บทที่ 462 ไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์อีกแล้ว
เว่ยป้อเงยหน้ามองม่านฟ้า ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางนภา
ตอนนั้นหลังจากได้เป็นองค์เทพแห่งขุนเขาของแคว้นเสินสุ่ยแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้อีกใต้หล้าหนึ่งมีทัศนียภาพอันมหัศจรรย์ที่ดวงจันทราสามดวงประชันกันส่องแสง จนถึงทุกวันนี้เว่ยป้อก็ยังไม่อาจจินตนาได้ว่าการโคจรโชคชะตาฟ้าดินของใต้หล้าแห่งนั้นจะมีกฎเกณฑ์แห่งมหามรรคาที่แตกต่างไปจากใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิงเพิ่มขึ้นอีกกี่มากน้อยเพราะการที่มีดวงจันทร์เพิ่มขึ้นมาอีกสองดวง
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า คิดว่าจะเอาสุราดีๆ ที่เก็บรักษาไว้ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาหาสถานที่สักแห่งบนภูเขาลั่วพั่วที่มีรากภูเขาลึกล้ำและโชคชะตาน้ำเข้มข้น แล้วฝังพวกมันไว้ใต้ดิน หลังจากคิดคำนวณอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าประเภทของสุราที่เขามีอยู่ตอนนี้ไม่นับว่าน้อยเลยทีเดียว
เหล้าหมักกุ้ยฮวาที่กุ้ยฮูหยินของนครมังกรเฒ่าหมักด้วยมือของตัวเอง เหล้าหมักเซียนน้ำบ่อของตรอกหางผึ้ง เหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยน เหล้าบุปผาของจวนปี้โหยวที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้ยังเหลืออีกเกินครึ่งไห แต่ตอนนี้ควรต้องเรียกว่าตำหนักเทพวารีปี้โหยวแล้ว เหล้ามังกรเฒ่าน้ำลายสอที่อู๋ยวนแห่งจวนจื่อหยางมอบให้ เหล้าหวงเถิงที่มีเฉพาะในบ้านเกิดของหงซูเกาะชิงเสีย ซึ่งมีอีกชื่อว่าเหล้าเติมอาหาร เฉินผิงอันเคยดื่มแล้ว รสชาตินุ่มลิ้นกลมกล่อม ดื่มง่ายมาก ปีนั้นเขายังคิดไว้ว่าที่บ้านเกิดมีเผยเฉียนและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูอยู่ ยามที่ถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ พวกนางก็สามารถดื่มได้สักสองจอก ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวจึงไปซื้อเหล้าที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินมาอีกชุดหนึ่ง ถึงอย่างไรเหล้าในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดก็ราคาไม่แพงอยู่แล้ว
ท่องอยู่ในยุทธภพ มีหีบหนังสือและกระบี่ สุราและม้าอยู่เคียงข้าง ไม่มีทางเงียบเหงา
การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปที่ล่าช้ากว่าที่คิดไว้ถึงสามปี ไม่สามารถรั้งรอได้อีกต่อไปแล้ว ปลายปีของปีนี้เขาจะต้องไปเยือนแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ย ไปพบสหายเก่าบางคนสักรอบหนึ่งก่อน แล้วค่อยนั่งเรือข้ามทวีปมุ่งหน้าไปยังทวีปใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่ามีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ผู้คนใช้หมัดอธิบายเหตุผลแห่งนั้น
เว่ยป้อดึงสายตากลับคืนมา มองข้ามผ่านภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาฉีตุน เพ่งมองไปยังเมืองหงจู๋ที่อยู่ทางทิศใต้ตลอดเวลา ในฐานะองค์เทพแห่งขุนเขา การที่จะมองอาณาเขตใต้การปกครองของตัวเอง ระยะห่างเพียงแค่นี้ เขายังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ขอแค่เขายินดี ศาลเทพวารีในเมืองหงจู๋ หรือแม้กระทั่งคนเดินถนนทุกคนก็ล้วนเห็นได้ชัดราวกับมองฝ่ามือของตัวเอง ตอนนี้เมื่อเขตการปกครองหลงเฉวียนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ในฐานะสถานที่อันเป็นจุดที่แม่น้ำใหญ่สามสายอย่างแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่และแม่น้ำชงตั้นมาบรรจบกัน เมืองหงจู๋ที่เดิมทีก็เป็นจุดรวมโชคชะตาน้ำอยู่แล้วจึงยิ่งรุ่งโรจน์เฟื่องฟู
ยามเยาว์ไม่รู้จักพระจันทร์ จึงเรียกมันว่าถาดหยกขาว
เซียนในดวงจันทร์ห้อยขาสองข้างลงมาหรือ เหตุใดต้นกุ้ยในดวงจันทร์ถึงกลมเกลี้ยงเช่นนั้น
นี่เคยเป็นบทกวีไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดกันมาในแคว้นสู่โบราณ ภายหลังกลายมาเป็นเพลงพื้นบ้านของเมืองหงจู๋ ไม่ว่าคนแก่หรือเด็ก สาวตระกูลชาวเรือทุกคนต่างก็ชอบร้องเพลงพื้นบ้านเพลงนี้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะกลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือแล้ว ทว่า ‘สัญชาติทาส’ ของชาวเรือทุกคนที่อยู่ในเวิ้งน้ำฟูสุ่ยของเมืองหงจู๋แห่งนั้นกลับยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากสตรีผู้นั้นที่ไปฝึกตนในตำหนักฉางชุนแล้ว คนทุกรุ่นทุกสมัย ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ทายาทห้าแซ่ของแคว้นเสินสุ่ยในปีนั้นก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากความเป็นทาส ถูกกฎเหล็กที่ว่า ‘ไม่อาจขึ้นฝั่ง’ กดตรึงให้อยู่แต่ในอ่าวฟูสุ่ยไปจนตาย
เว่ยป้อปกป้องคุ้มครองห้าแซ่ใหญ่ของอ่าวฟูสุ่ยมานานหลายปี ทว่าหลังจากได้ดิบได้ดีเจริญรุ่งเรืองแล้ว กลับไม่เคยเปิดปากขอร้องต้าหลีในเรื่องนี้เลยสักครั้ง
หลังจากที่เว่ยป้อกลายมาเป็นองค์เทพของต้าหลี เขาก็ทำเรื่องใหญ่ๆ มาไม่น้อย หากคิดจะเปลี่ยนสัญชาติให้กับชาวเรืออ่าวฟูสุ่ย ยังไม่ต้องพูดว่าสุดท้ายแล้วจะสำเร็จหรือไม่ แต่เรื่องเล็กๆ อย่างการทักทายที่ว่าการสองแห่งเช่นกรมครัวเรือนและกองงานเลี้ยงรับรองแขกของเมืองหลวงต้าหลี ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือเลวก็หนีไม่พ้นต้องดูว่าเจ้ากรมพิธีการและราชครูชุยฉานจะพยักหน้าตกลงหรือไม่เท่านั้น ทว่าเว่ยป้อกลับไม่เคยเปิดปากพูดถึงเรื่องนี้
เว่ยป้อเงียบงันไปนาน ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “เฉินผิงอัน พูดจาห้าวหาญมีพลังไปแล้ว พวกเราควรมาคุยเรื่องธุระการงานกันแล้วหรือไม่”
ก่อนหน้านี้เว่ยป้อไปต้อนรับเฉินผิงอันที่ประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว ตอนที่เดินขึ้นเขา คนทั้งสองพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ซึ่งเป็นเรื่องยิบย่อยไม่สลักสำคัญจริงๆ เนื่องจากบนภูเขาลั่วพั่วมีศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นตะปูตัวใหญ่ที่ราชสำนักต้าหลีตั้งใจตอกเอาไว้ อีกทั้งสกุลซ่งต้าหลีเองก็ไม่คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย นี่คือท่าทีอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องใช้คำพูดมาบรรยาย หากเว่ยป้อสร้างฟ้าดินเล็กๆ ขึ้นมาสกัดกั้นก็ย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำตัวมีพิรุธ ด้วยความจงรักภักดีและนิสัยซื่อตรง ตายไปก็ยังยินดีเป็นเทพผู้ซื่อสัตย์ของเทพภูเขาซ่งบนยอดเขาท่านนั้น ย่อมต้องบันทึกเรื่องนี้เอาไว้แล้วส่งข่าวไปให้แก่กรมพิธีการอย่างแน่นอน
มีเรื่องเพิ่มมาเรื่องหนึ่ง ไม่สู้มีเรื่องน้อยลงเรื่องหนึ่ง
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันได้คิดคำพูดไว้คร่าวๆ นานแล้ว เขาถามว่า “หากลงนามสัญญากับราชสำนักต้าหลีได้อย่างราบรื่น ควรจะใช้ภูเขาลูกไหนเป็นภูเขาที่ตั้งศาลบรรพจารย์? รากฐานของภูเขาลั่วพั่วดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ไกลไปหน่อย ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดเลย อีกทั้งข้าไม่เชี่ยวชาญในเรื่องภูมิศาสตร์ชัยภูมิ ตอนนี้ข้ามีค่ายกลอยู่สองชุด ระดับขั้น…น่าจะถือว่าสูงมาก หนึ่งคือค่ายกลกระบี่ เหมาะแก่การโจมตีให้ศัตรูถอยร่น อีกหนึ่งคือค่ายกลพิทักษ์ภูเขา เหมาะแก่การป้องกัน หากฝังรากลงไปบนภูเขาเมื่อไหร่ก็เคลื่อนย้ายได้ยากลำบากอย่างยิ่ง ควรจะจัดวางค่ายกลพิทักษ์ภูเขาสองอย่างไว้บนภูเขาลูกเดียวกัน หรือว่าให้เหนือขานรับกับใต้ แบ่งแยกกันสร้างคนละแห่ง? แต่ว่าก็ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ค่ายกลใหญ่สองแห่ง ตอนนี้ข้ามีภาพค่ายกล เงินเทพเซียนก็มากพอ แต่ยังขาดวัตถุใหญ่สองชิ้นที่จะใช้เป็นแกนกลาง ดังนั้นต่อให้สามารถสร้างขึ้นได้ในเร็วๆ นี้ ก็ยังเป็นแค่โครงร่างที่ว่างเปล่าเท่านั้น”
เว่ยป้อเองก็ไม่ทำตัวเป็นคนนอกกับเฉินผิงอัน เอ่ยถามเข้าประเด็นตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “ระดับขั้นสูงแค่ไหน? บอกได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นอกจากแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้ข้าแล้ว อันที่จริงข้ายังมีใบอู๋ถงแผ่นหนึ่งที่ได้มาจากสำนักใบถง เป็นวัตถุจื่อชื่อเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนที่ได้รับของชิ้นนี้มา ได้มีคนเตือนไว้ก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยเปิดมันออก ด้านในนอกจากจะมีเงินฝนธัญพืชกองโตที่สำนักใบถงควักจ่ายให้แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือยังเก็บภาพค่ายกลที่ล้ำค่าซึ่งมีค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสองชุดอยู่ในนั้น หนึ่งคือค่ายกลกระบี่สำหรับโจมตีที่จำลองมาจากภูเขาไท่ผิงแห่งใบถงทวีป อีกหนึ่งคือค่ายกลใหญ่พิทักษ์ขุนเขาที่เลียนแบบสำนักฝูจี เงินฝนธัญพืชก้อนนั้นมากพอสำหรับนำมาสร้างค่ายกลใหญ่ทั้งสองค่าย อีกทั้งยังสามารถรักษาการโคจรของค่ายกลทั้งสองไว้ได้นานเป็นร้อยปี”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เพียงแต่วัตถุแกนกลางที่ใช้ประคับประคองค่ายกลใหญ่ทั้งสองซึ่งได้แก่กระบี่ชั้นสูงเก้าเล่ม และหุ่นเชิดร่างทองอีกห้าตน ล้วนจำเป็นต้องอาศัยโชควาสนาของตัวเองไปตามหามา ไม่อย่างนั้นก็ต้องซื้อหามาด้วยเงินเทพเซียน ข้าคาดว่าต่อให้โชคดีเจอคนที่ขายของสองอย่างนี้ ราคาก็คงสูงเทียมฟ้า เงินฝนธัญพืชที่อยู่ในใบอู๋ถงไม่แน่ว่าอาจหมดเกลี้ยง ต่อให้สร้างค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาที่สมบูรณ์แบบสองแห่งขึ้นมาได้ก็อาจจะไม่เหลือกำลังให้มันโคจร ไม่แน่ว่าตัวเองอาจต้องทุบหม้อขายเหล็ก รื้อกำแพงตะวันออกมาเสริมกำแพงตะวันตก ถึงจะไม่ทำให้ค่ายกลใหญ่ได้เพียงแค่ตั้งอยู่เปล่าๆ แค่คิดถึงเรื่องนี้ข้าก็ปวดใจแล้ว นี่เป็นการบีบให้ข้าต้องไปตามหาโชควาสนาในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกทั้งหลาย หรือไม่ก็เลียนแบบผู้ฝึกตนอิสระที่พาตัวไปเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาโชคจริงๆ”
หลังจากเฉินผิงอันกล่าวจบก็มองจ้องเว่ยป้อ
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ไม่มีใครลอบสังเกตการณ์จริงๆ”
เฉินผิงอันถึงได้หยิบใบอู๋ถงที่ออกเป็นสีเหลืองใบนั้นออกมา มองดูเหมือนธรรมดา แต่หากผู้ฝึกตนพินิจมองอย่างละเอียดจะสังเกตเห็นว่าใบอู๋ถงเล็กๆ ใบนี้ แท้จริงแล้วกลับซุกซ่อนความลี้ลับมหัศจรรย์ แฝงเร้นภาพปรากฎการณ์นับพันนับหมื่นเอาไว้
เฉินผิงอันยื่นส่งให้เว่ยป้อพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “การที่ข้าไม่กล้าเปิดออก เพราะด้านในมีเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสของตู้เม่าที่หล่นลงมาในสำนักใบถงหลังจากการบินทะยานล้มเหลวซ่อนอยู่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือ อีกชิ้นหนึ่งใหญ่เท่ากำปั้นเด็ก เมื่อเทียบกับเศษชิ้นส่วนร่างทองชิ้นอื่นๆ ของตู้เม่าที่หล่นลงในสำนักใบถงและพื้นที่อื่นๆ ของแจกันสมบัติทวีปแล้วก็ยังถือว่าเล็ก หากเปิดออกก็เท่ากับแพร่งพรายความลับสวรรค์ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนละโมบอยากได้ไปครอบครอง”
เว่ยป้อใช้สองนิ้วคีบใบอู๋ถงใบนั้น เขาชูมันขึ้นสูง หรี่ตามองไปแล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “โชคดีที่เจ้าไม่ได้เปิดมันออก เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานมีมูลค่าเหนือกว่าเมืองแห่งหนึ่งเสียอีก อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังปรารถนาอยากครอบครอง ลมปราณของมันเข้มข้นนัก เจ้าลองดูสิ แม้แต่เส้นใยบนใบอู๋ถงใบนี้ที่ผ่านการอาบย้อมมานานหลายปีก็เริ่มแผ่สีทองแสงหยกจากในสู่ภายนอกแล้ว หากเปิดออกจะไม่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้หรอกหรือ? เจ้าต้องรู้ว่ามีผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางมากมายที่อาศัยการอนุมานความลับสวรรค์มาขายให้แก่ผู้ฝึกตนใหญ่ เพื่อให้ได้เงินฝนธัญพืชมาครอง ดังนั้นการที่เจ้าอดทนต่อความล่อลวงใจ ไม่เปิดออกดูก็ช่วยหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากที่คาดคิดไม่ถึงจำนวนนับไม่ถ้วนไปได้จริงๆ”
เว่ยป้อชื่นชมใบอู๋ถงอยู่ครู่หนึ่งก็ยื่นส่งคืนให้เฉินผิงอัน แล้วเอ่ยอธิบายว่า “ใบอู๋ถงใบนี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นใบที่ร่วงลงมาจากต้นบรรพบุรุษของใบถงทวีปต้นนั้น ต่างก็พูดกันว่าต้นไม้ใหญ่เรียกลม ทว่าต้นอู๋ถงบรรพกาลที่ไม่มีใครรู้ว่าต้นจริงอยู่ที่ไหนต้นนั้นแทบไม่เคยมีใบร่วงลงมา ใบของมันเป็นสีเขียวมาตลอดหมื่นปี รวบรวมโชคชะตาของหนึ่งทวีปเอาไว้ ดังนั้นใบทุกใบที่ร่วงหล่น กิ่งทุกกิ่งที่แตกหักล้วนมีค่าสุดประมาณ ทุกครั้งที่กิ่งและใบร่วงหล่นลงสู่พื้น สำหรับผู้ฝึกตนของทวีปที่คว้ามาไว้ในมือได้แล้ว ล้วนถือเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ จะได้รับการปกป้องจากใบถงทวีปโดยที่มองไม่เห็น คำว่าบุญวาสนาของคนบนโลกมนุษย์ก็ล้วนไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าสิ่งนี้ ปีนั้นตอนอยู่บนภูเขาฉีตุน เจ้าเคยได้เห็นสวนไม้ไผ่เล็กๆ ที่ข้าตั้งใจปลูกมาก่อน ยังจำได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วก็หัวเราะ
แน่นอนว่าต้องจำได้ ตอนนี้เฉินผิงอันยังอยากจะขอไม้ไผ่สักลำมาจากเว่ยป้ออยู่เลย จะได้เอามาทำดาบไม้ไผ่ให้ตนกับเผยเฉียนคนละเล่ม อาจารย์และศิษย์สองคน หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก หากไม้ไผ่ใหญ่พอ ยังสามารถนำมาทำกระบี่ไม้ไผ่ให้เผยเฉียนได้อีกสักเล่ม
กับเว่ยป้อ เฉินผิงอันไม่มีอะไรให้ต้องเกรงใจ
ป่าไผ่บนภูเขาฉีตุนผืนนั้นของเว่ยป้อ อันที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่ทายาทของไม้ไผ่บรรพบุรุษอย่างไผ่เฟิ่นหย่งหนึ่งในไผ่เซียนสิบต้นซึ่งเป็นไผ่สิบคุณธรรมของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเก้าทวีปเท่านั้น
ตอนนั้นอาเหลียงใช้หนึ่งดาบฟันต้นไผ่ไปนับไม่ถ้วน นอกจากจะถูกเฉินผิงอันนำมาทำเป็นหีบไม้ไผ่และแกะสลักเป็นแผ่นไม้ไผ่แล้ว ลำที่ใหญ่จริงๆ ล้วนถูกนำมาสร้างเป็นเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ว่าอย่างหลังนี้เป็นเว่ยป้อที่เต็มใจทำให้เอง ไผ่เฟิ่นหย่งสอดคล้องกับประโยคพยากรณ์ประโยคหนึ่งของอริยะสำนักการทหารอย่างยิ่ง ‘แสนยานุภาพแห่งกองทัพเลือนลั่น ประดุจผ่าลำไม้ไผ่ ผ่าปล้องถอยร่นไม่เป็นกระบวนท่า บุกรุดหน้าไปอย่างราบรื่น’ ใช้ไม้ไผ่ประเภทนี้มาสร้างเรือน สำหรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกตนสำนักการทหารแล้วย่อมมีประโยชน์มหาศาล ภายหลังหลี่ซีเซิ่งยังเขียนยันต์ไว้เต็มทั้งนอกและในเรือน การที่ผู้เฒ่าเปลือยเท้านั่งฝึกตนอยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่แทบจะตลอดทั้งปีจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร
ลองมองย้อนกลับไปก็ถือว่าเว่ยป้อได้ทำการค้าที่ดีที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เพราะเขาช่วงชิงตำแหน่งองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีมาได้
หลังจากที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านทะเลสาบซูเจี่ยน เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้การค้าขายก็สามารถทำได้อย่างจริงใจและเป็นธรรมชาติ ไม่มีกลิ่นอายของความหน้าเลือดและเหม็นสาบเงินเลยแม้แต่น้อย ทำธุรกิจประหนึ่งดั่งการคบค้ากันระหว่างวิญญูชนก็คือทักษะและการกะแรงไฟสำหรับการอยู่ร่วมกับคนอื่นบนโลกอย่างแท้จริง
เว่ยป้อไม่รู้ว่าตัวเองต้องเข้าเนื้ออีกครั้ง นี่น่าจะเรียกว่าโจรในบ้านยากจะป้องกันกระมัง
องค์เทพแห่งต้าหลีท่านนี้ยังคงอธิบายถึงความล้ำค่าของใบอู๋ถงใบนั้นให้เฉินผิงอันฟังต่อไป “ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี นี่ก็เหมือนตัวอย่างว่า เจ้าเดินทางอยู่ในต้าหลี ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางมีหรือไม่มีป้ายสงบสุขปลอดภัย คือเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ในอนาคตเมื่อเจ้าย้อนกลับไปที่ใบถงทวีปอีกครั้ง ออกเดินทางไปทั่วสารทิศ มีใบอู๋ถงนี้ติดกายก็แตกต่างกับไม่มีราวก้อนเมฆกับดินโคลนเช่นกัน หากไม่เป็นเพราะรู้ว่าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว อีกทั้งที่ใบถงทวีปยังมีศัตรูคู่อาฆาตอยู่ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงต้องโน้มน้าวให้เจ้าอ้อมผ่านสำนักใบถง ตรงไปเสี่ยงโชคที่ทางใต้ของใบถงทวีปโดยตรงเลย”
“ใบถงทวีป ตอนนี้ข้าคงยังไม่กลับไป ส่วนสาเหตุนั้นไม่ใช่แค่เพราะตู้เม่ากับสำนักใบถงเท่านั้น”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเล่าเรื่องที่สุยโย่วเปียนเดินทางไปอยู่สำนักกุยหยก เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไปเป็นผู้ฝึกกระบี่ และเรื่องที่หลี่ฝูฉวีสะกดรอยตามตนให้เว่ยป้อฟังอย่างละเอียด
สำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีป เลือกสถานที่ตั้งเป็นทะเลสาบซูเจี่ยนของแจกันสมบัติทวีป ตอนนี้ได้กลายเป็นเรื่องจริงที่ทุกคนบนโลกล้วนรับรู้กันหมดแล้ว
แต่นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันบอกเล่าความสัมพันธ์ของผู้เฒ่าแซ่สวินกับเจียงซ่างเจินให้เว่ยป้อฟัง เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้การส่งข่าวผ่านกระบี่บินระหว่างภูเขาพีอวิ๋นและเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันก็ยังไม่วางใจสักเท่าไหร่
หลังจากเว่ยป้อฟังจบก็อึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง เขาใคร่ครวญแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “สำนักกุยหยกน่าจะฉวยโอกาสนี้แสดงความเป็นมิตรต่อศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง แต่ก็ไม่ยินดีจะแตกหักกับสายของเหวินเซิ่ง ดังนั้นจึงให้ผู้ฝึกตนใหญ่ของสำนักใบถงที่เปลี่ยนมาอยู่สำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกผู้นั้นเป็นทหารลาดตระเวนมาหยั่งเชิง ไม่ได้ให้คนในครอบครัวตัวเองอย่างเจียงซ่างเจินรีบร้อนเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน สังหารเจ้า ย่อมมีตัวตายตัวแทน ไม่ฆ่าเจ้า ก็มีการกระทำนี้เกิดขึ้น นี่ก็ถือว่าเป็นการให้คำอธิบายแก่อริยะสายของหย่าเซิ่งที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นแล้ว ไม่ได้ทำผิดต่อคนเขาที่อุตส่าห์ช่วยสนับสนุนให้สำนักกุยหยกได้สร้างสำนักเบื้องล่าง ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่จากศาลบรรพจารย์สำนักใบถงผู้นั้นก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ยินดีเป็นมีดที่ถูกคนอื่นยืมใช้ฆ่าคน อีกทั้งยังแอบผลักผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างหลี่ฝูฉวีออกมาอย่างลับๆ แม้ว่าหลี่ฝูฉวีจะขอบเขตสูงไม่เท่าฝ่ายแรก แต่กลับไม่โง่ สะกดรอยตามเจ้าไปตลอดทางถึงได้ตัดสินใจปรากฏตัว และร่วมแสดงละครกับเจ้าที่แคว้นเหมยโย่ว”
—
ไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์อีกแล้ว
เว่ยป้ออธิบายกฎระเบียบและเรื่องวงในอีกมากมายระหว่างสำนักเบื้องบนกับสำนักเบื้องล่างให้เฉินผิงอันฟังรอบหนึ่ง
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ได้เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
ว่าเหตุใดสำนักกุยหยกถึงได้ทำตัวผิดปกติซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่ผู้เฒ่าแซ่สวินที่ปรากฏตัวในนครมังกรเฒ่า ไปจนถึงเจียงซ่างเจิน สุดท้ายมาถึงที่เกาะกงหลิ่ว ล้วนไม่เห็นแก่ ‘ความสัมพันธ์ควันธูป’ กันเลยแม้แต่น้อย
ที่แท้ก็เกี่ยวพันกับกิจการใหญ่พันปีของสำนัก
เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ มีเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น ไม่มีอารมณ์จะดื่มเหล้า
ไม่รู้ว่าท่ามกลางแผนการครั้งนี้ ผู้เฒ่าแซ่สวินและเจียงซ่างเจินจะมีบทบาทอะไรกันบ้าง
ตอนนี้ผู้ที่เข้าใจรากฐานของกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันออกเขตการปกครองหลงเฉวียนได้ดีที่สุดย่อมต้องเป็นเว่ยป้อ การเคลื่อนย้ายโชคชะตาแม่น้ำและภูเขาล้วนไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลับไปที่ปัญหาแรกเริ่มสุดของเฉินผิงอัน ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาทั้งสองแห่งจะสร้างขึ้นที่ด จะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างกันเมื่อไหร่ สีหน้าของเว่ยป้อกลับไม่ผ่อนคลายนัก เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ค่ายกลใหญ่ทั้งสองแห่งมีระดับขั้นสูงมาก และการเผาผลาญก็ยิ่งน่าตกใจ ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังขาดวัตถุอันเป็นกุญแจสำคัญ หากไม่ได้รีบร้อนล่ะก็ ข้าแนะนำให้เจ้าค่อยตัดสินใจภายหลัง เรื่องของค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญในสำคัญของการก่อตั้งสำนักของผู้ฝึกตนทุกคน รอให้วันใดไร้ข้อผิดพลาดจริงๆ แล้วค่อยสร้างค่ายกลดีๆ ขึ้นมารวดเดียว ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรสร้างๆ หยุดๆ”
เว่ยป้อยิ้มเอ่ย “ถึงอย่างไรทุกวันนี้เขตการปกครองหลงเฉวียนก็มีข้าอยู่ เจ้าจึงไม่ต้องเป็นกังวลกับภูเขาเหล่านั้นของชั่วคราว หากไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีอริยะหร่วนอีกคนหนึ่งนี่นะ”
เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันควัน
ล้อเล่นกันผ่านไปแล้ว เว่ยป้อก็พูดเรื่องเป็นการเป็นงานต่ออีกครั้ง “ยอดฝีมือสำนักโม่ที่เชี่ยวชาญค่ายกลและเวทกลไก สถานที่อื่นๆ ของแจกันสมบัติทวีปนั้นหาได้ไม่ง่าย แต่ต้าหลีของพวกเรากลับมีอยู่ไม่น้อย เรื่องนี้สามารถเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลาจริงๆ แล้วยุ่งจนหัวหมุน ค่ายกลใหญ่สองแห่งนี้ ผู้ฝึกตนทั่วไปของสำนักโม่คงไม่กล้ารับช่วงต่อจริงๆ จำเป็นต้องหาตัวเลือกไว้แต่เนิ่นๆ จากนั้นค่อยหาเวลา ไม่ใช่หาเวลาก่อนแล้วค่อยหาคน ดังนั้นช่วงนี้เจ้าควรจะหาโอกาสติดต่อไปหาจอมยุทธพเนจรสวี่รั่วผู้นั้น คนผู้นี้มีน้ำหนักอย่างมากในกลุ่มของบุคคลเบื้องหลังต้าหลี ขนาดข้ายังมองตื้นลึกของเขาไม่ออก เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจะออกหน้าช่วยทักทายเขาให้เอง ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าจะหาตัวสวี่รั่วพบ”
เว่ยป้อคงกังวลว่าเฉินผิงอันจะใจร้อนเกินไป จะต้องสร้างค่ายกลใหญ่ให้สำเร็จก่อนเดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปให้ได้ถึงจะวางใจ จึงเอ่ยย้ำเตือนอีกครั้งอย่างใจเย็นว่า “บนเส้นทางของการฝึกตน มหามรรคายาวไกล โอกาสมากมายต้องช่วงชิงมา ทว่าเรื่องดีๆ บางอย่างก็จำเป็นต้องรอคอย ไม่ใช่ว่าเพราะการเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานับประการ หนึ่งวันผ่านไปเหมือนหนึ่งปี แล้วจะรู้สึกว่ากาลเวลาบนโลกล้วน…เชื่องช้าไปเสียทั้งหมด”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หลักการนี้ ข้าเข้าใจ”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ “ยังนับว่าดี ข้ายังนึกว่าต้องเปลืองน้ำลายมากกว่านี้ถึงจะพูดโน้มน้าวเจ้าได้เสียอีก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “บอกตามตรง ข้าอยากมีภูเขาที่เข้าท่าเข้าที กว้างขวาง โอ่อ่า สง่างามอย่างคนอื่นเขามากจริงๆ เวลาที่ข้าไม่อยู่บนภูเขา แต่อยู่ห่างไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ก็ยังสบายใจได้ นั่นเป็นเรื่องที่…แค่คิดก็ทำให้อารมณ์ดีมากแล้ว เพียงแต่ว่าในเมื่อเจ้าพูดขนาดนี้แล้ว ข้าก็ได้แต่ต้องอดทนไว้ ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันพลันหัวเราะขึ้นมา แล้วผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอว “องค์เทพใหญ่เว่ย ไม่ทราบว่ายังมีไผ่เฟิ่นหย่งเหลืออีกมากน้อยเท่าไหร่? ขอแค่ลำเดียวก็พอ”
เว่ยป้อถามด้วยรอยยิ้มตาหยี “นี่เรียกว่าการตบทรัพย์ได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ควรจะเป็นเงินเทพเซียนเท่าไหร่ก็เท่านั้น คิดตามราคาตลาดแล้วติดค้างภูเขาพีอวิ๋นไว้ก่อนก็แล้วกัน นี่ก็ไม่ใช่เพราะข้าคิดว่าเพิ่งกลับมาได้ไม่นานก็ต้องไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนอีกแล้ว เลยรู้สึกผิดต่อเผยเฉียนหรอกหรือ ทำดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ให้นางไว้สักสองเล่มเป็นของขวัญจากลา นางจะได้ไม่ต้องร้องไห้โยเย”
เว่ยป้อยกนิ้วโป้งขึ้น “ช่วยเจ้าติดต่อสวี่รั่วคือเรื่องหนึ่ง”
จากนั้นก็ยกนิ้วชี้ตามมา “ทำหน้าหนาขอไม้ไผ่เฟิ่นหย่งหนึ่งลำ คือเรื่องที่สอง”
สุดท้ายเว่ยป้อชูนิ้วกลาง “ว่ามาเถอะ จะได้ครบสามข้อพอดี”
“ยังมีอีกจริงๆ นั่นแหละ”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ตอนนี้ข้าเหลือเงินเหรียญทองแดงแก่นทองแค่ถุงเดียวแล้ว จำเป็นต้องเก็บไว้ให้คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาด ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น ขอแค่โยนเหรียญทองแดงแก่นทองลงไปก็จะสามารถเลื่อนระดับขั้นได้ มีคนเคยบอกว่า ทางที่ดีที่สุดคือให้มันกินเหรียญทองแดงแก่นทองรวดเดียวจนเลื่อนเป็นอาวุธกึ่งเซียนไปเลย ไม่มีทางขาดทุนแน่นอน ต่อให้ในอนาคตข้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง สวมใส่มันแล้วจะกลับกลายเป็นภาระ แต่อย่างมากก็แค่ขายต่อให้คนอื่น ย่อมได้ราคาสูงเทียมฟ้า แต่หากอิงตามคำบอกของต้าหลีในทุกวันนี้ เหรียญทองแดงแก่นทองทั้งหมดที่ติดค้างข้าไว้จะถือว่าหายกันหลังจากที่ขายภูเขาเหล่านั้นให้แก่ข้า ข้าก็เลยอยากจะขอให้ท่านเทพภูเขาใหญ่เว่ยที่มีความสามารถมากต้องเหนื่อยยากสักหน่อย ช่วยทำหน้าที่เป็นคนกลางติดต่อแทนข้า จะดีจะชั่วก็ขอให้เจียดเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาให้ข้าสักสองสามถุง หากไม่ได้จริงๆ ก็ถือซะว่าข้าติดหนี้ราชสำนักต้าหลีไว้ก่อนก็แล้วกัน”
เว่ยป้อยิ้มกว้าง ถามว่า “ขอถามจอมยุทธน้อยเฉินท่านนี้ ไม่ทันระวังเอาหนังหน้าไปทิ้งไว้ที่มุมใดในยุทธภพมาใช่หรือไม่? เลยลืมเก็บกลับมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนด้วย?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟังเจ้าพูดเข้าสิ ทำให้เสียความรู้สึกยังเป็นเรื่องรอง ประเด็นสำคัญคือไม่มีมาดของเทพเซียนเอาเสียเลย แบบนี้ไม่ควรเลยนะ”
เว่ยป้อยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว “เฉินผิงอัน อันที่จริงเจ้าคืออาจารย์แห่งการประจบสอพลอของท่านจูกับเผยเฉียนใช่ไหม?”
เฉินผิงอันเงียบรอฟังคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย
เว่ยป้อคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม้ไผ่หนึ่งลำยังคุยกันได้ง่าย ยกให้เจ้าก็ไม่มีปัญหา ถือซะว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่ข้ามอบให้แม่นางน้อยผู้นั้นก็แล้วกัน แต่เรื่องที่จะขอเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสองสามถุงมาจากต้าหลี เรื่องนี้เดิมทีไม่ถือว่าใหญ่ แต่การที่เปิดราคามากะทันหัน ถึงอย่างไรก็ถือว่าผิดกฎการทำธุรกิจ ดังนั้นข้าคงต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนว่าควรจะเปิดปากเช่นไร”
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้ม
เว่ยป้อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉินผิงอัน อย่ารังเกียจหาว่าข้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเป็นองค์เทพแห่งภูเขาสายน้ำหรือผู้ฝึกตนบนภูเขา มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่มองดูแล้วยิ่งเล็ก ยิ่งอยู่ระดับล่าง ดูคล้ายว่าต่อให้ย่ำยีเท่าไหร่ก็ไม่ส่งผลร้ายใดๆ แท้จริงแล้วเจ้ากลับควรต้องให้ความเคารพมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนที่เป็นนักบัญชีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ภายหลังเดินทางท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ก็พอจะมีประสบการณ์กับเรื่องนี้มาบ้างแล้ว”
สีหน้าของเว่ยป้อถึงได้กลับคืนมาเป็นปกติ พูดอย่างขมขื่นว่า “เป็นคนมีความสามารถต้องลำบากกว่าคนอื่นจริงๆ”
เว่ยป้อมองไปทางภูเขาลั่วพั่วแล้วยิ้มกล่าวว่า “ภูเขาลั่วพั่วมีแขกมาเยือนอีกแล้ว”
เฉินผิงอันเหมือนคนที่ถูกงูกัดแล้วกลัวเชือกไปสิบปี หัวใจของเขาพลันหดรัดตัว กลัวว่าหร่วนฉงจะยังไม่หายโมโห บุกมาต่อยตีเขาถึงบนภูเขา
เว่ยป้อยื่นมือข้างหนึ่งมาคว้าไหล่เฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “ไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เดี๋ยวก่อน”
เว่ยป้อหยุดชะงัก พูดด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ยังมีเรื่องอะไรอีก? เฉินผิงอัน นี่เจ้าชักจะเกินกว่าเหตุแล้วนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “เชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับไปยากอย่างไรล่ะ”
เว่ยป้อยกสองมือขยี้ข้างแก้ม “มาเถอะ สี่มงคลมาเลย”
เฉินผิงอันหยิบใบอู๋ถงใบนั้นออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็หยิบแผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ของอริยะที่มีรูปปั้นตั้งวางในศาลบุ๋นออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
เว่ยป้อชำเลืองตามองแผ่นหยก แล้วจุ๊ปากพูด “ของเล่นชิ้นนี้ ไม่ใช่แค่ร้อนลวกมือธรรมดา”
เฉินผิงอันยื่นส่งแผ่นหยกมาให้พลางยิ้มกล่าวว่า “ให้เจ้ายืมเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ถือซะว่าเป็นเงินซื้อไม้ไผ่เฟิ่นหย่งลำนั้นของข้า”
เว่ยป้อรับแผ่นหยกมาอย่างไม่ลังเล พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “สมกับที่สนิทกัน นับตั้งแต่ที่เจ้ากลับมายังเขตการปกครองหลงเฉวียน ข้าก็เริ่มรอคอยประโยคนี้ของเจ้าแล้ว มีแผ่นหยกแผ่นนี้อยู่ ตำแหน่งองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีของข้านี้ก็ถือว่านั่งได้มั่นคงอย่างแท้จริงแล้ว ต่อให้มอบอาณาเขตครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาอยู่ในการปกครองของข้า ก็สามารถรับรองได้ว่าภูเขาและแม่น้ำจะมั่นคง ไม่มีทางดันท้องของข้าเว่ยป้อให้แตกได้แน่นอน”
แล้วเฉินผิงอันก็วางใบอู๋ถงไว้บนมือของเว่ยป้อ “เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสชิ้นที่ใหญ่กว่านั้น มอบให้เจ้า ใบอู๋ถงนี้ข้าไม่สะดวกพกไว้ติดตัว ถ้าเช่นนั้นก็เก็บไว้บนภูเขาพีอวิ๋นก็แล้วกัน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ได้รีบสร้างค่ายกลใหญ่สองแห่งนั้นอยู่แล้ว”
คราวนี้เว่ยป้อรู้สึกประหลาดใจจริงๆ จะมอบเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่ใหญ่เท่ากำปั้นเด็กให้ตนอย่างนั้นหรือ?
นี่เป็นสมบัติล้ำค่าระดับโลกที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนฆ่ากันตายโดยไม่เสียดายชีวิตได้เลยนะ
นี่เป็นเรื่องที่เว่ยป้อไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ
ต่อให้เศษชิ้นส่วนแก้วใสจากร่างทองที่ไร้มลทินเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำมากที่สุด เหนือกว่าผู้ฝึกตนก็ตาม
เว่ยป้ออดทนอยู่นาน สุดท้ายก็ถามว่า “เรื่องดีมักมาเป็นคู่ ไม่สู้มอบชิ้นเล็กที่เหลืออยู่ให้ข้าพร้อมกันเลย?”
เฉินผิงอันชูนิ้วกลางเป็นคำตอบ
เว่ยป้อรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก “ดูท่านี่คงเป็นผลลัพธ์จากการใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบ และจะไม่มีทางเสียใจภายหลังแล้ว”
เว่ยป้อเก็บใบอู๋ถงมาอย่างระมัดระวัง เอ่ยชื่นชมหนึ่งประโยคว่า เฉินผิงอันสมกับเป็นกุมารแจกทรัพย์จริงๆ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างลำพองใจ “นี่เรียกว่าหากคิดจะให้ม้าวิ่ง ก็ต้องมีหญ้าให้กิน”
เว่ยป้อชำเลืองตามองเฉินผิงอัน “ไม่เสียใจภายหลังจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เขาทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าเลื่อนลอยเล็กน้อย สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ท่าทางเหนื่อยล้าถึงขีดสุด “การเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง จะยืดแขนยืดขาเดินออกไปสักก้าวก็กล้าๆ กลัวๆ ข้าไม่ต้องการให้วันใดในอนาคต อยู่ที่บ้านเกิดของตัวเองแล้วยังได้แค่พึ่งพาตัวเองไปเสียทุกเรื่องอยู่ตลอดเวลา ข้าเองก็อยากแอบอู้บ้างเหมือนกัน”
เว่ยป้อนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มถามว่า “เศษแก้วใสชิ้นเล็กนั่น เดิมทีคิดจะมอบให้เทพภูเขาบนภูเขาลั่วพั่วกระมัง? ถึงอย่างไรญาติที่อยู่ห่างไกลก็ไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง กระชับความสัมพันธ์สานไมตรี ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ตอนนี้ดูท่าคงสามารถประหยัดไปได้แล้ว”
เว่ยป้อกล่าว “แบบนี้ไม่สมกับเป็นกุมารแจกทรัพย์เลยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ใช่ตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก!”
เว่ยป้อเพียงยิ้มรับ
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามว่า “ใช่แล้ว ตอนนี้บนภูเขาหนิวเจี่ยวมีเรือข้ามฟากที่เดินทางไปแถบแคว้นไฉ่อีอยู่หรือไม่?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “หน้าตาเพียงเล็กน้อยแค่นี้ องค์เทพขุนเขาเหนือยังพอมีอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “คราวหน้าข้าคงจะต้องเดินขึ้นภูเขาพีอวิ๋นมาตั้งแต่ตีนเขา แล้วเที่ยวชมภูเขาพีอวิ๋นให้ดีๆ สักรอบแล้ว”
เว่ยป้อกล่าว “ถือโอกาสไปเดินเที่ยวที่สำนักศึกษาหลินลู่ด้วยสิ ที่นั่นมีสหายของเจ้ามาเรียนอยู่ด้วย”
ก็คือเกาเซวียนองค์ชายต้าสุย
สำหรับคนผู้นี้ เฉินผิงอันไม่ได้มีความประทับใจที่เลวร้ายอะไร
เว่ยป้อกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ดินทับถมเป็นภูเขาสูง ลมฝนเกิดขึ้นที่นี่ เฉินผิงอัน เจ้าสามารถคาดหวังรอคอยต่ออนาคตได้จริงๆ แล้ว ในบรรดาภูเขาทั้งหมด ภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาฮุยเหมิง แท่นบูชากระบี่ ฯลฯ ถิ่นฐานมากมายเหล่านี้ของเจ้าจะมีผู้เฒ่าแซ่ชุย ชุยตงซาน เผยเฉียน จูเหลี่ยน ฯลฯ มีผู้ฝึกตนมากมาย และในต้าหลีก็มีข้าเว่ยป้อ มีสวี่รั่ว เจิ้งต้าเฟิง เกาเซวียน มีพันธมิตรมากมาย”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างปลื้มใจ
ชีวิตคนเราหลังจากเผชิญกับความลำบากยากเข็ญมานับไม่ถ้วนแล้ว มักจะมีเหตุการณ์พลิกผันที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นรออยู่เบื้องหน้าเสมอ
เว่ยป้อกดไหล่เฉินผิงอันอีกครั้ง “อย่าให้แขกรอนานเลย”
แล้วจึงผลักเบาๆ
ร่างของเฉินผิงอันหายวับไปจากภูเขาพีอวิ๋น
เว่ยป้อยืนอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง ภูเขาพีอวิ๋นสูงมาก ทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล ราวกับว่าสูงเท่าเทียมกับสวรรค์ชั้นฟ้า ทัดเทียมกับดวงจันทรา
ทอดสายตามองไป
ทัศนียภาพยิ่งใหญ่งดงาม
เงาจันทราบนผืนน้ำดุจคันฉ่องที่บินมาจากสวรรค์ ชั้นเมฆทับซ้อนกันสร้างภาพมายาตระการตา
—
ไม่เป็นกุมารแจกทรัพย์อีกแล้ว
เฉินผิงอันเซถลา เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็เหมือนเข้าไปอยู่ในดินแดนเซียนที่เต็มไปด้วยสีสันของแก้วกระจกหลากสี รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย พอเพ่งสายตามองให้ชัดๆ ก็เห็นว่าตัวเองมาอยู่ที่ตีนเขาลั่วพั่วแล้ว
สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันเคยชินมานานแล้ว ปีนั้นตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัวก็มักจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นประจำ
คือหนึ่งในการ ‘ลุยน้ำ’ น้ำที่ว่านี้ก็คือน้ำในแม่น้ำแห่งกาลเวลา
วิชาอภินิหารย่อพื้นที่ของผู้ฝึกตนเซียนดินหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ การงัดข้อกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาเช่นนี้ นับว่าเป็นวิชาที่เล็กที่สุดชนิดหนึ่ง
และวิชาอภินิหารย่อพื้นที่ในปัจจุบันนี้ ก็ว่ากันว่าด้อยกว่าการย้ายภูเขาข้ามมหาสมุทรของเทพและเซียนในยุคบรรพกาลมากนัก เคยมีบทความที่หลงเหลือมาจากยุคบรรพกาลกล่าวไว้ว่า ‘ย่อพื้นที่น้ำพุเหลืองปรากฏ ลอยสู่สวรรค์ชั้นฟ้า’ นั่นจะเป็นอิสระเสรีไร้พันธนาการถึงเพียงใด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดที่เอ่ยโดยไม่ตั้งใจของชุยตงซานในอดีต ส่วนสามขุนเขาที่ถูกเคลื่อนย้าย สี่สมุทรที่ถูกก้าวข้ามซึ่งชุยตงซานพูดถึงนั้น ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้คิดลึก ภายหลังเขาซื้อตำราเทพเซียนเล่มหนึ่งมาจากภูเขาห้อยหัวถึงได้ค้นพบว่าใต้หล้าไพศาลไม่มีคำกล่าวถึงสามขุนเขาสี่มหาสมุทรเลย ภายหลังตอนที่พบกับชุยตงซานอีกครั้งที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ขณะที่คนทั้งสองเล่นหมากล้อมด้วยกัน เฉินผิงอันเคยถามถึงเรื่องนี้ ชุยตงซานหัวเราะหึหึ กล่าวเพียงว่าเป็นเรื่องปีมะโว้แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุย
เฉินผิงอันเห็นชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งกำลังคาบหญ้าหางสุนัขไว้ในปาก
เจ้าหมอนั่นก็เห็นเฉินผิงอันแล้วเช่นกัน ชายฉกรรจ์จุ๊ปากพูด “ใช้ได้นี่นา ย้ายขุนเขาย่อพื้นที่ ทำไม รังเกียจที่เจ้าหัวทองผู้นั้นเกะกะลูกหูลูกตา ก็เลยมาเป็นท่านเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วเองเสียเลยอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เป็นวิชาอภินิหารของเว่ยป้อ ข้าไม่มีความสามารถนี้เสียหน่อย”
เฉินผิงอันพลันทิ้งร่างให้คลายตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ไปเดินเล่นกันไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ดูท่าแล้วน่าจะผอมลงสิบหรือยี่สิบจินเลยทีเดียว ส่วนสูงก็น่าจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่ตอนนี้ทำไหล่ห่องอตัว เลยเห็นไม่ชัดว่าสูงขึ้น
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจอย่างตกตะลึง “ดูท่าหลังออกมาจากนครมังกรเฒ่า ทักษะของสุยโย่วเปียนจะเพิ่มขึ้นแล้ว”
เฉินผิงอันมึนงง “หมายความว่าอย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “คนหนุ่มมักจะไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองเช่นนี้เสมอ พลังต้นกำเนิดของบางจุดในร่างเสียหาย เลือดลมย่อมไม่เพียงพอ ไขกระดูกก็แห้งขอด ปวดเอวจนนอนหงายไม่ได้ ข้าแน่ใจเลยว่าช่วงนี้เจ้าคงมีใจแต่ไร้กำลัง ฝึกหมัดไม่ได้เลยกระมัง? เดี๋ยวไปจับยาสมุนไพรดีๆ ที่ร้านของตาเฒ่ามาสักสองสามชุด บำรุงร่างกายให้ดี หากไม่ได้จริงๆ ก็ลองขอวิชาผสานลมปราณจากเว่ยป้อมาสักวิชาหนึ่ง วันหน้าค่อยกลับไปแก้ตัวกับเซียนกระบี่ใหญ่สุยใหม่ ไม่น่าอายหรอก บุรุษที่เพิ่งเป็นลูกนกหัดบินขาดประสบการณ์ มักจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสตรีเสมอ”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเจิ้งต้าเฟิง ด้วยนิสัยของเจิ้งต้าเฟิง เมื่อเขาเอ่ยคำหยอกเย้าประเภทนี้ ยิ่งไปคิดเล็กคิดน้อยด้วยมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจะฮึกเหิมมากเท่านั้น หากสุยโย่วเปียนอยู่ที่นี่ด้วย เจิ้งต้าเฟิงต้องโดนแทงหนึ่งกระบี่ไปแล้ว
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงคำกล่าวของอริยะใน ‘คัมภีร์ดั้งเดิม’ ของลัทธิเต๋าประโยคหนึ่ง จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มหามรรคาเงียบสงบว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้”
เจิ้งต้าเฟิงพ่นลมออกจากจมูก
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “อาจารย์ของเจ้ารับลูกศิษย์มาอีกสองคน ข้าเจอพวกเขาแล้ว สตรีผู้นั้นเหมือนเจ้ากับหลี่เอ้อร์ ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่เหตุใดดูเหมือนเด็กหนุ่มจากตรอกเถาเย่ผู้นั้นจะไม่ได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกยุทธ?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “ตาเฒ่าคิดอย่างไร ไม่มีใครรู้ได้ แม้แต่เรื่องที่ว่านอกจากหลี่เอ้อร์แล้ว ข้ายังมีศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงกระจัดกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ อีกมากน้อยแค่ไหน ข้าก็ยังไม่รู้เลย เจ้ากล้าถามหรือ? ตาเฒ่าไม่เคยชอบคุยเรื่องพวกนี้หรอก”
เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไรต่อ?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเหตุผล “นี่ไม่ใช่คำถามไร้สาระหรอกหรือ ก็ต้องเบิกตากว้างหาเมียน่ะสิ ตอนนี้ข้าแทบอยากจะถือโคมดวงใหญ่ไล่เก็บสตรีบนถนนกลับมาบ้านทุกค่ำคืน เจ้าคิดว่าเป็นชายโสดมันดีนักหรือ? ค่ำคืนยาวนาน นอกจากเสียงไก่ร้องเสียงหมาเห่าแล้ว ก็มีแค่เสียงผายลมเท่านั้น แล้วยังต้องอุดผ้าห่ม ตัดใจปล่อยให้มันลอยหนีไปไม่ลงด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นเจ้า จะไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันลูบใบหน้า ไม่เอ่ยคำใด
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มถาม “มีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าหน่อย”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าว่ามาสิ”
เจิ้งต้าเฟิงชี้ไปยังตีนภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ด้านหลัง “ข้าคิดจะกลับมาทำอาชีพเก่า เป็นคนเฝ้าประตู ขอน้ำขอข้าวจากเจ้ากิน ได้ไหม?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน “ไม่ได้ล้อเล่น?”
เจิ้งต้าเฟิงโมโหทันใด “ข้าผู้อาวุโสเร่งเดินทางมาตลอดทั้งคืนก็เพื่อมาพูดเล่นกับเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่วอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้สิ เดี๋ยวข้าจะบอกให้จูเหลี่ยนมาสร้างเรือนหลังหนึ่งไว้ที่ประตูภูเขา”
เจิ้งต้าเฟิงเหลือกตามองบน “บนภูเขาก็ต้องมีหลังหนึ่ง ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนคงพากันหัวเราะเยาะ ทำให้ข้าหาเมียไม่ได้กันพอดี”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้านแล้วขยับเข้าใกล้เจิ้งต้าเฟิง กระซิบกระซาบข้างหูเขา
เจิ้งต้าเฟิงฟังจบแล้วก็รีบเช็ดน้ำลาย หัวเราะคิกคักด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “แบบนี้ไม่ค่อยดีกระมัง? ถ้าคนอื่นรู้เข้าคงไม่ดีต่อชื่อเสียงสักเท่าไหร่? ข้ายังเป็นชายโสดที่ไม่มีเมียนะ อีกอย่างเจ้ามอบให้นังหนูชุดกระโปรงชมพูนั่นไปแล้ว จะไปทวงคืนมาจากเด็กหญิงคนหนึ่ง แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าพูดเองนะ วันหน้าอย่าเกิดนึกอยากได้ขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งไม่ดูแลประตูภูเขา เอาแต่วิ่งขึ้นไปเตร็ดเตร่อยู่บนภูเขาทั้งวันล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงดึงแขนของเฉินผิงอัน “ไม่นะ จะให้ข้าพูดจาเหนียมอายสักคำสองคำไม่ได้เลยหรือไง ข้าเป็นคนหน้าบางขนาดไหน ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย พวกเราท่องยุทธภพกันมานานขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังตาไม่มีแววอยู่เหมือนเดิม”
เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง “ช่างเถิด อย่าไปทวงยันต์หนังจิ้งจอกคืนจากเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเลย วันหน้าข้าค่อยหาคน ให้ช่วยหาคนซื้อจากนครลมเย็นมาให้เจ้าสักแผ่นก็แล้วกัน”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับอย่างแรง แล้วจู่ๆ ก็พลันใคร่ครวญความหมายบางอย่างได้ จึงถามหยั่งเชิง “เดี๋ยวนะ หมายความว่ายังไง เงินค่ายันต์ เจ้าจะไม่ออกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าต้องออกอยู่แล้ว ถือซะว่าเป็นเงินค่าจ้างเฝ้าประตูภูเขาของเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงร้อนใจขึ้นมาทันที
เฉินผิงอันเก็บสีหน้าหยอกเย้าไป “หากเจ้าต้องการหาสถานที่ที่เงียบสงบไว้พักพิงสักแห่งจริงๆ นอกจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว อันที่จริงยังมีภูเขาอีกหลายลูก ภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหลังอ๋าว แท่นบูชากระบี่ เจ้าเลือกได้ตามสบาย”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “เฝ้าประตูไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หากข้ารู้สึกว่าชีวิตนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ ก็ต้องหลบซ่อนตัว ไม่กล้าพบเจอใคร ไม่ไปไหนทั้งนั้น จะยังกลับมาที่เขตการปกครองหลงเฉวียนทำไม?”
เจิ้งต้าเฟิงตบไหล่ของเฉินผิงอันแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า เงยหน้ามองยอดเขาของภูเขาลั่วพั่ว “ที่นี่มีกลิ่นอายของคน ข้าชอบ เมืองเล็กในปีนั้น อันที่จริงก็มี เพียงแต่ว่าหลังเปลี่ยนจากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กมาเป็นพื้นที่มงคลแล้ว ไม่มีพันธนาการ ภูเขาแม่น้ำพันลี้สัมผัสพื้นดินแล้วหยั่งรากลึก ผู้คนสัญจรไปมา ปลาและมังกรปะปนกัน แค่มองดูแล้วครึกครื้นก็เท่านั้น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีกลิ่นอายของคนอยู่อีก”
เฉินผิงอันเดินทางกลับเขตการปกครองหลงเฉวียนครั้งนี้ ตอนที่ผ่านเมืองเล็กเขาก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาแค่คิดในใจ ไม่ได้พูดออกมาตามตรงอย่างเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ย “หากวันใดข้ารู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วก็เฮงซวยเช่นนั้นเหมือนกัน ข้าก็จะย้ายออก ถึงเวลานั้นอย่ามาโทษว่าข้าไม่บอกเจ้าก่อนล่ะ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นก็บอกข้าสักคำค่อยย้ายออกไปดีไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาพลันยื่นมือออกมาตบที่แผ่นหลังของเฉินผิงอัน “เลิกแสร้งทำเป็นหลังงอได้แล้ว ไม่เหนื่อยหรือไร ข้าเจิ้งต้าเฟิงกลายเป็นคนหลังค่อม แล้วอย่างไร? ข้าก็ยังหน้าตาหล่อเหลาอยู่ดี”
เฉินผิงอันพยายามเค้นรอยยิ้ม แต่ก็ยังยิ้มไม่ออก
คืนนั้นเจิ้งต้าเฟิงพักอยู่ในเรือนของจูเหลี่ยน คนบนเส้นทางเดียวกันสองคนนี้ แค่ทิ้งเหล้าไว้ให้พวกเขาสองกาและกับแกล้มสักสองสามจาน คาดว่าคงคุยกันได้ทั้งคืน
พอนึกถึงว่ามีจูเหลี่ยนอยู่ด้วย สำหรับการที่เจิ้งต้าเฟิงเป็นฝ่ายมาขอทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูให้ภูเขาลั่วพั่วแล้ว เฉินผิงอันก็สบายใจขึ้นได้หลายส่วน
คาดว่าถึงเวลานั้นจูเหลี่ยนคงลงไปที่ตีนเขาบ่อยๆ คนทั้งสองหากเริ่มได้ร่ำสุราและพูดคุยกันขึ้นมาแล้ว เกรงว่าเจิ้งต้าเฟิงคงคุยโวไปได้ถึงว่าตัวเองคือขุนพลเทพผู้พิทักษ์สี่ประตูของสวรรค์ชั้นฟ้าเลยกระมัง?
เฉินผิงอันกลับไปที่เรือนไม้ไผ่ ผู้เฒ่าแซ่ชุยยืนอยู่บนชั้นสอง กระตุกมุมปากแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง
เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว
แต่ก็ยังคงเดินขึ้นชั้นสอง
ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง เอ่ยสัพยอกว่า “ไม่ขอบคุณที่ข้าอุตส่าห์ส่งให้เจ้าได้ไปชื่นชมภาพคนงามใต้แสงจันทร์หน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับเขา ตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “คำพูดที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ข้าพูดออกจากปากไม่ได้จริงๆ”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เข้าใจได้ ไม่ตบไม่ตีแค่ไม่กี่ปี หนังคงคัน ความกล้าคงเพิ่มพูนขึ้นแล้ว”
เฉินผิงอันรู้ได้แล้วว่าท่าไม่ดี
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “ยังคิดจะหนีอีกรึ? ไม่กลัวว่าหนึ่งหมัดของข้าจะต่อยให้เจ้าพุ่งไปถึงภูเขาเสินซิ่ว แล้วค่อยให้หร่วนฉงใช้ค้อนตีเหล็กทุบเจ้ากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วหรือไร?”
เหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของเฉินผิงอัน
ผู้เฒ่าควักจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนส่งให้เฉินผิงอัน “ลูกศิษย์ของเจ้าทิ้งไว้ให้เจ้า”
เฉินผิงอันยื่นมือไปรับจดหมาย แล้วหมัดของผู้เฒ่าก็ตามมาติดๆ ต่อให้จิตของเฉินผิงอันจะสัมผัสได้แล้ว แต่กระนั้นก็ยังตั้งตัวไม่ทัน เสียงปังดังขึ้น ร่างของเขากระเด็นหวือออกไปกระแทกเข้ากับผนังเรือน
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “น่าประหลาดนัก ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าขั้นสูงสุดคนหนึ่งยังคล่องแคล่วว่องไวสู้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามในปีนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ? มิน่าเล่าถึงได้แต่กินฝุ่นอยู่หลังก้นคนอื่น”
เฉินผิงอันเก็บจดหมายฉบับนั้นไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ ปลดเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังลง ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก ร่างกายงองุ้ม มองดูเหมือนท่าหมัดหละหลวม ปณิธานหมัดถูกกักเก็บไว้ภายใน แต่แท้จริงแล้วกระดูกและเส้นเอ็นกลับพลันยืดขยาย เสียงข้อต่อกระดูกลั่นเหมือนเสียงประทัด เป็นเหตุให้อาภรณ์สีเขียวบนร่างสั่นสะเทือนตามไปด้วย ฝุ่นผงรอบกายก็ระเบิดปังแล้วปลิวคละคลุ้ง
หากจูเหลี่ยนอยู่ที่นี่ต้องตกใจมากอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็จะเริ่มพูดประจบด้วยประโยคว่า สีครามเกิดจากต้นคราม แต่เข้มกว่าคราม (เปรียบเปรยถึงลูกศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ คนรุ่นหลังที่เหนือกว่าคนรุ่นก่อน)
เพราะกระบวนท่าหมัดเพียงหนึ่งเดียวที่ตลอดหลายปีมานี้เฉินผิงอัน ‘ไม่ฝึกก็เหมือนฝึก’ ก็คือ ‘ท่าวานร’ ที่จูเหลี่ยนเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา แก่นแท้ของมันอยู่แค่คำว่า ‘ประตูสวรรค์เปิดอ้า สายฟ้าวสันตฤดูระเบิดเลือนลั่น’
แม้ว่าตอนนี้เฉินผิงอันจะยังฝึกได้ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์ แต่กลับทำได้เหมือนจูเหลี่ยนที่ผ่านการขัดเกลามาหลายสิบปีอย่างถึงที่สุดแล้ว
จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้ปณิธานหมัดท่าวานรที่ท่วมท้นไปทั้งร่างตั้งท่าหมัดปรับแก้มังกรใหญ่ที่เรียนรู้มาจากจ้งชิวราชครูแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว ทว่าท่าที่ใช้ออกหมัดกลับเป็นกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ “มา! แน่จริงก็ใช้แค่ขอบเขตห้ามาต่อยข้าให้ตาย!”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าลุกขึ้นยืนช้าๆ
เรือนไม้ไผ่สั่นสะเทือน ปราณวิญญาณเข้มข้นที่อยู่รอบด้านกลับถูกกระเทือนให้สลายไปไม่น้อย เงาร่างสีเขียวพุ่งวูบมาถึง ตีเข่ากระแทกเข้าที่ศีรษะของผู้เฒ่าที่ยังกำลังเงยหน้ายืดเอว
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาอย่างเรียบง่าย กดเข่าของเฉินผิงอันเอาไว้ จากนั้นก็ผลักออก สลัดเฉินผิงอันให้กระเด็นออกไป ผู้เฒ่ายังคงลุกขึ้นยืนช้าๆ ท่ามกลางขั้นตอนนี้ ความเร็วของเขาไม่เพิ่มขึ้นและไม่ลดลง เพียงแต่ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นด้วยความสงบนิ่ง
หลังจากถูกผลักออมาแล้ว เฉินผิงอันกลับไม่ได้มีสภาพอเนจอนาถสักเท่าไหร่ กลับกันยังใช้ปลายเท้าของเท้าสองข้างดีดเบาๆ บนผนังเรือนไม้ไผ่ พลิ้วกายลงบนพื้น ขมวดคิ้วถาม “ขอบเขตหก?”
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าดูแคลนเกินกว่าที่จะตอบคำถามไร้เดียงสานี้
เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะใช้ปณิธานหมัดท่าวานรประคับประคองดวงจิต แล้วใช้กระบวนท่าหมัดปรับแก้มังกรใหญ่ประคับประคองเรือนกาย สุดท้ายใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบเปิดทางเหมือนเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ข้าก็จะเป็นคนสอนเจ้าเอง”
เฉินผิงอันงอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย ชักเท้าข้างหนึ่งไปข้างหลัง มือสองข้างวาดวงโค้งอย่างคล่องแคล่วประดุจเมฆคล้อยน้ำไหล สุดท้ายเปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นหมัด ตั้งท่าประหลาดที่ผู้เฒ่าไม่เคยเห็นมาก่อน “ขอแค่เป็นขอบเขตห้า ข้าจะกลัวท่านหรือ?!”
ผู้เฒ่าร้องอ้อหนึ่งที
ปล่อยหนึ่งหมัดส่งออกไป
เฉินผิงอันกลับหมดสติคาที่ทันที สบถด่ามารดาอีกฝ่ายได้แค่ครึ่งประโยคเท่านั้น
เพราะเห็นได้ชัดว่าหมัดนี้ของผู้เฒ่าไม่ใช่ขอบเขตห้า อย่าว่าขอบเขตหกเลย มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นขอบเขตเจ็ดด้วยซ้ำ
ผู้เฒ่าเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โทษที ข้าเก็บหมัดไม่ทัน”
หาใช่ผู้เฒ่าจงใจแกล้งเฉินผิงอันไม่
แต่นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของเขา
ตลอดหลายปีที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ซึ่งเขียนอักขระยันต์ไว้จนเต็มหลังนี้ เขาได้ใช้ไฟแห่งบุ๋นบำรุงปณิธานหมัดที่เดิมทีก็แกร่งกล้าดุดันอย่างถึงที่สุดไว้ด้วยความอบอุ่น คืนนี้ยังมาถูกปณิธานหมัดของเจ้าลูกกระต่ายผู้นี้ชักนำ หมัดนั้นของผู้เฒ่าหากไม่ปล่อยออกไปเขาก็คงอัดอั้นมากเป็นแน่ ต่อให้พยายามข่มกลั้นไว้สุดกำลังแล้ว แต่ก็ยังยับยั้งไว้ได้แค่ที่ขอบเขตเจ็ดเท่านั้น
ผู้เฒ่าถอนหายใจในใจหนึ่งที เดินไปยังระเบียงนอกห้อง
แม้ว่าการที่จะกลับคืนสู่ชั้นสุดท้ายของขอบเขตสามชั้นในขอบเขตสิบจะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่หากจะพูดถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดที่เคยมองว่าต้องบรรลุไปให้ถึงนั้น กลับไม่ต้องวาดหวังแล้วจริงๆ
ตอนนั้นตนเผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิลู่เฉิน ได้สละโอกาสเสี้ยวสุดท้ายในการเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบเอ็ดไป เพื่อใช้สิ่งนี้แลกมาด้วยความสงบสุขปลอดภัยของคนหนุ่มสองคน แม้ว่าจะไม่เสียใจภายหลัง แต่จะไม่เสียดายเลยสักนิดได้อย่างไร?
ผู้เฒ่าหันหน้ากลับไปมองคนหนุ่มที่อยู่ในห้อง หลังจากถอนสายตากลับมาแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปเตะเฉินผิงอันหนึ่งที ปลุกให้เขาคืนสติ ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร ผู้เฒ่าก็เตะเข้าที่หน้าผากเขาอีกที เฉินผิงอันที่น่าสงสารหมดสติไปอีกรอบ ผู้เฒ่าพึมพำว่า “วันหน้าหากไม่มีปัญญาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบเอ็ดล่ะก็ คอยดูเถอะว่าข้าจะตีเจ้าให้ตายยังไง”
ผู้เฒ่ากลับมาที่ระเบียงอีกครั้ง รู้สึกอารมณ์ปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งร่าง ราวกับว่าได้กลับคืนไปยังช่วงเวลาที่ปีนั้นขังหลานชายไว้ในหอหนังสือขนาดเล็กแล้วยกบันไดหนีเขาอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งที่หลานชายศึกษาหาความรู้จนประสบความสำเร็จ ผู้เฒ่าก็จะปลาบปลื้มยินดียิ่งกว่าใคร เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยมันออกมาแม้แต่ครึ่งคำ คำพูดบางอย่างที่ออกมาจากใจจริง ยกตัวอย่างเช่นผิดหวังอย่างถึงขีดสุด หรือปิติยินดีอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะอย่างหลังนั้น ในฐานะผู้อาวุโสมักจะไม่มีทางหลุดปากพูดกับเด็กรุ่นหลังที่ถูกฝากความหวังไว้มากเด็ดขาด ก็เหมือนเหล้าเก่าแก่ไหหนึ่งที่ถูกวางไว้ในโลง คนแก่จากไปแล้ว เหล้าไหนั้นก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีก
ผู้เฒ่ารู้สึกอย่างไรกับเฉินผิงอัน?
ไม่แน่เสมอไปว่าเผยเฉียนจะล่วงรู้ เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็อาจจะไม่เข้าใจ มีเพียงจูเหลี่ยนเท่านั้นที่รู้
ดังนั้นจูเหลี่ยนถึงไม่มีความคิดที่จะขอให้ผู้เฒ่าสอนวิชาหมัดให้แก่ตน
ไข่มุกและหยกวางอยู่ตรงหน้า (เปรียบเปรยถึงมีผลงานที่โดดเด่นวางอยู่ตรงหน้าไว้ให้ทำการเปรียบเทียบ)
บนยอดเขาของกลุ่มภูเขา มีหนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่ม คนหนึ่งสอนหมัด คนหนึ่งเรียนหมัด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว