บทที่ 446 เตาอุ่นร้อน ใจคนเยียบเย็น
มาถึงมุมหนึ่งของทะเลสาบ เฉินผิงอันก็หยุดพายเรือ วางไม้พายลง หยิบอาหารแห้งส่วนหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อเพื่อใช้มันเติมเต็มท้องประทังความหิว
หลิวเหล่าเฉิงพลันถามเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่าชอบตกปลาหรือไม่ บอกว่าทะเลสาบซูเจี่ยนมีสามสิ่งที่สุดยอดซึ่งล้วนเป็นอาหารเลิศรสหายากที่จะต้องมีในงานเลี้ยงของชนชั้นสูงราชวงศ์จูอิ๋ง หนึ่งในนั้นก็คือปลาที่ตกมาได้ในฤดูหนาว ยิ่งเป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บมากเท่าไหร่ ปลาที่ถูกเรียกว่าตงจี้ (จี้คือปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ตงจี้หมายถึงปลาในฤดูหนาว) นี้ก็จะยิ่งมีรสชาติอร่อยล้ำมากเท่านั้น หลิวเหล่าเฉิงชี้ไปที่ใต้ทะเลสาบ บอกว่าแถบนี้มีปลาชนิดนั้นอยู่ ไม่รอให้หลิวเหล่าเฉิงพูดอะไรมาก เฉินผิงอันก็หยิบคันเบ็ดตกปลาที่ทำจากไม้ไผ่ของเกาะไผ่ม่วงซึ่งไม่เคยมีโอกาสได้นำมาใช้ออกมาพร้อมกับกากข้าวโพดโถเล็ก
หลิวเหล่าเฉิงก็ทำเช่นเดียวกันด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย เพียงแต่เหยื่อตกปลาของเขาแตกต่างออกไป คันเบ็ดก็เป็นไม้ไผ่สีเขียวขจีราวกับจะสามารถคั้นน้ำออกมาได้ อีกทั้งปราณวิญญาณยังเปี่ยมล้นมากเป็นพิเศษ
สุดท้ายหลิวเหล่าเฉิงก็ตกปลาตงจี้ขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาได้สามตัว เฉินผิงอันได้สองตัว คนทั้งสองเก็บคันเบ็ดในเวลาไล่เลี่ยกัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างร่ายวิชาอภินิหารของใครของมัน แผ่นหิน เตาไฟ ถ้วยโถ ไม้ฟืน น้ำมัน เกลือ น้ำตาล เต้าเจี้ยว น้ำส้มสายชู ฯลฯ ล้วนมีครบครัน
คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหัวเรือ อีกคนนั่งอยู่ท้ายเรือ ต่างคนต่างต้มปลาของตัวเองไป
ไอร้อนลอยระอุ คนทั้งสองนั่งขัดสมาธิ มือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือหนึ่งถือกาเหล้า
ทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน กินข้าวพลางพูดคุยกันไปด้วย
อุบายแยบยล ไอสังหารล้อมสี่ทิศมาพร้อมกับการพูดคุยกันด้วยเสียงหัวเราะอย่างผ่อนคลายชั่วขณะ
หลังจากการพูดคุยกันอย่างถูกคอผ่านพ้นไป เพิ่งจะเก็บเตาไฟและถ้วยชามเสร็จเรียบร้อย เฉินผิงอันก็ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที กระบี่บินสืออู่บินพรวดออกมา เฉินผิงอันพูดสั่งกระบี่บินต่อหน้าหลิวเหล่าเฉิงว่า “ไปแจ้งข่าวแก่หลิวจื้อเม่าที่เกาะชิงเสียก่อน บอกว่าหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่วอยู่กับข้า ต้องการให้เขาเปิดค่ายกลภูเขา ส่วนข้าจะขึ้นเกาะไปเพียงลำพัง”
หลิวเหล่าเฉิงถาม “แค่ออกคำสั่ง ไม่หาข้ออ้างเพิ่มไปด้วยหรือ? ไม่อย่างนั้นหลิวจื้อเม่าจะไม่เกิดสงสัยหรืออย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบ “พูดมากไปกลับกลายเป็นว่าจะทำให้เขาไม่กล้าเปิดค่ายกล”
หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “แทงมีดตรงจุด หากไม่ข่มขู่ให้ศัตรูกลัวก็แตกหักกันไปโดยตรง วิธีการนี้เหมาะกับคนอย่างหลิวจื้อเม่ามากที่สุด อย่าได้เหลือพื้นที่ว่างใดๆ ให้พวกเขาได้กลับตัว”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายจ้า
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกล่าว “ทำไม แค่คำพูดง่ายๆ ของข้าประโยคเดียวก็ทำให้เจ้าได้รับประโยชน์แล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก่อนหน้านี้ข้าแค่พอจะรู้อย่างเลือนรางว่าควรจะทำเช่นนี้ ไม่กระจ่างชัดอย่างที่เจ้าเกาะหลิวพูด อืม ก็เหมือนเจ้าเกาะหลิวนำไม้บรรทัดเล่มหนึ่งมาวางตรงหน้าข้า เมื่อก่อนข้าจะยึดมั่นว่าไม่ว่าคนหรือเรื่องราวก็ไม่ควรเดินไปบนทางที่สุดโต่ง แต่เจ้าเกาะหลิวกลับสอนข้าว่าการรับมือกับคนอย่างหลิวจื้อเม่าควรจะใช้วิธีที่ตรงกันข้าม นั่นคือต้องพยายามผลักพวกเขาไปยังปลายทางที่สุดขั้วทั้งสองด้าน”
หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับแสดงให้รู้ว่าเห็นด้วย เพียงแต่ขณะเดียวกันนั้นเขาก็กล่าวด้วยว่า “พูดกับคนอื่นควรเอ่ยแค่เจ็ดแปดส่วน ไม่ควรมอบความจริงใจทั้งหมดให้ไป ระหว่างเจ้าและข้ายังคงเป็นศัตรูกัน พูดจาจริงใจต่อกันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?”
เฉินผิงอันหยิบไม้พายขึ้นมาถ่อเรือต่ออีกครั้ง “คนละเรื่องกัน หากเอาแต่คิดว่าไม่เจ้าตายก็ข้าที่รอด ครั้งนี้ข้าก็ไม่มีทางไปเยือนเกาะกงหลิ่ว สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ข้ายังคงหวังว่าพวกเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ปิติยินดี เจ้าเกาะหลิวยังคงได้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ ส่วนข้าก็ขอเพียงความสบายใจ ไม่มีทางจะแย่งชิงเงินทองอะไรไปจากเจ้าเกาะหลิว”
หลิวเหล่าเฉิงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงดื่มเหล้าไปช้าๆ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ตอนที่ข้าเรียนหมากล้อมกับคนอื่น ไม่มีไหวพริบสักเท่าไหร่จริงๆ ไม่ว่าเรียนอะไรก็ล้วนเชื่องช้า ขนาดสูตรคงที่ที่คนในอดีตมองว่าตายตัว ข้าต้องใช้เวลาพิจารณานานมาก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจเข้าใจถึงแก่นแท้ ดังนั้นข้าจึงชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดว่าจะมีกระดานหมากใดหรือไม่ที่ทุกคนล้วนสามารถชนะ ไม่ใช่ว่าจะต้องแบ่งแพ้ชนะอย่างเดียวเสมอไป แต่ให้ทั้งสองฝ่ายชนะเหมือนกัน เพียงแค่แบ่งว่าใครชนะมาก ใครชนะน้อยก็เท่านั้น”
หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “อย่าพูดเรื่องเล่นหมากล้อมกับข้าเลย ปวดหัว ข้าไม่เคยชอบ ทักษะการเล่นหมากล้อมสูงหรือต่ำ กับการกระทำที่ดีหรือเลว ไม่เคยเกี่ยวข้องกันกับผายลมอะไรทั้งนั้น”
เฉินผิงอันกำลังจะพูดต่อ คงเพราะอยากจะลองพูดคุยกับหลิวเหล่าเฉิงดู ถึงอย่างไรหลิวเหล่าเฉิงก็พูดเองว่า คนเราเมื่อมีเวลาว่างก็สามารถเป็นเจ้าของสายลมจันทราอะไรนั่นได้ การที่เขายืนกรานจะค่อยๆ ถ่อเรือเดินทางกลับเกาะชิงเสียในครั้งนี้ เดิมทีก็เพราะอยากจะทำความเข้าใจนิสัยของหลิวเหล่าเฉิงให้มากขึ้น แม้ว่าโอกาสที่แผนการนี้จะล้มเหลวจะมีมากกว่า สูงกว่า แต่ว่า…
หลิวเหล่าเฉิงกลับยกมือขึ้น “หุบปาก อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก คิดจะเป็นอาจารย์กับศิษย์อะไรนั่น อย่ามากสุดเจ้าก็เป็นได้แค่นักบัญชีที่คำนวณรางลูกคิดได้ไม่เลว เรือก็ใหญ่แค่นี้ หากเจ้าพูดมาก ข้าอยากฟังก็ฟัง ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง แต่ถ้าคิดจะอยู่อย่างสงบก็ได้แต่ตบให้เจ้าร่วงลงไปในทะเลสาบ ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจของเจ้าในเวลานี้ไม่อาจแบกรับความทรมานไปมากกว่านี้ได้แล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังอาศัยช่องโพรงลมปราณแห่งเดียวมาฝืนประคับประคองตัวเอง หากจวนแห่งนี้แหลกสลาย สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าคงต้องขาดสะบั้นลงอีกครั้ง ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้สะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าขาดลงได้อย่างไร? ข้าสงสัยใคร่รู้ไม่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปีนั้นตอนที่อยู่ในตรอกเล็กของบ้านเกิด ได้ถูกผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาคนหนึ่งทำลาย แต่มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่านางเองก็ถูกหลิวจื้อเม่าวางแผนเล่นงานเช่นกัน หายนะครั้งนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ตอนนั้นหลิวจื้อเม่ายังเล่นตุกติกกับจิตใจของข้า หากไม่เป็นเพราะโชคดี เกรงว่าทั้งข้าและผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นคงต้องตายไปอย่างไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว เป็นการเข่นฆ่าที่เลอะเลือนชวนสับสนครั้งหนึ่ง เทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้า นอกจากจะมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่แล้ว ยังชอบฆ่าคนไม่เห็นเลือดกันอีกด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันเล่าเรื่องของตัวเองให้หลิวเหล่าเฉิงฟัง
ถือว่าพอจะมีความจริงใจอยู่บ้าง
ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันคงต้องเป็นกังวลจริงๆ ว่าเมื่อไปถึงเกาะชิงเสียแล้วจะทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าที่นิสัยแปรปรวนยากจะคาดเดาผู้นี้โกรธเกรี้ยวเอาได้
ดูเหมือนหลิวเหล่าเฉิงเองก็ประทับใจกับความจริงใจของเขา “ผู้ฝึกตนบนภูเขากลัวว่าจะต้องแปดเปื้อนเรื่องทางโลกอย่างยิ่ง ในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ข้าน่าจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติเอ่ยประโยคนี้มากที่สุด ดังนั้นผู้ฝึกตนสำนักการทหารถึงเป็นที่อิจฉาของผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะฆ่าใครก็ล้วนไม่ต้องกลัวว่าจะมีผลกรรมติดตัว เพราะฉะนั้นพวกสำนักนิติธรรม สำนักจ้งเหิง สำนักการค้าและสำนักกสิกรรมจึงชอบไปฝึกตนอยู่ด้านล่างภูเขามากกว่า ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในสี่ผีใหญ่ตอแยด้วยยากที่สุดบนภูเขาก็สบายเหมือนกัน เพราะพันธนาการน้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตนสำนักนิติธรรม นักพรตเรือนซือเตา ข้าล้วนเคยพบเจอมาก่อน เหลือแค่คนเชื่อดาบของสำนักโม่เท่านั้นที่ยังไม่เคยเห็นฝีมือ”
หลิวเหล่าเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าไปมีเรื่องกับคนเชื่อดาบดีกว่า นั่นคือผีตอแยในบรรดาผีตอแยอีกที ต้องเรียกว่าเป็นพวกผีเล็กผีน้อยที่เฝ้าประตูให้พญายมราชเลยด้วยซ้ำ” (มาจากประโยคพญายมพบง่าย ผีน้อยตอแย เปรียบเปรยว่าบุคคลยิ่งใหญ่พูดคุยด้วยง่าย แต่ยิ่งเป็นคนตำแหน่งเล็กไม่มีหน้าที่สำคัญเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบตอแยเซ้าซี้ เพราะคนประเภทนี้จะชอบจงใจสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น)
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะระวัง”
เส้นทางยาวไกลแค่ไหน สุดท้ายก็ยังต้องไปถึงจุดหมายปลายทาง
เรือข้ามฟากเคลื่อนผ่านเกาะใต้อาณัติหลายแห่งซึ่งรวมถึงเกาะซู่หลิน จนกระทั่งมาถึงอาณาเขตของเกาะชิงเสีย และหลิวจื้อเม่าก็ยอมเปิดค่ายกลภูเขาแม่น้ำไว้แล้วจริงๆ
ในสายตาของหลิวจื้อเม่า แน่นอนว่านี่ต้องทำให้หลิวเหล่าเฉิงไม่สบอารมณ์ เพียงแต่ว่าเขาเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกับเฉินผิงอัน หากปฏิเสธข้อเรียกร้องของเฉินผิงอันก็ต้องแบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมา เพราะฉะนั้นเขาจึงได้แต่เลือกผลลัพธ์ที่เบาที่สุด และถึงแม้คิดให้ตายอย่างไรหลิวจื้อเม่าก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดบรรพจารย์หลิวถึงยินยอมนั่งเรือกลับมาเกาะชิงเสียพร้อมกับเฉินผิงอัน แต่หลิวจื้อเม่าก็พร่ำบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า เฉินผิงอันเป็นคนชอบทำอะไรตามกฎเกณฑ์ ไม่ว่าหลิวเหล่าเฉิงต้องการอะไร เฉินผิงอันก็พาตัวเขามาได้แล้ว อาจไม่สามารถจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยได้เสมอไป แต่อย่างน้อยก็ช่วยคลี่คลายปัญหาเละเทะบนเกาะชิงเสีย ไม่ใช่วางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราว ปัดก้นเดินจากไป
นี่ก็คืออิทธิพลที่มองไม่เห็นที่ ‘คนดี’ นำพามา ประหนึ่งสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชยยามราตรี หล่อเลี้ยงให้สรรพสิ่งมีชีวิตชีวาอย่างไร้เสียง
ต่อให้เป็นคนชั่วร้ายที่ก่อกรรมทำเข็ญมามากอย่างหลิวจื้อเม่าก็ยังต้องยอมรับ
หลิวเหล่าเฉิงทำตามสัญญา เพียงทะยานลมลอยตัวอยู่เหนือผิวทะเลสาบนอกท่าเรือ
เฉินผิงอันผูกเรือเรียบร้อยแล้วก็ไปที่ห้องตรงประตูภูเขา ครู่หนึ่งต่อมาแผ่นหยกแผ่นนั้นก็ไม่ดึงดูดปราณวิญญาณฟ้าดินของทะเลสาบซูเจี่ยนอีกต่อไป
เฉินผิงอันไปที่จวนจูเสียนมารอบหนึ่ง แต่ตอนกลับไม่ได้พาหงซูกลับมาด้วย มีเพียงเขาที่กลับมายังท่าเรือเพียงลำพัง
หลิวเหล่าเฉิงขมวดคิ้ว
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากเห็นหงซูต้องมาตายอยู่ข้างกายข้าโดยที่ข้าทำอะไรไม่ได้เลย นี่ก็คือหนึ่งในหมื่นที่ข้ากลัวมากที่สุด”
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะเสียงดังกังวานอย่างชอบใจ ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน ครั้นจึงจำแลงกายเป็นสายรุ้งเส้นหนึ่งที่หวนกลับคืนสู่เกาะกงหลิ่ว ก่อให้เกิดเสียงระเบิดดังดุจฟ้าร้องครืนครั่นเป็นระลอกในฤดูหนาว
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงท่าเรือนานมาก รอจนหลิวเหล่าเฉิงจากไปไกลแล้วจริงๆ เขาถึงได้ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างโล่งอก
หลิวจื้อเม่ามาที่ท่าเรือ ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ท่านเฉิน ช่วยบอกความจริงแก่ข้าหน่อยได้ไหมว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เฉินผิงอันกล่าว “ระหว่างที่เดินทางมาข้าได้พูดคุยกับหลิวเหล่าเฉิงมาตลอดทาง ต่างคนต่างหยั่งเชิงกัน ข้าได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ดูเหมือนหลิวเหล่าเฉิงจะไม่เคยปะทะกับซูเกาซานแม่ทัพบู๊ของต้าหลีมาก่อน”
หลิวจื้อเม่าหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
คนทั้งสองต่างก็เป็นคนฉลาด ผู้พูดมีเจตนา ผู้ฟังรับรู้ความนัย
ซูเกาซานแม่ทัพหลักกองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกสังหารมาถึงเมืองหลวงอันเป็นพื้นที่สำคัญของแคว้นสือหาวแล้ว เขาคือภูเขาสูงลูกหนึ่งที่แม้แต่ถานหยวนอี้ก็ยังข้ามผ่านไปไม่ได้ ตอนนั้นคนทั้งสามปรึกษาอย่างพันธมิตรในจวนเหิงโป ต่างก็รู้สึกว่าหลิวเหล่าเฉิงผูกมิตรเข้ากับซูเกาซานโดยตรงแล้ว จึงดูแคลนที่จะมาปรึกษาเรื่องใหญ่กับหัวหน้าสายลับศาลาคลื่นมรกตอย่างถานหยวนอี้ เป็นเกาะกงหลิ่วที่ติดต่อกับซูเกาซานโดยตรงจนได้รับการตอบรับบางอย่างมาจากศูนย์กลางของราชสำนักต้าหลี ดังนั้นถึงได้กระทำการอย่างกำเริบเสิบสาน ไม่สนใจเงื่อนไขที่หลิวจื้อเม่าและถานหยวนอี้เสนอให้เลยแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งของหลิวเหล่าเฉิงในปัจจุบันก็พอจะนั่งทัดเทียมกับซูเกาซานได้
ตอนนี้มาลองดูแล้ว คนทั้งสามน่าจะเดาผิด พวกเขาดูแคลนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนท่านนี้มากเกินไป หลิวเหล่าเฉิงไม่เห็นแม่ทัพใหญ่อย่างซูเกาซานอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย นี่แสดงว่าเกาะกงหลิ่วต้องมีเส้นสายที่สูงยิ่งกว่าและลึกลับยิ่งกว่า ไม่แน่ว่าอาจสามารถพูดคุยกับสกุลซ่งต้าหลี หรือกระทั่งราชครูต้าหลีได้โดยตรง
ความขมฝาดในสีหน้าของหลิวจื้อเม่ายิ่งเข้มข้น “ท่านเฉินที่ประเมินการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์แล้วคงไม่ทอดทิ้งเกาะชิงเสียไปเข้าร่วมกับเกาะกงหลิ่วหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากจะทำอย่างนี้จริงๆ ข้าก็ไม่มีทางพูดเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าเกาะหลิวมีสายตาเฉียบแหลม ต้องมองออกอยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหลิวเหล่าเฉิงมองดูคล้ายกลมเกลียว แต่แท้จริงแล้วไม่ได้ดีอย่างที่ผู้ฝึกตนในทะเลสาบซูเจี่ยนคิด ไหนเลยจะเป็นเหมือนคนที่เพียงพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน เจ็บใจที่พบกันสายไปอะไรนั่น พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะ หากไม่เป็นเพราะแผ่นหยกแผ่นนั้นที่ทำให้หลิวเหล่าเฉิงรู้สึกกริ่งเกรง เกรงว่าเกาะกงหลิ่วคงกลายเป็นที่ฝังศพของข้าไปแล้ว”
หลิวจื้อเม่ายิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว หากท่านเฉินเลือกจะร่วมมือกับหลิวเหล่าเฉิง ต่อให้ข้ามีขาเพิ่มมาอีกสองขาก็คงเดินออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนไม่ได้อยู่ดี”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ผ่านสิ้นปีและเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าเมื่อไหร่ ข้าอาจต้องออกจากเกาะชิงเสียบ่อยๆ หรืออาจถึงขั้นออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าเกาะหลิวไม่ต้องกังวลว่าข้าจะทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบวางแผนการหาทางรอดลับหลังเจ้ากับถานหยวนอี้ และก็ไม่แน่ว่าอาจพบเจอซูเกาซานระหว่างทางเข้าจริงๆ ซึ่งเจ้าเกาะหลิวก็ไม่ต้องสงสัยคลางแคลงใจ ในเมื่อเป็นพันธมิตรกับจวนเหิงโปแล้ว ข้ามีแต่จะยิ่งให้ความสำคัญมากกว่าพวกเจ้าทั้งสอง แต่ก็ขอบอกไว้ก่อนว่า หากพวกเจ้าสองคนเปลี่ยนใจกลางคัน คิดจะถอนตัว ก็แค่บอกกับข้ามาตามตรง นี่ยังคงเป็นเรื่องที่ปรึกษากันได้ แต่หากใครทรยศคำสัญญาทำตัวไร้คุณธรรมก่อน ข้าก็ไม่สนว่าจะด้วยเหตุผลอันใด จะเล่นงานให้พวกเจ้าแบกรับผลที่ตามมาอย่างเต็มคราบ”
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มจืดเจื่อน “ข้าแค่กล้ารับรองว่า หากเกิดเปลี่ยนใจ ข้าหลิวจื้อเม่าจะต้องบอกให้ท่านเฉินรู้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนแน่นอน ส่วนถานหยวนอี้ ข้าจะนำความประโยคนี้ไปบอกแก่เขาที่เกาะลี่ซู่อย่างไม่มีตกหล่น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลิวจื้อเม่าไม่ปฏิเสธว่า เมื่อหลิวเหล่าเฉิงมาเยือนเกาะชิงเสียพร้อมกับเฉินผิงอัน ยิ่งเฉินผิงอันพูดจาตรงไปตรงมา ยิ่งตัดขาดความสัมพันธ์กับเกาะกงหลิ่วชัดเจนเท่าไหร่ ในใจของเขาหลิวจื้อเม่าก็ยิ่งเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ใจคอไม่ดีมากเท่านั้น
เพราะนั่นก็คือคำว่า ‘หนึ่งในหมื่น’
หากมีความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่นที่เฉินผิงอันอาศัยความกล้าและความอดทนของตัวเองจนมีทางเลือกอย่างใหม่เพิ่มขึ้นมา หากมีความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่นที่เฉินผิงอันจะทอดทิ้งคำสัญญาไร้คุณธรรมล่ะ? หากเขาอำมหิตใจดำยิ่งกว่าเขาหลิวจื้อเม่าและถานหยวนอี้ล่ะ?
ต้องรู้ว่า เขารู้ชัดเจนดีกว่าใครว่าหนีชิวน้อยที่ร้ายกาจตัวนั้นกระโดดลงไปในหลุมไฟได้อย่างไร เจอกับหายนะได้อย่างไร และเฉินผิงอันเก็บกวาดปิดฉากเรื่องนี้ลงอย่างไร
ทันใดนั้นหลิวจื้อเม่าก็พลันรู้สึกเสียใจภายหลัง ตนไม่ควรเดินเข้าไปใน ‘กฎเกณฑ์’ ของเฉินผิงอันเลยใช่หรือไม่? ไม่ใช่ว่าเมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ ตนถึงเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างแจ้งว่าตัวเองต้องมีจุดจบที่อเนจอนาถไม่ต่างจากหนีชิวน้อยตัวนั้นหรอกนะ?
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองทะเลสาบ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าเกาะหลิว เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว ฉะนั้นก็อย่าเสียสมาธิ เพราะมีแต่จะยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดให้ตัวเอง นี่ไม่ใช่สภาพจิตใจที่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งสมควรมี”
หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “คำเดียวก็ปลุกให้คนที่อยู่ในฝันสะดุ้งตื่น ได้รับการสั่งสอนอีกครั้งแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “มิกล้าๆ ข้าไม่ใช่อาจารย์หรือนักปราชญ์อะไร เป็นแค่นักบัญชีตกอับคนหนึ่งของเกาะชิงเสียเท่านั้น มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ยังต้องขอให้เจ้าเกาะหลิวช่วยดูแลมากๆ”
หลิวจื้อเม่าก็เอ่ยหยอกล้อ “บางครั้งก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา คิดว่าหากวันใดท่านเฉินถูกใครต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียว แบบนั้นจะดีกว่าหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เช่นกันๆ”
หลังจากหลิวจื้อเม่าไปจากท่าเรือแล้ว เฉินผิงอันก็กลับมาที่ห้อง ปลดเจี้ยนเซียนไปแขวนไว้บนผนัง ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ออก สวมแค่ชุดผ้าฝ้ายตัวหนาป้องกันความหนาว ใส่ถ่านไม้ลงไปในเตาใบเล็ก จุดฟืนก่อไฟหาความอบอุ่นแล้วสาวเท้าก้าวเดินอยู่ในห้อง
เจิงเย่วิ่งมาเคาะประตูห้องสอบถาม เฉินผิงอันเปิดประตูแล้วก็ถามถึงความคืบหน้าในการฝึกตนของเจิงเย่อย่างละเอียด พูดคุยกันจบ เฉินผิงอันก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย คาดว่าประมาณปลายปี เจิงเย่น่าจะสามารถใช้ร่างกายของตัวเองเป็นที่พักพิงของวัตถุหยินและจิตวิญญาณมาเดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นได้ ถึงเวลานั้นเจิงเย่ก็จะสามารถอาศัยวิชาลับชั้นสูงและฐานกระดูกที่พิเศษของตนมาขัดเกลาและพัฒนาตบะ ไม่แน่ว่าความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขตจะเร็วอย่างมาก เมื่อเทียบกับวิชานอกรีตที่ช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโตของเกาะเหมาเยว่แล้ว ยังเร็วกว่าหนึ่งระดับด้วยซ้ำ สามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตก้าวข้ามธรณีประตูขนาดใหญ่บานแรกของห้าขอบเขตกลางได้เร็วกว่าเดิม
เห็นท่าทีอิดออดคล้ายไม่อยากจากไปของเจิงเย่
เฉินผิงอันก็ถามว่า “อยากถามข้าว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เพิ่งจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับหลิวเหล่าเฉิงไปหยกๆ ตอนนี้กลับมาเที่ยวชมทะเลสาบซูเจี่ยนร่วมกันเหมือนสหายที่สนิทสนมกันมานานเสียแล้ว?”
เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างลำบากใจเล็กน้อย
ต่อให้เขาจะจดจำได้ขึ้นใจว่า เมื่อมาอยู่บนเกาะชิงเสียต้องมองให้มาก คิดให้มาก พูดให้น้อย แต่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้นี้รู้สึกสงสัยใคร่รู้อย่างมาก จึงอดใจไม่ไหวจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่อนข้างจะซับซ้อน แล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอามาพูดคุยกันเป็นเรื่องขบขันได้”
เจิงเย่รีบลุกขึ้นทันที “ท่านเฉิน ข้าจะกลับไปฝึกตนแล้ว”
เฉินผิงอันพูดกับเขาว่า “รอวันใดที่สามารถพูดได้แล้ว ถึงวันนั้นจะเลี้ยงเหล้าเจ้าแล้วเล่าให้เจ้าฟังไปด้วย”
เจิงเย่ปิดประตูลงเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองลอดผ่านร่องเล็กก่อนที่ประตูจะปิดสนิทพลางกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านเฉิน คำไหนคำนั้นนะ!”
……
หลังจากนั้นเกาะมากมายบนทะเลสาบซูเจี่ยนที่หิมะยังไม่ทันละลายจนหมดก็ต้องเจอกับหิมะใหญ่เท่าขนห่านที่ตกหนักอีกครั้ง
ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
ปีนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีหิมะใหญ่ที่หลายสิบปียากจะพานพบตกลงมาสองครั้งติดแล้ว
แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่ยินดี เพราะนี่หมายความว่าปราณวิญญาณที่เดิมทีก็เต็มเปี่ยมอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนจะได้รับการเติมเต็มเข้ามาอีก นี่เรียกว่าสวรรค์ประทานข้าวให้กิน
หลายวันที่ผ่านมานี้ผู้ฝึกตนแทบทุกคนต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงนักบัญชีของเกาะชิงเสียคนนั้นอย่างดุเดือด แม้แต่เมืองใหญ่รอบทะเลสาบทั้งสี่แห่งอย่างนครบ่อน้ำ นครอวิ๋นโหลวก็ยังไม่เว้น
อวี๋กุ้ยเป็นฝ่ายมาเยือนประตูภูเขาเกาะชิงเสียด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เขามานั่งอยู่ในห้องของเฉินผิงอันพักหนึ่ง แล้วถือโอกาสทำการค้าเล็กๆ ขายวัตถุวิเศษชั้นสูงที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะได้เป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งให้เฉินผิงอันในราคาถูก ประสิทธิผลของมันคล้ายคลึงกับตำหนักพญายมราช ‘คุกล่าง’ ชิ้นนั้น คือหอเรือนที่สร้างเลียนแบบ ‘หอแก้ว’ ของนครจักรพรรดิขาวในแผ่นดินกลาง แม้ว่า ‘ห้องหับ’ ที่ภูตผีวัตถุหยินสามารถพักอาศัยได้จะมีไม่มาก แค่สิบสองห้อง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบตำหนักพญายมราชที่เช่ามาจากห้องลับของเกาะชิงเสียได้ติด แต่คุณภาพของห้องพักกลับดีกว่ามาก ต่อให้คิดจะเอาขุนพลผีที่ผู้ฝึกตนผีจวนจูเสียนตั้งใจอบรมปลูกฝังอยู่ในธงเรียกวิญญาณมาอยู่ที่นี่ ก็ยังสามารถมาหล่อเลี้ยงบำรุงด้วยความอบอุ่นได้อย่างเหลือเฟือ
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ของชิ้นนี้เป็นของดีเยี่ยม ก็แค่เขาไม่มีเงินเท่านั้น จึงได้แต่ติดเงินเกาะตะขอจันทร์เอาไว้ก่อน อวี๋กุ้ยได้ยินก็เบิกบานใจทันที บอกว่าท่านเฉินไม่มีคุณธรรมเสียเลย ราคาถูกปานนี้ยังจะเชื่อไว้ก่อน ทำได้ลงคอจริงๆ หรือ? เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่าทำได้สิ ทำได้ กับเจ้าเกาะอวี๋ยังต้องเกรงอกเกรงใจไปไย อวี๋กุ้ยยิ่งอารมณ์ดี แต่มิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ การค้าขายก็ส่วนการค้าขาย เขาจึงพาเฉินผิงอันไปหาจางเย่ผู้ดูแลหลักของคลังลับ เขียนใบรองรับหนี้สินในนามของเกาะชิงเสีย ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่วางใจ ยังขอให้ผู้เฒ่าจางช่วยจับตามองเฉินผิงอันด้วย ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นเขาอวี๋กุ้ยกับคลังลับอาจต้องกลายมาเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ยากกัน
จางเย่พยักหน้ารับตอบรับด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ให้เฉินผิงอันยืมเงินไปจ่ายค่าหอแก้วหลังเล็กนั่น เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ติดหนี้เกาะชิงเสียไว้ก้อนใหญ่อยู่แล้ว แต่จางเย่ก็รับปากเขียนใบรับรองหนี้สินให้ อวี๋กุ้ยถึงได้พึงพอใจ และยังถือโอกาสเชื้อเชิญผู้เฒ่าจางไปเป็นแขกที่เกาะตะขอจันทร์ของตน จางเย่ก็ตกปากรับคำอีกเหมือนกัน ทั้งยังนัดหมายเวลากับอวี๋กุ้ยเรียบร้อยอย่างไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันคล้ายเป็นคนนอก
เจ้าเกาะไผ่ม่วงก็โดยสารเรือข้ามฟากอาวุธวิเศษลำหนึ่งมาเยือนด้วยความชื่นมื่น นำไม้ไผ่ม่วงรุ่นบรรพบุรุษของเกาะมาให้ท่านเฉินสามลำใหญ่ มอบให้เปล่าๆ แต่อารมณ์ดียิ่งกว่าเก็บเงินเสียอีก พอมาถึงห้องของเฉินผิงอันก็ดื่มแค่น้ำร้อนที่ไม่มีใบชาสักใบถ้วยเดียวแล้วกลับทันที เฉินผิงอันเดินมาส่งจนถึงท่าเรือ กุมหมัดอำลา
และยังมีเกาะอีกหลายแห่งที่ตอนแรกเฉินผิงอันต้องกินน้ำแกงประตูปิด หรือไม่ไปเยือนแล้วเจ้าเกาะไม่ปรากฎตัวที่ต่างก็พากันมาเยี่ยมเยียนเกาะชิงเสียราวกับนัดหมายกันมาอย่างไรอย่างนั้น
พอหิมะใหญ่หยุดตก
เที่ยงวันของวันนี้หลิวจื้อเม่าก็มาเยือนที่เรือนหลังนี้ ทว่าเพียงแค่เคาะประตู ไม่ได้เข้าไปข้างใน
เฉินผิงอันเดินหิ้วเตาออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
คนทั้งสองเดินเล่นไปด้วยกัน
หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ต้องการให้ข้าออกหน้าช่วยปฏิเสธคนเหล่านั้นหรือไม่? แค่หาข้ออ้างง่ายๆ ก็ได้แล้ว บอกว่าเกาะชิงเสียจะปิดภูเขา”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าสามารถหาความสุขจากความทุกข์ แล้วก็ยินดีที่จะให้มันเป็นเช่นนี้ อันที่จริงไปมาหาสู่กับเจ้าเกาะเหล่านี้ก็ทำให้ได้เรียนรู้อะไรอีกไม่น้อย แต่ก็เหนื่อยมากจริงๆ การทักทายปราศรัย พูดจาตามมารยาทกับคนอื่น เป็นเรื่องที่ข้าไม่ถนัดที่สุดมาโดยตลอด ก็ถือซะว่าเป็นการตรวจสอบหาช่องโหว่ และฝึกฝนวิชาการอยู่ร่วมกับคนอื่นก็แล้วกัน”
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “อันที่จริงล้วนต้องมีวันที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้ วันหน้าเมื่อเจ้ามีภูเขาเป็นของตัวเอง ต้องคอยดูแลทุกเรื่องทุกทาง จะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจยิ่งกว่านี้ ทำตัวให้ชินไว้แต่เนิ่นๆ ก็ถือเป็นเรื่องดี”
คนทั้งสองเดินออกมาจากเรือนหน้าประตูภูเขาได้พักใหญ่ หลิวจื้อเม่าหันกลับไปมองก็กลั้นยิ้มกล่าวว่า “เฉินผิงอัน อาหญิงท่านนั้นของเจ้าออกจากจวนชุนถิงมาหาเจ้าแล้ว หากจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกจากเรือนมาพบเจ้าหลังจากที่เจ้าย้ายออกมาจากจวนชุนถิง พวกเราจะเดินกลับกันไปดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เดินไปข้างหน้าอีกหน่อย”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “หากเจ้าใจแข็งเช่นคนฝึกตนอย่างพวกเรา อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้แล้ว”
เฉินผิงอันถือเตาใบเล็ก ยิ้มกล่าวว่า “พยายามให้เป็นการพบเจอที่ดีและจากลาที่ดีเถอะ ต่อให้ความสัมพันธ์ควันธูปจางหายไปจนสิ้นแล้ว ก็ยังหวังว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตที่ดี”
หลิวจื้อเม่าเอ่ย “กิจในบ้านบางอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในเรือนของตรอกทรุดโทรม อยู่ในจวนใหญ่โตโอ่อ่า หรืออยู่บนภูเขาใหญ่อย่างเกาะชิงเสียของพวกเรา คิดจะทำให้ดี ก็ยากที่จะเป็นคนดีได้ เฉินผิงอัน ข้าขอแนะนำเจ้าด้วยประโยคที่ไม่น่าฟังสักประโยค บางทีต่อให้ผ่านไปอีกหลายปีหรือสิบปี สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นก็ไม่มีทางเข้าใจความหวังดีของเจ้าในเวลานี้ นางมีแต่จะจดจำความไม่ดีของเจ้า ไม่ว่าเวลานั้นนางจะมีชีวิตที่ดีหรือร้ายก็ล้วนเหมือนกัน ไม่แน่ว่าหากนางมีชีวิตที่แย่ กลับยังจะพอจดจำความดีของเจ้าได้ไม่มากก็น้อย แต่ยิ่งมีชีวิตที่ดีเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งเคียดแค้นเจ้ามากเท่านั้น”
เฉินผิงอันสีหน้าเฉยชา “แล้วนั่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดัง “ก็จริงนะ”
หลิวจื้อเม่าพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “เจ้าลองเดาดูสิว่ามารดากู้ช่านออกจากบ้านมาครั้งนี้ ได้พาสาวใช้คนสองคนติดตามมาด้วยหรือไม่?”
หลิวจื้อเม่ารีบเอ่ยเสริมทันทีว่า “ข้าไม่ได้คิดจะยุแยงตะแคงรั่วแน่นอน”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าพาสาวใช้เดินมาได้ครึ่งทางแล้วรู้สึกไม่เหมาะสม ก็เลยสั่งให้พวกนางกลับไปที่จวนชุนถิง? ท่านอาหญิงคนนี้ของข้าฉลาดมาก ไม่อย่างนั้นตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิงก็คงไม่มีทางเลี้ยงดูกู้ช่านให้เติบใหญ่ได้ แต่ว่า…ไม่มีแต่ว่า ตอนอยู่ตรอกหนีผิง นางทำได้ดีที่สุดแล้ว”
หลิวจื้อเม่าจุ๊ปาก “ร้ายกาจ!”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ข้าเดาถูกจริงๆ หรือนี่?”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ “ตอนที่เดินออกจากประตูใหญ่ของจวนชุนถิงยังพาสาวใช้สองคนที่ท่าทางว่าง่ายที่สุดมาด้วย แต่เดินมาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ นางก็คิดจนเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ท่าทางเวลาที่คนน่าสงสารไปขอร้องคนอื่นสมควรมี จึงบอกให้พวกสาวใช้กลับไป ถือโอกาสเอาเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกราคาแพงตัวนั้นของนางกลับไปด้วย ดังนั้นหากพวกเรายังเดินต่อไป ตอนที่กลับไปถึง นางที่อยู่นอกประตูต้องหนาวจนปากเขียวตัวสั่นแน่นอน ถึงเวลานั้นพอเข้าไปในห้อง ยามพูดจาก็คงไม่คล่องแคล่วนัก เป็นอย่างไร พวกเราจะย้อนกลับไปทันที ไม่ให้โอกาสนางได้ทำตัวน่าสงสารจริงๆ ดีหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “กลับเถอะ”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะ “อันที่จริงเจ้าใจแข็งยิ่งกว่าที่ข้าคิดเสียอีก”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ถึงอย่างไรข้าก็รู้ทุกอย่าง ไยยังต้องให้นางเผชิญกับความยากลำบาก ต้องเจ็บแค้นใจมากกว่าเดิม นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายที่สุดแล้ว”
หลิวจื้อเม่าถาม “จะกลับไปพร้อมกันเหมือนที่ไปจวนชุนถิงคราวนั้นหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “คราวนี้ไม่ต้องแล้ว ข้าไม่ได้หน้าใหญ่ถึงขนาดสามารถให้เจ้าเกาะหลิวต้องร่วมเดินทางด้วยครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ถวายงานเกาะชิงเสียไม่สมควรทำเช่นนี้”
หลิวจื้อเม่าไม่ได้ยืนกราน เพียงทะยานร่างวูบหายไป “วางใจเถอะ ข้าจะไม่แอบฟังบทสนทนาของพวกเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็เดาได้คร่าวๆ แล้วว่านางจะพูดอะไร”
เฉินผิงอันกลับไปที่เรือนหลังนั้น สตรีแต่งงานแล้วหนาวจนตัวแข็งทื่อเหมือนนกกระทา สองมือกอดไหล่ เมื่อนางเห็นเฉินผิงอันที่เดินมาแต่ไกลก็ลังเลเล็กน้อยแล้วรีบปล่อยมือออกทันที
นางที่เป็นสตรีธรรมดาคนหนึ่งยังมองเห็นเฉินผิงอันแล้ว
เฉินผิงอันย่อมมองเห็นนางเร็วยิ่งกว่าเสียอีก
แล้วก็จริงดังคาด
พอเฉินผิงอันขยับเข้าใกล้ประตูภูเขาก็สาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าหา ยื่นเตาอุ่นมือส่งไปให้สตรีแต่งงานแล้ว เปิดประตูพลางกล่าวว่า “ท่านอาหญิงมาได้อย่างไร? ทำไมไม่ให้คนมาแจ้ง ข้าจะได้ไปที่จวนชุนถิงเอง”
สตรีแต่งงานแล้วเข้ามาในห้อง นั่งลงข้างโต๊ะ สองมือวางไว้บนเตาอุ่นมือ ฝืนยิ้มเบิกบาน “ผิงอัน หนีชิวน้อยตายแล้ว อาจะยังกล้าพูดอะไรมากอีก เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรหนีชิวน้อยก็อยู่กับพวกเราสองแม่ลูกมานานหลายปี ไม่มีมันแล้ว อย่าว่าแต่จวนชุนถิงเลย แม้แต่กระท่อมหลังเล็กๆ หลังหนึ่งบนเกาะชิงเสียก็อาจจะไม่มีคนรอดชีวิตอยู่ได้อีก ดังนั้นช่วยคืนศพของหนีชิวน้อยให้พวกเรานำไปฝังศพได้หรือไม่? หากคำขอร้องนี้มากเกินไป อาก็คงไม่พูดอะไรมากอีก ยิ่งไม่ตำหนิเจ้า ก็เหมือนตลอดหลายปีมานี้ที่กู้ช่านพร่ำพูดมาตลอดว่า ใต้หล้านี้นอกจากข้าที่เป็นมารดาแล้ว อันที่จริงก็มีแต่เจ้าที่เป็นห่วงเขาจากใจจริง หลายปีที่อยู่ในตรอกหนีผิง ก็แค่ข้าวถ้วยเดียวเท่านั้น แต่เจ้ากลับช่วยเหลือพวกเราสองแม่ลูกมากมาย ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พวกเราสองแม่ลูกมองเห็น หรือมองไม่เห็น เจ้าก็ล้วนทำทั้งหมด…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็ปิดหน้าร่ำไห้ พูดเสียงสะอื้น “ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ล้วนเป็นโชคชะตา อาไม่โทษเจ้าจริงๆ จริงๆ นะ…”
เฉินผิงอันรับฟังอย่างอดทน รอจนสตรีแต่งงานแล้วเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่พูดอะไรอีก
เขาจึงเดินไปที่โต๊ะหนังสือ ย้ายเอากระถางใบใหญ่มาวางไว้ใต้โต๊ะ จากนั้นก็เดินไปเปิดถุงใบใหญ่เก็บถ่านไม้ซึ่งวางไว้ตรงมุมห้องออก นำฟืนมาเติมในกระถาง หลังจากใช้ที่จุดไฟซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษจุดฟืนแล้วก็นั่งยองอยู่บนพื้น ผลักกระถางมาไว้ใต้โต๊ะที่คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน ขยับไว้ใกล้ๆ ขาทั้งสองของสตรีแต่งงานแล้ว เพื่อที่นางจะได้อบอุ่น
ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เฉินผิงอันก็นั่งลงบนม้านั่งตัวยาว ไม่ได้เอ่ยอะไร
สตรีแต่งงานแล้วรีบเช็ดน้ำตา นางยกเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาเหยียบบนขอบกระถางไฟเบาๆ พูดด้วยสีหน้าซีดเซียวชวนเวทนา “ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดิมทีหนีชิวน้อยก็มาจากน้ำ ไม่ได้พิถีพิถันเรื่องการทำศพเหมือนพวกเรา ไม่จำเป็นต้องฝังลงดินเสมอไป”
สายตาของเฉินผิงอันเลื่อนลอย
เขายังพอจะจำได้เลือนๆ ว่า
ปีนั้นมีครั้งหนึ่งในตรอกเล็ก ตนคอยปกป้องนาง หลังจากนางทะเลาะตบตีกับพวกสตรีปากยื่นปากยาวทั้งหลายแล้ว คนทั้งสองก็นั่งกันอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูบ้าน นางเพียงแค่หลั่งน้ำตาเงียบๆ สองมือกำชายเสื้อที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนไว้แน่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ หลังจากเห็นลูกชายที่ซุกซนของตนเดินอาดๆ เข้ามาในตรอกแล้วก็รีบหันหลังไปเช็ดน้ำตา จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ใช้นิ้วมือสางผมที่ยุ่งเหยิง
ต่อให้เป็นเวลานี้เฉินผิงอันก็ยังคงรู้สึกว่าอาหญิงคนนั้นในตอนนั้น ก็คือมารดาที่ดีที่สุดของกู้ช่าน
นางเอ่ยถามเสียงเบา “ผิงอัน ได้ยินว่าครั้งนี้เจ้าไปพบบรรพจารย์หลิวที่เกาะกงหลิ่ว อันตรายหรือไม่?”
สองมือที่กำเป็นหมัดแน่นของเฉินผิงอันวางอยู่บนหัวเข่าเบาๆ
เขาไม่มีอารมณ์เศร้าสร้อยทุกข์ตรมอะไรอีกแล้ว เหลือเพียงความเหนื่อยหน่ายใจเท่านั้น
ผู้ที่เห็นปลาในเหวลึกย่อมไม่เป็นมงคล
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก คลายหมัดออก ยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง “ท่านอาหญิง คนในครอบครัวเดียวกันที่แท้จริง อันที่จริงไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เพราะมันอยู่ในนี้หมดแล้ว ปีนั้นที่ท่านอาเปิดประตูมอบข้าวให้ข้าหนึ่งถ้วย ข้ามองเห็นแล้ว ปีนั้นท่านอาทะเลาะกับคนอื่นเสร็จแล้วนั่งอยู่หน้าประตูบ้าน หันมาส่งสายตาให้ข้า ต้องการให้ข้าเก็บเป็นความลับไม่บอกกู้ช่าน ไม่ให้เขารู้ว่ามารดาของตัวเองได้รับความทุกข์ยาก ด้วยกังวลว่าเขาจะหวาดกลัว ข้าก็มองเห็นแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
มือที่อยู่ใต้โต๊ะของนางกำที่จับเตาใบเล็กเอาไว้แน่น
เฉินผิงอันอยากบอกกับนางอย่างยิ่งว่า
‘ท่านอาหญิง ท่านคงยังไม่รู้ว่า ปีนั้นตอนที่อยู่ตรอกหนีผิง ข้าก็รู้แล้วว่าเพื่อหนีชิวน้อยตัวนั้น ท่านอาหญิงจึงอยากให้ข้าตาย หวังให้หลิวจื้อเม่าสังหารข้าให้ได้’
‘ท่านอาหญิง ท่านคงไม่รู้เช่นเดียวกันว่า คืนนั้นที่ท่านเชิญหลิวจื้อเม่าไปยังจวนชุนถิง ถามถึงรากฐานของข้า อันที่จริงหลิวจื้อเม่าไม่ได้ดื่มชาถ้วยนั้น แต่นำน้ำในถ้วยกลับมา เพราะแท้จริงแล้วเขาใช้เวทลับน้ำเก็บเสียงของบนภูเขามาเก็บน้ำในถ้วยชาไป จากนั้นก็ใส่ลงในถ้วย วางลงบนโต๊ะใบนี้ เพียงแต่ถูกข้าสลายคลื่นเสียงในบทสนทนาของพวกเจ้าทั้งสองทิ้งไปก็เท่านั้น’
‘ท่านอาหญิงก็คงไม่รู้อีกว่า ปลดเสื้อคลุมหนังจิ้งจอก บอกให้สาวใช้กลับจวน หรือแม้แต่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ตอนยืนอยู่หน้าประตูที่พอเห็นข้าก็ปล่อยมือทันที กลอุบายทั้งหมด รวมไปถึงความนัยในถ้อยคำที่เอ่ยในห้องแห่งนี้ ข้าล้วนรู้กระจ่างชัด รู้ชัดเจนหมดทุกอย่าง’
แต่คำพูดเหล่านี้ เฉินผิงอันกลับกลืนลงท้องไปหมดทุกคำ สุดท้ายเขาพูดเพียงประโยคเดียวว่า “ท่านอาหญิง ทะเลสาบซูเจี่ยนในวันหน้าอาจไม่เหมือนกับวันนี้ ถึงเวลานั้นท่านอาหญิงกับกู้ช่านก็ไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ต่อให้วันนั้นไม่อาจรักษากิจการเอาไว้ได้ หรือวันใดมีนักฆ่าที่กลับมาแก้แค้นปรากฏตัว ต้องให้กู้ช่านคอยสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงอย่างแท้จริง ข้ายังหวังว่าท่านอาหญิงจะพยายามอยู่แค่ในจวนชุนถิงไม่ออกไปไหน”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับเบาๆ
เฉินผิงอันมองนาง เอ่ยเนิบช้า “ทะเลสาบซูเจี่ยนจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ หวังว่าท่านอาหญิงจะทำเหมือนตอนที่เพิ่งย้ายออกจากตรอกหนีผิงมายังเกาะชิงเสียที่ระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก คอยมองดูให้มาก มองดูว่าควรจะช่วยกู้ช่านขยับขยายกิจการของจวนชุนถิงให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมอย่างไร ในเมื่อทำเพื่อกู้ช่าน ถ้าอย่างนั้นข้าก็คิดว่าขนาดความลำบากที่ต้องเผชิญมาตลอดหลายปีในตรอกหนีผิงยังผ่านมาได้แล้ว สามปีที่เพิ่งมาอยู่เกาะชิงเสียก็เจอมาแล้ว วันหน้า เพื่อกู้ช่านแล้ว ท่านอาหญิงจะทนลำบากต่อไปอีกหน่อยได้หรือไม่? ย่อมมีสักวันที่ได้ลืมตาอ้าปาก ก็เหมือนปีนั้นที่เลี้ยงดูกู้ช่านจนเติบใหญ่ การกินอยู่ของเจ้าเด็กขี้มูกยืดไม่เคยแย่กว่าเด็กคนอื่นที่เป็นเพื่อนบ้านเลยแม้แต่น้อย ก็เหมือนเปลี่ยนจากบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงมาเป็นจวนชุนถิง ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจได้ครอบครองเกาะทั้งเกาะเป็นของตน ไม่ใช่แค่จวนเหิงโปที่ใหญ่กว่าจวนชุนถิงเท่านั้น ถูกไหม? แล้วนับประสาอะไรกับที่วันใดวันหนึ่งบิดาของกู้ช่านอาจจะมาพบพวกเจ้าที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับอย่างแรง น้ำตาคลอดวงตา ดวงตาบวมแดงเล็กน้อย
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่อีกพักหนึ่งก็บอกลาจากไป เฉินผิงอันไปส่งนางที่หน้าประตูเรือน ทำอย่างไรสตรีแต่งงานแล้วก็ไม่ยอมรับเตาอุ่นมือใบนั้นมา บอกว่าไม่ต้อง ลมหนาวแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตรอกหนีผิงมีความยากลำบากอะไรบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน นางเคยชินมาตั้งนานแล้ว
เฉินผิงอันมองส่งนางจากไป แล้วจึงกลับเข้าไปในห้อง
สตรีแต่งงานแล้วเดินไปด้วยความยากลำบากแต่ไร้คำพร่ำบ่นตลอดทาง
รอจนนางขยับเข้าไปใกล้จวนชุนถิง สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นบึ้งตึง ริมฝีปากขยับน้อยๆ เพียงแต่ว่าเมื่อสาวใช้วิ่งเร็วๆ ออกมาหา สตรีแต่งงานแล้วกลับรีบคลี่ยิ้มทันที
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ เหม่อลอยไร้คำพูด ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่มีประโยชน์ ถูกไหม เฉินผิงอัน?”
เขานวดคลึงข้างแก้มของตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นก็ทำเรื่องที่มีประโยชน์สักหน่อย”
เฉินผิงอันก้มหน้าค้อมเอวขยับกระถางไฟมาใกล้ วางเท้าไว้ด้านบน ยังคงถือเตาอุ่นมือเอาไว้ ฟุบตัวลงบนโต๊ะ งีบหลับไปอย่างสะลืมสะลือ
กึ่งหลับกึ่งตื่น คล้ายย้อนกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง
เสียงผ่าฟืน เสียงหมาเห่ายามดึกดื่น เสียงเด็กร้องกะจองอแงรบกวนคนนอนหลับฝัน เสียงทุบผ้าของหญิงชราหลังค่อม
หลายคนต่างก็รู้สึกรำคาญ
ตอนนั้นที่อยู่ในตรอกหนีผิง เฉินผิงอันก็รำคาญเหมือนกัน แต่ก็ได้แค่ทนรับ
ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล็ก
อีกทั้งยิ่งนานวัน เรื่องที่คิดว่าเล็กน้อยเท่าไหร่ วันนี้พอมาย้อนนึกดูกลับรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูกเท่านั้น
เสียงตุ้บดังขึ้น เตาอุ่นมือร่วงตกลงบนพื้น เฉินผิงอันสะดุ้งตื่น หยิบเตาอุ่นมือขึ้นมาวางฝั่งหนึ่งของโต๊ะยาว
นอนหลับไปตื่นหนึ่ง
พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นกลางดึกแล้ว เขาตื่นเพราะเสียงเคาะประตู
เฉินผิงอันเดินไปเปิดประตู เกือบทนไม่ไหวสบถด่าออกไป
นึกไม่ถึงว่าผู้ที่มาเคาะจะเป็นเจ้าเกาะจูไช หลิวจ้งรุ่น
เฉินผิงอันเปิดประตู แต่ไม่ได้เปิดทางให้นางเดินเข้ามา
หลิวจ้งรุ่นเลิกคิ้ว “ทำไม จะไม่ให้ข้าเข้าไปสักหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “ให้เจ้าเข้ามา วันหน้าข้าจะไปพบหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนได้อย่างไร?”
หลิวจ้งรุ่นชูขวดกระเบื้องในมือขึ้น “เรื่องสำคัญขนาดนี้ พวกเราจะยืนคุยกันหน้าประตูจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “เจ้าจงใจ?”
หลิวจ้งรุ่นยิ้มตาหยีพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าเกาะหลิว เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? นี่ไม่ใช่กฎในการทำการค้า เข้าใจไหม?”
หลิวจ้งรุ่นยิ้มกล่าว “อย่าคิดใช้เหตุผลกับสตรี”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มเจื่อน “มีเหตุผล”
แล้วเขาก็เปิดทางให้หลิวจ้งรุ่นเดินเข้ามาในห้อง เฉินผิงอันไม่กล้าปิดประตู ผลคือหลิวจ้งรุ่นกลับยกเท้าตวัดถีบ ประตูห้องปิดสนิททันที
หลิวจ้งรุ่นก้มหน้าลงมองแผ่นหินสีเขียวก้อนใหญ่ ชำเลืองตามองหีบหนังสือตรงมุมห้อง รวมไปถึงไม้ไผ่ม่วงหกลำที่ถูกผ่าครึ่งวางเอนพิงไว้ริมผนัง สุดท้ายเส้นสายตากลับมาที่แผ่นหินสีเขียวอีกครั้ง “ท่านเฉินหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ทั้งวันก็เพื่อทำของเล่นที่น่าสะพรึงกลัวพวกนี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลิวจ้งรุ่นเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ก้มหน้าลงมองกระถางไฟแวบหนึ่ง “ของสิ่งนี้ นับว่าหายาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากชาวบ้านได้เห็นมังกรดินในเรือนใหญ่โตโอ่อ่าของพวกเจ้าจะยิ่งรู้สึกว่าหายากกว่านี้”
ในฐานะเซียนดินโอสถทองที่จงใจอำพรางตนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน หลังจากนั่งลงแล้ว หลิวจ้งรุ่นก็เอาเท้าทั้งสองข้างวางไว้ข้างกระถาง “โอ้โห อุ่นไม่เบาเลย เดี๋ยวกลับไปข้าต้องหาไปไว้ในหอแสงอัญมณีสักใบ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเกาะหลิวคิดดีแล้วหรือ?”
หลิวจ้งรุ่นยังคงกวาดตามองไปรอบด้านด้วยความสงสัยใคร่รู้ ปากก็ตอบไปว่า “คิดดีแล้ว นักบัญชีท่านหนึ่งที่สามารถทำให้บรรพจารย์หลิวคุ้มครองมาส่งด้วยตัวเอง ข้าหรือจะกล้าเพิกเฉย รนหาที่ตายหรือไร?”
เฉินผิงอันกลับกล่าวว่า “ข้อตกลงของพวกเรา อาจต้องชะลอไว้ก่อนชั่วคราว”
หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างเดือดดาล “เฉินผิงอัน เจ้าปั่นหัวข้าอย่างนั้นรึ? ก่อนหน้านี้ใครกันที่เป็นฝ่ายวิ่งไปทำการค้ากับข้าถึงหอแสงอัญมณี ตอนนี้ข้ามาให้คำตอบกับเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับเริ่มวางท่าใส่ข้างั้นรึ? ทำไม สนิทกับบรรพจารย์หลิวแล้วก็เลยคิดจะยกมูลค่าให้ตัวเอง? ได้ เจ้าเสนอราคามาเลย! ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีหน้าพูดจาน่าอายคิดเอาทั้งเงินและคนอย่างไร”
เฉินผิงอันจ้องมององค์หญิงใหญ่ที่แคว้นล่มสลายตรงหน้า “หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้มีเจ้าเกาะมากมายแวะมาเยี่ยมเยียนบนเกาะชิงเสีย การที่เจ้าเดินทางมาคืนนี้ ข้าก็คงไม่ปล่อยให้เจ้ามานั่งด่าคนอยู่ที่นี่ แต่จะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับเจ้าอย่างจริงจังแล้ว เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งทำเป็นเลอะเลือน? เจ้าสามารถอดทนรออยู่บนเกาะจูไชได้อย่างง่ายๆ สบายๆ การที่เจ้าวาดงูเติมขาเช่นนี้ มีแต่จะทำร้ายให้เกาะจูไชถูกผลักเข้าไปในน้ำวน หากข้าล้มเหลว อย่าว่าแต่เกาะจูไชจะย้ายออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนเลย แม้แต่กิจการในตอนนี้ก็คงรักษาไว้ไม่อยู่! หลิวจ้งรุ่น ข้าจะถามเจ้าคำถามเดิมอีกครั้ง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลิวจ้งรุ่นยิ้มกล่าว “ขนาดยามที่แคว้นล่มสลาย ครอบครัวแตกแยก ข้ายังผ่านมันมาได้ ตอนนี้ไม่มีโอกาสที่แคว้นจะล่มสลายอีกแล้ว อย่างมากก็แค่ครอบครัวแตกแยก ยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า?”
จิตของเฉินผิงอันพลันขยับไหว มองไปทางประตูห้อง
หลิวจ้งรุ่นประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าเฉินผิงอันคือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองอย่างที่ภายนอกเล่าลือกันจริงๆ ? ไม่อย่างนั้นเหตุใดเขาถึงได้มีสัมผัสที่เฉียบไวขนาดนี้?
เพราะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญแอบมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่นอกประตู คล้ายกับชายสกปรกโสมมที่ชอบไปแอบฟังอยู่ตามมุมกำแพงบ้านคนอื่น
เฉินผิงอันขยิบตาให้หลิวจ้งรุ่น จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าเกาะหลิว ข้าขอย้ำอีกครั้ง ข้าไม่มีทางรับผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไชเป็นสาวใช้ประจำตัวเด็ดขาด! นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าใช้เงินเทพเซียนมากหรือน้อย…”
ผลกลับกลายเป็นว่าหลิวจ้งรุ่นไม่ได้รับคำ กลับกันยังร้องโอดครวญขึ้นว่า “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าเฉินผิงอันจะเป็นคนใจร้ายผิดคำสัญญาเช่นนี้ ข้ามองเจ้าผิดไปจริงๆ !”
หลิวจ้งรุ่นลุกพรวดขึ้นยืน เปิดประตูห้องแล้วพุ่งตัวออกไปทันที
เฉินผิงอันสีหน้าอึ้งค้าง
เขาแข็งใจลุกขึ้นยืน เดินมาที่หน้าประตู ครู่หนึ่งต่อมาผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนก็เดินหัวเราะร่าเข้ามา
เฉินผิงอันกำลังจะอธิบาย หม่าหย่วนจื้อที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงระคนยินดีและเบิกบานใจกลับตบไหล่เฉินผิงอันอย่างแรง “ไม่ต้องอธิบาย ข้าเข้าใจดี องค์หญิงใหญ่จงใจทำให้ข้าโกรธ ต้องการให้ข้าหึงหวง เฉินผิงอัน น้ำใจครั้งนี้ถือว่าข้าติดค้างเจ้า วันหน้าเมื่อข้ากับองค์หญิงใหญ่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันเมื่อไหร่ เจ้าก็จะกลายเป็นขุนนางใหญ่ที่มีคุณความชอบอันดับหนึ่ง!”
หม่าหย่วนจื้อเดินถูมือหัวเราะร่าจากไป
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม พึมพำกับตัวเองว่า “แบบนี้ก็ได้หรือ?”
แล้วเขาก็จุ๊ปากให้อีกฝ่าย
เดินมาหยุดอยู่ริมท่าเรือ ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบหิมะขึ้นมา คิดดูแล้วก็ปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะซะเลย หลังจากเสียบถ่านไม้สองสามชิ้นให้เป็นตาและจมูกแล้วก็ปัดมือ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ปั้นตุ๊กตาหิมะอีกตัวขึ้นมาข้างกัน เพียงแต่ว่าตัวนี้มองดูแล้ว ‘บอบบางอรชร’ กว่าเล็กน้อย
ปั้นเสร็จแล้วถึงได้รู้สึกพึงพอใจ
เกี่ยวกับความรักชายหญิง เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เข้าใจ ‘หลักการ’ ในเรื่องนี้จริงๆ ได้แต่คิดอย่างไรก็ทำไปตามสิ่งนั้น ต่อให้ออกเดินทางไกลทั้งสองครั้ง และหนึ่งในนั้นยังเป็นการเดินทางผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามร้อยปีของพื้นที่มงคลดอกบัวอีกด้วย แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เขาฉงนสนเท่ห์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโจวเฟยแห่งพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปัจจุบันคือเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกที่เขาคิดร้อยตลบก็ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดสตรีที่โดดเด่นงดงามมากมายขนาดนั้นในตำหนักคลื่นวสันต์ของพื้นที่มงคลดอกบัวถึงยินดีมอบหัวใจรักอย่างสุดจิตสุดใจ และชื่นชอบบุรุษที่แทบจะเรียกได้ว่าใช้ความรักอย่างสิ้นเปลืองผู้นี้อย่างจริงใจ
ทว่าตอนนี้เขาเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
นี่ก็คล้ายคลึงกับคำกล่าวว่าเชี่ยวชาญหนึ่งวิชาก็ปรุโปร่งหมื่นวิชา
คนข้างกายไม่ใช้เหตุผล อีกทั้งคนข้างกายยังมีศักยภาพพอที่จะรังแกคนอื่น กลับกลายเป็นว่าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจมากว่า
ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ราชสำนักและยุทธภพ บนภูเขาล่างภูเขา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือต่อให้บวกกับอนาคตเข้าไปก็จะยังมีคนแบบนี้อยู่อีกมาก
ในพื้นที่มงคลดอกบัว โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไกลในยุทธภพ แต่เหตุใดสุดท้ายแล้วกลับทำให้สตรีมากมายขนาดนั้นหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งในนั้น
โลกนี้ทั้งรังเกียจแล้วก็ทั้งเคารพเลื่อมใสผู้แข็งแกร่งไปในคราวเดียวกัน
นี่ก็คือหนึ่งในสันดานเดิมของมนุษย์
ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นสตรีทุกคนบนโลก แต่พูดถึงแค่สตรีที่อยู่ในตำหนักคลื่นวสันต์เหล่านั้น ส่วนลึกในจิตใจของพวกนางคล้ายกลับมีเสียงสะท้อนเสียงหนึ่งดังก้องอยู่นอกประตูหัวใจไม่ขาดสาย เสียงนั้นคอยล่อลวงพวกนาง ประหนึ่งเสียงสวดมนต์ของพระภิกษุที่จริงใจที่สุด คล้ายเสียงอ่านตำราของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ตั้งใจที่สุด เสียงนั้นบอกกับพวกนั้นอย่างต่อเนื่องว่า เพียงแค่มอบหนึ่งนั้นของตัวเองไปให้แก่โจวเฝยทั้งกายและใจ โจวเฝยก็จะสามารถช่วงชิงหนึ่งนั้นที่มากกว่าเดิมมาจากที่อื่นได้ และในความเป็นจริงแล้ว หากพูดถึงแค่พื้นที่มงคลดอกบัวที่คอขวดของการเรียนวรยุทธไม่สูงแห่งนั้น ความจริงก็เป็นเช่นนี้พอดี พวกนางคิดถูกแล้วจริงๆ ต่อให้ตำหนักคลื่นวสันต์ในพื้นที่มงคลดอกบัวย้ายมาอยู่ใบถงทวีป โจวเฝยกลายมาเป็นเจียงซ่างเจิน ก็ยังคงใช้ได้ผลอยู่เหมือนเดิม
เว้นเสียแต่ว่าเจียงซ่างเจินไปมีเรื่องกับคนประเภทตู้เม่าหรือจั่วโย่ว
ก็เหมือนการกระทำของกู้ช่านที่สามารถโน้มน้าวตัวเขาเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ โน้มน้าวได้แม้กระทั่งคนรอบกายของเขา
เหตุผลของกู้ช่าน เมื่ออยู่กับเขาแล้วเรียกว่าไร้ช่องโหว่ ดังนั้นแม้แต่เฉินผิงอัน คนที่กู้ช่านใส่ใจมากที่สุดก็ยังไม่อาจเกลี้ยกล่อมกู้ช่านได้ จนกระทั่งกู้ช่านและหนีชิวน้อยได้มาเจอกับหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว
เจ้าไม่ชอบใช้เหตุผล เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์บางอย่าง อาจจะมีชีวิตที่เปี่ยมสุขสาแก่ใจได้เป็นพิเศษ ทว่ามหามรรคายาวไกล สุดท้ายแล้วต้องมีสักวันหนึ่งที่ไม่ว่าหมัดของเจ้าจะใหญ่แค่ไหน ก็จะต้องมีคนที่หมัดใหญ่ยิ่งกว่าเจ้าซึ่งสามารถสังหารเจ้าได้ง่ายดายอยู่เสมอ
เฉินผิงอันเจอกับตู้เม่า คือความบังเอิญ คือความจำเป็น
กู้ช่านเจอกับหลิวเหล่าเฉิงกลับคือความจำเป็น เพียงแต่ว่าครั้งนั้นหลิวเหล่าเฉิงปรากฏตัวเร็วเกินไป เร็วจนเฉินผิงอันไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่ก็เหมือนอย่างที่หลิวเหล่าเฉิงพูดบนเรือลำนั้น ไม่ว่าจิตใจคนจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตนกับโชควาสนาของคน สุดท้ายแล้วจะผูกเป็นบุญสัมพันธ์หรือผลกรรมร้ายกันแน่
หากบอกว่ากู้ช่านเจอกับหลิวจื้อเม่าคือสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าเช่นนั้นการที่เฉินผิงอันมาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน พาตัวเองมาตกอยู่ในทางตันสถานการณ์ตาย หาเรื่องลำบากใส่ตัว ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกหรือ?
ใช่เหมือนกัน
ถึงขั้นที่ว่าต่อจากนี้จะยังมีสิ่งจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้อีกสารพัดอย่างกำลังรอให้เฉินผิงอันไปเผชิญหน้า บ้างก็ดี บ้างก็ร้าย
นี่ก็คือคำกล่าวของลัทธิเต๋าที่ว่าโชคและภัยไร้ประตู มีแต่คนที่ไปเรียกหามันมา
เพียงแต่ว่าเรื่องซับซ้อนที่เกี่ยวกับว่าใช้หรือไม่ใช้เหตุผลนี้
เฉินผิงอันเพิ่งจะเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้ คือวันที่หยุดเรืออยู่ใจกลางทะเลสาบ เอาตะเกียบเคาะชาม กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม นั่นคือวันที่เขาเพิ่งจะคิดได้กระจ่างแจ้งเล็กน้อย
นั่นก็คือเรื่องที่น่าสนใจที่สุด ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้คนที่หมัดใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง และพวกเขาสองคนก็เป็นคนที่สามารถใช้เหตุผลได้มากที่สุดในใต้หล้านี้พอดี
ต่อให้พอมาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วเฉินผิงอันจะรู้สึกผิดหวังต่อจิตใจคนเป็นอย่างมาก แต่จากนั้นก็เริ่มมีประกายความหวังเกิดขึ้นอีกเล็กน้อย ทว่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะนาทีนั้น ชั่วพริบตานั้น เฉินผิงอันพลันรู้สึกชื่นชอบใต้หล้าแห่งนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาคิดว่าสักวันหนึ่งในอนาคต หากได้ไปเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว จะไปเยือนภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง หลังจากนั้นก็ต้องไปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปพบท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ไปพูดคุยเรื่องความสุขความทุกข์ที่พบเจอหลังพวกเขาแยกจากกันให้จงได้ ซึ่งคราวหน้าเขาจะต้องดื่มเหล้าดีๆ กับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าสักมื้อ จะไม่ปล่อยให้ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าต้องดื่มคนเดียวอย่างเดียวดายอีก
ถึงขั้นยังจะปลุกความกล้าให้ตัวเอง สอบถามท่านอาจารย์ผู้เฒ่าว่า พาตนไปพบกับอาจารย์ผู้เฒ่าที่แก่กว่าสองท่านนั้นได้ไหม แน่นอนว่าเขาสามารถรอให้อริยะทั้งสองท่านมีเวลาว่างเสียก่อน
พอความคิดที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ากำเริบเสิบสานและไร้มารยาทนี้เกิดขึ้น ใบหน้าของนักบัญชีหนุ่มก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา
วิถีบนโลกดีหรือเลว? สำคัญมากหรือ? สำคัญมาก
แต่สำคัญมากขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง มองตุ๊กตาหิมะสองตัวที่อยู่เคียงข้างกันแล้วคลี่ยิ้มเจิดจ้า ทำหน้าทะเล้นใส่พวกมันทั้งสอง “ถูกไหม เจ้าคนแซ่เฉิน แล้วก็แม่นางหนิง เอ๊ะ? พวกเจ้าคุยกับข้าสิ อย่าเอาแต่กระหนุงกระหนิงกันสองคน รู้หรอกว่าพวกเจ้าต่างก็ชอบกันและกันมาก…”
……
ช่วงปลายปี ใกล้จะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ทว่านักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียกลับพาเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่มีนามว่าเจิงเย่ออกเดินทางหาประสบการณ์ให้ตนเองเป็นครั้งที่สาม
เขาออกไปจากอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน ข้ามผ่านด่านทางใต้ของแคว้นสือหาว ตรงดิ่งไปทางทิศเหนือ
วันนี้เขามาค้างคืนอยู่ที่อารามหลิงกวาน