Skip to content

Sword of Coming 444

บทที่ 444 กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม

เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านราตรีอยู่เนิ่นนาน

เขายืนอยู่ใต้ชายคา ในมือถือเตาอุ่นมือ

กู้ช่านร้องไห้ปานจะขาดใจ คล้ายสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ

ต่อให้ตอนนี้เฉินผิงอันจะหันมามองกู้ช่านอีกครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เปิดปากพูดอะไร ปล่อยให้กู้ช่านร้องคร่ำครวญอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเปรอะเปื้อนทั้งน้ำมูกน้ำตา

กู้ช่านร้องไห้จนร่างเกร็งกระตุก ร้องจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้น พอสะสมแรงได้เล็กน้อยแล้วก็เริ่มโหยไห้เสียงแหบเสียงแห้งอีกครั้ง เขาร้องไห้ราวกับควักเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีออกมาใช้แล้ว

เฉินผิงอันถามเนิบช้าว่า “ทำไมถึงไม่ขอร้องข้า? เป็นเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์อย่างนั้นหรือ? ไม่ยินดีจะเสียโอกาสครั้งสุดท้ายไป เพราะหากช่วยเปิดปากขอร้องแทนถานเซวี่ย ข้าจะไม่เพียงแต่ไม่ติดค้างจวนชุนถิง ไม่ติดค้างพวกเจ้าสองแม่ลูก กับเจ้ากู้ช่านเองก็เหมือนกัน แม้แต่เยื่อใยน้อยนิดก็จะไม่เหลืออยู่อีก เป็นแบบนี้ใช่ไหม? ในที่สุดก็รู้แล้วว่าต่อให้มีถานเซวี่ยอยู่ด้วย ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีชีวิตอยู่รอดในทะเลสาบซูเจี่ยนได้ เปลี่ยนถานเซวี่ยมาเป็นข้าเฉินผิงอัน ให้มาทำเป็นหน้าที่เทพทวารบาลของจวนชุนถิงพวกเจ้า ไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองแม่ลูกอาจจะยังมีชีวิตได้เหมือนก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าไม่ได้เสวยสุขอย่างเต็มคราบ ไม่อาจพูดกับข้าอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ข้าชอบฆ่าคน’ ได้อีกก็เท่านั้น? แต่เมื่อเทียบกับการที่วันใดต้องเจอกับผู้ฝึกตนที่ไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน ไร้แค้นไร้อาฆาต แต่กลับต้องถูกคนเขาตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว คนทั้งครอบครัวไปพบกันพร้อมหน้าพร้อมตาในปรโลกแล้ว ก็ยังถือว่าได้กำไรอยู่ดี?”

กู้ช่านไม่เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่เช็ดน้ำมูกน้ำตาที่เปื้อนเต็มหน้า เพียงแค่จ้องนิ่งมายังเฉินผิงอันอยู่อย่างนั้น

เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้ช่าน ค้อมเอวส่งเตาอุ่นมือไปให้

ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนกองหิมะก่อให้เกิดเสียงแอดอาดของหิมะที่ถูกบด

กู้ช่านไม่รับ

เฉินผิงอันจึงทรุดตัวลงนั่งยอง ประจันหน้ากับกู้ช่าน “เจ้าเด็กขี้มูกยืด ไม่เป็นไร พูดมาตามตรง ข้าจะรับฟังทุกอย่าง”

กู้ช่านหยิบหิมะก้อนใหญ่ขึ้นมา หันหน้าไปทางอื่นแล้วเอามันเช็ดหน้าลวกๆ ครั้นจึงหันหน้ากลับมา พูดเสียงสะอื้นว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคนเลวที่สุด!”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้า ข้าถือว่าเป็นคนดีแล้ว หากไม่ใช่คนดีที่ฉลาดก็คือคนชั่ว”

น้ำตาของกู้ช่านพังทลายลงมาอีกครั้ง “ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้า จวนชุนถิงของพวกเจ้า พวกเจ้าสองแม่ลูก! เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าชอบพูดอย่างนี้ พวกเราอย่าเป็นอย่างนี้กันอีกเลยได้ไหม…”

กู้ช่านใช้หลังมือสองข้างปิดหน้า ร้องไห้สะอื้นโฮ

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้ากลับไปเถอะ”

กู้ช่านต่อยลงบนหน้าอกของเฉินผิงอันจนเฉินผิงอันทรุดนั่งลงบนหิมะ

แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน โซซัดโซเซวิ่งออกไป

วิ่งออกไปได้หลายสิบก้าว กู้ช่านถึงหยุดเท้า ไม่ได้หันกลับมา เพียงพูดเสียงสะอื้นว่า “เฉินผิงอัน เจ้าสำคัญยิ่งกว่าหนีชิวน้อย เป็นอย่างนี้ตลอดมา ทว่านับแต่บัดนี้ไป จะไม่เป็นอย่างนี้อีกแล้ว ต่อให้หนีชิวน้อยจะตายไปแล้ว นางก็ยังดีกว่าเจ้า”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ท่ามกลางหิมะ มองไปยังทะเลสาบซูเจี่ยน

จิตใจนิ่งสงบดุจผิวน้ำ

แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน สลัดเศษหิมะที่อยู่บนชุดผ้าฝ้ายออก เฉินผิงอันเดินไปที่ท่าเรือ รอคอยให้เจ้าเกาะลี่ซู่ถานหยวนอี้มาถึง ด้วยนิสัยทำอะไรรวดเร็วฉับไวของหลิวจื้อเม่า พอกลับไปถึงจวนเหิงโปแล้วจะต้องส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังเกาะลี่ซู่ทันทีแน่นอน เพียงแต่เขาก็คิดขึ้นมาได้กะทันหันว่าหัวหน้าสายลับของศาลาคลื่นมรกตแถบภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปผู้นี้น่าจะไม่โดยสารเรือมา แต่ต้องนัดแนะกับหลิวจื้อเม่าไว้ก่อน จากนั้นจึงแฝงตัวเข้ามาในเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันจึงหมุนตัวเดินตรงไปที่จวนเหิงโป

จวนชุนถิง

สตรีแต่งงานแล้วสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะ กำลังรอคอยด้วยความร้อนใจ

พอเห็นเงาร่างของกู้ช่านก็วิ่งเหยาะๆ ไปหา ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ถานเซวี่ยล่ะ? ไม่ได้กลับมาพร้อมกับเจ้าหรือ?”

ก่อนหน้านี้ตอนที่สองแม่ลูกห่อเกี้ยวอยู่ด้วยกันในห้องครัว จู่ๆ กู้ช่านก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขาทรุดลงกับพื้น มือกุมไว้ที่หัวใจคล้ายคนป่วยหนัก

ตอนนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องไม่ดี มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าถานเซวี่ยที่อยู่นอกจวนชุนถิงจะเกิดปัญหา

กู้ช่านเงยหน้า พูดอย่างเหม่อลอย “ตายแล้ว”

สตรีแต่งงานแล้วตะลึงพรึงเพริด นึกว่าตัวเองฟังผิดไป “ช่านช่าน เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

กู้ช่านพูดซ้ำ “ตายแล้ว”

สตรีแต่งงานแล้วตวาดกร้าว “ตายแล้ว? ตายไปทั้งอย่างนี้? ถานเซวี่ยคือเจียวหลงขอบเขตก่อกำเนิด จะตายได้อย่างไร?! นอกจากตะพาบเฒ่าแซ่หลิวที่เกาะกงหลิ่วแล้ว ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะยังมีใครที่สามารถฆ่าถานเซวี่ยได้อีก!”

กู้ช่านมองใบหน้าของมารดาแล้วเอ่ยว่า “ยังมีเฉินผิงอัน”

สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างโกรธเคือง “พูดจาเหลวไหลอะไร! เฉินผิงอันจะฆ่าถานเซวี่ยได้อย่างไร แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาฆ่าหนีชิวน้อยที่ไม่ใช่ของเขาแล้ว เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? เจ้าเศษสวะใจดำอำมหิต ปีนั้นเขาสมควรหิวตายอยู่ในตรอกหนีผิงนั่น ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขามาเยือนเกาะชิงเสียของพวกเราคราวนี้ต้องไม่มีเจตนาดี ไอ้เด็กชั่วสมควรโดนแทงพันครั้ง…”

กู้ช่านพลันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินผิงอันอาจจะได้ยิน”

สตรีแต่งงานแล้วหุบปากฉับทันใด กวาดตามองรอบด้านอย่างตื่นตระหนก นางหน้าซีดขาวจนแทบไม่ต่างจากหิมะที่อยู่บนพื้นและเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกบนร่าง

กู้ช่านเงียบงันไปอีกครั้ง

สตรีแต่งงานแล้วพลันพุ่งเข้ามากอดเขา ร่ำไห้พลางเอ่ยว่า “ลูกชายที่น่าสงสารของข้า”

กู้ช่านสีหน้าไร้อารมณ์ ตอนนี้ไม่ว่าจะร่างกายหรือสภาพจิตใจของเขาก็ล้วนอ่อนแออย่างถึงที่สุด ไปกลับระหว่างจวนชุนถิงและประตูภูเขาท่ามกลางลมหิมะมารอบหนึ่ง มือเท้าจึงเย็นเฉียบอยู่นานแล้ว

……

กลับมาถึงจวนเหิงโปอีกครั้ง หลิวจื้อเม่าลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะบอกให้พ่อบ้านคนสนิทไปเชิญจางเย่มา

แล้วก็ไปเยือนหลุมกระบี่ลับขนาดเล็กที่คล้ายคลึงกับห้องกระบี่ ด้านในเก็บกระบี่บินส่งข่าวชั้นสูงเอาไว้ เขาใคร่ครวญหาถ้อยคำอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งข่าวแจ้งไปยังถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่

สุดท้ายหลิวจื้อเม่าก็มายังห้องโถงใหญ่ที่ปูด้วยพรมซึ่งผลิตขึ้นในแคว้นไฉ่อี เขาทำท่าวักกอบเอาไอน้ำกลุ่มหนึ่งขึ้นมา แล้วสาดลงบนพื้น ภาพของประตูภูเขาเกาะชิงเสียก็ปรากฏขึ้น

หิมะใหญ่หยุดลงแล้ว ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏให้เห็นจึงค่อนข้างจะเงียบเหงาวังเวง

หลิวจื้อเม่าก้มหน้าจ้องมองภาพที่เกิดจากไอน้ำนิ่ง

ระหว่างนี้ก็เงยหน้ามองไปนอกประตูอยู่สองสามครั้ง

เขายิ้มอย่างจนใจ ตอนนี้ผู้ฝึกตนเกือบพันคนของเกาะชิงเสียก็มีแค่จางเย่คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับคำสั่งจากจวนเหิงโปแล้วยังกล้าเดินมาอย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่มีทางทะยานลมอย่างรีบร้อน ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าเกาะอย่างเขาจะรู้สึกไม่ชอบใจหรือไม่ ตาเฒ่าอย่างจางเย่ผู้นี้กลับไม่เคยสนใจแม้แต่น้อย

หลิวจื้อเม่าถอนหายใจ

พี่น้องที่เคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้กันมาตั้งแต่แรกเริ่มสุดล้วนตายกันไปเกือบหมดแล้ว หากไม่ตายอยู่บนสนามรบที่บุกเบิกเส้นทางกันมาเองก็ต้องตายอยู่ท่ามกลางการลอบสังหารที่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน หรือไม่ก็เป็นพวกพยศยากกำราบที่เกิดใจเป็นปรปักษ์ จึงถูกเขาหลิวจื้อเม่าสังหารทิ้งด้วยตัวเอง แน่นอนว่าคนที่มากกว่านั้นคือแก่ตายไป ผลคือสุดท้ายแล้วข้างกายก็เหลือแค่จางเย่ที่เป็นสหายเก่าแก่คนสุดท้ายของเกาะชิงเสียคนเดียว

หลิวจื้อเม่าเดินทะลุผ่านภาพโชคชะตาน้ำไปยังประตูใหญ่ ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ก้าวข้ามธรณีประตูไปยืนรอจางเย่อยู่ตรงนั้น

ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ต่ำกว่าเซียนดิน เมื่อมาอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีเกาะนับพันแห่งนี้ ต่อให้ไม่พูดถึงความสัมพันธ์ที่มีกับหลิวจื้อเม่า อันที่จริงจางเย่ก็สามารถครอบครองพื้นที่หนึ่งแล้วตั้งตนเป็นราชา เป็นเจ้าเกาะก็ยังเหลือแหล่ ในความเป็นจริงแล้วสองปีมานี้ที่หลิวจื้อเม่าใช้วิธีคบค้ากับคนไกลโจมตีคนใกล้ ฮุบเอาเกาะใหญ่สิบกว่าเกาะซึ่งรวมถึงเกาะซู่หลินมาได้ ก็เพราะตั้งใจว่าจะให้ขุนนางผู้ประคับประคองมังกรเช่นจางเย่เลือกเกาะใหญ่แห่งหนึ่งเป็นพื้นที่ก่อตั้งจวน เพียงแต่ว่าจางเหย่ปฏิเสธเขาถึงสองครั้งสองครา หลิวจื้อเม่าจึงไม่ยืนกรานอีก

ช่วงแรกเริ่มที่พบเจอกันพวกเขาทั้งสองคนต่างก็เป็นขอบเขตชมมหาสมุทร จางเย่ที่มีชาติกำเนิดเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลไม่เพียงแต่เป็นสหายของหลิวจื้อเม่า ยังเป็นกุนซือที่คอยวางแผนให้หลิวจื้อเม่าอยู่เบื้องหลัง สามารถพูดได้ว่าในช่วงแรกเริ่มที่เกาะชิงเสียข้ามผ่านด่านหายนะมาได้อย่างปลอดภัยหลายครั้งหลายคราวนั้น นอกจากเหล่าขุนนางผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งที่มีหลิวจื้อเม่าเป็นผู้นำลงมืออย่างดุร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า สังหารศัตรูแบบถอนรากถอนโคน สยบฝูงชนด้วยบารมีอำนาจแล้ว แผนการที่เด็ดขาดของจางเย่ก็สำคัญอย่างถึงที่สุด

การที่หลิวจื้อเม่าปฏิบัติต่อจางเย่อย่างมีมารยาทเสมอมา นอกจากความสัมพันธ์ควันธูปที่ได้มาไม่ง่ายในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้แล้ว ยังเป็นเพราะหลังจากที่จางเย่หยัดยืนอยู่บนเกาะชิงเสียได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลิวจื้อเม่าเดินขึ้นสูงไปบนเส้นทางของการฝึกตนเรื่อยๆ จนสลัดเขาทิ้งไว้เบื้องหลังห่างไกล คำพูดมากมายที่คิดว่าตัวเองควรจะพูด จางเย่ล้วนไม่เคยลังเลใจ เรียกได้ว่าเปลี่ยนตัวเองจากขุนนางบุกเบิกแคว้นผู้มีคุณูปการที่เดิมทีควรต้องนอนเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง ให้กลายมาเป็นขุนนางผู้ทัดทานที่ไม่รู้จักกลัวตาย คอยสร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้คน มีอยู่หลายครั้งที่หลิวจื้อเม่าโมโหจางเย่ที่ไม่ให้เกียรติเขาแม้แต่น้อยจริงๆ การต่อสู้เพื่อรวบรวมแผ่นดินกับการลงจากหลังม้ามารักษาแผ่นดิน กฎเกณฑ์จะเหมือนกันได้หรือ? แต่จางเย่ก็ยังทำตามที่ตัวเองต้องการอยู่เหมือนเดิม หลังจากที่หลิวจื้อเม่าเลื่อนสู่ก่อกำเนิดจึงยิ่งห่างเหินกับจางเย่มากขึ้นทุกที แต่ก็แค่ทำให้จางเย่ที่ทำหน้าที่ดูแลห้องตกปลาและคลังลับเก็บสมบัติไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน มีสถานะเป็นขุนนางในเมืองหลวง แต่กลับทำงานของขุนนางในท้องถิ่นก็เท่านั้น ดังนั้นเวลาตลอดหลายปีมานี้จึงไม่อาจบอกได้ว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เมื่อเทียบกับผู้ถวายงานอย่างอวี๋กุ้ยที่มาอยู่เกาะชิงเสียตอนหลัง แต่กลับเจริญรุ่งเรืองมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุดแล้ว โอกาสที่จางเย่จะเผยตัวบนเกาะชิงเสียก็น้อยลงเรื่อยๆ งานเลี้ยงฉลองหลายครั้ง เขาเองก็เข้าร่วม แต่กลับไม่เคยเปิดปากพูดอะไร ทั้งไม่ประจบเอาใจสกัดคงคาเจินจวิน แล้วก็ไม่พูดจาฉีกหน้า

เหตุการณ์ในอดีตแล่นผ่านไปในหัวสมอง พอคิดถึงเรื่องเก่าๆ เหล่านี้ หลิวจื้อเม่าก็อดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังอย่างที่ไม่เคยทำมานานไม่ได้

ในที่สุดก็มาถึงสักที

จางเย่ที่พอพบหลิวจื้อเม่าแล้วกลับยังคงเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างไม่รีบไม่ร้อน

ไม่เพียงเท่านี้ ในมือของเขายังถือหิมะที่ปั้นเป็นก้อนกลมไว้ด้วย เห็นได้ชัดว่าระหว่างที่เดินทางมาจางเย่เตร็ดเตร่สบายใจแค่ไหน แล้วคนที่ไปเรียกเขาร้อนใจราวกับไฟลนเพียงใด

ผู้ดูแลใหญ่ของจวนเหิงโปที่อยู่ข้างกายก็เป็นขอบเขตประตูมังกรเช่นกัน ครั้งนี้ที่ออกไปเรียกหาจางเย่ เขาอารมณ์หงุดหงิดอยู่จริงๆ แต่เมื่อเขามองเห็นว่าเจินจวินผู้เฒ่ามายืนรออยู่นอกประตู หัวใจก็พลันหดรัดตัว รู้สึกเสียใจภายหลังทันที ตลอดทางมานี้เขาเอ่ยเร่งจางเย่อยู่หลายครั้งจริงๆ โชคดีที่ไม่ได้พูดบ่นอะไร ไม่อย่างนั้นตอนนี้อาจจะโดนเล่นงานเอาได้

หลิวจื้อเม่าโบกมือให้ผู้ดูแลใหญ่ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องเข้ามาใกล้ห้องโถง ฝ่ายหลังจึงรีบโค้งตัวแล้วจากไปทันที

จางเย่กุมหมัดคารวะ “คารวะท่านเจ้าเกาะ”

หลิวจื้อเม่ายิ้มพลางยกมือกดลงบนความว่างเปล่าสองทีเป็นการบอกให้จางเย่รู้ว่าไม่ต้องทำตัวห่างเหินกันถึงเพียงนี้

คนทั้งสองเดินตามกันข้ามธรณีประตูเข้าไป จางเย่มองเห็นภาพที่ลอยอยู่เหนือพรมทอลายก็ไม่พูดอะไร

หลิวจื้อเม่าพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ปีนั้นเจ้าและห้องตกปลาใช้เวลาแปดปีถึงจะสามารถช่วยข้าตามหาผู้ฝึกตนโอสถทองที่ไปเกิดใหม่เจออย่างยากลำบาก ตอนนั้นเจ้าเกลี้ยกล่อมข้าว่าสามารถกักขังนางไว้บนเกาะชิงเสียได้ แต่ห้ามเล่นตุกติกกับร่างนางเด็ดขาด ในอนาคตหากหลิวเหล่าเฉิงกลับมายังเกาะกงหลิ่ว สุดท้ายเมื่อต้องแตกหักกันแล้วค่อยเปิดเผยเรื่องนี้ หากทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าข้าหลิวจื้อเม่าอาจจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ ตอนนั้นข้าไม่เชื่อ เจ้าเลยเถียงกับข้า ข้ายังบอกว่าเจ้าใจอ่อนเหมือนสตรี การวิเคราะห์จิตใจของหลิวเหล่าเฉิงก็เป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก ตอนนี้มาลองย้อนมองดูแล้ว ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะถูก แต่ข้านี่แหละที่ผิดแน่นอน”

จางเย่พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หาได้ยากที่เจ้าเกาะจะยอมรับผิด ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้า พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกหรือไม่”

หลิวจื้อเม่ายื่นนิ้วมาชี้หน้าเจ้าเฒ่าพยศผู้นี้ พูดอย่างฉิวๆ ว่า “ด้วยนิสัยเสียๆ และปากร้ายๆ นี้ของเจ้า หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ป่านนี้คงถูกข้าฆ่าตายไปแปดครั้งสิบครั้งแล้ว”

จางเย่ร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณบุญคุณที่ไม่ฆ่าของเจ้าเกาะ”

หลิวจื้อเม่ากำลังจะพูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ ก็ชี้ไปที่ม้วนภาพ กล่าวว่า “ดูให้ดีล่ะ”

บนภาพนั้น กู้ช่านกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางหิมะนอกประตู

หลังจากนักบัญชีผลักประตูเปิดออกแล้วพูดประโยคนั้นจบ เขาก็เงยหน้าขึ้น สองมือโอบประคองเตาอุ่นมือ เงยหน้าอยู่อย่างนั้น

สีหน้าของหลิวจื้อเม่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

จางเย่เอ่ย “ข้าแนะนำท่านเจ้าเกาะว่าถอนม้วนภาพออกไปเสียเถอะ แต่ข้าคิดว่าทำอย่างนั้นก็ยังไม่มีประโยชน์กับผายลมอะไรอยู่ดี”

หลิวจื้อเม่ายื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่งแล้วแตะเบาๆ ลงบนมุมหนึ่งของม้วนภาพ จากนั้นจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ถอนม้วนภาพนี้ออกไปจริงๆ

หลิวจื้อเม่ากล่าว “เจ้าคิดว่าเฉินผิงอันผู้นี้เป็นคนอย่างไร?”

จางเย่คิดแล้วก็ตอบว่า “เป็นคนน่ากลัวมาก หากเขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยน ก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไรของท่านเจ้าเกาะแล้ว”

หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “ความลับบางอย่างระหว่างข้ากับเขา คงไม่เล่าให้เจ้าฟังแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า แต่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้จะดีกว่า แต่เรื่องเล็กๆ บางอย่างที่ไม่มีผลกระทบกับเรื่องใหญ่ ยังพอจะเอามาเล่าให้เจ้าฟังเพื่อความบันเทิงได้”

จางเย่ไม่จงใจพูดเหน็บแนมหลิวจื้อเม่าอีก

เรื่องเล็กของหลิวจื้อเม่าต้องไม่เล็กแน่นอน

หลิวจื้อเม่าจึงเล่าบทสนทนาระหว่างเขากับเฉินผิงอันตอนที่เดินออกมาจากประตูภูเขาให้จางเย่ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงว่าพวกเขาร่วมกินเกี้ยววันตงจื้อที่จวนชุนถิงนั่นอย่างไร และจากนั้นแต่ละคนแยกย้ายกันไปทำเรื่องอะไรของตัวเองบ้าง

หลิวจื้อเม่ากล่าว “เจ้าว่าเหตุใดเฉินผิงอันจึงจงใจพาข้าไปข่มขู่สตรีผู้นั้น แล้วทำไมถึงต้องมอบน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่ข้าเปล่าๆ โดยเลือกปิดบังความจริงกับสตรีแต่งงานแล้ว และให้ข้าหลิวจื้อเม่าได้เป็นคนดีกับเขาครั้งหนึ่ง?”

จางเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเข้าประเด็นทันทีว่า “ไม่ซับซ้อน นับตั้งแต่นาทีที่เฉินผิงอันย้ายออกมาจากจวนชุนถิงก็ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับมารดาของกู้ช่านชัดเจนแล้ว เพียงแต่ว่าวิธีการที่ใช้ค่อนข้างจะนุ่มนวล ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีบันไดลง ไม่ถึงขั้นทะเลาะกันจนแตกหัก แต่ตอนนั้นสตรีแต่งงานแล้วน่าจะรู้สึกเพียงว่าโล่งอก แต่ก็ยังเดาไม่ออกถึงจุดประสงค์ของเฉินผิงอัน หลังจากนั้นที่เฉินผิงอันคอยไปกินข้าวที่จวนชุนถิงก็แค่ปลอบใจพวกเขาเท่านั้น สตรีแต่งงานแล้วจึงค่อยๆ วางใจลงได้ สภาพจิตใจของนางอยู่ในสภาวะที่นางคิดว่า ‘สบาย’ ที่สุด เฉินผิงอันไม่ทีทางหลอกกู้ช่าน ทำให้กู้ช่านต้อง ‘หลงเดินทางผิด’ กลายไปเป็นคนดีที่รนหาที่ตายอะไรนั่น อีกทั้งเฉินผิงอันก็ยังอยู่บนเกาะชิงเสีย ไม่ว่าอย่างไรก็ถือเป็นยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่งของจวนชุนถิง เหมือนกับเทพทวารบาลที่เฝ้าประตูเรือนหลังหนึ่ง แน่นอนว่านางต้องชอบอยู่แล้ว หลังจากนั้นมาเฉินผิงอันก็ไปเยือนจวนชุนถิงน้อยลงเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยให้จับได้ เพราะนักบัญชีท่านนี้ยุ่งมากจริงๆ ดังนั้นสตรีแต่งงานแล้วจึงยิ่งวางใจได้มากกว่าเดิม จนกระทั่งคืนนี้ เฉินผิงอันเรียกท่านเจ้าเกาะให้ไปกินเกี้ยวที่จวนชุนถิงด้วยกัน นางถึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าทั้งสองฝ่ายกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้ว”

จางเย่เอ่ยถ้อยคำที่แทบจะใกล้เคียงกับความจริงเหล่านี้จบแล้วก็ถามว่า “คนนอกอย่างข้าที่เคยพบเฉินผิงอันแค่ไม่กี่ครั้งยังมองเขาออก แล้วนับประสาอะไรกับท่านเจ้าเกาะ เหตุใดถึงยังต้องถามข้า? ทำไม กลัวว่าข้านั่งเก้าอี้เย็นเฉียบตัวนี้มานานหลายปี ไม่เคยได้ใช้สมองมานาน สมองก็เลยขึ้นสนิมไม่ต่างจากสตรีในจวนชุนถิงที่ชอบเรียกตัวเองว่าฮูหยินตราตั้งด้วยความภาคภูมิใจผู้นั้นน่ะหรือ? อีกอย่างต่อให้สมองของข้าใช้การได้ไม่ดีแค่ไหน แต่การที่ข้าช่วยท่านเจ้าเกาะดูแลคลังสมบัติลับและห้องตกปลาก็ยังพอทำได้ไม่ใช่หรือ? หรือรู้สึกว่าให้ข้าควบคุมคลังเก็บสมบัติลับไว้ในมือแล้วจะไม่วางใจ กลัวว่าข้าที่เห็นว่าเกาะชิงเสียกำลังจะกลายเป็นต้นไม้ล้มฝูงลิงแตกกระเจิง แล้วจะม้วนเสื่อหอบผ้าเผ่นหนีไปพร้อมกับสมบัติกองโตด้วย? พูดมาเถอะ คิดจะมอบคลังลับให้แก่คนสนิทคนใด ท่านเจ้าเกาะวางใจได้ ข้าไม่มีทางหวงตำแหน่ง แต่หากคนที่ท่านเลือกมาไม่เหมาะสม ข้าก็คงต้องสาดน้ำเย็นใส่หน้าท่านเจ้าเกาะอีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย”

หลิวจื้อเม่าด่าขันๆ “เลิกพูดจาเหลวไหลสักที!”

จางเย่เอ่ยเนิบช้า “ถ้าอย่างนั้นเพราะอะไรกันแน่? ไม่ใช่ว่าข้าจางเย่ดูถูกตัวเอง ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ข้าช่วยอะไรได้ไม่มากจริงๆ หากจะให้ข้าไปทำหน้าที่เป็นนักรบเดนตาย ข้าไม่มีทางตอบรับเด็ดขาด ต่อให้ข้าจะรู้ว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีเวลาถึงหกสิบปี นั่นถือเป็นชั่วชีวิตหนึ่งของคนธรรมดาแล้ว เวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ สุข ข้าเสพมาแล้ว ทุกข์ ข้าก็ยิ่งเผชิญมาไม่น้อย ข้าไม่ติดค้างอะไรเจ้าและเกาะชิงเสียสักนิดเดียว”

หลิวจื้อเม่าไม่ได้ตอบคำถามของจางเย่ แต่ทอดถอนใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เจ้าว่าหากในทะเลสาบซูเจี่ยนล้วนมีแต่คนอย่างเฉินผิงอัน คนแก่หนังเหนียว คนชั่วช้าที่ด้านหนึ่งก็ถูกคนด่าว่ามีโทษมหันต์สมควรตาย แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนเคารพยกย่องอย่างพวกเรา จะยังมีชีวิตกันอยู่ได้อีกอย่างไร? จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ตัวเองได้อย่างไร?”

จางเย่ยิ้มกล่าว “ท่านเจ้าเกาะ คนแบบนี้ มีไม่มากหรอก”

หลิวจื้อเม่าหันหน้ามามองผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรที่จิตวิญญาณเสื่อมโทรมท่านนี้ มองอยู่นานมาก

จางเย่ก็ไม่พูดอะไร

หลิวจื้อเม่าจึงพูดขึ้นว่า “จางเย่ เจ้าหาวันฤกษ์ดีสักวัน แล้วปลายปีของปีนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันเริ่มฤดูใบไม้ผลิก็แอบออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนเงียบๆ เถอะ ไปให้ไกลสักหน่อย หาสถานที่ที่น้ำใสภูเขาเขียว ใช้เวลาหกสิบปีสุดท้ายในชีวิตตัวเองอย่างสงบสุขเถอะ”

จางเย่ขมวดคิ้วแน่น กล่าวอย่างกังขาว่า “สถานการณ์เลวร้ายถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”

หลิวจื้อเม่าลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากดูจากตอนนี้ อันที่จริงไม่ถือว่าเลวร้ายที่สุด ทว่าเรื่องราวทางโลกยากจะคาดการณ์ สกุลซ่งต้าหลีเข้ามาปักหลักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ แต่หากวันใดในสมองของต้าหลีขาดเส้นประสาทไปเส้นหนึ่ง หรือไม่ก็รู้สึกว่าแบ่งส่วนแบ่งให้หลิวเหล่าเฉิงมากเกินไป คิดจะหาทางชดเชยเอาจากตัวข้า เกาะชิงเสียจะต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลัง ถึงเวลานั้นต้าหลีหาข้ออ้างง่ายๆ สักข้อมาสังหารข้า ก็ทั้งทำให้คนในทะเลสาบซูเจี่ยนสาแก่ใจ แล้วยังจะได้สมบัติเป็นเกาะใหญ่อีกสิบกว่าเกาะไปด้วย หากข้าเป็นคนที่จัดการธุระให้กับต้าหลีก็ต้องทำอย่างนี้แน่นอน ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะเริ่มลับมีดแล้วด้วย”

หลิวจื้อเม่าตบไหล่จางเย่ “ไม่ใช่ว่าจงใจจะซื้อใจผู้อื่น หากเจ้าไม่ใช่จางเย่ ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่ฝีมือธรรมดาคนหนึ่งจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ไหนเลยต้องให้ข้าหลิวจื้อเม่ามาพร่ำพูดด้วยความหวังดีนานเป็นครึ่งๆ วันเช่นนี้ หากมีเวลาว่างแบบนี้จริงๆ ข้าเอาไปปิดด่านฝึกตนไม่ดีกว่าหรือ? หากไม่ทันระวังฝึกได้ขอบเขตหยกดิบ ก็คอยดูกับมารดามันเถอะว่าต้าหลีจะยังกล้าลับมีด ยังตัดใจใช้วิธีเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลกับข้าได้อีกไหม เป็นขอบเขตหยกดิบเหมือนกัน หร่วนฉงผู้นั้นแทบจะถูกสกุลซ่งต้าหลียกบูชาขึ้นหิ้งอยู่แล้ว ก่อกำเนิดที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวอย่างข้า เมื่อเทียบกับหร่วนฉงแล้วก็ต่างกันแค่ครึ่งขอบเขตเท่านั้น มันน่าโมโหจริงๆ”

“แต่จะว่าไปแล้ว ควรจะซื้อใจคนอย่างไร ปีนั้นก็เป็นเจ้าที่สอนข้ามาเองกับมือ”

หลิวจื้อเม่าดึงมือออกมาจากไหล่ของจางเย่ แล้วช่วยจัดสาบเสื้อของเขาให้ดูเรียบร้อยพลางยิ้มกล่าวว่า “ข้าหวังว่าบรรดาเพื่อนเก่าที่อยู่ข้างกาย ควรจะมีสักคนหนึ่งที่มีจุดจบที่ดี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการกระทำที่ไม่เปลืองแรงอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณข้า ไม่อย่างนั้นจะดูห่างเหินกันเกินไป”

จางเย่พลันสบถด่าดังลั่น “หากมีวันที่ตะพาบเฒ่าอย่างเจ้าถูกต้าหลีหรือหลิวเหล่าเฉิงฆ่าตายจริงๆ แล้วข้าไปหลบซ่อนตัว เวลาหกสิบปีผ่านไป ข้าจะไล่ตามเจ้าไปทันคุยกับเจ้าบนเส้นทางไปปรโลกได้อย่างไร?”

จางเย่ส่ายหน้า เอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ไป”

หลิวจื้อเม่ามองเจ้าคนที่โรคดื้อดึงกำเริบอีกแล้วผู้นี้ แล้วพูดนอกเรื่องว่า “เจ้าน่าจะเป็นสหายกับนักบัญชีของเราผู้นั้นได้ เวลาที่ฉลาดก็ฉลาดจนไม่เหมือนคนดี แต่เวลาที่รั้นขึ้นมาก็คล้ายคนโง่ที่น้ำเข้าสมอง”

จางเย่กล่าว “ตอนนี้สภาพจิตใจของเจ้าไม่ค่อยปกติ ไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตน ต้องเดินหนึ่งร้อยลี้ แต่เดินไปได้เก้าสิบลี้กลับเท่ากับครึ่งทางเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าเรื่องราวยิ่งใกล้ประสบความสำเร็จก็ยิ่งยากลำบาก ส่วนใหญ่จะนำมาโน้มน้าวคนว่าเมื่อทำดีแล้วก็ทำดีให้ถึงที่สุด) หากเวลานี้กำลังใจร่วงดิ่งลงเหว ชั่วชีวิตนี้ก็ยากที่จะดึงกลับขึ้นมาได้อีก แล้วจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้อย่างไร? คลื่นลมและมรสุมลูกใหญ่กว่านี้ก็ยังผ่านมาแล้ว เจ้าจะไม่รู้เลยหรือว่าคู่ต่อสู้ที่ตายไปด้วยน้ำมือของพวกเรา ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนขาดกำลังใจเฮือกหนึ่งกันทั้งนั้น?”

หลิวจื้อเม่าร้องโอ้โหหนึ่งที “จางเย่ ใช้ได้เลยนี่นา เริ่มสั่งสอนข้าอีกแล้ว แถมยังกล้าพูดถึงเรื่องฝึกตนกับข้าด้วย นึกจริงๆ หรือว่าพวกเราสองคนยังคงเป็นคนหนุ่มใจร้อนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างในปีนั้นอีก?”

จางเย่ยิ้ม “ตอนที่ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตยังพอจะถือว่าเป็นคนหนุ่มใจร้อนได้อยู่ แต่เจ้าหลิวจื้อเม่าเวลานั้นกลับอายุไม่น้อยแล้ว ช่วยไม่ได้ ผู้ฝึกตนอิสระที่ขุดดินหาอาหารอย่างสุนัขเช่นพวกเจ้ามีชีวิตแย่กว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเราเยอะเลย”

หลิวจื้อเม่าเอ่ยเย้ยหยัน “เป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมานานหลายปี ถึงเวลากลับยังเรียกตัวเองว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างภาภคภูมิใจอีกหรือไง?”

จางเย่พึมพำ “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เก็บไว้ในใจไม่เคยบอกใคร นับตั้งแต่วันแรกที่ข้ากับเจ้าคนที่ชื่อว่าหลิวจื้อเม่าผู้นั้นมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยนก็คาดหวังอย่างถึงที่สุดว่า สักวันหนึ่งจะได้เห็นหลิวจื้อเม่าใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระมาก่อตั้งสำนักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจึงมักจะไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งบ่อยๆ ที่นั่นคือสถานที่แรกที่ข้ากับหลิวจื้อเม่าหยัดยืนขึ้นมาได้ในทะเลสาบซูเจี่ยน มันคือเกาะเล็กๆ ที่มีชื่อเดียวกับจวนเหิงโป เกาะเหิงโป สถานที่เล็กเพียงแค่ฝ่ามือแห่งนั้น สุดท้ายแล้วกลับถูกศัตรูคู่อาฆาตที่เป็นโอสถทองซึ่งตอนนั้นมองดูเหมือนเก่งกาจไร้เทียมทานใช้สมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตทำลายทิ้งไปเสีย ข้าโมโหแทบตายจริงๆ ตอนนั้นจึงแอบหลิวจื้อเม่าที่ไม่มีความทดท้อแม้แต่น้อยพายเรือไปหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง”

……

เฉินผิงอันและถานหยวนอี้มาถึงจวนเหิงโปแทบจะเวลาเดียวกัน

เพียงแต่ว่าคนหนึ่งมาอย่างเปิดเผย อีกคนมาอย่างลับๆ

หลิวจื้อเม่าเดินออกจากห้องมานำทางนักบัญชีที่ในมือถือเตาอุ่นมือไปยังห้องลับแห่งหนึ่งด้วยตัวเอง ในห้องลับแห่งนั้น ผนังทั้งสี่ด้านและพื้นล้วนเป็นเงินเกล็ดหิมะทั้งหมด แล้วก็วางเบาะไว้แค่สี่ใบเท่านั้น

ถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว เขากำลังหลับตาทำสมาธิ หลังจากที่หลิวจื้อเม่าเดินเคียงไหล่เข้ามาพร้อมเฉินผิงอัน จึงลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “ชื่อเสียงของท่านเฉินดังก้องดุจสายฟ้าผ่า”

เฉินผิงอันถามคำถามหนึ่งอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “สถานการณ์ล่าสุดของทะเลสาบซูเจี่ยน เพื่อนร่วมงานในศาลาคลื่นมรกตของเจ้าเกาะลี่ซู่อย่างหลี่เป่าเจินที่ตอนนี้อยู่ในแคว้นชิงหลวน จะรับรู้ด้วยหรือไม่?”

ถานหยวนอี้กล่าว “ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนรายงานลับที่สำคัญต่อกัน หากท่านเฉินไม่ยินดีถูกกล่าวถึงในรายงานลับมากเกินไป ข้าสามารถเขียนเรื่องอื่นไปแทนได้”

แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องกุมหมัดขอบคุณ

ถานหยวนอี้พูดจาตามมารยาทอยู่พักหนึ่ง อย่างเช่นว่าท่านเฉินคือราชาใหญ่แห่งขุนเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียน อีกทั้งยังเป็นสหายของเว่ยป้อองค์เทพขุนเขาเหนือ ทุกคนในศาลาคลื่นมรกตต่างก็ชื่นชมเฉินผิงอันมานานแล้ว

แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกตกตะลึงหรือซาบซึ้งใจ กลับกันยังเริ่มเป็นกังวลกับการพูดคุยกันอย่างลับๆ ในคืนนี้อีกด้วย

ในวงการขุนนางของต้าหลี โดยเฉพาะสายลับที่ถูกจัดตัวให้มาอยู่นอกราชวงศ์ต้าหลี จะต้องให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมากที่สุด คำว่า ‘เขียนเรื่องอื่นไปแทน’ ของถานหยวนอี้ก็คือการแหกกฎ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยนก็คงเข้าใจว่าเป็นการปูพื้นฐานและความจริงใจในการทำการค้าของทั้งสองฝ่าย แต่เฉินผิงอันกลับเป็นคนที่เข้าใจการใช้กฎเกณฑ์บางอย่างของต้าหลีพอดี ช่วยไม่ได้ อดีตศัตรูคู่อาฆาตของเขาเคยเป็นเจ้าของคนเดิมของศาลาคลื่นมรกตพอดี ซึ่งก็คือเหนียงเนียงในวัง สตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ต้าหลีผู้นั้น ในเมื่อถานหยวนอี้กล้าแหกกฎ ต่อให้จะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่นี่ก็หมายความว่าเขาต้องแอบหาทางชดเชยจากตัวของเฉินผิงอันเอาไว้แล้ว และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำการค้า การทำธุรกิจ สหายหลายคนแตกคอกันด้วยเรื่องของเงิน จากมิตรกลับกลายมาเป็นศัตรู นี่ไม่แน่เสมอไปว่าเป็นเพราะสหายไม่มีคุณธรรมมากพอ เพราะตัวเองก็อาจจะผิดในเรื่องที่ ‘ไม่ชัดเจน’ ด้วย ส่วนลำดับขั้นตอนก่อนหลัง ผิดถูกหรือเล็กใหญ่ที่ยังต้องพูดถึงในเรื่องนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนทำอะไรไปตามอารมณ์ ผิดต่อทั้งคนอื่นและผิดต่อทั้งตัวเอง เสียหายบาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย

คนทั้งสามนั่งลงพร้อมกัน

คนหนึ่งคือหัวหน้าสายลับต้าหลี คือมังกรข้ามแม่น้ำ

คนหนึ่งคือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของทะเลสาบซูเจี่ยน งูเจ้าถิ่น

อีกคนหนึ่งคือนักบัญชีที่มีสำมะโนครัวอยู่ในเขตการปกครองต้าหลี อีกทั้งยังเป็นผู้ถวายงานของเกาะชิงเสีย แขกที่ผ่านทางมา

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ มือสองข้างวางทาบไว้บนเตาอุ่นมือ เขาถามเข้าประเด็นทันที “เพราะเหตุการณ์ในนครมังกรเฒ่า สกุลซ่งต้าหลีจึงติดเงินเหรียญทองแดงแก่นทองข้า เจ้าเกาะถานรู้เรื่องนี้หรือไม่?”

ถานหยวนอี้พยักหน้ารับ “นี่คือความลับอันดับหนึ่งของศาลาคลื่นมรกต ในบรรดานักรบเดนตายและสายลับทั้งหมดของศาลาคลื่นมรกตที่แฝงตัวอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป มีเพียงข้าที่พอจะรับรู้เรื่องบางอย่างได้คร่าวๆ ส่วนรายงานในเอกสารของต้าหลีที่จงใจไม่อธิบายรายละเอียด ข้าก็ยังคงไม่มีคุณสมบัติจะได้รับรู้เนื้อหาที่เป็นรูปธรรม”

เฉินผิงอันถามอีก “กองทัพของต้าหลี ยกตัวอย่างเช่นกองทัพม้าเหล็กสองกองที่ตอนนี้ทยอยกันมาถึงชายแดนราชวงศ์จูอิ๋ง ล้วนไม่พอใจเจ้าเกาะถานอย่างมากเลยใช่ไหม?”

สีหน้าของถานหยวนอี้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

ต้าหลีถนัดเรื่องวรยุทธ นับตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงยุทธภพ และไปจนถึงหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ล้วนเป็นเช่นนี้ คำกล่าวที่ว่าชาวบ้านในพื้นที่แข็งแกร่งห้าวหาญล้วนไม่ใช่คำลวง ดังนั้นจึงถูกคนในแจกันสมบัติทวีปเอ่ยเหน็บแนมมาตลอดเวลาว่าเป็น ‘คนเถื่อนทางเหนือ’

แซ่สกุลที่เป็นเสาหลักของต้าหลี ส่วนใหญ่ล้วนมีรากฐานอยู่ในกองทัพ กระจายอำนาจกันควบคุมกองทัพม้าเหล็กชายแดนที่คุ้นเคยกับการ ‘ทำสงคราม’ เป็นอย่างดี ไม่มีใครที่ได้ควบคุมกองทัพกองหนึ่งอย่างเต็มที่ ส่วนใหญ่มักจะเป็นสองสามสกุลใหญ่ที่คานอำนาจ ถ่วงดุลเป็นพันธมิตรกัน แน่นอนว่าก็มีบุคคลที่มองกันเป็นศัตรูคู่อาฆาตอย่างสองสกุลใหญ่เฉาหยวน

หากไม่เป็นเพราะราชครูต้าหลีชุยฉาน ขุนนางบุ๋นของต้าหลีก็คงไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก ต่อให้เป็นราชสำนักที่ซิ่วหู่ดำเนินการมานานถึงร้อยปี ปีก่อนก็ยังมีเรื่องตลกขบขันเกิดขึ้น ตัวแทนในเมืองหลวงของกองทัพม้าที่กรีฑาทัพลงใต้บุกไปทวงเงินที่กรมการคลังอย่างดุดัน รองเจ้ากรมการคลังที่ระดับขั้นสูงกว่าคนผู้นี้อยู่มากออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ผลกลับกลายเป็นว่ากรมการคลังก็ยังคงทำตามขั้นตอน อันดับแรกคือพร่ำพูดถึงความลำบากของตัวเอง จากนั้นค่อยบอกว่าตัวเองยากจน สุดท้ายแบสองมือบอกว่าไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว หากมีความสัมพันธ์ควันธูปในวงการขุนนางให้เอามาใช้ได้ อย่างมากสุดก็แค่พูดจาอย่างจริงใจว่าจะพยายามหาเงินมาหมุนเวียนให้ได้ หากไม่มีความสัมพันธ์ที่ว่านั้นก็คือเจ้าอยากทำอะไรก็ทำ แน่จริงพวกเจ้าก็มาอาละวาดที่กรมการคลังเอาเองสิ

คนที่มาทวงเงินที่กรมการคลังผู้นั้นมีความสัมพันธ์ธรรมดากับทางกรม เขาฟังอยู่นาน อดทนฟังจนถึงท้ายที่สุด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์ ตบโต๊ะถลึงตา ชี้หน้ารองเจ้ากรมการคลังผู้นั้น ด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ร่ายเอาคุณความชอบล่มแคว้นตลอดทางที่กองทัพม้าเหล็กของตนย่ำไปทางทิศใต้ขึ้นมาพูดอย่างชัดเจน จากนั้นก็ไล่รายชื่อของทหารแต่ละคนว่าบาดเจ็บและล้มตายไปในศึกครั้งใดในแคว้นใดบ้าง ตามคำบอกของราชครูชุยฉาน นี่ก็คือ ‘ชาวบู๊ก็ควรต้องพูดภาษาสุภาพที่ชาวบุ๋นฟังรู้เรื่อง’ สุดท้ายถามรองเจ้ากรมการคลังผู้นั้นว่ามโนธรรมในใจของเขาถูกสุนัขคาบไปกินแล้วหรือไง ถึงได้กล้าแสร้งพูดจาลดเลี้ยวราวกับตัวเองเป็นนายท่านใหญ่ในเรื่องของเสบียงกองทัพ จากนั้นก็แฉว่ากรมการคลังมีเงินเก็บไว้มากน้อยเท่าไหร่กันแน่ พูดจนรองเจ้ากรมการคลังผู้นั้นถึงกับทอดถอนใจว่าเจ้าควรจะมาทำงานในกรมการคลังของพวกเราซะจริง

ผลลัพธ์สุดท้ายแน่นอนว่าคนผู้นั้นกลับไปพร้อมผลประโยชน์เต็มมือ และยังมีเรื่องน่าตะลึงอีกอย่างคือ รองเจ้ากรมการคลังดึงเอาเงินสำรองก้อนหนึ่งที่ไม่ถือว่าต้องใช้เร่งด่วนออกมามอบให้กับกองทัพม้าเหล็กกองที่มีอำนาจเส้นสายอยู่ในเมืองหลวงเป็นพิเศษ

เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นยังไม่ทันนำข่าวดีออกไปจากเมืองหลวงก็ถูกลากตัวกลับไป ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่รองเจ้ากรมการคลังและผู้บังคับบัญชาเบื้องบนอย่างใต้เท้าเจ้ากรมที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเงินทองของต้าหลีต่างก็ต้องไปรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงแห่งหนึ่ง

ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานคือซิ่วหู่ตนหนึ่งอย่าง ราชครูชุยฉาน

ตอนนั้นชุยฉานดื่มชา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอบเงินเล็กน้อยแค่นั้นให้ศิษย์ลัทธิขงจื๊อยากจนที่เป็นครูสอนหนังสือคนนั้นของต้าหลี กรมการคลังของพวกเจ้ายังกล้าถ่วงเวลามานานขนาดนี้? พวกเจ้าก็มีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิตเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ซ่งเหยียนรองเจ้ากรมฝ่ายขวาของกรมการคลังอย่างเจ้า หากข้าจำไม่ผิด ช่วงแรกเริ่มสุดก็เรียนหนังสือชั้นประถมมาจากโรงเรียนในหมู่บ้านเช่นกัน จะใจดำตวัดพู่กันเขียนลงไปได้จริงๆ หรือ? ต้าหลีของพวกเรายากจนข้นแค้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ไม่สนใจรองเจ้ากรมการคลังที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวคนนั้น ชุยฉานหันหน้าไปมองเจ้ากรมการคลังที่เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ทว่ากลับยังดูแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า “ใต้เท้าหันท่านเทพเจ้าแห่งทรัพย์สิน ต้าหลียากจนขนาดนี้ จะโทษใคร? โทษข้า? หรือว่าโทษเจ้า?”

คิดไม่ถึงว่าเจ้ากรมผู้เฒ่ากลับชี้ไปยังซ่งเหยียนอย่างไร้ความเกรงกลัว “ไหนเลยจะกล้าโทษใต้เท้าราชครู ข้าอายุมากแล้ว แต่ความหลงใหลในตำแหน่งขุนนางกลับมีมากกว่า อีกอย่างกรมการคลังของพวกเราก็ไม่จน มีเงินอยู่กองโต ก็แค่ตัดใจเอามาใช้สิ้นเปลืองอย่างส่งเดชไม่ลง ดังนั้นจะโทษข้าไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษซ่งเหยียน เงินก้อนนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบกรมการคลังของพวกเราล้วนทำตามความต้องการของท่านราชครูอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่ขาดไม่น้อยไปแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว เพียงแต่ซ่งเหยียนทำเสียเรื่อง ลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับ ซ่งเหยียน เร็วเข้า รีบเอาความกล้าหาญของขุนนางกรมการคลังพวกเราออกมาสักหน่อย”

คนจากกองทัพชายแดนที่มาเรียกร้องขอเงินผู้นั้นเบิกตากว้าง มารดามันเถอะ ขุนนางระดับสูงในที่ว่าการหกกรมเขาทำงานกันอย่างนี้น่ะหรือ? ไม่ดีไปกว่าบุรุษหยาบกระด้างที่อยู่ในกองทัพชายแดนอย่างพวกเขาเลย

ดูท่าการพูดคุยของคนหน้าไม่อายในใต้หล้านี้คงจะเป็นเหมือนกันทั้งหมดกระมัง?

ชุยฉานดื่มชาหนึ่งอึก แล้วยิ้มพูดกับเจ้ากรมผู้เฒ่าว่า “เอาล่ะ เลิกใช้วิธีเลื้อยลดคดเคี้ยวหาทางรอดให้ลูกน้องตัวเองเสียที ความผิดของซ่งเหยียนมีไม่น้อย แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องออกจากตำแหน่ง ผลการประเมินในเมืองหลวงหลายครั้งก็ถือว่าไม่เลว ถ้าอย่างนั้นก็เอาเงินเดือนของสามปีออกมาเติมเงินก้อนนั้นให้เต็มก็แล้วกัน”

ซ่งเหยียนที่เข่าอ่อนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ “ข้าน้อยยินดีเอาเงินเดือนสิบปีออกมา…”

เจ้ากรมผู้เฒ่าตบหัวเขาดังป้าบ “เจ้าโง่ขี้ขลาด รนหาที่ตายหรือไง”

ชุยฉานยังคงไม่มีโทสะ มือหนึ่งถือถ้วยชา อีกมือหนึ่งที่ถือฝาถ้วยโบกมือให้ซ่งเหยียน “นี่ไม่ใช่วิถีที่คนเป็นขุนนางสมควรมี หลังกลับไป สติกลับคืนเข้าร่าง อารมณ์สงบลงแล้วก็จงขอความรู้ในด้านการเป็นขุนนางจากเจ้ากรมผู้เฒ่าให้ดี อย่าเอาแต่คิดว่าผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือหัวของตัวเองอาศัยแค่ความสามารถในการหาเงินถึงได้หยัดยืนอยู่ในศูนย์กลางของราชสำนักได้”

เจ้ากรมผู้เฒ่าจึงพารองเจ้ากรมที่รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิดออกไปจากห้องโถงใหญ่

คนทั้งสองปาดเหงื่อพร้อมกัน เจ้ากรมผู้เฒ่าโมโหจึงถีบเข้าที่ขาของรองเจ้ากรม สบถด่าเบาๆ “หากข้าหนุ่มกว่านี้อีกสักสามสิบสี่สิบปีจะเตะให้เจ้าขี้ราดเลยเชียว”

ฝ่ายหลังได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน นี่ยังใช่เจ้ากรมผู้เฒ่าที่วันๆ ชอบพูดจาสุภาพเป็นทางการอยู่อีกหรือ?

เจ้าคนที่ไปก่อเรื่องในที่ว่าการกรมการคลังกลืนน้ำลาย ถึงอย่างไรก็เป็นคนฉลาดที่ขอเงินจากกรมการคลังมาได้ เขาจึงแสร้งทำเป็นไขสือเหมือนเจ้ากรมผู้เฒ่า “ใต้เท้าราชครู ท่านจะฆ่าข้าไม่ได้นะขอรับ ข้าเองก็ทำไปตามหน้าที่”

ชุยฉานพยักหน้ารับ “สิ่งที่เจ้าทำไม่เพียงแต่ไม่ผิด กลับกันยังทำได้ดีมาก ข้าจะจดจำชื่อของเจ้าไว้ วันหน้าก็พยายามให้มากกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจได้ดิบได้ดีไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องกัดฟันเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อไม่ให้กองทัพชายแดนต้องเสียหน้าเพียงแค่เพราะต้องมาเยือนที่ว่าการอย่างนี้อีก เงินซื้อเสื้อผ้าก้อนนี้ เมื่อออกไปจากที่นี่แล้ว เจ้าจงไปขอมาจากที่ว่าการกรมการคลัง นี่ไม่ใช่เงินที่เจ้าสมควรจ่าย แต่เป็นเงินที่ขุนนางบุ๋นราชวงศ์ต้าหลีติดค้างเจ้า ค่าใช้จ่ายทางกองทัพที่เจ้าขอเอาจากซ่งเหยียน นอกจากเงินส่วนที่ควรมอบให้กับอาจารย์สอนหนังสือผู้นั้นแล้ว ส่วนที่เหลือเจ้าก็สามารถเอาออกไปจากเมืองหลวงได้”

คนผู้นั้นทำสีหน้าเหลือเชื่อ “ใต้เท้าราชครู มีแค่เท่านี้จริงๆ หรือ?”

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดราชครูต้าหลีผู้ยิ่งใหญ่ถึงได้รู้เรื่องเล็กยิบย่อยอย่างเรื่องที่ตนซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาคิดให้มากความแล้ว

ชุยฉานคลี่ยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเท่านี้ เรื่องนี้ทำให้ข้าต้องเสียสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ ในเมื่อไม่อาจโทษเจ้าที่เป็นคนประสานงานได้ และเจ้ากรมหันก็เป็นพวกเจ้าเล่ห์จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้เล่นงานคนในกรมการคลังเสียเลย ดังนั้นก็คงได้แต่เอาเรื่องกับแม่ทัพหลักของพวกเจ้าแทนแล้ว ระหว่างการกรีฑาทัพลงใต้ บัญชีบางอย่างที่เขาหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ข้ากะว่าจะนำไปคิดกับเขาซูเกาซาน เจ้าไปบอกเขาว่า ทางด้านของราชสำนักได้หักล้างคุณความชอบที่เขาทำลายแคว้นเย่โหยวไปแคว้นหนึ่ง ดังนั้นตำแหน่งทูตผู้ตรวจการซึ่งเดิมทีเป็นของในกระเป๋าของเขาคงไม่มีหวังแล้ว หลังจากนี้เขาจะต้องร่วมมือกับเฉาผิงบุกโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งด้วยกัน จำไว้ว่าต้องออกแรงให้มากหน่อย หากสามารถบุกโจมตีเข้าไปในเมืองหลวงราชวงศ์จูอิ๋งได้ก่อนก็จะเป็นการสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ เขาที่มีชาติกำเนิดมาจากคนตัดต้นไม้ชอบฟันบัลลังก์มังกรมาทำเป็นฟืนนักไม่ใช่หรือ? ข้าสามารถรับปากเขาได้ตั้งแต่วันนี้เลยว่า บัลลังก์ตัวนั้น ขอแค่เขาซูเกาซานได้เห็นกำแพงสูงของเมืองหลวงก่อน บัลลังก์ที่มีค่ามากที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปตัวนั้นก็จะกลายมาเป็นฟืนของเขา ให้เขาใช้เปลวเพลิงฮุบกลืนบัลลังก์ และงูหลามเพลิงตัวที่เขาเลี้ยงไว้ก็มีหวังจะเลื่อนเป็นโอสถทอง”

สีหน้าของชายฉกรรจ์ที่มาจากกองทัพชายแดนผู้นั้นไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด

นี่เห็นได้ชัดว่าจะบีบให้ท่านแม่ทัพใหญ่ซูต้องทุ่มสุดชีวิตบุกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางสำคัญนี่นา

ชุยฉานวางถ้วยชาลง “ข้ายังมีธุระให้ต้องทำ เจ้าเองก็เหมือนกัน คงไม่เชิญให้เจ้าดื่มชาแล้ว ชาแค่ถ้วยสองถ้วยไม่สามารถทำให้เจ้าใจเย็นลงได้”

ชายฉกรรจ์ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ละทิ้งความคิดที่จะขอปรึกษากับใต้เท้าราชครูดูอีกครั้งไป เขากล้าไปอาละวาดในกรมการคลัง นั่นเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ จำต้องเป็นหมาจนตรอกที่กระโดดข้ามกำแพง แต่อยู่ที่นี่ ทำอย่างนั้นไม่มีความหมาย

ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะจากไป เขาปลุกความกล้าให้ตัวเองแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าราชครู ท่านจะยอมเสียเวลาอีกสักนิดให้ข้าพูดสักประโยคได้หรือไม่ แค่ประโยคเดียวเท่านั้น”

ชุยฉานยิ้มกล่าว “สองประโยคแล้วกัน”

ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้างพลางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนหน้านี้มักจะเคยได้ยินว่าบุคคลใหญ่โตในราชสำนักชอบพูดจาผายลมเหมือนมีแต่หมอกควัน ทำให้คนฟังต้องเดาเอาเอง ใต้เท้าราชครูเองก็พูดจาอ้อมค้อม แต่อ้อมค้อมไม่มาก แม้ว่าเรื่องในวันนี้จะทำให้ใต้เท้าราชครูวุ่นวายใจ แต่บอกตามตรง ในใจข้ายังคงยินดีมาก”

ชุยฉานโบกมือ “วันหน้าสามารถเอาไปคุยโวกับคนอื่นได้ แต่อย่าให้มากเกินไป คำพูดทำนองว่าได้พูดคุยกับข้าชุยฉานอย่างถูกคอ เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องนั่น อย่าได้เอาไปพูดเลย”

ชายฉกรรจ์นับถือจากใจจริง กุมหมัดกล่าวว่า “ใต้เท้าราชครูสมกับเป็นเทพเซียนอย่างแท้จริง”

ยากที่จะจินตนาการได้ว่า

เรื่องเล็กๆ ที่ชายฉกรรจ์จากกองทัพชายแดนคนหนึ่งไปทวงเงินจากกรมการคลังเมื่อปลายปีก่อนซึ่งไม่มีความสำคัญในทะเลสาบซูเจี่ยนเวลานั้น สุดท้ายแล้วจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มสถานการณ์และโชคชะตาของผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนในทะเลสาบซูเจี่ยนโดยตรง

นับตั้งแต่เมื่อปลายปีก่อนจนถึงปลายปีนี้ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่ซูเกาซานแม่ทัพหลักของกองทัพม้าเหล็กกองหนึ่งมีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่า ข้าผู้อาวุโสไม่มีเงิน ข้าผู้อาวุโสขาดเงิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บุกเข้าไปถึงภาคกลางแคว้นสือหาวซึ่งเป็นแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งแล้วยึดครองแคว้นสือหาวมาได้อย่างง่ายดาย แต่พอประเมินกองกำลังทหารของเจ้าเฉาผิงผู้นั้น ซูเกาซานก็พลันกลัดกลุ้ม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเจ้าคนหน้าขาวนั่นจะมีโอกาสชนะ ช่วงชิงคุณความชอบหลักในการบุกโจมตีเมืองหลวงแคว้นจูอิ๋งไปได้มากกว่า

คนเราจะใช้ชีวิตอดทนอดกลั้นเหมือนคนกลั้นฉี่จนตายไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ทัพใหญ่ตำแหน่งสูงที่กุมอำนาจอย่างซูเกาซาน ดังนั้นภายใต้กฎเกณฑ์ทุกอย่าง ต้องใช้เงิน และยิ่งต้องการเงินเทพเซียน

เขาจึงจับจ้องทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ทางใต้ของแคว้นสือหาวตาเป็นมัน

เคยส่งคนไปเยือนนครอวิ๋นโหลวด้วยตัวเอง และพูดคุยกับถานหยวนอี้เกาะลี่ซู่มาครั้งหนึ่ง

เขาซูเกาซานไม่สนว่าจะเป็นหลิวจื้อเม่า หม่าจื้อเม่าหรือใครกันที่ได้เป็นเจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยน นี่ล้วนไม่สำคัญ ขอแค่มอบเงินให้ก็พอ แค่มีเงินมากพอ เขาก็สามารถเพิ่มความเร็วฝีเท้าม้าในการมุ่งหน้าลงใต้ เพื่อหนุนหลังให้กับคนผู้นี้ ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นเหมือนหนูวิ่งข้ามถนนกลุ่มนั้น ใครกันจะไม่ยินยอม ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เขาซูเกาซานเดินทางลงใต้ครั้งนี้ อย่าว่าแต่เซียนดินอิสระเลย ต่อให้เป็นภูเขาใหญ่ของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ถูกถล่มราบไปแล้วสี่สิบกว่าแห่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาในตอนนี้ หากไม่พูดถึงเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่ทางต้าหลีจัดหามาให้ ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่รวบรวมมาตลอดทางก็มีมากถึงสองร้อยกว่าคนแล้ว และนี่ยังเป็นคนที่เข้าตาเข้าด้วย ไม่อย่างนั้นจำนวนก็คงมากทะลุพันไปนานแล้ว อีกทั้งขอแค่วางแผนทำการบุกเข้าสังหารบนภูเขาใหญ่ หลังก้นของกองทัพใหญ่เขา ยังมีพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือไม่ก็เทพเซียนถ้ำสถิตทั้งหลายของสถานที่ต่างๆ ที่ถูกเขาล่มแคว้นหรือไม่ก็ถูกต้าหลีรับเป็นแคว้นใต้อาณัติซึ่งเวลาอยู่ต่อหน้าเขาต้องก้มหัวค้อมเอวให้เรียกใช้ได้อีกสามสี่ร้อยคน อย่างน้อยคนจำนวนนี้ก็ล้วนว่าง่ายเชื่อฟัง ยอมมาเป็นกำลังเสริมให้เขาที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแต่โดยดี

แล้วนับประสาอะไรกับที่ในกองทัพใหญ่ยังมีเรือกระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับรับมือผู้ฝึกตนบนภูเขาโดยเฉพาะอยู่อีกด้วย นั่นเป็นวัตถุที่อาจารย์กลไกของสำนักโม่สร้างขึ้นมา ทะยานขึ้นฟ้าแล้วสาดยิงพร้อมกัน กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็สาดกระจายราวสายฝน

แค่เปลืองเงิน อีกทั้งยังเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ด้วย ทุกครั้งที่เอามาใช้ ซูเกาซานจะต้องรู้สึกเหมือนหัวใจถูกคว้าน ความรู้สึกนั้นราวกับว่าถูกคว้านเนื้อจากหัวใจตัวเอง

ทุกครั้งที่ได้ยินพวกกุนซือขุนนางบุ๋นวางแผนกันแล้วบอกว่าครั้งนี้ที่ใช้เรือกระบี่ ผลลัพธ์ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วก็พูดพล่ามอะไรอีกหลายอย่าง สุดท้ายบอกกับซูเกาซานว่าเสียเงินร้อนน้อยไปมากน้อยเท่าไหร่ ซูเกาซานก็แทบอยากจะส่งคนไปยังสำนักที่ถูกเขาทำลายจนแม้แต่ไม้ที่สร้างศาลบรรพจารย์ก็ยังถูกรื้อลงมาขายเป็นเงิน แล้วขุดดินลึกลงไปอีกสามฉื่อเพื่อควานหาทรัพย์สินทั้งหมดอีกรอบ หากเจอกับพวกทรัพย์สมบัติที่เก็บซ่อนไว้อย่างเป็นความลับ ไม่แน่ว่าอาจจะพอรักษาต้นทุน หรืออาจถึงขั้นได้กำไรบ้างก็ได้ เรื่องประเภทนี้ ระหว่างที่เดินทางลงใต้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริงๆ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่แก่หนังเหนียวตายยากเหล่านั้นคือหนูที่ขยันขุดรูแท้ๆ แต่ละคนซุกซ่อนสมบัติได้ลึกล้ำไม่แพ้กันเลย

พอนึกถึงทรัพย์สมบัติมากมายที่ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายในทะเลสาบซูเจี่ยนเก็บสะสมมาได้หลายร้อยปี ซูเกาซานก็เกือบจะทำหน้าหนาไปขอยืมเรือกระบี่หลายๆ ลำมาจากเจ้าหน้าขาวเฉาผิงผู้นั้นอีกครั้ง

ซูเกาซานคือผู้ที่มีอิทธิพลใหญ่ของต้าหลี อีกทั้งตัวเขาเองยังเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ในมือกุมอำนาจทางการทหาร เวลาทำอะไรจึงมักจะเน้นที่ความเรียบง่ายเสมอ

แต่สำหรับถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่ สายลับใหญ่คนหนึ่งที่เคยชินกับการคิดคำนึงถึงผลได้ผลเสียอยู่บนคมมีดแล้ว เมื่อต้องมาเจอกับแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจ บุคลลยิ่งใหญ่ที่ติดอันดับสิบคนแรกของกองทัพชายแดนต้าหลีอย่างแท้จริง อีกทั้งอนาคตยังเป็นว่าที่ทูตผู้ตรวจการอย่างซูเกาซานผู้นี้ ถานหยวนอี้ก็ทั้งดีใจและทั้งปวดหัว

เงินเก็บตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเกาะลี่ซู่ รวมไปถึงเงินเทพเซียนอีกเล็กน้อยที่ได้มาจากเกาะชิงจ่งและเกาะเทียนหมู่ สำหรับกองทัพม้าเหล็กที่จำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนแล้ว ก็กล่าวได้แค่คำว่า น้ำถ้วยเดียวไม่พอให้ดับไฟทั้งเกวียน

ซูเกาซานใช้สงครามเลี้ยงสงครามจนไม่อาจประคับประคองตัวได้อีกแล้ว ถึงอย่างไรการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ นอกจากเสียงกีบม้าของกองทัพต้าหลีที่ดังราวฟ้าคำรามแล้ว ยังมีผู้ตรวจตรากองทัพและขุนนางบุ๋นที่ทำหน้าที่เก็บกวาดซากที่เกิดเหตุโดยเฉพาะติดตามมาด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง ฝ่ายหลังพยายามอย่างสุดกำลังที่จะหลีกเลี่ยงการรีดไถเอารัดเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามที่รบพ่ายแพ้มากเกินไป เพราะเรื่องนี้ราชครูชุยฉานได้ตั้งกฎเกณฑ์ที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายิบย่อยมาไว้ชุดหนึ่ง แม่ทัพของกองทัพชายแดนจะชอบหรือไม่ชอบก็เรื่องของพวกเขา ถึงอย่างไรก็มีกุนซือคอยช่วยไขข้อข้องใจให้อยู่แล้ว อีกทั้งหากละเมิดกฎยังต้องจ่ายค่าตอบแทน สามารถทำความดีชดใช้ความผิด ขอแค่คุณความชอบในการสู้รบมีมากพอ เจอกับเมืองที่ดื้อดึงไม่ยอมรับการอบรมสั่งสอน โจมตีเนิ่นนานก็ยังไม่สำเร็จ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก สุดท้ายหากเมืองถูกตีแตก แม่ทัพหลักถึงขั้นสามารถออกคำสั่งให้ประหารคนทั้งเมืองได้ อย่าว่าแต่คนที่มีสองขาเลย แม้แต่หมูหมากาไก่ก็อาจจะยังไม่ละเว้น แต่การกระทำที่ระบายความเคียดแค้นซึ่งขัดต่อกฎเกณฑ์การกรีฑาทัพลงใต้นี้ อย่างมากสุดผู้ตรวจตรากองทัพและขุนนางบุ๋นของต้าหลีที่ติดตามกองทัพมาด้วยจะแค่เสนอความคิดเห็นเท่านั้น ไม่พยายามห้ามปรามเอาเป็นความตาย ยิ่งไม่คิดจะส่งเรื่องร้องเรียน เพราะสถานการณ์เช่นนี้ก็อยู่ภายในกฎเกณฑ์ของราชครูต้าหลีเช่นกัน แค่ต้องเอาสมุดเล่มนั้นออกมากาง คุณความกล้าหาญที่บันทึกไว้จากการเข่นฆ่าสังหารศัตรูมาตลอดทาง รวมไปถึงคุณความชอบทางการทหารที่ตีเมืองได้สำเร็จ เมื่อเอามาคิดคำนวณกับราคาที่ต้องจ่ายจากการฆ่าล้างเมืองก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งหากเป็น ‘ทูตผู้ตรวจการ’ ตำแหน่งขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่ทางต้าหลีตั้งขึ้นมาใหม่ที่ตัดใจใช้คุณความชอบทางการทหารมาลบล้างความผิด ตัดใจให้ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์หลังจบเรื่องเป็นผู้ลงมือทำ ก็ทำได้ตามสบาย เพราะราชสำนักต้าหลีจะไม่มีทางมาคิดบัญชีย้อนหลังกับเจ้าเด็ดขาด

แต่หากคุณความชอบทางการทหารไม่มากพอ แต่ยังกล้าสังหารคนทั้งเมืองหรือฆ่าล้างทหารของฝ่ายที่พ่ายแพ้อย่างกำเริบเสิบสาน วิธีจัดการก็ง่ายยิ่งกว่า นั่นคือตัดหัว ผู้ตรวจตรากองทัพสามารถสั่งการเลขาธิการบู๊ทุกคนที่อยู่ในกองทัพได้โดยตรง ต่อให้จะเป็นเลขาธิการบู๊ที่เป็นคนสนิทอยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่ก็ยังต้องฟังคำสั่งจากป้ายคำสั่งที่ราชครูต้าหลีมอบให้แก่ผู้ตรวจตรากองทัพ แม่ทัพหลักที่ออกคำสั่งให้ฆ่าล้างเมืองจะถูกลากตัวไปตัดหัว จากนั้นหัวของเขายังต้องถูกส่งเวียนไปตามทัพต่างๆ ของต้าหลี หัวคนหนึ่งหัวยังไม่พอ ครอบครัวของเขาที่อยู่ในต้าหลีก็ต้องช่วยกันชดใช้ความผิดจนกว่าจะเพียงพอ หากฆ่าจนหมดแล้วก็ยังไม่พอ ไม่เป็นไร ราชครูต้าหลีกล่าวไว้แล้วว่า ก็ถือซะว่าต้าหลีมอบความเมตตาให้กับเจ้าที่ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาตลอดหลายปีนี้เป็นพิเศษก็แล้วกัน

แต่หากหลิวเหล่าเฉิงไม่ได้ปรากฏตัว

การค้าครั้งนี้ สำหรับถานหยวนอี้ สำหรับหลิวจื้อเม่า สำหรับแม่ทัพใหญ่ซูเกาซาน และสำหรับต้าหลีแล้ว ล้วนจะกลายเป็นสถานการณ์อันดีเยี่ยมที่ทั้งสี่ฝ่ายต่างก็ได้ผลประโยชน์

แต่กลับกลายเป็นว่าจู่ๆ หลิวเล่าเฉิงที่ไม่เคยปรากฎตัวบนเกาะกงหลิ่วเป็นเวลาสองร้อยปีกลับโผล่มา

เพราะฉะนั้นการปรากฎตัวของไม้กวนอาจมอย่างหลิวเหล่าเฉิงจึงทำให้หลิวจื้อเม่าสูญเสียการควบคุมทะเลสาบซูเจี่ยนไปภายในค่ำคืนเดียว จุดจบของถานหยวนอี้เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากู้ช่านและสัตว์เดรัจฉานแห่งเกาะชิงเสียนั้นสักเท่าไหร่ ล้วนต่างก็เป็นคนที่เจอกับหายนะซึ่งมาเยือนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เวลานี้หลิวจื้อเม่ากำลังใช้ตามองจมูก จมูกมองใจ ราวกับภิกษุเฒ่านั่งเข้าฌาน

เฉินผิงอันยกมือขึ้นมาถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน “เจ้าเกาะถานมีความสัมพันธ์อย่างไรกับซูเกาซานแม่ทัพหลักต้าหลีที่โจมตีแคว้นสือหาว?”

ถานหยวนอี้ตอบตามสัตย์จริง “ความสัมพันธ์ธรรมดา สิ่งที่ซูเกาซานมองเห็นมีเพียงแค่เงินแสดงความกตัญญูและเงินซื้อชีวิตจากเกาะนับพันในทะเลสาบซูเจี่ยนเท่านั้น หากเอาออกมาไม่ได้ เขาก็อาจเปลี่ยนสีหน้าได้ตลอดเวลา แม้แต่ข้าที่ถือว่าเป็นคนกันเองกับเขาครึ่งตัวก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้จะบอกว่าแม่ทัพบู๊ไม่มีทางยื่นมือเข้าแทรกกิจธุระของศาลาคลื่นมรกตได้แน่นอน แต่สายลับที่เป็นคนในของศาลาคลื่นมรกตอย่างข้าก็มีมากถึงสิบกว่าคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีหนิวหม่าหลันและถงเหรินเผิ่งลู่ไถที่สันดานพอๆ กัน พวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าศาลาคลื่นมรกตเช่นกันเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือศาลาคลื่นมรกตเป็นองค์กรที่เหนียงเนียงท่านนั้นสร้างขึ้นมากับมือของตัวเอง แม้จะบอกว่าตอนนี้คนที่ดูแลคือราชครูต้าหลี แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา และที่แย่อย่างถึงที่สุดก็คือ สายลับตำแหน่งสูงเทียบเท่ากับเจ้าเกาะถานภายในศาลาคลื่นมรกตยังมีหลี่เป่าเจิน ซึ่งเส้นทางการเลื่อนขั้นของเขาได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องราบรื่นยิ่งกว่า นี่กลับกลายมาเป็นว่าขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์เก่าที่มีความอาวุโสในศาลาคลื่นมรกตอย่างเจ้าเกาะถานจะมีชีวิตที่ลำบากยิ่งกว่า”

ถานหยวนอี้ยิ้ม “ใต้เท้าราชครูไม่เคยปฏิบัติต่อหนิวหม่าหลันและศาลาคลื่นมรกตอย่างลำเอียง”

เฉินผิงอันพูดแทงใจดำ “การปฏิบัติต่อหนิวหม่าหลันและศาลาคลื่นมรกตย่อมไม่มีทางลำเอียงอยู่แล้ว แต่สำหรับคนเก่าแก่ที่สนิทสนมในศาลาคลื่นมรกตทุกคนที่เหนียงเนียงท่านนั้นเป็นผู้ดึงขึ้นมาล่ะ จะลำเอียงหรือไม่? หากท่านราชครูใจกว้าง ก็คงไม่ลำเอียง แต่หากเขาไม่ได้ใจกว้างมากขนาดนั้น ก็อาจลำเอียง วันนี้โลกวุ่นวายจำเป็นต้องใช้คนมีความสามารถ จึงไม่ลำเอียง แต่หากพรุ่งนี้โลกสงบสุข ก็อาจจะลำเอียง วันนี้อาจยื่นหนังสือแสดงความสวามิภักดิ์ ขีดเส้นแบ่งกับเหนียงเนียงอย่างชัดเจน พรุ่งนี้อยู่ดีๆ หายนะอาจหล่นลงมาจากฟ้า ถูกคนอื่นที่ไม่ค่อยฉลาดนำความเดือดร้อนมาให้ ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ทั้งหมด”

ถานหยวนอี้ถอนหายใจ ไม่ได้โต้เถียง

หลิวจื้อเม่ายังคงวางท่าผ่อนคลายเหมือนตัวเองเป็นคนนอกอยู่เหมือนเดิม

เฉินผิงอันเองก็ถอนหายใจอยู่ในใจเบาๆ

สำหรับถานหยวนอี้ผู้นี้ จะคลายเงื่อนตายในใจหรือไม่ มีความหมาย แต่ความหมายนั้นก็ไม่มาก

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังไม่ทันได้เริ่มทำการซื้อขายก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์ไม่มีทางสมใจปรารถนา การพูดคุยกันในคืนนี้เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งที่จำเป็นต้องดำเนินไปเท่านั้น

เฉินผิงอันต้องการใช้ความจริงเล็กๆ แต่ละอย่างจากจุดเล็กจุดน้อยที่ถานหยวนอี้แสดงออกมา ไปเคาะตีความสงสัยที่อยู่ในใจของเขา จากนั้นค่อยรวบรวม และแยกแยะเส้นสายของแนวโน้มสถานการณ์ที่มองดูเหมือนพร่าเลือน แต่ก็มีเบาะแสให้ตามหานี้

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่จริงๆ แต่ในเมื่อเป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมยาก เจ้าเกาะถาน เจ้าเกาะหลิว พวกเราควรมาเป็นพันธมิตรที่จริงใจต่อกันสักครั้งดีไหม? เริ่มพูดคุยถึงขั้นตอนแต่ละอย่างโดยละเอียด? ทั้งสามฝ่ายช่วยกันตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่ให้กันและกัน?”

ถานหยวนอี้ขยับตัวนั่งตรง กล่าวเสียงหนัก “ท่านเฉินยินดีมอบผลท้อมาให้ ถานหยวนอี้ย่อมมอบลูกหลีตอบแทน!”

หลิวจื้อเม่าก็ยิ่งเปิดปาก ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด!”

……

ยามดึก

เฉินผิงอันเดินออกมาจากจวนเหิงโปเพียงลำพัง ย้อนกลับไปที่ประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย วางเตาอุ่นมือที่ไฟดับลงแล้วไว้ในห้อง ห้อยแขวนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เปลี่ยนมาสวมชุดอาคมจินหลี่อีกครั้ง จากนั้นก็สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวตัวหนาคลุมทับไว้ภายนอก ชักกระบี่เจี้ยนเซียนที่ติดตรึงอยู่บนประตูออก สอดกลับใส่ฝักมาสะพายไว้ด้านหลัง เดินตรงไปที่ท่าเรือ คลายเชือกที่ผูกเรือลำเล็กออก แล้วมุ่งหน้าไปยังเกาะกงหลิ่ว

ระยะทางน้ำยาวไกล

เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน เขาจ้วงไม้พาย เรือข้ามฝากก็เหมือนลูกธนูที่พุ่งจากแล่งแหวกสายน้ำออกไป

ทะเลสาบซูเจี่ยนกว้างขวางเกินไป ต่อให้เรือข้ามฟากจะเหมือนนกที่โผบิน แต่ฟ้าสว่างแล้วก็ยังคงมองไม่เห็นเงาของเกาะกงหลิ่วอยู่ดี

หิมะใหญ่ตกมองไม่เห็นเงานกบนนภา

เฉินผิงอันหยุดเรือไว้มุมหนึ่งของทะเลสาบ มือถือตะเกียบข้างหนึ่ง วางถ้วยขาวไว้ใบหนึ่งแล้วเคาะตะเกียบลงบนถ้วยเบาๆ เสียงดังแกร้งๆๆ

เสียงไพเราะเสนาะหู

ทั้งคล้ายขอทานที่นั่งขออาหารอยู่ข้างทาง แต่ก็คล้ายเซียนหนุ่มที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษอิสระเสรีอยู่ในป่าเขา

เฉินผิงอันหาความสุขให้ตัวเองอยู่อย่างนั้นหนึ่งก้านธูป จากนั้นก็เก็บทั้งตะเกียบและชามใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

เฉินผิงอันเอามือถูซีกแก้มแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version