บทที่ 464 สัญญาสิบปีผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ออกมาจากร้านยาตระกูลหยาง ไปเยือนโรงเรียนแห่งเก่าที่ยังไม่ถูกทำลายทิ้ง แต่ก็ไม่ได้เปิดใช้ เฉินผิงอันยืนกางร่มอยู่นอกหน้าต่าง มองเข้าไปข้างใน
ในหูคล้ายจะได้ยินเสียงท่องตำราแว่วดังมา เหมือนในอดีตตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กแล้วมานั่งยองริมหน้าต่างแอบฟังอาจารย์สอนหนังสือ
ออกมาจากโรงเรียน ไปยังโรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้ง ที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าโรงเรียนเก่ามาก เฉินผิงอันหยุดอยู่นอกซุ้มประตูหิน แล้วหมุนกายเดินจากมา
เดินผ่านสถานที่ที่คนในบ้านเกิดชอบเรียกขานกันว่าซุ้มก้ามปู เฉินผิงอันก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วเดินวนหนึ่งรอบ กรอบป้ายจากลายมือของอริยะสี่แผ่น ตังเหรินปู้รั่ง (ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ) ของลัทธิขงจื๊อ โม่เซี่ยงว่ายฉิว (ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกาย) ของลัทธิพุทธ ซีแหยนจื้อหรัน (พูดให้น้อยปล่อยอิงไปตามหลักธรรมชาติ) ของลัทธิเต๋า และ ชี่ชงโต้วหนิว (พลังอำนาจสะท้านฟ้า) ของสำนักการทหาร
หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา ราชสำนักต้าหลีก็ใช้วิธีการลับมาคัดลอกลายทีละชั้นๆ ดึงเอาแก่นพลังที่เคยซ่อนอยู่ในตัวอักษรไปจนหมด ก็ไม่รู้ว่าใครที่ได้รับโชควาสนานี้
ระหว่างนี้เขาเงยหน้ามองตัวอักษรคำว่า ‘ซี’ แล้วก็นึกไปถึงเนื้อความในจดหมายของชุยตงซาน สายตาของเฉินผิงอันเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ความคิดล่องลอยไปไกล
ต่อมาก็เดินผ่านบ่อโซ่เหล็กที่ตอนนี้ถูกซื้อไปเป็นของส่วนบุคคล กลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้าม ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านในพื้นที่มาตักน้ำอีก ด้านนอกล้อมเป็นรั้วเตี้ยๆ กั้นเอาไว้
เฉินผิงอันนึกถึงคนหนุ่มจากตรอกหางผึ้งที่ได้โซ่เหล็กไป เขาก็คือลูกศิษย์ของหลิวเหล่าเฉิง คนหนุ่มชุดดำที่เรือนกายสูงใหญ่ นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน ไม่เพียงแต่ตนเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ แม้แต่เผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นั้นคือคนดี คิดดูแล้วก็คงจะเป็นคนดีจริงๆ ภายหลังการที่เฉินผิงอันกล้าเสี่ยงอันตรายขึ้นไปเป็นเกาะกงหลิ่ว สาเหตุก็เป็นเพราะเขา ด้วยรู้สึกว่าหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระที่สามารถสั่งสอนลูกศิษย์แบบนี้ออกมาได้ คงไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นใจทมิฬหินชาติ แล้วความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเฉินผิงอันเดิมพันถูกต้องแล้ว เพียงแต่การวางอุบายประลองปัญญากับหลิวเหล่าเฉิงนั้น ทุกครั้งที่จบเรื่องแล้วนึกถึงขึ้นมาก็ยังคงทำให้เฉินผิงอันหวาดผวาได้ไม่คลาย
จู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เวลานี้มายืนอยู่นอกรั้วมองบ่อน้ำแห่งนั้น ก็ให้รู้สึกเหมือนตอนที่ยืนมอง ‘ประตูสวรรค์’ ของภูเขาห้อยหัวที่สามารถเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แห่งนั้น ที่นั่นมีชายฉกรรจ์กอดกระบี่คนหนึ่งนั่งอยู่บนยอดของป้ายศิลา และนักพรตน้อยอีกคนหนึ่งที่นั่งอ่านตำราอยู่บนเบาะรองนั่ง เฉินผิงอันเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ มามากมาย ก็ยังคงรู้สึกว่าสถานที่ที่สามารถทัดเทียมได้กับเมืองเล็กที่เป็นดั่งมังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนแห่งนี้มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคือภูเขาห้อยหัว ที่นั่นคือตราประทับตัวอักษรขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไพศาล แล้วก็เป็นการลงทุนก้อนใหญ่เทียมฟ้าของเต๋าเหล่าเอ้อร์ด้วย
เฉินผิงอันแหงนหน้ามองผืนฟ้า
หลังจากถอนสายตากลับมาแล้วก็มองไกลๆ ไปยังศาลบุ๋นบู๊สองแห่งที่แยกกันตั้งบูชาบรรพบุรุษของสกุลหยวนและสกุลเฉา แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเครื่องกระเบื้อง ส่วนอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนสุสานเทพเซียน สถานที่ตั้งทั้งสองนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน
เฉินผิงอันไม่ได้เข้าไปในศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาเครื่องกระเบื้องที่เขาไม่ค่อยชอบไปมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะระยะทางห่างไปไกลมาก แต่เฉินผิงอันไปเดินเล่นที่สุสานเทพเซียนซึ่งผ่านการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่อยู่นานมาก เทวรูปพระโพธิสัตว์และเทพสวรรค์มากมายต่างก็ถูกช่างฝีมือของต้าหลีซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ แต่ละองค์ถูกนำมาตั้งวางไว้ใหม่อีกครั้ง ทว่ายังซ่อมได้ไม่สำเร็จเรียบร้อยทั้งหมด จึงยังมีช่างอีกหลายคนที่กำลังทำงานง่วนอยู่บนนั่งร้านไม้
ว่ากันว่าราชสำนักต้าหลียังคิดจะขยับขยายศาลบุ๋นบู๊ให้กว้างขวางออกไปอีก จากนั้นก็นำพระโพธิสัตว์ของลัทธิพุทธ และองค์เทพสวรรค์ของลัทธิเต๋ามาจัดวางไว้ในศาลแต่ละแห่ง ถึงเวลานั้นศาลบุ๋นบู๊ของสถานที่แห่งนี้ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นศาลในอำเภอ แต่กลับจะต้องกลายมาเป็นศาลบุ๋นบู๊ที่ใหญ่โตโอ่อ่าที่สุดของต้าหลี ถึงเวลานั้นควันธูปย่อมต้องโชติช่วงเป็นอย่างมาก จะมีชนชั้นสูงและขุนนางพากันมาจุดธูปกราบไหว้ไม่ขาดสาย
ช่วงแรกเริ่มสุดอันที่จริงเฉินผิงอันยังไหว้วานขอให้หร่วนซิ่วช่วยออกเงินทำเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมเทวรูป หรือการสร้างเรือนสร้างเพิงขึ้นมาใหม่ ทว่าเพียงไม่นานก็ถูกทางการของต้าหลีรับช่วงไปทำต่อ หลังจากนั้นก็ไม่อนุญาตให้ใครยื่นมือเข้าแทรกอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวรูปสามองค์ในนั้นที่เดิมทีล้มกองอยู่กับพื้นซึ่งปีนั้นเฉินผิงอันยังเคยโยนเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเข้าไปสามเหรียญ แม้ว่าตอนนี้เฉินผิงอันจะจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้ แต่เขากลับไม่มีความคิดจะสืบหาเบาะแสไปตามทวงคืนมา หากว่ายังอยู่ก็ถือเป็นบุพเพวาสนา คือความสัมพันธ์ควันธูปสามส่วน แต่หากถูกเด็กๆ หรือชาวบ้านในหมู่บ้านมาพบเข้าโดยบังเอิญ แล้วกลายไปเป็นลาภลอยของพวกเขา ก็ถือว่าเป็นวาสนาเช่นกัน แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าความเป็นไปได้ของอย่างหลังมีมากกว่า เพราะถึงอย่างไรเมื่อหลายปีก่อนชาวบ้านในท้องที่ก็ขึ้นเขาลงห้วย พลิกลังค้นหีบ ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อก็เพื่อตามหาสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษและวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน จากนั้นก็นำไปขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาจากร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยว แล้วค่อยไปซื้อเรือนหลังใหญ่อยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน หาสาวใช้บ่าวชายมาเพิ่ม แต่ละคนมีชีวิตสุขสบายอย่างที่ในอดีตแม้แต่คิดฝันก็ยังไม่กล้า
เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าพวกเขาทำอย่างนี้แล้วจะต้องผิด เพียงแค่รู้สึกว่าในเมื่อจะขาย ก็น่าจะขายให้ช้าสักหน่อย ราคามีแต่จะสูงมากขึ้น เพราะวัตถุตระกูลเซียนชิ้นเดียวกัน แต่หากขายช้ากว่าหลายปีก็มีโอกาสที่ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เหตุใดร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวถึงต้องทำเหมือนสกุลสวี่นครลมเย็นที่เป็นฝ่ายย้ายออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยตัวเอง ยอมสละท่าเรือตระกูลเซียนที่ทุ่มเงินมหาศาลสร้างขึ้นมา กลายเป็นการตัดชุดแต่งงานให้สกุลซ่งต้าหลีไปเปล่าๆ ?
ช่วงแรกเริ่มเฉินผิงอันนึกว่าร้านผ้าห่อบุญเดิมพันผิดฝั่งแล้ว เลือกไปเดิมพันกับราชวงศ์จูอิ๋ง ตอนนี้มาลองมองดูแล้วกลับมีความเป็นไปได้ว่าตอนนั้นพวกเขาซื้อสมบัติในเมืองเล็กที่ราคาถูกมาได้เยอะมาก เงินเทพเซียนที่ได้เป็นกำไรจึงมากจนแม้แต่ร้านผ้าห่อบุญเองยังรู้สึกผิด ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปชัดเจนขึ้น ร้านผ้าห่อบุญที่ชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้วจึงใช้ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งมาแลกเปลี่ยนเป็นยันต์คุ้มกันกายหนึ่งแผ่นให้กับร้านสาขาอื่นที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งจากต้าหลี และนี่ก็เท่ากับว่าเป็นการสืบทอดควันธูปกับสกุลซ่งต้าหลีอีกด้วย หากมองในระยะยาว ไม่แน่ว่าร้านผ้าห่อบุญอาจจะได้กำไรมากกว่าเดิม
เฉินผิงอันคิดว่าความคิดนี้ของตน มีความเป็นไปได้ถึงครึ่งหนึ่งว่าน่าจะเป็นความจริงแล้ว
ทำการค้าทางลัดกับทางการ ได้เงินมาเร็ว แต่ก็ไปเร็วด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง ส่วนข้อที่ว่าควรจะทำการค้าที่ไม่ใช่ลาภลอยอย่างไร ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่เข้าใจอย่างแน่ชัด คิดดูแล้วบุคคลอย่างซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชน่าจะค่อนข้างเข้าใจกฎเกณฑ์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้ดี ในอนาคตหากมีโอกาสคงต้องลองถามพวกเขาดู
สภาพการณ์ในสุสานเทพเซียนเปลี่ยนไปเยอะมาก กลับมาเที่ยวที่เดิมซ้ำอีกครั้ง มีหลายสถานที่ที่อยากไปแต่ก็ไปไม่ได้ สถานที่ที่ในอดีตไปเยือนไม่ได้ ตอนนี้กลับมีศาลาลม มีแท่นชมทิวทัศน์ผุดขึ้นมาแล้ว
เฉินผิงอันหยุดพักเท้าอยู่ในศาลาขนาดเล็กที่ชายคาตวัดโค้งงอนแห่งหนึ่ง
ในบรรดาผู้ช่วยมากมายของช่างฝีมือก็มีนักโทษสกุลหลูจำนวนไม่น้อยที่ปีนั้นย้ายมาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนปะปนอยู่ด้วย ปีนั้นเฉินผิงอันก็เคยเห็นนักโทษหลายคน เนื่องจากการสร้างศาลเทพภูเขาและเส้นทางในการขึ้นเขาไปจุดธูปบนภูเขาลั่วพั่วจึงมีเงานักโทษให้เห็นแล้ว เมื่อเทียบกับปีนั้น นักโทษที่ง่วนอยู่กับการทำงานจุกจิกในศาลเทพเซียนตอนนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์ พวกเขายังคงไม่พูดคุยอะไรมาก เพียงแต่ไม่มีความหมดอาลัยตายอยากอย่างที่เคยมีในอดีตอีกแล้ว คงเป็นเพราะว่าต่อให้ต้องมีชีวิตอย่างยากลำบากมาปีแล้วปีเล่า ทว่าแต่ละคนก็คงจะพอมองเห็นความหวังเล็กๆ ในชีวิตได้บ้างแล้ว
อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย คนหนึ่งคือรัชทายาทราชวงศ์สกุลหลูที่แคว้นล่มสลาย อีกคนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูลเซียนบนภูเขา ไม่อาจเรียกได้ว่าพวกเขาคือปลาที่หลุดรอดไปจากแห เพราะอันที่จริงแล้วพวกเขาต่างก็เป็นหมากที่ชุยฉานและเหนียงเนียงต้าหลีเลือกมาเอง หลังจากไปมาหาสู่กันอยู่เบื้องหลังพักหนึ่ง ผลกลับกลายไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาต้าสุยทั้งคู่ อวี๋ลู่สนิทกับเกาเซวียนมาก ความสัมพันธ์ของพวกเขาคล้ายคลึงกับคู่พี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมยาก คนหนึ่งพลัดที่นาคาที่อยู่ อีกคนหนึ่งก็ต้องมาเป็นตัวประกันในแคว้นของศัตรู
ส่วนเซี่ยเซี่ยนั้น หลายปีก่อนนางถูกชุยตงซานรังแกอย่างน่าอนาถก็จริง
แต่นี่ก็เหมือนการที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยไม่สอดมือเข้ายุ่งเรื่องระหว่างเขาเฉินผิงอันกับเผยเฉียน เฉินผิงอันเองก็ไม่มีทางอาศัยว่าตัวเองมีสถานะเป็น ‘อาจารย์’ ของชุยตงซานไปเจ้ากี้เจ้าการกับเขาในเรื่องนี้
ควรจะมอบความปรารถนาดีให้แก่คนอื่นอย่างไร นี่เป็นความรู้ที่ใหญ่มากอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่แค่เอ่ยสามคำว่า ‘ข้าคิดว่า’ แล้วจะสามารถชดเชยผลลัพธ์ที่มาจากความหวังดีแต่ทำให้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดได้
สถานที่ที่ตอนนั้นเขาเข่นฆ่ากับหม่าขู่เสวียนก็เปลี่ยนไปแล้ว คนนอกไม่สามารถก้าวเข้าไปได้ เว่ยป้อเคยเตือนไว้แล้วว่า สุสานเทพเซียนกับภูเขาเครื่องกระเบื้องสองแห่งนี้ ตอนกลางวันจะเดินเล่นอย่างไรก็ได้ ไม่มีข้อห้าม เพียงแต่ตอนกลางคืนจะมีผู้ฝึกตนใหญ่ของสำนักหยินหยางและสำนักโม่ปรากฎตัวเพื่อจัดวางค่ายกล รับผิดชอบในการชักนำโชคชะตาน้ำและรากฐานภูเขา ถึงเวลานั้นก็ไม่เหมาะให้ออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนแล้ว
ไม่อาจกลับไปยัง ‘ซากสมรภูมิรบ’ ที่ตนเคยสู้สุดชีวิตกับหม่าขู่เสวียนได้ เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาเดินเลียบเส้นทางที่ตัวเองคุ้นเคยซึ่งมักจะปรากฎในความฝันไปช้าๆ เดินไปได้ครึ่งทาง เฉินผิงอันก็ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบดินขึ้นมากำหนึ่ง หยุดนิ่งไปนาน แล้วถึงได้ลุกขึ้นขยับตัวออกเดินอีกครั้ง เขาไปเยือนร้านหลอมกระบี่ที่ยังไม่ถูกย้ายไปยังภูเขาเสินซิ่ว ได้ยินมาว่าสตรีคนหนึ่งที่ถูกศาลลมหิมะขับไล่ได้รับหร่วนฉงเป็นอาจารย์แล้วมาฝึกตนอยู่ที่นี่ จึงถือโอกาสนี้อยู่เฝ้า ‘กิจการบรรพบุรุษ’ ที่นี่ไปด้วยเลย แม้แต่นิ้วโป้งที่ใช้จับกระบี่ยังถูกตัวเองฟันขาด นี่ก็เพื่อพิสูจน์ให้หร่วนฉงเห็นว่าตัวเองตัดขาดเรื่องในอดีตไปแล้ว เฉินผิงอันเดินเลียบลำคลองเหอซวีเส้นนั้นไปช้าๆ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางได้พบเจอหินดีงูอีกแล้ว โชควาสนาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ตอนนี้เฉินผิงอันยังมีหินดีงูชั้นเยี่ยมอยู่อีกหลายก้อน ห้าหรือหกก้อนกระมัง? กลับเป็นหินดีงูธรรมดาที่เดิมทีมีจำนวนเยอะที่สุด ที่ตอนนี้กลับเหลืออีกไม่มากแล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้ย้อนกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วทันที แต่เดินข้ามสะพานหินโค้งที่รื้อถอนคานออกจนกลับคืนมาเป็นสภาพเดิมไปยังวัดเล็กแห่งนั้น ปีนั้นบนผนังในวัดมีชื่อมากมายถูกเขียนเอาไว้ หนึ่งในนั้นก็มีชื่อของเขาเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางและกู้ช่านสามคนที่เขียนรวมกันตรงมุมว่างเปล่าที่อยู่บนสุดของผนัง บันไดเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่ขโมยมา ส่วนถ่านหินก็เป็นกู้ช่านที่เอามาจากบ้าน ผลกลับกลายเป็นว่าพอไปถึงที่นั่นกลับไม่เห็นวัดเล็กที่ไว้ให้คนได้พักเท้าอีกแล้ว ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏมาก่อน เขาถึงนึกขึ้นมาได้ว่าดูเหมือนจะถูกหยางเหล่าโถวเก็บเข้าไปเป็นของในกระเป๋าแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าหยางเหล่าโถวทำเช่นนี้มีเหตุผลอะไรหรือไม่
กลับมาที่ริมลำคลองหลงซวี เฉินผิงอันเดินเลียบธารน้ำตอนล่างไป ถนนฝั่งตรงข้ามถูกขยับขยายให้เป็นหนึ่งในเส้นทางพักม้าของเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว มันเคยเป็นเส้นทางหวนกลับคืนสู่บ้านเกิดของเฉินผิงอันเมื่อครั้งที่ออกเดินทางไกลครั้งแรก ช่วงแรกเริ่มสุดนั้นข้างกายเขายังมีแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงติดตามไปด้วย
เขาดูแลแม่นางน้อยไปตลอดทาง เดินทางผ่านภูเขาเขียวน้ำใสไปด้วยกัน
ทว่าในความเป็นจริงแล้วแม่นางน้อยเองก็ช่วยประคับประคองสภาพจิตใจของอาจารย์อาน้อยที่ยังเป็นเพียงเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนไว้เงียบๆ เช่นกัน นั่นถึงทำให้เขาสามารถออกเดินทางไกลไปเยือนสถานที่ต่างๆ ได้โดยไม่เคยล้มเลิกความคิดง่ายๆ
เฉินผิงอันเดินผ่านศาลเทพวารีแห่งหนึ่งที่ถูกรับเข้าเป็นศาลที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของราชสำนักต้าหลี ที่นี่แทบไม่มีควันธูปให้เห็น ชื่อก็ประหลาด ดูเหมือนว่าจะมีแค่ร่างทองและศาลเท่านั้น เทียบกับศาลเถื่อนในท้องถิ่นของแคว้นอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีแม้แต่กรอบป้ายที่เข้าท่าเข้าที จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครที่รู้แน่ชัดว่า นี่คือศาลเทพลำคลองหรือเป็นศาลแม่ย่าลำคลองที่ระดับขั้นต่ำสุดในบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันแน่ กลับเป็นศาลเทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูที่อยู่ตอนล่างถัดไปเสียอีกที่สร้างได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการ ชาวบ้านในเมืองเล็กยอมที่จะเดินทางไกลเป็นร้อยกว่าลี้เพื่อไปจุดธูปขอพรจากเจ้าแม่เทพวารีของที่นั่น แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่สุด ได้ยินคนเฒ่าคนแก่ของเมืองเล็กว่ากันว่า รูปปั้นเจ้าแม่ของศาลแห่งนี้หน้าตาคล้ายคลึงแม่เฒ่าคนหนึ่งของตรอกซิ่งฮวาตอนยังสาว พวกคนแก่ โดยเฉพาะหญิงชราตามตรอกซอกซอยต่างๆ หากมีโอกาสก็จะต้องพร่ำพูดกับพวกลูกหลานเป็นประจำว่า อย่าไปจุดธูปกราบไหว้ที่นั่นเป็นอันขาด เพราะง่ายแก่การเรียกเสนียดจัญไรเข้าตัว
เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในศาล แต่มุ่งหน้าต่อไปอีกครั้ง คิดว่าจะเดินไปจนกว่าจะถึงศาลเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝู
ตอนนี้แม่น้ำเถี่ยฝูคือแม่น้ำอันดับต้นๆ ของต้าหลี องค์เทพได้รับความเคารพเลื่อมใส เป็นเหตุให้ระเบียบพิธีการเข้มงวดอย่างถึงที่สุด เมื่อเทียบกับแม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำอวี้เย่แล้วก็ยังเหนือกว่าอยู่หนึ่งระดับใหญ่ หากไม่เป็นเพราะทุกวันนี้เขตการปกครองหลงเฉวียนเป็นแค่เขตการปกครอง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้มีแค่เจ้าเมืองอู๋ยวนเท่านั้น คาดว่าคงต้องให้ขุนนางใหญ่ที่ดูแลพื้นที่ศักดินามาบวงสรวงเทพวารีท่านนี้ด้วยตัวเองทุกปี เพื่อขอพรแทนพวกชาวบ้านในเขตการปกครองให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล ไร้เภทภัยอันตราย หันกลับมามองแม่น้ำสองสายอย่างแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่ที่แค่มีเจ้าเมืองของพื้นที่หนึ่งมาเยือนศาลด้วยตัวเองก็เพียงพอแล้ว บางครั้งหากมีธุระงานยุ่งแล้วให้ขุนนางผู้ช่วยมาทำหน้าที่บวงสรวงแทนก็ยังไม่ถือว่าเป็นการล่วงเกินใดๆ
เฉินผิงอันเดินห่างออกไปไกลแล้ว ในศาลไร้กรอบป้ายที่อยู่เบื้องหลังของเขา เทวรูปดินเผาที่มีควันธูปบางตาจึงเกิดริ้วคลื่น ไอน้ำแผ่อบอวล ปรากฏเป็นใบหน้าของสตรีผู้หนึ่ง นางทอดถอนใจ ขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย
การที่ควันธูปเบาบางเช่นนี้ ทำให้นางอดโทษฟ้าด่าคนไม่ไหว ทว่าด่าได้ครู่หนึ่งก็ไม่มีอารมณ์จะด่าคนเหมือนตอนที่อยู่ตรอกซิ่งฮวาในอดีตอีกแล้ว สมกับคำว่าความหิวรักษาได้ร้อยโรคจริงๆ (มาจากประโยคที่ว่าอิ่มเกินไปทำร้ายคน ความหิวรักษาได้ร้อยโรค เป็นความเชื่อของคนโบราณที่เชื่อว่าหากต้องทนหิวบ่อยๆ จะดีต่อร่างกาย คล้ายกับการคุมอาหารในปัจจุบัน ไม่ให้กินอิ่มเกินไป เพราะกินอิ่มเกินไปก็จะอ้วน แล้วจะเป็นโรคต่างๆ ตามมา)
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วฝีเท้า ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว
สุดท้ายก็เริ่มเดินนิ่งหกก้าว เขาไม่ได้ฝึกวิชาหมัดสามท่าในตำราหมัดเขย่าขุนเขามาสามปีเต็มแล้ว ตอนนี้กลับมาฝึกอีกครั้งจึงติดขัดบ้างเล็กน้อย
ตามคำบอกของผู้เชี่ยวชาญอย่างผู้เฒ่าแซ่ชุย ตอนนี้สภาพร่างกายของเฉินผิงอันมีทั้งดีและไม่ดี ดีก็คือเรือนกายของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เมื่อหยุดนิ่งอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมาสามปี พื้นฐานร่างกายยังคงปลอดภัยไม่เป็นอะไร การ ‘ชี้จุด’ สามครั้งผ่านอากาศของฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีปเป็นประโยชน์ต่อเขามาก ไม่อย่างนั้นคาดว่าเฉินผิงอันที่เดินเข้าไปอยู่บนเกาะชิงเสียอาจจะต้องนอนแบ๊บออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็เป็นได้
เพียงแต่ว่าการฝึกตนก็คือชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรค หลังจากที่หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นแหลกสลายไป ก็ได้ทิ้งโรคร้ายที่ใหญ่หลวงเอาไว้ วัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุที่สร้างขึ้นในตอนแรกคือกุญแจสำคัญในการสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่
ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไหร่ หลังจากที่พังทลายลง ก็เหมือนกับการที่ยิ่งปีนไปสูงเท่าไหร่ ตอนตกลงมาก็เจ็บหนักมากเท่านั้น สำหรับข้อนี้คล้ายคลึงกับคำกล่าวของผู้เฒ่าแซ่ชุยที่บอกว่า ได้เห็นมาดสง่างามของเซียนกระบี่มากับตาครั้งแล้วครั้งเล่าก็จะยิ่งเป็นการทิ่มให้เกิดหลุมใหญ่หลุมแล้วเล่าบนสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน เมื่อมันพังทลายแล้วต้องสร้างขึ้นมาใหม่ จึงยากยิ่งกว่ายาก ดังนั้นการที่ต้องเร่งหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามจึงกลายมาเป็นเรื่องด่วนเรื่องสำคัญในตอนนี้
เพราะฉะนั้นในจดหมายลับที่ชุยตงซานทิ้งไว้บนเรือนไม้ไผ่จึงมีการเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิม เขาแนะนำให้อาจารย์อย่างเฉินผิงอันเลือกดินห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลีซึ่งเป็นความคิดที่เฉินผิงอันล้มเลิกไปในคราวแรกให้เป็นธาตุดินของห้าธาตุ ชุยตงซานไม่ได้อธิบายเหตุผลอย่างละเอียด พูดแค่ว่าขอให้อาจารย์เชื่อใจเขาสักครั้ง ในฐานะ ‘ราชครู’ ต้าหลี หากสามารถควบรวมทั้งแจกันสมบัติทวีปให้กลายมาเป็นพื้นที่ของต้าหลีแคว้นเดียวได้จริง จะเลือกห้าขุนเขาไหนให้กลายมาเป็นห้าขุนเขาใหม่บ้าง แน่นอนว่าต้องมั่นใจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นการเลื่อนภูเขาพีอวิ๋นในเขตการปกครองหลงเฉวียนซึ่งเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของต้าหลีเองขึ้นเป็นขุนเขาเหนือ ปีนั้นคนตลอดทั้งต้าหลีที่รับรู้เรื่องนี้ ต่อให้รวมซ่งเจิ้งฉุนซึ่งเป็นอดีตฮ่องเต้ไปด้วย นับนิ้วแล้วก็ยังไม่เกินหนึ่งมือ
ขุนเขากลางคืออดีตขุนเขากลางของราชวงศ์จูอิ๋ง ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น องค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาที่ถูกสถานการณ์ใหญ่บีบบังคับจนจำต้องเปลี่ยนที่พึ่งพา ยังคงรักษาร่างทองในศาลเอาไว้ได้ พัฒนารุดหน้าไปอีกก้าวใหญ่ กลายเป็นขุนเขากลางแห่งทวีป เพื่อเป็นการตอบแทน องค์เทพที่ ‘ยังคงสถานะดั้งเดิม’ เอาไว้ได้ท่านนี้จึงจำเป็นต้องช่วยสกุลซ่งต้าหลีรักษาโชคชะตาแห่งภูเขาและน้ำของแผ่นดินใหม่ให้มั่นคง ผู้ฝึกตนคนใดก็ตามที่อยู่ในอาณาเขตจะได้รับการปกป้องจากขุนเขากลาง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถูกพันธนาการจากขุนเขากลางด้วย ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีชักสีหน้าไม่จำคน แม้แต่ร่างทองของเขาก็ยังถูกเก็บกลับไปด้วย
สวี่รั่วจอมยุทธสำนักโม่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาเฝ้าบัญชาการณ์อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับศาลขุนเขา
ตอนนั้นหร่วนฉงเองก็จะออกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไปยังขุนเขาตะวันตกแห่งใหม่ ที่นั่นห่างจากศาลลมหิมะไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก ขุนเขาตะวันตกแห่งใหม่มีชื่อว่าภูเขากานโจว ไม่ได้ติดหนึ่งในห้าขุนเขาท้องถิ่นดั้งเดิม ครั้งนี้จึงถือว่าเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว
ส่วนผู้ถวายงานลำดับต้นของต้าหลีที่ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนเซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิด ก็จะต้องไปยังขุนเขาตะวันออกแห่งใหม่ที่มีชื่อว่าภูเขาชี่ซาน เพื่อร่วมกันตรวจตราอาณาบริเวณแถบนั้น ป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนแคว้นล่มสลายของแต่ละสถานที่ที่ดึงดันต่อต้านแทรกซึมเข้ามาภายใน คิดทำลายภูเขาแม่น้ำให้พังภินท์โดยไม่เสียดายชีวิต
ส่วนขุนเขาใต้ก็มีฟ่านจวิ้นเม่าเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาของที่นั่น
เกี่ยวกับการเลือกขุนเขาใต้แห่งใหม่ ชุยตงซานอมพะนำ บอกแค่ให้อาจารย์รอดูไปแล้วกัน ถึงเวลานั้นก็จะเข้าใจคำว่า ‘ดินทับถมกันเป็นภูเขา’ เอง
ดังนั้นชุยตงซานจึงเขียนบอกไว้ในจดหมายอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาจะอาศัยโอกาสนี้ขุดเอาดินที่เป็นรากภูเขาของสี่ขุนเขาแห่งใหม่มาแต่เนิ่นๆ บัณฑิตลงมือทำ จะเรียกว่าขโมยได้หรือ? อีกอย่างต่อให้สุดท้ายแล้วอาจารย์ยังคงไม่ยินดีจะเลือกดินห้าสีของห้าขุนเขามาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นต่อไป แต่ดินล้ำค่าที่มีอยู่เต็มกระบุงโกยพวกนี้ อย่างน้อยก็ควรจะเอาไปเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งให้เต็ม นี่ก็คือเงินร้อนน้อยก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเลยทีเดียว ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ยังไม่มีคนจับตาดูอย่างเข้มงวด ไม่เอาก็เสียเปล่า ส่วนทางฝั่งขุนเขาเหนือของเว่ยป้อนั้น ถึงอย่างไรอาจารย์กับเขาก็สวมกางเกงตัวเดียวกัน (เปรียบเปรยว่าสนิทสนมกันมาก) ยังต้องเกรงใจกันไปไย?
—
สัญญาสิบปีผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เฉินผิงอันมาถึงศาลเทพวารีที่บรรยากาศเคร่งขรึมแห่งนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว
ควันธูปของสถานที่แห่งนี้ลุกโชติช่วงอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับสู้ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอไม่ได้ที่ต่อให้เป็นกลางดึกกลางดื่นก็ยังมีผู้มีจิตศรัทธานับพันคนรออยู่ด้านนอกเพื่อหวังจะได้เข้าไปจุดธูปในศาล เพราะถึงอย่างไรแถบเขตการปกครองหลงเฉวียนนี้ก็ยังมีชาวบ้านอยู่น้อย รอให้หลงเฉวียนเลื่อนจากเขตการปกครองเป็นมณฑลเมื่อไหร่ ย่อมต้องมีชาวบ้านของราชสำนักต้าหลีย้ายมาอยู่ที่นี่อย่างต่อเนื่อง ถึงเวลานั้นก็พอจะจินตนาการได้ถึงภาพบรรยากาศคึกคักของศาลเทพวารีต้าหลีแห่งนี้ได้เลย
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปข้างใน ต้นป่ายโบราณขึ้นเขียวครึ้ม ส่วนใหญ่ล้วนเป็นต้นไม้บนภูเขาใหญ่แถบทิศตะวันตกที่ถูกย้ายมาปลูกที่นี่
พอไปถึงตำหนักหลัก เฉินผิงอันก็ข้ามธรณีประตู แหงนหน้ามองเทวรูปดินเผาสีสันที่สูงสี่จั้ง มีชีวิตชีวาเสมือนจริง รอบกายของรูปปั้นล้อมพันไว้ด้วยแถบผ้าหลากสี ราวกับว่ารูปปั้นนี้จะโบยบินขึ้นฟ้า
ระดับความสูงของเทวรูปร่างทองมักจะมีความหมายว่าองค์เทพองค์หนึ่งอยู่ในอันดับหน้าหรือหลังในทำเนียบแห่งภูเขาแม่น้ำของราชสำนักแห่งหนึ่ง
ก็เหมือนกับศาลที่เฉินผิงอันผ่านทางมาก่อนหน้านี้ที่เทวรูปสูงแค่หนึ่งจั้งกว่า
เฉินผิงอันรู้ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้
เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้มีนามเดิมว่าหยางฮวา เคยเป็นสาวใช้ประจำกายของเหนียงเนียงต้าหลี ในอ้อมอกอดกระบี่โบราณที่มีพู่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง เพียงแต่ภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงยอมสละตน ตายแล้วกลายมาเป็นเทพ กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำสายนี้ นางได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ในน้ำ ยามที่สร้างร่างทององค์เทพของตนเองเคยได้ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ระดับขั้นของร่างทองสูงมาก เป็นเหตุให้ราชสำนักต้าหลีให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด อันดับแรกก็เลื่อนลำคลองขึ้นเป็นแม่น้ำ จากนั้นก็เลื่อนขั้นให้เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้อยู่ในระดับสูงสุดของเทพวารี
เฉินผิงอันทั้งไม่ได้เชิญธูปมาจุด แล้วก็ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่เป็นการแสดงความเคารพ เขาอยู่เพียงครู่เดียวก็ออกมาจากตำหนักใหญ่ เดินออกจากศาลเทพที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ย้อนกลับไปทางเดิม
ตั้งแต่ต้นจนจบ บรรยากาศในศาลเทพวารีวิเวกเปลี่ยวเหงา มีเพียงควันธูปเท่านั้นที่ลอยกรุ่นไม่ขาดสาย
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้รบกวนเว่ยป้อ รอจนเขาเดินกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็เป็นยามสนธยาของวันที่สองแล้ว ระหว่างนี้ยังเดินเที่ยวไปตามภูเขาแห่งต่างๆ ที่อยู่ริมขอบด้วย ปีนั้นหลังจากได้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาหลายถุง หร่วนฉงก็แนะนำให้เขาซื้อภูเขา เฉินผิงอันพกเอาแผนที่ที่ทางที่ว่าการงานเตาเผาเป็นผู้สร้างขึ้นเดินไปทั่วกลุ่มภูเขาเพียงลำพัง สุดท้ายเลือกภูเขาห้าลูกซึ่งรวมภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเจินจูเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้มาลองย้อนคิดดูแล้วก็ราวกับว่าอยู่ห่างไกลกันคนละโลกจริงๆ
หลังจากขึ้นเขามาแล้ว เฉินผิงอันก็ไปที่เรือนไม้ไผ่ก่อน หนีพระได้ หนีวัดไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถหลบผู้เฒ่าได้ทุกวัน อีกอย่างหากผู้เฒ่าคิดจะซ้อมเขาจริงๆ คิดจะหลบก็หลบไม่พ้น
เฉินผิงอันนั่งเขียนจดหมายหลายฉบับอยู่ในชั้นหนึ่ง คิดว่าจะส่งไปยังสำนักศึกษาซานหยา ส่งให้แก่หลิวจื้อเม่าและกู้ช่านที่เกาะชิงเสีย รวมไปถึงหมู่บ้านของซ่งอวี่เซาแคว้นซูสุ่ย จดหมายฉบับที่ส่งไปให้กู้ช่านนั้น ยังขอให้เขาช่วยนำความไปบอกต่อแก่หลิวจ้งรุ่นเกาะจูไชด้วย ส่วนกระบี่บินส่งข่าวที่ส่งไปให้แก่หลิวจื้อเม่าก็เตือนถึงสภาพการณ์ของหงซูที่อยู่ในจวนชุนถิง
หลิวจื้อเม่ารอดพ้นจากหายนะใหญ่มาได้โดยที่ไม่ตาย ตอนนี้ไม่เพียงแต่เดินออกมาจากคุกน้ำเกาะกงหลิ่วย้อนกลับไปเกาะชิงเสียอย่างปลอดภัย ยังเปลี่ยนสถานะใหม่ กลายมาเป็นผู้ถวายงานของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกเช่นเดียวกับหลิวเหล่าเฉิง อีกทั้งยังอยู่ในอันดับที่สาม ขั้วอำนาจมากมายของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เหยียบย่ำซ้ำเติมเกาะชิงเสียในปีนั้น คาดว่าคงไม่มีใครหนีผลลัพธ์ที่ตามมาได้พ้น ส่วนลูกศิษย์และผู้ถวายงานในเกาะชิงเสียเองก็คาดว่าคงยิ่งต้องซวยหนัก ยกตัวอย่างเช่นคนฉลาดที่ไม่ว่าจะวางแผนเรื่องใดก็ล้วนคิดเสมอว่าอาจารย์ของตนอย่างหลิวจื้อเม่าต้องตายสถานเดียว เถียนหูจวินผู้ฝึกตนโอสถทองแห่งเกาะซู่หลิน
ดังนั้นคำโบราณที่กล่าวไว้ว่าเป็นคนควรเหลือทางถอยให้ตัวเอง ยังคงมีเหตุผลอย่างมาก
จดหมายฉบับสุดท้ายนั้นเขียนให้กับจงขุยแห่งภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีป เขาจำเป็นต้องส่งไปยังนครมังกรเฒ่าก่อน จากนั้นค่อยส่งกระบี่บินข้ามทวีปไปอีกที จดหมายฉบับที่เหลือ ท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวมีห้องกระบี่อยู่ห้องหนึ่ง หากอยู่ในทวีปเดียวกัน ขอแค่ไม่เป็นสถานที่ที่กันดารห่างไกลเกินไป หรือเป็นภูเขาที่ศักยภาพอ่อนด้อยเกินไปก็ล้วนสามารถส่งไปถึงได้อย่างราบรื่น เพียงแต่ว่ากระบี่บินของห้องกระบี่ตอนนี้อยู่ในการควบคุมของกองทัพของต้าหลี ดังนั้นจึงยังต้องใช้เว่ยป้อมาบังหน้า นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากเปลี่ยนมาเป็นหร่วนฉงก็คงไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงขนาดนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพราะว่าภูเขาลั่วพั่วยังไม่มีหน้ามีตาเฉกเช่นคนอื่นเขา
เขียนจดหมายแต่ละฉบับเสร็จแล้วก็เรียกเผยเฉียนกับจูเหลี่ยนมาหา บอกให้พวกเขาเอาไปส่งที่ภูเขาหนิวเจี่ยว
เผยเฉียนเปี่ยมไปด้วยความคึกคักฮึกเหิม
จึงคิดจะเรียกเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูให้ไปด้วยกัน สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกลับเรียกตัวพวกเขาไว้ก่อน เผยเฉียนจึงได้แต่ลงเขาไปพร้อมกับพ่อครัวเฒ่า แต่ก็ยังถามอาจารย์ว่าจูงฉวีหวงไปด้วยกันได้หรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าได้ เผยเฉียนถึงได้เดินอาดๆ ออกไปจากเรือน
เดิมทีนึกว่าต้องรอให้ตนท่องยุทธภพในครั้งต่อไปก่อนเท่านั้นถึงจะขอลาตัวเล็กๆ มาจากอาจารย์ได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ตั้งแต่ตอนนี้เลย ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็ไม่ต้องไปท่องอยู่ในยุทธภพแล้วดีกว่า ขี่ม้าเตร่อยู่รอบๆ ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ถือว่าท่องอยู่ในยุทธภพแล้วหรอกหรือ? แล้วก็ไม่ต้องไปเจอกับคนชั่วมากมายที่ตัวเองไม่ชอบด้วย หิวเมื่อไหร่ก็วิ่งกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องการกินอยู่ ยุทธภพที่เป็นเช่นนี้ แม้จะเล็กไปหน่อย แต่นางมีความสุขมากนี่นา
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้อยู่บนภูเขา บอกว่าจะไปชำระหนี้ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาพักอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว คาดว่าเจิ้งต้าเฟิงคงจะติดหนี้โรงเตี๊ยมและหอสุราไว้บานเบอะ ถึงได้ยืมเงินไปจากจูเหลี่ยน ส่วนจะคืนหรือไม่ แล้วจะคืนเมื่อไหร่ สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้
เด็กสาวที่ชื่อว่าเฉินยวนจีผู้นั้น ตอนนั้นก็ยืนอยู่ในลานบ้านอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของนางแดงก่ำ ไม่กล้ามองเจ้าของภูเขาหนุ่มผู้นั้นตรงๆ
เฉินผิงอันย่อมไม่ถือสาความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ บอกตามตรง แรกเริ่มเป็นเขาที่หลงตัวเอง นึกว่าจะเป็นไปตามคำบอกของจูเหลี่ยน คิดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กสาวไร้เดียงสาตีแสกหน้าอย่างจัง นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกผิดหวังนิดๆ
ไม่ใช่ว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนเจ้าชูเสเพล แต่บุรุษบนโลกใบนี้ ไหนเลยจะไม่ชอบให้ตัวเองหน้าตาดี ไม่ทำให้คนอื่นรังเกียจ?
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้จงใจเย็นชาใส่เฉินยวนจี เขาเอ่ยประโยคที่เอ่ยตอนอยู่หน้าประตูบ้านตระกูลเฉินในเขตการปกครองหลงเฉวียนก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบ ในเมื่อมาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว จะฝึกวรยุทธที่นี่ก็ต้องเคารพกฎ ทางที่ดีที่สุดควรถามจากจูเหลี่ยนให้รู้แน่ชัด หลังจากนั้นเมื่ออยู่ในกฎแล้ว คิดจะทำอะไรพูดอะไรก็จะไม่ละเมิดกฎอีก อีกทั้งต่อให้ในอนาคตถูกลงโทษ แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ผิด ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล สามารถมาอธิบายเหตุผลกับเขาเฉินผิงอันได้โดยตรง จะไม่มีใครห้ามปรามเด็ดขาด ขอแค่เหตุผลของนางถูกต้อง เฉินผิงอันก็จะยอมรับในเหตุผลของนาง
เฉินยวนจีพยักหน้ารับอย่างมึนๆ งงๆ ยังคงไม่พูดอะไรอยู่เหมือนเดิม
นางทั้งโล่งใจและกังวลใจ โล่งใจว่าภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่บ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ กังวลว่านอกจากเทพเซียนผู้เฒ่าจูแล้ว เหตุใดนับตั้งแต่เจ้าภูเขาหนุ่ม ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าภูเขา ไปจนถึงเด็กชุดเขียว ชุดกระโปรงชมพูคู่นั้น ล้วนแตกต่างจากผู้ฝึกตนบนภูเขาในใจของเฉินยวนจีไปมากนัก มีเพียง ‘เว่ยป้อ’ คนเดียวที่ภาพลักษณ์สอดคล้องกับเทพเซียนในใจนางมากที่สุด แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนภูเขาลั่วพั่ว
ส่วนผู้เฒ่าที่มีชื่อว่าสือโหรวผู้นั้น ไม่ค่อยชอบพูด ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ แค่มองเขาแล้วก็รู้สึกขนลุก
เฉินยวนจีถอนหายใจอยู่ในใจ ช่างเถิด อยู่ที่นี่แล้วตั้งใจฝึกวรยุทธก็แล้วกัน
เฉินผิงอันพาเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไปที่โต๊ะหินริมหน้าผาของเรือนไม้ไผ่ด้วยกัน
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ตำแหน่งค่อนไปทางทิศเหนือ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่บดบังการทอดสายตามองไปทางทิศใต้ของนายท่านตัวเอง
เด็กชายชุดเขียวนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน แค่เขายื่นมือออกมา เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็ควักเมล็ดแตงกำหนึ่งส่งไปให้ อยู่กับเผยเฉียนที่ชอบแทะเมล็ดแตงมากที่สุดนานวันเข้า นางจึงเหมือนแม่ค้าร้านแผงลอยเล็กๆ ที่ขายเมล็ดแตงเข้าไปทุกทีแล้ว
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้าไม่เคยมีชื่ออย่างเป็นทางการกันสักที นี่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ วันหน้าภูเขาลั่วพั่วอาจจะมีสำนัก หรือไม่แน่แม้แต่ศาลบรรพจารย์ก็อาจจะยังมี แต่ชื่อแห่งชะตาชีวิตของพวกเจ้า พวกเจ้าก็เก็บไว้กับตัวนั่นแหละดีแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าไม่เคยถามพวกเจ้า วันหน้าก็จะไม่ถาม ต่อให้ในอนาคตภูเขาลั่วพั่วกลายเป็นภูเขาของการฝึกตนจริงๆ ก็จะไม่เรียกร้องต่อพวกเจ้าเหมือนกัน ตอนนี้ข้าสามารถบอกพวกเจ้าไว้ได้เลย หากวันหน้ามีใครปากมากยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด พวกเจ้าก็มาบอกข้า ข้าจะคุยกับเขาเอง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะต้องมีชื่อที่สามารถบันทึกไว้ในทำเนียบศาลบรรพจารย์ในอนาคต ดังนั้นพวกเจ้ามีชื่อหรือฉายาที่ตัวเองชื่นชอบกันหรือไม่?”
ภูตแห่งภูเขาแม่น้ำ จำเป็นต้องสลักชื่อแห่งชะตาชีวิตของตัวเองไว้ในจุดใดจุดหนึ่งของทะเลสาบหัวใจ ห้องหัวใจ หรือผืนนาหัวใจอย่างระมัดระวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจำแลงร่างกลายเป็นคนแล้ว ชื่อนี้ก็ห้ามขาดไปเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการ ‘ป่าวประกาศแก่ใต้หล้า’ ประหนึ่งรัชศกในการก่อตั้งแคว้น
การถ่ายทอดวิชาลับบนภูเขา หากภูตหรือปีศาจไม่ยินดีถูก ‘บันทึกลงเอกสาร’ ก็จะต้องถูกมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลผลักไส มีอุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน ภูตและปีศาจหลายตนที่ออกห่างจากโลกมนุษย์ ไม่เข้าใจในหลักการนี้ การที่พวกเขาบรรลุมรรคาได้อย่างยากลำบาก ก็เพราะว่าไม่มีใครบอกเรื่องนี้บนเส้นทางการฝึกตน เป็นเหตุให้ร้อยปีพันปีต้องอยู่อย่างไร้แซ่ไร้นาม ชีวิตระหกระเหินเจอแต่ปัญหา การฝ่าทะลุขอบเขตเชื่องช้า ไม่ได้รับการยอมรับจากใต้หล้าไพศาล นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุหลัก
เพียงแต่ว่าหากถูกผู้ฝึกตนรู้ชื่อที่แท้จริง นั่นก็เท่ากับว่าภูตและปีศาจถูกกุมจุดอ่อนข้อใหญ่เอาไว้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่เคยถามชื่อที่แท้จริงของเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู
เฉินผิงอันพลันหัวเราะ แล้วพูดด้วยความมั่นใจว่า “หากพวกเจ้าคิดไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยตั้งชื่อให้พวกเจ้าเอง เรื่องนี้ข้าถนัดนักล่ะ”
เด็กชายชุดเขียวที่เดิมทียังโคลงศีรษะแทะเมล็ดแตงเหมือนถูกฟ้าผ่า โยนเมล็ดแตงไว้บนโต๊ะ ใช้ฝ่ามือสองข้างยันพื้นโต๊ะหิน พูดโอดครวญ “ไม่ได้เด็ดขาด! ข้าค่อยๆ คิดชื่อของตัวเองได้ นายท่านเหนื่อยยากขนาดนี้แล้ว ก็อย่าเป็นกังวลกับเรื่องนี้อีกเลย…”
ต่อให้เป็นเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่สนิทสนมกับเฉินผิงอันที่สุด บนใบหน้าเล็กๆ สีชมพูระเรื่อที่น่ารักก็ยังเริ่มมีสีหน้าแข็งทื่อ
เฉินผิงอันมองเด็กชายชุดเขียว แล้วก็ค่อยหันมามองเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู “ไม่ต้องให้ข้าช่วยจริงๆ หรือ? ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้วนะ อย่ามาเสียใจภายหลังล่ะ”
เด็กชายชุดเขียวรีบถูข้างแก้มแรงๆ พึมพำว่า “มารดามันเถอะ รอดตายหวุดหวิดแล้วเรา”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูกลัวว่านายท่านของตนจะเสียใจจึงแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ดีใจขนาดนั้น พยายามขึงหน้าเล็กๆ ให้บึ้งตึง
เฉินผิงอันยังคงไม่ถอดใจ ถามหยั่งเชิงว่า “ระหว่างที่ข้าย้อนกลับมาบ้านเกิดได้คิดชื่อดีๆ ไว้ได้หลายชื่อ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าลองฟังดูก่อนดีไหม?”
เด็กชายชุดเขียวน้ำตาคลอเจียนจะหยด “นายท่าน ข้าได้ยินมาว่าความรู้ของบัณฑิตนั้น ใช้หมดไปนิดหนึ่งก็หายไปนิดหนึ่ง กระบี่สี่เล่ม ชูอีสืออู่ กำจัดปีศาจปราบมาร ความรู้ความสามารถของนายท่านก็ถูกใช้ไปพอสมควรแล้ว ควรประหยัดไว้หน่อยจะดีกว่านะ”
เด็กชายชุดเขียวโขกหัวกับโต๊ะหิน แกล้งตาย เพียงแต่ว่าเบื่อมากจริงๆ บางครั้งจึงจะยื่นมือไปหยิบเมล็ดแตงมาหนึ่งเมล็ด เอียงศีรษะน้อยๆ แอบแทะเมล็ดแตง
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ หากเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็มาบอกข้าแล้วกัน”
เด็กชายชุดเขียวเอาหน้าแนบโต๊ะ หันไปทำหน้าทะเล้นใส่เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูปิดปากหัวเราะคิกคัก
เฉินผิงอันยิ้มอ่อนโยน ลูบศีรษะเล็กของนางเบาๆ
ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด เฉินผิงอันขี่ม้าเดินทางพลางพลิกแผ่นไม้ไผ่แต่ละแผ่น ไล่อ่านถ้อยคำที่งดงามบนนั้นก็เพื่อจะนำมาตั้งชื่อที่ไพเราะให้กับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง
น่าเสียดายที่วีรบุรุษไร้ที่ให้แสดงฝีมือ
พูดคุยธุระสำคัญเสร็จ เด็กน้อยทั้งสองก็ลุกขึ้นบอกลาแล้ววิ่งปรู๊ดจากไปอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
เขานั่งอยู่ที่เดิม บนโต๊ะยังมีเมล็ดแตงที่เด็กชายชุดเขียวกินไม่หมด เขาจึงหยิบมันขึ้นมาทีละเมล็ดแล้วนั่งแทะเพียงลำพัง
เรื่องที่ตนลงนามซื้อขายภูเขากับสกุลซ่งต้าหลี ราชสำนักต้าหลีจะส่งตัวรองเจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งมา
เฉินผิงอันปัดมือ ควักยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นออกมา เขารู้สึกลังเลเล็กน้อย
เว่ยป้อเคยบอกว่า ถึงแม้สกุลหลี่บนถนนฝูลวี่จะมีรากฐานไม่ตื้นเขิน ทว่าตอนนั้นบรรพบุรุษสกุลหลี่ฝืนฝ่าคอขวดโอสถทอง เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดในรวดเดียว ได้เผาผลาญสมบัติของตระกูลไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนภายนอกแล้วยัง ‘หนุ่มอย่างมาก’ ท่านนี้ หลังจากที่ตราผนึกของถ้ำสวรรค์หลีจูเปิดออก เขาที่เคยชินกับฟ้าดินขนาดเล็กในอดีตไปแล้ว การประทานบุญคุณของในอดีตล้วนกลับคืนสู่ฟ้าดินไปหมด นี่จึงกลับกลายมาเป็นเรื่องร้าย รากฐานตื้นเขินเกินไป ขอบเขตสูงเกินไป เป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์อันตรายอย่างน้ำมหาสมุทรไหลย้อนทะลักกลับคืน จำเป็นต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนเพื่อสร้างเขื่อนกั้น ป้องกันไม่ให้ถูกปราณขุ่นมัวสกปรกรุกรานโจมตีอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ทุกวันนี้สกุลหลี่ยังรับช่วงต่อซื้อจวนหลังใหญ่ของลูกหลานอ๋องและโหวที่ตกอับในเมืองหลวงต้าหลีมาหลังหนึ่ง นี่ทำให้พวกเขามีค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้นตอนนี้สกุลหลี่จึงขาดแคลนเงินทองจริงๆ
สี่แซ่สิบสกุลใหญ่ในอดีตของถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่ในอดีต ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
บางคนก็ย้ายออกไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวกลับมาอีกเลย บางคนก็เงียบหายไปทั้งอย่างนี้ ไม่รู้ว่ากำลังสะสมกำลังหรือว่าต้นกำเนิดพลังเสียหายจากการวางแผนลับเบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้กันแน่ ส่วนตระกูลที่ในอดีตไม่ได้อยู่ในลำดับนี้ อย่างเช่นสกุลเซี่ยตรอกเถาเย่ของเด็กหนุ่มคิ้วยาว เนื่องจากบรรพบุรุษอย่างเซี่ยสือเจินจวินแห่งอุตรกุรุทวีปโผล่ออกมา พวกเขาจึงถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในตรอกเถาเย่ทุกวันนี้
ทางฝั่งของเรือนชั้นสอง ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นว่า “พรุ่งนี้เริ่มฝึกหมัด”
เฉินผิงอันตอบรับ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังบ่อน้ำเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ น้ำในบ่อใสกระจ่างจนเห็นก้นบึ้ง หลังจากที่เว่ยป้อสร้างบ่อนี้ขึ้นมา ต้นกำเนิดน้ำของที่นี่คือน้ำเป็น ซึ่งไม่ธรรมดาเลย เพราะรับเอามาจากภูเขาพีอวิ๋นโดยตรง ภายหลังก็โยนเมล็ดดอกบัวสีทองเมล็ดนั้นลงไปข้างใน
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ด้านข้าง ยื่นมือไปตบพื้นเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ออกมาเถอะ”
คนจิ๋วดอกบัวผุดออกมาจากพื้นดิน บนร่างไม่เปรอะเปื้อนดินโคลนแม้แต่น้อย มันหัวเราะคิกคัก ดึงชุดสีเขียวของเฉินผิงอัน พริบตาเดียวก็ไต่ขึ้นมานั่งบนไหล่ของเขาแล้ว
เฉินผิงอันเคยบอกให้เว่ยป้อช่วยดูแลคนจิ๋วดอกบัวแทนเขา ตอนนั้นสายตาของเว่ยป้อเลื่อนลอย เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
มองบ่อน้ำเล็กๆ อยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีทางมองจนดอกไม้ผุดออกมาได้
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน พาคนจิ๋วดอกบัวเดินไปยังชั้นหนึ่งของเรือนด้วยกัน ที่นี่ถือว่าเป็นที่พักอย่างเป็นทางการของเขาเฉินผิงอัน
ของหลายอย่างล้วนเก็บไว้ที่นี่ ตอนที่เฉินผิงอันไม่อยู่ภูเขาลั่วพั่ว เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูก็จะมาปัดฝุ่นทำความสะอาดให้ทุกวัน อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้เด็กชายชุดเขียวเข้าออกได้ตามใจชอบด้วย
เฉินผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ ตอนนี้เขายังคงสวมชุดสีเขียว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นนักบัญชีอีกรอบแล้วกัน? ลองคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเองในตอนนี้อย่างละเอียดสักหน่อย?
คนจิ๋วดอกบัวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะแล้วเริ่มวิ่งไปวิ่งมา ตรวจสอบดูสิ่งของและตำราที่อยู่บนโต๊ะว่าจัดวางไว้เป็นระเบียบหรือไม่ ท่าทางของมันรอบคอบระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง หากมีตรงไหนไม่เป็นระเบียบก็จะเคลื่อนย้ายเบาๆ เจ้าตัวน้อยจึงยุ่งมาก
หางตาของเฉินผิงอันพลันหันไปเป็นกล่องตราประทับใบหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะ พอเปิดออกดู ด้านในคือตราประทับส่วนตัวชิ้นหนึ่ง ออกเดินทางหลายครั้งแต่ไม่เคยพกติดตัวไปสักครั้ง ไปๆ มาๆ มันจึงถือว่ากลายเป็นสมบัติพิทักษ์ขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ไปแล้ว
เฉินผิงอันชูตราประทับขึ้นสูง บนนั้นสลักตัวอักษรสามตัว
เฉินสืออี
เฉินผิงอันมองตัวอักษรโบราณขนาดเล็กอยู่อย่างนั้น
ก่อนที่เขาจะวางตราประทับนี้ลงบนโต๊ะ วางคางไว้บนมือสองข้างที่ทับซ้อนกัน จ้องนิ่งมองตัวอักษรที่อยู่ด้านล่างของตราประทับ
แล้วเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน บิดหมุนข้อมือ ใช้จิตบังคับเอาตราประทับตัวอักษรน้ำที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้น ‘ออกมา’ จากในจวนน้ำ แล้ววางลงด้านข้างเบาๆ
ตราประทับสองชิ้น ในที่สุดก็ไม่ต้องเดียวดายเพียงลำพังกันอีกแล้ว
เฉินผิงอันกลับไปนอนฟุบตัวบนโต๊ะอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองว่า “หวังว่าวันหนึ่ง เมื่อมีคนไม่ใช้เหตุผลกับข้า ต้องถามก่อนว่าหมัดและกระบี่ของข้าตอบรับหรือไม่ เพียงแต่ตอนนี้วิชาหมัดไม่สูง วิชากระบี่ก็ยังฝึกไม่สำเร็จ สัญญาสิบปีผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว จะทำอย่างไรดี?”
และเวลานี้เอง เจี้ยนเซียนในฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังก็เหมือนมังกรที่ถูกแต้มนัยน์ตา ส่งเสียงร้องครวญ