Skip to content

Sword of Coming 442

บทที่ 442 นกหายสาบสูญไปในโพรงน้ำแข็ง

ต่อให้เป็นคนเก่าแก่ของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างจางเย่ก็ยังคิดไม่ถึงว่าหิมะครั้งนี้จะไม่เพียงแต่ตกหนัก ยังตกนานถึงเพียงนี้

พลังอำนาจที่พุ่งมาอย่างดุดันขุมนั้นราวกับจะชักดึงน้ำในทะเลสาบซูเจี่ยนให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งฉื่อ

หิมะตกหนักเป็นลางบอกว่าผลเก็บเกี่ยวจะอุดมสมบูรณ์

นี่ไม่เพียงแต่เป็นคำกล่าวในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนของทะเลสาบซูเจี่ยนก็ใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน ฝนหิมะและน้ำค้าง น้ำที่ไร้ต้นตอเหล่านี้ สำหรับปราณวิญญาณและโชคชะตาน้ำของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วย่อมต้องมีแต่ผลประโยชน์ เกาะมากมายคงนึกอยากให้หิมะใหญ่นี้ตกลงมาใส่หัวตัวเองคนเดียวเท่านั้น เพราะที่ตกลงมาไม่ใช่เกล็ดหิมะ แต่เป็นเงินเกล็ดหิมะ เงินเทพเซียนกองใหญ่

ในความเป็นจริงแล้วได้มีผู้ฝึกตนเซียนดินจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นไปร่ายเวทอภินิหารบนท้องฟ้า ใช้ความสามารถของใครของมันมาช่วงชิงผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงให้แก่เกาะของตัวเอง

วันตงจื้อนี้ (หรือวันเหมายัน เป็นวันที่ซีกโลกเหนือเส้นศูนย์สูตรมีกลางคืนยาวที่สุดและกลางวันสั้นที่สุด) ตามประเพณีท้องถิ่นแล้ว จวนชุนถิงจะต้องห่อเกี๊ยว

หนึ่งวันก่อนหน้านั้น ในที่สุดหนีชิวน้อยก็สามารถระงับอากาศบาดเจ็บกลับขึ้นมาบนฝั่งได้อีกครั้ง และวันนี้ก็ถูกกู้ช่านใช้ให้มาตามเฉินผิงอันไปกินเกี๊ยวที่จวน ตอนที่สั่งความ กู้ช่านกำลังง่วนช่วยงานมารดาของตัวเองอยู่ในห้องครัว ตอนนี้ห้องครัวของจวนชุนถิงใหญ่กว่าบ้านบรรพบุรุษของทั้งกู้ช่านและเฉินผิงอันในตรอกหนีผิงสองหลังรวมกันเสียอีก

ระหว่างที่เดินอยู่บนทางภูเขา หนีชิวน้อยก็ประหลาดใจมากเหมือนกัน กู้ช่านบอกว่าเฉินผิงอันอาจจะมอบของสิ่งหนึ่งให้กับตน จะเป็นอะไรกันแน่นะ?

ได้ยินมาว่าช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้เฉินผิงอันเก็บตัวเงียบ แทบไม่ได้ก้าวเท้าออกจากเรือน บางครั้งที่ปรากฎตัวก็แค่เปิดประตูออกมองทัศนียภาพของทะเลสาบในวันที่หิมะตกหนักเท่านั้น ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วทะเลสาบซูเจี่ยน

นางยังคงหวาดกลัวเฉินผิงอันอยู่เล็กน้อย

ครั้งแรกที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในนครน้ำบ่อ เป็นความหวาดกลัวทางสัญชาตญาณที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของตัวเอง หลังจากเฉินผิงอันเปิดศึกกับหลิวเหล่าเฉิง หนีชิวน้อยที่เฉินผิงอันตั้งชื่อให้ว่าถานเซวี่ยก็ยิ่งหวาดกลัวเข้าไปใหญ่

นางยังคงชื่นชอบเจ้านายอย่างกู้ช่านจากใจจริง แล้วก็รู้สึกโชคดีมาโดยตลอดที่ปีนั้นเฉินผิงอันมอบตนให้กับกู้ช่าน

หากอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ทุกวันนี้นางคงต้องสงบเสงี่ยมสำรวมตน

พอมาถึงเรือนหลังนั้น นางก็เคาะประตูเบาๆ

น้ำเสียงแหบพร่าของเฉินผิงอันดังมาจากข้างใน “ประตูไม่ได้ลงกลอน เข้ามาเถอะ ระวังอย่าเหยียบหินสีเขียวให้เสียหาย”

นางเปิดประตู ไอความเย็นที่สะสมมาจากหิมะซึ่งตกกระหน่ำอยู่นอกประตูพากันกรูเข้ามาในห้อง

แรกเริ่มนางยังไม่ทันสังเกต นางรู้สึกชื่นชอบและใกล้ชิดกับอากาศหนาวเย็นของในสี่ฤดูกาลมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่เมื่อนางเห็นว่าเฉินผิงอันที่นั่งหน้าซีดขาวอยู่หลังโต๊ะเริ่มไอ นางก็รีบปิดประตูลง เดินอ้อมแผ่นหินสีเขียวที่ใหญ่เหมือนผืนพรมในห้องหนังสือของจวนกู้ช่าน ขยับเข้าไปยืนใกล้โต๊ะหนังสืออย่างขลาดกลัว “นายท่าน กู้ช่านให้ข้ามาเรียกท่านไปกินเกี๊ยวที่จวนชุนถิง”

เฉินผิงอันหยุดมือที่เขียนพู่กันลงแล้ว บนหัวเข่าวางเตาถ่านอุ่นมือที่ถักด้วยไม้ไผ่ล้อมอ่างทองแดงไว้ตรงกลางซึ่งเขาทำเอง ฝ่ามือของมือทั้งสองข้างล้วนต้องอาศัยไอร้อนจากถ่านมาขับไล่ความหนาว เอ่ยขออภัยว่า “ข้าคงไม่ไปแล้ว เจ้าช่วยขอโทษกู้ช่านกับท่านอาหญิงแทนข้าสักคำ”

นางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากท่านกังวลกับลมหิมะที่พัดอยู่ข้างนอก ถานเซวี่ยสามารถช่วยท่านได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด”

นางยังอยากจะพูดอะไรต่อ เพียงแต่เมื่อนางมองดวงตาคู่นั้นของเฉินผิงอันก็ล้มเลิกความคิดทันที

เฉินผิงอันถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงตั้งชื่อเจ้าว่าถานเซวี่ย?”

นางส่ายหน้า

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “น้ำแข็งและถ่านไม่อาจอยู่ร่วมเตา นี่คือหลักการที่แม้แต่เด็กน้อยก็ยังเข้าใจ ถูกไหม?”

นางพยักหน้า

เฉินผิงอันกล่าวต่อว่า “ดังนั้นน้ำแข็งและถ่าน (ถานเซวี่ย) อยู่ร่วมเตา ทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกันจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุด นี่คือเหตุผลข้อหนึ่ง และยังมีอีกเหตุผลที่เกิดจากความเห็นแก่ตัวของข้า เพราะเมื่อพบเจอเจ้าก็จะเป็นการเตือนตัวข้าว่า การมอบเจ้าให้กับกู้ช่านในอดีตนั้นถือเป็นการกระทำที่เรียกว่าส่งถ่านท่ามกลางหิมะจริงๆ ถ้าหาก…”

เฉินผิงอันหยุดพูด ยกมือข้างหนึ่งที่วางไว้บนเตาอุ่นมือขึ้นมาหยิบมีดแกะสลักที่วางไว้บนโต๊ะ

การกระทำนี้ทำให้ถานเซวี่ยที่เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดซึ่งแม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ยังอดหนังตากระตุกไม่ได้

บนโต๊ะวางดาบไม้ไผ่และฝักไม้ไผ่ที่เพิ่งจะทำเสร็จเมื่อคืนวาน เดิมทีคิดจะให้เจิงเย่ที่ชอบทัศนียภาพยามหิมะตกไปที่เกาะไม้ไผ่ม่วงเพื่อขอหรือซื้อไม้ไผ่มาเพิ่มสักลำ เพียงแต่พอคิดว่าดาบไม้ไผ่ต้องใช้ไผ่เขียวถึงจะดูดีกว่า หากห้อยดาบและฝักที่ทำจากไม้ไผ่ม่วงไว้ตรงเอวสีสันจะดูฉูดฉาดไปสักหน่อย เลยเปลี่ยนความคิด ให้เจิงเย่ไปฟันไม้ไผ่เขียวลำหนึ่งของเกาะชิงเสียกลับมา เฉินผิงอันทำดาบและฝักดาบทั้งคืน เศษชิ้นส่วนไม้ไผ่ที่เหลืออีกมากก็ถูกเฉินผิงอันนำมาเหลาเป็นแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ หนึ่งกอง บนโต๊ะจึงวางแผ่นไม้ไผ่ว่างเปล่าที่ไม่ได้สลักตัวอักษรใดๆ ลงไปอยู่หลายแผ่น เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่ก่อนหน้านี้ที่สลักตัวอักษรเอาไว้ แผ่นไม้ไผ่ที่ทำขึ้นใหม่บนเกาะชิงเสียเหล่านี้ไม่ได้มีขนาดเท่ากันทั้งหมด แต่สั้นยาวไม่เท่ากัน หนาบางแตกต่างกันไป

เวลานี้เฉินผิงอันหยิบมีดแกะสลักเล่มที่เจ้าของร้านในเมืองหลวงต้าสุยแถมให้ขึ้นมา แล้วเลือกเอาแผ่นไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดแผ่นหนึ่งมา ใช้มีดปาดตรงกลางแผ่นไม้ไผ่เบาๆ แบ่งแผ่นไม้ไผ่ออกเป็นสองท่อนที่สั้นและยาวต่างกัน จากนั้นก็บั่นแผ่นไม้ไผ่ส่วนที่ยาวครั้งแล้วครั้งเล่า ช่องว่างระหว่างรอยบั่นจึงมองดูเหมือนปล้องของลำไม้ไผ่เขียว

ในตรอกเล็กที่ควันจากการหุงหาอาหารลอยอบอวล ข้างคันนาที่แสงแดดเหนือศีรษะแผดแรงสูง ระหว่างบ้านบรรพบุรุษสองหลังของตรอกหนีผิง จวนชุนถิงที่โอ่อ่ามลังเมลือง ทะเลสาบซูเจี่ยนสถานที่ที่ไร้กฎเกณฑ์

แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเฉินผิงอันกำลังทำอะไรหรือกำลังคิดอะไรส่งเดชอยู่ แต่พอเห็นภาพนี้ถานเซวี่ยก็ยังอดอกสั่นขวัญผวาไม่ได้

ทายาทของมังกรที่แท้จริงที่ต่อให้จะเผชิญหน้ากับหลิวเหล่าเฉิงก็ยังไร้ซึ่งความหวาดกลัวตนนี้เหมือนเด็กทำผิดที่กำลังจะถูกลงโทษ เผชิญหน้ากับอาจารย์ในโรงเรียนที่กำลังคิดบัญชีย้อนหลังกับตน รอจะโดนไม้เรียวฟาดลงบนฝ่ามือ

เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น แค่จ้องไปยังแผ่นไม้ไผ่ที่ถูกบั่นแล้วบั่นอีกแผ่นนั้น “บ้านเกิดของพวกเรามีคำสุภาษิตเก่าแก่ประโยคหนึ่ง บอกว่ารากบัวไม่ข้ามสะพาน ต้นไผ่ไม่ข้ามคูน้ำ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”

ถานเซวี่ยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู สติปัญญายังไม่ถูกเปิด พอมาถึงเกาะชิงเสีย บ่าวถึงเพิ่งจะจดจำเรื่องราวได้อย่างแท้จริง ภายหลังตอนอยู่ในจวนชุนถิงก็เคยได้ยินมารดาของกู้ช่านพูดถึงอยู่บ้าง”

ในที่สุดเฉินผิงอันก็เงยหน้า ยิ้มกล่าวว่า “นิสัยเหมือนกับกู้ช่าน แต่ความสามารถด้านการพูดจาแฝงความนัยเช่นนี้ คงเรียนรู้มาจากท่านอาหญิงสินะ?”

ถานเซวี่ยเงียบงัน ขนตากระพือน้อยๆ ท่าทางน่าสงสาร

เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “กับกู้ช่านเอง มีสองครั้งแล้วที่ข้าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ส่วนทางฝั่งของท่านอาหญิง ก็ถือว่าชดใช้คืนไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เจ้าแล้ว หนีชิวน้อย”

ถานเซวี่ยเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสีทองที่ตั้งตรงคู่นั้นจ้องนักบัญชีที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเขม็ง

ปราณสังหารในห้องท่วมท้นเข้มข้นจนเป็นเหตุให้ลมพายุนอกประตูพัดดังหวีดหวิว

ตอนนี้ตนอ่อนแออย่างยิ่ง แต่เขาล่ะดีกว่ากันสักเท่าไหร่เชียว?! เหมือนคนขี้โรคยิ่งกว่าตนเสียอีก!

หากเกี่ยวพันกับความเป็นความตายและมหามรรคา นางไม่เคยเลอะเลือนแม้แต่น้อย นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว นางยอมเป็นวัวเป็นม้าติดตามรับใช้เฉินผิงอันอย่างว่านอนสอนง่าย ปฏิบัติต่อเขาดุจเจ้านายครึ่งตัว มีแต่ความเคารพนอบน้อมให้แก่เขา

ที่นางเลือกอยู่กับกู้ช่านก็ไม่ใช่เพราะถูกชะตากัน มหามรรคาสอดคล้องกันมาตั้งแต่กำเนิดหรอกหรือ

เฉินผิงอันไอหนึ่งที ก่อนหมุนข้อมือแล้ววางเชือกพันธนาการปีศาจไว้บนโต๊ะ เอ่ยเย้ยหยันว่า “ทำไม คิดจะขู่ข้า? ไม่สู้มาลองดูจุดจบของเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้าหน่อยไหม?”

ถานเซวี่ยมองปราดเดียวก็รู้ความเป็นมาของเชือกสีทองเส้นนั้นทันที นางรู้สึกหวาดผวาราวกับขวัญจะแตกกระเจิง

ผู้ฝึกตนอิสระคนอื่นๆ ในทะเลสาบซูเจี่ยน อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดใหญ่อย่างหลิวจื้อเม่าเลย ต่อให้เป็นเซียนดินโอสถทองอย่างอวี๋กุ้ยที่ได้เห็นสมบัติอาคมชิ้นนี้ก็ไม่มีทางรู้สึกหวาดกลัวเช่นนาง

เฉินผิงอันวางมีดแกะสลักในมือลง หยิบเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดของเจียวหลงเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลงขึ้นมา เดินอ้อมโต๊ะสาวเท้าเข้าหานางช้าๆ “แน่นอนว่าข้าไม่ได้เป็นคนสังหารเจียวเฒ่าก่อกำเนิดตัวนี้กับมือของตัวเอง หรือแม้แต่เชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้ก็ยังเป็นคนอื่นที่ขอให้สหายช่วยหลอมให้ข้าที่ภูเขาห้อยหัว ผู้ที่ฆ่าเจียวเฒ่าคือเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่ง คนที่รับหน้าที่ส่งต่อนำไปให้คนหลอมก็คือเซียนกระบี่ใหญ่อีกคนหนึ่ง เจียวเฒ่าที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก ใกล้จะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบเต็มที กลับต้องมามีจุดจบเช่นนี้ กู้ช่านอาจจะไม่รู้ แต่เจ้าก็ไม่รู้หรือว่าสำหรับเจ้าแล้ว ทะเลสาบซูเจี่ยนเล็กเกินไป และมีแต่จะยิ่งเล็กลงทุกที?”

เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้านาง “เจ้าช่วยกู้ช่านฆ่าคนนั้นฆ่าคนนี้ ฆ่าอย่างสาแก่ใจ ฆ่าอย่างเต็มคราบ เพื่ออะไร? แน่นอนว่ามหามรรคาของพวกเจ้าสองคนเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น นอกจากที่เจ้าจะไม่ทำร้ายกู้ช่านแล้ว ขอแค่คล้อยไปตามจิตดั้งเดิมของพวกเจ้าทั้งสองฝ่าย หากไม่นับรวมการทำเรื่องไร้สาระไปวันๆ เจ้าเองก็อยากคิดจะช่วยให้กู้ช่านหยัดยืนได้อย่างมั่นคง จากนั้นค่อยช่วยหลิวจื้อเม่ากับเกาะชิงเสียฮุบกลืนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมาอย่างโง่งม ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้กินโชคชะตาน้ำครึ่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน ถือเป็นการเดิมพันใหญ่ของเจ้าครั้งหนึ่ง และนี่จะกลายมาเป็นรากฐานในการหยัดยืนยามที่ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบไม่ใช่หรอกหรือ?”

มือข้างที่ถือเชือกพันธนาการปีศาจของเฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง จิ้มลงบนหน้าผากของนางอย่างแรง “ถ้วยใหญ่แค่ไหนก็บรรจุข้าวได้เท่านั้น หลักการเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ?! ไม่กลัวว่าข้าจะตบเจ้าให้ตายจริงๆ หรือ?!”

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ตัวสั่นเทิ้ม นึกอยากจะยื่นกรงเล็บออกไปควักหัวใจของเจ้าคนขี้โรคที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยิ่งนัก

แต่นางไม่กล้า

หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญมากก็คืออาวุธกึ่งเซียนที่ตอนนี้ห้อยอยู่บนผนังเล่มนั้น

ไม่ใช่ความผูกพันหรือความสัมพันธ์ควันธูปอะไร

ถึงขั้นที่ว่าในส่วนลึกของหัวใจนางยังสัมผัสได้ถึงลมปราณแปลกประหลาดขุมหนึ่งที่สามารถสยบกำราบนางได้ตั้งแต่เกิดจากตัวของเฉินผิงอัน

แรกเริ่มนางเข้าใจผิดคิดว่าสาเหตุเป็นเพราะโชควาสนาแห่งมหามรรคาในปีนั้น

ภายหลังนางเพิ่งตระหนักรู้ว่าไม่ใช่แค่เท่านั้น

นี่เกี่ยวพันกับโลกทัศน์และอายุ สำหรับเรื่องนี้นางเทียบกับคนผู้หนึ่งที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันไม่ติด นั่นก็คืออู๋อี้บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยางแคว้นหวงถิงท่านนั้น อู๋อี้เพิ่งจะเป็นเซียนดินโอสถทองก็สามารถมองทะลุไปเห็นความจริงในปราดเดียวว่าเป็นเพราะบนร่างของเฉินผิงอันมีผลกรรมจากการสังหารเจียวหลงพัวพันอยู่ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงเป็นผลกรรมที่หนาหนักขนาดนี้ อู๋อี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ คนผู้เดียวที่น่าจะเดาความเป็นมาคร่าวๆ ได้ก็คือบิดาของนาง เจียวเฒ่าอายุหมื่นปีที่ไปรับตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ที่ภูเขาพีอวิ๋นท่านนั้น น่าเสียดายก็แต่เขาไม่มีทางจะมาพูดให้บุตรสาวคนนี้เข้าใจอย่างชัดเจน

เฉินผิงอันจิ้มหน้าผากนางครั้งแล้วครั้งเล่า “แม้แต่จะเป็นคนเลวที่ฉลาดอย่างไรก็ยังไม่รู้ แล้วนึกจริงๆ หรือว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน?! เจ้าลองไปดูที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ศึกที่มีขึ้นทุกหนึ่งร้อยปี มีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินต้องตายไปกี่มากน้อย?! เจ้าเคยเห็นกระบี่ของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะหรือไม่? เจ้าเคยเห็นอาเหลียงที่ถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ต่อยหนึ่งหมัดร่วงกลับมาที่ใต้หล้าไพศาล แล้วเอาคืนด้วยการต่อยหนึ่งหมัดให้เต๋าเหล่าเอ้อร์กลับเข้าไปที่ใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่? เจ้าเคยเห็นจั่วโย่วใช้กระบี่เดียวทำลายร่องเจียวหลงให้ราบเป็นหน้ากลองไหม?! เจ้าเคยเห็นตู้เม่าขอบเขตบินทะยานผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของใบถงทวีปไหมว่าเขากายดับมรรคาสลายตายไปอย่างไร?!”

เฉินผิงอันหดมือกลับมา ไอไม่หยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าแค่ได้พบหลิวเหล่าเฉิงที่เป็นขอบเขตหยกดิบคนเดียวก็เกือบต้องตายแล้ว”

นางอับอายจนพานเป็นความโกรธ กัดฟันเข่นเขี้ยว

จิตสังหารในดวงตาสีทองคู่นั้นยิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที โดยที่นางไม่คิดจะปกปิดแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก จ้องทายาทของมังกรที่แท้จริงซึ่งมีชีวิตราบรื่นมาโดยตลอดตรงหน้า “เพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าและกู้ช่านรู้สึกว่าฆ่าคนไม่ผิด หากตนถูกฆ่าก็ตายอย่างไม่เสียดายงั้นหรือ? คนอย่างกู้ช่าน เจียวหลงอย่างเจ้า และยังมีคนที่มองดูเหมือนจะฉลาดอย่างมารดาของกู้ช่าน หากข้าไม่รู้จักพวกเจ้า รู้หรือไม่ว่าต่อให้ข้าเดินทางผ่านทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้ข้ามีตบะเพียงน้อยนิดแค่นี้ ต่อให้ไม่ต้องต่อยออกไปแม้แต่หมัดเดียว ไม่ต้องส่งกระบี่ออกไปแม้แต่ครั้งเดียว แค่ดื่มชา คุยเล่นกับพวกหลิวจื้อเม่า หลิวเหล่าเฉิง เจ้าเกาะลี่ซู่ ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาเพียงไม่กี่ปีที่ข้าอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน พวกเจ้าก็สามารถตายกันไปได้กี่ครั้งแล้ว?”

นางหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าซะเลยสิ? ทำไมไม่ฆ่าล่ะ?”

และดูเหมือนเพียงชั่วพริบตานางก็พลันอารมณ์ดี จึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเฉินผิงอันสามารถเดินมาได้จนถึงวันนี้ก็เพราะเจ้าฉลาดกว่ากู้ช่านมากนัก จิตใจของเจ้าละเอียดอ่อนดุจเส้นผม ทุกก้าวล้วนมีการวางแผน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ส่วนที่เล็กละเอียดที่สุดในใจคน เจ้าก็ต้องสืบเสาะให้รู้แน่ชัด แต่แล้วจะอย่างไรเล่า? มหามรรคาของเจ้าก็พังทลายเสียหายอยู่ดีไม่ใช่หรือ? เฉินผิงอันเจ้ารู้จริงๆ หรือไม่ว่าคืนนั้นกู้ช่านรู้สึกอย่างไร? เจ้าบอกว่าเกิดข้อผิดพลาดตอนฝึกตนเลยกระอักเลือด กู้ช่านไม่ฉลาดเท่าเจ้า แต่เขาก็ไม่ได้โง่จริงๆ เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าเจ้ากำลังโกหก? จะดีจะชั่วข้าก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิด จะมองไม่ออกว่าร่างเจ้ามีปัญหาใหญ่เทียมฟ้าเลยงั้นหรือ? เพียงแต่ว่ากู้ช่านเป็นคนใจอ่อน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กตัวแค่นั้น เลยไม่กล้าถาม ส่วนข้าก็แค่ไม่อยากจะพูดถึง พลังของเจ้าถดถอยลงหนึ่งส่วน ข้าก็กลัวเจ้าน้อยลงหนึ่งส่วน และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าข้าคิดผิดไปครึ่งหนึ่ง ไม่ควรคิดว่าเจ้าเป็นแค่คนที่อาศัยสถานะและภูมิหลังจากคนอื่น โอ้โห เป็นอย่างที่ท่านเฉินพูดจริงๆ ข้ามันโง่เง่านัก ไม่ฉลาดเอาซะเลย ยังดีที่ไม่โชคร้ายจนเกินไป ยังเดาถูกครึ่งหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย เจ้าถึงขนาดอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวขัดขวางหลิวเหล่าเฉิงไว้ได้ ข้ามีชีวิตรอดมาได้ แต่เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งหนึ่งมลายหาย สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแทน ตอนนี้ข้าสามารถตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ก็เหมือนกับที่ตบให้พวกมดตัวน้อยที่ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังเอามากินเป็นอาหารไม่ได้พวกนั้นตาย ไม่ต่างกันเลยสักนิด”

เฉินผิงอันโยนเชือกพันธนาการปีศาจไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ฝ่ามือสองข้างแนบประกบเข้าหากัน เขาเองก็ยิ้มเหมือนกัน “แบบนี้สิถึงจะถูก คำพูดเหล่านี้หากไม่พูดออกมา ขนาดข้ายังรู้สึกเหนื่อยแทนเจ้า เจ้าเสแสร้งได้ไม่ดีพอ ส่วนข้าก็มองเห็นความจริงอย่างชัดเจน เจ้าและข้าต่างก็เหนื่อยใจ ตอนนี้อันที่จริงพวกเราอยู่บนเส้นเดียวกันแล้ว”

นางหรี่ตาลง “เลิกแกล้งขู่ให้ผู้อื่นกลัวสักทีเถอะ”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา กางนิ้วทั้งห้าออก “บวกรวมเจิงเย่ เจ้าและข้า แค่พวกเราสองคน อันที่จริงก็ถือว่าสามารถดึงออกมาได้เดี่ยวๆ กลายเป็นเส้นที่ห้าแล้ว”

นางหัวเราะหยัน “เฉินผิงอัน คงไม่ใช่ว่าเจ้าคบค้าสมาคมกับพวกวัตถุหยินเหล่านั้นมากเข้าก็เลยเสียสติ ธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้วกระมัง? ก็เลยไม่คิดจะหันหลังกลับ ถือโอกาสนี้เปลี่ยนเข้าสู่วิถีมารมันเสียเลย? ทำไม จิตใจทะเยอทะยานเทียมฟ้า นึกอยากจะเลียนแบบเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้น โดยเริ่มจากการเป็นผู้ปกครองร่วมของทะเลสาบซูเจี่ยนก่อน? ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ท่านเฉินรู้จักบุคคลที่ร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ อาศัยพวกเขา มีอะไรที่ทำไม่ได้เล่า หนีชิวน้อยที่ไม่เข้าตาท่านอย่างข้าไม่ใช่ที่พึ่งยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาสูงตระหง่านที่อยู่เบื้องหลังท่านเสียด้วย แค่พวกเขาขยับนิ้วเดียวก็บดขยี้ข้าให้ตายได้แล้ว”

เฉินผิงอันหัวเราะ เขาคิดว่าคำพูดเหล่านี้น่าสนใจมากจริงๆ อีกทั้งยังเป็นการมอบความเป็นไปได้ในการรับรู้อย่างหนึ่งให้แก่ตนด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เส้นนี้ของทั้งสองฝ่ายจึงยิ่งชัดเจนมากขึ้น

พอเขาหัวเราะ บรรยากาศตึงเครียดในห้องจึงผ่อนคลายลงหลายส่วน

เฉินผิงอันผายมือบอกให้นางนั่งลงคุยกัน ส่วนเขาหมุนตัวเดินตรงไปที่โต๊ะหนังสือ

เปิดเผยแผ่นหลังให้นางทั้งอย่างนี้

นางทั้งไม่ได้ลงมือ แล้วก็ไม่ได้ถอยหนี “ในเมื่อท่านเฉินเป็นบัณฑิตที่ชอบรักษากฎเกณฑ์ถึงเพียงนี้ ถ้าอย่างนั้นข้ายืนพูดนั่นแหละดีแล้ว”

เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ หยิบเตาอุ่นมือขึ้นมาถือไว้ในมือ จากนั้นก็ถูมือสองข้างเข้าด้วยกันแล้วเป่าลมใส่ฝ่ามือ “จะเล่าเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังแล้วกัน ปีนั้นข้าเพิ่งออกจากถ้ำสวรรค์หลีจู เดินทางไกลไปถึงต้าสุย ออกจากเมืองหงจู๋ได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เจอกับบัณฑิตอายุมากคนหนึ่งบนเรือข้ามฝาก เขาเองก็ช่วยพูดทวงความยุติธรรมให้คนอื่นเช่นกัน ทั้งๆ ที่คนอื่นไร้เหตุผลก่อน แต่เขากลับขัดขวางไม่ให้ข้าใช้เหตุผล ตอนนั้นข้าคิดแล้วก็ไม่เคยเข้าใจ ความสงสัยจึงกดทับอยู่ในใจตลอดมา ตอนนี้ต้องยกความดีความชอบให้ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้า เพราะข้าพอจะเข้าใจความคิดของเขาได้แล้ว เขาอาจจะไม่ถูกเสมอไป แต่ก็ไม่ได้ผิดจนเกินจะทนรับได้อย่างที่ข้าคิดในตอนแรก ส่วนข้าในตอนนั้น อย่างมากสุดก็แค่ไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้ถูกสักเท่าไหร่เหมือนกัน”

เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมหนึ่งวง

“ในยุทธภพ ดื่มเหล้าคือยุทธภพ กระทำการชั่วร้ายคือยุทธภพ ผดุงคุณธรรมคือยุทธภพ ลมคาวฝนเลือดก็ยังคงเป็นยุทธภพ บนสนามรบเจ้าฆ่าข้า ข้าสังหารเจ้า กระโจนเข้าหาความตายอย่างองอาจ กองกระดูกขาวโพลนถมสูงคือสนามรบ สังหารทหารหลายแสนคนก็คือสนามรบ ซากปรักหักพังแห่งสนามรบที่จิตวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้าไม่ยอมสลายไปก็ยังคงเป็นเช่นเดียว ในราชสำนัก ปกครองบ้านเมืองดูแลประชาชน อุทิศตนสุดชีวิตคือราชสำนัก เข้าแทรกแซงทางการเมือง กลุ่มคนชั่วสมคบคิดกันคือราชสำนัก กษัตริย์อายุน้อยครองราชย์ ชาวประชาเกิดความกังขา สตรีนั่งบัญชาหลังม่าน ก็ยังคงเป็นราชสำนัก เคยมีคนบอกกับข้าว่า บ้านเกิดที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวเคยมีคนที่เรียกรวมเพื่อนพ้องมาสังหารทหารของทางการทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือบิดาที่ทำความผิด ผลกลับกลายเป็นว่าถูกคนมองว่าเป็นคนที่มีความกตัญญู ท้ายที่สุดยังได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ ทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ แล้วก็มีคนที่ทำเพื่อมิตรภาพ เมื่อได้ยินว่าสหายตายก็เดินทางไกลพันลี้ สังหารคนในครอบครัวของศัตรูคู่แค้นของสหายจนสิ้นภายในค่ำคืนเดียวแล้วแอบหนีไปกลางดึก ผลคือถูกคนมองว่าเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญที่ชอบผดุงคุณธรรม เขาถูกทางการไล่ฆ่าไกลนับพันลี้ ระหว่างทางมีคนคอยช่วยเหลือไว้มากมาย ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่คนผู้นี้ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากคนนับไม่ถ้วน หลังตายไปยังถึงขั้นถูกระบุชื่อไว้ในรายนามของจอมยุทธพเนจรอีกด้วย”

เฉินผิงอันวาดวงกลมอีกวงที่ใหญ่กว่าเดิม “ตอนแรกข้าก็รู้สึกไม่เห็นด้วย รู้สึกว่าหากข้าเจอคนประเภทนี้ จะต่อยเขาให้ตายด้วยสองหมัดข้ายังรังเกียจว่ามากไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้าคิดจนเข้าใจแล้ว นี่ก็คือประเพณีนิยมของทั้งใต้หล้าในเวลานั้น คือองค์รวมของความรู้ทั้งหมด ก็เหมือนกับความรู้ของตรอกหนีผิงหลายๆ ตรอก เมืองหงจู๋หลายๆ เมือง และนครอวิ๋นโหลวหลายๆ แห่งที่มาเจอกัน ผสานรวมเข้าด้วยกันแล้วแสดงออกมา นี่ก็คือประเพณีพื้นบ้านที่แต่ละครอบครัวอบรมสั่งสอนกันมา คือศีลธรรมอันดีของสังคมที่คนในยุคสมัยนั้นล้วนยอมรับ เพียงแต่ว่าเมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลรินไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง กาลเวลาผันผ่าน ทุกอย่างก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไป หากข้ามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยนั้นก็อาจจะรู้สึกเลื่อมใสคนประเภทนี้ด้วยเช่นกัน อย่าว่าแต่ต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียวเลย ไม่แน่ว่าเมื่อพบหน้ากัน ข้าอาจยังกุมหมัดคารวะพวกเขาด้วยซ้ำ”

“จุดที่นักพรตผู้เฒ่าคนหนึ่งเล่นงานข้าได้อย่างลึกล้ำที่สุดก็คือจุดนี้ เขาให้ข้าดูกาลเวลาสามร้อยปีที่ไหลรินผ่านไป อีกทั้งข้ายังกล้ายืนยันว่า นั่นคือช่วงหนึ่งที่กาลเวลาไหลผ่านไปค่อนข้างช้า อีกทั้งยังเป็นช่วงตอนหนึ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่วิถีทางโลกค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบด้วย เขาแสดงให้ข้าได้เห็นอย่างพอดี ไม่มากแล้วก็ไม่น้อยเกินไป หากน้อยไปก็มองไม่ออกถึงแก่นของความลี้ลับมหัศจรรย์ในความรู้ของสายที่นักพรตผู้เฒ่าเลื่อมใส หากมากไปก็จะต้องย้อนกลับไปยังสายบุ๋นอันเป็นความรู้ของท่านผู้เฒ่าอีกท่านหนึ่ง”

ดูเหมือนว่าตอนนี้เฉินผิงอันจะหนาวมาก ไหล่ของเขาลู่ลง มือทั้งสองข้างไม่อยู่ห่างจากเตาอุ่นมือเลยแม้แต่นาทีเดียว เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าก็ดี หลิวจื้อเม่าก็ช่าง เมื่อเทียบกับนักพรต ‘หนุ่ม’ อีกท่านหนึ่งแล้ว เทพเซียนแห่งลัทธิเต๋าที่ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างแท้จริงเหล่านี้ล้วนห่างชั้นกับเขาไม่ใช่แค่หนึ่งแสนแปดพันลี้เท่านั้น”

เฉินผิงอันกระดกคางชี้ไปทางนาง “ท่ามกลางจิตใจและนิสัยดั้งเดิมควรจะมีผืนนาแห่งหัวใจอยู่ผืนหนึ่งที่เต็มไปด้วยดินโคลนเละเทะ ต่อให้ต้นกำเนิดสายน้ำของเจ้าจะใสสะอาดแค่ไหน แต่ก็จะเหมือนกับน้ำในร่องคูที่ขอแค่ไหลลงไปในผืนนาก็จะต้องขุ่นมัว ยกตัวอย่างเช่นส่วนลึกในใจของทุกคนล้วนมีความขัดแย้งกับตัวเองโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว ทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด ศึกตรีจตุของปีนั้นและถิ่นแห่งความไร้กังวลอย่างธวัลทวีปจึงกลายมาเป็นความสุดขั้วสองอย่างพอดี ทำไม ฟังไม่เข้าใจใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดอะไรที่เจ้าพอจะฟังได้เข้าใจก็แล้วกัน”

“ช่วงเวลาที่ต้องแบ่งแยกถูกผิด เมื่อคนผู้หนึ่งลองวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราวจะเห็นว่ามีคนไม่น้อยที่ไม่ถามถึงถูกหรือผิด ทว่าจะเอาแต่ปกป้องคนอ่อนแออย่างเดียว ไม่ชอบคนที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด คาดหวังอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะตกลงมาจากแท่นบูชาเทพ หรืออาจยังถึงขั้นเข้มงวดกับคนดี หวังอย่างยิ่งให้อริยะผู้มีคุณธรรมเกิดจุดด่างพร้อย ขณะเดียวกันก็เลื่อมใสศรัทธาต่อการทำดีในบางครั้งของคนชั่วอย่างสุดจิตสุดใจ อันที่จริงหลักการเหตุผลนี้ไม่ได้ซับซ้อน นี่ก็คือ ‘หนึ่ง’ เล็กที่พวกเรากำลังแย่งชิงกันอยู่ พยายามจะชั่งน้ำหนักให้เท่าเทียม ไม่ให้คนเพียงหยิบมือได้ยึดครองมันมากเกินไป นี่ไม่เกี่ยวกับว่าดีหรือเลวสักเท่าไหร่แล้ว ขยับไปพูดกันอีกก้าว อันที่จริงนี่มีผลประโยชน์ต่อพวกเราทุกคน เพราะจะยิ่งสามารถแบ่ง ‘หนึ่ง’ ใหญ่นั้นได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น ไม่มีใครเดินไปได้สูงเกินหรือไกลเกิน ไม่มีใครอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำเกินไป ก็เหมือน…ตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ตัวที่ใหญ่หน่อยก็กระโดดได้ไกลและสูงหน่อย ตัวที่อ่อนแอก็จะถูกกระชากให้เดินไปข้างหน้า ต่อให้จะถูกเชือกเส้นนั้นกระชากไปชนไปกระแทก หัวแตกเลือดไหลอาบ บาดแผลเต็มร่าง แต่กลับไม่หลุดร่วงออกไปจากกลุ่ม สามารถเกาะกลุ่มกันหาความอบอุ่น ไม่มีทางถูกนกจับกินเป็นอาหารได้ง่ายๆ ดังนั้นเหตุใดคนมากมายขนาดนั้นบนโลกชอบใช้เหตุผล แต่คนข้างกายกลับไร้เหตุผล กระนั้นพวกเขาก็ยังมีความสุขดี เพราะนี่เป็นผลมาจากสันดานเดิมที่อยู่ในผืนนาหัวใจ เมื่อวิถีทางโลกเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นว่าคนที่ใช้เหตุผลต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าเดิม ไม่ใช้เหตุผลกลายเป็นเงินทุนในการมีชีวิตอย่างสงบสุข เมื่ออยู่ข้างกาย ‘ผู้แข็งแกร่ง’ ประเภทนี้ก็จะสามารถช่วงชิงสิ่งของที่จับต้องได้จริงมาได้มากกว่าเดิม คำกล่าวที่ว่าช่วยเหลือญาติมิตรไม่ช่วยเหลือคนที่มีเหตุผลก็เป็นเช่นนี้เอง มารดาของกู้ช่านอยู่ข้างกายเจ้าและกู้ช่าน หรือแม้แต่อยู่ข้างกายหลิวจื้อเม่ากลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่า ก็คือเหตุผลนี้เช่นกัน ไม่ได้บอกว่าในเรื่องนี้นาง…ทำผิด เพียงแต่ว่าเส้นสายหนึ่งที่จุดเริ่มต้นไม่ถือว่าผิดขยายยาวออกไปอย่างต่อเนื่องก็จะเหมือนรากบัวและไม้ไผ่ จะเกิดความขัดแย้งมากมายหลายอย่างกับกฎเกณฑ์ที่ถูกกำหนดมาไว้แล้ว แต่พวกเจ้าไม่มีทางสนใจรายละเอียดปลีกย่อยพวกนั้น พวกเจ้ามีแต่จะคิดชนสะพานให้หัก เติมร่องน้ำให้เต็ม ดังนั้นข้าจึงพูดกับกู้ช่านว่า เขาฆ่าคนบริสุทธิ์ไปมากมายขนาดนั้น แท้จริงแล้วคนบริสุทธิ์เหล่านั้นก็คือข้าเฉินผิงอันและเขากู้ช่านในตรอกหนีผิงของปีนั้นคนแล้วคนเล่า แต่เขาก็ยังฟังไม่เข้าหู”

“ข้าอยู่ที่นี่ ทำอะไรไปมากมายขนาดนี้ สักวันหนึ่งจะเป็นดั่งก้อนหินที่ผุดขึ้นมาหลังน้ำลด นี่ก็เพื่อให้เขากู้ช่านได้เบิกตากว้างแล้วมองดูให้ดีๆ ไม่ฟังเหตุผลก็ตามใจเจ้า แต่ข้าเฉินผิงอันที่อยู่ที่นี่ นอกจากจะช่วยเขาแล้ว ยังช่วยแก้ไขชดเชยความผิดพลาดของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือต้องการให้เขาเข้าใจหลักการข้อหนึ่งที่อยู่นอกเหนือตำรา หลักการที่ว่าอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน อย่างมากสุดสองปี เมื่อผู้ฝึกตนคนหนึ่งได้ยืนอยู่บนตำแหน่งสูงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสังหารคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อมาสร้างบารมีให้กับตัวเองอีก แต่กระนั้นข้าก็ยังสามารถมีชีวิตที่มั่นคงและยืนได้สูงยิ่งกว่าเขากู้ช่าน”

นางทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่า “ทำไม อยากจะพูดว่าเป็นเพราะข้ามีที่พึ่งมากมาย และในมือก็มีสมบัติอาคมอยู่มาก? เจ้ากับกู้ช่านไม่อาจเทียบข้าได้? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ข้าเป็นคนไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้มาด้วยตัวเอง? พูดให้พวกเจ้าฟังทีละคำ พวกเจ้าไม่มีทางเข้าใจ เพราะพูดไปแล้ว พวกเจ้าเข้าใจเหตุผลดี แต่กลับทำไม่ได้ นี่น่าสนใจมากเลยใช่ไหม? นี่เกิดจากจิตดั้งเดิม เพราะในช่วงเวลาที่จิตใจของพวกเจ้าขึ้นรูปเหมือนภาชนะกึ่งสำเร็จรูปกลับไม่มีคนคอยโน้มน้าวชี้นำ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ต่อให้มีคนคนนั้นอยู่ข้างกายจริงๆ ข้าว่าก็คงเสียเวลาเปล่าอยู่เหมือนเดิม พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเจ้ากลับไม่รู้เลยว่าควรต้องเป็นคนเลวที่ฉลาดอย่างไร ดังนั้นจึงยิ่งไม่ยินดี และยิ่งไม่รู้ว่าควรจะเป็นคนดีที่ฉลาดอย่างไร”

หนีชิวน้อยตัวนั้นกัดริมฝีปาก เงียบไปครู่หนึ่ง ประโยคแรกที่เปิดปากพูดก็คือ “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าบีบบังคับให้ข้าต้องฆ่าเจ้าวันนี้!”

เฉินผิงอันเอียงศีรษะน้อยๆ ยิ้มถามว่า “ทำไมต้องฆ่าข้า? ข้าฆ่าแล้วก็ไม่เท่ากับว่าเจ้ากับกู้ช่าน และยังมีจวนชุนถิงต้องขาดที่พึ่งอย่างหนึ่งไปหรอกหรือ? เห็นไหม เมื่อครู่นี้บอกว่าเจ้าโง่ เลวแล้วยังเลวแบบโง่อีก แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับ”

ใต้ฝ่าเท้าของนางเกิดเสียงรองเท้าเสียดสีพื้นเบาๆ

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน เขาชี้นิ้วไปทางที่พักของเด็กหนุ่มเจิงเย่

“ที่นั่นมีคนดีอยู่คนหนึ่ง อายุไม่มากเหมือนกัน ไม่ว่าเรียนอะไรก็ล้วนเชื่องช้า แต่ข้ายังคงหวังว่าเขาจะสามารถใช้ตัวตนของคนดีมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีในทะเลสาบซูเจี่ยน เพียงแต่ว่านี่อาจจะไม่สบายนัก แต่ก็ยังมีความหวัง แน่นอนว่าหากข้าค้นพบว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงเขาได้ หรือพบว่าความเจ้าอุบายและมากแผนการของข้าอย่างที่เจ้าพูดถึงยังคงไม่อาจรับรองได้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็จะปล่อยเขาไป ให้เขาเจิงเย่ใช้วิธีที่ตัวเองถนัดที่สุดมีชีวิตไปตามยถากรรมอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน”

เคยมีรายละเอียดอยู่ข้อหนึ่ง เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งมา แต่เจิงเย่กลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เขาลืมหิ้วม้านั่งเข้าห้องมาด้วย

หากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่การไม่รู้ความของเด็กหนุ่มเจิงเย่ อายุน้อยเกินไป นิสัยซื่อสัตย์ ในดวงตาจึงมองไม่เห็นเรื่องราวใดๆ

ถ้าอย่างนั้นตอนที่เขาฝึกตนกลับยังแบ่งสมาธิไปมองนอกหน้าต่างตามสายตาของเฉินผิงอัน นี่ทำให้เฉินผิงอันจนใจเล็กน้อย แต่ก็สามารถอธิบายได้เช่นกัน เพราะยังเด็กไม่รู้ประสา ขาดการขัดเกลาฝึกฝนตัวเอง เขาจึงรอให้เจิงเย่เติบโตได้ บนกระดานหมากล้อม ทุกก้าวล้วนเชื่องช้าแต่ไร้ข้อผิดพลาด ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิดถึงผลแพ้ชนะให้มากความรู้ เพราะสุดท้ายโอกาสชนะก็ยังมากกว่าอยู่ดี แต่หากสวรรค์ต้องการให้คนตายจริงๆ นั่นก็คือชะตากรรม ก็เหมือนประโยคที่เฉินผิงอันพูดกับเจิงเย่ เมื่อถึงเวลานั้น ขอแค่ถามใจแล้วไม่ละอายก็ค่อยไปโทษคนบ่นฟ้า

แต่เรื่องหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันสะทกสะท้อนใจมากที่สุดก็คือ เมื่อเขาจับได้ถึงต้นกล้าความคิดที่แตกหน่อขึ้นมา จึงจำเป็นต้องพูดจาให้ชัดเจน จำเป็นต้องตีกระทบลงบนจิตใจของเด็กหนุ่มที่ความคิดเริ่มหวั่นไหวเป็นครั้งแรก บอกกับเจิงเย่อย่างตรงไปตรงมาว่า ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ซื้อขายกันเท่านั้น ไม่ใช่อาจารย์และศิษย์ และเฉินผิงอันก็ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาหรือผู้ปกป้องมรรคาของเขา

หากจะบอกว่าเจิงเย่สันดานไม่ดี ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ หลังจากผ่านหายนะแห่งความเป็นความตายมาแล้ว เขากลับยังคงมีศรัทธาในตัวอาจารย์และเกาะเหมาเยว่ และนี่ก็กลับกลายมาเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เฉินผิงอันยินดีเก็บเขาไว้ข้างกายมากที่สุด น้ำหนักของมันไม่ได้น้อยไปกว่าฐานกระดูกในการฝึกตนและคุณสมบัติในการฝึกวิชาผีของเจิงเย่เลย

แต่ต่อให้เจิงเย่จะเป็นเช่นนี้ เป็นเด็กหนุ่มที่ทำให้เฉินผิงอันพอจะมองเห็นเงาร่างของตัวเองในอดีตยามที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน และเมื่อลองสืบสาวอย่างละเอียด เขาเองก็เป็นคนที่ไม่อาจทนรับการทุบตีที่หนักหนาเกินไปได้เช่นกัน

เจิงเย่ที่นิสัยตรงกันข้ามกับกู้ช่าน ทุกคำพูดการกระทำและประสบการณ์บนเส้นทางของหัวใจของเจิงเย่หลังจากนี้ เดิมทีจะต้องเป็นเส้นสายที่สี่ที่เฉินผิงอันจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด

แต่พอเรื่องราวดำเนินมาถึงเข้าจริงๆ เฉินผิงอันกลับล้มเลิกความตั้งใจเดิม เขายังคงหวังว่าเจิงเย่จะไม่เดินทางผิด หวังว่าระหว่างสองขั้วของไม้บรรทัดที่ด้านหนึ่งคือ ‘แย่งชิงมาด้วยตัวเอง’ และอีกด้านหนึ่งคือ ‘คนอื่นมอบให้’ นี้ เจิงเย่จะเจอสถานที่หยัดยืนที่จะไม่ทำให้จิตใจของตัวเองสั่นคลอนไม่มั่นคง

แต่ก็ไม่เป็นไร ขณะเดียวกันกับที่ยื่นมือเข้าแทรกเปลี่ยนแปลงทิศทางของเส้นทางนั้นไปเล็กน้อย เส้นก็ยังคงเป็นเส้นเดิม ก็แค่วงโคจรบิดเบือนไปเท่านั้น ยังคงเดินไปดูได้เหมือนเดิม เพียงแค่ว่าจะแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเล็กน้อย

เมื่อเทียบกับเลือดที่เปรอะท่วมร่างของสตรีตรงหน้า และมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเดินไปจนสุดเส้นทางดำมืด ทางสายนี้ของเจิงเย่ ชีวิตของเด็กหนุ่มกลับยังคงเต็มไปด้วยความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน ยังคงมีโอกาสที่จะเดินไปสู่ความดีงาม

ส่วนน้ำในผืนนาหัวใจของเจิงเย่จะมีวันใดประสบภัยหายนะ เปลี่ยนจากสถานที่ที่ดีงาม ไหลไปสู่ความสุดขั้วจนหันกลับมาเป็นปรปักษ์กับตัวเองหรือไม่ เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะฝืนเขา

ในกฎเกณฑ์ล้วนมีความอิสระเสรี แล้วก็มีค่าตอบแทนที่ควรต้องจ่ายเช่นกัน

คนเราย่อมต้องมีช่วงเวลาที่กำลังหมดลง ขนาดกับกู้ช่าน เขาเฉินผิงอันยังยอมแพ้แล้ว ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ากู้ช่านหยุดฆ่าหยุดทำผิด เขาก็ได้แต่ตัดขาดและขีดเส้นจำกัดกับกู้ช่านอย่างสิ้นเชิงแล้วหันไปทำเรื่องเหล่านั้นเพื่อตัวเอง

มีเจิงเย่เพิ่มขึ้นมาอีกคน จะเป็นไรไป?

สีหน้าของเฉินผิงอันเลื่อนลอย

ปีนั้นตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วไม้ของเมืองเล็กในถ้ำสวรรค์หลีจู

ในประตูคือเด็กหนุ่มขาเปื้อนโคลนที่ยังสวมรองเท้าสาน

นอกประตูคือไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัว สกุลสวี่แห่งนครลมเย็น วานรย้ายภูเขาแห่งขุนเขาตะวันเที่ยง เด็กหญิงที่บอกว่าจะย้ายภูเขาพีอวิ๋นกลับไปเป็นสวนดอกไม้ที่บ้านตัวเอง

นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้สัมผัสกับคนต่างถิ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองเล็ก แต่ละคนล้วนเป็นคนบนภูเขา คือเทพเซียนในสายตาของคนธรรมดา

ยังดีที่ในบรรดาคนเหล่านั้นยังมีแม่นางคนหนึ่งที่เคยเอ่ยว่า ‘มหามรรคาไม่ควรเล็กถึงเพียงนี้’

เฉินผิงอันมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยน

เมื่อความดีและความเลวของตัวเองพุ่งชนกันจนเลือดโชกไหลนอง เขาถึงได้ค้นพบว่าที่แท้สภาพจิตใจของตนก็มีจุดด่างพร้อยมากมายขนาดนี้ แตกสลายไม่เหลือชิ้นดีขนาดนี้

ยกตัวอย่างเช่นเขาจำเป็นต้องเริ่มยอมรับว่าตัวเองก็คือคนบนภูเขาแล้ว อย่างน้อยก็ถือว่าใช่ครึ่งตัว

ไม่อย่างนั้นก็จะคอยต่อต้านตัวเองอยู่ในใจตลอดเวลาเพียงแค่เพราะบุคคลอย่างวานรย้ายภูเขา นี่ก็คือข้อบกพร่องบนมหามรรคา

ดังนั้นแม้ว่าปีนั้นเขาจะสร้างสะพานยาวสีทองขึ้นมาท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัวได้สำเร็จ แต่จิตดั้งเดิมของเฉินผิงอันกลับบอกตัวเองอย่างชัดเจนว่า

ขอแค่เดินขึ้นไปจริงๆ สะพานจะถล่มลงมา และเขาก็จะจมลงสู่ลำคลอง

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ครั้งหนึ่งคือตอนที่หมุนตัว อีกครั้งหนึ่งคือตอนที่เหม่อลอย หนีชิวน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วสองครั้ง แต่เจ้ากลับยังไม่กล้าสังหารข้าอย่างนั้นหรือ?”

นางเอ่ยเสียงเย็น “นี่ก็ยังอยู่ในแผนการของเจ้าไม่ใช่หรือ? ตามคำบอกของเจ้า กฎเกณฑ์มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง อยู่ที่นี่ เจ้าซ่อนกฎเกณฑ์ของเจ้าเอาไว้ อาจจะแอบร่ายค่ายกลอำพรางตา อาจจะเป็นเชือกพันธนาการปีศาจที่กำราบข้ามาได้ตั้งแต่เกิด ล้วนเป็นไปได้ทั้งหมด อีกอย่าง เจ้าเองก็บอกแล้วว่า เมื่อฆ่าเจ้า จะมีประโยชน์อะไรกับข้า ต้องเสียที่พึ่งอย่างหนึ่ง เสียยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งไปเปล่าๆ”

เฉินผิงอันยิ้มพูด “นี่ถือว่าเหตุผลของข้าใช้ได้แล้วหรือไม่?”

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กำลังจะบอกว่าคนอย่างข้าดีแต่เลือกใช้เหตุผลที่ตัวเองต้องการใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ

นางคลี่ยิ้มอย่างเสแสร้ง “ท่านอาจารย์จะสั่งสอนข้าอย่างไร? ถานเซวี่ยล้างหูรอฟังแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่คน เป็นแค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งเท่านั้น หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ปีนั้นตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่ควรมอบให้เจ้าเด็กขี้มูกยืด หากเอาไปต้มกินก็คงไม่มีบัญชีเละเทะมากมายอย่างในตอนนี้”

นางยิ้มบางๆ “ข้าไม่โกรธ แล้วก็จะไม่ทำให้เจ้าสมใจปรารถนา ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าได้ตัดขาดและขีดเส้นจำกัดขอบเขตกับข้า”

เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “มีพัฒนาการแล้ว แต่เจ้าไม่สงสัยหรือว่าข้ากำลังแสร้งข่มขู่ให้เจ้ากลัวอยู่หรือไม่?”

นางส่ายหน้า “ถึงอย่างไรหลังจากที่พูดคุยกันอย่างเปิดอก ข้าก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย ยังมีหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่ข้าฟังเข้าหูแล้ว ตอนนี้ท่านเฉินกำลังทำความดีของคนดีเพื่อตัวเอง แม้ข้าจะทำไม่ได้ แต่ข้าก็สามารถอยู่ร่วมกับเจ้าอย่างว่าง่าย แค่ไม่ทำผิดอีกก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรก็จะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าได้หาข้ออ้างมาเล่นงานข้า แล้วแบบนี้จะไม่ยิ่งสามารถทำให้ท่านเฉิน ที่ฉลาดมาก แต่ก็ชอบรักษากฎเกณฑ์ ชอบใช้เหตุผล สะอิดสะเอียนได้มากหรอกหรือ? สังหารข้า มหามรรคาของกู้ช่านจะได้รับความเสียหาย สะพานแห่งความเป็นอมตะต้องขาดสะบั้น เขาไม่ได้มีความยืดหยุ่นและมานะอุตสาหะเฉกเช่นเจ้า ไม่มีปัญญาคลานไปทีละก้าวด้วยตัวเอง เกรงว่าคงกลายเป็นเศษสวะไร้ค่าไปชั่วชีวิต เฉินผิงอันเจ้าทนเห็นเขาเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็จริง เจ้าเด็กขี้มูกยืดจะเปรียบเทียบกับข้าได้อย่างไร? คนที่แม้แต่มารดาตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นคนเช่นไร ไม่รู้ว่าสัตว์เดรัจฉานที่มหามรรคาเชื่อมโยงอยู่กับตนคิดเช่นไร แม้แต่เรื่องที่นอกจากหลิวจื้อเม่าจะใช้วิธีการอำมหิตโหดร้ายงัดข้อกับคนอื่นแล้ว ยังมีความสามารถในการควบคุมจิตใจคนอย่างไร แม้แต่กับลวี่ไช่ซางก็ยังไม่รู้ว่าควรจะผูกมัดใจเขาให้ได้จริงๆ อย่างไร หรือแม้กระทั่งกับคนโง่ฟ่านเหยี่ยนก็ยังไม่แม้แต่จะเต็มใจคิดให้มากว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนโง่จริงหรือไม่ แม้แต่หนึ่งในหมื่นของสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดก็ยังไม่ยอมเสียเวลาคิดพิจารณา กู้ช่านที่เป็นเช่นนี้ เขาจะเอาอะไรมาแข่งกับข้าได้? ตอนนี้เขาอายุยังน้อย แต่ก็อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ทว่าต่อให้มอบเวลาให้เขาอีกสิบปียี่สิบปี เขาก็ยังไม่ยินดีจะคิดให้มากอยู่อย่างนี้”

คำพูดประโยคนี้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยสบายๆ

เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือสองข้างรับไออุ่นอย่างเต็มที่ “เรื่องราวทางโลกก็ประหลาดเช่นนี้ ข้าสังหารปีศาจปลาไหล กลับกลายเป็นว่ามีเวรกรรมติดตัว กู้ช่านฆ่าคนบริสุทธิ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนไปมากมายขนาดนั้น คนบางส่วนที่ฆ่าไปก็ถือว่าถูกต้องแล้ว แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยเท่านั้น นอกจากผลกรรมใหญ่แล้ว กลับยังได้รับโชควาสนามาเพิ่มด้วย ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าช่างเป็นสถานที่ที่ทำให้คนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจริงๆ หากไม่เล่นงานพวกคนธรรมดา เอาแต่เปิดฉากสังหารใหญ่กับผู้ฝึกตนอิสระอย่างเดียว คาดว่าคงฆ่ากันไปจนสิ้นซากแล้ว อย่างน้อยผลลัพธ์ที่ได้ก็คงเป็นความผิดและความชอบลดทอนหายกันไปกระมัง? แน่นอนว่าข้าไม่กล้ายืนยัน นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาในช่วงเวลาที่เบื่อหน่ายเท่านั้น”

ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

คำกล่าวนี้ เมื่อปรากฎอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็สามารถนำมาใคร่ครวญขบคิดได้ซ้ำไปซ้ำมา

คนที่มีชีวิตอยู่เป็นเช่นนี้ คนที่ตายไปแล้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นางยังคงยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เรื่องราววุ่นวายอลวนเหล่านี้ ข้าไม่ท่านเฉินสักหน่อย ไม่คิดจะสนใจหรอกนะ ส่วนที่ด่าข้าว่าสัตว์เดรัจฉาน ขอแค่ท่านเฉินอารมณ์ดีก็พอ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีถานเซวี่ยก็เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านเกิด ต่อให้ข้าจะเดินทางท่องไปในยุทธภพไกลนับพันนับหมื่นลี้มาถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดี ต่อให้คนที่สำคัญต่อข้าอย่างมากสองคนจะบอกว่าข้าเป็นคนดีเกินเหตุ ข้าก็ยังไม่เชื่อแม้แต่น้อย ตอนนี้พอได้มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนระยำของพวกเจ้า ข้าผู้อาวุโสเกือบจะกลายเป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรมอยู่แล้ว วิถีทางโลกชาติหมา กฎเกณฑ์ทะเลสาบซูเจี่ยนผายลมสุนัข พวกเจ้าคงกินขี้กันจนติดใจแล้วสินะ?”

นักบัญชีหนุ่มพูดไม่เร็ว แม้ว่าในน้ำเสียงจะแฝงไว้ด้วยคำถาม แต่เนื่องจากน้ำเสียงของเขาแทบจะไม่มีขึ้นลง จึงเหมือนคนกำลังเล่าเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น

นางปิดปากหัวเราะคิก “ท่านเฉินแน่จริงก็ไปพูดกับกู้ช่านสิ ข้าฟังไม่เข้าหูหรอก มีแต่จะเห็นเป็นลมที่พัดผ่านหูไป ตอนนี้สภาพจิตใจของกู้ช่านไม่มั่นคง ไม่สู้เลือกวันไหนที่แสงแดดสาดส่องหลังหิมะตก แล้วท่านเฉินก็ไปนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่กับเจ้าเด็กขี้มูกยืด คนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟัง เหมือนกับก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่บนโต๊ะอาหารอย่างไรล่ะ เชื่อว่าตอนนี้กู้ช่านน่าจะเต็มใจฟัง อาจจะยังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังอยู่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็เต็มใจรับฟังบ้างแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองพิจารณาดู พูดคุยกับเจ้ามามากมายขนาดนี้ เจ้าและข้าต่างก็ลืมเรื่องที่คุยกันตอนแรกสุดไปแล้วหรือเปล่า?”

ถานเซวี่ยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันตงจื้อ ข้ามาเรียกท่านเฉินไปกินเกี้ยวฉลองที่ทั้งครอบครัวได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา”

เฉินผิงอันเองก็พยักหน้าอีกครั้ง “ส่วนข้าก็รับปากกู้ช่านไว้ว่าจะมอบของให้เจ้าหนึ่งชิ้น รับเอาไป”

คือแผ่นหยกที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้น

นางขมวดคิ้ว ใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ยื่นมือไปรับ ‘ถ่านร้อน’ ก้อนนั้น เพียงแค่ปล่อยให้มันลอยอยู่ตรงหน้าตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังขาสงสัย

แล้วทันใดนั้นนางก็พลันขนลุกอยู่ในใจ ไม่ผิดไปจากที่คาด เกิดภาพประหลาดขึ้นบนแผ่นหินสีเขียวบนพื้น ไม่เพียงเท่านั้น เชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นยังพุ่งพรวดออกมารัดพันเอวของนางไว้

นางหัวเราะเสียงเย็นไม่หยุด

แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนจมลงในบ่อน้ำแข็ง

ก้มหน้าลงมอง แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

เส้นสีทองที่เล็กบางอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่งพุ่งจากผนังลามมาหยุดอยู่ตรงหน้าหัวใจของนาง จากนั้นอาวุธกึ่งเซียนที่ฉายประกายเฉียบคมเล่มนั้นก็ทะลุผ่านร่างของนางไป

เฉินผิงอันควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เทยาที่เก็บเป็นความลับในตำหนักวารีออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็วางขวดยาไว้บนโต๊ะเบาๆ ยกนิ้วตั้งทาบริมฝีปากเป็นการบอกให้นางเงียบเสียง “ขอเตือนเจ้าว่าอย่างส่งเสียงดัง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายทันที”

เฉินผิงอันเห็นว่านางไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ถูกอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งแทงทะลุหัวใจ ต่อให้เป็นก่อกำเนิดที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุดก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส

เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้านกับสภาพอันน่าสังเวชของนางเลยสักนิด เขาเพียงย่อยและดูดดึงปราณวิญญาณที่อยู่ในยาเม็ดนั้นเงียบๆ พลางเอ่ยช้าๆ ว่า “วันนี้เป็นวันตงจื้อ ตามประเพณีของบ้านเกิดต้องนั่งกินเกี้ยวร่วมกันหนึ่งมื้อ คำพูดที่ข้าเอ่ยกับกู้ช่านไปก่อนหน้านี้ เพราะตัวข้าเองเคยคำนวณความเร็วในการประสานตัวหายดีของบาดแผลเจียวหลงก่อกำเนิดอย่างพวกเจ้าได้คร่าวๆ แล้วก็คอยตรวจสอบดูสภาพร่างกายของกู้ช่านอยู่ตลอดเวลา บวกกับวิเคราะห์ว่าเจ้าจะขึ้นฝั่งมาเวลาใด ข้าจำเวลากินอาหารเย็นของจวนชุนถิงได้คร่าวๆ รวมไปถึงคิดว่ามีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่เจ้าจะไม่ยินดีเผยกายให้ผู้ฝึกตนเกาะชิงเสียเห็น มีแต่จะใช้วิชาอภินิหารของเซียนดินมาเคาะประตูข้า ดังนั้นไม่ช้าไม่เร็ว หนึ่งก้านธูปก่อนที่เจ้าจะมาเคาะประตู ข้ากินยาบำรุงลมปราณไปถึงสามเม็ด แล้วเจ้าล่ะ เจ้าไม่รู้รากฐานที่แท้จริงของข้า อาศัยแค่ว่าตัวเองมีตบะก่อกำเนิด ยิ่งไม่ยินดีตรวจสอบจวนน้ำแห่งชะตาชีวิตของข้าอย่างละเอียด เจ้าจึงไม่รู้ว่า หากข้าคิดจะควบคุมกระบี่เซียนอย่างเต็มกำลังในเวลานี้ ยังพอจะทำได้ เพียงแต่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนค่อนข้างมากก็เท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร มันคุ้มกันแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครู่นี้ที่ขู่เจ้าว่าหากขยับจะต้องตาย อันที่จริงนั่นก็เป็นแค่คำขู่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาโอกาสที่ไหนมาชดเชยลมปราณของตัวเอง ส่วนตอนนี้ เจ้าจะต้องตายจริงๆ แล้ว”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะ กวักมือหนึ่งครั้งควบคุมให้แผ่นหยกแผ่นนั้นลอยขึ้นจากพื้น แล้วกุมไว้ในมือเบาๆ

ราวกับไม่กลัวว่าหนีชิวที่ดิ้นรนก่อนตายจะบ้าคลั่งแว้งกลับมาโจมตี เขาถึงได้เดินตรงไปหยุดอยู่ห่างจากเบื้องหน้านางแค่ไม่กี่ก้าวแล้วยิ้มถามว่า “วางท่าปลอมๆ ว่ามีขอบเขตก่อกำเนิด แต่แท้จริงแล้วมีตบะแค่เซียนดินโอสถทอง ไม่รู้จริงๆ ว่าใครกันที่มอบความกล้าให้เจ้าบังอาจเกิดจิตคิดสังหารข้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มีแค่จิตสังหารก็ช่างเถิด แต่เจ้ามีความสามารถพอให้ประคับประคองจิตสังหารนี้หรือ? เจ้าเห็นข้าไหม นับตั้งแต่ที่ขึ้นมาบนเกาะชิงเสียก็เริ่มวางแผนเล่นงานเจ้าแล้ว จนกระทั่งหลังจากผ่านศึกกับหลิวเหล่าเฉิง แน่ใจแล้วว่าเจ้าสอนได้ยากยิ่งกว่ากู้ช่าน ข้าถึงได้เริ่มวางแผนการอย่างแท้จริง ข้าเอาเหตุผลมาพูดกับเจ้าอยู่ตลอดเวลาในห้องแห่งนี้ เพราะฉะนั้นถึงอย่างไรก็ยังต้องใช้เหตุผล ไม่มีประโยชน์? ข้าว่ามีประโยชน์มากเลยล่ะ เพียงแต่ว่าวิธีการใช้เหตุผลกับคนดีและคนเลวนั้นไม่ค่อยเหมือนกัน คนดีหลายคนไม่เข้าใจในจุดนี้ ถึงต้องเจอกับความลำบากมากมายขนาดนั้น ปล่อยให้ตัวเองต้องเสียเปรียบวิถีทางโลกแห่งนี้ไปซะเปล่าๆ”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา แต่ไม่ได้กุมเจี้ยนเซียนเล่มนั้น

เพียงใช้ฝ่ามือยันด้ามกระบี่แล้วค่อยๆ ผลักไปข้างหน้าทีละนิด ทีละชุ่น

ตัวกระบี่ขยับไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง

เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงพอข้ากินยาเม็ดนั้นไปก็ไม่สามารถสังหารเจ้าได้จริงๆ แต่ตอนนี้ น่าจะทำได้จริงแล้ว ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองดิ้นดูสิ ไม่สู้ลองดูสักตั้ง? พวกเจ้าที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนชอบเดิมพันด้วยชีวิตนักไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันรออยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับโชคไม่เลว”

“รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงไม่เคยบอกชื่อกระบี่เล่มนี้แก่เจ้าและกู้ช่าน? มันชื่อว่าเจี้ยนเซียน (เซียนกระบี่) เซียนกระบี่ของเซียนกระบี่พสุธา ดังนั้นข้าจึงจงใจที่จะไม่พูดถึง”

“เจ้าลองคิดดู ในยุคบรรพกาลของแจกันสมบัติทวีปเรา ที่ไหนที่มีเซียนกระบี่ปรากฏตัวบ่อยครั้งที่สุด?”

“แคว้นสู่โบราณ”

“แล้วทำไมถึงมีเซียนกระบี่เยอะ? เพราะที่นั่นมีทั้งเจียวและมังกรปะปนกัน เหมาะแก่การให้เซียนกระบี่นำมาใช้ขัดเกลาคมกระบี่มากที่สุด”

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “ดังนั้น เจ้าไม่ลองเดิมพันด้วยชีวิตก็ถือว่าถูกต้องแล้ว อันที่จริงต่อให้ข้าไม่กินยาเม็ดสุดท้ายนั่น หลังจากที่กระบี่เล่มนี้ได้ลิ้มรสเลือดสดๆ จากหัวใจเจ้าแล้ว ตัวมันเองก็กระเหี้ยนกระหือรือเต็มที อยากจะปั่นคว้านหัวใจเจ้าให้เละเสียเดี๋ยวนั้น ไม่จำเป็นต้องให้ข้าสิ้นเปลืองปราณวิญญาณและจิตใจไปควบคุมเลย การที่ข้ากินยา กลับกลายเป็นว่าจะได้ควบคุมมัน ไม่ให้มันสังหารเจ้าในทันที”

ในฐานะทายาทมังกรที่แท้จริงตัวหนึ่ง นางเกิดมาก็ไม่กลัวความเหน็บหนาว ถึงขั้นยังเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับโชคชะตาน้ำมากที่สุดในบรรดาทายาทที่แท้จริงทั้งห้าตัว เวลานี้กลับได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าจมสู่บ่อน้ำแข็งเป็นครั้งแรกในชีวิต

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยแวววิงวอนและขอร้องอย่างน่าสงสาร

เฉินผิงอันเอียงหูทำท่ารับฟัง “เจ้าก็มีเหตุผลจะพูดเหมือนกัน?”

เขาขยับมายืนตัวตรง จากนั้นก็ผลักด้ามกระบี่ นางจึงเซถอยกรูดไป แผ่นหลังชนเข้ากับประตูห้อง

ปลายกระบี่เจี้ยนเซียนแทงทะลุประตูห้องไปนานแล้ว

ปักตรึงนางแนบติดอยู่กับประตูเช่นนี้

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ คลี่ยิ้มกล่าวว่า “แต่เจ้าเคยถามข้าหรือไม่ว่า ข้าอยากฟังไหม?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version