสืบทอดจากศาลบรรพชนก็ไม่มีทางจะโชคดีอย่างเจ้า”

เจิงเย่นิสัยอ่อนแอขี้ขลาด ตอนอยู่เกาะเหมาเยว่ก็ตกใจจนอกสั่นขวัญหาย แล้วยังถูกอาจารย์ทำให้เสียใจอย่างสุดซึ้งมาก่อน ตอนนี้จิตใจจึงยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ได้แต่พยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง คิดว่าต่อให้สถานการณ์เลวร้ายแค่ไหนก็คงไม่เลวร้ายเท่าที่เกาะเหมาเยว่แล้ว

จางเย่เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเนิบช้าว่า “เพียงแต่ว่าเมื่อเจริญก้าวหน้าแล้วก็อย่าลืมกำพืดของตัวเอง ถึงอย่างไรก็เป็นเกาะชิงเสียของพวกเราที่กระชากเจ้าขึ้นมาจากหลุมไฟ วันหน้าไม่ว่าได้ไปเสวยสุขอยู่กับท่านเฉินที่ไหน ก็ยังต้องนึกถึงบุญคุณช่วยชีวิตของเกาะชิงเสียเราบ้าง เจิงเย่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เจิงเย่กลืนน้ำลาย “ข้าทราบแล้ว ข้าจะไม่มีทางลืมพระคุณยิ่งใหญ่ของท่านผู้เฒ่าเทพเซียนเด็ดขาด”

จางเย่คลี่ยิ้ม “คำพูดเหล่านี้ ข้าจะรับฟังเจ้าพูดแค่ครั้งเดียว วันหน้าเก็บไว้ในใจก็พอ ไม่ต้องคอยพร่ำพูดถึง พูดไปพูดมาก็เหมือนกับเหล้าหนึ่งไห วันนี้หนึ่งคำ พรุ่งนี้หนึ่งอึก ไม่นานก็เหลือติดก้นไห ในใจไม่เห็นเป็นสำคัญ”

เจิงเย่เป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ปีนั้นอาจารย์พากลับมาจากตลาดแคว้นสือหาว อาจารย์ของเขาตาถั่ว แค่มองเบาะแสออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กลับเป็นบรรพจารย์ขอบเขตประตูมังกรของเกาะเหมาเยว่เสียอีกที่สายตาเฉียบคม มองปราดเดียวก็เห็นไปถึงฐานกระดูกที่หาได้ยากของเจิงเย่ วางแผนไว้ว่าจะใช้เวทลับวิชาผีที่ชั่วร้ายควักเอาพลังต้นกำเนิดและฐานกระดูกของเจิงเย่ออกมา บ่มเพาะให้กลายเป็นภูตผีวิญญาณหยินห้าขอบเขตกลางสามตน ก่อนหน้านี้บรรพจารย์เกาะเหมาเยว่ได้พูดกับเจิงเย่อย่างตรงไปตรงมาว่า หากตนมีรากฐานได้อย่างเกาะชิงเสียก็คงไม่มีทางสูบบ่อน้ำให้แห้งเพื่อจับปลาเช่นนี้ เพราะไม่แน่ว่าเจิงเย่อาจเติบโตกลายมาเป็นเซียนดินโอสถทองคนแรกของเกาะเหมาเยว่ แต่พวกเขาไม่มีเงินเทพเซียนมากมายขนาดนั้นให้นำมาย่ำยีจริงๆ

เจิงเย่ที่ได้ฟังเสียววาบไปทั้งสันหลัง

อะไรที่ควรพูดควรทำก็พูดและทำไปพอสมควรแล้ว จางเย่จึงพาเจิงเย่มาที่นอกประตู แล้วเคาะประตูเบาๆ “ท่านเฉิน พาคนที่เหมาะสมมาให้ท่านแล้ว”

ในหัวใจของเจิงเย่พลันเกิดความหวาดกลัวมหาศาลขุมหนึ่งทะลักขึ้นมา ประหนึ่งถูกกระแสน้ำขึ้นโถมทับ สองขาอ่อนเปลี้ย

ก็เหมือนที่เทพเซียนผู้เฒ่าคนนั้นกล่าวไว้ เขาจะไม่กลัวว่าได้ออกจากหลุมไฟแล้วต้องกระโดดลงไปในกระทะน้ำมันอีกใบหนึ่งได้อย่างไร?

จากนั้นเด็กหนุ่มเจิงเย่ก็ได้พบบุรุษที่ชื่อว่าเฉินผิงอันเป็นครั้งแรกในชีวิต

ประตูห้องถูกเปิดออก

แม้ว่าเจิงเย่จะเพิ่งอายุสิบสี่ปี แต่เรือนกายกลับสูงใหญ่ไม่แพ้บุรุษฉกรรจ์คนใด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแหงนหน้าก็มองเห็นรูปโฉมของบุรุษผู้นั้นได้อย่างชัดเจน

คนผู้นั้นสวมชุดผ้าฝ้ายหนาหนักสีเขียว บนศีรษะปักปิ่นหยกสีขาว เรือนกายสูงเพรียว ใบหน้าผอมตอบ

ทั้งไม่เหมือนเทพเซียนผู้เฒ่าอย่างจางเย่ แล้วก็ไม่เหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์อย่างลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน

แล้วคนผู้นั้นก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สวัสดี ข้าชื่อเฉินผิงอัน เจ้าล่ะ?”

เจิงเย่อยากพูด แต่ร่างทั้งร่างของเขากลับเกร็งขมึง แขนขาทั้งสี่แข็งทื่อ ริมฝีปากขยับเบาๆ อึ้งอยู่นานก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ

จางเย่รู้สึกระอาใจเล็กน้อย ได้แต่ตอบคำถามของนักบัญชีท่านนั้นแทนเจ้าคนที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ไปแล้วผู้นี้ “ท่านเฉิน เขาชื่อเจิงเย่ เย่จากเย่ถิงที่แปลว่าเรือนข้างในวัง คือคนน่าสงสารที่ข้าดึงตัวมาจากเกาะเหมาเยว่ สอดคล้องกับความต้องการของท่านเฉิน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือฐานกระดูกก็ล้วนเหมาะแก่การฝึกตนวิถีผีมาตั้งแต่เกิด คือตัวเลือกแรกในการให้วัตถุหยินและภูตผีเข้าสิงร่าง หากทั้งสองฝ่ายเดินอยู่ในโลกคนเป็น ไม่เพียงแต่ไม่เผาผลาญพลังต้นกำเนิดของเด็กหนุ่ม กลับยังจะช่วยในด้านการฝึกตนของเขาด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วจึงหันไปยิ้มให้เจิงเย่ “ข้าพอจะรู้วิชาชั่งน้ำหนักนอกรีตอยู่บ้าง เจ้าแค่ยืนให้ดี ข้าจะลองดูว่าปราณกระดูกของเจ้าหนักแค่ไหน”

เจิงเย่ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง

เฉินผิงอันจึงยังไม่ได้ลงมือ

จางเย่ตบเจิงเย่เบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “พูดไม่ได้แล้ว คราวนี้แม้แต่พยักหน้ารับก็ยังทำไม่เป็นงั้นหรือ?”

เจิงเย่ที่ถูกจางเย่ตบไหล่ ในที่สุดวิญญาณก็กลับเข้าร่าง พยักหน้ารับอย่างแรง

เฉินผิงอันจับไหล่ของเด็กหนุ่มยกขึ้นเบาๆ ปลายเท้าของเจิงเย่เขย่งขึ้น แต่กลับไม่ลอยพ้นจากพื้น

เฉินผิงอันปล่อยมือแล้วพยักหน้า “ไม่ได้หนักมากเป็นพิเศษ หลังจากนี้ข้าจะคอยสังเกตสัญญาณจากจิตวิญญาณของเจ้า หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้องก็จะไม่มีทางให้เจ้าฝืนทำเด็ดขาด”

เจิงเย่ยังคงไม่เอ่ยอะไร เป็นเพราะไม่กล้าพูด แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรด้วย

ราวกับว่าวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว

ถึงอย่างไรตอนที่อยู่บนเกาะเหมาเยว่ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความอึมครึม ก่อนที่บรรพจารย์จะหมายตาในฐานกระดูกของเขา เขาก็ได้ถูกลูกศิษย์ฝ่ายในกลุ่มนั้นรังแกมาจนชินแล้ว พอต้องมาอยู่ต่อหน้าเทพเซียนผู้เฒ่าที่สูงส่งเหนือผู้ใดของเกาะชิงเสียอย่างจางเย่ รวมไปถึงเทพเซียนหนุ่มที่ดูเหมือนว่าจะร้ายกาจกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าคนนี้ ไม่ได้ขอให้คนช่วยประคองไว้ก็ถือว่าเป็นความพยายามที่ใหญ่ที่สุดของเจิงเย่แล้ว

จางเย่กล่าวอย่างระอาใจ “ท่านเฉิน นิสัยของเด็กหนุ่มผู้นี้แย่ไปหน่อยหรือไม่? ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปหามาใหม่จากรอบๆ ทะเลสาบซูเจี่ยนดีไหม?”

อันที่จริงเฉินผิงอันคอยสังเกตสีหน้าและแววตาของเจิงเย่อยู่ตลอดเวลา ได้ยินประโยคนี้ก็ส่ายหน้ายิ้ม “ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่าเขาไม่เลวเลย”

จางเย่ผ่อนลมหายใจโล่งอก ถือว่าทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จแล้ว

ทางฝั่งของเกาะเหมาเยว่ไม่กล้าเป็นสิงโตที่อ้าปากกว้างเขมือบอาหาร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ยกให้เปล่าๆ นี่ก็คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของทะเลสาบซูเจี่ยน หากคนของเกาะชิงเสียบุกขึ้นเกาะไปแย่งชิงมา แม้แต่เกาะเหมาเยว่ก็คงถูกฮุบกลืนไปพร้อมกัน ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่เจิงเย่เลย ทุกคนและทรัพย์สินทั้งหมดบนเกาะเหมาเยว่ก็จะต้องถูกยึดไปเปล่าๆ แต่ในเมื่อเกาะชิงเสียเลือกที่จะใช้วิธีหาเงินอย่างปรองดอง ก็ต้องทำให้เหมือนคนที่ทำการค้า ดังนั้นหลังจากที่เกาะเหมาเยว่เปิดปากบอกราคาที่นับว่าค่อนข้างยุติธรรม จางเย่จึงไม่ได้ต่อรองขอลดราคา แต่จ่ายเงินเทพเซียนก้อนนั้นออกไปโดยตรง

สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เขาถามว่า “ทางเกาะเหมาเยว่เสนอราคาเป็นอะไร?”

จางเย่ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ตามคำบอกของบรรพจารย์เกาะเหมาเยว่ สิ่งที่เรียกร้องจึงไม่ได้ผิดไปจากเดิมสักเท่าไหร่ ทารกผีและวิญญาณหยินที่เจิงเย่ฟูมฟักออกมาได้ในท้ายที่สุดอย่างละหนึ่ง ภายในยี่สิบปี อย่างน้อยก็เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตสองคน และเมื่อหักต้นทุนในการอบรมปลูกฝังเจิงเย่ให้เป็นห้าขอบเขตกลางออกไปแล้ว เกาะเหมาเยว่จึงเปิดราคามาที่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืช”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “เมื่อมาถึงข้า ยังต้องบวกค่าลงแรงของผู้อาวุโสจางและทุกคนของห้องตกปลาเกาะชิงเสียด้วย ถ้าอย่างนั้นก็คิดเป็นเงินฝนธัญพืชสิบห้าเหรียญ ลงบัญชีของเกาะชิงเสียไว้ก่อน เดี๋ยวข้าค่อยจ่ายทีเดียวพร้อมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ”

จางเย่พยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”

มารร้ายกู้ช่านของฝั่งตัวเองก็ดี ลวี่ไช่ซางแห่งเกาะกู่หมิงหรือหยวนหยวนแห่งเกาะหวงหลีก็ช่าง เด็กรุ่นหลังอายุน้อยที่เก่งกาจที่สุดกลุ่มนี้ล้วนไม่ค่อยเหมือนกับผู้ฝึกตนอิสระรุ่นอาวุโสของทะเลสาบซูเจี่ยนสักเท่าไหร่ แต่ละคนเห็นเรื่องการแหกกฎเป็นความบันเทิง ใช้สิ่งนี้มาเป็นต้นทุนในการสร้างชื่อเสียงเพื่อรวบรวมผูกมัดใจคน

จางเย่ไม่กล้าพูดว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิด เพราะเวลาพบเจอกับเจ้าลูกกระต่ายกลุ่มนี้ เขาจางเย่ก็ยังต้องส่งยิ้มให้ แต่ถึงอย่างไรลึกๆ ในใจของจางเย่ก็ไม่ใคร่จะชอบใจนัก

เพียงแต่ว่ากลุ่มคนหนุ่มที่ตอนนี้ไม่ว่ากฎเกณฑ์อะไรก็ไม่สนกลับดูเหมือนจะคลุกคลีใช้ชีวิตอยู่ได้ดียิ่งกว่า นี่ทำให้ผู้เฒ่าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างจางเย่รู้สึกจนใจเล็กน้อย

ดังนั้นการกระทำเช่นนี้ของเฉินผิงอันจึงทำให้จางเย่รู้สึกดีกับเขา

ไม่อย่างนั้นด้วยชื่อเสียงบารมีที่คนผู้นี้สะสมไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้เขาจะไม่ยอมควักเงินฝนธัญพืชเลยแม้แต่เหรียญเดียว เขาจางเย่และเกาะชิงเสียก็ยังต้องฝืนใจอดกลั้นไว้อยู่ดีไม่ใช่หรือ?

เพียงแต่ว่าความรู้สึกดีน้อยนิดแค่นี้ก็เอามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อยู่ดี

พอคิดมาถึงตรงนี้ จางเย่ก็ยิ่งหงุดหงิด ด้วยรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง แต่กลับคิดไม่ออกว่าไม่ถูกต้องตรงไหน

ทะเลสาบซูเจี่ยนก็เป็นเช่นนี้

เขาคือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ไร้ความหวังบนมหามรรคา สร้างโอสถก็ยิ่งไม่ต้องเพ้อฝันแล้ว หลิวจื้อเม่าเองก็ทำเรื่องทุกอย่างที่ควรทำไปหมดแล้ว แสดงน้ำใจและคุณธรรมแก่เขาจนหมดสิ้น ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ผู้คนฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาแห่งนี้ จางเย่จึงไม่ต่างจากคนแก่ในหมู่ชาวบ้านที่เป็นดั่งแสงเทียนริบหรี่กลางสายลม และเมื่อเปรียบเทียบกับคนธรรมดาแล้ว ผู้ฝึกตนย่อมมีความรู้สึกและสัมผัสที่เฉียบคมต่อความเสื่อมโทรมของร่างกาย ความโรยราของจิตวิญญาณตัวเองดียิ่งกว่าใคร ความรู้สึกของคนใกล้ตายที่ราวกับว่าค่อยๆ ถูกฝังลึกลงไปในดินทีละชุ่นทีละชุ่นเช่นนั้น หากจางเย่ไม่ใช่คนที่จิตใจกว้างขวาง นิสัยไม่สุดโต่งและสุดขั้วเกินไป ป่านนี้ก็คงทำอะไรบางอย่างที่บ้าคลั่งและเสียสติไปแล้ว ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือทะเลสาบซูเจี่ยนที่ผู้คนสามารถกระทำการชั่วช้าได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร แต่หากกระทำดีเมื่อไหร่ก็เท่ากับรนหาที่ตายอยู่แล้ว คิดจะหาวิธีระบายความอัดอั้นก็มีถมเถไป

เด็กหนุ่มเจิงเย่จึงได้พักอยู่บนเกาะชิงเสียเช่นนี้

อยู่ในห้องติดกับเฉินผิงอัน

เมื่อเด็กหนุ่มจากเกาะเหมาเยว่ปิดประตูลง นั่งลงบนเตียง เขาก็รู้สึกราวกับอยู่คนละโลก

เขานอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน กว่าจะสะลึมสะลือหลับได้ก็หลับไปถึงสายโด่งของวันที่สองกว่าจะตื่น พอเจิงเย่ลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ใบหน้าของเขาก็เลื่อนลอย เป็นนานกว่าจะจำได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่ผู้ฝึกตนของเกาะเหมาเยว่อีกแล้ว คิดไปคิดมาก็พยายามปลุกความกล้าให้ตนเองอย่างต่อเนื่อง ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเดินออกจากห้องก็เห็นคนผู้หนึ่งที่สวมชุดหม่างสีหมึกนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าประตูห้องที่อยู่ติดกัน และอีกฝ่ายก็กำลังหันหน้ามามองเขา

เจิงเย่ตกใจจนเกือบจะวิ่งหนีกลับเข้าห้องไปซ่อนตัวอยู่ในโปงผ้าห่ม

กู้ช่านถาม “เจ้าก็คือเจิงเย่? มาจากเกาะเหมาเยว่?”

เหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผากของเจิงเย่แล้ว

มารน้อยผู้นี้สร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเจิงเย่จะไม่เคยเห็นตัวจริงของอีกฝ่ายมาก่อน แค่เคยเห็นรูปโฉมของกู้ช่านจากรายงานของเกาะปุยหลิว แต่เนื้อหาที่อยู่ในรายงาน รวมไปถึงน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางเวลาที่ผู้ฝึกตนเกาะเหมาเยว่พูดถึงกู้ช่านก็ล้วนทำให้เจิงเย่จดจำได้อย่างแม่นยำ เดิมทีนึกว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เจอกู้ช่านแล้ว และเจิงเย่ก็ไม่หวังให้ตัวเองได้พบเจอเขา เพราะหากจะมีโอกาสได้เจอก็คงเป็นไปได้มากว่าจะเป็นวันที่กู้ช่านพาหนีชิวใหญ่ตัวนั้นไปเหยียบย่ำเกาะเหมาเยว่ให้ราบเป็นหน้ากลอง

กู้ช่านกล่าวอย่างฉุนๆ “ที่แท้ก็เป็นคนโง่คนหนึ่ง”

เจิงเย่หรือจะกล้าโต้เถียง

แค่กู้ช่านไม่ตบกะโหลกตนให้แตกด้วยฝ่ามือเดียว เจิงเย่ก็แทบจะลงไปนั่งคุกเข่าขอบคุณแล้ว

บรรยากาศหนักอึ้งที่ทำให้เจิงเย่หายใจไม่ออกพลันหายวับไป

ที่แท้บุรุษชุดผ้าฝ้ายสีเขียวคนนั้นก็เดินมาที่หน้าประตู

เขาพูดกับกู้ช่านว่า “ตอนนี้ร่างกายเจ้าอ่อนแอ อยู่ในช่วงที่ทรุดโทรมง่ายมากที่สุด เมื่อเทียบกับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ไอเย็นและเสนียดชั่วร้ายยังแทรกซอนเข้าสู่ช่องโพรงได้ง่ายกว่าเสียอีก รีบกลับไปพักรักษาตัวที่จวนชุนถิงซะ”

กู้ช่านพยักหน้ารับ มองเมล็ดแตงกองเล็กๆ ที่ยังเหลืออยู่กลางฝ่ามือแล้วยื่นมันส่งให้เฉินผิงอัน “ถ้าอย่างนั้นข้าไปแล้วนะ”

เฉินผิงอันรับเมล็ดแตงมา หยิบเมล็ดหนึ่งขึ้นมาแทะพลางพูดว่า “อีกเดี๋ยวหากถานเซวี่ยขึ้นฝั่งมาได้แล้ว เจ้าก็บอกให้นางมาหาข้าด้วย ข้ามีของจะมอบให้นาง”

กู้ช่านยิ้มกว้างสดใส “ได้เลย”

หลังจากกู้ช่านจากไป เฉินผิงอันก็ยื่นเมล็ดแตงส่งให้เจิงเย่ ฝ่ายหลังรีบส่ายหน้า

เฉินผิงอันหมุนตัวเดินไปหยิบม้านั่งในห้องมาส่งให้เจิงเย่ ส่วนตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่กู้ช่านนั่งก่อนหน้านี้

เจิงเย่ขยับก้นนั่งลงบนม้านั่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้เลยว่าควรจะวางมือวางเท้าไว้ตรงไหน

เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตงพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าอาจจะต้องติดตามอยู่ข้างกายข้า เร็วสุดก็สองสามปี นานหน่อยก็เจ็ดแปดปี เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้เหมือนกัน เวลาปกติเจ้าสามารถเรียกข้าว่าท่านเฉิน ไม่ใช่ว่าชื่อของข้าสูงส่งจนเรียกไม่ได้ เพียงแต่ว่าหากเจ้าเรียกแล้วจะไม่เหมาะสม ตอนนี้คนตลอดทั้งเกาะชิงเสียล้วนจับตามองมาที่นี่ เจ้าก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ไปนั่นแหละ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ดูให้มากพูดให้น้อย ส่วนการลงมือทำ นอกจากเรื่องที่ข้ามอบหมายให้แล้ว ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งทำอะไรมากนัก และทางที่ดีที่สุดก็ไม่ต้องทำอะไรให้มากความ หากตอนนี้ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร”

เจิงเย่พยักหน้ารับเงียบๆ

เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “กลัวผีหรือไม่?”

เจิงเย่ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “เจิงเย่ ข้าจะพูดกับเจ้าอีกครั้ง มาอยู่กับข้า ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดอะไรผิด ในใจคิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น”

เจิงเย่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ไม่กลัวผี ข้ามองเห็นสิ่งสกปรกมาตั้งแต่เด็ก ไปอยู่ที่เกาะเหมาเยว่กับอาจารย์ ที่นั่นก็มีศิษย์พี่ชายหญิงหลายคนเลี้ยงผีเอาไว้”

เฉินผิงอันถามชวนคุย “เกลียดอาจารย์เจ้าหรือไม่”

เจิงเย่เม้มปาก เงียบงันไปอีกครั้ง เด็กหนุ่มนิสัยซื่อๆ มีความเสียใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า และยังมีความดื้อรั้นแฝงอยู่เสี้ยวหนึ่ง

เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็รู้สึกเกลียด แต่ว่าเสียใจมากกว่า ใช่ไหม? อีกทั้งพอคิดไปคิดมาแล้วก็ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วอาจารย์ของเจ้าก็ไม่ได้เลวร้าย หากไม่เป็นเพราะเขา ไม่แน่ว่าเจ้าอาจต้องตายไปนานแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะกับอาจารย์หรือกับเกาะเหมาเยว่ เจ้าก็ยังคงยินดีจะมองพวกเขาเป็นญาติและบ้านของตัวเองที่แท้จริง”

เจิงเย่ก้มหน้าลง อืมรับหนึ่งที น้ำตาเอ่อคลอดวงตา พูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้ารู้ว่าข้าโง่ ขอโทษนะ ท่านเฉิน วันหน้าข้าคงช่วยท่านไม่ได้มากนัก ไม่แน่ว่าอาจจะยังทำผิดพลาดบ่อยๆ ด้วย ถึงเวลานั้นท่านจะตีข้าด่าข้า ข้าก็ยอมรับ”

เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตง ทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดเบาๆ ว่า “แบบนี้เรียกว่าโง่หรือ? ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น”

เจิงเย่มัวแต่เสียใจอยู่กับตัวเอง จึงได้ยินไม่ถนัดนัก แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายตนคือผู้ถวายงานท่านหนึ่งของเกาะชิงเสีย ตนควรจะรับฟังคำพูดล้ำค่าดุจหยกดุจทองคำเหล่านั้นทุกคำไม่ให้ตกหล่น นี่ยิ่งทำให้เจิงเย่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง สมควรถูกลงโทษแล้ว

เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ได้อยากตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจิงเย่ เจ้าขี้ขลาดเกินไป นี่คือเรื่องจริง ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าก็ถือว่าสามารถรับผิดชอบหน้าที่ด้วยตัวเองคนเดียวได้แล้ว เวลาเจอกับบุคคลยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็ไม่เคยรู้สึกใจฝ่อกลัดกลุ้ม”

เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตงเสร็จแล้วก็ใช้ฝ่ามือถูปลายคางที่เริ่มมีตอหนวด เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “พูดแบบนี้ออกจะหน้าไม่อายไปหน่อย อืม คราวหน้าเดี๋ยวไปที่เกาะไผ่ม่วงอีกสักรอบ แล้วก็ขอไม้ไผ่มาเพิ่มอีกสักลำ เอามาทำดาบไม้ไผ่ให้ตัวเองเสียเลย ยังมีเลียนแบบฉวีหวงที่ซื้อมาจากถนนวานรร่ำไห้เล่มนั้น พกดาบสลับกระบี่เลียนแบบลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเอง เอาไว้ขู่ให้คนกลัวก็น่าจะพอทำได้”

เจิงเย่ค่อนข้างจะความรู้สึกช้า จนป่านนี้เขาถึงพูดขึ้นว่า “ข้าหรือจะเปรียบเทียบกับท่านเฉินได้”

เฉินผิงอันหัวเราะ ลุกขึ้นยืน “รู้จักตัวอักษรไหม? หากรู้จักตัวอักษร ข้าจะถ่ายทอดเวทลับสองอย่างให้เจ้าก่อน ระดับขั้นไม่ถือว่าสูงมากนัก แต่หากฝึกสำเร็จก็ไม่มีทางด้อยกว่าวิชาที่เจ้าเคยฝึกบนเกาะเหมาเยว่แน่นอน”

เจิงเย่รีบลุกขึ้นตาม “รู้จัก ก็แค่มักจะถูกอาจารย์ด่าว่าโง่”

เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่เป็นไร หากตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามข้า”

เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตู หันหน้ากลับมาก็เห็นว่าเจิงเย่เดินตามมาด้านหลังอย่างระมัดระวัง สองมือว่างเปล่า

เฉินผิงอันจึงเอ่ยอย่างระอาใจ “อาจารย์เจ้าด่าว่าเจ้าโง่ ข้าว่าเขาไม่ได้ใส่ร้ายเจ้าจริงๆ หิ้วม้านั่งมาด้วยสิ”

เจิงเย่พลันกระจ่างแจ้ง รีบหันตัววิ่งกลับไปหยิบม้านั่งไม้ไผ่มาทันที

เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ

ในที่สุดข้างกายตนก็มีเด็กธรรมดากับเขาสักคนหนึ่ง

ดีมากแล้ว

ตอนที่คิดอย่างนี้ นักบัญชีหนุ่มกลับไม่ตระหนักเลยว่า เขาแก่กว่าเด็กหนุ่มเจิงเย่แค่สามปีเท่านั้น

……

หลายวันต่อมา นอกจากจะกลับไปนอนที่ห้องด้านข้างแล้ว เจิงเย่ก็อยู่กับเฉินผิงอันแทบจะตลอดเวลา พลิกอ่านกระดาษไม่กี่หน้าที่เขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจงเล็กเท่าหัวแมลงวันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยซ้ำไปซ้ำมา ในฐานะที่เจิงเย่คือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง เขาย่อมอ่านหนังสือออก แต่ดูเหมือนว่าเวทลับวิชาผีที่ท่านเฉินบอกว่า ‘ระดับขั้นไม่ค่อยสูง’ พวกนี้จะไม่ค่อยอยากทำความรู้จักกับเขาอย่างไรอย่างนั้น

ทุกๆ สองสามประโยค เจิงเย่จะต้องเจอกับอุปสรรคขวางทาง มีข้อสงสัยผุดขึ้นมา แรกเริ่มเจิงเย่คิดจะฝืนกระโดดข้ามไปก่อน อ่านเวทลับวิชานี้ให้จบรวดเดียวแล้วค่อยสอบถาม ทว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งปวดหัว ถึงขนาดเหงื่อแตกท่วมเต็มตัว เป็นเหตุให้เกิดลางอันตรายว่าจะไม่อาจรักษาจิตวิญญาณเอาไว้ได้ ในใจเจิงเย่พลันขนลุกขนชัน เขาเองก็เคยได้ยินข้อห้ามและข้อพิถีพิถันบางส่วนของการฝึกวิชาลับตระกูลเซียนมาบ้างเหมือนกัน ยิ่งเป็นวิชาชั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ควรเอาจิตใจไปจมจ่อมกับมันอย่างลวกๆ มากเท่านั้น หากไม่อาจถอนตัวออกมาได้ อีกทั้งยังไม่มีผู้ปกป้องมรรคาก็จะทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาของตัวเอง

ท่านเฉินผู้นั้นนั่งอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา ตอนแรกก็ไม่ได้จงใจเอ่ยเตือนเจิงเย่ จนกระทั่งเจิงเย่รีบวางกระดาษไม่กี่แผ่นที่ราวกับหนักนับพันจินในมือลงแล้วหอบเอาอากาศเข้าปากเฮือกใหญ่

เฉินผิงอันถึงได้แอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง ความสามารถหรือพรสวรรค์ไม่ดี ไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัวมากที่สุด แต่หากจิตใจล่องลอยตื้นเขินเกินไป นี่ต่างหากจึงจะเป็นด่านที่ใหญ่ที่สุดในการฝึกเวทลับวิชาผีนี้ของเจิงเย่

หากแม้แต่ตบะหนักแน่นแค่นี้เจิงเย่ยังไม่มี เรื่องที่จะต้องทำกับเขาก็มีแต่จะผลักให้เจิงเย่เดินเข้าหาการถูกจิตมารเข้าแทรกมากเท่านั้น

เฉินผิงอันไม่คิดจะขับไล่อีกฝ่ายไป แต่เขาก็ไม่มีทางให้เจิงเย่ฝึกตนต่อไปเด็ดขาด จะคิดแค่ว่ามีเพื่อนบ้านมาเพิ่มคนหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากผู้ฝึกตนเฒ่าที่เฝ้าประตูภูเขาคนนั้น

เฉินผิงอันยินดีให้เงินฝนธัญพืชสิบห้าเหรียญลอยไปกับสายน้ำเสียดีกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้จางเย่และห้องตกปลาของเกาะชิงเสียตามหาคนที่เหมาะสมมาให้จงได้

หลังจากเผชิญกับความยากลำบากไปแล้ว เจิงเย่ก็ไม่คิดจะตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนอีก พอมีข้อสงสัยก็จะเปิดปากถามท่านเฉินทันที

และเฉินผิงอันก็ช่วยไขข้อข้องใจให้เขาไปทีเปลาะ

หนึ่งเพราะตอนนั้นเว่ยป้ออธิบายเพิ่มเติมไว้ด้านข้างอย่างละเอียด สองเพราะเฉินผิงอันเคยขอความรู้จากหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียน เซียนดินอวี๋กุยและผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางมาแล้วหลายครั้ง ตอนนี้เขาจึงพอจะมีความรู้ความเข้าใจอยู่หลายส่วน

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงไม่ได้มอบวิชาลับ ‘ฉบับที่มีคำอรรถาธิบาย’ ให้กับเจิงเย่ หรืออธิบายรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และเรื่องที่ต้องระวังให้เจิงเย่ฟังจบไปรวดเดียวเลย

นี่ก็เพราะเกี่ยวพันกับการฝึกตนบนมหามรรคาของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกาย

การพบเจอกันคือวาสนา เฉินผิงอันหวังว่าท่ามกลางการซื้อขายครั้งนี้ เจิงเย่จะได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง สามารถค้นหารากฐานในการหยัดยืนสำหรับเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางในวันหน้าและการฝึกตนบนมหามรรคาในอนาคตได้เจอ

หาปลามาให้กินไม่สู้สอนวิธีจับปลาให้

ปีนั้นอาเหลียงก็ปฏิบัติกับเขาอย่างนี้ และเฉินผิงอันเองก็ยินดีจะปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีของทะเลสาบซูเจี่ยนผู้ดีดุจเดียวกัน เพราะเจิงเย่ยังเป็นเด็กหนุ่มซื่อบริสุทธิ์ที่ยังไม่จมลงในอ่างใหญ่ของทะเลสาบซูเจี่ยนจนจิตใจและสันดานเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

วิชาลับนี้ของเว่ยป้อ ระดับขั้นต้องไม่ต่ำแน่นอน

เฉินผิงอันได้รับมาแล้วก็เอาออกมาให้เจิงเย่รับช่วงต่อ หลังจากนี้เขาจะถือไว้ในมือได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่ว่าจะเรียนรู้สำเร็จหรือไม่เท่านั้น

เจิงเย่จะเรียนได้สำเร็จอย่างไร เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจและต้องมีความมานะอุตสาหะมากแค่ไหน? หากได้มาอย่างง่ายดาย โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เขาจะรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่าอย่างแท้จริงได้อย่างไร บนเส้นทางการฝึกตนที่ยาวนานในชีวิต เขาจะยอมถามใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง ถามถึงจุดประสงค์ดั้งเดิม บอกกับตัวเองว่านี่เป็นโชควาสนาที่ปีนั้นตน ‘ได้มาอย่างไม่ง่าย’ ได้อย่างไร?

เฉินผิงอันไม่สนใจว่าสำนักอื่นๆ บนภูเขา ถ้ำสถิตตระกูลเซียนหรือพรรคนับร้อยใช้วิธีใดหรือมีจุดประสงค์ใดในการถ่ายทอดมหามรรคาให้แก่ลูกศิษย์ ขอแค่มาอยู่กับเขา จะช้าก็ได้ แต่จำเป็นต้องมั่นคง

เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็เริ่มรู้สึกปวดหัว

เพราะเจิงเย่…สมองทึบเกินไปแล้ว!

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าตัวเองมีทักษะที่ธรรมดา เพราะคนที่สอนให้เขารู้จักตัวอักษรผ่าน ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ คือหนิงเหยา หากพูดถึงเรื่องของการอ่านตำรา ตอนที่เดินทางไกลไปเยือนต้าสุย ข้างกายก็มีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอย่างหลี่เป่าผิงที่แค่เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็อนุมานไปได้หลากหลาย ยกตัวอย่างหนึ่งข้อก็นำไปประยุกต์ใช้ได้ถึงสามข้อ หากจะพูดถึงการฝึกตน ตอนนั้นก็มีหลินโส่วอี พูดถึงการฝึกวรยุทธ คนที่สอนวิชาหมัดให้เขาคือผู้เฒ่าแซ่ชุยที่ ‘เบื้องหน้าไร้ศัตรู’ หลังจากนั้นก็ยิ่งได้เจอกับคนวัยเดียวกันที่มีพรสวรรค์น่าตื่นตะลึงอย่างเฉาสือที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สุดท้ายข้างกายยังมีเผยเฉียนที่ฝึกวิชาปราณกระบี่สิบแปดหยุดเหมือนการละเล่น ประเด็นสำคัญคือแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านผู้นั้นยังเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเขาด้วย หากจะพูดถึงความสง่างามมีเสน่ห์ก็มีลู่ไถ มีหลิ่วชิงซาน…

ต่อให้เฉินผิงอันเริ่มย้อนทบทวนสิ่งที่ประสบพบเจอมาในพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วจะไม่รู้สึกดูแคลนตัวเองอีกต่อไป แต่อันที่จริงแผ่นดินเปลี่ยนง่าย สันดานเปลี่ยนยาก ข้อเสียบางส่วนจึงยังหลงเหลืออยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้

ผลกลับกลายเป็นว่าได้มาเจอกับเจิงเย่ที่เป็นดั่งตอไม้ เฉินผิงอันเกือบจะรู้สึกว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนแล้ว…เขาแทบจะทอดถอนใจด้วยประโยคว่า มิน่าเล่าตอนนั้นผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ถึงเปิดเผยความลับสวรรค์ บอกว่าแท้จริงแล้วหากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของตนไม่ถูกทุบแตกและสะพานแห่งความเป็นอมตะไม่ถูกสะบั้น เดิมทีตนก็มี ‘คุณสมบัติของเซียนดิน’

เพราะเจิงเย่หัวช้าและทึ่มทื่อมากจริงๆ

คาถาแค่ประโยคเดียว เขาจะต้องพลิกไปพลิกมา อ่านอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฉินผิงอันอธิบายอยู่นาน เจิงเย่ก็แค่เปลี่ยนจากอยู่ท่ามกลางดงหมอกมาเป็นเข้าใจแบบครึ่งๆ กลางๆ

ปีนั้นหนิงเหยาถ่ายทอดแก่นแท้ของสัจธรรมหมัดเขย่าขุนเขาในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เฉินผิงอันรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วตนฟังเข้าใจ แต่พอต้องเดินนิ่งหกก้าวเข้าจริงๆ ร่างกลับส่ายไปส่ายมา กลายเป็นว่าปล่อยไก่ไปเสียอย่างนั้น แต่ไม่นานเขาก็เริ่มจับจุดได้ ทว่าตอนนั้นตัวเองอยู่ท่ามกลางความสุขแต่ไม่รู้จักความสุข ตระหนักไม่ได้ว่า ‘ปณิธานหมัด’ ที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแสวงหาอย่างยากลำบากได้ไหลเวียนไปทั่วร่างอยู่นานแล้ว แม้ว่าปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ของปณิธานหมัดจะยังไม่ฉายชัด แต่จากไม่มีจนไปถึงมีก็เท่ากับข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่ขั้นแรกของวิถีวรยุทธไปแล้ว เทียบเท่ากับการเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียวของผู้ฝึกลมปราณ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ยังดีที่เฉินผิงอันไม่ใช่คนใจร้อน เจิงเย่เรียนรู้ได้ช้า ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องสอนให้ช้าหน่อย สอนให้ละเอียดหน่อย

กระดาษสามแผ่น เจิงเย่เรียนวันละแผ่นยังเปลืองแรงอย่างมาก

ดังนั้นเด็กหนุ่มจะต้องรู้สึกละอายใจทุกวัน รู้สึกผิดต่อท่านเฉิน

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ปลอบใจเด็กหนุ่มคนนี้ ยิ่งไม่ได้เอ่ยคำลวงอย่างเช่นว่าเจิงเย่แท้จริงแล้วพรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวเลย อะไรทำนองนั้น

เรื่องราวบนโลกซับซ้อน แต่จิตดั้งเดิมนั้นซื่อบริสุทธิ์

เดิมทีสองสิ่งนี้ก็ขัดแย้งกันเองอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องปะทะกัน และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นฝ่ายหลังที่พ่ายแพ้

วันนี้ยิ่งเจิงเย่ขัดเกลาประสบการณ์ตัวเองมากเท่าไหร่ ฐานของเขาก็จะยิ่งแน่นหนามั่นคงมากเท่านั้น วันหน้าที่เจอกับเรื่องใหญ่ที่แท้จริงจะได้ไม่ถึงขั้นพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลงสนามต่อสู้ หรือต่อสู้แค่สองสามทีก็ยอมแพ้

อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ทุกวันนี้มีอยู่หลายครั้งที่เฉินผิงอันมองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาในอดีต แล้วเขาสามารถขบคิดจนได้รับรู้ถึงรสชาติมากมายที่ยังเหลือค้างคาอยู่ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดให้ลึกซึ้งโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่อยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วท่านนั้นเคยกล่าวว่า ผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์เต็มตัว ความบริสุทธิ์นั้นไม่ได้อยู่ที่วิชาหมัดกระบวนท่าหมัด ต่อให้เรียนรู้กระบวนท่าหมัดนับพันนับหมื่นบนโลกนี้มาก็ยังไม่ถ่วงรั้งคำว่าบริสุทธิ์นี้ ความบริสุทธิ์ที่แท้จริงอยู่ที่ปณิธานหมัดของข้า ยิ่งอยู่ที่จิตใจของข้า นี่เป็นสิ่งที่เรียบง่ายอย่างมาก ครั้งแรกที่เจ้าเฉินผิงอันฝึกหมัด ขอบเขตสองสามก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง แต่เมื่อเจ้าได้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ห้า แปดเก้า หรือแม้กระทั่งขอบเขตสิบแล้ว ส่วนลึกในใจของเจ้าจะต้องรู้ดีว่าตัวเองต้องแพ้อย่างแน่นอน แต่เมื่อตกอยู่ในทางตัน ต้องตัดสินเป็นตาย เจ้าจะยังกล้าส่งหมัดออกไปหรือไม่? ปณิธานหมัดของเจ้าจะไม่ลดน้อยลงไปแม้แต่นิดหรือเปล่า? กลับกันคือปณิธานหมัดยิ่งบริสุทธิ์ บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว?

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง หากสภาพจิตใจของตนวางตัวเองไว้ในจุดที่มิพ่ายก่อนแล้ว นั่นต่างหากถึงจะมีโอกาสชนะ ต่อให้จะเป็นโอกาสหนึ่งในหมื่นก็ตาม

แต่หากปณิธานหมัดสั่นคลอนแม้เพียงน้อย แม้แต่โอกาสหนึ่งในหมื่นนั้นก็ยังไม่มี! แค่รอความตายไปก็พอ จะฝึกหมัดไปทำไม จะทนรับความยากลำบากไปทำไม?

สามวันต่อมา ในที่สุดเจิงเย่ก็ถือว่าพอจะเข้าใจวิชาลับนี้ได้อย่างถูไถแล้ว จากนั้นจึงเริ่มการฝึกฝนอย่างเป็นทางการ

เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยเตือนเจิงเย่ว่า ไม่ต้องเน้นในเรื่องความเร็ว ขอแค่เจ้าเจิงเย่ฝึกได้ช้าแต่ไร้ความผิดพลาด เขาเฉินผิงอันก็สามารถรอได้ ไม่อย่างนั้นหากทำผิดแล้วค่อยแก้ไขความผิด นั่นต่างหากจึงจะเสียเวลา สิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างแท้จริง เพื่อให้เจิงเย่เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม วิธีการของเฉินผิงอันก็ง่ายดายมาก หากเจิงเย่ที่ต้องการความเร็วในการฝึกตนจนทำให้เกิดข้อผิดพลาด เป็นเหตุให้จิตวิญญาณได้รับความเสียหาย จำเป็นต้องใช้ยาตระกูลเซียนมาบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณ เขาจะควักเงินซื้อมาให้ แต่ค่าใช้จ่ายของยาทุกเม็ด ต่อให้จะเป็นเแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียวก็จะต้องถูกบันทึกลงในบัญชีหนี้ของเจิงเย่

สุดท้ายเฉินผิงอันเผยสีหน้าเข้มงวดจริงจังออกมาเป็นครั้งแรก เขายืนอยู่หน้าห้องของเจิงเย่ที่กำลังจะ ‘ปิดด่าน’ แล้วเอ่ยว่า “ระหว่างเจ้าและข้ามีความสัมพันธ์ของการซื้อขายแลกเปลี่ยน ข้าจะพยายามให้ทั้งเจ้าและข้าได้ผลประโยชน์กันทั้งคู่ สักวันหนึ่งเมื่อต้องจากลาก็จะได้จากลากันด้วยดี แต่เจ้าอย่าลืมล่ะว่า ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า ยิ่งไม่ใช่ผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า เรื่องนี้เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจทุกเวลานาที”

เจิงเย่หวาดกลัวท่านเฉินที่มีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ไม่น้อย จึงรีบพยักหน้ารับทันที

หากไม่เป็นเช่นนี้ ด้วยเวลาสามวันที่อยู่ร่วมกันมา ท่านเฉินที่ไม่เคยวางท่า ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเป็นมิตร อันที่จริงก็เกือบจะทำให้เด็กหนุ่มลืมภาพบรรยากาศตอนที่ได้พบกับท่านเฉินครั้งแรก เกือบจะลืมความหวาดกลัวและความรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกของตัวเองตอนนั้นไปแล้ว

กลับกลายเป็นกู้ช่านที่เคยได้พบกันครั้งเดียวเท่านั้นที่เจิงเย่ยังคงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง มีอยู่คืนหนึ่งเขายังเก็บไปฝันร้ายด้วยซ้ำ ฝันว่ามารน้อยที่สวมชุดหม่างสีเขียวเข้ม ใช้มือหนึ่งแหวกอกเขา กรีดเอาหัวใจและเครื่องในของเขาออกมากลืนกิน กู้ช่านคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า พูดว่ารสชาติอร่อยล้ำซะจริง เจิงเย่ก้มหน้าลงมองช่องโพรงเลือดโชกตรงหัวใจตัวเองอย่างเหม่อลอย จากนั้น…เขาก็สะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นนั่งกลางเตียง ตกใจเกือบตาย เป็นนานกว่าที่เจิงเย่จะสงบจิตสงบใจตัวเองลงได้

ตอนที่เจิงเย่เริ่มฝึกวิชาลับอย่างเป็นทางการ เฉินผิงอันก็ไปเยือนเกาะตะขอจันทร์และเกาะกาหยกมารอบหนึ่ง ควักเงินซื้อเศษซากจิตวิญญาณหรือไม่ก็ผีร้ายวัตถุหยินมาจากอวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยาง แล้วนำไปเก็บไว้ใน ‘ตำหนักพญายมราช’ สมบัติอาคมของการฝึกวิชาผีที่เฉินผิงอันเชื่อมาจากคลังลับของเกาะชิงเสีย มันคือหอเรือนขนาดจิ๋วที่ทำมาจากวัสดุไม้หนาหนักสูงเท่าแขนคน ด้านในสร้างเป็นห้องขนาดเล็กแบ่งซอยออกเป็นสามร้อยหกสิบห้าห้อง มีไว้ให้เป็นที่พักพิงของภูตผีวัตถุหยิน เหมาะแก่การหล่อเลี้ยงและกักกันวิญญาณหยินมากที่สุด

ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันขัดขวางหลิวเหล่าเฉิงบนเกาะชิงเสีย ทั้งอวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางต่างก็เห็นอยู่ในสายตา ดังนั้นราคาโดยรวมจึงลดลงไปจากเดิมสองส่วน

แน่นอนว่าในฐานะที่จิ้งจอกเฒ่าทั้งสองตนนี้คือแม่ทัพใหญ่ใต้บัญชาการณ์ของสกัดคงคาเจินจวิน ก็ย่อมไม่มีทางพูดว่าตัวเองกริ่งเกรงในพลังการต่อสู้ของเฉินผิงอันถึงได้ ‘มีคุณธรรม’ เช่นนี้ คนขายเพิ่มราคาทำให้คนซื้อต้องควักเงินจ่ายมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากคนขายหาข้ออ้างมาลดราคา เอื้อผลประโยชน์ให้แก่คนซื้อ จะไปยากตรงไหน? เฉินผิงอันย่อมไม่คิดจะพูดเปิดโปง เพียงเอ่ยขอบคุณผู้ฝึกตนทั้งสอง ไปๆ มาๆ ระหว่างพวกเขาก็พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่ได้สำคัญนักต่อกัน

ตอนที่เฉินผิงอันไปทำการซื้อขายที่เกาะทั้งสอง ได้สะพายหีบไม้ไผ่ที่ไม่ได้สะพายมานานไปด้วย เพื่อใช้มันเก็บ ‘ตำหนักพญายมราช’ สมบัติอาคมอันเป็น ‘ชีวิตที่แท้จริง’ ที่ผู้ฝึกตนผีทุกคนในโลกปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน

อวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางต่างก็เห็นอยู่ในสายตา แต่กลับไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติใดๆ ยังจงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นด้วยซ้ำ

ในสายตาพวกเขา การที่คืนนั้นเฉินผิงอันยืนหยัดต่อสู้กับหลิวเหล่าเฉิงไม่ยอมถอย และตอนนี้ยังมีชีวิตมายืนพูดอยู่กับพวกเขาตัวเป็นๆ อยู่ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ก่อกำเนิดใหญ่ต้องนับถือแล้ว ไม่อาจหล่อหลอมตำหนักพญายมราชนั้นได้ ก็หนีไม่พ้นหมายความว่าตอนนี้สภาพการณ์ของเฉินผิงอันไม่สู้ดี ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญไม่มั่นคง เป็นเหตุให้ไม่สามารถเก็บสมบัติล้ำค่าของผู้ฝึกตนชิ้นนี้ไว้ในร่างกายได้ ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ

การหลอมเล็กให้สมบัติอาคมที่จับต้องได้จริงกลายเป็นความว่างเปล่าแล้วเก็บไว้ในช่องโพรงลมปราณของตระกูลเซียน ตัวของวิชาคาถานี้ไม่ถือว่าลึกล้ำเกินไปนัก ธรณีประตูไม่สูง เพียงแต่ว่าข้อแรก มันจะยึดครองช่องโพรงลมปราณทั้งแห่งแล้วคอยกลืนกินปราณวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นของที่ดีเท่าไหร่ ปราณวิญญาณที่ดูดซับมาก็ยิ่งมากมหาศาลเท่านั้น ดังนั้นตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากชายฉกรรจ์อุ้มกระบี่คนเฝ้าประตูจะมอบเชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นนั้นให้แล้ว ขณะเดียวกันก็ยังถือโอกาสสอนคาถาหลอมวัตถุให้ด้วยหนึ่งบท และเฉินผิงอันก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

ข้อสองการหลอมเล็กจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูว่าระดับขั้นของวัตถุวิเศษและสมบัติอาคมสูงหรือต่ำ โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนเซียนดิน แม้แต่อาวุธกึ่งเซียนก็ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับการหลอมเล็ก ตระกูลฝูในนครมังกรเฒ่ามีบารมีอำนาจ สาเหตุหนึ่งในนั้นก็อยู่ที่ตระกูลฝูมีตบะแค่เซียนดิน แต่กลับสามารถควบคุมอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดังนั้นไม่เพียงแต่อวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางเท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ทุกคนบนเกาะชิงเสียซึ่งรวมถึงตัวหลิวจื้อเม่าเอง จุดที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่ว่า เฉินผิงอันถึงขั้นสามารถควบคุมกระบี่ที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นได้อย่างไร!

นักบัญชีหนุ่มที่อายุยังน้อย ควบคุมกระบี่เซียนไม่ทราบชื่อเล่มหนึ่ง สามารถใช้หมัดปะทะหมัดกับผู้ฝึกตนสำนักการทหาร ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม…

เรื่องราวที่ไร้เหตุผลน่าเหลือเชื่อเหล่านี้กลับกลายมาเป็นต้นทุนที่ทำให้เฉินผิงอันสามารถใช้เหตุผลอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้พอดี

เพียงแต่ว่าหากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนอิสระหรือเซียนอิสระทั่วไปของทะเลสาบซูเจี่ยน หากมีจุดที่น่าเหลือเชื่อไร้เหตุผลเช่นนี้ คาดว่าคงมีแต่จะยิ่งไร้เหตุผลมากเท่านั้น หมัดแข็ง ความสามารถสูง ก็ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องใช้เหตุผลหรอกหรือ? ไม่อย่างนั้นจะทำไปเพื่ออะไร? หรือเพื่อปฏิบัติดีต่อคนอื่น? ทะเลสาบซูเจี่ยนไม่เคยมีหลักการเช่นนี้ เหล่าบรรพบุรุษ เกาะพันกว่าเกาะ ผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนล้วนเคยชินกับสิ่งนี้มานานมากแล้ว ตลอดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน คงมีเพียงหลิวเหล่าเฉิงที่เพราะมีตบะสูงสุดเท่านั้น ถึงได้เป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว

น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้หลิวเหล่าเฉิงไม่คิดจะพบหน้าผู้ฝึกตนคนใดของทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งนั้น ผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่ได้ขึ้นไปบนเกาะกงหลิ่วก็คือเจ้าเกาะลี่ซู่ ซึ่งตัวตนที่แท้จริงคือสายลับใหญ่ของสกุลซ่งต้าหลี ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถขึ้นเกาะไปได้เช่นกัน

เฉินผิงอันกลับมาถึงเกาะชิงเสียแล้วก็ไปเยือนจวนจูเสียน

พอได้รู้ความลับวงในอันลุ่มๆ ดอนๆ ของสองแคว้นจากปากของหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช คราวนี้พอเฉินผิงอันเงยหน้ามองกรอบป้ายจวนจูเสียนที่แขวนไว้สูงอีกครั้งก็อดที่จะสะท้อนใจไม่ได้

เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง ครุ่นคิดว่าควรจะโกนหนวดได้แล้วหรือไม่?

ไม่อย่างนั้นจะไว้หนวดไว้เคราเต็มหน้าเลียนแบบสวีหย่วนเสียจริงๆ หรือ?

ผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อมาปรากฏตัวที่หน้าประตูจวนแล้วก็ผรุสวาทเสียงดัง บอกให้เฉินผิงอันไสหัวไป

เฉินผิงอันไม่ได้ไสหัวไป ยังไม่ได้คุยธุระเลยจะไสหัวไปไหนเล่า

หม่าหย่วนจื้อด่าจบแล้วก็ถามว่า “ในรายงานของเกาะปุยหลิวบอกว่า ครั้งล่าสุดที่เจ้าไปเยือนเกาะจูไชได้ถูกเหล่าสาวงามห้อมล้อมพาตัวไปพบหลิวจ้งรุ่น?! ในรายงานยังพูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่าหลิวจ้งรุ่นน่าจะโปรดปรานเจ้าไม่น้อย ไม่แน่ว่าวันใดเจ้าก็อาจจะควบตำแหน่งผู้ถวายงานของเกาะจูไชด้วย!”

เฉินผิงอันกลอกตามองบน

หม่าหย่วนจื้อทำสีหน้ากังขา “ไม่มีเรื่องแบบนี้จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันไม่พูดอะไร

หม่าหย่วนจื้อกลับยิ้มได้ในทันที “ท่านเฉินเป็นคนมีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นวิญญูชนคนจริง ย่อมไม่มาแย่งชิงหลิวจ้งรุ่นกับข้าอยู่แล้ว เป็นข้าที่เสียมารยาท ไปๆๆ ไปนั่งในจวนกัน ขอแค่ท่านเฉินเอ่ยปากรับรองกับข้าว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ไปข้องเกี่ยวกับหลิวจ้งรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว การค้าขายก่อนหน้านั้น พวกเราก็สามารถลดราคาเหลือครึ่งหนึ่งได้!”

เฉินผิงอันถาม “ข้าย่อมไม่มีความคิดไม่เหมาะไม่ควรกับเจ้าเกาะหลิวอยู่แล้ว แต่ถ้าเจ้าเกาะหลิวตอแยข้าไม่เลิก จะทำอย่างไร?”

หม่าหย่วนจื้อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “คิดไม่ถึงว่าท่านเฉินจะมีอารมณ์สนุกพูดหยอกล้อแบบนี้เป็นด้วย องค์หญิงใหญ่จะชอบเจ้างั้นหรือ? นางไม่ได้ถูกผีบังตาสักหน่อย ไม่มีทางแน่นอน”

จากนั้นหม่าหย่วนจื้อก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ถ้าหาก มีวันนั้นจริงๆ องค์หญิงใหญ่เกิดเลอะเลือนขึ้นมาจริงๆ ก็ขอให้ท่านเฉินโปรดหนักแน่นมั่นคง! นำมาดของสุภาพชนออกมาใช้! ภรรยาของสหายห้ามแตะต้อง”

ระหว่างที่เดินเข้าไปในจวนจูเสียนพร้อมกับหม่าหย่วนจื้อ เฉินผิงอันที่ได้ยินประโยคเหล่านี้รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ เกือบจะทนไม่ไหวหลุดพูดถ้อยคำที่หลิวจ้งรุ่นพูดถึงหม่าหย่วนจื้อออกมา กว่าจะกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้องไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับเรื่องราวระหว่างคนแบกอาหารและหลิวจ้งรุ่นนี้ เขาก็มีแต่เสียงทอดถอนใจให้เท่านั้น

พอนึกถึงว่าอย่างน้อยตนยังต้องไปเยือนเกาะจูไชอีกรอบ เฉินผิงอันก็ยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่

เฉินผิงอันได้แต่รับรองกับหม่าหย่วนจื้อว่าเขาไม่มีทางไปแหยมกับหลิวจ้งรุ่นแน่นอน ยิ่งไม่มีทางคิดอะไรกับนาง

หม่าหย่วนจื้อพึงพอใจอย่างยิ่ง ก่อนจะนั่งลงในห้องโถงใหญ่ เขาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ถามว่า “หากเป็นตอนที่เพิ่งมาถึงเกาะชิงเสีย ข้าคงยังไม่ค่อยวางใจ แต่ตอนนี้เจ้ามีสารรูปเช่นนี้ ไม่ได้รูปงามไปกว่าข้าสักเท่าไหร่ ข้าก็สามารถวางใจได้เต็มร้อย!”

เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ด้านหลัง หยิบตำหนักพญายมราชสมบัติอาคมชิ้นนั้นออกมา กล่าวอย่างจนใจว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณในความเชื่อใจที่เจ้ามีให้”

จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำการแลกเปลี่ยนกัน

หม่าหย่วนจื้อจุ๊ปากชื่นชมตำหนักพญายมราชที่สลักสองคำว่า ‘คุกล่าง’ นี้ไม่หยุด รู้สึกน้ำลายสอด้วยความอยากได้ มองตาไม่กะพริบ จับจ้องหอเรือนไม้ขนาดเล็กจิ๋วนั่นเขม็ง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าผู้อาวุโสต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายอยู่ในเกาะชิงเสียมานานหลายปีขนาดนี้ก็เพราะหวังว่าวันใดวันหนึ่งจะสามารถอาศัยคุณความชอบแลกมาด้วยของรางวัลเช่นนี้จากเจินจวิน หากไม่ได้จริงๆ ก็จะสะสมเงินให้มากพอ ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อมาให้ได้ ต้องรู้ว่าตำหนักพญายมราชคือสมบัติแห่งชะตาชีวิตที่ล้ำค่าที่สุดของผู้ฝึกตนผีอย่างพวกเรา ผู้ฝึกตนผีเซียนดินเหล่านั้น หากไม่มีตำหนักพญายมราชสักหลังก็รู้สึกไม่มีหน้าจะออกจากบ้านไปทักทายเพื่อนร่วมอาชีพ แต่ว่าตำหนักพญายมราชก็มีระดับขั้นสูงต่ำ ต่อให้เป็นระดับขั้นที่ต่ำที่สุดก็เทียบเท่าได้กับสมบัติอาคมที่ไม่ธรรมดาแล้ว ได้ยินว่าตำหนักพญายมราชที่อยู่ในมือของผู้ฝึกตนผีก่อกำเนิดที่ตบะสูงที่สุดในแจกันสมบัติทวีปท่านนั้นมีระดับขั้นของ ‘คุกใหญ่’ มีขนาดใหญ่เท่าหอเรือนสูงจริงๆ ด้านในหอเรือนมีห้องทั้งหมดสามพันหกร้อยห้อง ผู้ฝึกตนปล่อยจิตหยางออกมาท่องเที่ยวอยู่ข้างในนั้น ลมหยินที่พัดเป็นระลอกและเสียงสัมภเวสีร้องโหยหวนก็ล้วนทำให้จิตหยางมีความสุข อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อตบะด้วย”

เฉินผิงอันกล่าว “วันใดที่ข้าไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่แน่ว่าจะขายต่อให้เจ้า”

หม่าหย่วนจื้อหันหน้ามามองเฉินผิงอัน หัวเราะหึหึกล่าวว่า “ข้ารอประโยคนี้ของเจ้าอยู่นี่แหละ หลงกลข้าแล้ว!”

หลังจากจ่ายเงินเทพเซียนเรียบร้อยแล้ว หม่าหย่วนจื้อก็พาเฉินผิงอันมาหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำของจวนจูเสียนบ่อนั้น แล้วบอกให้เฉินผิงอันวางหอเรือนหลังนั้นลงบนพื้น

หม่าหย่วนจื้อหยิบธงเรียกวิญญาณออกมา ก้าวเท้าว่องไวราวพายุลมกรด ปากท่องคาถาโคจรปราณวิญญาณ ควันสีเขียวเป็นเส้นๆ ก็พากันล่องลอยออกมาจากธงเรียกวิญญาณ พอร่วงลงบนพื้นก็กลายมาเป็นวัตถุหยิน ในบ่อมีมือสีซีดขาวค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาที่ปากบ่อ ก่อนจะค่อยๆ คลานพ้นออกมา เห็นได้ชัดว่าบ่อน้ำแห่งนี้สามารถสยบวิญญาณหยินและภูตผีได้อย่างทรงพลัง ต่อให้ออกมาจากบ่อน้ำที่เป็นดั่งคุกคุมขังแห่งนี้แล้วก็ยังสติพร่าเลือน แม้แต่จะยืนก็ยังยากลำบาก หม่าหย่วนจื้อไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาออกคำสั่งแก่เหล่าภูตผีที่ไม่ว่าจะเดินก็ดีหรือจะคลานก็ช่าง ให้พวกมันพากันย่อร่างจนมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาแล้วผลุบหายเข้าไปในตำหนักพญายมราชหลังนั้น

เฉินผิงอันยืนมองทุกอย่างนี้อยู่ด้านข้าง อันที่จริงตอนอยู่กับอวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยาง เขาก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้มาสองรอบแล้ว

มองดูเหมือนเป็นชีวิตรันทดจากการถูกลมและฝนอันโหดร้าย แต่แท้จริงแล้วเป็นความทุกข์ทรมานจากการที่ต้องตากแดดแผดจ้ามากกว่า

ก่อนที่เฉินผิงอันจะไปจากจวนจูเสียน ผู้ฝึกตนผีไม่ได้เดินไปส่ง เขาที่ยืนอยู่ข้างปากบ่อพลันเอ่ยกับเฉินผิงอันด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “เจ้าจะลำบากแบบนี้ไปไย? เหนื่อยใจเหนื่อยกาย อีกทั้งยังไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “แพ้ แน่นอนว่าต้องแพ้ แต่ก็ขอให้ตัวเองสบายใจ”

หม่าหย่วนจื้อเอ่ยเย้ยหยัน “แค่เพื่อความสบายใจงั้นหรือ? เงินเทพเซียนที่ควักออกจากกระเป๋าเยอะไปหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันถามกลับ “คนที่ทำให้เจ้าสบายใจคือหลิวจ้งรุ่น เพื่อนางแล้ว เจ้าสามารถแอบไปที่ชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋ง และยังมีแคว้นหัวเมืองที่คนผู้นั้นรับตำแหน่งเป็นไท่ซ่างหวง แม้แต่ชีวิตเจ้ายังยอมเอาไปทิ้งได้ ทำไมข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะเสียดายหรือเสียใจภายหลังเลยเล่า?”

หม่าหย่วนจื้ออึ้งตะลึง ไร้คำพูดตอบโต้

แต่แล้วเขาก็พลันยิ้มกล่าวว่า “ไม่เหมือนกัน ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังให้องค์หญิงใหญ่หันมาชื่นชอบ หวังว่าจะได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญตนกับนาง ต่อให้เป็นความสุขแค่ชั่วครั้งชั่วยามก็ได้ ถึงอย่างไรองค์หญิงใหญ่ก็เป็นความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของคนแบกอาหารต่ำต้อยอย่างข้าอยู่แล้ว เจ้าล่ะ ทำแล้วจะได้อะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เส้นทางต่าง ไม่จำเป็นต้องพูดมาก”

หม่าหย่วนจื้อทอดถอนใจหนึ่งครั้ง “พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากอย่างพวกเราสองคนเสียเปรียบคนอื่นเขาก็ตรงที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ไม่เป็นที่ชื่นชอบของสตรี มีชะตากรรมไม่ต่างกันเลย วันหน้าหากเจ้ามีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่จวนจูเสียนบ่อยๆ เห็นเจ้าแล้ว ข้าก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย”

คราวนี้เป็นเฉินผิงอันที่พูดไม่ออกบ้างแล้ว

เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่เดินออกไปจากจวนจูเสียนที่เจ้าของจวนสายตาไม่ใคร่จะดีสักเท่าไหร่

เขาไม่ได้หน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งตอนนี้ยังดูมอซอ แต่จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับหม่าหย่วนจื้อได้อย่างไร?

ต่อให้เขาเฉินผิงอันยอมรับ

พ่อแม่ของเขาก็ไม่มีทางยอมรับแน่นอน

เฉินผิงอันเดินออกมาจากประตูใหญ่ของจวนแล้วก็หลุดหัวเราะ

ตอนนี้หงซูไม่ได้อยู่ในจวนจูเสียนแล้ว แต่ถูกหลิวจื้อเม่าสั่งให้พ่อบ้านรับตัวไปทำหน้าที่เป็นสาวใช้ในจวนเหิงโป ว่ากันว่านางยังมีสถานะเป็นหัวหน้าสาวใช้ที่คอยดูแล้วบ่าวหญิงสิบกว่าคนอีกด้วย

คาดว่าผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อคิดแล้วก็คงไม่เข้าใจ แต่ย่อมไม่มีทางกล้าปฏิเสธ ไม่ปฏิบัติตามเรื่องเล็กน้อยที่คนสนิทของเจ้าเกาะมอบหมายมาให้อย่างแน่นอน

เฉินผิงอันเคยไปพบหงซูมาครั้งหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ไปเยือนจวนเหิงโป ตอนนั้นหงซูไม่ค่อยร่าเริงนัก เฉินผิงอันรู้ดี สาเหตุต้องเป็นเพราะนางหงซูเป็นคนนอกที่มาจากจวนจูเสียน ก็เหมือนเสมียนผู้น้อยในสถานที่เล็กๆ ไร้ชื่อเสียง แต่จู่ๆ กลับได้เลื่อนขั้นไปทำงานอยู่ในที่ว่าการอันเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองหลวง ประเด็นสำคัญคือนางยังได้เป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ แน่นอนว่าต้องถูกเพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาต่อต้านอย่างรุนแรง

ทว่าพอได้พบกับเฉินผิงอัน หงซูก็ยังดีใจอย่างมาก

เฉินผิงอันปฏิเสธความหวังดีของผู้ดูแลใหญ่ของจวน เพียงแค่บอกให้หงซูพาตนเดินเที่ยวรอบจวนเหิงโปหนึ่งรอบ แล้วถึงได้บอกลาจากไป

หลังจากนั้นมามีวันหนึ่งที่หงซูขอลาหยุดกับผู้ดูแลหนึ่งชั่วยาม ออกจากจวนเหิงโปที่มีการแบ่งระดับชนชั้นอย่างเข้มงวด แต่ละคนล้วนวางตัวอย่างระมัดระวังรอบคอบ เพื่อไปหาท่านเฉินที่หน้าประตูภูเขา ประตูห้องปิดสนิท หงซูยืนอยู่นอกประตูครู่หนึ่ง แล้วก็วิ่งไปที่ท่าเรือ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกับเงาร่างผอมบางของนักบัญชีคนนั้น

หงซูจึงได้แต่กลับจวนเหิงโปไปพร้อมกับความผิดหวัง ความซาบซึ้งและความรู้สึกขอบคุณที่อัดแน่นอยู่เต็มท้องจึงได้แต่เก็บค้างไว้ก่อน

นางไม่รู้เลยว่า แท้จริงแล้วตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือในห้องตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนเวลาต้มยาในช่วงวัยเยาว์ นอกจากวัตถุดิบดีหรือแย่แล้ว สิ่งที่สำคัญมากที่สุดเลยก็คือแรงไฟ

แรงไปก็ไม่ดี

ความซาบซึ้งใจของหงซู แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมรับไว้

แต่เขาไม่อาจไม่พิจารณาถึงสถานะของตัวเองและสภาพการณ์ที่หงซูต้องเผชิญ

วันนั้นที่หลิวจื้อเม่ามาเยี่ยมเยือน ได้จงใจพูดถึงแม่นางเปิดสาบเสื้อที่กู้ช่านเป็นผู้สร้างขึ้น ในสายตาของเฉินผิงอัน นั่นคือการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักมาตรฐานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงใช้เรื่องที่เคยได้ยินมาว่าเจินจวินชงชาเก่งมาเตือนหลิวจื้อเม่าว่าอย่าได้คิดใช้อุบายกับเรื่องนี้อีก

แน่นอนว่าชี้แนะแค่นิดเดียวหลิวจื้อเม่าก็กระจ่าง จึงไม่กระพือไฟระหว่างความสัมพันธ์ของเฉินผิงอันกับกู้ช่านคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนาอีก

อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วได้มีสหายที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจเพิ่มมาหนึ่งคน จะต้องเปลืองแรงกับสิ่งที่ได้เพิ่มเติมมานี้ และในอนาคตต้องจ่ายค่าตอบแทนมากเท่าไหร่

เฉินผิงอันรู้ดี

แต่เฉินผิงอันยิ่งรู้ชัดเจนดีว่า มีเพื่อนอย่างหงซูอยู่ที่เกาะชิงเสีย สำหรับสภาพจิตใจของตัวเองแล้วถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก

ประหนึ่งน้ำในคูที่ถูกแสงจันทร์สาดส่อง สายน้ำเส้นเล็กไหลเอื่อยเฉื่อย สำหรับผืนนาหัวใจที่แห้งขอดแล้วย่อมไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่มีหรือไม่มีคูน้ำที่น้ำตื้นเขินใสกระจ่างเส้นนี้กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ปีนั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณ เฉินผิงอันจึงทำเรื่องเล็กๆ มากมายเพื่อกู้ช่าน หนึ่งในนั้นก็คือไปแย่งน้ำกลางดึก รู้ดีว่าต่อให้เช้าตรู่ของทุกวันจะแย่งน้ำจากชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ออกลาดตระเวนกลางดึกเพื่อจับตาดูคนที่จะมาขโมยน้ำไม่ได้ แต่ขอแค่ในคูน้ำยังมีสายน้ำไหล

ก็มีความหวัง

ในช่วงเวลาที่คนอื่นผ่อนคลาย ต้องการกลับบ้านไปนอน เวลานั้นเฉินผิงอันที่ซุ่มหลบอยู่ในมุมมืดจะวิ่งตะบึงออกไปขุดคันดินเล็กๆ ริมผืนนาที่อยู่ติดกับต้นน้ำตอนบน ฟังเสียงน้ำไหลดังซู่ๆ เลียบไปตามผืนนาเบื้องล่างอย่างลิงโลด จนกระทั่งมาถึงข้างคันนาของบ้านกู้ช่าน เขาก็จะทรุดตัวลงนั่งยอง สร้างคันกั้นน้ำเล็กๆ ขึ้นมา น้ำที่ไหลมาจากคูส่งน้ำก็จะกรูเข้าไปในผืนนาผืนนั้น มองระดับน้ำที่ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ เฝ้ารอไปอย่างช้าๆ รอจนน้ำเต็มแล้วก็ค่อยขุดเอาคันกั้นน้ำเล็กๆ นั่นออก แล้วปล่อยให้น้ำไหลลงสู่เบื้องล่างต่อไป

ในช่วงเวลาหลายปีนั้น ครอบครัวของกู้ช่านแทบจะไม่เคยต้องกลัดกลุ้มเรื่องแย่งน้ำจากคนอื่น ไม่เคยต้องทะเลาะกับชาวนาที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงหน้าดำหน้าแดง

เฉินผิงอันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังตอบแทนบุญคุณ

นั่นเป็นเรื่องที่ตนสมควรทำ

เรื่องราวบนโลกยากจะเป็นไปตามใจปรารถนา ในเมื่อไม่อาจทำให้เรื่องราวสงบหรือยุติลงได้ ถ้าอย่างนั้นก็เติมหลุมในใจของตัวเองให้เรียบเต็มเสียก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องข้ามผ่านมันไปได้ อีกทั้งยังอาจจะผ่านไปได้โดยที่ไม่รู้สึกว่ายากลำบากสักเท่าไหร่ด้วย

……

วันนี้เจิงเย่เดินโซซัดโซเซมาเปิดประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด

เฉินผิงอันมายืนรออยู่นอกประตูก่อนแล้ว เขาประคองอีกฝ่ายไปนั่งข้างโต๊ะ ควักยาขวดหนึ่งที่ระดับขั้นไม่สูงออกมา นี่เป็นยาทั่วไปที่เก็บไว้ในคลังลับของเกาะชิงเสีย มูลค่าหนึ่งเหรียญเงินร้อยน้อย โดยทั่วไปแล้วจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตและขอบเขตชมมหาสมุทรที่จะมาซื้อไปจากคลังลับเป็นจำนวนมาก สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตสามอย่างเจิงเย่แล้วจึงมีประโยชน์เหลือเฟือ ยาชั้นสูงที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเกินไป ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างรั้งไว้ไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่มีความสามารถมากพอจะหล่อหลอมแล้วเอาไปเก็บสะสมไว้ในช่องโพรงลมปราณ

หลังจากเจิงเย่กินยาลงไปแล้ว เขาที่สีหน้าซีดเผือดก็ให้รู้สึกละอายใจ แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “ท่านเฉิน ขอโทษนะ เป็นข้าที่ใจร้อนเกินไป”

เฉินผิงอันโบกมือ อธิบายกับเด็กหนุ่มว่า “เรื่องใดๆ ก็ตามล้วนไม่ควรสุดโต่งเกินไป อันที่จริงวันนี้เจ้าไม่ได้ร้อนใจ แต่เป็นเพราะเจ้าจำเป็นต้องกัดฟันผ่านด่านหนึ่งในนั้นไปให้ได้ เพียงแต่ทำไม่สำเร็จก็เท่านั้น ดังนั้นยาไม่กี่เม็ดนี้ ข้าจะไม่บันทึกลงบัญชี เสี่ยงรุดหน้าเพราะหวังอยากได้คุณความชอบกับหวาดกลัวจนไม่กล้าเดินหน้า เจ้าจะต้องแยกความต่างของทั้งสองอย่างนี้ให้ชัดเจน รวมไปถึง ‘การรักษา’ จิตแห่งเต๋าที่เจ้าควรต้องแสวงหา ท่ามกลางขั้นตอนการฝึกตนของเจ้าหลังจากนี้ เจ้าต้องคิดให้กระจ่างแจ้งเสียก่อน ไม่อย่างนั้นบนเส้นทางการฝึกตนของวันหน้า เมื่อเจ้าเจอกับอุปสรรคก็จะถอยหนีตามสัญชาตญาณ กล้าๆ กลัวๆ มีแต่จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบนมหามรรคาของเจ้า”

เจิงเย่เช็ดหน้า ยิ้มกล่าว “ข้าจำไว้แล้ว!”

เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นว่า “จำไว้ว่ายังต้องคิดให้มากๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีบันไดให้เจ้าก้าวเดินขึ้นไปบนมหามรรคา ในเมื่อเจ้ายอมรับว่าตัวเองค่อนข้างโง่ ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องคิดให้เยอะ ในเรื่องโง่ๆ ที่คนฉลาดไม่ต้องหยุดเดิน เจ้ากลับต้องทุ่มเทและตั้งใจให้มาก ทนรับกับความยากลำบากให้มาก”

เจิงเย่พยักหน้ารับ

หลักการตื้นเขินเช่นนี้ เขายังพอจะฟังเข้าใจอยู่บ้าง

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ลังเลเล็กน้อยก็กล่าวว่า “มีเพียงทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถและมานะพยายามทุกวิถีทางแล้วเท่านั้น เจ้าถึงจะพอมีคุณสมบัติไปโทษคนบ่นฟ้า”

หากเป็นในอดีต เฉินผิงอันคงจะพูดว่าคนเราไม่ควรโทษคนบ่นฟ้า

แต่ในเวลานี้ เฉินผิงอันกลับไม่มีทางเอ่ยคำพูดเช่นนั้นอีกแล้ว

เฉินผิงอันบอกให้เจิงเย่เข้าฌานรักษาอาการบาดเจ็บ ย่อยสลายปราณวิญญาณในยา

แต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็ต้องหันขวับกลับไปมอง

เจิงเย่มองตามเส้นสายตาของเฉินผิงอันไปยังภาพบรรยากาศอันเงียบสงัดวังเวงของทะเลสาบนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “อย่าวอกแวก”

เจิงเย่จึงรีบกลั้นหายใจทำสมาธิทันที

เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินออกไป ช่วยปิดประตูลงให้เขา ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปเดินเล่นชมทิวทัศน์อยู่ที่ท่าเรือ

แต่กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง

หยิบตำหนักพญายมราชออกมาจากหีบไม้ไผ่ โยนเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งลงไป

การที่เงินเทพเซียนสามารถกลายมาเป็นเงินเทพเซียนได้นั้นก็เพราะมีปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์ ไม่แบ่งแยกหยินหยาง

ผู้ฝึกตนสามารถใช้ได้ พวกภูตผีก็เช่นกัน

มรรคาไร้ซึ่งความลำเอียง

สี่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน เกิดแก่เจ็บตาย หยินหยางแยกจากกัน กาลเวลาไหลริน

เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ พลิกเปิด ‘สมุดบัญชี’ ที่ทั้งหมดล้วนเขียนด้วยลายมือของตัวเอง

หยิบยาลับของตำหนักวารีเกาะจูไชเม็ดหนึ่งออกมากลืนเบาๆ จากนั้นก็หลับตาทำสมาธิ เมื่อปราณวิญญาณขุมนั้นไหลรินเข้าสู่ช่องโพรงน้ำของตนอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งพอจะมีส่วนเกินเหลือใช้แล้ว เฉินผิงอันถึงได้ลืมตา แล้วอ่านบันทึกในหน้าแรกที่เขียนชื่อ บ้านเกิดถิ่นฐาน ประวัติในชีวิตของคนทั้งหมดเก้าคนเอาไว้

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วถึงได้ท่องคาถาอยู่ในใจเงียบๆ สองนิ้วประกบกันทำมุทรากระบี่ ชี้ไปยังตำหนักพญายมราชที่วางอยู่บนโต๊ะ ใช้คำสั่งวิชาผีเชิญให้วิญญาณหยินภูตผีที่จิตวิญญาณไม่สมประกอบเก้าตนนี้ออกมา

ในห้องติดยันต์และวางค่ายกลสร้างพื้นที่มืดมิดที่เหมาะสำหรับการเชิญภูตผีกลับคืนมายังโลกมนุษย์ไว้เรียบร้อยนานแล้ว

ยันต์ทั้งสามแผ่นแบ่งออกเป็น ‘ยันต์เมฆน้ำสยบเรือน’ ของตำรา ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ใจกลางของยันต์เขียนด้วยตัวอักษรสีทองว่าท่านซานซานจิ่วโหว

รวมไปถึง ‘ยันต์ไป่ไหว’ หากลมปราณของในเรือนประหนึ่งร่างผีที่เป็นหมอกควัน ก็จะทั้งสามารถสยบกำราบ แล้วก็สามารถออกคำสั่ง แค่ต้องดูที่ความต้องการของคนแปะยันต์

แผ่นสุดท้ายคือยันต์ที่ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางมอบให้ มีชื่อว่า ‘ยันต์ไม้ท้อเป็นตะปู’ สามารถกำราบสันดานอันดุร้ายของภูตผีวัตถุหยินและพยายามทำให้พวกมันมีสติแจ่มชัดได้

ส่วนค่ายกลอันเป็น ‘สถานที่หยัดยืน’ ที่มีไว้ให้วัตถุหยินที่อ่อนแอได้มาอยู่ในโลกมนุษย์ เขาเรียนมาจากเซียนดินอวี๋กุ้ยแห่งเกาะตะขอจันทร์ ด้วยเรื่องนี้เฉินผิงอันยังขอให้คนช่วยขนหินเขียวขนาดใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งใต้ทะเลสาบซูเจี่ยนขึ้นมาบนฝั่ง นำมากลึงเป็นแผ่นหินสีเขียว แล้วค่อยสลักอักขระยันต์ลงไป เอามันไปฝังไว้ใต้ดิน ปูเป็นพื้นทางเดิน นอกจากนี้ใต้ดินแต่ละตำแหน่งที่อยู่ใกล้เคียงกับแผ่นหินสีเขียวยังฝัง ‘วัตถุที่มีชะตาโชคดีเปี่ยมคุณธรรม’ จากเกาะต่างๆ ที่ไหว้วานให้ผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสียไปหาซื้อมาด้วย

ทุกครั้งที่เฉินผิงอันเอ่ยชื่อแซ่และถิ่นกำเนิดจะต้องมีวัตถุหยินตนหนึ่งเดินออกมาจากตำหนักพญายมราช มายืนอยู่บนแผ่นหินสีเขียวที่กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องแห่งนี้

วัตถุหยินทั้งเก้าตนนี้ต่างก็มาจากจวนสองแห่งของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียและของศิษย์พี่ใหญ่กู้ช่าน มีทั้งแม่นางเปิดสาบเสื้อ แล้วก็มีทั้งคนงานที่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในจวน

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ใช้เวทลับวิชาผีทำให้ตัวเองกลายมาเป็นเจ้าของตำหนักพญายมราชชั่วคราว ขณะเดียวกันก็ได้บอกแก่ห้องทุกห้อง วัตถุหยินและผีทุกตนในหอเรือนหลังนี้ว่า เขาเป็นใคร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับกู้ช่าน เหตุใดต้องทำเรื่องนี้ในสถานที่อย่างเกาะชิงเสียนี้ แล้วในอนาคตจะทำเรื่องแบบใด

เวลานี้เอง

วัตถุหยินเก้าตนที่ต้องตายอย่างอเนจอนาถ อีกทั้งเมื่อตายไปยังต้องเผชิญกับความทุกข์ตรมขมขื่น

มีทั้งความเดือดดาล ความกลัดกลุ้ม ความล่องลอย ความเศร้าโศก ความเคียดแค้น ความสงสัย ความตกตะลึงระคนดีใจ ความเย็นชา ความหวาดกลัว

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “พวกเจ้ามีความต้องการใดก่อนตายหรือไม่? มีเรื่องใดที่ยังทำไม่สำเร็จแต่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จหรือไม่? เพื่อตัวเอง เพื่อญาติ เพื่อสำนัก ล้วนสามารถพูดมาได้หมด ข้าจะพยายามช่วยทำตามความปรารถนาของพวกเจ้าให้เป็นจริง”

บนโต๊ะนอกจากสมุดบัญชีที่กองกันเป็นภูเขาแล้วยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เอาไว้ดื่มเหล้าให้กระปรี้กระเปร่า รวมไปถึงยันต์กระดาษ ‘สาวงามหนังจิ้งจอก’ หกแผ่นที่สกุลสวี่นครลมเย็นตั้งใจสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน สามารถให้วัตถุหยินมาพักพิงอยู่ภายใน เดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นด้วยลักษณะของหญิงสาวได้อย่างไร้อุปสรรค

เฉินผิงอันหยุดชะงักไปชั่วครู่ “หากสืบสาวกันไปถึงต้นตอแล้ว ข้าติดค้างพวกเจ้าจริง เพราะหนีชิวน้อยตัวนั้นของกู้ช่าน เป็นข้าที่มอบให้เขา ดังนั้นข้าถึงได้ตามหาตัวพวกเจ้า มาพูดคุยกับพวกเจ้า แต่อันที่จริงก็เหมือนว่าข้าไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเจ้าเลย เพราะตำแหน่งที่พวกเราสองฝ่ายอยู่ในเวลานี้ก็คือทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ พุทธศาสนามีเวรกรรม แน่นอนว่าข้าเองก็มี แต่กลับไม่มาก ชีวิตนี้ทุกข์ยากเพราะผลกรรมในอดีตชาติ นี่ก็คือคำเอ่ยดั้งเดิมของลัทธิพุทธ หากอิงตามหลักความรู้ของสำนักนิติธรรม นี่ก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย อิงตามวิธีการฝึกตนของลัทธิเต๋า ขอแค่ตัดขาดเรื่องทางโลก ออกห่างจากโลกีย์เพื่อแสวงหามรรคาอย่างเงียบสงบ ก็ยิ่งไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าทำอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงจะพยายามอย่างเต็มที่”

ไม่มีใครเปิดปากพูดก่อน

ในห้อง ทั้งคนเป็นและคนตายพากันจมเข้าสู่ความเงียบอันยาวนาน

ไม่ว่าวัตถุหยินเหล่านั้นจะมีอารมณ์และความรู้สึกเช่นไร เมื่อพวกมันเห็นคนหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะผู้นั้น มองนักบัญชีในสายตาของพวกมันก็คล้ายว่าจะมองเห็นอารมณ์ที่แตกต่างไปจากเหล่าวัตถุหยินที่อยู่ข้างกาย

ประหนึ่งส่องกระจก

ทั้งสุขและทุกข์ผสมปนเปกัน

แม่นางเปิดสาบเสื้อคนหนึ่งพลันตวาดเสียงกร้าว “ข้าต้องการให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต เจ้าทำได้หรือไม่?!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แน่นอนว่าทำไม่ได้”

นางหัวเราะเสียงเหี้ยม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะแสร้งทำเป็นคนดี เป็นวิญญูชนจอมปลอมไปไย?! เจ้ามันสมควรตาย สมควรตายไปพร้อมกับเจ้าเศษสวะกู้ช่านผู้นั้น ตายอย่างไร้ที่ฝัง เหลือเพียงเถ้าธุลี!”

เฉินผิงอันมองนาง

ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ความโกรธแค้นถูกฝังลึกเข้าถึงกระดูก เพียงแต่ว่าขณะที่นางคิดจะพุ่งตัวออกไปจากแผ่นหินสีเขียวก็เหมือนชนเข้ากับกำแพง กระเด็นหวือกลับมาด้านหลังดังปัง นางที่ล้มลงพยายามจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่กำแพงไร้รูปลักษณ์นั่นอีกครั้ง กางนิ้วทั้งห้าออก ใช้เล็บกรีดครูดประตูที่มองไม่เห็นอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าท่าทางเหมือนคนเสียสติ “ข้าตายแล้ว เจ้าก็ต้องไม่ได้ตายดี เจ้ามาทำตัวเสแสร้งอยู่ตรงนี้ สมควรตายที่สุด สมควรตายยิ่งกว่ากู้ช่านผู้นั้นเสียอีก…”

สุดท้ายนางทรุดลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน วัตถุหยินอีกแปดตนที่เหลือบนแผ่นหินสีเขียวต่างก็พากันถอยหลังก้าวหนึ่งแทบจะพร้อมเพรียงกัน

เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมาหยุดอยู่นอกแผ่นหิน ทรุดตัวลงนั่งยอง

นางเงยหน้าขึ้น “ข้าก็แค่ไม่อยากตาย ข้าอยากมีชีวิตอยู่ ข้าผิดหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ผิด”

เฉินผิงอันนั่งลงขัดสมาธิ เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าชื่อไป๋หลีฉ่าว ชื่อเดิมคือไป๋เหมยเอ๋อร์ ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตสาม มีชาติกำเนิดมาจากตรอกผิงจื่อของเขตการปกครองกูซูแคว้นสือหาว มีสัญญาหมั้นหมายมาตั้งแต่ยังเป็นทารก ปีที่เจ้าอายุสิบสี่ก็ถูกผู้ฝึกตนของห้องตกปลาเกาะชิงเสียค้นพบว่ามีคุณสมบัติในการฝึกตน จึงใช้เงินสามร้อยตำลึงซื้อตัวเจ้ามาจากพ่อแม่ สุดท้ายพ่อแม่ของเจ้าเปลี่ยนใจ ต้องการเงินเพิ่มอีกสามร้อยตำลึง ผลกลับถูกผู้ฝึกตนสังหารจนสิ้นต่อหน้าต่อตาเจ้า มาถึงเกาะชิงเสียก็ถูกผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหมายตา รับตัวไปเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อ เจ้ารังเกียจที่ชื่อไป๋เหมยเอ๋อร์นี้ไม่ไพเราะ จึงเปลี่ยนเป็นไป๋หลีฉ่าว ด้วยเรื่องนี้ยังจ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบสองเหรียญเพื่อเปลี่ยนชื่อที่ห้องควันธูป สุดท้ายตายด้วยน้ำมือของผู้ใต้บังคับบัญชากู้ช่านอย่างหนีชิวตัวนั้น สภาพศพอเนจอนาถน่าสังเวช เจ้ายังเหลือทิฐิและความยึดติดสูง สามจิตหกวิญญาณจึงสามารถรักษาไว้ได้เกินครึ่ง อีกทั้งยังถูกผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อของจวนจูเสียนพาตัวไปกักขังอยู่ในบ่อน้ำ คิดจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นทหารผีตนหนึ่ง สุดท้ายข้าพาเจ้าออกมาจากบ่อน้ำ เข้ามาอยู่ในตำหนักพญายมราช”

นางเช็ดน้ำตา “เจ้าสามารถจัดการข้าได้ตามใจชอบ แต่หากกู้ช่านไม่ตาย ข้าก็ตายตาไม่หลับ! ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ข้าก็จะจดจำเขากู้ช่านเอาไว้…”

สายตาของนางเด็ดเดี่ยว “ยังมีเจ้าอีกคน! เจ้ามีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่นักไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าไม่ทำลายจิตวิญญาณของข้าให้แหลกสลายไปตรงๆ เสียเลยเล่า เมื่อตามองไม่เห็นจิตใจของเจ้าก็จะไม่ได้หงุดหงิด!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ลุกขึ้นยืน

วัตถุหยินอายุน้อยที่มีสถานะเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อเช่นเดียวกันอีกตนหนึ่งเปิดปากเอ่ยขึ้นอย่างขลาดๆ “ต่อให้ต้องอยู่บนโลกด้วยร่างของวัตถุหยิน ข้าก็ยินดี อีกอย่างวันหน้าขอให้ไม่ต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานทางจิตวิญญาณอีกแล้วได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้สิ หากยังมีความปรารถนาอะไรอีก เมื่อคิดได้แล้วก็มาบอกข้า”

นางพลันลิงโลด นางที่รูปโฉมงดงามละมุนละไมยอบกายคารวะเฉินผิงอัน

สตรีวัตถุหยินตนหนึ่งที่เดิมทีมีสีหน้าเย็นชาชี้ไปยังตำหนักพญายมราชที่วางอยู่บนโต๊ะ “ข้าอยากไปเกิดใหม่ ไม่ต้องมาถูกกักขังอยู่ในสถานที่บ้าๆ แบบนี้อีก เจ้าทำได้ไหม?”

เฉินผิงอันกล่าว “ปล่อยให้เจ้าไปจุติใหม่ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าเจ้าจะได้ไปเกิดเป็นคนอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติหน้าจะได้เสวยสุขหรือไม่ ข้าก็ยิ่งไม่อาจรับรองได้ ข้าได้แต่รับปากเจ้าว่า เมื่อถึงเวลานั้นจะประกอบพิธีกรรมใหญ่ของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าให้เจ้าพร้อมกับวัตถุหยินที่เลือกแบบเดียวกับเจ้า ช่วยขอพรให้แก่พวกเจ้า นอกจากนี้ข้ายังจะพยายามเพิ่มคุณความดีของพวกเจ้าตามกฎเกณฑ์ของบนภูเขา ยกตัวอย่างเช่นข้าจะใช้ชื่อของพวกเจ้าไปตั้งโรงทานแจกอาหารช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากไร้ของแคว้นสือหาวที่เวลานี้เต็มไปด้วยสงครามวุ่นวาย เรื่องที่ข้าสามารถทำได้มีไม่น้อย”

นางอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แล้วก็คล้ายจะเปลี่ยนความคิด “ขอข้าคิดดูอีกหน่อย ได้ไหม?”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “แน่นอน”

นางพลันถามว่า “เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าข้าชื่ออะไร?”

เฉินผิงอันตอบเบาๆ “รู้ อีกอย่างข้ายังรู้ว่ากลอนคู่ปีใหม่ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญในจวนสมัยก่อนล้วนเป็นลายมือของเจ้า ข้ายังตั้งใจไปหามาโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่จวนซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นจวนชุนถิงแห่งนั้นล้วนเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว”

น้ำตานางไหลพรากทันที

เฉินผิงอันกล่าว “ขอโทษนะ”

นางไม่พูดไม่จา เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว

วัตถุหยินหนึ่งในนั้นที่ตอนแรกมีสีหน้าหวาดหวั่นมากที่สุดคือบุรุษวัยกลางคนที่ทำหน้าที่เป็นนักการซึ่งว่ากันว่าเคยชินที่จะค้อมเอวพูดกับคนอื่นมากที่สุด เขาเอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านผู้เฒ่าเทพเซียน ข้าชื่อเจี่ยเกา ท่านไม่รู้ชื่อของข้าน้อยก็ไม่เป็นไร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจดจำด้วย ข้าแค่อยากจะไปจุดธูปหน้าหลุมศพของพ่อแม่ข้า แต่ว่ามันค่อนข้างไกล ไม่ได้อยู่ที่แคว้นสือหาว แต่อยู่ที่แคว้นชุนหัวแคว้นเล็กใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋ง หากท่านเทพเซียนรังเกียจว่ายุ่งยากก็ช่างเถิด ข้าขอแค่ว่าหากท่านเทพเซียนสามารถจัดพิธีกรรมทางศาสนาได้จริงก็ช่วยสะสมบุญในปรโลกให้พวกเราสักหน่อย จะได้ไปเกิดใหม่อย่างราบรื่น แล้วข้าจะไม่คิดแค้นกู้ช่านอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ารู้บ้านเกิดของเจ้า แล้วก็จะไปที่แคว้นชุนหัวด้วย ถึงเวลานั้นจะเชิญเจ้าออกมาอีกครั้ง”

เจี่ยเกาพลันร้องไห้ไม่เป็นเสียง ค้อมเอวเอ่ยขอบคุณ “ค่าใช้จ่ายในการไปจุดธูปคงต้องรบกวนให้ท่านเทพเซียนสิ้นเปลืองเงินทองแล้ว ขอแค่ชาติหน้ามีโอกาส ข้าจะต้องใช้คืนแน่”

เฉินผิงอันหมุนตัวไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าอึกใหญ่ แล้วถึงได้เดินกลับไปยังจุดที่ห่างไปไกล “เพียงเท่านี้หรือ? มีแค่นี้เองหรือ?”

วัตถุหยินชายวัยกลางคนเช็ดหน้าลวกๆ “แค่นี้ก็พอแล้ว!”

ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก พยายามขึงหน้าให้นิ่งตึง ไม่เอ่ยอะไร

แล้วจู่ๆ วัตถุหยินตนหนึ่งก็ถูมือหัวเราะร่า เขาคือชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง เอ่ยประจบขึ้นว่า “ท่านเทพเซียน ข้าไม่ขอให้ได้ไปเกิดใหม่ แล้วก็ไม่กล้าให้ท่านเทพเซียนต้องไปทำเรื่องที่เปลืองแรงเช่นนั้น ข้ามีแค่ความปรารถนาเล็กๆ อย่างหนึ่ง ทั้งไม่เปลืองเงินเกล็ดหิมะของท่านเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว แล้วก็ไม่ต้องให้ท่านเทพเซียนต้องเปลืองแรงใจด้วย”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “จ้าวสื่อ เจ้าลองว่ามาสิ”

ชายที่ตอนมีชีวิตอยู่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลน้อยของจวนชุนถิงชำเลืองตามองวัตถุหยินที่เป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายตนข้างกาย แล้วยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ความปรารถนาเดียวของข้าน้อยก็คือได้อยู่ในจวนตระกูลเซียนหลังนั้นของท่านเทพเซียนตลอดเวลา จากนั้นก็สามารถทำเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือได้ดูแลแม่นางเปิดสาบเสื้อ เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องการมากกว่าเดิมเล็กน้อย นั่นคืออยากไปเยือนเรือนพักของพวกนางเพื่อทำเรื่องของ…บุรุษบ้าง ตอนที่มีชีวิตอยู่ได้แต่แอบมองไม่กี่ครั้ง ไม่กล้ามองให้นานกว่านั้น ตอนนี้ขอท่านเทพเซียนโปรดเมตตาข้าด้วยเถิด ได้หรือไม่? หากไม่ได้…ข้าก็คงตายตาไม่หลับจริงๆ”

แม่นางเปิดสาบเสื้อที่เปิดปากเป็นคนแรก เด็กสาวที่มีชื่อว่าไป๋หลีฉ่าวคลี่ยิ้มเย็นชา

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กระตุกมุมปาก “ได้สิ เรื่องเล็กแค่นี้เอง”

บุรุษก้มหน้าค้อมเอว “ท่านเทพเซียนช่างปรีชา”

เฉินผิงอันไม่ต้องเปิดสมุดบัญชีเล่มนั้นก็เอ่ยเนิบช้าว่า “จ้าวสื่อ เจ้าเองก็เหมือนบรรพบุรุษที่ถือกำเนิดขึ้นในเกาะชิงเสีย เป็นผู้ดูแลระดับสองของจวนเติงฮวา นอกจากคอยดูแลเรื่องอาหารการกินที่อยู่อาศัยและเงินเดือนของแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายสิบคนแล้ว ทุกปียังมีโอกาสออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนสองครั้ง ไปเยือนชายแดนรอบด้านซึ่งรวมถึงแคว้นสือหาว เพื่อค้นหาลูกศิษย์และนักการมาให้แก่จวนเติงฮวาของเกาะชิงเสีย จากบันทึกลับที่อยู่ในห้องควันธูป ประวัติในชีวิตของเจ้ามีเพียงแค่เรื่องเดียวที่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า นั่นก็คือเจ้าเคยเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นของนครอวิ๋นโหลว จึงอาศัยชื่อเสียงและเส้นสายของเกาะชิงเสียไปจ้างผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของนครอวิ๋นโหลวให้ไปรังแกย่ำยีนางจนตาย แล้วนำศพไปโยนทิ้งในทะเลสาบ”

บุรุษมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ท่านเทพเซียนพูดล้อเล่นแล้ว”

เฉินผิงอันก้าวเข้าไปในแผ่นหินสีเขียว ก้าวเดียวก็คว้าลำคอของวัตถุหยินตนนี้ไว้ได้ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ล้อเล่น? ข้าว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นที่ไม่ตลกเลยแม้แต่น้อย”

ลำคอถูกห้านิ้วของเฉินผิงอันบีบแน่น บุรุษวัตถุหยินก็รู้สึกเหมือนถูกต้มอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด “เฉินผิงอัน! เจ้าไม่รักษาคำพูด! ข้าขอสาปแช่งให้เจ้า…”

เฉินผิงอันชูแขนขึ้นสูง ทำให้เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ ไม่เปิดโอกาสให้วัตถุหยินที่ดิ้นรนก่อนตายตนนี้พูดได้แม้เพียงครึ่งคำ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “รักษาคำพูดสิ ชาติหน้าเจ้าก็อาศัยความสามารถเหมือนตอนที่รังแกผู้ฝึกตนหญิงที่มาเที่ยวนครอวิ๋นโหลวผู้นั้นไปเกิดในครรภ์ที่ดีก็แล้วกัน ส่วนหลังจากที่จิตวิญญาณของเจ้าแหลกสลายแล้ว เจ้าจะยังมีโอกาสนี้หรือไม่ ข้าก็คงไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้แล้ว ใช่แล้ว เจ้ายังจำชื่อของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นได้ไหม? ข้าจำได้ นางชื่อเว่ยชิงอวี้”

วัตถุหยินในมือของเฉินผิงอันตนนั้นระเบิดดังปัง แล้วแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีที่กระจายไปสี่ทิศ

เฉินผิงอันเดินออกมาจากหินเขียว ไออยู่สองสามที พอเดินกลับไปยังหลังโต๊ะหนังสือแล้วก็มองมาทางแผ่นหินเขียวอีกครั้ง

มีหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่แรกเริ่มสุดคือวัตถุหยินสองตนที่มีสีหน้าลอบยินดีและกังขา ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงได้ลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับเขา

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เฉินผิงอันเปิดประตูเดินออกจากห้อง

เจิงเย่มายืนอยู่หน้าประตูแล้ว พอมองเห็นเขาก็หันหน้ามาเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนดีใจ “ท่านเฉิน หิมะตกแล้ว! หิมะใหญ่เท่าขนห่านเลย! นี่เป็นหิมะใหญ่ครั้งแรกในปีนี้ของทะเลสาบซูเจี่ยนเรา”

เพียงแต่ว่าไม่นานเจิงเย่ก็หุบปาก รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย

สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่อย่างท่านเฉิน

มีหิมะตกลงมาในโลกมนุษย์ จะตกหนักหรือเบา มีความหมายอะไรด้วยหรือ?

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น

สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ

มองไปเห็นแต่หิมะสีขาวโพลน

ทว่าตอนที่หิมะละลาย นั่นต่างหากจึงจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นที่สุด หลังจากหิมะละลายแล้วก็จะยิ่งทำให้ทางเดินกลายเป็นดินโคลน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version