บทที่ 445 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา
ด้านนอกภูเขาสุ้ยซาน
ผู้อำนวยการสถานศึกษาท่านหนึ่งมาถึงอย่างเงียบเชียบ และยังคงรอคอยคำตอบด้วยความอดทน
แม้แต่องค์เทพเกราะทองตนนั้นยังเริ่มรู้สึกเวทนา
บัณฑิตคนหนึ่งที่มีหวังว่าจะกลายเป็นรองเจ้าลัทธิในศาลบุ๋นกลับถูกซิ่วไฉเฒ่าที่แม้แต่เทวรูปยังถูกทุบแตกปล่อยให้รอคอยอย่างนี้มาเกินครึ่งเดือนแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ลำพังเพียงแค่น้ำลายของบัณฑิตในใต้หล้าไพศาล คาดว่าคงท่วมทับภูเขาสุ้ยซานได้เลยกระมัง
บนยอดเขาสุ้ยซาน
สำหรับการที่ทางฝ่ายศาลบุ๋นระดมคนอย่างจริงจัง ซิ่วไฉเฒ่ายังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกวันเขาที่อยู่บนยอดเขาแห่งนี้จะต้องอนุมานแนวโน้มของสถานการณ์ เดี๋ยวก็พูดบ่น เดี๋ยวก็ชื่นชมตัวอักษรบนหลักศิลา ให้คำชี้แนะแก่ผืนแผ่นดิน เดินเตร็ดเตร่ไปมา หากใช้คำพูดขององค์เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานมาพูดก็คือ ซิ่วไฉเฒ่าเหมือนแมลงวันแก่ตัวหนึ่งที่หาขี้กินไม่ได้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับยังตบลงบนเสื้อเกราะสีทองขององค์เทพแห่งขุนเขา กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “คำพูดนี้เข้าท่า วันหน้าหากข้าเจอตาเฒ่าก็จะเอาคำพูดนี้ของเจ้าเป็นคำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงให้พวกนักปราชญ์ที่เทวรูปตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นพวกนั้น”
องค์เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานสีหน้าเย็นชา “หากเจ้ากล้าพูดอย่างนี้ วันหน้าก็ไม่ต้องมาที่ภูเขาสุ้ยซานอีก”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือ แล้วเอามาเช็ดเสื้อเกราะสีทองให้องค์เทพใหญ่ “แค่คำพูดล้อเล่นก็ยังฟังไม่ออก เจ้านี่น่าเบื่อซะจริง”
องค์เทพเกราะทองที่ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ร้ายที่สุดในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่สะทกสะท้าน สองมือกุมกระบี่ ทอดสายตามองไปยังชายแดนนอกเขตการปกครองของภูเขาสุ้ยซาน ท่าทางคุ้นเคยกับการกระทำเช่นนี้ของซิ่วไฉเฒ่าเป็นอย่างดี นี่แสดงให้เห็นว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เขาต้องเจอกับความยากลำบากจากซิ่วไฉเฒ่ามาไม่น้อย เรียกได้ว่าถูกย่ำยีกลั่นแกล้งจนเต็มอิ่ม ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นเฉยชาขนาดนี้
มือหนึ่งของซิ่วไฉเฒ่าเอื้อมไปเกาท้ายทอย ยืนอยู่ข้างกายองค์เทพเกราะทอง “คนที่เป็นอาจารย์ เจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าคำพูดไหนที่ตัวเองพูดออกไป หลักการเหตุผลข้อไหนที่ตัวเองอธิบายออกไป เรื่องไหนที่ตัวเองทำลงไปจะถูกลูกศิษย์จดจำไว้ขึ้นใจจนชั่วชีวิต หากเป็นบัณฑิตที่เรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า ‘ช่วยให้ความรู้ไขข้อข้องใจแก่ปวงประชาในใต้หล้า’ อย่างแท้จริง อันที่จริงลึกๆ ในใจจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจึงอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวอย่างใหญ่หลวงนี้จนไม่อาจถอนตัวออกมาได้ สุดท้ายกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก เพราะข้าพบว่าจุดด่างพร้อยไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ในบรรดาตัวของลูกศิษย์ตัวเอง ล้วนมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าข้าเป็นคนสร้างขึ้น”
องค์เทพเกราะทองหัวเราะหยัน “ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่แกว่งเท้าหาเสี้ยน”
ซิ่วไฉเฒ่าเต้นผางสบถด่า “ข้าเตือนเจ้าไว้เลยนะ อย่าอาศัยว่าพวกเราสนิทสนมกันแล้วคิดว่าเจ้าจะสามารถเลียนแบบบัณฑิตจอมปลอมพวกนั้นมาพูดจาเหน็บแนมกันได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเกลียดเรื่องนี้ที่สุด? ข้าอดทนกับเจ้ามาหลายร้อยปีแล้ว หากเจ้ายังไม่เปลี่ยนนิสัยแย่ๆ นี่ วันหน้าข้าจะไม่ย้ายไปไหนแล้วจริงๆ จะอยู่ที่นี่ทำให้เจ้ารำคาญมันทุกวันเลยนี่แหละ”
องค์เทพร่างทองหัวเราะร่า “ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำ “ซิ่วไฉเจอกับทหาร มีเหตุผลก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน”
องค์เทพร่างทองเอ่ยถาม “ตามผลลัพธ์ที่เจ้าอนุมานได้ ชุยฉานที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปเดี๋ยวก็ตีตะวันออก เดี๋ยวก็กระหนาบตะวันตก (เปรียบเปรยว่าทำอะไรไม่มองภาพรวม ไม่คิดให้รอบคอบ) สุดท้ายวางแผนทุกย่างก้าวเพื่อเล่นงานเด็กคนนั้น นอกจากคิดจะชักคะเย่อดึงให้ชุยตงซานมาอยู่ข้างกายตัวเองแล้ว เป็นเพราะยังมีแผนการร้ายที่ใหญ่กว่านี้อีกหรือไม่?”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยี “คนฉลาดสุดยอดที่รู้ฟ้ารู้ดินรู้ทุกอย่างเช่นข้า ย่อมต้องรู้ถึงสิ่งที่ชุยฉานแสวงหาอย่างแท้จริง แต่ข้าไม่พูดให้เจ้าฟังหรอก”
องค์เทพร่างทองพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเจ้าว่าอย่าพูดดีกว่า”
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ ดึงผมเส้นหนึ่งออกมาเบาๆ แล้วยื่นส่งให้เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานที่อยู่ด้านข้าง
องค์เทพร่างทองขมวดคิ้วถาม “ทำอะไร?”
ซิ่วไฉเฒ่าหน้าเครียด “ตอไม้ทึ่มทื่อที่เรียนรู้อะไรก็ไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า เอาผมเส้นนี้ไปแขวนคอตายซะ”
องค์เทพร่างทองหัวเราะ “เจ้าคิดจะหาทางลงให้ตัวเอง เลยจะยั่วให้ข้าโมโห เมื่อถูกหนึ่งกระบี่ของข้าผ่าให้ออกไปจากอาณาเขตของภูเขาสุ้ยซาน เจ้าก็จะได้ออกไปพบผู้อำนวยการใหญ่คนนั้น ขอโทษที ไม่มีเรื่องดีๆ แบบนี้หรอก”
ซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปากพูด “เจ้าไม่โง่จริงๆ”
สีหน้าที่ถูกปกปิดอยู่ใต้หน้ากากขององค์เทพร่างทองพลันเคร่งเครียดขึ้นมา “เรื่องใหญ่หลายเรื่องที่เจ้าอนุมาน ยังคงพร่าเลือนไม่ชัดเจนหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าหุบยิ้ม “ยุ่งยากมาก ด่านโบราณแห่งนั้น หากข้าลงมือด้วยตัวเองก็อาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่จะช้าอย่างยิ่ง น้ำไกลไม่อาจช่วยดับไฟใกล้ ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยอยากพบผู้อำนวยการใหญ่สถานศึกษาที่อยู่ริมชายแดนภูเขาสุ้ยซานผู้นั้น ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ คราวนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอาจริงแล้ว ที่นั่นมีผู้มากพรสวรรค์หลายคนที่เหมือนจะเกิดมาพร้อมโชค การประลองที่กำแพงเมืองปราณกระบี่คราวนั้นก็เป็นแค่การประลองเล็กๆ ของพวกคนรุ่นเยาว์ไม่กี่คนเท่านั้น แต่นั่นก็ถือเป็นเงินก้อนใหญ่มากๆ แล้ว ดังนั้นข้าถึงได้ไปหาเจ้าคนคร่ำครึที่นาตยทวีปผู้นั้น เตือนเขาว่าหากไม่ระวังต้องตายอย่างแน่นอน แล้วยังต้องถูกคนด่านานร้อยปีพันปีด้วย”
องค์เทพร่างทองกำลังจะเปิดปากพูด
ซิ่วไฉเฒ่ากลับส่ายหน้า “เจตนารมณ์สวรรค์มิอาจแพร่งพราย สำนักหยินหยางสายของสกุลลู่แผ่นดินกลางนี้ ข้าไม่อาจเชื่อใจได้โดยเด็ดขาด ขาดก็แค่ไม่ได้เอาผลลัพธ์จากการอนุมานทั้งหมดของพวกเรามาย้อนลองฟังก็เท่านั้น”
องค์เทพร่างทองกล่าว “ทางฝั่งของป๋ายเจ๋อ ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ได้ไปชนตอเข้า ทางฝั่งของเกาะนอกทะเล ผู้อำนวยการใหญ่สายของหย่าเซิ่งก็ยิ่งอนาถ ได้ยินมาว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้พบ ท่านสุดท้ายผู้นี้ก็ต้องกินน้ำแกงประตูปิดอยู่ดีไม่ใช่หรือ ผู้อำนวยการใหญ่ทั้งสามท่านของสถานศึกษากลับโชคร้ายขนาดนี้ ทำไม ลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตกันถึงขั้นนี้แล้วหรือ? อดีตพันธมิตรและคนกันเองกลับเลือกที่จะนิ่งดูดาย นั่งมองภูเขาและแม่น้ำพังทลายลงมา?”
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจพลางลูบหนวด “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตาเฒ่าและหลี่เซิ่งคิดอย่างไรกันแน่”
องค์เทพร่างทองหัวเราะหยัน “เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนฉลาดไม่ใช่หรือไง?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องใหญ่ที่แท้จริงไม่เคยอาศัยความฉลาด แต่อาศัย…ความโง่”
องค์เทพร่างทองกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่ประโยคเหลวไหลประโยคนี้ ถูกผิดและหลักการเหตุผลทั้งหมดบนโลกก็ล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงส่ายหน้า “ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่ประโยคเหลวไหลที่มีหลายนัยยะ เจ้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ฉลาด แต่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่ยืนอยู่แค่บนยอดเขา ความสุขความทุกข์และการพบพรากบนโลกใบนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าไหม? ก็เกี่ยวอยู่บ้าง แต่ก็สามารถมองเมินไม่ต้องไปคิดถึงได้ นี่เป็นเหตุให้ยากที่เจ้าจะเอาตัวไปวางไว้ในสถานการณ์แล้วคิดถึงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งได้อย่างแท้จริง แต่เจ้าต้องรู้ว่า ใต้หล้ามีคนมากมายขนาดนั้น เรื่องเล็กๆ หลายเรื่องสะสมรวมกัน ภูเขาสุ้ยซานร้อยลูกรวมกันแล้วก็ยังไม่สูงเท่ามัน ขอถามเจ้าหน่อย หากถึงเวลานั้นลมฟ้าลมฝนพลันมาเยือน พวกเราถึงเพิ่งจะค้นพบว่าเรือนหลังที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์แต่ละรุ่นของลัทธิขงจื๊อทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างขึ้นเพื่อให้ปวงประชาใต้หล้าได้หลบลมหลบฝนนั้น มองดูเหมือนใหญ่มาก มั่นคงมาก แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นแค่หอเรือนกลางอากาศหลังหนึ่งที่คิดจะล้มก็ล้ม ถึงเวลานั้นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ด้านในจะทำอย่างไร? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว สายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อพวกเรายืดหยุ่นทนทานมาก สามารถทุบเรือนหลังเก่าทิ้งแล้วสร้างกระท่อมหลังใหม่ที่ใหม่กว่า ใหญ่กว่า มั่นคงกว่าขึ้นมาได้ แต่เมื่อเรือนที่พังครืนลงมาของเจ้าล้มทับชาวบ้านมากมายให้ตายไป ทำให้คนมากมายพลัดที่นาคาที่อยู่ ความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญมากมายขนาดนั้นในชีวิตคน จะคิดคำนวณอย่างไร? อาศัยความรู้ของลัทธิพุทธมาสร้างความมั่นคงสบายใจให้กับตัวเองงั้นหรือ? ถึงอย่างไรข้าก็ทำไม่ได้”
องค์เทพร่างทองส่ายหน้า “อย่ามาถามข้า”
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า ทอดสายตามองไปไกล “บัณฑิตทุกคนที่พอเดินไปยังตำแหน่งสูงแล้วก็ควรจะตั้งใจคิดได้แล้วว่ามโนธรรมคืออะไรกันแน่”
ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำ “เมื่อกินอยู่ไม่ทุกข์ยากจึงจะนึกสนใจมารยาทพิธีการ คำพูดที่ดีขนาดนี้ เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ฟัง? หรือว่าจะปล่อยให้ตาเฒ่ามรรคาจารย์เต๋าผู้นั้นหัวเราะเยาะลัทธิขงจื๊อของพวกเราปีแล้วปีเล่าไปอีกหมื่นปีอย่างนั้นหรือ?”
องค์เทพร่างทองเคยเข้าร่วมฟังการโต้วาทีของสามลัทธิมาสองครั้ง เกี่ยวกับคำพูดประโยคนี้ของซิ่วไฉเฒ่า แท้จริงแล้วมันคือหัวข้อโต้วาทีที่น่าตื่นตกใจหัวข้อหนึ่ง แม้เขาจะถือว่าเป็นสหายของซิ่วไฉเฒ่าก็ยังรู้สึกว่าไม่ว่าจะเถียงอย่างไรก็เถียงไม่ชนะ แต่สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่ากลับยังสามารถพูดโน้มน้าวคนของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าได้ ในการโต้วาทีที่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งครั้งนั้นยังมีการโต้เถียงถึงหัวข้อที่เกี่ยวกับ ‘เมื่อมหามรรคาถูกทอดทิ้ง จึงต้องพูดถึงเมตตาธรรมคุณธรรม’ ซึ่งลูกศิษย์ของลัทธิเต๋าคนหนึ่งในป๋ายอวี้จิงนำมาถกปัญหากับซิ่วไฉเฒ่า นั่นก็เป็นการโต้วาทีที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง ผลกลับกลายเป็นว่าซิ่วไฉเฒ่าไม่เพียงแต่เอาชนะลูกศิษย์ลัทธิเต๋าที่มีความสามารถเลิศล้ำผู้นั้นมาได้ ยังถือโอกาสพูดโน้มน้าวให้ลูกศิษย์ลัทธิพุทธที่ชมศึกโต้วาทีอยู่ด้านข้างยอมศิโรราบไปด้วย
หลังจากที่ซิ่วไฉเฒ่าเอาชนะได้แล้ว ตำราทั้งหมดของลัทธิเต๋าที่มีอยู่ในใต้หล้าไพศาลต่างก็ต้องใช้พู่กันแต้มชาดแดงขีดประโยคหนึ่งที่เป็นของมรรคาจารย์เต๋าทิ้งไป! อีกทั้งขอแค่เป็นตำราลัทธิเต๋าที่จัดพิมพ์ในใต้หล้าไพศาลหลังจากนั้นก็ล้วนต้องตัดประโยคนี้รวมไปถึงบทความที่เกี่ยวข้องทิ้งไปด้วย
ประโยคนั้นก็คือ ‘เมื่อสูญเสียกฎของมรรคาจะแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของคุณธรรม เมื่อสูญเสียคุณภาพแห่งคุณธรรมจะแสดงให้เห็นถึงความล้ำค่าของเมตตาธรรม เมื่อสูญเสียความล้ำค่าของเมตตาธรรมจึงจะแสดงให้เห็นถึงความสัตย์จริงของความชอบธรรม เมื่อสูญเสียความสัตย์จริงของความชอบธรรมจึงต้องอาศัยรากฐานแห่งมรรยาท’
ศึกของสามลัทธิไม่ใช่แค่ว่าผู้มีพรสวรรค์สามคนไปนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงอย่างแท่นบูชาเทพเจ้าแล้วลับฝีปากกันเท่านั้น แต่อิทธิพลที่มันมีต่อโลกมนุษย์ของสามใต้หล้ากลับใหญ่หลวง ลึกล้ำยาวไกล อีกทั้งยังเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น
องค์เทพเกราะทองสัมผัสได้ถึงความผิดหวังของซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ข้างกายซึ่งนับเป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดก็ให้รู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย จึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยที่ค่อนข้างผ่อนคลาย “ฉีจิ้งชุนไม่มีวิธีรับมือทิ้งไว้เบื้องหลังจริงๆ หรือ? เฉินผิงอันคือลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เขาช่วยเลือกให้เจ้าเชียวนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “หากยื่นมือไปช่วยผิงอันน้อยทำลายสถานการณ์ครั้งนี้ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที ฉีจิ้งชุนไม่มีทางทำเช่นนี้ เพราะนั่นจะเท่ากับว่าแพ้ให้ชุยฉานตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว”
องค์เทพเกราะทองส่ายหน้า กล่าวอย่างระอาใจ “เพราะจิตใจคนที่อืดอาดชักช้าเช่นนี้ถึงทำให้เกิดการฝึกตนของพวกเจ้า เหตุใดฉีจิ้งชุนยังต้องหาเรื่องหงุดหงิดให้ตัวเองด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันหัวเราะออกมา เขายืนเอามือไพล่หลัง ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด “ดังนั้นองค์เทพอย่างพวกเจ้าจึงไม่มีทางรู้ว่าเหตุใดโลกมนุษย์ถึงได้เละเทะขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็มีทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามถึงเพียงนี้ ขอแค่คนเงยหน้าก็จะมองเห็นได้ทันที บางทีคนส่วนใหญ่อาจแค่เงยหน้ามองครั้งเดียวแล้วก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตัวเองต่อไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังทำให้คนเพียงหยิบมือเกิดใจแสวงหา อยากจะนั่งลงถกปัญหา หรือไม่ก็ลุกขึ้นก้าวเดิน!”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันชูมือชี้ไปยังม่านฟ้า “ข้าก้มหน้าลงมองโลกมนุษย์ ข้าปฏิบัติต่อโลกมนุษย์ด้วยความดี!”
เงียบงันไปครู่หนึ่ง
องค์เทพเกราะทองเอ่ย “ตาเฒ่าที่…เจ้าพูดถึง น่าจะไม่ได้ยินคำพูดอย่างห้าวเหิมนี้ของเจ้า”
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ไอ้ข้าก็อุตส่าห์รวบรวมอารมณ์ฮึกเหิมเสียเต็มเปี่ยม!”
……
หอสูงสกุลฟ่านในนครน้ำบ่อ เวลานี้เรียกได้ว่าคนจากไปหอเรือนว่างเปล่า
หอเรือนที่สูงตระหง่านยิ่งใหญ่ที่สุดในนครน้ำบ่อแห่งนี้ เดิมทีคือหอชมทิวทัศน์ที่สกุลฟ่านภาคภูมิใจ ยามที่แขกมาเยือน สถานที่แห่งนี้จะต้องเป็นที่แรกที่ถูกเลือก
เพียงแต่ว่าตอนนี้สกุลฟ่านไม่เพียงแต่สั่งปิดหอเรือนแห่งนี้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา ยังถึงขนาดมีลางว่าจะปิดกิจการลงด้วย หน้าประตูหอเรือนเงียบสนิทไร้ผู้คน บนถนนนอกประตูก็ไม่มีภาพบรรยากาศอันคึกคักที่ผู้คนและรถม้าสัญจรไปมาขวักไขว่อีกแล้ว
วันนี้ฟ่านเหยี่ยนมายืนอยู่ด้านล่างหอ ในฐานะเจ้าของสกุลฟ่านที่แท้จริง หากเป็นเมื่อก่อน ในเมื่อเขาเป็นผู้ออกคำสั่งห้ามเข้าด้วยตัวเอง แน่นอนว่าไม่ต้องรักษากฎก็ได้ คิดจะขึ้นไปชมทิวทัศน์ของทะเลสาบบนหอเรือนตัวเอง จะนับเป็นอะไรได้
แต่ฟ่านเหยี่ยนกลับไม่กล้า
‘เจ้านครน้อยคนโง่’ แห่งนครน้ำบ่อที่หลอกคนของทะเลสาบซูเจี่ยนได้เกือบหมดผู้นี้ จนถึงตอนนี้สติก็ยังไม่กลับเข้าร่าง ราวกับว่าถูกคนใช้มีดแกะสลักวาดกรีดลงบนหัวใจอย่างสะเปะสะปะ เวลานี้แค่คิดถึงมีดเล่มนั้น โดยเฉพาะคนที่ถือมีดแกะสลักผู้นั้น หัวใจเขาก็จะเจ็บแปลบขึ้นมาทันที และแค่คิดถึงทั้งคนและทั้งมีด ฟ่านเหยี่ยนก็จะรู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะแตก
วันที่ชุยตงซานไปจากนครน้ำบ่อ
ตอนนั้นหิมะแรกยังไม่ตกลงมาบนทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ฟ่านเหยี่ยนกลับต้องเผชิญกับหิมะใหญ่ในชีวิตที่ทำให้เขาเกือบต้องแข็งตายไปแล้ว ต่อให้เป็นตอนนี้ ฟ่านเหยี่ยนก็ยังคงรู้สึกหนาวเสียดลึกไปถึงกระดูก
วันนั้นชุยตงซานเรียกฟ่านเหยี่ยนให้ไปหา
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ชั้นบนของหอเรือน ฟ่านเหยี่ยนถูกพ่อแม่ตบหน้าไปหลายสิบที พอออกมาจากหอเรือน อยู่ในห้องลับของสกุลเหยี่ยน ฟ่านเหยี่ยนก็ให้บิดามารดาแท้ๆ ของตนผลัดกันตบหน้ากันเองต่อหน้าตน ใบหน้าของคนทั้งสองบวมฉึ่ง เลือดสดไหลนอง แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว
จากนั้นไม่กี่วันฟ่านเหยี่ยนก็ไป ‘เข้าพบ’ เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น
คนทั้งสองยืนพิงราวระเบียงชมทิวทัศน์ด้วยกัน
ชุยตงซานกระโดดทีเดียวก็พลิ้วกายขึ้นไปนั่งอยู่บนราวระเบียง แล้วเริ่มพูด ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ ที่ตอนนั้นทำให้ฟ่านเหยี่ยนรู้สึกอกสั่นขวัญผวา เพียงแต่ว่าฟ่านเหยี่ยนหรือจะกล้าบอกให้คนผู้นั้นหุบปาก เขาก็ได้แต่ฟังไปเท่านั้น
ชุยตงซานกล่าวว่า “การไม่รู้คือสภาพการณ์หนึ่งที่ทำให้สบายใจและมีความสุขอย่างมาก เมื่อคนคนหนึ่งเดินขึ้นไปได้สูงอีกนิดก็จะคิดว่า นี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิมแล้ว เพราะไม่เคยเข้าใจถึงสาเหตุของความโชคดีและความโชคร้าย แค่รับมันไปก็พอ เมื่อผ่านพ้นไปได้ก็ยังคงเป็นชายชาตรีอยู่เหมือนเดิม หากผ่านไปไม่ได้ก็ด่าสวรรค์ ข้าไม่ได้บอกว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ถึงขั้นที่ว่าข้าเองก็ยังรู้สึกอิจฉาคนที่อยู่ในสภาพการณ์สองอย่างนี้”
“ข้าเคยออกเดินทางท่องไปทั่วสารทิศพร้อมกับอาจารย์คนแรกของตัวเอง มีครั้งหนึ่งเข้าไปในร้านหนังสือข้างทาง เจอเข้ากับบัณฑิตสามคนที่อายุไม่มาก คนหนึ่งมาจากชนชั้นสูงของพื้นที่ คนหนึ่งชาติกำเนิดยากจน อีกคนหนึ่งที่แม้จะสวมชุดธรรมดาเรียบง่าย แต่มองดูแล้วกลับมีความสุภาพสง่างาม คนทั้งสามต่างก็เป็นบัณฑิตที่เข้าร่วมการสอบระดับท้องถิ่นของเมือง ตอนนั้นมีดรุณีน้อยคนหนึ่งกำลังหาหนังสืออยู่ในร้าน”
“บัณฑิตคนที่มีเงินอยากจะดึงดูดความสนใจจากสาวงามจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาแล้วเริ่มพูดวิจารณ์หนังสือเล่มนั้น บัณฑิตที่ไม่มีเงินคอยพยักหน้ารับคำ รู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างแท้จริง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยากจน ก่อนที่จะโชคดีได้เป็นเศรษฐี เขาก็เคยอ่านหนังสือมาแค่ไม่กี่เล่ม”
“เถ้าแก่ร้านหนังสือเป็นปัญญาชนที่ตกอับคนหนึ่ง เขาอดทนฟังอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยสองสามประโยคที่ถือว่ามีหลักฐานมีเหตุผลน่าเชื่อถือ”
“ผลกลับกลายเป็นว่าถูกบัณฑิตที่มีเงินชี้หน้าด่า บอกว่าข้ามาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเมือง คนทั้งตระกูลต่างได้รับการศึกษา และข้าเองก็มีอาจารย์คอยให้ความรู้มาตั้งแต่เด็ก ความรู้ของเมธีร้อยสำนักในตำราทั้งหลายข้าล้วนเคยอ่านมาจนครบหมดแล้ว ยังต้องให้เจ้ามาสอนหลักการการวางตัวกับข้าด้วยหรือไง? เจ้าจะนับเป็นอะไรได้?”
“อาจารย์ที่ยากจนของข้าจึงทำหน้าที่เป็นคนไกล่เกลี่ย ช่วยไม่ได้ ชีวิตนี้ของเขาชอบสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากที่สุด เพราะมักจะรู้สึกว่าทุกคนไม่ได้ผิดมากขนาดนั้น ต่อให้มีความผิดก็สามารถแก้ไขได้ เขาจึงพูดโน้มน้าวไม่ให้เถ้าแก่โมโห บอกว่าหลักการเหตุผลมีมากมาย ทุกคนล้วนมีกันทั้งนั้น จากนั้นก็ยื่นมือไปกดนิ้วที่บัณฑิตยื่นชี้ออกมา บอกว่าพูดจากับคนอื่นด้วยท่าทางเช่นนี้ไม่เหมาะสม ต่อให้มีเหตุผลก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลได้อยู่ดี”
“บัณฑิตผู้นั้นเป็นคนอารมณ์ร้ายไม่น้อย เขาตบมืออาจารย์ของข้าทิ้ง แผดเสียงด่าว่าไอ้แก่เจ้าจะไปไหนก็ไป”
“อาจารย์ข้าย่อมไม่โกรธอยู่แล้ว และจากนั้นคนหนุ่มที่มองดูมีมาดของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ มองดูแล้วสุภาพอ่อนน้อมมากที่สุดคนนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยประโยคสามประโยค ประโยคแรกก็คือ ‘ที่นี่คือร้านขายหนังสือ พวกเราคือบัณฑิตที่มาซื้อหนังสือ ระวังว่านอกจากจะไม่ได้ซื้อหนังสือที่ถูกใจกลับไปแล้ว ยังต้องถูกคนไล่ไปด้วย’ ฟ่านเหยี่ยน เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคนี้ยอดเยี่ยมที่ตรงไหน? เจ้าต้องรู้แน่นอน ยอดเยี่ยมตรงที่เอาก่อนและหลังมาปนกันมั่วซั่ว ไม่พูดถึงการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามก่อน กลับกันยังเริ่มตั้งสมมติฐานส่งเดช ร้านหนังสือเป็นของเถ้าแก่ หากไล่ลูกค้าถูกออกไป เขาก็ ‘มีเหตุผล’ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขามีเหตุผลจริงๆ น่ะหรือ? หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นคงไม่รู้สึกอย่างนั้นกระมัง ดังนั้นตามหลักแล้วไม่ควรพูดถึงเส้นสายของความถูกผิด เพราะหากอนุมานย้อนกลับไป เจ้าของร้านจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลในทันที นี่น่าสนใจมากเลยใช่ไหม? หากคนอื่นไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เพียงแค่ได้ยินประโยคนี้ หรือเจอกับฉากที่เถ้าแก่ร้านไล่คน ยังจะยินดีแยกแยะถูกผิดอีกหรือไม่? คงไม่กระมัง ชีวิตคนยุ่งวุ่นวาย ใครเล่าจะยินดีสืบเสาะหาต้นตอของเรื่องนี้ แค่ชมเรื่องสนุกก็พอแล้ว ดังนั้นตอนที่ได้ยินประโยคนี้ข้าจึงรู้สึกว่าตลกมาก และรู้สึกว่าคนผู้นี้ฉลาดไม่น้อย”
“ประโยคที่สอง ‘ท่านผู้เฒ่าคงเจอหาหนังสือที่อยากซื้อเจอแล้วกระมัง แต่ก็อย่าเข้าข้างเถ้าแก่เพราะเหตุผลนี้เลย หากเป็นเช่นนี้จริงจะดูผิดต่อหลักมารยาทแล้ว ข้าเห็นว่าท่านผู้เฒ่าก็น่าจะเป็นบัณฑิตเหมือนกัน เหตุใดถึงไม่มีมาดของบัณฑิตเสียเลย? ชอบประจบเอาใจคนขายหนังสือขนาดนี้เชียวหรือ?’ รู้สึกว่ายิ่งน่าขบคิดใช่ไหม? ขอแค่มีคนนอกอยู่ในร้านหนังสือแล้วช่วยพูดแทนเถ้าแก่ ก็จะกลายเป็นพวกขี้ประจบสอพลอไปทันที พวกคนที่มามุงดูซึ่งไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลข้อนี้ แต่ก็ต้องอดใจกระตุกกันไม่มากก็น้อยแล้วใช่ไหม?”
“ประโยคที่สาม ‘หากเถ้าแก่ท่านนี้มีความรู้ที่ดีและสูงจริง เหตุใดต้องมาขายหนังสือหาเงินเลี้ยงชีพอยู่ที่นี่? เหตุใดไม่ไปมีตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนักหรือสร้างผลงานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกแล้ว?’ เป็นอย่างไร? นี่เป็นการทำร้ายจิตใจกันแล้วใช่ไหม? อันที่จริงนี่คือการตั้งสมมติฐานเพิ่มมาอีกสองข้อ อย่างแรกก็คือหลักการเหตุผลบนโลกใบนี้ล้วนจำเป็นต้องอาศัยชื่อเสียงและสถานะมาช่วยประคับประคอง เถ้าแก่ร้านขายหนังสืออย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดถึงหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์เลย ข้อที่สองก็คือมีเพียงประสบความสำเร็จเท่านั้นถึงจะถือว่ามีเหตุผล เหตุผลอยู่แค่บนตำราของอริยะปราชญ์ อยู่แค่ในราชสำนักเท่านั้น ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่ไก่บินหมากระโดด ในร้านหนังสือที่มีกลิ่นหอมของหมึกอบอวลไม่ได้มีเหตุผลเลยแม้แต่ข้อเดียว”
“เจ้าลองเดาดูสิว่าผลสรุปเป็นอย่างไร อาจารย์ของข้าฟาดฝ่ามือออกไป แล้วเริ่มผรุสวาทด่าทอบัณฑิตที่ฉลาดที่สุดคนนั้น ข้าเป็นลูกศิษย์เขามานานขนาดนี้ นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นอาจารย์คนดีของตนที่ไม่เพียงแต่โกรธ ยังด่าและตีคนอื่นด้วย ซิ่วไฉเฒ่าด่าเจ้าคนน่าสงสารผู้นั้นว่า ‘จากพ่อแม่มาจนถึงอาจารย์ในโรงเรียน แล้วมาจนถึงตำราอริยะปราชญ์แต่ละเล่ม ควรต้องมีเหตุผลสักข้อสองข้อที่สอนเจ้าได้ แต่มารดาเจ้าเถอะ ผลกลับกลายเป็นว่าลูกตาของเจ้ามันถูกทาด้วยขี้ไก่ ในท้องก็ถูกอัดแน่นด้วยขี้หมางั้นรึ?!’”
“คราวนี้หลังจากตีและด่าเจ้าคนโง่ตาไร้แววผู้นั้นแล้ว เจ้าเดาดูสิว่าหลังจากนั้นเหตุการณ์เป็นยังไง? คนที่ถูกตี ไม่เหลือความกล้าอีกแม้แต่นิดเดียว มีเพียงความเกลียดแค้นฝังกระดูกที่ฉายอยู่ในดวงตา ในใจกำลังวางแผนชั่วร้าย กลับกลายเป็นบัณฑิตมีเงินและบัณฑิตนิสัยซื่อๆ คนนั้นที่พากันม้วนชายแขนเสื้อหมายจะตีอาจารย์ของข้า อาจารย์ของข้ายังจะทำอะไรได้อีก ก็หนีน่ะสิ แล้วข้าจะทำอะไรได้ ก็วิ่งหนีตามไปน่ะสิ”
“วิ่งออกไปไกลมากแล้ว พวกเราถึงได้หยุด อาจารย์ของข้าหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมาก็หัวเราะร่าเสียงดัง แต่หัวเราะไปหัวเราะมา เสียงหัวเราะก็หายไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอาจารย์ของตนเผยความผิดหวังต่อเรื่องเรื่องหนึ่งมากขนาดนี้”
“ระหว่างทางที่พวกเรากลับไป อาจารย์เงียบไปนานมาก สุดท้ายหาร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง สั่งเหล้ามาหนึ่งจิน นั่งดื่มอย่างอารมณ์ดีพลางพูดเรื่องที่ตัวเองกลัดกลุ้มออกมาด้วย เขาบอกว่าการแข่งขันด้านความรู้ระหว่างบัณฑิตด้วยกัน การทะเลาะเบาะแว้งทั่วไปในหมู่ชาวบ้าน การถกเถียงปัญหาระหว่างคนกับคน ท่าทีในการใช้เหตุผลเป็นอย่างไร หากท่าทีดีก็ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ดีก็จะไม่ได้ยินคำพูดของคนอื่นแม้แต่น้อย แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะเมื่อยิ่งเกิดการโต้เถียง วิถีทางโลกก็จะยิ่งต้องชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ดังนั้นตอนที่อยู่ในร้านหนังสือ คนหนุ่มผู้นั้นนิสัยแย่ไปหน่อย แต่เขาผิดอะไร ต่อให้เขากับเถ้าแก่ร้านหนังสือจะเป็นเหมือนไก่ที่คุยกับเป็ด แต่ถึงอย่างไรต่างคนก็ต่างพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมา คนที่สอนหนังสืออย่างข้ารับฟังเหตุผลของพวกเขา ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะเป็นอย่างไร นิสัยจะเป็นอย่างไร แต่ข้าก็ยังคงยินดีที่จะฟัง มีเพียงเจ้าคนสุดท้ายที่เปิดปากพูดผู้นั้นที่ปากเสียที่สุด จิตใจก็เลวร้ายที่สุด!”
“อาจารย์ของข้าที่น้อยครั้งนักจะให้ข้อสรุปกับนิสัยหรือพฤติกรรมของใครตบโต๊ะแล้วบอกว่า เจ้าคนผู้นั้นนิสัยมีปัญหา! คนผู้นี้ห่มคลุมหนังนอกกายเป็นบัณฑิตผู้สุภาพ ทว่าดีแต่จะวางแผนคิดทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ยิ่งเรียนหนังสือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างหายนะได้มากเท่านั้น ขอแค่เจอเรื่อง เขาก็จะชอบหลบอยู่ในมุมมืดแล้วคอยพูดจาเสียดสีทิ่มแทงให้คนรู้สึกย่ำแย่มากที่สุด เขาจะคิดทำทุกวิถีทางเพื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย หรือไม่ก็เก่งกล้ากับแค่บางคนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเขาทำเรื่องเลวร้ายลงไปจริงๆ จึงจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าใคร คนแบบนี้ หากปล่อยให้เขาปีนป่ายสู่ที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ซึมซับอิทธิพลไปอย่างไม่รู้ตัวปีแล้วปีเล่า ไม่ต้องให้เขาพูดอะไร ก็จะส่งอิทธิพลต่อลูกหลาน ต่อคนทั้งตระกูล ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อการทำงานในที่ว่าการวงการขุนนาง ต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่น หรือแม้แต่โชคชะตาบุ๋นของแคว้นก็อาจจะต้องเจอกับหายนะไปด้วย”
“คนที่ยังยินดีใช้เหตุผลและรับฟังเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่หรือดีเลว อันที่จริงล้วนยังสามารถสั่งสอนได้ ยังเยียวยาแก้ไขได้ แต่หากไม่ได้จริงๆ คนที่เป็นนักปราชญ์วิญญูชน โดยเฉพาะคนที่เหยียบโชคดีขี้หมาอย่างพวกเราที่ต้องกินหัวหมูเย็นๆ ก็ได้แต่ทำตัวเป็นคนมีความสามารถมากที่ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น ลำบากกว่าคนอื่นในการช่วยซ่อมแซมแก้ไขวิถีทางโลกใบนี้”
“หากใต้หล้าล้วนมีแต่คนอย่างบัณฑิตคนที่สามที่เปิดปากมาก็พูดจาเสียดสีเหน็บแนมคนอื่น ข้าว่าตอนนั้นที่ตาเฒ่าถูกมรรคาจารย์เต๋าด่าจนไม่เหลือชิ้นดี แสดงว่ามรรคาจารย์เต๋าด่าได้ถูกต้องแล้ว ตาเฒ่าไม่ได้ถูกใส่ร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว ตาเฒ่าเจ้าไม่ควรพูดหลักการเหตุผลเหล่านั้นออกจากมาปาก เขียนลงในหนังสือและสอนแก่ผู้คนบนโลกเลย!”
“ต้องโทษที่ลัทธิขงจื๊อของพวกเรามีหลักการเหตุผลมากเกินไป อีกทั้งยังพูดเองเออเอง หลักการเหตุผลข้อนี้ในหนังสือเล่มนี้ถูกหนังสืออีกเล่มปฏิเสธ หลักการเหตุผลในหนังสือเล่มนั้นก็ถูกหนังสือเล่มอื่นบอกว่าไม่มีค่าพอให้พูดถึง นี่จะทำให้ชาวบ้านไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตามใคร ดังนั้นข้าจึงสนับสนุนข้อหนึ่งมาโดยตลอด นั่นคือไม่ว่าจะทะเลาะกับใคร ห้ามรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลถูกต้องที่สุดเด็ดขาด ฝ่ายตรงข้ามพูดได้ดี ต่อให้เป็นการช่วงชิงกันระหว่างสามลัทธิ ข้าก็ยังตั้งใจรับฟังแนวความคิดของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋า เมื่อฟังถึงส่วนที่ถูกใจก็จะยิ้ม เพราะข้าได้ยินหลักการเหตุผลที่ดีขนาดนี้ ข้าก็ไม่ควรดีใจหรอกหรือ น่าอายหรือไม่? ไม่น่าอายเลย!”
“หลักการเหตุผลสูงเกินไปจะทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่ามีแค่บัณฑิตเท่านั้นที่ถึงจะพูดหลักการและเหตุผลได้ อันที่จริงหลักการเหตุผลไม่ได้อยู่แค่ในตำราเท่านั้น ต่อให้เป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบก็ยังพูดเหตุผลที่ดีมากออกมาได้ ต่อให้เป็นชาวบ้านที่อยู่บ้านนอกบ้านนาไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนก็สามารถทำในสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดได้เช่นกัน ต่อให้เป็นเถ้าแก่ร้านหนังสือที่ไม่เคยสอบติดได้ตำแหน่งก็ยังสามารถพูดถึงสิ่งที่ผิดของหลักการเหตุผลในตอนนั้นได้ เพราะไม่แน่ว่าหากเอาไปพูดในเวลาอื่น แล้วตาเฒ่าหรือหลี่เซิ่งได้ยินโดยบังเอิญ มันก็อาจจะกลายมาเป็นเหตุผลที่ถูกใจจนทำให้พวกเขายิ้มได้เหมือนกัน”
ชุยตงซานพูดมาถึงตรงนี้ด้วยท่าทางเรียบง่ายผ่อนคลาย
ฟ่านเหยี่ยนฟังมาถึงตรงนี้ด้วยความคิดเดียวว่า ตนตายแน่แล้ว
เมื่อแน่ใจว่าชุยตงซานจะไม่เล่า ‘เรื่องในอดีตของคนในอดีต’ อีกแล้ว ฟ่านเหยี่ยนก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ชุยตงซานหันหน้ากลับมา เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วช่างหล่อเหลาและทรงเสน่ห์อย่างแท้จริง
เขายิ้มเอ่ย “ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าไม่ใช่แค่อาศัยความสะใจของตัวเอง ขอแค่ข้ามีเหตุผลที่สามารถโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อได้ ข้าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย อีกทั้งข้ายังมีหมัดที่แข็งมากพอ ข้าคิดอยากฆ่าใครก็ฆ่าได้หรอกหรือ? นี่มีอะไรยากตรงไหนกัน? ใต้หล้านี้เป็นคนดีนั้นยาก แต่เป็นคนเลวยังจะยากอีกหรือ? เด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดเป้ายังทำได้ ที่ยากหน่อยก็แค่ว่าต้องเป็นคนเลวที่มีมันสมองเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า อีกเดี๋ยวเจ้าจะต้องถูกข้าที่อยากจะสาแก่ใจเลียนแบบทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าฆ่าตายเหมือนมดที่ถูกบี้ ตอนนี้ เจ้าสาแก่ใจหรือไม่?”
ฟ่านเหยี่ยนฟุบตัวลงกับพื้น พูดเสียงสั่น “ขอใต้เท้าราชครูใช้วิชาลับตระกูลเซียนลบความทรงจำช่วงนี้ของข้าน้อยไป อีกทั้งขอแค่ท่านราชครูยินยอมเปลืองแรงสักหน่อย ข้าก็ยินดีเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของสกุลฟ่านมามอบให้ท่าน”
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากระเบียง “เจ้าฉลาดมากจริงๆ ข้าถึงขนาดตัดใจสังหารเจ้าไม่ลงแล้ว ไม่ว่าอย่างไร หากทะเลสาบซูเจี่ยนมีเจ้าฟ่านเหยี่ยนช่วยจับตามองให้ก็เป็นเรื่องดี ฟ่านเหยี่ยน เจ้าน่ะ วันหน้าอย่าเป็นคนอีกเลย มาเป็นสุนัขของต้าหลีเถอะ แล้วจะได้มีชีวิตอยู่ต่อ”
ฟ่านเหยี่ยนรีบโขกหัวคำนับเสียงดังปึงๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองไปยัง ‘เด็กหนุ่ม’ ผู้สูงส่งเหนือใครด้วยความซาบซึ้ง ความซาบซึ้งใจนี้ ฟ่านเหยี่ยนแสดงออกมาจากใจจริงจนแทบจะกลายเป็นความจริงใจที่ทำให้ฟ้าสะเทือนได้แล้ว
ชุยตงซานทรุดตัวลงนั่งยอง จุ๊ปากส่ายหน้า “คนฉลาดขนาดนี้กลับต้องมีชีวิตอยู่เป็นสุนัขตัวหนึ่ง ช่างน่าสมเพชจริงๆ”
ชุยตงซานตบใบหน้าด้านข้างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แรงที่ตบไม่ถือว่าเบานัก “รู้สึกหรือไม่ว่าตัวเองโชคร้ายเกินไปถึงต้องมาเจอคนบนทางเดียวกันที่หมัดใหญ่กว่าเจ้าพอดีอย่างข้า?”
ฟ่านเหยี่ยนส่ายหน้าอย่างแรง
ชุยตงซานยืดตัวกลับ ดึงมือคืนมา มองใบหน้าที่แปะสี่คำใหญ่ๆ ว่าหวาดผวาพรั่นพรึงนั้น “ตอนนจู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าสุนัขตัวหนึ่ง ต่อให้วันหน้าจะเชื่อฟังมากแค่ไหนก็ยังขวางหูขวางตาอยู่ดี จะทำอย่างไรดีเล่า?”
ฟ่านเหยี่ยนเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
ชุยตงซานกลับประกบสองนิ้วแล้วจิ้มมาที่หว่างคิ้วของฟ่านเหยี่ยน
หากนิ้วนี้จิ้มลงมา กายและจิตของฟ่านเหยี่ยนต้องดับสลายอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าเวลาชั่วประกายไฟแลบกลับมีคนมาปรากฏตัวด้านหลังชุยตงซาน โน้มตัวมาดึงชายแขนเสื้อด้านหลังของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ถอยกรูดไปด้านหลัง ชุยตงซานจึงถูกลากให้ถอยหลังตามไปด้วย ช่วยเหลือฟ่านเหยี่ยนที่หว่างคิ้วเกิดหลุมที่ไม่ลึกไว้ได้พอดี
ชุยตงซานที่ถูกคนผู้นั้นหิ้วคอเสื้อไว้ในมือยังคงจ้องฟ่านเหยี่ยนเขม็ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ใต้หล้าแห่งนี้ ใต้หล้าที่มีคนอย่างซิ่วไฉเฒ่าและเฉินผิงอันอยู่มากมายขนาดนั้น คนที่พวกเจ้าติดค้าง! วันหน้าใครจะเป็นคนชดใช้? เผ่าปีศาจที่ตีกำแพงเมืองปราณกระบี่แตกอย่างนั้นหรือ?! มาๆๆ รีบบุกเข้ามาฆ่า มาสั่งสอนไอ้พวกคนโง่ในใต้หล้าไพศาลดูสักหน่อยเถอะ! สอนให้พวกเจ้ารู้ว่าไม่มีข้อได้เปรียบใดที่พวกเจ้าจะยึดเอาไปครองทั้งหมดอย่างสมเหตุสมผล ไอ้พวกตะพาบ พวกเจ้าต้องใช้คืน! ต้องใช้คืน รู้หรือไม่?!”
แขกไม่ได้รับเชิญที่ขัดขวางไม่ให้ชุยตงซานฆ่าคนก็คือชุยฉานที่ย้อนกลับมายังทะเลสาบซูเจี่ยนอีกครั้ง
ชายชราลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวผู้นี้กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “วันนี้สังหารฟ่านเหยี่ยน เจ้าคิดจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนอีกก็ยากแล้ว อีกอย่าง อย่าพูดจาเหมือนเด็กหน่อยเลย เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว เวลาปกติแกล้งทำงอแงให้ข้ารำคาญใจ ข้าไม่ว่า แต่หากเจ้าทำเรื่องโง่ ข้าไม่มีทางยอเด็ดขาด เพราะหลังจากนี้ยังมีเรื่องอีกมากรอให้เจ้าไปทำ”
ชุยตงซานดิ้นสะบัด ชุยฉานจึงปล่อยมือ ชุยตงซานนั่งแปะลงไปบนพื้น
ชุยฉานโบกมือให้ฟ่านเหยี่ยน “ไสหัวไป วันหน้าควรพูดควรทำอะไร จงพิจารณาเอาเอง ไม่อย่างนั้นเขาฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้านี่แหละจะเป็นคนฆ่าเจ้าเอง”
ชุยตงซานฟุบตัวเหม่ออยู่บนราวระเบียง
ชุยฉานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาวางลงบนศีรษะของชุยตงซานเบาๆ “เมื่อไม่มีความหวังต่อโลกใบนี้ เจ้าก็จะไม่ผิดหวัง เจ้าจะไม่มีทางเกลียดแค้นคนเลว ไม่มีทางชื่นชอบคนดี เจ้าเองก็เป็นบัณฑิต แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับ ขณะเดียวกันเจ้าก็เข้าใจได้ถึงความซับซ้อนของโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด รวมไปถึงผลที่ตามมาซึ่งเจ้าต้องแบกรับ แล้วเจ้าก็ลงมือทำซะ อย่าปล่อยให้เฉินผิงอันกลายเป็นข้อยกเว้นของเจ้า หากมันปนกันมั่วซั่วขึ้นมา มองดูเหมือนจริงใจ แต่แท้จริงแล้วมีแต่จะทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง”
ชุยตงซานพูดเสียงขุ่น “เอาเท้าสุนัขของเจ้าออกไป”
ชุยฉานหัวเราะ เอาสองมือไพล่หลัง สายตาทอดมองทะเลสาบซูเจี่ยน “จำกัดความความดีเลวของคนไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดซิ่วไฉเฒ่ายังไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาพูดอย่างส่งเดช สำหรับด้านนี้ ลัทธิพุทธอธิบายไว้ได้ดีกว่าสักหน่อย แม้แต่ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ยังยอมรับ ไม่ใช่ในทางส่วนตัว แต่เป็นในงานโต้วาทีสามลัทธิครั้งนั้น ยังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นสีหน้าของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อหลายคนดำทะมึนเลยทีเดียว ไม่ได้ทำให้ฝั่งตรงข้ามอย่างลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าตกใจตาย แต่เกือบทำให้คนกันเองตกใจตายเสียก่อน เรื่องเหล่านี้พวกเราต่างก็เคยได้ยินกันมากับหู เห็นกันมากับตา ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าถึงได้เป็นซิ่วไฉเฒ่า หลักการเหตุผลดีๆ ของเจ้า ข้ายอมรับ แต่หลักการเหตุผลดีๆ ของข้า พวกเจ้าไม่ยอมรับ ก็ต้องยอมรับ!”
“การโต้วาทีของสามลัทธิในครั้งสุดท้าย ซิ่วไฉเฒ่าที่คว้าชัยชนะมาได้เป็นอย่างไร? ทำอะไรไปบ้าง? อาจารย์ผู้ยากจน นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ยื่นสองมือออกมา พูดว่าอะไร? ‘ขอเชิญมรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธนั่งลง’”
“แล้วจากนั้นล่ะ? คนสองคนที่ไม่เคยเจอหน้ากันมานานจนนับปีไม่ถ้วนก็มาจริงๆ หลี่เซิ่งก็มา แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น”
“ทำอย่างไร?”
“ดังนั้นตาเฒ่าที่ซิ่วไฉเฒ่าเรียกก็มาด้วยเช่นกัน พอมาถึงก็ตัดขาดการรับสัมผัสของฟ้าดินทันที สุดท้ายเป็นอย่างไร ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ซิ่วไฉเฒ่าที่แอบมาปรากฎตัวต่อหน้าพวกเราเหมือนจะแสยะปากแยกเขี้ยว เอียงศีรษะ นวดหูของตัวเอง?”
ชุยฉานกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ไม่พูดอะไรมากอีก “ไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องรอดูจุดจบของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะบอกเจ้าช้าหน่อย ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้เจ้าฟังถึงกระดานหมากที่ใหญ่ยิ่งกว่าทะเลสาบซูเจี่ยน”
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากราวระเบียงอีกครั้ง ยื่นมือสองข้างออกมาทำท่าเหมือนกับซิ่วไฉเฒ่าในเวลานั้น เพียงแต่ชุยตงซานไม่ได้เอ่ยประโยคว่า ‘ขอเชิญมรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธนั่งลง’
เขาพูดเสียงดังว่า “ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างหลักการเหตุผลใหญ่”
“มนุษย์เล็กจ้อยดุจเมล็ดงา เรื่องราวมากมายดุจขนวัว!”
ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องเดียวไม่ทำซ้ำสาม คำพูดเหมือนเด็กๆ ข้าไม่อยากฟังเป็นครั้งที่สามแล้ว”
ชุยตงซานขยี้ปลายเท้า ชายแขนเสื้อกว้างสีขาวหิมะทั้งสองข้างพลิกหมุน เขาเอามือสองข้างไว้ด้านหลัง จากนั้นก็กำหมัดแน่น ค้อมเอวยื่นมือส่งให้ไปชุยฉาน “ลองเดาดูสิว่าอันไหนคือเหตุผล อันไหนคือ…”
เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว
ชุยตงซานถูกอัดให้ร่วงลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยน คลื่นลูกยักษ์ถาโถมตัว
หลังจากที่ชุยตงซานใช้ท่าหมาขุดดินว่ายน้ำขึ้นมาบนฝั่ง ก็มาเดินอยู่บนทางเส้นเล็กริมทะเลสาบ ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด ยิ่งเดินไปก็ยิ่งไกล แล้วเขาก็ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งอย่างนี้
ทว่าชุยฉานกลับไม่ได้รีบไปจากตรงราวระเบียง
เขาหวนนึกถึงคนและเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาไกลแสนไกล
……
ท่ามกลางแสงสนธยายังพอจะมองเห็นเค้าโครงของเกาะกงหลิ่วได้อย่างเลือนราง เพียงแต่ว่าเกาะแห่งนี้ไม่เหมือนเกาะอื่นๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน บนเกาะกงหลิ่วยังคงเขียวขจี แทบจะมองไม่เห็นหิมะที่สะสมเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงนี่ก็ไม่น่าแปลกใจ หนึ่งในสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตของหลิวเหล่าเฉิงก็คือตราประทับเทพวิญญาณเพลิง น้ำและไฟไม่อาจอยู่ร่วมกัน คิดดูแล้วหลิวเหล่าเฉิงคงไม่ค่อยชอบภาพหิมะตกสักเท่าไหร่ ถึงได้ร่ายใช้วิชาตระกูลเซียนทำให้เกาะกงหลิ่วยิ่งเป็นเหมือนไม้เด่นเกินไพร
เพียงแต่คนนอกกลับจินตนาการไม่ถึงเลยว่า เกาะขนาดใหญ่แห่งนี้กลับมีหลิวเหล่าเฉิงอาศัยอยู่เพียงคนเดียว
เรือลำหนึ่งที่เล็กดุจเมล็ดงาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้อาณาเขตของเกาะกงหลิ่วมากขึ้นเรื่อยๆ
ห่างออกไปพันจั้ง ‘เรือ’ ที่ล่องมาถึงที่แห่งนี้ก็ถูกดึงไม้พายขึ้นจากน้ำ และมีเสียงแหบพร่าดังขึ้นว่า “เฉินผิงอันขอพบเจ้าเกาะหลิว”
ครู่หนึ่งต่อมา แม้หลิวเหล่าเฉิงจะไม่ได้มีการตอบรับใดๆ แต่เฉินผิงอันกลับค้นพบว่าเรือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าขยับเคลื่อนหน้าไปด้วยตัวเอง สุดท้ายก็จอดลงที่ท่าเรือของเกาะกงหลิ่วอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันผูกเรือเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินขึ้นไปบนเกาะ บนเกาะมีต้นหยางและต้นหลิวขึ้นเรียงราย ต่อให้เป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บ แต่ก็ยังมีภาพบรรยากาศของต้นไม้เขียวครึ้มเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของหน้าร้อน
สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ของเกาะกงหลิ่วถูกปล่อยทิ้งร้าง สภาพผุพังทรุดโทรม ก่อนหน้านี้ที่เลือกที่นี่เป็นสถานที่จัดการประชุมเลือกผู้นำแห่งยุทธภพ เกาะชิงเสียจึงต้องออกเงินซ่อมแซมตำหนักหลักที่สำคัญของเกาะกงหลิ่วอยู่สองสามแห่ง
ผลกลับกลายเป็นหลิวเหล่าเฉิงบุกขึ้นไปฆ่าถึงเกาะชิงเสียโดยไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด เป็นเหตุให้ ‘ความหวังดี’ ครั้งนี้ของเกาะชิงเสียกลายเป็นเรื่องตลกขบขันในหมู่ผู้ฝึกตนอิสระ หลิวจื้อเม่าทำดีแล้วได้ดีตอบแทนจริงๆ พอบรรพจารย์หลิวกลับมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยน เรื่องแรกที่ทำก็คือไปเป็นแขกบนเกาะชิงเสียเลยไม่ใช่หรือ ไม่เสียแรงที่เป็น ‘สกัดคงคาเจินจวิน’ ที่ได้ครอบครองทะเลสาบซูเจี่ยนร่วมกัน หน้าใหญ่เทียมฟ้าซะจริง
และในขณะที่เฉินผิงอันกำลังคาดเดาว่าหลิวเหล่าเฉิงอยู่ที่ไหนนั้นเอง ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบท่านนั้นก็มาปรากฏในการมองเห็นของเขา มองดูเหมือนกำลังเดินมาอย่างเชื่องช้า ทว่ากลับมาถึงในชั่วพริบตา หลิวเหล่าเฉิงเดินอยู่บนถนนใหญ่ริมทะเลสาบที่เป็นหลุมเป็นบ่อไม่ราบเรียบซึ่งเป็นดั่ง ‘เข็มขัด’ ของเกาะกงหลิ่ว เฉินผิงอันเดินตามอยู่ด้านหลังหลิวเหล่าเฉิง
หลิวเหล่าเฉิงกล่าวว่า “เห็นแก่ที่เจ้ามีความสามารถขัดขวางไม่ให้ข้าสังหารคนของเกาะชิงเสีย จะให้โอกาสเจ้าได้พูดสามประโยค หากข้าไม่พอใจก็คงต้องส่งแขกแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “แค่สองประโยคก็พอแล้ว”
หลิวเหล่าเฉิงเอาสองมือไพล่หลัง ไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงพูดกลั้วหัวเราะว่า “งั้นก็กำลังดี”
เฉินผิงอันกล่าว “หงซูแห่งจวนจูเซียน ข้าได้พูดให้หลิวจื้อเม่าคลายตราผนึกเฉพาะของเขาออกไปแล้ว หลังจากนี้หงซูจะถูกเจ้าเกาะนำตัวมาไว้ที่เกาะกงหลิ่วก็ดี หรือจะใช้ชีวิตที่เหลือโดยไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใครอยู่บนเกาะชิงเสียก็ช่าง ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าเกาะหลิว”
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็สาวเท้าเร็วๆ เดินไปเคียงไหล่กับหลิวเหล่าเฉิง ยื่นฝ่ามือออกไป ในมือคือแผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ “ของสิ่งนี้ ข้าไม่กล้ามอบให้ และมันก็ไม่เหมาะจะกลายมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าเกาะหลิวด้วย ดังนั้นข้าจึงจะให้เจ้าเกาะหลิวยืม วันใดที่เจ้าเกาะหลิวเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินค่อยคืนมันให้ข้า”
หลิวเหล่าเฉิงชำเลืองตามองแผ่นหยกที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน แต่ฝีเท้ายังไม่หยุดก้าวเดิน “แค่นี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร
หลิวเหล่าเฉิงถึงได้หันหน้ากลับมามองเฉินผิงอัน “มีอุบายไม่น้อยเลยนี่”
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกล่าว “อยากพูดก็พูดมาเถอะ สองประโยคก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถโน้มน้าวข้าได้ แต่มากพอจะให้เจ้าเดินไปบนเส้นทางสายนี้จนสุดได้”
เฉินผิงอันถึงได้กล่าวว่า “คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อ สู้สุดชีวิตคือคำแรก หลังจากนั้นหากคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อให้ดี จึงจะใช้ความฉลาดปูทาง”
หลิวเหล่าเฉิงอืมรับหนึ่งที “ความคิดพอๆ กับข้าในปีนั้น”
หลิวเหล่าเฉิงถาม “หากเจ้าได้แต่กลับไปมือเปล่า แล้วข้าสามารถตอบคำถามเจ้าได้หนึ่งคำถาม เจ้าจะถามอะไร? เหตุใดถึงต้องฆ่ากู้ช่าน? ไม่น่าจะใช่ นักบัญชีอย่างเจ้าไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่เห็นแก่หน้าถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่และกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่อยู่ทางเหนือเลยแม้แต่น้อย? คำถามที่คุ้มค่านี้ เจ้าจะลองถามดูก็ได้ ถามมาเถอะ ถามจบแล้ววันหน้าก็ไม่ต้องมาเสี่ยงดวงที่นี่อีก คราวหน้าข้าอาจไม่ได้อารมณ์ดีอย่างวันนี้”
เฉินผิงอันถาม “หงซูจะถูกเจ้าเกาะหลิวฆ่าตายด้วยมือตัวเองหรือไม่?”
หลิวเหล่าเฉิงหยุดเดิน
เฉินผิงอันก็หยุดชะงักแทบจะพร้อมกัน
หลิวเหล่าเฉิงยื่นนิ้วมาชี้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน “ถามคำถามที่สมควรตายเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องดื่มเหล้าเพิ่มความกล้าก่อนหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าจริงๆ “จะดื่มชดเชยเดี๋ยวนี้”
หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า สาวเท้าเนิบช้าต่อไปอีกครั้ง “เอาเถอะ นี่เป็นเรื่องที่ข้ารับปากเจ้าไว้ ให้บอกกับเจ้าตรงๆ ก็ไม่เป็นไร เดิมทีก็เป็นด่านที่ต้องผ่านไปอยู่แล้ว ผู้ฝึกตนอิสระได้รับบาดเจ็บลึกถึงเส้นเอ็นและกระดูกเป็นเรื่องปกติ จำนวนครั้งที่ถูกคนเล่นงานเกือบตาย ใช้สองมือนับก็ยังนับไม่หมด ไหนเลยจะมาสนใจเรื่องการเปิดแผลเป็นเล็กน้อยนี่ หงซูมีนามเดิมว่าหวงฮั่น เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้า แล้วก็กลายมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของข้าในภายหลัง หงซูคือชื่อเล่นของนาง หลิวจื้อเม่าชอบทำตัวอวดฉลาดอยู่เสมอ ถึงได้เก็บชื่อที่ไม่ถือว่าเป็นชื่อนี้ไว้ให้นาง คุณสมบัติของหวงฮั่นไม่ถือว่าดีนัก นางเป็นคนที่มีพรสวรรค์แย่ที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย แต่ภายหลังอาศัยการทุ่มเงินเทพเซียนจำนวนมากของข้าจึงผลักดันให้นางขึ้นไปยังขอบเขตเซียนดินโอสถทองได้ ส่วนเรื่องนิสัยใจคอ ก็พอๆ กับชื่อจริงของนางนั่นแหละ ไม่ค่อยเหมือนสตรี ตรงไปตรงมา และสภาพจิตใจก็แตกต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของทะเลสาบซูเจี่ยน เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในสายตาผู้ฝึกตนอิสระที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบอย่างข้า ความไร้เดียงสาที่โง่งมเช่นนั้นของนางกลับเอาชีวิตข้าจริงๆ …”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวเหล่าเฉิงก็เด็ดกิ่งหลิวมากิ่งหนึ่งแล้วเริ่มถักอย่างคล่องแคล่ว “ข้าคุณสมบัติดี โชคก็ดียิ่งกว่า เส้นทางในการฝึกตนของข้าเจอกับอุปสรรคอยู่ตลอดเวลา ยากลำบากมาไม่น้อย แต่ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาสำคัญมักจะก้าวเดินมาได้อย่างราบรื่นเสมอ ดังนั้นจึงเลื่อนเป็นก่อกำเนิดมาตั้งนานแล้ว แต่พันไม่ควรหมื่นไม่ควร ข้าไม่ควรชอบนางเลยจริงๆ ที่ร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นคือนางยังมองออก ตอนแรกเพื่อหลบเลี่ยงนาง ข้าจึงออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ผลกลับกลายเป็นว่าผ่านไปหลายสิบปี กิ่งหลิวบนเกาะกงหลิ่ว (กิ่งหลิวกับชื่อเกาะกงหลิ่วเขียนเหมือนกันความหมายเดียวกัน แต่คนไทยจะชินกับการเรียกต้นหลิวมากกว่าต้นหลิ่ว ผู้แปลจึงใช้คำว่าต้นหลิวแทนต้นหลิ่ว) ล้วนถูกนางเด็ดมาจนหมดแล้ว (เด็ดกิ่งหลิวมาถักทอเหมือนการบอกให้รู้ว่ารอคอยคิดถึงและรอคอยคนที่จากไปไกล) ข้าก็เลยเริ่มใจอ่อน คิดว่าไม่อย่างนั้นก็ทำตามใจตัวเองไปดีกว่า ก่อนหน้านี้ไร้หัวใจเกินไปถึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้เสียที ไม่แน่ว่าเมื่อนิ่งอย่างถึงที่สุดอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ กลับกลายเป็นว่ามีโอกาสฝ่าทะลุคอขวด ข้าก็เลยผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับนาง และคอขวดก็มีการขยับเคลื่อนจริงๆ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้น เนื่องจากปีนั้นนางต้องการอยู่กับข้าไปนานๆ อยากจะมีชีวิตที่ยืนยาว แต่กลับไม่ยอมมาขอร้องข้า กลัวว่าข้าจะดูแคลนนาง ไม่รู้ว่านางไปหาตำราลับที่ไม่สมบูรณ์แบบเล่มหนึ่งมาจากที่ใด วิธีการของมันค่อนข้างจะนอกรีต จึงเกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก ข้าถึงต้องทุ่มเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่เพื่อช่วยเหลือนาง เงินสะสมของเกาะกงหลิ่วในยามนั้นหายไปเกือบครึ่ง แต่ยังดี แม้จะทุลักทุเลก็ยังได้เป็นผู้ฝึกตนโอสถทอง แต่เพียงไม่นานข้าก็ค้นพบว่าการดำรงอยู่ของนางคือฝันร้ายสำหรับข้า แต่ข้าก็ไม่อยากสังหารนางเพื่อชดเชยจุดด่างพร้อยในจิตใจ ให้ตัวเองได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน จึงผลักดันนางให้ขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพ จากนั้นก็ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ว่าข้าผิดไปแล้ว ผิดมาก ผิดมหันต์ เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป นางที่ถูกข้าทิ้งไว้บนเกาะกงหลิ่วก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะนางกลัวตาย โอสถทองเม็ดนั้นของนางเดิมทีก็กึ่งจริงกึ่งปลอม ลมรั่วเข้าแปดทิศ ก่อนหน้านี้นางใช้วิธีลัดของสำนักนอกรีตมาสร้างโอสถ สภาพจิตใจจึงย่ำแย่ซ้ำซ้อน พอข้าจากไปเช่นนี้ก็ยิ่งเหมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ทำให้นางยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้นทุกที สุดท้ายมีวันหนึ่งนางออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วเริ่มตามหาข้าทั่วสารทิศอย่างบ้าคลั่ง ทุกที่ที่ข้าเคยปรากฏตัวหรืออาจจะเคยผ่านไป นางล้วนไปเยือนมาหนึ่งรอบ ด้วยนิสัยของนาง ออกไปจากเกาะกงหลิ่ว อีกทั้งไม่มีตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพ ตลอดทางจึงเผชิญแต่ความยากลำบาก หากไม่เป็นเพราะอาศัยสมบัติอาคมสองชิ้นที่ข้ามอบให้นาง ไม่แน่ว่าอาจต้องตายไปทั้งอย่างนั้น…แต่สำหรับพวกเราทั้งสองฝ่ายแล้ว นี่กลับกลายเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง”
หลิวเหล่าเฉิงเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งหมุนกำไลกิ่งหลิวเบาๆ “ตอนที่ข้าหานางพบ จิตวิญญาณของนางแตกสลายคล้ายแผ่นกระเบื้องร้อยชิ้นพันชิ้น ต่อให้จนกระทั่งถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่านางอาศัยอะไรถึงอดทนจนวันที่ได้พบเจอข้า หากเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง เกรงว่าก็คงทนไม่ไหว นางในเวลานั้นไม่เหลือสติอยู่แล้ว แค่พอจะรู้สึกได้ว่าข้าไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่น นางจึงยืนอยู่ที่เดิม ตอนนั้นสายตานางที่มองข้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคือความรู้สึกแบบใด? เจ้าไม่มีทางเข้าใจ นางพยายามที่จะจดจำข้าให้ได้ คล้ายกับว่ากำลังงัดข้ออยู่กับสวรรค์”
หลิวเหล่าเฉิงโยนเบาๆ กำไลกิ่งหลิวก็ตกลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยน
ริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำถูกเปิดใช้งานอย่างเงียบเชียบ
น้ำเสียงของหลิวเหล่าเฉิงเริ่มเย็นชา “นาทีนั้น ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างข้าที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ จิตแห่งเต๋าเกือบจะแตกสลายคาที่ ไม่ต่างจากสภาพจิตวิญญาณของนาง จนกระทั่งบัดนั้นข้าถึงเพิ่งจะกระจ่างแจ้งอยู่ในใจว่า ที่แท้นางคือโอกาสใหญ่ในการบรรลุมรรคาของข้าจริงๆ ปีนั้นที่ข้าเลือกทำตามใจตัวเอง ไม่ใช่ความผิดพลาด ดังนั้นข้าจึงต้องกำจัดมารในใจ สังหารนางด้วยมือของตัวเอง”
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะเสียงเย็น “เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้าใจดำอำมหิตมากพอ แต่มันกลับยังไม่ผสานกับมหามรรคาของข้าได้สมบูรณ์แบบมากพอ ถึงได้มีหงซูอย่างในทุกวันนี้ เดิมทีจิตวิญญาณของนางควรแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่โอกาสไปจุติใหม่ก็ยังไม่มี ยิ่งไม่มีทางมีหงซูที่ไหนมาปรากฏตัวบนเกาะจูเสียน จากนั้นก็ถูกเจ้าคนโง่เขลาเบาปัญญาอย่างหลิวจื้อเม่านำมากุมเป็นจุดอ่อน ในเมื่อฆ่าไปแล้วครั้งหนึ่ง ฆ่าอีกครั้งจะเป็นไรไป?”
สีหน้าของหลิวเหล่าเฉิงเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “ความใจอ่อนเพียงแค่เสี้ยวเดียวในเวลานั้น ทำให้ข้าที่กำลังฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดเกือบจะต้องกลายเป็นเหยื่อของเทวบุตรมารนอกโลก ศึกครั้งนั้นต่างหากที่เป็นการเข่นฆ่าสังหารที่เหี้ยมโหดที่สุดในชีวิตนี้ของข้าหลิวเหล่าเฉิง เทวบุตรมารนอกโลกใช้รูปโฉมของหวงฮั่น…ไม่สิ มันก็คือนาง นางก็คือมัน ก็คือหวงฮั่นในใจของข้าคนนั้น ในทะเลสาบหัวใจ กายธรรมร่างทองของข้าสูงเท่าไหร่ นางก็สูงเท่านั้น ตบะของข้าแข็งแกร่งเท่าไหร่ พละกำลังของนางก็แข็งแกร่งเท่านั้น ทว่าจิตใจของข้าได้รับบาดเจ็บ นางกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ถูกข้าตีให้แหลกสลายไปครั้งหนึ่ง ก็ปรากฏตัวอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง นางสู้สุดชีวิตกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แทบไม่เคยหยุดพัก สุดท้ายนางก็เปิดปากด่าว่าข้าหลิวเหล่าเฉิงเป็นคนทรยศ ด่าว่าเพื่อบรรลุมรรคาของตัวเอง แม้แต่นางก็ยังฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่าได้ลงคอ”
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะหยันตัวเอง “นั่นถือเป็นครั้งแรกที่นางด่าข้าเลยนะ ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่บอกว่าฆ่านางไปแล้วครั้งหนึ่งกลับไม่ถูกต้องนัก เพราะอันที่จริงข้าฆ่านางไปเป็นร้อยครั้งแล้ว”
“อันตรายหรือไม่?”
หลิวเหล่าเฉิงถามเองตอบเอง “เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังก็ไม่ต่างจากเด็กเล็กที่ทะเลาะกัน เกาผิวหนังถลอกแล้วร้องไห้จ้าก็เท่านั้น”
“หลังจากถูกข้าสังหารไปอีกนับครั้งไม่ถ้วน นางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จ้องมองข้าอย่างหลงใหลเหมือนในอดีต ราวกับว่าพยายามจะนึกให้ออกว่าข้าเป็นใคร แล้วก็เหมือนมีอะไรดลใจ สติเสี้ยวหนึ่งของนางจึงกลับคืนมา เลือดเริ่มไหลออกมาจากดวงตา ใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด นางใช้เสียงในใจบอกข้าอย่างขาดๆ หายๆ ว่า ให้รีบลงมือ อย่าได้ลังเลเด็ดขาด สังหารนางแค่อีกครั้งก็พอแล้ว นางจะไม่เสียใจที่ชีวิตนี้เคยชอบข้า นางแค่เกลียดที่ตัวเองไม่สามารถเดินเคียงข้างข้าไปได้ถึงท้ายที่สุด…”
“ตอนนั้นสภาพจิตใจของข้าวุ่นวายอย่างหนัก เกือบจิตตายปณิธานสลาย เพื่อคำว่าห้าขอบเขตบน เพื่อให้มีที่หยัดยืนอยู่บนยอดเขา มันคุ้มกันแล้วหรือ? ไม่มีนางอยู่ข้างกายก็จะกลายเป็นเทพเซียนที่อิสระเสรีได้จริงๆ หรือ?”
“นางเดินเข้ามาหาข้าทีละก้าวอย่างโซซัดโซเซ แขนขาทั้งสี่แข็งทื่อ แต่กระนั้นก็ยังพยายามใช้เสียงในใจพูดสามคำซ้ำๆ ว่า ‘ขอร้องเจ้าล่ะ’ ประโยคสุดท้ายนางเอ่ยว่า ‘คิดซะว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อข้า’”
“ข้าจึงทุบตีนางให้แหลกสลายเหมือนคนบ้า ฟ้าดินเงียบสงัด”
“ข้าล้มลงมิอาจลุกขึ้นมาได้อีก”
“ผลคือเมื่อข้าลืมตาขึ้นมองไปบนท้องฟ้า หวงฮั่นนางเหมือนนางฟ้าที่โบยบินลงมา หุ่นอรชรอ้อนแอ้น คาดเข็มขัดหลากสีอาภรณ์พลิ้วไสว นางไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่าในดวงตานางได้บอกกล่าวทุกสิ่งอย่างแล้วว่า ความดิ้นรนพยายามทั้งหลาย ความรักความผูกพันลึกซึ้งทั้งหมดก่อนหน้านี้ เป็นเพียงแค่การเล่นละครของนางเท่านั้น”
หลิวเหล่าเฉิงหยุดพูด ไม่ได้เล่าจุดจบระหว่างตนกับหวงฮั่น หรือควรจะพูดว่าเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้น แต่หันหน้ากลับมา
ผลคือเห็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นทำหน้ายับยุ่งทอดสายตามองไปไกล ริมฝีปากสั่นระริกเบาๆ
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ดูท่าคงจะมีแม่นางที่ชอบแล้วสินะ เพียงแค่ลองพาตัวเข้ามาในสถานการณ์ก็รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้เกิดกับตัวเอง มิอาจแบกรับได้ไหว”
คนทั้งสองเดินหน้าต่อ หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า แน่นอนว่าเป็นเพราะข้าวางได้ลง อีกอย่างก็คือเจ้าสามารถค้นหาชาติกำเนิดของหงซูได้เจอ อีกทั้งสาเหตุที่แท้จริงที่เจ้ามาเยือนเกาะกงหลิ่วแห่งนี้ ทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนคงไม่มีทางเดาได้ว่าจะเพียงแค่เพราะหมากที่ถูกทอดทิ้งซึ่งไม่มีน้ำหนักตัวหนึ่ง ส่วนคำตอบของคำถามนั้นของเจ้า ข้าสามารถบอกเจ้าได้ หงซูก็ดี หวงฮั่นก็ช่าง นางจำเป็นต้องตาย ไม่อย่างนั้นคอขวดในการเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินของข้าจะกลายมาเป็นหายนะใหญ่อีกครั้ง ต่อให้นั่นจะมีโอกาสเพียงแค่ ‘หนึ่งในหมื่น’ ก็ตาม แต่ข้าก็ต้องลงมือสังหารนางด้วยตัวเอง อยู่บนมหามรรคา หนึ่งในหมื่นนั้นมักจะเป็นทั้งหมดเสมอ ถึงเวลานั้นเจ้าก็ค่อยลองดูว่าจะยังห้ามข้าได้อีกหรือไม่ ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากสังหารเจ้าแล้ว ข้าจะมีสภาพอเนจอนาถอย่างตู้เม่าหรือไม่ หึหึ ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ ใครบ้างที่ไม่ต้องขุดดินใต้เท้าของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเพื่อหาอาหารกิน หรือต้องกินของเหลือเดนจากคนอื่นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง กินไปพลางถูกตีจนเกือบตายไปด้วย หรือว่าปีนั้นทำได้ กว่าจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนไม่ใช่เรื่องง่าย คราวนี้กลับจะไม่กล้าทำแล้ว? แล้วนี่จะคู่ควรเป็นหมาบ้าในสายตาของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทั้งหลายหรือ?”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เหมือน ‘เจ้าเกาะหลิวของทะเลสาบซูเจี่ยน’ อย่างยิ่งผู้นี้ เวลานี้กลับเริ่มพูดจาบีบคั้นกดดัน “หากเจ้ากล้าพูดว่าเจ้าจะลองดูให้จงได้ ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้”
“หากเจ้าอยากจะอาศัยหงซูมาเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนทำการใหญ่กับข้า คิดจะใช้ความฉลาดแกมโกงฉกฉวยผลประโยชน์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่างที่ไม่อาจบอกใครได้ของเจ้า ผลกลับกลายเป็นว่าถูกข้าบีบบังคบให้เข้าสู่ทางตันก็เลยเลือกละทิ้งวิธีนี้ เจ้าคิดว่าข้าหลิวเหล่าเฉิงเป็นคนโง่อย่างหลิวจื้อเม่าหรือไง? ข้าไม่มีทางสังหารเจ้าโดยตรง แต่ข้าจะเล่นงานให้เจ้าลุกจากเตียงไม่ขึ้นสี่ห้าปี แผนการและกิจการที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากทั้งหมดของเจ้าล้วนต้องไหลหายไปกับสายน้ำ”
“หากเจ้าเปลี่ยนวิธีใหม่ คอยพิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตัวเองช่วยหงซูไม่ได้ ก็เลยเลือกจะปล่อยมือ แต่เตรียมจะให้ข้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ยินดีจะจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อสตรีคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน ก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ภายใต้เปลือกตาของข้าหลิวเหล่าเฉิง คิดจะเป็นคนดี เป็นวีรบุรุษ ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีที่จะถูกข้าแก้แค้นด้วย วางใจเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าย่ำแย่ยิ่งกว่าเดินลงจากเตียงไม่ได้หลายปีซะอีก จะแล่เนื้อเถือหนังเจ้า แม้จะไม่ได้บาดเจ็บมากนัก สามารถเดินเหินได้เป็นปกติ แต่ก็ไม่ต่างจากคนไร้ค่าสักเท่าไหร่ ข้ามีเวลาจะเล่นกับเจ้าเหลือเฟือ”
“เฉินผิงอัน ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องฟังคำตอบจากเจ้าบ้างแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าเลือกข้อที่สาม”
“เจ้าจะฆ่าหงซู ข้าไม่ขัดขวาง แต่ข้าก็จะอาศัยแผ่นหยกแผ่นนั้นมาดึงปราณวิญญาณของทะเลสาบซูเจี่ยนไปจนหมด ถึงเวลานั้นค่อยเอาไปให้คนบางคนของต้าหลี ‘ยืม’ ทั้งแผ่นหยกและปราณวิญญาณไปพร้อมกัน”
เฉินผิงอันจ้องสายตาหลิวเหล่าเฉิงไม่หลบ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นกองทัพม้าเหล็กอยู่ในสายตา แต่นี่ก็อธิบายให้เห็นอย่างชัดเจนพอดีว่าเจ้าให้ความสำคัญต่อทะเลสาบซูเจี่ยนมากผิดปกติ นี่ไม่ใช่แค่การค้าขายอะไรแน่นอน แต่นี่คือรากฐานแห่งมหามรรคาของเจ้า ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ได้เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว เจ้าก็จะไม่มีทางละทิ้งรากฐานนี้ไป อีกทั้งมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะสามารถโน้มน้าวสกุลซ่งต้าหลีให้อนุญาตให้เจ้าแบ่งแยกดินแดนอยู่ที่นี่ได้ ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าเลือกทางเลือกข้อที่สาม เจ้าก็จะยิ่งอนาถมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันแบมือ “แผ่นหยกอยู่นี่ ลองแย่งไปดูสิ? ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าตอนนี้เลย หรือไม่ก็ทำลายช่องโพรงลมปราณที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของข้าให้สิ้นซาก แต่ก็ขอโทษที แผ่นหยกได้เริ่มกลืนกินโชคชะตาน้ำปราณวิญญาณของตลอดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมาแล้ว”
บนแผ่นหยกที่ใสแวววาวแผ่นนั้น ตัวอักษร ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ เริ่มส่องประกายแสงรัศมีเรืองรอง
ปราณวิญญาณและโชคชะตาน้ำจากสี่ด้านแปดทิศที่มีเกาะกงหลิ่วเป็นใจกลางเริ่มพากันรวมตัวเป็นสายๆ แล้วกรูกันเข้าหาตัวอักษรทั้งหกตัวนี้
หลิวเหล่าเฉิงสีหน้ามืดทะมึน
เฉินผิงอันกล่าว “ตอนนี้ถึงคราวที่เจ้าต้องเลือกแล้ว จะสังหารข้าให้ปราณวิญญาณของทะเลสาบซูเจี่ยนหายไปเกลี้ยง แล้วเข้าไปอยู่ในแผ่นหยกที่เจ้าไม่กล้ารับเอาไป และต่อให้เอาไปแล้วก็เปิดไม่ออก ปิดไม่ลงแผ่นนี้ หรือไม่ก็เล่นงานข้าเกือบตาย ข้าก็จะดูดโชคชะตาน้ำครึ่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนไปอยู่ดี หรืออีกทางคือพวกเราก็ทำการค้ากันตามกฎเกณฑ์ ต่างคนต่างถอยคนละก้าว ช่วงชิงผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดมาให้กันและกัน ซึ่งเงื่อนไขก็คือปล่อยให้ข้ากลับออกไปจากเกาะกงหลิ่ว รอจนข้ากลับคืนสู่เกาะชิงเสียอย่างปลอดภัย ร่ายเวทผนึกแผ่นหยกแล้ว มันก็จะสามารถ ‘บุกเบิกจวนด้วยตัวเองแม้ข้าจะตายก็ตาม’ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมานั่งลงคุยกัน และตอนนั้นจะคุยกันที่เกาะชิงเสียหรือเกาะกงหลิ่วก็ได้ทั้งนั้น”
หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยเย้ยหยัน “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถควบคุมหยกแผ่นนี้จริง?”
จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย ความเร็วในการดูดซับปราณวิญญาณของแผ่นหยกก็ชะลอช้าลง ไม่หอบลมม้วนเมฆ พลังอำนาจน่าสะท้านพรั่นพรึงเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง นี่ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนในรัศมีร้อยลี้รอบเกาะกงหลิ่วที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุตกใจจนขวัญหนีกระเจิดกระเจิง เข้าใจผิดนึกว่าหลิวเหล่าเฉิงจะเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน จึงเริ่มฆ่าไก่ชิงไข่ คิดจะฮุบกลืนโชคชะตาน้ำในทะเลสาบซูเจี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่เหลือทางรอดให้แก่ผู้ฝึกตนอิสระคนอื่นๆ
หลิวเหล่าเฉิงพูดกลั้วหัวเราะ “เฉินผิงอัน เจ้ามันร้ายกาจ ล่าเหยี่ยวมานานปี เกือบจะถูกเหยี่ยวจิกตาจนตาบอดซะแล้ว” (เปรียบเปรยว่าต้องพลาดท่าในเรื่องที่ตัวเองถนัดที่สุด)
ผู้ฝึกตนเฒ่าโบกมือ “รอให้เจ้ากลับไปถึงเกาะชิงเสีย จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยมาคุยกัน”
เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าไม่สู้ท่านเกาะหลิวกลับไปที่เกาะชิงเสียพร้อมกันกับข้าดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้ากังวลว่าระหว่างทางที่กลับไป เจ้าเกาะหลิวจะแอบไปที่เกาะชิงเสีย ถึงเวลานั้นหลิวจื้อเม่าหรือจะกล้าใช้ค่ายกลของเกาะชิงเสียช่วยอำพรางความลับสวรรค์ให้ข้า ป้องกันไม่ให้เทพเซียนขอบเขตหยกดิบอย่างเจ้าใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือมาตรวจสอบว่าข้ามีความสามารถที่จะใช้ความเป็นความตายของตัวเองมาเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดปิดแผ่นหยกจริงหรือไม่”
หลิวเหล่าเฉิงจุ๊ปากพูด “ระมัดระวังมากพอ มิน่าเล่าถึงมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เพียงแต่ว่าหากทำเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับเจ้าบอกให้รู้ว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงหรอกหรือ? (เปรียบเปรยว่าอยากจะปิดบัง แต่ยิ่งปิดกลับยิ่งเป็นการเปิดเผยให้คนอื่นรู้) ไม่อย่างนั้นเหตุใดต้องกังวลว่าข้าจะดูภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้ามีความสามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้จริงหรือไม่ด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยิ่งเป็นมหามรรคาก็ยิ่งต้องเดิมพันหนึ่งในหมื่น นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเกาะหลิวพูดเอง หากต่อให้ข้าตายไปแล้ว แล้วยังมอบเรื่องยินดีที่น่าประหลาดใจใหญ่เทียมฟ้าให้ท่านเจ้าเกาะหลิวได้เล่า?”
หลิวเหล่าเฉิงปรบมือหัวเราะร่า “แม้ข้าแทบจะมั่นใจได้ว่าเจ้าไม่มีความสามารถนั้น แต่กำลังแสร้งพูดข่มขู่ให้ข้ากลัว ทว่าก็ไม่เป็นไร ข้ายินดีคุ้มครองเจ้ากลับไปเกาะชิงเสีย ไปถึงเกาะชิงเสียแล้วเจ้าจงทำสองเรื่อง นั่นคือให้เจ้าตัวน้อยสองเล่มที่ไม่รู้ว่าเจ้าไปขโมยมาจากไหนส่งข่าวไปบอกแก่หลิวจื้อเม่าก่อนที่พวกเราจะขยับเข้าใกล้เกาะชิงเสีย ให้เขาเปิดค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาแม่น้ำ เหตุผลเจ้าก็คิดเอาเอง หากคิดไม่ออก ให้ข้าช่วยเจ้าคิดก็ยังได้ จะได้ไม่ทำให้เขาไม่เหลือแม้แต่ความกล้าจะเปิดค่ายกล อีกอย่างก็คือเจ้าไปที่จวนจูเสียน พาหงซูมาอยู่ใกล้ๆ ประตูภูเขา ข้าอยากจะเห็นนางสักหน่อย”
เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าหลอกข้าอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงไม่ได้คิดจะสังหารหงซู แล้วพอเห็นว่าข้ากับนางค่อนข้างจะสนิทกัน เกิดหึงหวงขึ้นมา เลยอยากจะหาเรื่องยุ่งยากให้ข้าเล็กๆ น้อยๆ ข้าจะทำอย่างไร? ข้าไม่สามารถเปิดตราผนึกแผ่นหยกในขณะที่ต้องอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้ได้ แล้วยิ่งไม่สามารถพูดเหตุผล ทวงความยุติธรรมอะไรจากเจ้าได้”
หลิวเหล่าเฉิงอึ้งตะลึง ราวกับคิดไม่ถึงในเรื่องนี้ ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า “เจ้าเรียนหมากล้อมมาจากใคร? ท่านฉีแห่งถ้ำสวรรค์หลีจูที่เกือบจะแทงแผ่นฟ้าให้เป็นรูผู้นั้นหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
หลิวเหล่าเฉิงฟาดฝ่ามือลงบนศีรษะของเฉินผิงอันจนเขาเซถลา “ไปเถอะ วางใจได้ ข้าไม่มีอารมณ์จะหึงหวงหรอก”
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กขึ้นนั่งบนเรือ เฉินผิงอันพายเรือ ความเร็วไม่ช้า แต่เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของหลิวเหล่าเฉิงแน่นอนต้องเรียกว่าไปถึงเกาะชิงเสียอย่างเอื่อยเฉื่อย
แม้หลิวเหล่าเฉิงจะไม่ปฏิเสธวิธีการเดินทางกลับของเฉินผิงอัน แต่กระนั้นก็ยังอดพูดเหน็บแนมไม่ได้ “เจ้านี่ใช้ทุกวิถีทางจริงๆ ทำตัวเป็นจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือเช่นนี้ วันหน้าอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนที่เบิกตากว้างมองเห็นเรือลำนี้ ใครกันจะกล้าพูดคำว่าไม่กับเจ้าเฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันกล่าว “ใช้ทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด สามารถช่วงชิงมาได้นิดหนึ่งก็เอานิดหนึ่ง”
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มรับ ไม่เห็นเป็นสำคัญ ผู้ฝึกตนเฒ่าที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งของเรือข้ามฟากถามอย่างใคร่รู้ว่า “ในเมื่อเจ้ามีแผ่นหยกแผ่นนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่ดึงเอาโชคชะตาน้ำของทะเลสาบซูเจี่ยนครึ่งหนึ่งไปโดยตรงเลยเล่า? ถึงเวลานั้นผู้ฝึกตนอิสระที่จะคุกเข่าโขกหัวขอร้องให้เจ้าคืนปราณวิญญาณมา ไม่มีหนึ่งหมื่น ก็ต้องมีแปดพัน”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “จงกระทำสิ่งที่พึงกระทำและละวางสิ่งที่พึงละวาง วิธีการเช่นนั้นเห็นผลได้ในทันที แต่ไม่ใช่แผนการในระยะยาว”
หลิวเหล่าเฉิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ช่างเป็นจิตใจที่ทะเยอทะยานนัก ไม่เข้ากับสายของพวกเราที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระซึ่งชอบทำตัวไร้ขื่อไร้แป น่าเสียดายจริงๆ”
เฉินผิงอันเหม่อลอย
ราวกับไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองใช่ผู้ฝึกตนอิสระหรือไม่
เขาไม่เคยมีสำนักตามความหมายที่แท้จริงมาก่อน
หลิวเหล่าเฉิงพลันยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็ไม่ได้กล้าสักเท่าไหร่นี่นา ในชุดผ้าฝ้ายยังสวมชุดคลุมอาคมไว้อีกตัว แถมเหงื่อยังไหลเต็มแผ่นหลังด้วย?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ย่อมตื่นเต้นอย่างเลี่ยงไม่ได้”
หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ไม่ค่อยเหมือนกัน ข้านึกสงสัยนักว่าเสาผูกม้าของเจ้าคืออะไรกันแน่ กลัวตายก็ส่วนกลัวตาย แต่กลับไม่ถ่วงรั้งการชิงไหวชิงพริบที่เจ้ามีต่อข้าเลย”
เฉินผิงอันตอบ “หากเปลี่ยนมาเป็นตอนที่เจ้าเกาะหลิวเพิ่งจะทำลายเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นได้ คาดว่าต่อให้อีกเดี๋ยวผู้อาวุโสจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เจ้าเกาะหลิวก็คงยังไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายอยู่ดี”
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มบางๆ “ดูท่าเจ้าอยู่บนเกาะชิงเสียคงเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อย”
เฉินผิงอันใช้ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธมาพายเรือ จงใจอ้อมผ่านเขตการปกครองของเกาะทั้งหมดที่ต้องผ่านระหว่างทางให้ได้มากที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ปราณวิญญาณที่แผ่นหยกดึงดูดมาไปรบกวนโชคชะตาน้ำที่แต่ละเกาะรวบรวมมาไว้ด้วยตัวเอง
หลิวเหล่าเฉิงเริ่มทนมองไม่ได้ จึงส่ายหน้า “ข้าขอคืนคำพูดก่อนหน้านี้ ดูท่าชั่วชีวิตนี้เจ้าคงเป็นผู้ฝึกตนอิสระไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งชี้ไปยังเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง “ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”
หลิวเหล่าเฉิงชำเลืองตามองอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้น ผู้ฝึกตนเฒ่านั่งอยู่บนหัวเรือ เพียงแค่เอื้อมมือคว้าง่ายๆ หนึ่งทีก็ทำให้สำนักแห่งหนึ่งที่อยู่บนเกาะใกล้เคียงห่างไปแค่สิบกว่าลี้พังครืน บรรพจารย์เซียนดินโอสถทองท่านหนึ่งของเกาะตกใจรีบคลายวิชาอภินิหารลับออกไปทันที เขาไม่ได้ใช้วิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือมาลอบสังเกตเรือพายและคนทั้งสอง แต่ใช้ปลาลอบฟังเสียงตัวหนึ่งที่ลงอักขระซ่อนอยู่ในท้องตัวเองให้แอบมาว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับตัวเรือ หมายจะแอบฟังบทสนทนาของคนทั้งสอง
หลิวเหล่าเฉิงนั่งขัดสมาธิ “ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว มีคนแบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดถึงมีคนมากมายขนาดนั้นชอบรนหาที่ตาย เหตุใดคนอย่างเจ้าและข้าถึงได้มีน้อยนัก”
เฉินผิงอันกล่าว “บางทีในสายตาของตู้เม่า ครั้งที่ข้าอยู่ในนครมังกรเฒ่าก็คือการรนหาที่ตาย ในสายตาของบุคคลยิ่งใหญ่บางคน ในช่วงอายุที่ข้าไม่รู้ เจ้าเกาะหลิวเองก็ต้องถูกคนมองเช่นนี้เหมือนกัน”
หลิวเหล่าเฉิงเอ่ย “มองดูคล้ายกัน แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เหมือนกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ สายตามืดมน
หลิวเหล่าเฉิงพลันเอ่ยว่า “เจ้ากล้าขึ้นเกาะไปหาข้า นอกจากบนร่างพกหยกแผ่นนั้น และเรื่องบางอย่างที่เจ้าและข้าต่างก็รู้แล้ว ข้าเดาว่ายังมีสาเหตุอย่างอื่นอีกกระมัง? แต่ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก”
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง เขาพยักหน้ารับกล่าวว่า “เป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมาก แต่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เล็กมาก”
ถึงอย่างไรหลิวเหล่าเฉิงก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องเล็กที่ว่านี้ คล้ายกำลังเล่นทายปริศนา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าเกาะหลิวเดาไม่ถูกหรอก อย่าเปลืองแรงเลย”
หลิวเหล่าเฉิงตบขอบเรือเบาๆ “ข้าเดาออกแล้ว”
เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เรื่องเล็กนั่น เล็กมากจริงๆ
ที่ตรอกท่าเรือหางผึ้งมีคนหนุ่มเรือนกายกำยำหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งอาศัยอยู่ แล้วก็เป็นคนที่เฉินผิงอันรู้จักพอดี เขาก็คือคนโชคดีที่ได้รับโชควาสนาเป็นโซ่จากบ่อโซ่เหล็กของถ้ำสวรรค์หลีจู เขาบอกกับเฉินผิงอันว่าสามารถหาซื้อเหล้าเซียนบ่อน้ำที่ดั้งเดิมที่สุดได้จากที่ไหน
ภายหลังเผยเฉียนบอกว่า นี่คือคนดี
เฉินผิงอันเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
และตรอกหางผึ้งก็เป็นสถานที่ที่มังกรลุกผงาดของหลิวเหล่าเฉิง ผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป
อาจารย์ที่สามารถสอนลูกศิษย์ให้เป็น ‘คนดี’ แบบนี้ได้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นคนดีด้วย แต่ต้องมีบรรทัดฐานในการหยัดยืนที่ชัดเจนอย่างถึงที่สุดเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน และนั่นก็คือกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งที่มั่นคงมิอาจทำลาย
ต้องรู้ว่า
เรื่องราวบนโลกซับซ้อน คำพูดและการกระทำของทุกคน หากอิงตามวงกลมที่เฉินผิงอันวาดแบ่งให้เป็นหกชิ้นส่วนใหญ่แล้ว จิตใจคนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่แน่นอน เพียงแต่หลังจากสืบเสาะค้นคว้าอย่างละเอียดแล้ว เฉินผิงอันก็ยิ่งค้นพบว่า บางทีอาจมีเส้นหนึ่งหรือสองเส้นที่คอยประคับประคองทั้งหมดอยู่ นี่ก็คืออุปสรรคทางเส้นสายที่ชุยตงซานเคยพูดถึง มีความคล้ายคลึงกับ ‘เส้นความเป็นไปเป็นมา’ ที่นักพรตเฒ่าเคยเสนอ ถ้าเช่นนั้นหากนำ ‘อุปสรรคทางเส้นสาย’ ที่เป็นความหมายในเชิงลบมามองมุมกลับ ก็จะสามารถเอามาใช้วิเคราะห์จิตใจคนได้
จากนั้นก็ค่อยใช้ทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาปฏิบัติต่อแต่ละเรื่องอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งสองอย่างอาจจะมีความขัดแย้งกันเอง แต่ก็มีการส่งเสริมกันและกันซึ่งมีความหมายที่มากกว่า
ครั้งนี้เฉินผิงอันเสี่ยงอันตรายเดินขึ้นเกาะก็เพราะอยากเห็นเองกับตา อยากได้ยินเองกับหู เพื่อนำมันมายืนยันเส้นที่หกของทะเลสาบซูเจี่ยน
หัวของเส้นอยู่บนร่างหงซู ปลายของเส้นอยู่ในมือของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้น
พยายามให้รู้มากขึ้นอีกหน่อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดี
รู้มากขึ้น คิดพิจารณามากขึ้น ก็จะได้ทำผิดน้อยลง
ชุยตงซานเคยถามตนตอนอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาว่า หากใช้วิธีการที่ผิดจนบรรลุผลลัพธ์ที่ถูกต้องที่สุด สรุปแล้วนั่นคือผิดหรือถูก?
ตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังคงไม่อาจให้คำตอบแก่เขาได้
แต่เส้นหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นบนทะเลสาบซูเจี่ยนกลับเริ่มค่อยๆ ชัดเจนขึ้น นั่นคือควรจะใช้วิธีอย่างไรไปทำผิดให้น้อยลงได้อย่างไร ใช้สภาพจิตใจแบบไหนไปแก้ไขความผิดพลาดอย่างไร
ความรู้สึกลี้ลับมหัศจรรย์ที่มองไม่เห็นนั้นก็เหมือนกับ…ภูเขาสูงพระจันทร์เล็ก น้ำลดหินผุด
หลิวเหล่าเฉิงถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าถึงยินดีบอกเล่าขั้นตอนการ ‘ผสานมรรคา’ ของตัวเองกับเจ้าอย่างละเอียดเช่นนี้? เพียงแค่เพราะกักเก็บมันมานานหลายปี หากไม่พูดออกมาก็จะค้างคาใจจริงๆ น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่คิดไปคิดมาก็คิดคำตอบไม่ออก ก็เลยไม่อยากรู้อีก”
หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คนคนหนึ่งไม่มีทางรู้เลยว่าวาสนาช่วงไหนจะผลิดอกออกเป็นผลของบุญสัมพันธ์ หรือผลของกรรมร้าย”
เฉินผิงอันเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกใหม่อย่างไม่ระมัดระวังแม้แต่น้อย
หากหลิวเหล่าเฉิงตัดสินใจว่าจะสังหารเขาจริงๆ เพียงแค่ดีดนิ้วมือก็ทำได้ ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ ไม่เปลืองแม้แต่แรงเป่าฝุ่น
แผ่นหยก เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชุดคลุมอาคม วิชาหมัดวิชากระบี่
หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสีย ถานหยวนอี้แห่งเกาะลี่ซู่ กองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลี
รวมไปถึงเรื่องเล็กที่ทำให้เฉินผิงอันมีความกล้าจะเดินขึ้นเกาะ
สิ่งละอันพันละน้อย เหมือนฝุ่นดินที่สะสมกันจนกลายเป็นภูเขา ลมมาฝนฟ้าก็ก่อตัว
ทั้งหมดนี้ล้วนต้องรับรองความปลอดภัยของหงซูก่อน จากนั้นค่อยทำตามแผนการในใจของตัวเอง
ไม่อาจข้ามก้าวแรกไปได้
ไม่อย่างนั้นจิตใจของเฉินผิงอันจะไม่สงบ
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว คำเรียกขานว่าสหายนี้อยู่ในจอกเหล้าท่ามกลางลมวสันต์ดอกท้อดอกหลีผลิบาน และยิ่งอยู่ท่ามกลางการไม่รักตัวกลัวตาย ไม่คำนึงถึงชีวิต
หลิวเหล่าเฉิงถาม “เพื่อหงซูที่รู้จักกันอย่างผิวเผิน คุ้มแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ตัวข้าเองก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้ม”
หลิวเหล่าเฉิงอึ้งตะลึง
แต่จากนั้นเฉินผิงอันก็พูดเสริมขึ้นว่า “แต่ข้าสบายใจ”
หลิวเหล่าเฉิงมองดวงตาคู่นั้นของคนหนุ่ม แล้วผู้ฝึกตนเฒ่าก็ถอนสายตากลับตา ตบกราบเรือหัวเราะร่า ไม่ให้คำวิจารณ์ใดๆ เพียงแค่กวาดตามองไปรอบด้าน “ยามที่มีเวลาว่างก็เป็นเจ้าของสายลมและพระจันทร์ในโลกมนุษย์ แต่เมื่อตัวเองได้เป็นเทพเซียนที่แท้จริงแล้วถึงจะรู้ว่าไม่ควรที่จะอยู่ว่าง”
เฉินผิงอันขยับปากทำท่าจะพูดแล้วก็หยุด สุดท้ายถามว่า “หากข้าพูดความจริงที่ไม่น่าฟังอย่างหนึ่ง เจ้าเกาะหลิวจะช่วยเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างกับข้าได้หรือไม่?”
หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็อดทนอดกลั้นไว้เถอะ ข้าไม่อยากฟัง”
เฉินผิงอันก็ไม่เปิดปากพูดจริงๆ
เดิมทีเขาอยากด่าหลิวเหล่าเฉิงว่า มารดาเจ้าเถอะ อย่ามาทำตัวเป็นคนนั่งพูดไม่ปวดเอวอยู่แถวนี้เลย
บนเรือพายลำเล็ก คนทั้งสองเงียบงันไป
คนบนเกาะมากมายของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เห็นภาพนี้กับตาของตัวเองหรือไม่ก็รู้ข่าวนี้ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ลับๆ อย่างดุเดือด
หลิวเหล่าเฉิงที่หลับตาทำสมาธิมาพักใหญ่พลันลืมตาขึ้น เอ่ยสัพยอกว่า “โอ้โห จิตใจวุ่นวายแล้ว? นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก เฉินผิงอัน เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
ฟ้าดินกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
เรือน้อยลำหนึ่ง กับจุดเล็กเท่าเมล็ดงาอีกสองจุด
เฉินผิงอันหยุดพายเรือ ทรุดตัวลงนั่ง วางไม้พายพาดขวางไว้บนเรือ เขาเพียงดื่มเหล้าหนึ่งอึก เงียบงันไม่พูดไม่จา
แม้ว่าสภาพจิตใจของเขาในเวลานี้จะไม่สามารถฝึกหมัดและฝึกกระบี่ได้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเฉินผิงอันคิดจะทุบไหที่แตกให้แหลกละเอียด
ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันสืบเสาะค้นหาถึงรากฐานของปณิธานหมัดและวิชากระบี่ที่แท้จริง
ไม่ใช่แค่ถามหาผลเก็บเกี่ยวจากสองคำว่าขยันหมั่นเพียรเท่านั้น
ตอนนั้นที่อยู่บนทะเลสาบนอกนครอวิ๋นโหลว เฉินผิงอันที่ร่างกายและจิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัสสามารถต่อยผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่งที่เข้าประชิดตัวให้ตายได้ ถึงแม้จะมีขีดจำกัดด้านร่างกาย การออกหมัดค่อนข้างเปลืองแรง และหลังจบเรื่องยังมีโรคร้ายทิ้งไว้อีกไม่น้อย แต่หากพูดถึงด้านของสภาพจิตใจ นับตั้งแต่ตอนที่เฉินผิงอันคิดจะออกหมัดไปจนถึงออกหมัดใส่บนร่างของศัตรู ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ปณิธานหมัดไหลรินได้ดั่งเมฆคล้อยน้ำไหล ได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนั้นมาก่อน
นั่นต่างหากถึงจะเป็นขอบเขตที่ทั้งคนฝึกหมัดและคนเล่นหมากล้อมศรัทธาเลื่อมใส เบื้องหน้าไร้ผู้คน
เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตนี้ได้อย่างเต็มตัว แต่หากจะบอกว่าเท้าข้างหนึ่งหรือครึ่งข้างได้เหยียบเข้าไปในขอบเขตนี้แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาเฉินผิงอันทระนงตน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแน่นอน
นี่พอจะทำให้เฉินผิงอันวางใจได้บ้าง
ทุ่มเทแรงกายแรงใจตั้งใจทำเรื่องเรื่องหนึ่ง ก็ไม่ควรกลายเป็นว่าพยายามชดเชยความผิดหนึ่งอย่างยากลำบาก แต่กลับทำความผิดอีกอย่างหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว
ถ้าอย่างนั้นการขีดเส้นแบ่งและวาดขอบเขตทั้งหมดในทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อไปมองเส้นของความเป็นไปเป็นมาห้าหกเส้นนี้ สุดท้ายจะกลายเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น
เฉินผิงอันหยุดพักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนพายเรืออีกครั้งพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “หลิวเหล่าเฉิง ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ชอบการวางตัวและการจัดการเรื่องราวของเจ้าแม้แต่น้อย แต่เรื่องราวระหว่างเจ้ากับนางนั้น ข้า…”
เฉินผิงอันคิดอยู่นานก็ยังนึกหาถ้อยคำที่เหมาะสมไม่เจอ ก็เลยยกนิ้วโป้งให้กับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบตรงหน้าเสียเลย จากนั้นจึงพูดว่า “แต่หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับเจ้า ข้าต้องทำได้ดีกว่าเจ้าแน่นอน”
กล่าวมาถึงตรงนี้นักบัญชีหนุ่มที่ท่าทางเหนื่อยล้า สองข้างแก้มซูบตอบยังคงพายเรือต่อไป แต่บนใบหน้ากลับมีน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย “ในเมื่อได้เจอกับแม่นางที่ดีขนาดนั้น จะตัดใจทรยศนางได้อย่างไร”