Skip to content

Sword of Coming 463

บทที่ 463 ถนนสายเล็กมีฝนอีกครั้ง

ความเคลื่อนไหวทางเรือนไม้ไผ่แห่งนี้รุนแรงเกินไป เผยเฉียนที่ตกใจสะดุ้งตื่นรีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พกเตาเจี้ยนฉว่อไว้ข้างเอว ในมือถือไม้เท้าเดินป่าแล้วพุ่งตัวออกจากประตู

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูช้ากว่านางไปครึ่งก้าว นางเองก็เปิดประตูห้องออกมา จึงทันได้เห็นแผ่นหลังที่วิ่งตะบึงออกไปนอกลานบ้านอย่างปราดเปรียวของเผยเฉียน เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็มองออกถึงความผิดปกติ จึงรีบพุ่งตัวตามเผยเฉียนไปติดๆ ผลกลับเห็นว่าเผยเฉียนหน้าตาบึ้งตึง ปราณสังหารเปี่ยมล้น วิ่งพลางพึมพำไปด้วย เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูพอจะรู้จักนิสัยของเผยเฉียนบ้างแล้วจึงรีบพูดโน้มน้าวว่า “อย่าวู่วามนะ ในอดีตเวลาที่นายท่านฝึกวิชาหมัดอยู่บนภูเขาก็เป็นแบบนี้มาตลอด”

ใช่ว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่สงสารนายท่านของตัวเอง แต่เพราะรู้หนักเบาและผลดีผลเสีย ไม่อยากให้เผยเฉียนต้องไปเสียเปรียบอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านผู้เฒ่าชุยก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อนายท่านจริงๆ

เผยเฉียนก้มหน้าก้มตาวิ่งห้อออกไป ในมือกำไม้เท้าเดินป่าแน่น พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าตะพาบเฒ่าจะก่อกบฏแล้วหรือไร ภูเขาลูกนี้เป็นของอาจารย์ข้า เรือนไม้ไผ่ก็ยิ่งเป็นของอาจารย์ข้า ตาแก่หน้าไม่อายไม่เพียงแต่ยึดครองชั้นสองของเรือน อาจารย์เพิ่งจะขึ้นเขาก็ถูกเขาต่อยให้สลบไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอลืมตามา ได้คุยกับพวกเราแค่ครู่เดียวเท่านั้นก็ต้องโดนหมัดเขาอีก ตอนนี้ก็เอาอีกแล้ว! อาจารย์กลับบ้านเกิดมาพักผ่อนเสพสุข ไม่ใช่มาให้ตาแก่รังแก!”

เผยเฉียนยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ ย้ำซ้ำไปซ้ำมาว่า “ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว…”

ถึงอย่างไรเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็เป็นภูตงูเหลือมที่เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางแล้ว นางพลิ้วกายไปยังข้างกายของเผยเฉียนอย่างแผ่วเบา พูดอย่างขลาดๆ ว่า “หากท่านผู้เฒ่าชุยคิดจะก่อกบฏจริงๆ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา พวกเราเอาชนะเขาไม่ได้”

เผยเฉียนหันหน้าไปถ่มน้ำลายทางหนึ่ง ไม่ได้ชะลอฝีเท้าลง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องต่อสู้ ข้าจะไปอธิบายเหตุผลกับเจ้าตะพาบเฒ่าเอง! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าใต้หล้าจะยังมีแขกที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้ เห็นว่าอาจารย์ข้าพูดง่ายก็เลยชอบรังแกกันนักใช่ไหม? ข้าเผยเฉียนไม่ใช่คนดีอะไร! ข้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ คือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของชุยตงซาน!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูถอยไปอยู่ด้านหลังเผยเฉียน ชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าในมือ และดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ตรงเอวนาง ทำท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป

บริเวณใกล้เคียงกับที่พักของเผยเฉียน เด็กชายชุดเขียวนั่งอยู่บนหลังคา กำลังอ้าปากหาว เสียงดังเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้ เทียบกับเมื่อปีนั้นที่เขาต้องคอยแบกเฉินผิงอันที่เลือดท่วมเต็มตัวลงจากเรือนครั้งแล้วครั้งเล่าแล้ว การ ‘ประมือ’ บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ในตอนนี้จึงเหมือนการอ่านบทกวีแห่งชายแดนแล้วมาเจอกับถ้อยคำละมุนละม่อมที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าถ่านดำอย่างเผยเฉียนผู้นี้ยังมีประสบการณ์ในยุทธภพตื้นเขินเกินไป

เจิ้งต้าเฟิงกำลังร่ำสุราชมจันทร์อยู่กับจูเหลี่ยนในลานบ้าน ไม่ได้พูดถึงเฉินผิงอัน พูดถึงแค่สตรี ไม่อย่างนั้นบุรุษสองคน ดึกดื่นค่อนคืนมาคุยถึงบุรุษอีกคนหนึ่ง คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่

จูเหลี่ยนพูดถึงสุยโย่วเปียนที่ไปท่องเที่ยวอยู่ในใบถงทวีป พูดถึงนักพรตหญิงหวงถิงของภูเขาไท่ผิง และที่ราชวงศ์ต้าเฉียนยังมีสตรีที่งดงามดุจปีศาจจิ้งจอกอย่างเหยาจิ้นจืออยู่อีกคนหนึ่ง พูดถึงจินซู่สาวใช้ข้างกายกุ้ยฮูหยิน และยังพูดถึงฟ่านจวิ้นเม่าที่เจ้าอารมณ์คนนั้น

ส่วนเจิ้งต้าเฟิงก็พูดถึงเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ทรยศออกจากสำนักโองการเทพ ซูเจี้ยเทพธิดาแห่งภูเขาตะวันเที่ยงที่โชคร้ายพลัดตกลงในโคลนตม เหนียงเนียงในวังของต้าหลีที่เรือนกายเล็กเตี้ย แต่กลับอวบอิ่มเปี่ยมเสน่ห์ ภายหลังก็พูดเรื่อยเปื่อยไปไกล เจิ้งต้าเฟิงยังพูดถึงตอนที่ตัวเองเป็นคนเฝ้าประตูใหญ่ของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต สตรีที่โดดเด่นซึ่งเกิดและเติบโตมาในเมืองเล็กก็มีสตรีสกุลกู้ของตรอกหนีผิง ห่างออกไปไกลกว่านั้นอีกหลายสิบปีก็ยังมีสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งในตรอกซิ่งฮวา ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนเพิ่งได้กลายเป็นแม่ย่าลำคลองของลำคลองหลงซวี หลังกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาแล้ว นางก็กลับคืนสู่ความเยาว์วัย มีรูปโฉมเหมือนตอนยังเป็นสาวอีกครั้ง หน้าตาของนางงดงามจริงๆ แต่กลับปากคอเราะร้าย เวลาทะเลาะกันขึ้นมาก็ร้ายกาจยิ่งกว่าพี่สะใภ้ของเขาเสียอีก

เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าแล้วจุ๊ปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม “จันทราในยามค่ำคืน สายลมโชยเย็นฉ่ำ ร่ำสุรากับสหายรู้ใจ พูดถึงสาวงาม ช่างเป็นชีวิตดุจเทพเซียนจริงๆ”

บนโต๊ะมีเครื่องกระเบื้องสีเขียวซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการดื่มสุราวางอยู่ชุดหนึ่ง ค่อนข้างจะเก่าแล้ว แค่มองก็รู้ว่าผลิตมาจากเตาเผามังกรแห่งหนึ่งของเมืองเล็ก แทบจะเรียกได้ว่างดงามสมบูรณ์แบบ ในฐานะเครื่องบรรณาการที่เชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีนำไปใช้ ตามกฎที่กำหนดเอาไว้ หากเป็นของชั้นรองที่มีตำหนิเล็กน้อยก็จะต้องถูกขุนนางที่ประจำอยู่ในที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาคัดเลือกออกมาอย่างเข้มงวด หลังจากทุบให้แตกแล้วก็โยนไปไว้ที่ภูเขาเครื่องกระเบื้อง เจิ้งต้าเฟิงชอบดื่มเหล้า อีกทั้งยังเป็นคนฉลาด จึงแอบนำภาชนะที่เดิมทีควรถูกตั้งวางอยู่ในวังหลวงต้าหลีออกมาบางส่วน นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา สำหรับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีความสำคัญพวกนี้ของเจิ้งต้าเฟิง คาดว่าปีนั้นหยางเหล่าโถวในร้านยาคงไม่คิดจะขยับเปลือกตาแลด้วยซ้ำ

จูเหลี่ยนกำลังยกกาเหล้าขึ้นรินลงในจอกเหล้าที่ว่างเปล่า แต่แล้วจู่ๆ กลับหยุดชะงัก วางกาเหล้าลง กลับยกจอกเหล้าขึ้นมาวางไว้ข้างหูแทน เขาเอียงศีรษะ เงี่ยหูตั้งใจฟัง หรี่ตาลง พูดเสียงเบา “ตระกูลชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวย บางครั้งจะฟังเสียงเครื่องกระเบื้องปริแตก ซึ่งมันไม่แพ้ให้กับเสียงเร่ขายดอกซิ่งตามตรอกซอกซอยของชาวบ้านร้านตลาดเลย”

จูเหลี่ยนฟังเสียงที่แผ่วเบาเสียงนั้นแล้วก็ใช้สองนิ้วคีบจอกเหล้า พึมพำด้วยรอยยิ้ม “ภาชนะเล็กรอยแตกใหญ่ คล้ายกับดรุณีน้อยบ้านป่าที่เพิ่งเข้าใจความรัก หอมกลิ่นกล้วยไม้กลิ่นต้นหญ้า ภาชนะใหญ่รอยแตกเล็ก ประดุจโฉมสะคราญงามล่มเมืองที่โบยแส้ควบม้าอย่างเสรี”

เจิ้งต้าเฟิงได้ฟังคำประพันธ์ที่ค่อนข้างจะเข็ดฟันประโยคนี้แล้ว กลับไม่รู้สึกพิกลแม้แต่น้อย หนำซ้ำเขายังมีความสุขชื่นมื่นร่วมไปกับจูเหลี่ยนด้วย

ตามหลักแล้ว พ่อครัวเฒ่าคนหนึ่ง กับคนเฝ้าประตูคนหนึ่งควรจะพูดถึงเรื่องหยุมหยิมยิบยิบย่อยในชีวิตประจำวันถึงจะถูก

แสงจันทร์กระจ่าง สายลมเย็นพัดโชย

คนทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน จิตใจเชื่อมโยงได้ถึงกัน

เรื่องราวงดงามในโลกมนุษย์ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “จูเหลี่ยน เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง ตลอดหลายปีที่อยู่ในยุทธภพของพื้นที่มงคลดอกบัว เคยชอบสตรีคนใดจากใจจริงหรือไม่?”

จูเหลี่ยนวางจอกเหล้าลงเบาๆ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ตอนที่ชอบสตรี จะไม่จริงใจได้หรือ จะกล้าไม่ตั้งใจได้หรือ เพียงแต่ว่าอยู่ในยุทธภพของบ้านเกิด ทุกเรื่องล้วนไม่เป็นดังใจปรารถนา ยามเยาว์ จิตใจสูงใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า มักจะรู้สึกว่าความรักระหว่างชายหญิง แม้จะงดงามอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังรังเกียจว่าเล็กน้อยเกินไป กลยุทธสร้างประโยชน์และแตกสามัคคี คุณูปการล้ำโลก กอบกู้สถานการณ์ ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ในอดีตพอเห็นถ้อยคำพวกนี้ในตำรา ก็เหมือนกับ…”

เจิ้งต้าเฟิงรับคำต่อ “เหมือนกับชายโสดอายุมากที่แอบมองภาพสาวงามอาบน้ำในป่าลึก แค่มองเลือดร้อนๆ ก็พุ่งขึ้นหัว”

จูเหลี่ยนรีบรินเหล้าให้พวกเขาทั้งสองคนจนเต็มจอก ลำพังแค่ประโยคนี้ก็ควรจะดื่มหมดจอกสักครั้ง

คนทั้งสองชนจอกเหล้ากันเบาๆ จูเหลี่ยนกระดกดื่มจนหมด แล้วเช็ดปากยิ้มกล่าวว่า “เสียงชนจอกเหล้าของสหาย น่าประทับใจยิ่งกว่าเสียงถอดอาภรณ์อาบน้ำของสตรีชนชั้นสูงเสียอีก”

เจิ้งต้าเฟิงถาม “เสียงสวรรค์เช่นนี้ เจ้าเคยได้ยินมาก่อนจริงๆ หรือ?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “เมฆหมอกลอยผ่านหน้า ล้วนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง “ยอดฝีมือ!”

เด็กชายชุดเขียวกลอกตามองบน คิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ผู้ฝึกยุทธสองคน เหตุใดขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน กลับไม่พูดคุยเรื่องการฝึกยุทธ แล้วก็ไม่กินเนื้อชิ้นโตดื่มสุราถ้วยใหญ่ ดันมาพูดคุยถึงเรื่องสตรีที่จะกินก็กินไม่ได้ แถมยังเผาผลาญเงินทองที่สุดเสียได้ ต่อให้สตรีจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่แล้วอย่างไรล่ะ? คนธรรมดา ต่อให้งดงามดุจบุปผาดุจหยก แต่บุปผาจะผลิบานได้นานเท่าใดกัน? คนแก่ไข่มุกเหลืองล่ะต้องใช้เวลากี่ปี? ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขา ต่อให้งดงามแค่ไหน แต่ความงามเอามากินแทนข้าวได้หรือ? เอามาซื้อสมบัติอาคมแทนเงินเทพเซียนได้หรือ? เด็กชายชุดเขียวรู้สึกว่ายุทธภพของสองคนนี้ช่างน่าเบื่อและดาษดื่นสามัญยิ่งนัก

ประเด็นสำคัญคือเจิ้งต้าเฟิงก็ดี จูเหลี่ยนก็ช่าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่โดดเด่นที่สุดในแจกันสมบัติทวีป หลงใหลในความงามของสตรีเช่นนี้ ทว่าข้างกายกลับไม่มีสาวงามเคียงกายสักคน

ยุทธภพในโลกมนุษย์ คำว่าปรมาจารย์ในยุทธภพ ต่อให้เป็นแค่ขอบเขตหกขอบเขตเจ็ด คิดจะแนบชิดกับสตรีสักคน ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกหรือ?

เด็กชายชุดเขียวทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองมือสอดรองใต้ท้ายทอยต่างหมอน

เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้

อีกทั้งยังเป็นเพื่อนที่แท้จริงอีกด้วย

ทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่ เผยเฉียนมาเจอกับผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง

ผู้เฒ่ายิ้มถาม “ทำไม จะมาทวงความเป็นธรรมแทนอาจารย์ของเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “ท่านผู้เฒ่า พวกเราต่างก็เป็นวีรบุรุษชายชาตรีที่อาศัยอยู่ในยุทธภพ ควรต้องมีคุณธรรมน้ำใจ รู้จักตอบแทนบุญคุณของผู้อื่น ถูกไหม?”

ผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไร

เขาหลุบตาลงมองเจ้าเด็กตัวดำเป็นถ่านที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอ่อนแห่งชะตาบู๊คนหนึ่ง แล้วก็ให้รู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดเจ้าเด็กในห้องผู้นั้นถึงตัดใจไม่ตั้งใจขัดกลึงหยกดิบชั้นเลิศของโลกก้อนนี้ได้ลงคอนะ เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่สายตานั้นนับว่าพอจะมีแววอยู่บ้าง เขาก็ไม่ควรจะมองพรสวรรค์และฐานกระดูกของเผยเฉียนไม่ออกถึงจะถูก เหตุใดแค่เจ้าลูกกระต่ายจอมขี้เกียจที่อยู่ด้านล่างผู้นี้ร้องว่าเจ็บปวดทนไม่ไหว ก็ไม่บังคับให้นางตั้งใจฝึกวรยุทธอย่างจริงๆ จังๆ เสียแล้ว วันๆ เอาแต่คิดว่าคืนหนึ่งจะฝึกวิชากระบี่ล้ำโลก อีกสองวันจะฝึกกระบวนท่าใต้หล้าไร้ศัตรูอะไรนั่นอยู่ได้

เพียงแต่นังหนูน้อยที่นับเฉินผิงอันเป็นอาจารย์ผู้นี้ภักดีต่อเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ถ้าอย่างนั้นผู้เฒ่าก็ไม่สะดวกจะสอดมือเข้าแทรก นี่ต่างหากจึงจะเป็นคุณธรรมในยุทธภพที่แท้จริง ต่อให้เจ้าถ่านดำน้อยจะเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ เป็นการย่ำยีทรัพยากรสวรรค์ ผู้เฒ่าก็ได้แต่รอให้เฉินผิงอันกลับภูเขาลั่วพั่วมาก่อนถึงพอจะพูดอะไรได้ ส่วนสุดท้ายแล้วเฉินผิงอันจะถ่ายทอดวรยุทธให้เผยเฉียนอย่างไร ก็ยังคงเป็นเรื่องในบ้านของพวกเขาสองอาจารย์กับศิษย์อยู่ดี

ผู้เฒ่าไม่เอ่ยคำใด

เผยเฉียนก็ยิ่งไม่เหลือความมั่นใจ หากให้สู้กัน นางย่อมเอาชนะไม่ได้แน่ เรียกพ่อครัวเฒ่ามาช่วยก็ไม่มีประโยชน์ ยังต้องโทษที่วิชากระบี่มารคลั่งของตนฝึกสำเร็จได้ยากเกินไป ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะปล่อยให้เจ้าตะพาบเฒ่าทำตัวกำเริบเสิบสานได้ถึงเพียงนี้ ป่านนี้คงซ้อมให้เขานอนหมอบราบคาบแก้ว ยอมรับผิดต่ออาจารย์ของตนไปนานแล้ว

เพียงแต่วันนี้เผยเฉียนใจกล้ามากเป็นพิเศษ นางไม่ยอมหันหลังกลับไปง่ายๆ

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูกระตุกชายแขนเสื้อของเผยเฉียน บอกเป็นนัยแก่นางว่าแค่พอสมควรก็พอแล้ว

เผยเฉียนปัดมือของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูทิ้งเบาๆ นางยืดอกเชิดคอ พูดเสียงดังว่า “ท่านผู้เฒ่า พวกเรามาเล่นหมากห้าเม็ดกัน ข้าจะเป็นคนตั้งกฎเอง ใครชนะก็ต้องฟังคนนั้น ท่านกล้าหรือไม่?!”

ผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่กล้า”

เผยเฉียนอึ้งตะลึงอยู่ที่เดิม

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยว่า “ต้องรอให้วันใดอาจารย์ของเจ้าถูกคนตีตายก่อนใช่หรือไม่ เจ้าถึงจะตั้งใจฝึกวรยุทธ? จากนั้นฝึกแค่ไม่กี่วันก็รู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาอีก ก็เลยถอดใจมันเสียเลย ทุกปีก็ได้แต่ขยันไปเยี่ยมหลุมศพของอาจารย์เจ้าให้มากหน่อย เหมือนอย่างที่เจ้าทำกับหลุมศพของพ่อแม่อาจารย์เจ้า แค่นี้เจ้าก็สบายใจได้แล้ว?”

เผยเฉียนน้ำตาคลอเบ้า เม้มปาก ยื่นมือมากำด้ามดาบที่ห้อยไว้ตรงเอวแน่น

และเวลานี้เอง เงาร่างชุดเขียวก็เดินโงนเงนออกมาจากในห้อง เอนตัวพิงราวระเบียง โบกมือพูดกับเผยเฉียนว่า “กลับไปนอนเถอะ อย่าไปฟังเขา อาจารย์ยังไม่ตายหรอก”

เผยเฉียนน้ำตาคลอเจียนจะหยด “แล้วถ้าท่านตายล่ะ?”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นมาบนเรือน อาจารย์จะให้เขาช่วยจับเส้นเอ็นคลายกระดูกให้เจ้า เหมือนกับที่ตอนนั้นสุยโย่วเปียนทำให้เจ้าที่นครมังกรเฒ่า เอาไหมล่ะ? ข้าจะนับถึงสาม หากยังไม่กลับไปนอนจะจับเจ้าขึ้นมา คิดจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว วันหน้าอาจารย์ก็จะไม่สนใจเจ้าแล้ว ทุกเรื่องปล่อยให้ท่านผู้อาวุโสเป็นคนจัดการ”

เฉินผิงอันเพิ่งจะนับถึงสาม

เผยเฉียนก็เผ่นแผล็วไปแล้ว นางวิ่งพลางตะโกนไปด้วย “ไม่มีคำว่าถ้า ไหนเลยจะมีคำว่าถ้า อาจารย์ร้ายกาจจะตายไป”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “ก็ไม่เห็นจะมีมโนธรรมสักเท่าไหร่”

เฉินผิงอันไออยู่สองสามที มองแผ่นหลังของเด็กหญิงที่ห่างไปไกลด้วยสายตาอ่อนโยน ยิ้มกล่าวว่า “เด็กตัวแค่นี้ ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว หากยังคาดหวังมากกว่านี้ คงเป็นพวกเราที่ไม่ถูก”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หากเปลี่ยนเป็นลูกศิษย์ธรรมดาทั่วไป ช้าหน่อยก็คือช้าหน่อย แต่เผยเฉียนไม่เหมือนกัน ต้นกล้าที่ดีขนาดนี้ ยิ่งเจอกับความลำบากเร็วเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ดิบได้ดีมากเท่านั้น อายุสิบสามสิบสี่ก็ไม่ถือว่าเด็กแล้ว หากข้าจำไม่ผิด ตอนที่เจ้าอายุเท่านี้ก็เริ่มหยิบตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้นมาฝึกวิชาหมัดแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็คือข้าที่เป็นอาจารย์ของเผยเฉียน คำพูดของท่านไม่เป็นผลหรอก”

ผู้เฒ่าเหล่ตามอง “ทำไม คิดจะเลี้ยงเผยเฉียนเป็นลูกสาวจริงๆ รึ? เจ้าต้องคิดดูให้ดีล่ะ ภูเขาลั่วพั่วต้องการคุณหนูสูงศักดิ์ที่ทำตัวไร้ขื่อไร้แป หรือต้องการตัวอ่อนชะตาบู๊ที่กระดูกแข็งทนทานกันแน่”

เฉินผิงอันวางสองมือไว้บนราวระเบียง “ข้าไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ ข้าแค่คิดว่าในช่วงอายุเท่านี้ของเผยเฉียน นางก็ต้องทำเรื่องมากมายที่ตัวเองไม่ชอบแล้ว คัดหนังสือเอย เดินนิ่งเอย ฝึกดาบฝึกกระบี่ แค่นี้ก็ยุ่งมากพอแล้ว อีกอย่างนางก็ไม่ได้เอาแต่เล่นไปวันๆ จริงๆ เสียหน่อย ถ้าอย่างนั้นก็ควรต้องได้ทำเรื่องที่นางชอบทำบ้าง”

ผู้เฒ่าถาม “ดวงตาคู่นั้นของนังหนูน้อย เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “นับตั้งแต่ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็เป็นเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่าตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าจะทำอะไรบางอย่างกับในดวงตาของนาง แต่ว่าน่าจะเป็นเรื่องดี”

ผู้เฒ่าเองก็ไม่ใช่คนมีนิสัยอืดอาด หลังจากถามเรื่องนี้แล้วก็ไม่สนว่าจะได้คำตอบที่พึงพอใจหรือไม่ เขาเปลี่ยนหัวข้อถามเรื่องใหม่ทันที “เดินทางไปภูเขาพีอวิ๋นครั้งนี้ หลังจากพูดคุยกันแล้ว ก็ติดนิสัยมืออ่อน มอบของขวัญอะไรให้เว่ยป้ออีกใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็ตอบไปเบาๆ โดยไม่ได้ปิดบัง “คือเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสชิ้นหนึ่งของตู้เม่าที่บินทะยานล้มเหลวแล้วร่วงลงสู่โลกมนุษย์”

ผู้เฒ่าเป็นคนที่เห็นโลกกว้างมาก่อน จึงถามตามตรงว่า “ใหญ่แค่ไหน”

เฉินผิงอันตอบ “ใหญ่เท่ากำปั้นเด็ก”

เดิมทีเฉินผิงอันนึกว่าผู้เฒ่าจะด่าว่าเขาเป็นคนล้างผลาญ คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะพยักหน้ารับ เอ่ยว่า “ไม่อาจติดค้างน้ำใจเว่ยป้อได้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นในอนาคตสภาพจิตใจของทุกคนบนภูเขาลั่วพั่วจะต้องเดือดร้อนไปกับเจ้าด้วย ต้องพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาคนอื่นตลอดชีวิต ไม่อาจเงยหน้าแหงนมองภูเขาพีอวิ๋นได้อีก”

ผู้เฒ่าถามอีก “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงปล่อยสองหมัดต่อยให้เจ้าไปตกในลำธารต่อหน้าหร่วนซิ่ว?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ผู้เฒ่ากล่าว “ปีนั้นหร่วนซิ่วติดตามหน่วยจานกานของต้าหลีไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้าคงรู้ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เกือบจะได้เจอกันแล้ว”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านางสังหารเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้าหลีต้องการได้ตัวไป? แม้แต่ตัวหร่วนซิ่วเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดนัก เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นตัวเลือกลูกศิษย์ที่อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้งหมายตา ตอนนั้นบนภูเขาพุดตาน สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว เซียนดินโอสถทองที่หลอกเอาตัวเด็กหนุ่มมาตายไปแล้ว ศาลบรรพจารย์ของภูเขาพุดตานถูกรื้อถอน ผู้ฝึกตนอิสระล้วนตายคาที่กันไปหมด ทว่าหน่วยจานกานต้าหลีกลับไม่มีความเสียหายใดๆ เจ้าลองคิดดูสิว่าเหตุใดพวกเขาถึงไม่ได้พาตัวเด็กหนุ่มจากแถบทิศเหนือของต้าหลีซึ่งเดิมทีเส้นทางอนาคตควรปูด้วยผ้าแพรผู้นั้นกลับมาด้วย?”

ถนนสายเล็กมีฝนอีกครั้ง

เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องวงในเหล่านี้จริงๆ เขาจึงจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด

ผู้เฒ่าเปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่าง “เด็กหนุ่มที่ซ่งจ่างจิ้งหมายตา แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ การที่หน่วยจานกานต้าหลีตามหาคนผู้นี้พบ ก็เป็นเพราะในอดีตตอนที่คนผู้นี้ฝ่าทะลุขอบเขต เขายังเป็นสามขอบเขตล่างของวิถีวรยุทธ แต่กลับสามารถชักนำภาพปรากฎการณ์ประหลาดให้เกิดขึ้นในศาลบู๊หลายแห่ง และแต่ไหนแต่ไรมาต้าหลีก็ใช้ฝ่ายบู๊ในการสร้างรากฐานของแคว้นมาโดยตลอด ความขึ้นลงของโชคชะตาบู๊นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมสำคัญในสำคัญ แม้จะบอกว่าท้ายที่สุดแล้วหร่วนซิ่วช่วยหน่วยจานกานตามหาคนอีกสามคนมาชดเชย แต่แท้จริงแล้วนี่ก็ทำให้นางติดหนี้ในบัญชีของซ่งจ่างจิ้งไว้ไม่มากก็น้อย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือ?”

ผู้เฒ่าเกือบจะปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง นึกอยากจะต่อยให้เจ้าหมอนี่สมองเปิดโล่งเสียที

จิตของเฉินผิงอันสัมผัสได้จึงขยับเดินห่างไปหลายก้าวด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราหมัดเขย่าขุนเขาแบบย้อนกลับที่เป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุด

ผู้เฒ่าพอจะคลายโทสะได้บ้างแล้ว ถึงไม่ได้ลงมือต่อ แต่เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าจะแค่ช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุด ไม่ช่วงชิงโชคชะตาบู๊ แต่หร่วนซิ่วจะคิดแบบนี้หรือ? สตรีโง่ๆ ใต้หล้าแห่งนี้ต่างก็หวังให้บุรุษข้างกายที่ตนสนิทสนมได้ผลประโยชน์มามากที่สุดไม่ใช่หรือไร ในสายตาของหร่วนซิ่ว ในเมื่อมีคนวัยเดียวกันกระโดดออกมาช่วงชิงชะตาบู๊กับเจ้า นั่นก็คือการช่วงชิงบนมหามรรคา นางจะทำอย่างไร แน่นอนว่าฆ่าให้ตายย่อมหมดเรื่อง ตัดรากถอนโคน กำจัดภัยร้ายที่อาจจะตามมาเบื้องหลังไปได้ตลอดกาล”

สีหน้าของเฉินผิงอันหม่นหมอง

ผู้เฒ่าเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งถูราวระเบียง “ข้าไม่คิดจะแยกคู่ยวนยางส่งเดช เพียงแต่ในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนซึ่งอายุปูนนี้แล้ว ก็หวังว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องหนึ่ง ปฏิเสธแม่นางคนหนึ่ง เจ้าก็ควรต้องรู้ว่านางทำเรื่องอะไรไปเพื่อเจ้าแล้วบ้าง เมื่อรู้แล้ว หากถึงเวลานั้นเจ้ายังคงปฏิเสธ แล้วอธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจน นั่นก็จะไม่ใช่ความผิดของเจ้าอีกต่อไป แต่กลับกลายมาเป็นความสามารถของเจ้า และเป็นสตรีอีกคนที่สายตาดีมากพอ แต่หากเจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่แค่ต้องการให้ตัวเองถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายเท่านั้น มองดูเหมือนจิตใจแข็งแกร่งปานหินผา แต่แท้จริงแล้วกลับโง่เง่านัก”

ผู้เฒ่าหันหน้ามาถาม “หลักการเล็กน้อยแค่นี้ ฟังเข้าใจหรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจ”

ผู้เฒ่าถามอีก “ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “ไม่รู้”

ผู้เฒ่าเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

เฉินผิงอันเห็นท่าไม่ดี ร่างก็พลันพลิ้วทะยานขึ้น ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันราวระเบียงแล้วพุ่งตัวออกไปนอกเรือนไม้ไผ่

แต่ไม่ได้พุ่งไปเป็นแนวเส้นตรง เขาพลันพาตัวดิ่งลงเบื้องล่างจนเท้าสัมผัสพื้น ขณะเดียวกันก็ใช้ยันต์ต่อพื้นที่แผ่นหนึ่งโดยไม่เสียดาย พร้อมกับตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ให้ชูอีกับสืออู่คอยคุ้มกันอยู่ด้านหลัง จากนั้นบังคับให้เจี้ยนเซียนพุ่งนำไปก่อน ส่วนตัวเองกระทืบพื้นหนักๆ ร่างเหมือนม้าควบเต็มฝีเท้าที่เหยียบขึ้นไปบนเจี้ยนเซียน ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่บังคับกระบี่ขึ้นไปบนทะเลเมฆที่การมองเห็นเปิดกว้างอีกเด็ดขาด แต่แนบติดไปกับพื้น อ้อมไปอ้อมมาอยู่ระหว่างป่าเขา เผ่นหนีไปด้วยความเร็วสุดขีด

ทำทุกอย่างนี้เสร็จในรวดเดียว

เห็นได้ชัดว่าวางแผนเส้นทางหนีไว้คร่าวๆ ในใจมานานแล้ว

ผู้เฒ่าบนชั้นสองกลับไม่ได้ออกหมัดไล่โจมตีต่อ เขากล่าวว่า “หากในเรื่องของความรักชายหญิง มีความสามารถได้ครึ่งหนึ่งเหมือนตอนที่เผ่นหนี ป่านนี้เจ้าคงสามารถทำให้หร่วนฉงเลี้ยงเหล้าเจ้า หัวเราะเบิกบานเรียกเจ้าว่าลูกเขยคนดีได้นานแล้วกระมัง”

……

ท่ามกลางม่านราตรี ปลายยามอิ๋น (ช่วง 03.00-05.00)

ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดของยอดเขาที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วเพียงลำพัง

จูเหลี่ยนที่กลิ่นเหล้าโชยคลุ้งออกมาจากร่างเดินขึ้นบันไดมานั่งลงบนขั้นบันไดข้างเท้าของเฉินผิงอัน แล้วหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “นายน้อย มีบ้านแต่กลับไม่ได้ ช่างน่าเวทนาจริงๆ”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้ารนหาที่เอง จะโทษคนอื่นไม่ได้”

จูเหลี่ยนเอ่ยถาม “ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว หากนายน้อยไม่ง่วง ไม่สู้พวกเราไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนใหม่ด้วยกันดีไหม? ไปรับเด็กสาวต่างถิ่นที่ตอนนี้ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วครึ่งตัวมา บอกตามตรง เกียรติยศนี้ของบ่าวเฒ่า ต้องพูดจนปากแทบเปื่อย ถึงจะทำให้พวกเขาเชื่อได้ว่าตัวเองคือคนของภูเขาลั่วพั่ว พูดแล้วต้องทำได้จริง แต่คนครอบครัวนั้นก็ยื่นของเสนอมาแล้วว่า หวังจะให้คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจบนภูเขาลั่วพั่วปรากฏตัวสักครั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้เด็กสาวคนนั้นออกจากบ้านมาขึ้นเขาทั้งอย่างนี้ ดังนั้นนายน้อยคงต้องลงมือเองแล้วล่ะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ เดี๋ยวจะต้องผ่านภูเขาเฟิงเหลียงที่อยู่ทางทิศเหนือพอดี พวกเราไปดูร้านเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งกันก่อน แล้วค่อยไปรับคนที่ตระกูลนั้น”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยังผ่านภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ด้วยนะ”

เฉินผิงอันยกเท้าเตะจูเหลี่ยนเบาๆ จูเหลี่ยนไม่หลบ ปล่อยให้เท้าของอีกฝ่ายเตะมาโดนแล้วร้องโอ้ย “เอวแก่ๆ ของข้า”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เป่าปากหนึ่งครั้ง เสียงทอดยาวไปไกล

ฉวีหวงที่ไม่ได้ถูกพันธนาการวิ่งมาถึงด้วยความรวดเร็ว

เฉินผิงอันไม่ได้พลิกตัวขึ้นหลังม้า เพียงแค่จูงม้าเดินลงภูเขาไปช้าๆ

เขาเคยชินที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปสี่ทิศ ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันกับฉวีหวงแล้วก็เท่านั้น

เฉินผิงอันถาม “เจิ้งต้าเฟิงหลับแล้วหรือ?”

จูเหลี่ยนถูมือยิ้มกล่าว “ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก คาดว่าตอนนี้พี่ใหญ่เจิ้งน่าจะยังนอนอ่านหนังสือเทพเซียนที่ข้าให้ยืมอยู่ในโปงผ้าห่มกระมัง”

เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน รู้สึกเสียใจภายหลังที่ถามคำถามนี้

จากนั้นก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เด็กสาวในเขตการปกครองคนนั้นมีชื่อแซ่ว่าอะไร?”

จูเหลี่ยนตอบ “เฉินยวนจี”

เฉินผิงอันกล่าว “เป็นชื่อที่ประหลาดนัก”

จูเหลี่ยนพูดต่อว่า “เด็กสาวอายุแค่สิบสามสิบสี่ แต่เรือนกายสูงโปร่ง สูงกว่าบ่าวเฒ่าไม่น้อย มองดูเหมือนเพรียวบาง แต่แท้จริงแล้วหากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่ารูปร่างกำลังดี เหมาะแก่การเป็นชั้นวางอาภรณ์แต่กำเนิด โดยเฉพาะขาสองข้างที่ยาว…”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าเลือกลูกศิษย์ให้ภูเขาลั่วพั่วหรือเลือกภรรยาให้ตัวเองกันแน่?”

จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “บ่าวเฒ่ามีใจเป็นโจร แต่น่าเสียดายที่ไร้กำลัง”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองจูเหลี่ยน “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ประโยคนี้ตัวเจ้าเองฟังแล้วเชื่อด้วยหรือ?”

จูเหลี่ยนรีบเปลี่ยนคำพูด “ถ้าอย่างนั้นก็อายุมากแต่เปี่ยมพลังวังชา มีแรงสังหารโจร แต่ช่วยไม่ได้ที่ดำรงตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงไม่มีใจจะสังหารโจร?”

เฉินผิงอันกล่าว “วันหน้าเมื่อนางมาอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เจ้ากับเจิ้งต้าเฟิงอย่าทำให้นางตกใจล่ะ”

จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “นายน้อยดูถูกข้ากับพี่ใหญ่เจิ้งเกินไปหน่อยแล้ว พวกเราต่างหากถึงจะเป็นบุรุษชั้นเยี่ยมของโลกใบนี้”

เฉินผิงอันหยุดเดิน มอบวัตถุจื่อชื่อให้กับจูเหลี่ยน “ข้าจะไปรับคนที่เขตการปกครองเอง ข้าจำสถานที่ได้แล้ว เจ้าเอาวัตถุจื่อชื่อชิ้นนี้มอบให้เจิ้งต้าเฟิง เขารู้วิธีเปิดมัน เดิมทีก็เป็นเขาที่มอบให้ข้า ข้ายังไม่ทันใดหล่อหลอมมันใหม่ เหล้าและแผ่นภาพตัวอักษรฉ่าวซูส่วนหนึ่ง รวมไปถึงของเล่นโบราณชิ้นเล็กๆ มากมายที่อยู่ในนี้ แต่ละชิ้นควรเอาไปเก็บ ไปฝังไว้ที่ไหน เจ้าจูเหลี่ยนเชี่ยวชาญดี ช่วยกันวางแผนการเจิ้งต้าเฟิงดูสักหน่อย ข้าเชื่อในสายตาของพวกเจ้า”

จูเหลี่ยนรับแผ่นหยกสีขาวบริสุทธิ์ที่เป็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นมา ได้แต่หมุนตัวเดินกลับขึ้นเขาไปอีกครั้ง แต่ยังไม่ลืมเตือนด้วยความหวังดีว่า “ไปรับเฉินยวนจีมาแล้ว นายน้อยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเดินทางกลับ ค่อยๆ ชื่นชมทัศนียภาพขุนเขาสายน้ำไป อย่าได้พลาดธรรมชาติอันงดงามที่อยู่ข้างกายเสียล่ะ เพียงแค่ต้อง…ระวังสักหน่อย อย่าให้ช่างหร่วนเข้าใจนายน้อยผิด”

เฉินผิงอันกำลังจะบอกให้จูเหลี่ยนรั้งอยู่ข้างกาย ไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยกัน ผู้เฒ่าหลังค่อมกลับกลายร่างเป็นควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่หายวับไปในชั่วพริบตา

เฉินผิงอันจูงม้าเดินลงจากภูเขาด้วยความเป็นกังวล

จากนั้นหนึ่งคนหนึ่งม้าก็ขึ้นเขาลงห้วย เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับการนอนกลางดินกินกลางทราย ขึ้นเขาลงน้ำกับผู้เฒ่าเหยาในอดีตแล้ว นับว่าราบรื่นกว่ามาก เว้นเสียแต่ว่าเฉินผิงอันจงใจอยากจะนั่งตัวคลอนอยู่บนหลังม้า เลือกทางเล็กที่แคบชันไร้เจ้าของบนภูเขาบางแห่งแล้วล่ะก็ ที่เหลือล้วนเป็นเส้นทางที่ราบเรียบ ทัศนียภาพของทั้งสองอย่างต่างก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ภาพที่ปรากฏสู่สายตาดีหรือเลวก็บอกได้ยากแล้ว

ยามสนธยาของวันหนึ่ง เฉินผิงอันจูงม้ามาถึงกึ่งกลางภูเขาเฟิงเหลียง ตามหาร้านเกี๊ยวน้ำร้านนั้น ก็ได้พบกับต่งสุ่ยจิ่งที่เรือนกายยิ่งสูงใหญ่ขึ้นทุกที

ใบหน้าของต่งสุ่ยจิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วก็ไม่ได้ทักทายปราศรัยอย่างกระตือรือร้นอะไรมากนัก เพียงแค่บอกว่ารอเดี๋ยว จากนั้นเขาก็เข้าครัวไปทำเกี๊ยวน้ำชามใหญ่ด้วยตัวเอง ยกมาวางบนโต๊ะ นั่งลงด้านข้าง มองเฉินผิงอันที่ละเลียดเคี้ยวอย่างละเอียด

เฉินผิงอันพูดปลงอนิจจังด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้หวังเพียงว่ารสชาติของเกี๊ยวน้ำนี้อย่าได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่อย่างนั้นผืนนาไม่มีคนทำนา ใบหน้าที่คุ้นเคยในเมืองเล็กก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพื่อนบ้านแปลกหน้าเพิ่มมากขึ้นทุกที ทุกที่มีแต่หอเรือนสูงผุดเรียงราย ทั้งดีแล้วก็ไม่ดีไปในเวลาเดียวกัน”

ต่งสุ่ยจิ่งเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด

นอกจากอาจารย์ฉีแล้ว หลี่เอ้อร์และคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ก็คือคนจำนวนนิดที่ในอดีตเคย ‘เห็นดี’ ในตัวเขาต่งสุ่ยจิ่งอย่างแท้จริง

จุดที่ล้ำค่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุดยังอยู่ที่ว่า ตอนนั้นเฉินผิงอันเดินทางไกลเคียงข้างหลินโส่วอี ต่งสุ่ยจิ่งเลือกที่จะทิ้งโอกาสในการไปศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย ตามหลักแล้วเฉินผิงอันควรสนิทกับหลินโส่วอีมากกว่า แต่พอมาอยู่กับเขาต่งสุ่ยจิ่ง เวลาพูดคุยกันกลับยังคงเป็นสองคำนั้น จริงใจ ทั้งไม่จงใจผูกไมตรีกระชับความสัมพันธ์ จงใจทำตัวกระตือรือร้นสนิทสนมกับตน แล้วก็ไม่เคยทำตัวห่างเหิน ดูแคลนที่ทั้งร่างของเขาต่งสุ่ยจิ่งเหม็นกลิ่นสาบเหรียญทองแดง

ต่งสุ่ยจิ่งย่อมเห็นค่าและทะนุถนอมมันเอาไว้

เฉินผิงอันยังคงทำเหมือนคราวก่อนที่กลับบ้านเกิดแล้วได้พบกับต่งสุ่ยจิ่งอีกครั้ง เขาเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงสถานการณ์ล่าสุดของกลุ่มคนที่ไปเรียนต่อสำนักศึกษาซานหยา แล้วก็เล่าถึงเรื่องราวน่าสนใจของตนเองยามเดินทางไปต่างทวีป

ต่งสุ่ยจิ่งเองก็เล่าเรื่องที่ตัวเองอยู่ในภูเขาเฟิงเหลียงและเขตการปกครองหลงเฉวียน จากลากันไปนาน ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง สหายเก่าและเรื่องราวเก่าๆ ของทั้งสองฝ่าย ล้วนอยู่ในชามเกี๊ยวน้ำใบหนึ่ง

ได้ยินเฉินผิงอันบอกว่าจะไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน รู้ว่าเฉินผิงอันเพิ่งเคยไปที่นั่นเป็นครั้งแรก ต่งสุ่ยจิ่งจึงคิดว่าจะปิดร้านให้เร็วหน่อย เพียงแต่คิดว่าอาจมีผู้มีจิตศรัทธาลงจากภูเขามาตอนกลางคืน ถึงได้มอบกุญแจร้านไว้ให้กับลูกจ้าง แล้วถึงได้ออกจากภูเขาเฟิงเหลียงไปพร้อมกับเฉินผิงอัน มุ่งหน้าตรงไปยังเขตการปกครองที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่นั่นแสงไฟสว่างไสวราวกับกลางวัน มองไปไกลๆ ก็เห็นเป็นภาพบรรยากาศของความรุ่งเรืองที่เสียงเพลงบรรเลงในยามค่ำคืนแว่วดัง

ต่งสุ่ยจิ่งถามถึงเรื่องการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ถามถึงสถานการณ์ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

เฉินผิงอันเล่าให้เขาฟังไปทีละอย่าง

ต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยเบาๆ ว่า “หลังจากกลียุค โอกาสในการทำการค้าย่อมมีซุกซ่อนอยู่ น่าเสียดายที่เงินทุนข้าน้อยเกินไป ในกองทัพต้าหลีเองก็ไม่มีคนรู้จัก ไม่อย่างนั้นข้าก็อยากจะลองไปที่ทางใต้ดูสักครั้ง”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้ารู้จักสหายคนหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยน เขาชื่อกวนอี้หราน ตอนนี้มีสถานะเป็นแม่ทัพแล้ว คือลูกหลานชนชั้นสูงที่นิสัยไม่เลวเลยทีเดียว วันหน้าข้าจะเขียนจดหมายสักฉบับ แนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จักกัน น่าจะถูกคอกันดี”

ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ได้สิ หากทำการค้าได้สำเร็จจริงๆ ข้าก็จะแบ่งกำไรให้เจ้าส่วนหนึ่ง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”

ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกล่าว “ยังกลัวว่าเจ้าจะปฏิเสธเสียอีก”

เฉินผิงอันเองก็คลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าจะยังเป็นสหายกับเจ้าอีกได้อย่างไร?”

ต่งสุ่ยจิ่งลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “หากเป็นไปได้ ข้าอยากเป็นหุ้นส่วนกับท่าเรือตระกูลเซียนที่ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวทิ้งเอาไว้ จะแบ่งส่วนแบ่งกันอย่างไร เจ้าตัดสินใจได้เลย เจ้าสามารถกดราคาได้เต็มที่ สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่เงินเทพเซียน แต่เป็น…ข่าวคราว…ซึ่งมากับตัวผู้โดยสารที่เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เฉินผิงอัน ข้าสามารถรับรองได้ว่า ข้าจะพยายามจัดการดูแลท่าเรือให้ดีที่สุด ไม่กล้าเพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องมาคอยกังวล ซึ่งในเรื่องนี้มีเงื่อนไขอย่างหนึ่งว่า หากเจ้ามีการประมาณการณ์ของรายรับท่าเรือไว้ก่อน ก็สามารถบอกมาได้ หากข้าสามารถช่วยให้เจ้าได้กำไรมากกว่าที่เจ้าคาดไว้ ข้าถึงจะยอมรับส่วนแบ่งตรงนี้ แต่หากข้าทำไม่ได้ ข้าจะไม่พูดถึงสักคำ แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”

เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองไปปรึกษากับคนอื่นดูก่อน แล้วจะมาบอกราคาแก่เจ้า ในเมื่อเป็นการทำการค้า ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแน่นอน”

ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่นี้เจ้าก็เกรงใจข้ามากแล้ว”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นส่งเหล้ากาหนึ่งที่เหลืออยู่ไม่มากในวัตถุฟางชุ่นให้แก่ต่งสุ่ยจิ่ง ส่วนตัวเองปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ต่างคนต่างดื่มเหล้า เฉินผิงอันเอ่ยว่า “อันที่จริงปีนั้นเจ้าไม่ได้ไปสำนักศึกษาซานหยาด้วยกัน ข้ารู้สึกเสียดายมาก ด้วยมักจะคิดว่าพวกเราสองคนเหมือนกันมากที่สุด ต่างก็มีชาติกำเนิดยากจน ปีนั้นข้าไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ ดังนั้นพอเจ้าเลือกอยู่ต่อในเมืองเล็ก ข้าก็รู้สึกโกรธนิดๆ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอย่างมาก อีกทั้งเมื่อย้อนกลับมามองดู ข้าก็ค้นพบว่าอันที่จริงเจ้าทำได้ดีมากแล้ว ดังนั้นข้าถึงได้มีโอกาสมาพูดความในใจพวกนี้กับเจ้า ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเก็บกลั้นไว้ในใจไปตลอด”

ต่งสุ่ยจิ่งดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ข้ารู้ความสามารถของตัวเองดี เรียนหนังสือพอถูไถ ไม่ถือว่าแย่เกินไป แต่ย่อมสู้หลินโส่วอีไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ทำเรื่องที่ตัวเองถนัด”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าสองคนต่างก็ชอบพี่สาวหลี่ไหวขนาดนี้เชียวหรือ”

ต่งสุ่ยจิ่งหน้าแดงน้อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้าไปหลายอึก หรือเพราะเหตุใด

ต่งสุ่ยจิ่งดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “มีข้อหนึ่งที่ข้าแน่ใจว่าตอนนี้เก่งกว่าหลินโส่วอี หากในอนาคตวันใดหลี่หลิ่วแน่ใจแล้วว่าไม่เห็นทั้งข้าและหลินโส่วอีอยู่ในสายตา ถึงเวลานั้นหลินโส่วอีต้องโมโหแทบตายอย่างแน่นอน แต่ข้ากลับไม่ ขอแค่หลี่หลิ่วมีชีวิตที่ดี ข้าก็ยัง…มีความสุข แน่นอนว่าไม่ได้มีความสุขมากนัก คำพูดหลอกคนอื่นประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องอาย พูดจาเหลวไหลก็เท่ากับเป็นการย่ำยีสุราดีๆ ในมือไหนี้ แต่ข้าเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำใจได้ดีกว่าหลินโส่วอี”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ต่งสุ่ยจิ่งยกกาเหล้าในมือขึ้น “แพงมากเลยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ถูกเลยจริงๆ”

ต่งสุ่ยจิ่งจิบคำเล็กๆ อีกคำ “ถ้าอย่างนั้นยิ่งดื่มก็ยิ่งอร่อย”

เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง “เหมือนข้า!”

คนบ้านเดียวกันสองคนที่มีชาติกำเนิดคล้ายคลึงกันเดินเท้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือพลางพูดคุยกันไปเช่นนี้ตลอดทาง

ถนนสายเล็กมีฝนอีกครั้ง

พอไปถึงประตูทิศใต้ของเขตการปกครองก็มีทหารบู๊ทำหน้าที่ตรวจสอบทะเบียนสำมะโนครัวอยู่ที่หน้าประตูเมือง เฉินผิงอันเองก็พกไว้ติดตัวตลอดเวลา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าทางฝ่ายนั้นเห็นต่งสุ่ยจิ่งแล้ว ต่งสุ่ยจิ่งก็แค่หยิบเอกสารสำมะโนครัวออกมาพอเป็นพิธี หัวหน้ากลุ่มเล็กของทหารบู๊ที่เฝ้าประตูไม่แม้แต่จะรับไปดู แค่ชำเลืองตามองผ่านๆ ก็คลี่ยิ้มพูดทักทายต่งสุ่ยจิ่งสองสามคำก็ปล่อยให้คนทั้งสองเข้าเมืองไปโดยตรง

เฉินผิงอันเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้พูดอะไร

เห็นได้ชัดว่าต่งสุ่ยจิ่งมีชีวิตได้ดีกว่าที่ตนคิดไว้เสียอีก

เจ้าเมืองอู๋ยวน ลูกศิษย์ของราชครูชุยฉาน คนหนุ่มมากความสามารถแห่งวงการขุนนางที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจน ขุนนางผู้ตรวจการเงาเตาเผา ลูกหลานสกุลเฉา นายอำเภอ ลูกหลานสกุลหยวน สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเทพภูเขาที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเฟิงเหลียง เศรษฐีที่รอบเอวมีเงินหมื่นกว้าน (กว้านคือพวงเงิน ประโยคนี้จึงเปรียบเปรยถึงคนที่รวยมาก) หลายคนในเขตการปกครอง

ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากับคนหนุ่มที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยการขายเกี๊ยวน้ำอย่างต่งสุ่ยจิ่ง

ต่งสุ่ยจิ่งพาเฉินผิงอันไปส่งยังถนนที่ตระกูลนั้นตั้งอยู่ จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป ต่งสุ่ยจิ่งบอกให้รู้ถึงที่อยู่ของตัวเอง และหากเฉินผิงอันมีเวลาว่างก็ยินดีต้อนรับตลอดเวลา

เฉินผิงอันมองแผ่นหลังสูงใหญ่ของคนหนุ่มที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงอรุณ เปี่ยมไปด้วยพละกำลังและชีวิตชีวา

อิงตามคำบอกของต่งสุ่ยจิ่ง เขตการปกครองหลงเฉวียนในตอนนี้ ขอแค่ดูว่าอาศัยอยู่บนถนนหรือตรอกอะไรก็พอจะมองออกถึงความตื้นลึกของรากฐานตระกูลนั้นได้คร่าวๆ แล้ว

ถนนเส้นนี้ที่เฉินผิงอันยืนอยู่มีชื่อว่าถนนเจียเจ๋อ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นครอบครัวของคนปกติทั่วไปที่พอมีฐานะ การซื้อเรือนของที่แห่งนี้ ราคาที่ดินไม่ต่ำ แต่เรือนไม่ใหญ่ ไม่อาจเรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคา แล้วยังอาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วนด้วย ต่งสุ่ยจิ่งเองก็บอกแล้วว่า ถนนที่ดูโอ่อ่าหรูหราซึ่งอยู่ไปทางแถบทิศเหนือของถนนเจียเจ๋อในทุกวันนี้ ครอบครัวที่มีเรือนหลังใหญ่ที่สุดก็คือมารดาของกู้ช่านที่มาจากตรอกหนีผิง ดูจากการที่นางซื้อเรือนแถบนั้นทั้งแถบแล้ว นางย่อมไม่ขาดเงิน เพียงแต่ว่ามาถึงช้าเกินไป ที่ดินที่ฮวงจุ้ยดีๆ ของเขตการปกครอง ต่อให้สตรีแต่งงานแล้วที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรกลับคืนบ้านเกิดจะมีเงินก็ยังซื้อไม่ได้ ได้ยินมาว่าตอนนี้นางยังพยายามไปสานสัมพันธ์กับที่ว่าการเจ้าเมือง หวังว่าจะสามารถซื้อเรือนหลังใหญ่อีกเรือนหนึ่งบนถนนเส้นที่ต่งสุ่ยจิ่งอยู่อาศัยได้

สตรีแต่งงานแล้วเคยพาสาวใช้หลายคนไปจุดธูปกราบไหว้องค์เทพบนภูเขาเฟิงเหลียง ตอนที่ผ่านร้านขายเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่ง ได้ยินว่าต่งสุ่ยจิ่งเคยเรียนหนังสือในโรงเรียนมาก่อนจึงพูดคุยกับคนหนุ่มสองสามคำ เพียงแต่ความเย่อหยิ่งในคำพูดนั้น ต่งสุ่ยจิ่งที่เป็นคนทำธุรกิจ ลูกค้าแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเปิดประตูต้อนรับลูกค้านับร้อยรูปแบบ แน่นอนว่าย่อมไม่ถือสา ทว่ากลับทำให้ลูกจ้างร้านสองคนโมโหแทบตาย ต่งสุ่ยจิ่งเองก็ปล่อยให้สตรีแต่งงานแล้ววางมาดของตัวเองอย่างเต็มที่ นางยังเป็นฝ่ายย้อนกลับมาถามต่งสุ่ยจิ่งด้วยว่ามีที่พักอยู่ในเขตการปกครองหรือไม่ หากกำลังเก็บเงิน นางสนิทกับทางจวนเจ้าเมืองอยู่มาก สามารถช่วยถามให้ได้ ต่งสุ่ยจิ่งเพียงบอกว่าเขามีที่พักแล้ว ถึงอย่างไรเขาตัวคนเดียวแค่กินอิ่มนอนหลับก็พอ บ้านหลังเล็กไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นสายตาของสตรีแต่งงานแล้วก็เผยความเวทนาออกมาให้เห็น

ภายหลังขุนนางผู้มีอำนาจซึ่งรับผิดชอบดูแลเรื่องสำมะโนครัวในเขตการปกครองของจวนเจ้าเมืองได้มาเยือนด้วยตัวเอง ถามต่งสุ่ยจิ่งว่าจะขายบ้านหลังใหญ่ที่ว่างอยู่ได้หรือไม่ บอกว่ามีสตรีแต่งงานแล้วแซ่กู้คนหนึ่งใช้จ่ายเงินอย่างมือเติบ เป็นคนจำพวกเสียเปรียบคนอื่นแล้วยังไม่รู้ตัว การค้าครั้งนี้สามารถทำได้ เพราะย่อมได้กำไรมาไม่น้อย ต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยประโยคเดียวปฏิเสธขุนนางที่มีชนชั้นสูงในเมืองหลวงหมายตาผู้นั้นไปอย่างละมุนละม่อม หากจะขายหรือไม่ขายก็ได้ ถ้าอย่างนั้นต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่ขายแล้ว

คิดดูแล้วไม่ว่าอย่างไรสตรีแซ่กู้คงคิดไม่ถึงเลยว่า เหตุใดทั้งๆ ที่นางให้ราคาสูงถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังไม่อาจซื้อเรือนที่ว่างอยู่ได้

เขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ ยิ่งนานวันต่งสุ่ยจิ่งก็ยิ่งมีทรัพย์สมบัติมากขึ้นเรื่อยๆ และเครือข่ายคนรู้จักก็ยิ่งกว้างขวางมากขึ้น แต่ที่น่าประหลาดอย่างยิ่งก็คือ ชื่อเสียงของ ‘ต่งครึ่งเมือง’ กลับค่อยๆ จางหายไป เวลาสั้นๆ เพียงปีสองปี ดูเหมือนว่าเขตการปกครองจะไม่มีเจ้าของที่ดินรายใหญ่ผู้นี้อยู่อีกแล้ว

อันที่จริงนี่ต่างหากจึงจะอธิบายได้ว่า ต่งสุ่ยจิ่งมีเงินจริงๆ แล้ว

กลับมาที่เรือนหลังขนาดไม่ใหญ่นักแห่งนั้น เฉินผิงอันอธิบายเรื่องราวให้คนเฝ้าประตูฟังอย่างชัดเจน บอกว่าตัวเองมาจากภูเขาลั่วพั่ว ชื่อเฉินผิงอัน มารับตัวเฉินยวนจี

คนเฝ้าประตูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เฉินผิงอันจึงได้แต่เอาเอกสารผ่านด่านฉบับนั้นออกมา เพียงแต่ว่าไม่ได้ยื่นส่งให้กับคนเฝ้าประตู แค่เปิดออกให้อีกฝ่ายเห็นชื่อแซ่และสัญชาติของตัวเองชัดๆ เท่านั้น ไม่อย่างนั้นหากอีกฝ่ายได้เห็นตราทางการของหลายแคว้นในสองทวีป อาจจะตกใจก็เป็นได้

คนเฝ้าประตูถึงได้เข้าไปรายงานด้านใน

เพียงไม่นานก็มีคนสี่คนเร่งรุดมาทางประตูใหญ่

เห็นเฉินผิงอันที่ยืนจูงม้าอยู่นอกประตู พวกเขาก็รีบข้ามธรณีประตูออกมา

ชายสามหญิงหนึ่ง ชายวัยกลางคนกับบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคนของเขายืนอยู่ด้วยกัน แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ชายวัยกลางคนเองก็ถือว่าเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง ส่วนสองพี่น้องที่อายุประมาณห้าหกปีก็ดูหล่อเหลาสง่างามเช่นกัน ตามคำบอกของจูเหลี่ยน เด็กสาวเฉินยวนจีผู้นี้ ตอนนี้เพิ่งจะอายุสิบสามปี ทว่าเรือนกายของนางกลับสะโอดสะอง อรชรอ้อนแอ้น มองแล้วเหมือนสตรีอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ความงามก็เริ่มฉายชัด อีกทั้งหน้าตาก็มองดูคล้ายสุยโย่วเปียนจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้เย็นชาอย่างสุยโย่วเปียน กลับกันคือมีความงามเย้ายวนตามธรรมชาติมากกว่าอีกฝ่ายหลายส่วน มิน่าเล่าอายุน้อยๆ ก็ถูกคนปรารถนาในความงาม เดือดร้อนให้คนทั้งตระกูลต้องย้ายออกมาจากเมืองหลวง

เฉินผิงอันบอกชื่อแซ่ของตนอีกครั้ง เขาใช้ภาษาทางการต้าหลี ไม่ได้ใช้ภาษาถิ่นของหลงเฉวียน

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นประสานมือคารวะ “เฉินเจิ้งคารวะเซียนซือเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่ว”

หลังจากยืดเอวขึ้นตรง บุรุษก็เอ่ยขออภัย “นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป เฉินเจิ้งมิกล้าเอ่ยถึงนามของเซียนซือกับคนอื่นๆ ในตระกูลโดยพลการ”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางเด็กสาวคนนั้น “มีอะไรจะพูดกับคนในครอบครัวหรือไม่? พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว เจ้าจะไม่สามารถลงเขาเข้าเมืองมาได้ตามใจชอบอีก ต่อให้มีการเขียนจดหมายถึงกันก็จะต้องเคารพกฎของบนภูเขา ดังนั้นหากเจ้ามีเรื่องจะพูด ข้าสามารถรอให้เจ้าพูดจบก่อนได้”

เฉินยวนจีส่ายหน้า

เฉินผิงอันจึงจูงม้าหมุนตัวกลับ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถิด”

ทั้งไม่ได้เข้าไปดื่มน้ำร้อนน้ำชาในเรือน แล้วก็ไม่ได้มอบยาสงบใจใดๆ ให้แก่บุรุษตระกูลเฉิน เฉินผิงอันพาเด็กสาวออกมาจากถนนทั้งอย่างนี้

พอไปถึงถนนอีกเส้นหนึ่ง ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากพูดประโยคแรก เขาบอกให้เด็กสาวเฝ้าม้ารออยู่ข้างนอก

เด็กสาวพยักหน้ารับเงียบๆ จวนแห่งนี้มีชื่อว่าจวนกู้

ตอนนี้มีชื่อเสียงในเขตการปกครองหลงเฉวียนมาก ได้ยินว่าเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่มีเงินมากคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีที่พึ่งที่ใหญ่มากอยู่ในต้าหลีด้วย

พอคนเฝ้าประตูได้ยินชื่อ ‘เฉินผิงอัน’ ก็รีบพาคนหนุ่มชุดเขียวที่หน้าตาไม่สะดุดตาเดินเข้าไปในจวนทันที

เฉินผิงอันได้พบกับสตรีแต่งงานแล้วที่มีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบายคนนั้น เขาดื่มชาร้อนหนึ่งถ้วย แล้วก็ถูกสตรีแต่งงานแล้วรั้งตัวไว้ นางบอกให้อดีตสาวใช้ของจวนชุนถิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพหวาดเกรงรินชาให้อีกถ้วย ละเอียดดื่มชาช้าๆ จนหมดพลางเล่าประสบการณ์การเดินทางไปยังกลุ่มเทือกเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยนของกู้ช่านอย่างละเอียด นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วสบายใจขึ้นมาก แล้วถึงลุกขึ้นยืนบอกลาจากมา สตรีแต่งงานแล้วเดินมาส่งถึงหน้าประตูจวนใหญ่ด้วยตัวเอง เฉินผิงอันจูงม้าแล้ว สตรียังถึงขั้นเดินข้ามธรณีประตูออกมา เดินลงบันไดมาอีก เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่าท่านอาหญิงไม่ต้องมาส่งแล้วจริงๆ สตรีแต่งงานแล้วถึงได้ยอมหยุดแต่โดยดี

หนึ่งชายหนึ่งหญิงค่อยๆ จากไปไกล สตรีแต่งงานแล้วมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่นางไม่รู้จักคนนั้นก็ทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง หันหน้าไปชำเลืองตามองสาวใช้หน้าตางดงามที่นางพามาจากเกาะชิงเสียซึ่งยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ด้านหลังนาง ก่อนนางจะเดินนวยนาดกลับเข้าไปในประตูใหญ่ บิดหูสาวใช้หนึ่งที สบถยิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กไม่ได้เรื่อง สู้เด็กสาวบ้านป่าคนหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

อันที่จริงสาวใช้อายุน้อยผู้นี้ก็มีรูปโฉมโดดเด่น เวลานี้จึงรู้สึกคล้ายได้รับความอยุติธรรมอยู่บ้าง

เฉินผิงอันพาเด็กสาวจากเมืองหลวงที่มีชื่อว่าเฉินยวนจีเดินทางลงใต้กลับไปที่กลุ่มเทือกเขาด้วยกัน ระหว่างทางไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก

อันที่จริงเด็กสาวคอยแอบลอบมอง ‘เจ้าของภูเขาลั่วพั่ว’ ตามคำบอกของเทพเซียนผู้เฒ่าจูผู้นี้อยู่ตลอดเวลา

เพียงแต่นางมองไปมองมาก็ยังมองอะไรไม่ออกอยู่ดี

จึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เดิมทีนึกว่าจะเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนท่านหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นบุรุษท่าทางสุภาพสง่างามมีมาดแห่งปัญญาชน

ไหนเลยจะคิดว่าจะเป็นคนหนุ่มสีหน้าท่าทางอิดโรยคนหนึ่ง ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่านางแค่ไม่กี่ปี

ตลอดทางที่ผ่านมา เฉินผิงอันเดินนำอยู่ด้านหน้า เขาปล่อยเชือกจูงม้า ทบทวนเนื้อความในจดหมายที่ชุยตงซานทิ้งไว้ให้ตนฉบับนั้นซ้ำไปซ้ำมา

เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง บวกกับมีเรื่องบางอย่างที่หากไล่ตามเส้นสายเบาะแสบางอย่างไปก็จะสามารถทอดยาวไปได้ไกลนับพันนับหมื่นลี้ เป็นเหตุให้เขาลืมเด็กสาวด้านหลังที่กำลังเท้าอ่อนด้อยไปอย่างสิ้นเชิง

รอจนเฉินผิงอันคืนสติกลับมา พวกเขาก็มาอยู่ในภูเขาใหญ่แล้ว เฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเด็กสาวเดินกะโผลกกะเผลก หัวคิ้วขมวดแน่น ทว่ากลับไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

เฉินผิงอันหยุดเดิน หันกลับไปเอ่ยขออภัย “ขอโทษด้วย ข้ามัวคิดเรื่องบางอย่างจนใจลอยไปหน่อย”

เฉินยวนจีเม้มปาก ยังคงไม่เอ่ยอะไร

ในใจนางขุ่นเคือง คิดว่าเจ้าหมอนี่ต้องใช้วิธีการเฮงซวยอย่างการถอยเพื่อรุกเช่นนี้จงใจมาเหยียบย่ำตนก่อน จะได้แสร้งวางตัวว่าตัวเองแตกต่างจากพวกอันธพาลเหล่านั้นได้

นางต้องระวังตัวให้มาก! พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วต้องพยายามอยู่ข้างกายเทพเซียนผู้เฒ่าจูเท่านั้น อย่าได้หลงกลตกหลุมพรางชั่วร้ายของคนหนุ่มแซ่เฉินผู้นี้เด็ดขาด!

ขอแค่ได้เจอกับเทพเซียนผู้เฒ่า นางก็น่าจะปลอดภัยแล้ว

เฉินผิงอันเห็นว่านางไม่เอ่ยอะไรจึงได้แต่ถามว่า “ขี่ม้าเป็นหรือไม่?”

นางส่ายหน้า

แล้วก็ไม่คิดจะขี่ด้วย! สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าอันธพาลที่มองดูเหมือนเป็นคนซื่อ แต่แท้จริงแล้วเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนผู้นี้จะอาศัยโอกาสนี้แอบลอบมองภาพบางอย่างที่บุรุษบางคนต้องการจะเห็นหรือไม่?

คนบนภูเขาเต็มไปด้วยอุบายลึกล้ำจริงๆ เทียบกับพวกบ้าตัณหาในเมืองหลวงที่ความคิดตื้นเขินเหล่านั้นแล้ว ก็ต้องเรียกว่าตบะสูงส่งกว่ามากนัก

เด็กสาวบอกเตือนตัวเองอย่างต่อเนื่อง เฉินยวนจี เจ้าต้องระวังตัวให้มาก

เฉินผิงอันหรือจะรู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าคิดไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้แล้ว เขาจึงเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เดินกันให้ช้าหน่อย หากเจ้าต้องการพักก็บอกข้ามาได้เลย”

เห็นไหม ทำตัวน่าโมโหก่อน จากนั้นก็ค่อยทำเป็นอ่อนโยน วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แผนการมีให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้น

เด็กสาวยิ่งแน่ใจว่า เจ้าหมอนี่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าสายตาที่เด็กสาวใช้มองตนออกจะแปลกๆ อยู่บ้าง

หมุนตัวกลับ จูงม้าเดินต่อ เฉินผิงอันนวดคลึงข้างแก้มของตัวเอง อะไรกัน หรือจะเป็นอย่างที่จูเหลี่ยนบอกไว้จริงๆ ? ตอนนี้ยามที่ตนท่องอยู่ในยุทธภพต้องระวังว่าจะเจอกับหนี้รักหนี้เสน่หาแล้ว?

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ลังเลว่าควรจะให้เฉินยวนจีขึ้นเขาลั่วพั่วไปเพียงลำพังก่อนดีหรือไม่ ส่วนตัวเขาจะไปที่ร้านยาในเมืองเล็กสักหน่อย

พอเห็นคนผู้นั้นดื่มเหล้า เด็กสาวก็กวาดตามองไปรอบด้าน ที่นี่คือป่าชานเมืองที่เงียบสงัดไร้ผู้คน นางรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ใช้ข้ออ้างว่าเมามายแล้วทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นกระมัง?

เฉินผิงอันที่มีบทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ไม่เป็นระเบียบและฝีเท้าที่ไม่มั่นคงของเด็กสาวด้านหลังก็หันกลับไป แล้วก็เห็นว่านางหน้าซีดเผือดจริงๆ เขาจึงผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วกล่าวว่า “หยุดพักสักครู่เถอะ”

เฉินยวนจีที่พอเห็นว่าไอ้หมอนี่ดื่มเหล้าแล้วก็เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงไป ท่าทางเขาจะลงมือแล้วจริงๆ ด้วย

นางพลันปล่อยเสียงร้องไห้โฮ หมุนตัวกลับได้ก็วิ่งหนีสะเปะสะปะไม่เลือกหนทางทันที

เฉินผิงอันเกาหัว พึมพำว่า “เดินมาได้ครึ่งทางก็คิดถึงบ้านแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันถอนหายใจ ได้แต่จูงม้าเดินไปช้าๆ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทิ้งนางไว้ในภูเขาลึกเพียงลำพัง เลยคิดจะพานางไปส่งที่ถนนหลวงนอกภูเขา ให้นางกลับบ้านไปเพียงลำพังก่อน หากคิดได้เมื่อไหร่ก็ค่อยให้คนที่บ้านเดินทางไปที่ภูเขาลั่วพั่วเป็นเพื่อนนางแล้วกัน

เฉินผิงอันกำลังจะเตือนให้นางเดินช้าๆ หน่อย ผลกลับเห็นว่าเฉินยวนจีสะดุดล้มหน้าทิ่ม หลังจากนั้นก็นอนคว่ำแผดเสียงร้องไห้อยู่ตรงนั้น พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าอย่าเข้ามานะ สุดท้ายนางพลิกตัวกลับ ลุกขึ้นนั่ง หยิบหินขว้างปาเฉินผิงอัน ด่าเขาว่าเป็นพวกบ้าตัณหา หน้าไม่อาย เป็นอันธพาลที่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มหัว นางจะสู้ตายกับเขา ต่อให้ตายเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเขา

เฉินผิงอันนั่งกุมขมับอยู่ห่างๆ

ก่อนจะลุกขึ้นยืน กระทืบเท้าเบาๆ กล่าวอย่างจนใจว่า “เว่ยป้อ มาช่วยกันหน่อย! ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังมองดูอยู่ ชมเรื่องสนุกพอแล้วหรือยัง?”

เพียงชั่วพริบตา

เว่ยป้อที่สวมชุดขาว สวมต่างหูทรงกลมสีทองก็ปรากฏตัวอย่างสง่างาม ลมเย็นบนภูเขาพัดโชยคลอเคลียให้ชายแขนเสื้อพลิ้วไสวราวกับคลื่นน้ำ

เฉินผิงอันไม่มองเด็กสาวคนนั้นอีก เพียงกล่าวกับเว่ยป้อว่า “รบกวนเจ้าพานางไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่วที แล้วก็ส่งข้าไปที่ภูเขาเจินจู ฉวีหวงนี่ก็เอากลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วย ไม่ต้องให้ตามข้ามา”

เว่ยป้อกลั้นยิ้ม แล้วดีดนิ้วสองที

เฉินผิงอันมาถึงยอดเขาเจินจูเพียงลำพัง

ส่วนเว่ยป้อก็พาเด็กสาวที่เสียใจสุดขีดคนนั้นไปส่งที่ตีนเขาภูเขาลั่วพั่ว ส่วนฉวีหวงก็ออกวิ่งนำขึ้นไปบนภูเขาก่อน

เด็กสาวที่ทั่วร่างเปรอะไปด้วยดินยังหวาดผวาไม่คลาย อีกทั้งยังเวียนหัวตาลาย จึงก้มตัวอาเจียนแห้ง

เว่ยป้อไม่มองนางแม้แต่หางตา เขาเงยหน้ามองไปยังจุดสูงของภูเขาลั่วพั่ว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เฉินยวนจี สามารถมองเฉินผิงอันเป็นอันธพาลไปได้ ก็เห็นจะมีแต่เจ้าคนเดียวนี่แหละ”

เด็กสาวถอยหลังไปหลายก้าว ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านคือ?”

คนธรรมดาไหนเลยจะมีคุณสมบัติได้รู้ชื่อแซ่ขององค์เทพแห่งขุนเขาต้าหลีท่านหนึ่ง

เว่ยป้อเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด แล้วจึงเดินขึ้นเขาไปก่อน

เด็กสาวลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินตามไปด้านหลังเทพเซียนชุดขาวโดยทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่งเงียบๆ

พอไปถึงเรือนของเจิ้งต้าเฟิงกับจูเหลี่ยน เว่ยป้อก็เล่าเรื่องนี้อย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เจิ้งต้าเฟิงกุมท้องหัวเราะก๊าก จูเหลี่ยนลูบหน้าตัวเอง ความเศร้าพลันผุดขึ้น คิดว่าตนต้องซวยไปด้วยแน่ๆ

เฉินยวนจีที่ได้พบกับเทพเซียนผู้เฒ่าจูซึ่งนางคุ้นหน้าคุ้นตาที่สุดก็วางใจลงได้เสียที

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดยอดฝีมือนอกโลกทั้งสามท่านนี้ถึงได้มีสีหน้าแตกต่างกันอย่างชัดเจนเช่นนี้

เฉินผิงอันเดินลงมาจากภูเขาเจินจู ไปที่เมืองเล็ก คราวนี้ในที่สุดก็ไม่ต้องกินน้ำแกงประตูปิด เขาถูกเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าสือหลิงซานผู้นั้นพาไปที่เรือนด้านหลัง

หยางเหล่าโถวนั่งอยู่บนขั้นบันได ยังคงสูบยา พ่นควันโขมงอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็คิดว่า ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ของผู้เฒ่าเป็นมากี่ร้อยปี กี่พันปี หรือว่ากี่หมื่นปีแล้ว?

ตอนนั้นที่ตนเลือกภูเขาลั่วพั่ว เหตุใดพอพูดถึงผู้เฒ่าเหยา ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ถึงได้เผยสีหน้าเช่นนั้นออกมา?

ในใจเฉินผิงอันมีคำถามอยู่มากมายที่อยากจะถามผู้เฒ่าตรงหน้า

เพราะหยางเหล่าโถวต้องรู้คำตอบอย่างแน่นอน เพียงแต่อยู่ที่ว่าผู้เฒ่าจะยินดีพูด หรือควรจะพูดอีกอย่างว่ายินดีจะทำการค้าหรือไม่

ทว่าพอถึงท้ายที่สุดแล้ว เฉินผิงอันกลับเปิดปากเอ่ยเพียงว่า “วันหน้าเจิ้งต้าเฟิงจะทำอย่างไร?”

หยางเหล่าโถวเอ่ยอย่างเฉยเมย “รอดูกันไปเถอะ”

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ

ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้ไล่เขา

สุดท้ายฝนโปรยปรายก็ตกลงมาพาให้บรรยากาศขมุกขมัว แต่ว่าไม่นานก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

เฉินผิงอันขอยืมร่มกันฝนคันหนึ่งไปจากเด็กหนุ่มร้านยาที่ทำท่าไม่เต็มใจจะให้ยืม

เขายืนอยู่ใต้ชายคาหน้าประตูร้านยา ยืนนิ่งมองถนนที่เงียบสงัดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว เดินเข้าไปท่ามกลางสายฝน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version