บทที่ 461 หลีกทางให้การช่วงชิงแห่งไฟและน้ำ
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “แม่นางหร่วน?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันถาม “เรื่องนี้ต้องให้เจ้ามาเตือนข้าด้วยหรือ? ด้วยนิสัยของแม่นางหร่วน ขอแค่ขึ้นเขามาก็ต้องมาที่เรือนไม้ไผ่นี่อย่างแน่นอน”
เว่ยป้อทำสีหน้าเสียใจดั่งคนที่มีความหวังดีแต่ถูกคนอื่นมองเป็นประสงค์ร้าย
เฉินผิงอันพูดขันๆ ปนฉุน “ข้าก็แค่พบกับแม่นางหร่วน แม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืน แต่ผู้คนก็อยู่กันมากมาย แล้วก็ไม่มีเรื่องครึกครื้นอะไรให้พวกเจ้าดูด้วย องค์เทพขุนเขาเหนืออย่างเจ้าว่างงานถึงขนาดนี้แล้วหรือ?”
เว่ยป้อชี้นิ้วไปทางประตูภูเขาด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไปด้วยความองอาจเที่ยงธรรม แล้วจึงชี้มาที่เฉินผิงอัน “ตอนนี้อาณาเขตขุนเขาเหนือของข้าแบ่งออกเป็นส่วนในกับส่วนนอก เจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดของพื้นที่ส่วนในสองคนมาเจอกัน ข้าจะไม่ใส่ใจเลยได้หรือ?”
เฉินผิงอันไม่สนใจเว่ยป้ออีก ลุกขึ้นเดินไปต้อนรับหร่วนซิ่ว
แม้จะรู้แล้วว่านางขึ้นเขามาเยี่ยมเยียน ในฐานะเจ้าของภูเขาลั่วพั่วก็ยังต้องนำมารยาทในการรับแขกที่พึงมีออกมาใช้
เว่ยป้อไม่ได้ตามไป เขายืนพึมพำกับตัวเองอยู่ที่เดิม “ไม่มีอะไรเลยจริงๆ หรือ? ดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็ทำตัวเปิดเผยตรงไปตรงมามากแล้วนะ”
พอได้ยินว่าพี่สาวชุดเขียวที่อ่อนโยนกับตนเป็นพิเศษผู้นั้นมาเยี่ยม เผยเฉียนดีใจยิ่งกว่าใคร นางกระโดดผลุงขึ้นแล้ววิ่งตะบึงไปเหมือนใต้รองเท้าทาด้วยน้ำมัน ผลกลับกลายเป็นว่ากระแทกชนเข้ากับม่านน้ำไอหมอกแห่งขุนเขาที่กระเพื่อมเป็นระลอก เซถอยกลับมา พบว่าตัวเองมายืนอยู่ข้างโต๊ะหินอีกครั้ง เผยเฉียนเหลียวซ้ายแลขวาก็สังเกตเห็นว่ารอบด้านมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเบาๆ แล้วจู่ๆ พวกมันก็แปรเปลี่ยนไปไม่หยุดหนึ่ง เดี๋ยวก็โถมขึ้น เดี๋ยวก็ลดต่ำลง นางจึงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านเว่ย ท่านเป็นถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขุนเขา แต่กลับใช้ลูกไม้ชั้นต่ำอย่างผีพรางตาเช่นนี้ ไม่อายบ้างหรือไร?”
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าจะไปร่วมวงด้วยทำไม? ยกตัวอย่างนะ หากอาจารย์ของเจ้าง่วง อยากจะนอน เจ้าถือโคมดวงใหญ่เดินเตร่อยู่ในห้อง มันสมควรแล้วหรือ?”
เผยเฉียนยกสองมือกอดอก ยื่นนิ้วสองนิ้วมาลูบคลำปลายคาง จมอยู่ในภวังค์ความคิด หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามอย่างจริงจังว่า “ยังไม่ได้ยกเกี้ยวแปดคนหามแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามหลักประเพณีก็หลับนอนด้วยกันแล้ว ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง? ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ช่างหร่วนอายุมากแล้ว สายตาไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงไม่ค่อยชอบให้อาจารย์ของข้าอยู่กับพี่หญิงหร่วน ไม่อย่างนั้นท่านเว่ยไปที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นเพื่อนข้าสักรอบเถอะ จะได้เรียกช่างหร่วนมาคุยกัน ดีไหม? พรุ่งนี้เช้าเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ไม่ใช่อาจารย์แม่รองก็ต้องเป็นอาจารย์แม่รองแล้ว หึหึ อาจารย์แม่กับเงิน ยิ่งมีมากก็ยิ่งดีจริงๆ …”
แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดล้อเล่นของเผยเฉียน ถึงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่อยู่ที่นี่ เว่ยป้อเองก็เป็นคนน่าเบื่อที่ไม่ชอบเอาเรื่องคนอื่นไปฟ้อง ดังนั้นเผยเฉียนจึงพูดจาตามใจปรารถนาอย่างไร้ยำเกรง
ทว่าอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนี้ เผยเฉียนชอบหร่วนซิ่วมากที่สุด นี่เป็นความรู้สึกจากใจจริง เผยเฉียนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับหร่วนซิ่ว ไม่ใช่เพียงแค่เพราะเคยเห็นม้วนภาพแห่งกาลเวลาของชุยตงซานเท่านั้น แต่เป็นเพราะพอเผยเฉียนมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ครั้งแรกที่นางได้เห็นพี่สาวชุดเขียวมัดผมหางม้าคนนั้นก็รู้สึกชื่นชอบทันที และเมื่อเผยเฉียนมองหร่วนซิ่วก็เหมือนกำลังมองม้วนภาพที่ ‘อบอุ่นอ่อนโยน’ อย่างถึงที่สุดม้วนหนึ่ง ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้คนรู้สึกหนาวไปทั่วกระดูกเหมือนของชุยตงซาน แต่เป็นภาพมหาสมุทรถูกต้ม ทะเลสาบถูกนึ่ง ฟ้าดินเดือดพล่าน เปลวร้อนอาบแผ่นฟ้า ย้อมผืนนภาให้เป็นสีแดงสดทั้งแถบ
มีสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง หลุบตาลงต่ำมองมายังพื้นดิน พี่หญิงหร่วนซิ่วที่โฉมหน้าพร่าเลือนคนนั้น อีกมือหนึ่งกำดวงจันทร์กลมดิกที่ราวกับว่านางไปเด็ดมาจากม่านฟ้าแห่งอื่น แค่นางหมุนมันเบาๆ ก็ราวกับว่าแก่นต้นกำเนิดเปลวเพลิงที่เข้มข้นที่สุดในโลกได้พากันปลดปล่อยเส้นแสงนับไม่ถ้วนสาดสะท้อนสี่ทิศให้สว่างเจิดจ้า
เพียงแต่ว่าความลับนี้ เผยเฉียนไม่ได้บอกแม้กระทั่งเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู มีเพียงวันหน้าหากนางได้อยู่กับอาจารย์เพียงลำพังเมื่อไหร่ นางถึงจะยอมบอกเขา
เว่ยป้อปวดหัวแปลบ
ยังดีที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่แล้ว เผยเฉียนรีบนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้หิน หันหน้าไปถามเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่ามีเมล็ดแตงหรือไม่ ฝ่ายหลังรีบควักเมล็ดแตงกำหนึ่งออกมายื่นให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของนายท่านตัวเอง พวกนางสองคนสนิทกันนักล่ะ
เผยเฉียนก้มหน้าแทะเมล็ดแตง นางยังคงหวาดกลัวผู้เฒ่าเปลือยเท้าคนนี้ โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเล่าถึงประสบการณ์การฝึกหมัดของอาจารย์ตัวเองแล้ว เผยเฉียนก็เกือบจะเก็บเอาไปนอนฝันร้าย ดังนั้นนางจึงยอมเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกทั้งวันดีกว่า เพราะนางกลัวจริงๆ ว่าผู้เฒ่าจะมองออกว่านางคือผู้มีความสามารถในการฝึกวรยุทธที่พันปียากจะพานพบ
ผู้เฒ่าพูดกับเผยเฉียนและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู “ยังไม่กลับไปนอนกันอีกรึ?”
เผยเฉียนจึงได้แต่จูงมือพาเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูจากไป ห่างจากเรือนไม้ไผ่ไปไม่ไกลมีเรือนขนาดไม่ใหญ่นักถูกสร้างขึ้นหลายหลัง เผยเฉียนกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูพักอยู่ในเรือนเดียวกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน
ผู้เฒ่ามองไปทางประตูภูเขา หัวเราะหยันเอ่ยว่า “กล้าสะพายกระบี่มาพบข้า นี่หมายความว่าจิตใจของเขายังไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่”
เว่ยป้อยิ้มถาม “หากเฉินผิงอันไม่กล้าสะพายกระบี่ขึ้นเรือน ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ ท่านชุยจะหงุดหงิดใจหรือไม่?”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “หงุดหงิดใจ? อย่างมากก็แค่ป้อนหมัดใหม่เขาเพิ่มหลายๆ หมัดสักหน่อย เดี๋ยวเขาก็กลับไปเป็นเจ้าลูกกระต่ายเหมือนปีนั้นเองนั่นแหละ ใต้หล้านี้มีหลักการเหตุผลใดบ้างที่ใช้หมัดอธิบายไม่ได้ หลักการเหตุผลแบ่งออกเป็นแค่สองประเภทเท่านั้น หนึ่งคือหนึ่งหมัดของข้าอธิบายได้เข้าใจ นอกจากนี้ก็แค่ว่าต้องใช้สองหมัดถึงจะทำให้คนอื่นสติปัญญาเปิดกว้างได้”
เว่ยป้อยิ้มเฝื่อน “ท่านชุยมีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนางนะ”
“เคยเป็นเจ้าประมุขตระกูลชุยแล้วอย่างไร? ข้าเล่าเรียนอ่านตำราจนกลายเป็นอริยะสำนักศึกษาแล้วหรือ? ตัวเองเรียนไม่ได้เรื่อง แล้วจะสอนให้ลูกหลานกลายมาเป็นอริยะได้หรือ?”
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ดังนั้นข้าทั้งเข้าใจดีว่าบัณฑิตใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ไม่ง่าย แล้วก็ยิ่งรู้ถึงข้อเสียที่ฝังรากลึกของบัณฑิตด้วย”
เว่ยป้อไม่เอ่ยอะไรอีก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในแจกันสมบัติทวีปได้มากที่สุด ณ ตอนนี้ผู้นี้ กำลังยืนอยู่ริมหน้าผา ประหนึ่งต้นไม้หยกรับลม อาภรณ์สีขาวชายแขนกว้างพัดสะบัดพลิ้วเหนือธุลี ประหนึ่งหลิงจือหยกขาวต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมหน้าผาสูง
ผู้เฒ่าถาม “เหตุใดหร่วนฉงถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่เก็บท่าเรือตระกูลเซียนที่ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวทิ้งไว้ไป? เหตุใดถึงต้องมอบกำไรใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ให้กับเจ้าและเฉินผิงอัน?”
เว่ยป้อเอ่ย “ยังนึกว่าท่านชุยไม่สนใจเรื่องราวทางโลกพวกนี้แล้วเสียอีก”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก “เจ้าจูเหลี่ยนหน้าด้านหน้าทนผู้นั้น ตอนที่เล่นหมากห้าเม็ดกับพวกเด็กๆ จงใจพร่ำบ่นให้ข้าได้ยิน แล้วก็ไม่เคยเหนื่อยหน่ายที่จะพูดด้วย มีหลายครั้งที่ข้าเกือบทนไม่ไหวต่อยให้เขาร่วงลงไปจากหน้าผา”
สำหรับจูเหลี่ยน เว่ยป้อพูดคุยกับเขาถูกคออย่างยิ่ง รู้สึกเจ็บใจด้วยซ้ำที่พบเจอกันช้าไป
จูเหลี่ยนร้ายกาจถึงระดับไหน? ร้ายกาจจนทำให้เว่ยป้อยอมรับจากใจจริงว่าหากรู้จักจูเหลี่ยนเร็วกว่านี้กี่ปี เขาเว่ยป้อก็คงจะได้คลายปมในใจเร็วเท่านั้น ตอนที่เดินสวนไหล่กับนางบนทางเล็กของภูเขาฉีตุนเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็คงไม่ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะมองนางให้นานสักหน่อย เขาควรจะออกไปจากภูเขาฉีตุนให้เร็วกว่านั้น ไปตามหานาง ต่อให้ชะตาถูกลิขิตไว้แล้วว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่อาจอยู่ด้วยกันได้อีกทุกชาติภพ แต่ในเมื่อเขาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและขุนเขา มีอายุขัยยาวนานดุจเทพเซียนที่เป็นอมตะ ก็ควรจะได้มองดูความสุขความทุกข์ การพบพรากจากลาของนางให้ใกล้ชิดอีกหน่อย ไม่ใช่ไปหลบทอดถอนใจอยู่ในภูเขาฉีตุนปีแล้วปีเล่า
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดจูเหลี่ยนถึงไม่ยอมเรียนวิชาหมัดกับท่านชุย เว่ยป้อไม่เคยถามมาก่อน
กลับมาที่ปัจจุบัน เว่ยป้ออธิบายว่า “เกี่ยวกับเรื่องของการซื้อภูเขา ข้าได้พูดคุยกับอริยะหร่วนอย่างเปิดเผยสองครั้ง ด้านหนึ่งอริยะหร่วนเช่าภูเขาหลายลูกนั้นของเฉินผิงอันไว้หลายร้อยปี ตอนนั้นแน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ผลประโยชน์ เฉินผิงอันเก็บไว้แค่ภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเจินจู เขาจึงไม่ได้ดูเด่นดังมีหน้ามีตามากเกินไป หลีกเลี่ยงสายตาอิจฉาริษยาจากผู้ฝึกตนมากมายที่มาจากเมืองหลวงต้าหลีและสถานที่อื่นๆ ไปได้ ส่วนอริยะหร่วนก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่สำนักของตัวเอง ทว่าภายหลังเฉินผิงอันลุกผงาดอย่างรวดเร็ว มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว อริยะหร่วนจึงรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกว่าสัญญาที่ปีนั้นมาจากเจตนาดี กลับกลายเป็นว่าทำให้เฉินผิงอันเสียเปรียบ ดังนั้นจึงยินดีรับท่าเรือมาไว้แล้วเปลี่ยนมือต่ออีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ พอมีข้าเข้ามาเป็นตัวประนีประนอมอยู่ตรงกลาง ราชสำนักต้าหลี ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินผิงอัน ทั้งสามฝ่ายต่างก็มีบันไดให้เดินลง”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรราชสำนักต้าหลีก็ยังยินดีที่ได้เห็นว่าข้ากับอริยะหร่วนปรองดองกัน”
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น ยังเป็นเพราะหร่วนฉงไม่ต้องการคบค้าสมาคมและติดค้างน้ำใจเฉินผิงอันมากเกินไปนัก ยิ่งทำการค้าอย่างยุติธรรมเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีหน้าไปหลอกลวงลูกสาวเขาเท่านั้น”
เว่ยป้อไม่ให้คำวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะมันใกล้จะกลายมาเป็นโรคทางใจของหร่วนฉงอยู่แล้ว
เว่ยป้อและผู้เฒ่ามองไปยังมุมหนึ่งของตีนเขา แล้วหันมายิ้มให้กัน
อริยะที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่หนึ่ง ตกมาอยู่สภาพนี้ได้ก็นับว่าหาได้ยากนัก
เว่ยป้อกล่าว “ข้าจะไปพูดปลอบใจอริยะหร่วนสักหน่อย”
ผู้เฒ่าพยักหน้า “หากพูดถึงชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป คนเป็นพ่อเป็นแม่จะเป็นกังวลกับเรื่องนี้ก็ยังพอทำเนา แต่ช่างตีเหล็กของศาลลมหิมะผู้นี้ นับว่าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
ร่างของเว่ยป้อพุ่งวูบหายไป
อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือต้าหลี เว่ยป้อก็คือเจ้าแห่งสายน้ำและขุนเขา
ถึงขั้นที่ว่าถูกต้องเหมาะสมยิ่งกว่าอริยะหร่วนฉงเสียอีก
ต่อให้ในอนาคตต้าหลีกำหนดอีกสี่ขุนเขาที่เหลือได้แน่นอนแล้ว เว่ยป้อก็ยังคงเป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขุนเขาของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปที่ได้ครอบครองอาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่สุดอยู่ดี เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปที่ทางทิศเหนือและใต้ยาว ทางตะวันออกและตะวันตกแคบ นี่จึงหมายความว่าขุนเขาตะวันออกและขุนเขาตะวันตก เมื่อเปรียบเทียบกับขุนเขาเหนือและขุนเขาใต้แล้วจะเสียเปรียบมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งรากฐานของต้าหลีก็ยังอยู่ที่ทิศเหนือ เมืองหลวงในทุกวันนี้ก็คือสถานที่ที่มังกรลุกผงาดของสกุลซ่ง กิจการบรรพบุรุษก็อยู่ทางเหนือ นี่จึงเป็นเหตุให้ขุนเขาเหนือมีระดับสูงกว่าขุนเขาใต้หนึ่งขั้น ด้วยเหตุนี้ต่อให้สถานการณ์ใหญ่ของทวีปจะถูกกำหนดมาแล้วว่า ในอนาคตสกุลซ่งต้าหลีจะต้องย้ายเมืองหลวงลงใต้ แต่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าไม่มีทางย้ายรวดเดียวไปถึงทางทิศใต้ของแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของทวีป เพราะที่นั่นยังมีสำนักศึกษากวานหูอยู่ สกุลซ่งต้าหลีไม่มีทางตัดลมหายใจของตัวเองด้วยการแบ่งแยกเหนือใต้อย่างแน่นอน
เป็นเหตุให้กีบม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำไปถึงชายหาดทะเลทักษิณของนครมังกรเฒ่า ดังนั้นองค์เทพแห่งขุนเขาเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถงัดข้อกับเว่ยป้อได้ก็คือขุนเขากลาง
กึ่งกลางภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันได้พบกับหร่วนซิ่ว
หร่วนซิ่วมองคนหนุ่มที่หยุดเดินแล้วกวักมือให้ตนคนนั้น นางกะพริบตา เดินเร็วๆ ไปเบื้องหน้า จากนั้นคนทั้งสองก็เดินเคียงไหล่กันขึ้นไปบนภูเขา
ไม่มีความห่างเหินเหมือนสหายที่จากกันไปนาน ทุกอย่างประหนึ่งน้ำมาคลองก็สำเร็จ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คืนนั้นที่เจ้าลงมือบนภูเขาพุดตานทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงข้าเห็นอยู่ไกลๆ จากบนเกาะชิงเสีย พลังอำนาจเปี่ยมล้นอย่างยิ่ง”
หร่วนซิ่วพูดเสียงเบาอย่างเขินอาย “ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ เดินทางลงใต้ไปพร้อมกับหน่วยจานกานของต้าหลีกลุ่มหนึ่ง ภายหลังเจอกับชุยตงซานที่บอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของเจ้า ก็เลยเดินทางไปที่แคว้นเหมยโย่วด้วยกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ภายหลังข้ากับสหายก็เดินทางไปที่แคว้นเหมยโย่ว ข้ายังเห็นสนามรบที่พวกเจ้าไล่ล่าผู้ฝึกกระบี่จูอิ๋งไป ตรงแม่น้ำชุนฮวาน่ะ”
หร่วนซิ่วไม่ได้เอ่ยอะไร
แม่น้ำชุนฮวาอะไรที่ว่านั่น นางจำไม่ได้แม้แต่น้อย
นางไม่เคยจดจำเรื่องพวกนี้ ต่อให้การเดินทางลงใต้ครั้งนี้ หลังจากลงเรือข้ามฝากตระกูลเซียน ขี่ม้าผ่านแคว้นสือหาวแล้วจะถือว่าได้พบเจอกับคนและเรื่องราวมาไม่น้อย แต่นางก็จำอะไรไม่ได้เลย ตอนอยู่บนภูเขาพุดตานนางบังคับมังกรเพลิงให้สังหารเด็กหนุ่มที่มีชะตาบู๊โชติช่วงคนนั้นโดยพลการ เพื่อเป็นการชดใช้ความผิด ระหว่างที่เดินทางกลับขึ้นเหนือ นางจึงได้หาตัวเลือกอีกสามคนให้กับหน่วยจานกานใหม่ นางเองก็สนิทกับพวกเขามาก ทว่าถึงท้ายที่สุดแล้วกลับจำไม่ได้ว่าเด็กสามคนนั้นชื่ออะไรกันบ้าง แต่กลับจำขนมและอาหารอร่อยที่มีเฉพาะในนครลวี่ถงได้ดี
หร่วนซิ่วพลันเอ่ยว่า “ห่างออกไปไม่ไกลทางทิศเหนือ ท่านพ่อข้าเพิ่งซื้อภูเขาจินหรางเอาไว้ลูกหนึ่ง ห่างจากภูเขาลั่วพั่วและภูเขาฮุยเหมิงไปไม่ไกล ท่านพ่อวางแผนว่าจะสร้างเตาหลอมกระบี่แห่งใหม่ขึ้นที่นั่น บนภูเขากำลังเร่งก่อสร้างกันทั้งวันทั้งคืน คืนนี้ข้าลองไปเดินเล่นที่นั่นก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ผิดปกติที่ทะเลเมฆถูกคนสลายออกบนภูเขาลั่วพั่วพวกเจ้า ค่อนข้างเป็นห่วงเผยเฉียนก็เลยแวะมาดู”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม
แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร
คนอื่นไม่รู้ความตื้นลึกของตบะวิถีวรยุทธผู้เฒ่าแซ่ชุย ทว่าหากไม่นับหยางเหล่าโถวของร้านยาแล้ว องค์เทพเว่ยป้อและอริยะหร่วนฉงต้องเป็นคนที่รู้ลึกรู้ดีที่สุดอย่างแน่นอน
ในเมื่อหร่วนฉงรู้ ก็มักจะหมายความว่าหร่วนซิ่วต้องรู้ด้วยเสมอ
หร่วนซิ่วเองก็หัวเราะ การพูดโกหกไม่ใช่เรื่องที่นางถนัดเลยจริงๆ มักจะติดๆ ขัดๆ อยู่เสมอ กับท่านพ่อ นางเองก็ไม่เคยหลอกเขาได้ แล้วทุกครั้งก็มักจะถูกเขาแฉต่อหน้าเสมอ ทว่าคนที่อยู่ข้างกายตอนนี้ กลับไม่พูดแฉนาง
เฉินผิงอันไม่ได้เดินไปทางเรือนไม้ไผ่
แต่พาหร่วนซิ่วเดินขึ้นไปบนยอดเขา
ในฐานะเจ้าของภูเขาลั่วพั่ว จะว่าไปแล้วก็แปลก เฉินผิงอันยังไม่เคยไปเยือนศาลเทพภูเขาที่อยู่บนยอดเขามาก่อนเลย
เรื่องที่คนทั้งสองคุยกันล้วนเป็นเรื่องสัพเพเหระ ไม่สลักสำคัญอะไร
ยกตัวอย่างเช่นผลลัพธ์จากการบูรณะซ่อมแซมสุสานเทพเซียน กิจการของสองร้านในตรอกฉีหลง ไก่ฝูงนั้นที่เฉินผิงอันเคยขอให้นางช่วยดูแล ยังรวมไปถึงหมาพื้นบ้านตัวนั้นด้วย
ขยับเข้าใกล้ศาลเทพภูเขา
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด
หร่วนซิ่วหยุดเดิน หันหน้าไปมองทางทิศไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร”
เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันไดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง สองข้างฝั่งของเส้นทางที่เดินมายังขั้นบันไดที่คนทั้งสองนั่งอยู่มีต้นไม้โบราณขึ้นเรียงราย บนขั้นบันได แสงจันทร์ประหนึ่งธารน้ำที่ไหลลงเนิน อีกทั้งในน้ำยังมีพืชน้ำลอยแผ่ ผิวน้ำสะท้อนเงาต้นสนต้นป่าย เมื่อมาอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพเช่นนี้ก็ราวกับอยู่ในภาพฝันมายา
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ผิดไปหมด แต่หากไม่พูดก็ยิ่งผิด ทางที่ดีที่สุดคือข้าคิดมากไปเอง บุรุษหากถูกสตรีชื่นชอบ ไม่มีใครที่ไม่ดีใจ นี่คือความรู้สึกทั่วไปของคนเรา ต่อให้บุรุษมากมายจะมีสตรีที่ชื่นชอบอยู่แล้วก็ยังจงใจไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับสตรีที่ดีคนอื่นๆ อีก ข้าเองก็ไม่อาจพูดได้ว่าบุรุษเหล่านี้ผิด ข้าเชื่อว่าบุรุษหลายคนเห็นเรื่องนี้เป็นความบันเทิง ถึงขั้นเห็นว่าเป็นเรื่องที่เก่งกาจ แต่นี่ไม่ใช่ความรู้สึกทั่วไปของข้าเฉินผิงอัน หากทำอย่างนั้นจริงๆ จะต้องผิดต่อแม่นางหนิง แล้วก็ผิดต่อเจ้าแม่นางหร่วน แต่หากข้าเข้าใจแม่นางหร่วนผิดไป เป็นข้าที่คิดมากไปเอง นั่นก็ดีที่สุด ทว่าต่อให้แม่นางหร่วนจะโกรธ วันหน้าพวกเราไม่อาจเป็นสหายกันได้อีก วันนี้ข้าก็จะต้องพูดอย่างชัดเจน ตลอดหลายปีมานี้แม่นางหร่วนช่วยเหลือข้ามามากมาย ข้าล้วนจดจำไว้ในใจ พูดประโยคที่ไม่ใช่เป็นการโอ้อวด ต่อให้อยู่ต่อหน้าแม่นางหนิง ข้าก็ยังจะเล่าความดี ความมีน้ำใจ และบุญคุณของแม่นางหร่วนให้นางฟัง เป็นคนไม่ควรลืมบุญคุณคน ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปีร้อยปี ขอแค่เป็นเรื่องที่ไม่ควรลืมก็ไม่อาจลืมได้ หากตอบแทนได้ก็ต้องตอบแทน แน่นอนว่าข้าชอบแม่นางหร่วน แต่ไม่ใช่ความรู้สึกฉันท์ชู้สาว ในทางกลับกัน หากปีนั้นการกระทำหรือคำพูดใดของข้ายังคงทำให้แม่นางหร่วนเข้าใจผิด ความผิดนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่เจ้า แต่อยู่ที่ข้าเฉินผิงอัน ถ้าเป็นอย่างนี้ จะทำอย่างไรดี…”
คำพูดประโยคนี้เหมือนก้อนหินที่อยู่กลางลำธาร ไม่มีความแหลมคมแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นก้อนหินที่แข็งทื่อก้อนหนึ่ง ไม่ใช่พืชน้ำที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างพลิ้วไหว ยิ่งไม่ใช่ปลาที่ชอบแหวกว่ายอยู่ในธารา
หร่วนซิ่วมองบุรุษหนุ่มที่ทั้งเสียใจและรู้สึกละอายใจคนนี้ นางเองก็เสียใจเช่นกัน
กว่าจะได้กลับมาถึงบ้านเกิดไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องเสียใจอีกแล้วเล่า? แล้วนี่ยังเป็นเพราะนางด้วย
ส่วนเรื่องความชอบความรักอะไรนั่น อันที่จริงหร่วนซิ่วไม่ได้ยึดติดอย่างที่เขาคิด ส่วนผิดหรือถูกอะไร นางก็ยิ่งไม่คิดให้มากความ
ข้าชอบเจ้า แม้แต่สวรรค์ก็ห้ามไม่ได้ ควบคุมไม่อยู่
ข้าไม่ชอบเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นเทพเทวดาบนสวรรค์ก็ยังไม่มีประโยชน์
เป็นเรื่องที่ง่ายดายจะตายไป
แม่นางที่ขี้เกียจมากคนนี้ถึงขั้นรู้สึกว่าหากตนชอบหรือไม่ชอบใครจริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับคนผู้นั้นสักเท่าไหร่
แต่หร่วนซิ่วไม่ได้บอกความในใจนี้แก่เฉินผิงอัน
มหามรรคาไม่สนกาลเวลา
หร่วนซิ่วที่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นถามว่า “หากปีนั้นเจ้าได้พบข้าก่อน ไม่ใช่แม่นางหนิง จะเป็นอย่างไรนะ?”
—
หลีกทางให้การช่วงชิงแห่งไฟและน้ำ
เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างไร้ซึ่งความลังเลใจ “แม่นางหร่วนจะถามอย่างนี้ก็ได้ แต่ข้ากลับไม่อาจคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบให้เจ้า”
หร่วนซิ่วยกสองมือเท้าคาง ทอดสายตามองไปไกลพลางพึมพำว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าเหมือนกับท่านพ่อข้าเลย ท่านพ่อข้าดื้อดึงยิ่งนัก ไม่คิดจะไปตามหาท่านแม่ข้าที่ไปจุติเกิดใหม่ บอกว่าต่อให้ตามหาเจออย่างยากลำบากแล้ว นางก็ไม่ใช่ท่านแม่ตัวจริงของข้าอีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฟื้นคืนความทรงจำของภพชาติก่อน ดังนั้นไม่สู้ไม่พบหน้ากันเลยดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อนางที่อยู่ในใจของเขามาตลอดเวลา แล้วยังต้องเสียเวลาสตรีที่อยู่ข้างกายด้วย”
เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับช่างหร่วน เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไร
หร่วนซิ่วหันหน้ามายิ้มให้ “กลับบ้านเกิดคราวนี้ ไม่ได้เอาของขวัญมาด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าหรือจะกล้าเอาของขวัญมา หากไม่พูดจากันให้ชัดเจน จะไม่ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่หรอกหรือ?”
แล้วจากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างโล่งอก “แต่วันหน้าข้าสามารถนำของขวัญกลับมาให้แม่นางหร่วนได้แล้ว”
หร่วนซิ่วเอียงศีรษะ ยิ้มจนดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นหยีลง ถามว่า “นี่เรียกว่าพูดจากันชัดเจนได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันสีหน้าอึ้งค้าง
รีบทบทวนคำพูดของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบโดยเร็ว
ตามหลักแล้วหากแม่นางหร่วนไม่ชอบตน หรือหากชอบตนนิดๆ จริงๆ ก็ถือว่าเขาพูดชัดเจนแล้วนี่นา
หร่วนซิ่วยิ้มกล่าว “เอาเถอะ ก็แค่เจ้าไม่ได้ชอบข้าแบบนั้น แล้วยังกลัวว่าข้าจะชอบเจ้าแบบนั้น เจ้าก็เลยรู้สึกไม่ดีอย่างมาก กลัวว่าพูดตรงไปจะทำให้ข้าอึดอัดใจ ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ วันหน้าเป็นไม่ได้แม้แต่สหายกัน ใช่ไหมล่ะ? วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้โกหกเจ้าด้วย และความชอบของข้าก็ไม่ใช่ความชอบอย่างที่เจ้าเข้าใจ วันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง หรือไม่เจ้าจะลองถามชุยตงซานลูกศิษย์ของเจ้าดูก็ได้ สรุปก็คือ นี่ไม่ถ่วงรั้งการเป็นสหายของพวกเรา”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แม่นางหร่วนพูดอ้อมค้อมไปหน่อย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะพูดจากระจ่างแจ้งยิ่งกว่าเขา
หร่วนซิ่วกล่าว “แม่นางหนิงก็ชอบเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ชอบ”
หร่วนซิ่วอืมรับหนึ่งที “เฉินผิงอัน ทำไมต้องคิดมากขนาดนั้น ทำไมไม่คิดเพื่อตัวเองให้มากหน่อย?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
หร่วนซิ่วปัดเข่าลุกขึ้นยืน “เอาเถิด ว่ากันตามนี้ก็แล้วกัน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกหิวแล้ว จะกลับบ้านไปกินอาหารมื้อดึกแล้ว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม ถามว่า “ไม่อย่างนั้นไปที่เรือนไม้ไผ่ของข้าดีไหม ข้ามีวัตถุดิบในการทำอาหารมื้อดึก ในวัตถุจื่อชื่อก็มีเก็บไว้ไม่น้อย ปลาตากแห้ง เยื่อไผ่ตากแห้ง เนื้อเค็ม ล้วนมีหมด แล้วก็ยังมีผักป่าอีกมากมายที่สำเร็จรูปกินได้เลย เอามาต้มหม้อไฟสักหม้อ รสชาติน่าจะไม่เลว แล้วก็ใช้เวลาทำไม่นานด้วย”
หร่วนซิ่วยิ้มบางๆ “ท่านพ่อข้ายังรออยู่ที่ตีนเขา ข้ากลัวว่าเขาจะอดใจไม่ไหวจับเจ้ามาต้มเป็นอาหารมื้อดึกแทนมากกว่า”
เฉินผิงอันเช็ดเหงื่อที่ซึมบนหน้าผาก
หร่วนซิ่วเดินลงบันได หันหน้ามายิ้มให้ “ไม่ต้องไปส่งหรอก”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าก็ต้องลงจากเขาเหมือนกัน ไปส่งที่ทางแยกก็แล้วกัน”
คนทั้งสองเดินลงภูเขามาด้วยกันช้าๆ
หร่วนซิ่วมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ประดุจองค์เทพที่ออกท่องเที่ยวผืนป่ายามค่ำคืน
จากนั้นคนทั้งสองก็แยกทางกัน หร่วนซิ่วเดินเท้าลงเขาไปต่อ ส่วนเฉินผิงอันก็เดินไปบนถนนที่มุ่งสู่เรือนไม้ไผ่
เฉินผิงอันพลันนึกถึงประโยคงดงามประโยคหนึ่งที่สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่
แสงจันทร์แสงดาวสกาวใส ทางช้างเผือกยิ่งใหญ่แขวนบนนภาสูง รอบกายไร้สำเนียงผู้คน เสียงนั้นแว่วดังมาจากผืนป่า
……
นอกภูเขาลั่วพั่ว
เว่ยป้อยืนอยู่ข้างกายหร่วนฉง
ชายฉกรรจ์นั่งอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ท่านหร่วน จะไม่ขึ้นไปดูบนภูเขาลั่วพั่วสักหน่อยจริงหรือ? หากข้าอยู่ด้วยแล้วไม่เหมาะสม ข้าสามารถจากไปได้ รับรองว่าทั้งบนเขาและนอกเขา ข้าจะไม่ฟังไม่มองอะไรทั้งนั้น”
หร่วนฉงดื่มเหล้า ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่ได้ต่ำช้าขนาดนั้น ต่อให้ไม่เชื่อใจเฉินผิงอัน แต่จะไม่เชื่อใจลูกสาวของตัวเองเลยหรือ?”
เว่ยป้อไร้คำพูดตอบโต้
หากเจ้าหร่วนฉงเชื่อใจจริงๆ ยังจะต้องแอบวิ่งมาที่นี่ทำไม?
หร่วนฉงดื่มเหล้า
ส่วนเว่ยป้อก็ยืนเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง
หร่วนฉงเอ่ยถาม “เว่ยป้อ เจ้าคิดว่าวันหน้าใครจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ของต้าหลี?”
เว่ยป้อไม่กลัวว่าจะมีคนแอบฟัง อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ใครกล้าทำเช่นนี้ก็แสดงว่ารังเกียจที่มีชีวิตยืนยาวเกินไป
ส่วนผู้อาวุโสที่อยู่ในร้านยาตระกูลหยางท่านนั้นก็ไม่มีทางมาสนใจเรื่องแบบนี้
เว่ยป้อคิดแล้วก็กล่าวว่า “หากดูจากปัจจุบัน ซ่งเหอและซ่งจี๋ซินต่างก็มีความเป็นไปได้ แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นซ่งเหอมีมากกว่า คนทั้งราชสำนักหยั่งรากฝังลึก จึงสามารถโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่อถือได้มากกว่า ส่วนซ่งจี๋ซินก็มีแค่กรมพิธีการเท่านั้นที่เป็นหมาจนตรอก จึงแอบวางเดิมพันไว้ข้างเขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ พูดไปพูดมาก็ต้องดูแค่ที่การตัดสินใจของคนสองคน คำพูดของเหนียงเนียงท่านนั้นไม่มีประโยชน์ ข้ารู้สึกว่าซ่งจ่างจิ้งกับชุยฉาน สุดท้ายแล้วต่างก็ต้องเลือกในสิ่งที่ทุกคนคาดเดากันไม่ถึง”
หร่วนฉงเอ่ย “ฮ่องเต้ต้าหลีช่างจากไปได้ประจวบเหมาะนัก”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
หร่วนฉงคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี อีกทั้งยังเป็นช่างหลอมกระบี่อันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ไม่ว่าใครก็ต้องเอาอกเอาใจ มีสหายอยู่ทั่วทั้งทวีป ‘บ้านเดิม’ ยังเป็นศาลลมหิมะ ทั้งสองฝ่ายไม่เคยตัดความสัมพันธ์กัน ยังมีเส้นใยเชื่อมโยงเอาไว้อยู่ ความสัมพันธ์ค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าหร่วนฉงแตกหักกับศาลลมหิมะแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมีเงาร่างของเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะปรากฎตัวที่หน้าผาหินซึ่งมีแท่นสังหารมังกรแห่งนั้น แต่จะกลับกลายเป็นว่าเขาหร่วนฉงทอดทิ้งศาลลมหิมะไปโดยตรง แล้วหันไปแบ่งส่วนแบ่งกับภูเขาเจินอู่แทน
ส่วนเขาเว่ยป้อกลับเป็นองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากสกุลซ่งต้าหลี คำพูดบางอย่างที่เกินขอบเขตฐานะซึ่งค่อนข้างจะเนรคุณคน พูดให้น้อยลงจะดีกว่า
พูดถึงองค์ชายสองคนย่อมไม่เป็นปัญหา พูดคุยถึงอ๋องเจ้าเมืองกับราชครูก็ยังพอทำได้ แต่ตำแหน่งองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของเว่ยป้อนี้ เป็นอดีตฮ่องเต้ต้าหลีที่ประทับตราลงนามด้วยตัวเอง เว่ยป้อจึงต้องเห็นแก่น้ำใจนี้ ดังนั้นเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายของซ่งเจิ้งฉุน ไม่ว่าจะเป็นหร่วนฉงที่พูดถึง หรือเจียวเฒ่าแคว้นหวงถิงตนนั้นที่ชวนคุย เว่ยป้อก็จะใช้ความเงียบเป็นการตอบรับอยู่เสมอ
ห่างออกไปไกลมีเงาร่างของสตรีชุดเขียวปรากฏตัว มองดูเหมือนเดินไม่เร็ว ทว่าร่างของนางกลับลอยพลิ้วมาถึงประหนึ่งกลุ่มควันสีเขียว
หร่วนซิ่วเห็นหร่วนฉงกับเว่ยป้อก็ผงกศีรษะทักทายเว่ยป้อก่อน จากนั้นจึงหันมามองบิดาของตนเอง “ท่านพ่อ บังเอิญจริง ท่านก็ออกมาเดินเล่นเหมือนกันหรือเจ้าคะ?”
หร่วนฉงพยักหน้ารับ แล้วก็โยนกาเหล้าที่ว่างเปล่าทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
เว่ยป้อบอกลาจากไปอย่างรู้กาลควร
หร่วนฉงขยับริมฝีปากเบาๆ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่เอาเหล้าอีกกาออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ แกะผนึกดินออกแล้วเริ่มดื่มอีกครั้ง
หร่วนซิ่วยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ข้าเจอเฉินผิงอันบนภูเขาลั่วพั่วด้วย”
หร่วนฉงพูดหน้าเคร่ง “บังเอิญจริง”
ไม่เสียแรงที่เป็นพ่อลูกกัน
หร่วนซิ่วจึงเลือกบทสนทนาบางส่วนของคนทั้งสองมาเล่าให้บิดาฟังหนึ่งรอบ ความหมายคร่าวๆ นั้นไม่เปลี่ยน เพียงแต่ถ้อยคำบางอย่าง หร่วนซิ่วปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
หร่วนฉงกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ เช็ดปากแล้วก็พูดเสียงหนักว่า “เฉินผิงอันตาบอดหรือไร? ลูกสาวข้ามีตรงไหนที่ไม่ดี ถึงได้ไม่ชอบ?! ใครมอบดีสุนัขให้เขากล้าไม่ชอบ?”
หร่วนซิ่วหัวเราะตาหยี
หร่วนฉงเดือดดาลผิดปกติ ดื่มเหล้าคำใหญ่อีกครั้ง เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “แต่ว่าเจ้าเด็กนี่ก็ถือว่าเป็นคนมีคุณธรรม ไม่เหมือนบุรุษทั่วไปที่กินอยู่ในปาก แต่มักจะนึกถึงอาหารในหม้อ สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่มีข้อบกพร่องจริงๆ”
หร่วนฉงพลันเอ่ยอย่างกังขา “ซิ่วซิ่ว คงไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนี่ไปท่องอยู่ในยุทธภพมาห้าปี ยิ่งนานวันก็ยิ่งเจ้าเล่ห์มากอุบาย จงใจถอยเพื่อรอรุก ทำให้ข้าไว้ใจเลยไม่คิดป้องกันเขาหรอกนะ?”
หร่วนซิ่วมองบิดาของตนด้วยสายตากังขาโดยที่ไม่เอ่ยอะไร
หร่วนฉงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเด็กนั่นคงไม่ไร้คุณธรรมขนาดนี้กระมัง”
แล้วหร่วนฉงก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ซิ่วซิ่ว เจ้าไม่รู้สึกเสียใจสักนิดเลยหรือ? ซิ่วซิ่ว เจ้าบอกกับพ่อมาตามตรง สรุปแล้วเจ้าชอบเฉินผิงอันหรือไม่ พ่อจะถามเจ้าแค่ครั้งนี้ หลังจากนี้จะไม่ถามอีกแล้ว ดังนั้นห้ามพูดโกหก”
หร่วนซิ่วยิ้มพลางยกสองมือขึ้นโบกอย่างแรง “เปล่าสักหน่อย”
หร่วนฉงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “หากพ่อต่อสู้กับเฉินผิงอัน เจ้าจะช่วยใคร?”
หร่วนซิ่วให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ก็ต้องช่วยท่านพ่ออยู่แล้ว”
หร่วนฉงรู้สึกปลาบปลื้มใจนิดๆ
เขาพลันหันขวับมามอง
หร่วนซิ่วมีสีหน้าจริงใจ ไร้พิรุธแม้แต่น้อย
“รีบกลับบ้านกันเถอะ” หร่วนฉงถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง เขาทะยานร่างกลายเป็นรุ้งยาวที่พุ่งจากไป
หร่วนซิ่วยังคงเดินอยู่ท่ามกลางป่าเขาตามลำพังอย่างสบายอุรา สุดท้ายนางเดินมาหยุดอยู่ข้างลำธารสายหนึ่ง นั่งยองลงตรงนั้น วักน้ำขึ้นมาหนึ่งกอบมือ ในน้ำมีแสงจันทร์ที่ทอประกายกระจัดกระจาย
ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันกำลังคิดว่าจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะหินเพียงลำพังสักครู่หนึ่ง กลับถูกผู้เฒ่าแซ่ชุยยื่นมือมาคว้ากระชากเข้าไปในห้องบนชั้นสอง
จากนั้นผู้เฒ่าก็เตะเข้าที่หน้าท้อง ร่างทั้งร่างของเขากระแทกเข้ากับผนัง เฉินผิงอันใช้มือข้างหนึ่งยันพื้น พลิกร่างหมุนกลับ เพิ่งจะพลิ้วกายหยุดยืนได้มั่นคงก็ถูกพายุหมัดอีกลูกของผู้เฒ่ากระแทกเข้าที่หน้าผาก เรือนไม้ไผ่โยกคลอนตามไปด้วย เสียงกัมปนาทระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น
มากพอจะแสดงให้เห็นว่าหมัดนี้มีพละกำลังมหาศาลเพียงใด
เฉินผิงอันที่อยู่ดีๆ ก็ถูกซ้อมอย่างหนักโดยไม่ทราบสาเหตุใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก สบถด่ามารดาอีกฝ่ายอย่างดุเดือด จากนั้นก็แผดเสียงด้วยความโกรธเคือง “แน่จริงก็ใช้ขอบเขตห้าสู้กับขอบเขตห้าสิ!”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ได้สิ ประมือกันด้วยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของขอบเขตห้า?”
เฉินผิงอันใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวกระโจนออกไป
ผู้เฒ่ายืนนิ่งไม่ขยับ เขายังถึงขั้นเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งแบฝ่ามือผายไปตรงหน้า บอกเป็นนัยแก่เฉินผิงอันว่าเชิญออกหมัดก่อนได้ตามสบาย
ก้าวที่หกที่เดินออกไป เฉินผิงอันกระทืบพื้นอย่างแรง พลังอำนาจพุ่งทะยาน
จากนั้นก็หมุนตัวกลับอย่างไม่มีลางบอกเหตุ พุ่งตัวออกไปจากประตูไม้ไผ่ของห้องชั้นสองที่ยังไม่ถูกปิด ตวาดเบาๆ หนึ่งครั้งเจี้ยนเซียนก็พุ่งออกจากฝัก เขาขึ้นไปเหยียบบนกระบี่ โผนทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ เผ่นหนีไปไกล
ป้อนหมัด เฉินผิงอันสามารถรับได้
แต่คืนนี้เห็นได้ชัดว่าตาแก่กินยาผิดขนาน คล้ายจะเอาตนไปเป็นที่ระบายโทสะ แบบนี้ไม่สมควร
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าไม่ได้รีบออกหมัดต่อยให้เฉินผิงอันร่วงลงมา แค่จุ๊ปากเอ่ยว่า “ไหลลื่นเป็นปลาไหลจริงๆ เหตุใดพอเจอกับเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงถึงได้ทึ่มทื่อเป็นตอไม้นักเล่า? อายุน้อยๆ ก็ทำตัวยึดมั่นในรักเดียวขนาดนี้แล้ว? ไม่เข้าท่า!”
ผู้เฒ่าคิดคำนวณอยู่ในใจเงียบๆ ก่อนจะเดินก้าวหนึ่งมาอยู่บนระเบียงรั้วนอกห้อง แล้วปล่อยหมัดออกไปด้วยกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
เฉินผิงอันที่เดิมทีนึกว่ารอดพ้นหายนะมาได้แล้วกำลังคิดว่าคืนนี้คงจะต้องชมจันทร์อยู่บนท้องฟ้าสักคืนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างไร
คิดไม่ถึงว่าทั้งคนและกระบี่จะถูกหนึ่งหมัดของผู้เฒ่าต่อยให้ร่วงลงสู่โลกมนุษย์
จากนั้นผู้เฒ่าก็กดฝ่ามือข้างหนึ่งลงเบาๆ หนึ่งครั้ง
ทว่าประหนึ่งมีพายุลมกรด มีน้ำตกสายใหญ่ที่ซัดกรากลงมาจากม่านฟ้า ตบกระแทกให้เฉินผิงอันที่คิดจะเหยียบกระบี่ทะยานลมต่ออีกครั้งร่วงลงไปในผืนป่า
ร่างของเฉินผิงอันกระแทกลงในลำธารสายเล็ก สะเก็ดน้ำสาดกระจายดังตูม
น้ำในลำธารไม่ลึก เฉินผิงอันยืนโงนเงนอยู่กลางน้ำ บังคับเจี้ยนเซียนให้กลับเข้ามาในฝักด้านหลังตัวเองอีกครั้ง
ผลกลับเห็นหร่วนซิ่วที่นั่งยองอยู่ริมลำธารกำลังเหม่อมองมายังตน
เฉินผิงอันค้อมเอว สูดอากาศเข้าปอดคำใหญ่ จากนั้นก็ลูบใบหน้า กล่าวอย่างจนใจว่า “บังเอิญจริง เจอกันอีกแล้ว”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
อยู่ดีๆ ก็ถูกหนึ่งหมัดต่อยให้ปลิวหวือเข้าไปในผืนป่าอีกครั้ง พร้อมกับเสียงคำรามที่คุ้นเคยดังขึ้น “เจ้าตัวดี รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ยอมเลิกทำตัวเป็นโจรง่ายๆ ไม่แล้วไม่เลิกสักทีใช่ไหม?! คิดถึงลูกสาวข้าจนติดใจนักใช่ไหม? แม้แต่แผนเจ็บตัวก็ยังเอามาใช้ได้?!”
อีกหมัดหนึ่งพุ่งมาถึง
ตลอดทั้งลำธารถูกพายุหมัดที่ ‘ผ่านทางมา’ ลูกนั้นสะบั้นหั่นกลาง
เฉินผิงอันจึงได้แต่บังคับให้เจี้ยนเซียนออกจากฝักอีกครั้ง แล้วขี่กระบี่เผ่นหนีไป ถึงจะพอหลบหมัดนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด แล้วจากนั้นเขาก็ตกอยู่ท่ามกลางอันตรายรายล้อม
สายตาเขาเหลือบไปเห็นว่าบนยอดต้นไม้โบราณที่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งมีเงาร่างชุดขาวพลิ้วกายมาถึง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แบบนั้นจะดีหรือ”
เสียงของเว่ยป้อไม่ดังมาก ทว่าเฉินผิงอันกลับได้ยินอย่างชัดเจน
เฉินผิงอันหัวทิ่มเข้าไปในระลอกคลื่น นาทีถัดมาก็มายืนอยู่บนยอดเขาพีอวิ๋นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายเซียน เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก นั่งแปะลงไปบนพื้น
ยังดีที่เว่ยป้อไม่ได้ซ้ำเติมเขา
ทางฝั่งของลำธาร หร่วนฉงกดไหล่ของหร่วนซิ่วเบาๆ ร่างทั้งสองก็วูบหายกลับคืนไปยังสำนักกระบี่หลงเฉวียน
หร่วนฉงทำอาหารมื้อดึกด้วยตัวเองหนึ่งโต๊ะ พ่อลูกสองคนนั่งตรงข้ามกัน หร่วนซิ่วคลี่ยิ้มกว้าง
หร่วนฉงถอนหายใจอยู่ในใจ
เสียใจในวันนี้ก็ยังดีกว่าจิตใจด้านชาในวันหน้า
ทางฝั่งของภูเขาพีอวิ๋น
เว่ยป้อยิ้มพลางค้อมตัวยื่นมือมาช่วยพยุงให้เฉินผิงอันที่เหน็ดเหนื่อยหมดแรงลุกขึ้นยืน
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “คืนนี้เหมือนกับฝันอย่างไรอย่างนั้น”
เว่ยป้อยิ้มแล้วยื่นฝ่ามือออกมา
ครู่หนึ่งต่อมานกขนสีเขียวตัวหนึ่งที่บินผ่านทะเลเมฆเหนือยอดเขาพีอวิ๋นยามค่ำคืนก็พลันร่วงหล่นสู่ฝ่ามือขององค์เทพท่านนี้
เว่ยป้อใช้มือหนึ่งประคองนกเขียว ส่วนมืออีกข้างโบกชายแขนเสื้อเบาๆ มีเบาะรองนั่งเมฆขาวเบาะหนึ่งลอยขึ้นด้านหลังเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง
เว่ยป้อยกฝ่ามือขึ้น นกน้อยก็บินกลับคืนสู่ทะเลเมฆ จากไปไกลอีกครั้ง
เว่ยป้อเอ่ยเสียงเบา “เฉินผิงอัน จากเนื้อความในจดหมายหลายฉบับที่เจ้าส่งมายังภูเขาพีอวิ๋น บวกกับที่ได้คุยเล่นกับชุยตงซานคราวก่อนบนภูเขาพีอวิ๋น ข้าค้นพบเบาะแสเส้นหนึ่งที่นำมาประติดประต่อกันได้ เป็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่ตัวเจ้าเองก็อาจจะสัมผัสไม่ถึง”
เฉินผิงอันถาม “ประหลาดอย่างไร?”
นับตั้งแต่ที่ได้เรียนหมากล้อมกับชุยตงซาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน การทบทวนกระดานหมากคือหนึ่งในการบ้านที่นักบัญชีอย่างเฉินผิงอันต้องทำเป็นประจำ
เว่ยป้อทอดสายตามองไปไกล ทะเลเมฆไม่อาจบดบังการมองเห็นขององค์เทพแห่งขุนเขาท่านนี้ได้เลย ลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝูที่ทอดยาวเชื่อมต่อกัน และห่างออกไปไกลอีกนิดก็คือแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่ของเมืองหงจู๋ เว่ยป้อเอ่ยเนิบช้าว่า “หร่วนซิ่วได้รับโชควาสนาในถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นมังกรเพลิงที่ขดตัวเป็นกำไลอยู่บนข้อมือของนางตัวนั้น ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ นี่คือความจริงที่เห็นกันได้ชัดเจนอยู่แล้ว
เว่ยป้อเอ่ยอีกว่า “นับตั้งแต่ที่อาจารย์ฉีมอบตราประทับขุนเขาแม่น้ำให้แก่เจ้า ศึกในร่องเจียวหลงทำให้ตราประทับตัวอักษรภูเขาแตกสลาย เหลือเพียงแค่ตราประทับอักษรน้ำ ก่อนหน้านี้เจ้าได้เจอกับผีสาวสวมชุดแต่งงานในจวนน้ำใสลมเย็นที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซิ่วฮวา ต่อมาในใบถงทวีป เจ้าก็มีวาสนากับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอ ในอาณาเขตของแคว้นชิงหลวน ก่อนที่จะไปเยือนสวนสิงโต ว่ากันว่าเจ้าได้ยกพู่กันเขียนตัวอักษรลงบนผนังของศาลเทพวารีแห่งหนึ่ง ทางฝั่งของจวนจื่อหยางแคว้นหวงถิงก็ได้เจอกับเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่คิดไม่ซื่อกับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นบุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ ก็ล้วนเป็นวาสนาสัมพันธ์ หันกลับมามองเทพแห่งขุนเขาซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาองค์เทพแห่งแม่น้ำและภูเขา นอกจากข้าแล้วก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ อย่างน้อยสำหรับในใจของเจ้า ต่อให้ผ่านทางไปแล้วก็ยังไม่มีความทรงจำที่ลึกซึ้งเท่าไหร่นัก ถูกหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดหลายปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าอาศัยอยู่ใกล้น้ำมานานเท่าไหร่แล้ว? เป็นเวลาที่ไม่ใช่น้อยๆ เลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้ารับ
“หรือเจ้าลืมไปแล้วว่า ช่วงแรกเริ่มสุดหนีชิวน้อยตัวนั้นเลือกใคร?! คือเจ้าเฉินผิงอัน ไม่ใช่กู้ช่าน!”
เว่ยป้อยิ้มซีดเซียว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เจ้า ‘ใกล้ชิดกับน้ำ’ เช่นนี้ แล้วหร่วนซิ่วเล่า? การช่วงชิงกันระหว่างไฟกับน้ำ ยังมีการช่วงชิงบนมหามรรคาใดที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินไปมากกว่านี้อีกหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง
เว่ยป้อทอดถอนใจหนึ่งที
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ ยื่นนิ้วไปชี้เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง “วางใจเถอะ หากมีศึกแห่งการช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟขึ้นจริงๆ ข้าจะหลีกทางให้แม่นางหร่วนก็แล้วกัน เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง มหามรรคาของข้าเฉินผิงอันอยู่บนเส้นทางวิถีวรยุทธ ขี่กระบี่เดินทางไกล ออกหมัดที่แข็งแกร่งที่สุด ออกกระบี่ที่เร็วที่สุด ร่ำสุรากับคนที่มีเหตุผล ออกหมัดออกกระบี่ให้กับเรื่องที่ไม่เป็นธรรม…”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ คนหนุ่มที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็เรียกได้ว่า ‘ผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก’ ไม่เคยมีชีวิตชีวาเท่าในยามนี้มาก่อน “ข้าหวังว่าวันหนึ่งเมื่อข้าเฉินผิงอันยืนอยู่ที่ใด หลักการเหตุผลก็จะอยู่ที่นั่น!”