Skip to content

Sword of Coming 443

บทที่ 443 ด่านในใจคนร้อยเรียงต่อเนื่องกัน

ปราณกระบี่เฉียบคมปรี่ล้นอยู่ในห้อง นอกห้องก็มีความหนาวเหน็บของหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก

เจี้ยนเซียนที่แทงทะลุหัวใจถานเซวี่ยและประตูก็คือตัวที่เชื่อมโยงฟ้าดินเล็กใหญ่สองแห่งเข้าด้วยกัน

ถานเซวี่ยรู้ว่าขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์จึงไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองฝ่ายจมสู่ความเงียบงันอย่างยาวนาน

บุรุษที่มาจากตรอกหนีผิงเช่นเดียวกันตรงหน้าผู้นี้ นับตั้งแต่ที่เขาพร่ำพูดหลักการเหตุผลยาวเหยียดมาจนถึงการโจมตีเอาชีวิตในฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยคำที่คล้ายกำลังทบทวนกระดานหมากล้อมหลังจากที่ลงมือได้สำเร็จแล้วนั้น ล้วนทำให้นางขนพองสยองเกล้าได้ทั้งสิ้น

ผู้ฝึกตนทุกคนบนเกาะชิงเสียที่รู้สึกว่านักบัญชีที่อาศัยอยู่หน้าประตูภูเขาผู้นี้นิสัยดี แล้วก็พูดง่าย

ล้วนตาบอดกันทั้งนั้น!

นางสูดลมหายใจเข้าเบาๆ หนึ่งทีก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวตรงหัวใจได้ทันที ส่วนลึกในจิตวิญญาณที่กระเพื่อมสะเทือนปั่นป่วน สาเหตุไม่ได้มีเพียงแค่เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสที่เนื้อหนังมังสาได้รับเท่านั้น

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนกลัวตาย ชีวิตก็คือสิ่งที่เป็นจริงมากที่สุด นี่ก็คือหนึ่งเล็กที่คนตรงหน้าพูดถึง อันที่จริงถานเซวี่ยเข้าใจในข้อนี้ เพียงแค่ก่อนหน้านั้นแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ

เมื่อนางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตของตัวเองกำลังไหลหายไป ถึงขั้นสัมผัสได้ว่ามหามรรคาอันลี้ลับมหัศจรรย์กำลังสลายไปทีละนิด ก็เหมือนกับคนรวยที่ละโมบในทรัพย์สินเงินทองที่สุดในโลกต้องมาเห็นคาตาตัวเองว่าทองหยวนเป่าหล่นลงบนพื้นทีละก้อน แต่ไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็หยิบขึ้นมาไม่ได้

นางย่อมต้องเริ่มดิ้นรนก่อนตาย ราวกับว่าต้องการก้าวออกไปหนึ่งก้าว กระชากดึงเรือนกายที่มีความแข็งแกร่งทนทานเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเก้านี้ออกไปจาก ‘ผนัง’ ประตู ทิ้งกระบี่เซียนไว้เพียงเล่มเดียว

จากนั้นก็ใช้หนึ่งมือบิดลำคอของคนหนุ่มเพื่อระบายความเคียดแค้นที่อยู่ในใจ

เพียงแต่ว่าไม่นานนางก็หยุดการกระทำลง หนึ่งเพราะแค่ขยับก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีก แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดกลับเป็นว่า เจ้าคนที่กุมชัยชนะไว้ในมือ นักบัญชีที่ชอบวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนผู้นั้น ไม่เพียงแต่ไม่เผยสีหน้าหวาดหวั่นเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ กลับกันยังยกยิ้มเย้ยหยัน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฉินผิงอันกินยาวิเศษที่ตำหนักวารีเก็บไว้อย่างเป็นความลับไปทีเดียวรวดสี่เม็ด แล้วยังบังคับควบคุมอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งเล่มซึ่งเป็นข้อต้องห้ามหรือไม่ ใบหน้าที่ซีดขาวของเขาจึงมีสีแดงก่ำซึ่งเป็นสัญญาณของอาการป่วยไข้ผุดขึ้นมาบนแก้มทั้งสองข้าง

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “แม้ข้าจะยังไม่สามารถหลอมเจี้ยนเซียนเล่มนี้ได้สำเร็จ แต่สะพายมันมานานแล้ว ปราณกระบี่จึงแทรกซึมเข้ามาในจิตวิญญาณ ทำให้จิตใจเชื่อมโยงกับมันได้เล็กน้อย มันจึงเป็นเหมือนเด็กเล็กที่ยังหัดพูดไม่เป็น”

เฉินผิงอันชี้ไปยังตัวกระบี่ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งนั้น “แต่มันบอกกับข้าอย่างชัดเจนว่า เมื่อครู่ตอนที่เจ้าขอร้องข้า แท้จริงในใจเจ้าเกิดจิตสังหาร คิดจะสู้สุดชีวิตเพื่อให้ข้าพินาศวอดวายไปด้วยกัน ตอนนี้ก็แสร้งทำท่าทางให้ดูน่าสงสารไปอย่างนั้นเอง ทำไม รู้สึกว่าถูกข้าเล่นงานจนอเนจอนาถขนาดนี้น่าอายเกินไป เลยคิดจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองกลับคืนมาสักหน่อย?”

นางมีเพียงความเงียบงัน

ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าทุกข์ระทม

หรือว่าตนผิดไปจริงๆ ? แต่ผิดตรงไหนล่ะ?

เหมือนจะมองทะลุไปเห็นความคิดของนาง เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “หากข้าจะบอกว่าเจ้าผิดที่ไม่ควรเกิดมาเป็นทายาทของมังกรที่แท้จริงที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามคนอื่น ไม่ควรใช้จิตใจและปณิธานอันแข็งแกร่งของตัวเองไปแอบผลักดันกล่อมเกลาจิตใจของกู้ช่านอย่างลับๆ ล่ะ ในความเป็นจริงแล้วหลิวจื้อเม่าไม่ถือว่าเป็นอาจารย์ของกู้ช่านเลยด้วยซ้ำ มารดาของกู้ช่านและสัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้าต่างหากที่ใช่ เพราะกู้ช่านเชื่อใจพวกเจ้าสองคนมากที่สุด แต่กับหลิวจื้อเม่า เขากลับมีใจป้องกันและระแวงอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าอิทธิพลที่หลิวจื้อเม่ามีต่อเขาก็ไม่น้อย การรับรู้ที่กู้ช่านมีต่อทะเลสาบซูเจี่ยนและวิถีทางโลกที่อยู่ในหลุมส้วมแห่งนี้ เรียกได้ว่าส่วนใหญ่แล้วล้วนแอบเรียนรู้มาจากหลิวจื้อเม่าทั้งสิ้น แต่เมื่อเทียบกับพวกเจ้าแล้วยังห่างไกลกันมาก ข้าพูดอย่างนี้ เจ้าต้องไม่ยอมรับอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็คิดซะว่าเจ้าผิดที่โง่เกินไปก็แล้วกัน คิดว่าข้าเองก็เป็นคนหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ขอแค่ตบะไม่สูงมากพอก็ล้วนต้องถูกเจ้าใช้กำลังที่มากกว่ามาสยบกำราบ”

นางถาม “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เฉินผิงอันเอ่ย “ตอนนี้ข้ากำลังคิดว่าเจ้าควรจะตายอย่างไร ตายไปแล้วควรจะเอามาใช้ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดอย่างไร”

นางกล่าว “ตอนนี้ข้าไม่สงสัยแล้วว่าตัวเองจะตายหรือไม่ แต่อย่าลืมล่ะว่า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง เจ้าเองก็ต้องตายเหมือนกัน”

เฉินผิงอันมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง

นางเริ่มทดลองคิดพิจารณาถึงปัญหาโดยยืนอยู่ในมุมมองและจุดยืนของบุรุษตรงหน้าผู้นี้อย่างจริงจัง

เหมือนกับว่าเพิ่งจะเห็นเขาเป็นคู่แข็งที่มีฝีมือสูสีกันเป็นครั้งแรก และตอนนี้จึงเริ่มคิดถึงสถานการณ์หมากและหลักการในการเล่นหมากล้อมของเขา

นางเอ่ยถาม “ข้าเชื่อว่าเจ้ามีวิชาที่จะรักษาตัวรอด หวังว่าเจ้าจะสามารถบอกข้า ข้าจะได้ตัดใจได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องคิดจะเอากระบี่บินสองเล่มนั้นมาหลอกข้า ข้ารู้ว่าพวกมันไม่ใช่”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “นครมังกรเฒ่ามีเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่ชื่อว่าเกาะกุ้ยฮวา คือเรือเก่าแก่ที่มีตำแหน่งฐานะและความเป็นมายิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ในอดีตมีไม้พายตีมังกรที่สลักสี่คำว่า ‘ควรทำก็ทำ’ สืบทอดกันมา ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เรือข้ามฝากสามารถเคลื่อนผ่านร่องเจียวหลงไปได้อย่างปลอดภัย ตอนนั้นข้านั่งเรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัวก็เคยได้เห็นกับตาตัวเอง เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนรุ่นหลังของเกาะกุ้ยฮวาล้วนไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วนั่นคือยันต์ตัดโซ่ที่บันทึกไว้ในตำราโบราณเล่มหนึ่ง มีไว้เพื่อกำราบเผ่าพันธุ์เจียวหลงโดยเฉพาะ เมื่อเสริมสี่คำว่า ‘คำสั่งเทพพิรุณ’ เข้าไป ก็จะกลายเป็นยันต์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่บังเอิญเลยก็คือ ข้าสามารถเขียนยันต์ประเภทนี้ได้พอดี อานุภาพก็ไม่เลว หากไม่มีเจี้ยนเซียนเล่มนี้ตรึงเจ้าไว้กับประตู ข้าก็คงยังสังหารเจ้าไม่ได้ คิดจะกักขังเจ้าอาจจะค่อนข้างยาก แต่ตอนนี้คิดจะเล่นงานเจ้ากลับเหลือเฟือ ถึงอย่างไรเพื่อเขียนยันต์ตัดโซ่ที่จิตของยันต์เปี่ยมไปด้วยพลังแผ่นหนึ่ง กลางดึกของคืนหนึ่งก่อนหน้านี้ ข้าก็ต้องใช้เวลาไปนานมาก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้บอกให้เจ้าไปนั่งที่ข้างโต๊ะ ตอนนี้เสียใจแล้วใช่ไหมที่ไม่ยอมทำตามข้า? อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเจ็บใจ เพราะเส้นทางในหัวใจของเจ้านั้นเรียบง่ายมาก ข้ารู้ชัดเจนดี แต่เจ้ากลับไม่รู้เส้นทางในหัวใจของข้า ปีนั้นเจ้ากับกู้ช่านไปจากตรอกหนีผิงและถ้ำสวรรค์หลีจูค่อนข้างเร็ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าตอนที่ข้ายังไม่ได้ฝึกหมัด ข้าสังหารไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาตะวันเที่ยง และเกือบจะสังหารฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่าได้อย่างไร”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้ไปที่หัวของตัวเอง “ดังนั้นเจ้าจำแลงกายเป็นคน ก็มีแค่รูปลักษณ์เท่านั้นที่เหมือน เพราะเจ้าไม่มีสิ่งนี้”

แผ่นหลังที่แนบติดกับประตูของถานเซวี่ยแสบร้อนขึ้นมาเป็นระลอก นางพลันหวีดร้องเสียงแหลมอย่างตื่นตระหนก “เจ้าเขียนยันต์แผ่นนั้นไว้บนประตู!”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาทำท่าบอกนางว่าอย่าพูดเสียงดังเกินไป

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ประหลาดใจมากเลยใช่ไหมว่าทำไมเจ้าถึงสัมผัสไม่ได้ถึงการดำรงอยู่ของยันต์ที่แข็งแกร่งแผ่นนี้?”

ในใจนางพลันเศร้าอาดูรเคว้งคว้างอย่างถึงขีดสุด

เฉินผิงอันถามเองตอบเอง “เพราะยันต์แผ่นนี้ไม่สมบูรณ์แบบ ยังขาดปราณวิญญาณของจิตแห่งยันต์ไปอีกเล็กน้อย หนึ่งเพราะระดับขั้นของยันต์ตัดโซ่ค่อนข้างสูง ตอนนี้ข้ายังเขียนออกมาไม่ได้ อีกทั้งค่าตอบแทนยังค่อนข้างมาก ข้อสองคือหากเขียนสำเร็จ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิด ย่อมมีสัมผัสที่เฉียบไวต่อการไหลรินของลมปราณในฟ้าดิน ไม่แน่ว่าเจ้าเคาะประตูแล้วก็อาจจะไม่เข้ามาในห้องเลย พวกเจ้าเรียกข้าว่านักบัญชีไม่ใช่หรือ? ข้ารู้สึกว่าจะทำผิดต่อความรักความเมตตาที่เกาะชิงเสียของพวกเจ้ามอบให้ไม่ได้ เลือดสดจากหัวใจของเจ้าสามารถชดเชยข้อต่อส่วนสำคัญสุดท้ายของยันต์แผ่นนี้ได้พอดี”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าชื่อถานเซวี่ยนี้ ข้าตั้งให้เจ้าเปล่าๆ งั้นหรือ? ตอนนี้ถ่านและหิมะอยู่ในเตาเดียวกันแล้ว น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่กู้ช่าน ไม่สนิทสนมกับเจ้า”

ระหว่างที่เฉินผิงอันพูดก็คีบยันต์สีทองสองแผ่นออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ “อันที่จริงยังมียันต์อีกสองแผ่นที่ข้าเขียนสำเร็จแล้วจริงๆ ตอนนี้เจ้าจะทำอย่างไร? ยังมั่นใจว่าข้าจะต้องตายไปพร้อมกับเจ้าอีกไหม? เจ้าว่าสมบัติก้นกรุของข้าไม่ใช่กระบี่บินสองเล่ม อันที่จริงเจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ข้ากับพวกมันเดินทางเคียงข้างกันมาจนถึงทุกวันนี้ จำนวนครั้งที่พวกเราต้องต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับศัตรูที่แข็งแกร่ง เจ้าย่อมไม่อาจจินตนาการได้ถึง”

กระบี่บินชูอีและสืออู่พากันพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ปลายกระบี่แยกกันแทงไปที่ใจกลางของยันต์ทั้งสองแผ่น แสงศักดิ์สิทธิ์พลันสว่างจ้า ประดุจเตาอุ่นมือสองใบที่สาดแสงแห่งความอบอุ่น

กระบี่บินสองเล่ม เล่มหนึ่งไปลอยอยู่ตรงร่องกลางหว่างคิ้วของถานเซวี่ย

อีกเล่มหนึ่งลอยอยู่นอกมหาสมุทรลมปราณตรงหน้าท้องของถานเซวี่ย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าถือสาเลย การผลักกระบี่ครั้งสุดท้ายนั่น หาใช่เพื่อเล่นงานเจ้า แต่เพื่อเรียกแขกให้มาเยือน ถือโอกาสให้เจ้าเข้าใจด้วยว่าอะไรที่เรียกว่าใช้ของทุกอย่างอย่างคุ้มค่า เจ้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าข้าหลอกเจ้าอีก”

เฉินผิงอันเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว เขาถึงขั้นมองเมินนางที่ถูกตรึงแน่นอยู่กับบานประตู เดินไปเปิดประตูออกเบาๆ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ให้เจินจวินต้องรอนานแล้ว”

ที่แท้สกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าก็มายืนรออยู่นอกประตูที่หิมะกำลังตกหนักอยู่นานแล้ว

เมื่อผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดคนหนึ่งจงใจอำพรางลมปราณของตัวเองท่ามกลางฟ้าดินขนาดเล็กของตัวเอง แม้แต่ถานเซวี่ยก็ยังสัมผัสได้ไม่ถึง ตามหลักแล้วเฉินผิงอันก็น่าจะยิ่งรับรู้ไม่ได้ถึงจะถูกต้อง

ตอนที่อาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นถูกชักออกจากฝักอีกครั้ง หลิวจื้อเม่าที่อยู่ในจวนเหิงโปก็สัมผัสได้อย่างเฉียบไว เพียงแต่ตอนนั้นยังลังเลใจ ไม่ค่อยอยากจะบุ่มบ่ามไปสืบเสาะหาความจริงสักเท่าไหร่

แต่เมื่อปลายกระบี่ของกระบี่เล่มนั้นแทงทะลุประตูห้องออกมา ในที่สุดหลิวจื้อเม่าก็อดไม่ไหว แอบออกจากห้องลับของจวนมาที่หน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสียแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ

หลิวจื้อเม่ามายืนอยู่นอกประตูนานหนึ่งถ้วยชาแล้ว

เฉินผิงอันเบี่ยงตัวให้ “เชิญเจินจวินเข้าไปนั่งข้างในห้อง”

หลิวจื้อเม่าถอนหายใจอยู่ในใจ แต่กลับเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องพร้อมรอยยิ้มแต้มใบหน้า เขาเดินอ้อมแผ่นหินสีเขียวมานั่งข้างโต๊ะ

เฉินผิงอันปิดประตูลงอีกครั้ง แม้ว่าการเปิดและปิดประตูของเขาจะไม่รุนแรงมากนัก ทว่าถานเซวี่ยที่น่าสงสารถูกเจี้ยนเซียนแทงทะลุหัวใจก็เหมือนจมลงสู่บ่อน้ำแข็งอยู่แล้ว ยังต้องมาถูกยันต์ที่เขียนไว้บนบานประตูกักขังก็ยิ่งเหมือนตกอยู่กลางกระทะน้ำมันเดือดพล่าน นี่ก็คือการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ แล้วก็เป็นทั้งการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ทำให้นางเจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่

เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับหลิวจื้อเม่าอีกครั้ง

หลิวจื้อเม่าเองก็หยิบถ้วยขาวใบนั้นออกมาวางลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ผลักไปด้านหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่าต้องการขอเหล้าดื่ม “มีแขกอย่างท่านเฉิน ถึงได้มีเจ้าบ้านอย่างข้า ช่างเป็นความสุขของชีวิตจริงๆ”

เฉินผิงอันกวักมือหนึ่งครั้ง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ถูกบังคับให้มาอยู่ในมือ เขารินเหล้าให้หลิวจื้อเม่าหนึ่งถ้วย ครั้งนี้เขารินเหล้าวิหคครวญของตระกูลเซียนจนเต็มถ้วยขาวอย่างใจกว้างไม่แพ้ครั้งแรก เพียงแต่ไม่ได้ผลักกลับไปทันที “คิดได้แล้วหรือยัง? หรือควรจะบอกว่าปรึกษากับถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่เรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

หลิวจื้อเม่าถามกลับด้วยรอยยิ้ม “หรือท่านเฉินเดาไม่ออกว่าถานหยวนอี้ไปเยือนเกาะกงหลิ่วในครั้งนั้น สุดท้ายแล้วคุยกันรู้หรือเรื่องหรือคุยกันไม่สำเร็จ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่เทพเซียนที่ถนัดเรื่องการทำนายพยากรณ์สักหน่อย เดาไม่ออกหรอก”

หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากท่านเฉินเคยไปที่เกาะลี่ซู่ เคยพบเจอกับถานหยวนอี้เจ้าเกาะที่ข้างบ่อมังกรดำสักสองสามครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะพอไล่ตามเส้นสายเบาะแสไปจนรู้คำตอบ ในเมื่อท่านเชี่ยวชาญด้านการอนุมานก็ย่อมต้องถนัดวิชานี้เช่นกัน”

เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “นี่เรียกว่าเชี่ยวชาญด้านการอนุมานเสียที่ไหน เป็นเพราะเจ้าไม่เคยเห็นมาดของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงมากกว่า ข้าพูดตรงไปหน่อย เจินจวินอย่าได้ถือสา”

หลิวจื้อเม่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนกล่าวว่า “บอกตามตรง แม้ถานหยวนอี้จะเป็นผู้ดูแลหลักของศาลาคลื่นมรกตในแถบภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป แต่หลังจากที่ขึ้นเกาะไปพูดคุยกับหลิวเหล่าเฉิงอย่างลับๆ กลับได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นัก ตอนนั้นเงื่อนไขที่ถานหยวนอี้เสนอ หนึ่งจริงหนึ่งลวง”

หลิวจื้อเม่าหยุดไปครู่หนึ่ง เห็นว่าเฉินผิงอันยังคงมีท่าทีสงบนิ่งรอฟังเขาพูดต่อก็ให้สะท้อนใจเล็กน้อย อันที่จริงแค่สี่คำว่า ‘หนึ่งจริงหนึ่งลวง’ นี้ เฉินผิงอันก็น่าจะรู้ความจริงคร่าวๆ แล้ว ทว่าเขากลับยังไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขารอได้ แล้วก็ยินดีจะเสียเวลารอด้วย

ความมหัศจรรย์ของจิตใจที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ มีเพียงผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีตบะและจิตใจทะเยอทะยานสูงพออย่างหลิวจื้อเม่าเท่านั้นที่ถึงจะเข้าใจได้

หลิวจื้อเม่าจึงเอ่ยต่อว่า “ต้าหลีหวังว่าข้าจะสามารถรักษาสถานะเจ้าแห่งยุทธภพจอมปลอมนี้ต่อไป แต่ผลประโยชน์ที่แท้จริงทั้งหมดทุกสิ่งอย่างล้วนมอบให้แก่เกาะกงหลิ่ว เกาะพันกว่าแห่งของทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าที่เป็นผู้นำแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนในนามนี้ ได้แต่เลือกเกาะอีกสามสิบแห่งนอกเหนือจากเกาะใต้อาณัติสิบกว่าแห่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทุกเกาะเชื่อมโยงถึงกัน กลายเป็นเหมือน ‘พื้นที่เมืองหลวงที่สำคัญ’ ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เกาะทั้งหมดที่เหลือล้วนตกอยู่ในการปกครองของเกาะกงหลิ่ว แน่นอนว่าในอนาคต สกุลซ่งต้าหลีย่อมต้องดึงส่วนแบ่งไปจากหลิวเหล่าเฉิงอย่างแน่นอน และภายใต้เงื่อนไขนี้ หลิวเหล่าเฉิงไม่สามารถมีการกระทำใดๆ ที่เป็นการเล่นงานข้าและเกาะชิงเสียได้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าข้อเสนอเล็กๆ น้อยๆ นี้ ถานหยวนอี้คงจะพยายามพูดกับหลิวเหล่าเฉิงอย่างอ้อมค้อมมากที่สุด”

หลิวจื้อเม่าถอนหายใจ “ต่อให้ข้ายอมถอยขนาดนี้แล้ว หลิวเหล่าเฉิงก็ยังคงไม่ยอมตอบรับ แม้แต่ตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพในนามของข้า เขาก็ยังไม่ยอมทำทานให้แก่เกาะชิงเสีย เขาทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้ถานหยวนอี้ว่า วันหน้าทะเลสาบซูเจี่ยนจะไม่มีเจ้าแห่งยุทธภพอะไรอีกแล้ว เพราะนี่เป็นเรื่อตลกสิ้นดี”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว

ตอนนี้เขายังคิดถึงจุดเชื่อมโยงของเรื่องนี้ไม่ออก

เพราะเขาไม่รู้แผนการของสวินยวนเจ้าสำนักกุยหยกที่เลือกทะเลสาบซูเจี่ยนเป็นสถานที่ตั้งของสำนักเบื้องล่าง รวมไปถึงพันธมิตรระหว่างสวินยวนกับหลิวเหล่าเฉิง ยิ่งเดาไปไม่ถึงว่า ‘คนรู้จักเก่าแก่’ อย่างเจียงซ่างเจินที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาจะได้มาเป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่าง

ในฐานะสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยก ต่อให้ได้ครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของทะเลสาบซูเจี่ยน พวกเขายังรังเกียจว่าเล็กเกินไป ไม่แน่ว่าแม้แต่แคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งที่อยู่รอบๆ ทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างแคว้นสือหาวก็อาจต้องถูกควบรวมให้เข้าไปอยู่ในการปกครองของสำนักเบื้องล่างด้วย

ใครจะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนข้างเตียงตัวเอง? หลิวจื้อเม่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้?

เพียงแต่หลิวจื้อเม่าไม่รู้ และถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่ก็ไม่รู้เช่นกันว่า

เพื่อสถานการณ์หมากนี้ ราชครูชุยฉานปิดบังถานหยวนอี้คล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา นี่ก็เพื่อให้ชุยตงซานยอมแพ้ทั้งกายและใจ ระหว่างคนทั้งสองจึงจะแบ่งแยกได้ว่าใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว และทำให้ชุยตงซานออกมาจากสำนักศึกษาซานหยา มาให้เขาชุยฉานใช้งาน ช่วยเขาและกองทัพม้าเหล็กต้าหลียึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปอย่างยินยอมพร้อมใจ ส่วนจะเป็นเหนือหรือใต้ จะเป็นแผ่นดินที่อยู่ทางเหนือของสำนักศึกษากวานหู หรือแผ่นดินที่อยู่ทางใต้ ตอนนั้นชุยฉานให้ชุยตงซานเลือกได้ทั้งสองอย่าง

สำหรับคนอย่างชุยฉานแล้ว ผู้คนและเรื่องราวทางโลกล้วนเชื่อถือไม่ได้ ทว่าแม้แต่ ‘ตัวเอง’ ก็ยังเชื่อถือไม่ได้งั้นหรือ? นั่นไม่เท่ากับว่ากังขาในมหามรรคาของตัวเองหรือไร? ก็เหมือนที่ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันต่อต้านว่าตัวเองได้กลายเป็นคนบนภูเขาแล้ว ดังนั้นแม้แต่สะพานยาวข้ามแม่น้ำที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เขาก็ยังไม่เต็มใจจะเดินขึ้นไป

แม้จะบอกว่าตอนนี้คนคนเดียวแบ่งออกเป็นสอง ชุยตงซานถือว่าเป็นชุยฉานแค่ครึ่งตัว แต่ชุยฉานก็ดี หรือชุยตงซานก็ช่าง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่ดีแต่จะใช้กลอุบาย อวดฉลาดอย่างโง่งม

ขอแค่ตัดสินใจว่าจะนั่งลงประลองกันอย่างจริงจังแล้ว ก็ยินดีรับความพ่ายแพ้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังแพ้ให้ตัวเองครึ่งตัว

หากชุยตงซานออกจากภูเขามาช่วยเหลือต้าหลีอย่างเต็มกำลัง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เท่ากับราชวงศ์ต้าหลีมีซิ่วหู่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง!

ตอนนั้นชุยฉานยังไม่ออกไปจากหอเรือนสูงของนครน้ำบ่อ หากใช้คำสัพยอกกึ่งจริงกึ่งเล่นของชุยตงซานประโยคนั้นมาพูดก็คือ ‘แค่ข้าลองคิดก็กลัวแล้ว ต้าหลีที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปจะแพ้ได้อย่างไร?’

เฉินผิงอันเงียบไป ข่าวนี้มีทั้งดีและร้าย

ที่ดีก็คือ ความมั่นใจของหลิวจื้อเม่าในการเสนอราคากับตนจะต้องดิ่งลงเหว หลิวเหล่าเฉิงที่ครอบครองเกาะกงหลิ่วมีท่าทีแข็งกร้าวถึงเพียงนั้น ทางฝั่งของจวนชุนถิงรวมไปถึงจวนจูเสียนของเกาะชิงเสีย น้ำหนักของสิ่งของที่หลิวจื้อเม่าจะนั่งลงเสนอราคากับเฉินผิงอันมีแต่จะเบาลงเรื่อยๆ

ข้อเสียก็คือ นี่หมายความว่าหากคิดจะทำเรื่องในใจให้สำเร็จ เฉินผิงอันจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับทางต้าหลีมากกว่าเดิม นี่ทำให้เฉินผิงอันเริ่มกังขาแล้วว่า ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่มีคุณสมบัติพอที่จะส่งอิทธิพลต่อนโยบายของศูนย์กลางต้าหลีหรือไม่ จะสามารถใช้ฐานะโฆษกของสกุลซ่งต้าหลีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมาพูดคุยเรื่องการซื้อขายกับตนได้หรือไม่ หากเสียงของถานหยวนอี้ไม่ดังพอ เรี่ยวแรงที่เฉินผิงอันสิ้นเปลืองไปกับคนผู้นี้ก็จะละลายไปกับสายน้ำ ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือหากถานหยวนอี้ที่สร้างความดีความชอบได้เลื่อนขั้นไปอยู่ที่อื่นของต้าหลี ทะเลสาบซูเจี่ยนเปลี่ยนตัวแทนคนใหม่ของต้าหลีมา ‘ความสัมพันธ์ควันธูป’ อันน้อยนิดที่เฉินผิงอันสร้างไว้กับถานหยวนอี้จะกลับกลายเป็นเรื่องร้าย ที่น่ากลัวที่สุดก็คือหลิวเหล่าเฉิงยื่นเท้าเข้าแทรก เป็นเหตุให้สถานการณ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนเปลี่ยนแปลงไป ต้องรู้ว่าไม่ว่าสุดท้ายแล้วทะเลสาบซูเจี่ยนจะตกไปเป็นของใคร ขุนนางผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงที่แท้จริงไม่เคยใช่เกาะลี่ซู่อะไรนั่น แต่เป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่อยู่ชายแดนราชวงศ์จูอิ๋ง เป็นกองทัพม้าเหล็กกองนี้ที่บุกทุกอย่างที่ขวางหน้าให้พังราบเป็นหน้ากลอง เป็นผู้ตัดสินว่าทะเลสาบซูเจี่ยนจะใช้แซ่ใด หากถานหยวนอี้ถูกพวกแซ่สกุลที่เป็นเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลีพูดสรุปแบบตอกฝาโลงในราชสำนักว่าเขาทำงานได้ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็ไม่จำเป็นต้องไปที่เกาะลี่ซู่แล้ว เพราะถานหยวนอี้เองก็ยังแทบเอาตัวไม่รอด ไม่แน่ว่าอาจเห็นเขาเฉินผิงอันเป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย กำไว้ในมือแน่น ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย หวังว่าจะใช้เขามาเป็นเงินทุนก้อนสุดท้ายในการร้องขอชีวิต ในเวลานั้นถานหยวนอี้ผู้ฝึกตนเซียนดินคนหนึ่งที่สามารถตัดสินชะตากรรมของสองเกาะใหญ่อย่างเกาะชิงจ่งและเกาะเทียนหมู่ได้ภายในค่ำคืนเดียว จะยิ่งน่าหวาดกลัวและยิ่งไม่เลือกวิธีการ

เหตุผลก็ง่ายดายมาก

ถานเซวี่ยถูกเฉินผิงอันปักตรึงไว้บนบานประตู

เฉินผิงอันเองก็อาจจะกลายมาเป็นถานเซวี่ยคนต่อไป

นี่ต่างหากจึงจะเป็นการท่องยุทธภพที่แท้จริง เป็นตายต้องรับผิดชอบเอาเอง

หลิวจื้อเม่าอดทนรอให้เฉินผิงอันเปิดปาก ไม่ได้ขัดจังหวะการครุ่นคิดของนักบัญชีท่านนี้

และประโยคแรกของเฉินผิงอันก็คือ “รบกวนเจินจวินเชิญถานหยวนอี้ให้มาพูดคุยกับข้าอย่างลับๆ บนเกาะชิงเสียสักหน่อย ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

หลิวจื้อเม่าผ่อนลมหายใจโล่งอก

เพียงแต่ว่าคำพูดต่อมาของเฉินผิงอันกลับทำให้หลิวจื้อเม่ารู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ลำบากใจอย่างถึงที่สุด

“เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีว่าถานหยวนอี้ไปชนตออยู่บนเกาะกงหลิ่ว หลิวเหล่าเฉิงไม่มีทางให้ราคาสูงเทียมฟ้า เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้หั่นราคาต่อรอง ตอนนี้ตัวของถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ก็คือหลุมโคลนเละๆ หลุมหนึ่ง น้ำขุ่นบ่อนี้หากไม่ทันระวังก็อาจเปรอะเปื้อนเต็มตัว ดังนั้นข้าจึงมีข้อเสนอสองอย่าง หนึ่งคือเจ้าจำเป็นต้องถอนพันธนาการลับทั้งหมดบนร่างของมารดากู้ช่านออก ไม่ต้องถามข้าว่าจะสงสัยว่าเจ้าจะรับปาก แต่กลับไม่ยอมทำตามหรือไม่ เจ้าและข้าต่างก็รู้ขีดจำกัดของกันและกันดี ไม่จำเป็นต้องถามคำถามลองเชิงที่น่าเบื่อประเภทนี้ และเจ้าก็ยิ่งรู้ดีว่าทุกวันนี้ข้ามีท่าทีต่อจวนชุนถิงอย่างไร”

“เงื่อนไขข้อที่สอง เจ้ายกเลิกการควบคุมที่มีต่อหงซูจวนจูเสียนไปซะ มอบตัวนางให้ข้า ในเมื่อถานหยวนอี้ไม่ได้เรื่องก็ให้ข้าไปพูดคุยกับหลิวเหล่าเฉิงด้วยตัวเอง”

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยเสียงหนัก “เงื่อนไขข้อที่สองนี้ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นเงื่อนไขด้วยซ้ำ หลิวจื้อเม่า เจ้าช่างน้ำหนักดูให้ชัดเจน! เมื่อภูเขาเขียวยังอยู่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน นี่ไม่ใช่แค่กฎเกณฑ์ของทะเลสาบซูเจี่ยนพวกเจ้าเท่าเน้น ยังเป็นสัจธรรมของผู้ฝึกตนอิสระทุกคนทั่วหล้าด้วย”

หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างไม่ลังเล “ตกลง!”

ดูเหมือนเฉินผิงอันจะประหลาดใจเล็กน้อย

หลิวจื้อเม่าผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ผลักถ้วยขาวที่รินเหล้าจนเต็มถ้วยไปให้หลิวจื้อเม่า หลิวจื้อเม่ายกถ้วยดื่มเหล้าหนึ่งคำ “ท่านเฉินเป็นคนรู้ใจเพียงหนึ่งเดียวของข้าในทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าย่อมต้องเอาความจริงใจออกมาบ้าง”

หลิวจื้อเม่าหันไปมองหนีชิวน้อยตัวนั้นแวบหนึ่ง พอดึงสายตากลับมาแล้วก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้มาที่สมองของตนเอง “เจ้าสิ่งนี้ ข้ายังพอมีอยู่บ้าง”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนรู้ใจของเจินจวิน? ทำไมถึงด่าข้าแบบนี้เล่า?”

หลิวจื้อเม่าไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย กลับกันยังระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจ “เห็นไหม แล้วยังบอกว่าไม่ใช่คนรู้ใจของข้าอีกหรือ?”

ถานเซวี่ยที่มองดูเหมือนใกล้ตายบิดลำคอน้อยๆ เพื่อหันมามองบุรุษสองคนที่กำลัง ‘พูดคุยกันอย่างถูกคอ’ ฟังบทสนทนาของพวกเขาที่เพียงคำพูดแค่ไม่กี่คำก็สามารถตัดสินทิศทางของสถานการณ์ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้

นาทีนี้

นางถึงพอจะเข้าใจความนัยในคำพูดของเฉินผิงอันบ้างแล้ว

พูดจาแฝงเลศนัย นางก็เคย นางก็พูดเป็น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ถูกเฉินผิงอันมองขาดแล้วเปิดโปงด้วยคำพูดเดียว ที่นางบอกว่าตอนตัวเองอยู่ในตรอกหนีผิง ยังไม่รู้ความ ดังนั้นสาเหตุทุกอย่าง เวรกรรมทั้งหมดที่กระทำไป ต่อให้มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วก็ยังแค่พอจะ ‘จำความ’ ได้เท่านั้น ดังนั้นการที่ทุกวันนี้จวนชุนถิง ‘เจริญรุ่งเรือง’ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหนีชิวน้อยอย่างนางมากนัก ล้วนเป็นความดีความชอบของแม่ลูกคู่นั้นทั้งสิ้น

แต่เมื่อเทียบกับการพูดจาแฝงความนัยของเฉินผิงอันแล้ว นับตั้งแต่ที่หลิวจื้อเม่าเดินเข้ามา นั่งลง เขาที่เป็นถึงเจ้าเกาะของเกาะชิงเสีย ทว่าคิดจะดื่มเหล้าสักถ้วยกลับทำไม่ได้ ต้องรอให้แขกอย่างเฉินผิงอันพยักหน้าตกลงเสียก่อน อีกทั้งต่อให้ได้ถ้วยเหล้าไปแล้ว ดื่มเหล้าแล้ว ยังอารมณ์ดีอย่างมาก ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดที่แม้แต่นางก็ยังกริ่งเกรงกลับใช้คำว่า ‘คนรู้ใจ’ มาบรรยายถึงคนหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี

นางถึงได้ยอมรับว่าตัวเองที่อยู่กับเฉินผิงอัน ฉลาดไม่มากพอจริงๆ

เฉินผิงอันชี้ไปที่ถานเซวี่ยพลางพูดกับหลิวจื้อเม่าว่า “ราชครูต้าหลีจะต้องชอบคราบร่างของเจียวหลงก่อกำเนิดตัวนี้อย่างแน่นอน นี่ก็คือเบี้ยเดิมพันที่ข้าเพิ่งได้มาอยู่ในมือ เมื่อทำการค้าครั้งนี้ได้สำเร็จก็จะรักษาชีวิตของเจ้าหลิวจื้อเม่าเอาไว้ได้ แต่หากไม่ได้จริงๆ ก็จะต้องให้เจ้าได้ป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีไปแผ่นหนึ่ง ถึงเวลานั้นก็ย้ายออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อหลบภัย วันหน้าค่อยกลายไปเป็นผู้ถวายงานของต้าหลี อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวัง ดังนั้นต่อให้พูดคุยกับทั้งเกาะลี่ซู่และหลิวเหล่าเฉิงไม่เป็นผล ข้าก็ยังสามารถช่วยเจ้าป้องกันการเกิดขึ้นของ ‘หนึ่งในหมื่น’ ที่เลวร้ายที่สุดนั่นเอาไว้ได้”

หลิวจื้อเม่าหรี่ตาลง “ท่านเฉินตัดใจเอาชีวิตสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ได้จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วชี้ไปที่ถานเซวี่ย “ข้าให้โอกาสนางหลายครั้งมากแล้ว ต่อให้นางจะคว้าไว้ได้เพียงครั้งเดียวก็ไม่มีทางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แล้วจะโทษใครได้? โทษที่ข้าไม่มีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์มากพองั้นหรือ? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ข้าเองก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์สักหน่อย”

หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับเบาๆ เห็นด้วยอย่างยิ่ง

หากคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไม่มีวิธีการรับมือและสติปัญญาเช่นนี้ ก็ไม่คู่ควรให้ตนนั่งลงแล้วทำหน้าหนาขอเหล้าจากอีกฝ่ายดื่ม

คราวก่อนที่มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก เหตุใดหลิวจื้อเม่าถึงไม่ได้พยักหน้าตกลงทันที?

ด้านหนึ่งเพราะยังไม่ยอมแพ้ หวังว่าถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่จะพูดคุยกับหลิวเหล่าเฉิงได้สำเร็จ ถ้าเช่นนั้นหลิวจื้อเม่าก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเฉินผิงอันอีก แค่ต่างคนต่างอยู่เหมือนน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลองไปเท่านั้น

อีกอย่างการที่เฉินผิงอันสามารถเข้าใจเรื่องราวหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหงซู พันธนาการลับที่อยู่บนร่างของสตรีแต่งงานแล้วในจวนชุนถิง และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ได้ทำให้หลิวจื้อเม่ารู้สึก ‘จิตใจสงบ’ ได้อย่างแท้จริง เหตุใดบัณฑิตถึงกล่าวว่าอาชีพทุกอย่างล้วนต่ำต้อยด้อยค่า มีเพียงศึกษาเล่าเรียนอ่านตำราจึงจะเป็นหนทางที่แท้จริง? แต่สุดท้ายแล้วกลับตบหน้าตัวเองด้วยการบอกว่า คนไร้ประโยชน์คือบัณฑิต? นี่ก็ไม่ใช่เพราะคิดอย่างไรคือเรื่องหนึ่ง ส่วนทำอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งหรอกหรือ?

ดังนั้นเฉินผิงอันจะจัดการกับสัตว์เดรัจฉานที่จิตใจทะเยอทะยานยิ่งกว่าแผ่นฟ้า ทว่าชะตาชีวิตกลับเบาบางยิ่งกว่าแผ่นกระดาษตัวนั้นอย่างไร ก็คือธรณีประตูที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ข้ามผ่านไปได้ ทำได้ดีทุกอย่างก็รวดเร็วว่องไว สวยสดงดงาม หลิวจื้อเม่าถึงกล้าคบค้าสมาคม กล้าทำการค้ากับเฉินผิงอันอย่างแท้จริง

การเข่นฆ่าสังหารย่อมต้องมี

แต่จะเข่นฆ่าสังหารกันอย่างไร นั่นก็ยิ่งต้องมีความรู้

การกระทำของหนีชิวตัวนี้และของกู้ช่าน หรือแม้แต่ของพวกลูกรักแห่งสวรรค์อย่างลวี่ไช่ซาง หยวนหยวน ฯลฯ ในสายตาของหลิวจื้อเม่า นั่นก็คือการละเล่นกันของพวกเด็กๆ ก็แค่พูดจาเสียงดังหน่อย ทำถ้วยไหจานชามแตกเยอะหน่อย คิดจริงๆ หรือว่าสวรรค์คือที่หนึ่งส่วนตัวข้าคือที่สอง แต่หลิวจื้อเม่าก็ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นแบบนี้แล้วไม่ดี ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ แบบนี้ต่างหากถึงจะดีที่สุด ยิ่งมีคนโง่ที่มัวเมากับคำว่าหมัดแข็งหรือไม่แข็งอยู่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี คนที่แม้แต่เรื่องที่ว่าบนหมัดนุ่มนิ่มที่สังหารผู้คนเพียงเพราะความชื่นชอบหรือโกรธาของตัวเองต้องอาศัยบารมีของเกาะ ของสำนักหรือของบรรพจารย์เท่าไหร่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดเหล่านั้น คู่ควรให้เขาหลิวจื้อเม่าต้องเป็นกังวลหรือ? เก้าอี้ที่อยู่ใต้ก้นของเขาหลิวจื้อเม่ามีแต่จะนั่งได้มั่นคงเท่านั้น

น่าเสียดายก็แต่ หลิวเหล่าเฉิงที่มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนยิ่งกว่าเขากลับมาแล้ว

ในเมื่อฟ้าให้เขาหลิวจื้อเม่ามาเกิด เหตุใดยังต้องให้มีหลิวเหล่าเฉิงด้วย?

กาลเวลาไม่เข้าข้างข้า หลิวจื้อเม่าได้แต่ทอดถอนใจเช่นนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version