Skip to content

Sword of Coming 469

บทที่ 469 ขี่กระบี่ไปเยือนศาลบรรพจารย์

มือกระบี่หนุ่มสวมชุดเขียวสะพายกระบี่เดินทางมาเยือนแคว้นไฉ่อีในครั้งนี้ยังคงเดินผ่านเทือกเขาเล็กเตี้ยที่คุ้นเคยแถบนั้น เมื่อเทียบกับการเดินทางพร้อมกับจางซานเฟิงในปีนั้น ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งภูตผีที่พลังชีวิตขาดสะบั้นแห่งนี้ ตอนนี้จะไม่เหลือกลิ่นอายของความอึมครึมน่าสะพรึงกลัวอยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่พูดว่าเป็นสถานที่งดงามแห่งภูเขาสายน้ำที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นอะไร แต่ถึงอย่างไรภูเขาก็เขียว สายน้ำก็ใส ดีกว่าในอดีตเยอะมาก เดินไปข้างหน้าโดยอาศัยความทรงจำมาตลอดทาง ในที่สุดท่ามกลางม่านราตรีของคืนหนึ่งก็มาถึงเรือนเก่าแก่ที่คุ้นเคย ยังคงมีสิงโตหินสองตัวทำหน้าที่เฝ้าประตู อีกทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะตอนนี้มีกลอนคู่แขวนไว้ แล้วก็มีภาพเทพทวารบาลสีสันแปะอยู่

หลังจากเคาะประตูก็ยืนรอด้วยความอดทน

หญิงชราอายุมากคนหนึ่งเดินค้อมเอว ในมือถือโคมไฟดวงหนึ่งมาเปิดประตูใหญ่ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะกินแรงอยู่มาก แล้วจึงได้เห็นคนหนุ่มที่ปลดงอบลง คลี่ยิ้มเจิดจ้าเต็มใบหน้า ตัวของเขาสูงมาก เพียงแต่ว่าค่อนข้างผอม อีกทั้งยังสะพายกระบี่ มองดูแล้วเหมือนจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่ท่องเที่ยวจนมาถึงที่นี่

หญิงชราสีหน้าซีดขาว กลางดึกแบบนี้ ใครเห็นเข้าก็น่าตกใจกลัวอยู่ไม่น้อย

นางพยายามจะไม่ทำให้แขกผู้มาเยือนตกใจ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้จวนก็ไม่เพียงแต่ผ่านหายนะด่านยากมาได้แล้ว ยังได้รับโชคดีหลังจากโชคร้าย จึงไม่จำเป็นต้องจงใจทำให้คนธรรมดาตกใจกลัวจนเผ่นหนีไปอีก หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย

หญิงชราเอ่ยถามเสียงเบา “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าจะมาค้างแรมหรือ?”

คนหนุ่มยิ้มตอบ “ไม่เพียงแต่จะมาค้างแรม ยังจะขอเหล้าดื่ม และขอเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวเป็นอาหารแกล้มเหล้าด้วย”

หญิงชราอึ้งตะลึง จากนั้นน้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อขึ้นมาคลอดวงตา ถามเสียงสั่นว่า “ใช่คุณชายเฉินหรือไม่?”

ผู้ที่มาเยือนก็คือเฉินผิงอันที่เดินทางลงใต้มาเพียงลำพัง

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านยายยังสบายดีหรือไม่?”

หญิงชรารีบคว้ามือเฉินผิงอันมากุมไว้ ราวกับกลัวว่าผู้มีพระคุณใหญ่จะแค่มาให้เห็นหน้าแล้วก็จากไป มือข้างที่ถือโคมไฟยกขึ้นเบาๆ นางใช้หลังมือที่ผิวพรรณแห้งกร้านเช็ดน้ำตา พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ นี่ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว ด้วยสภาพร่างกายของข้า หากคุณชายเฉินยังไม่มาคงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จะยังเข้าครัวทำอาหารให้ผู้มีพระคุณกินไหวได้อย่างไร เหล้า มี ล้วนเป็นเหล้าที่คุณชายเฉินเหลือทิ้งไว้ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็เหลือเอาไว้ทุกปี ไม่ว่าจะดื่มแค่ไหนก็ล้วนมีมากพอให้ดื่ม…”

เฉินผิงอันเอางอบหนีบไว้ใต้รักแร้ ใช้สองมือกุมมือของหญิงชราเบาๆ พูดอย่างละอายใจว่า “ท่านยาย เป็นข้าที่มาช้าไป”

หญิงชรารีบหันไปตะโกนเรียก “นายท่าน ฮูหยิน คุณชายเฉินมาแล้ว มาแล้วจริงๆ”

หยางหว่างสวมชุดลัทธิขงจื๊อ บุรุษที่ปีนั้นยอมกลายเป็นผีชางโดยไม่เสียดายเพื่อต่อชีวิตให้ภรรยา กับสตรีแต่งงานแล้วที่สีหน้าสดใสคนหนึ่งพากันสาวเท้าเดินเร็วๆ มาที่หน้าประตู

สองสามีภรรยาพอพบเฉินผิงอันก็ทำท่าจะลงไปคุกเข่าโขกหัวคำนับ

ถ้อยคำนับพันนับหมื่น ล้วนไม่อาจตอบแทนพระคุณยิ่งใหญ่ของปีนั้นได้หมด

เฉินผิงอันคิดจะห้ามปรามคนทั้งสอง แต่กลับถูกหญิงชราจับมือไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าต้องการให้เฉินผิงอันรับพิธียิ่งใหญ่นี้

เฉินผิงอันจึงได้แต่ปล่อยให้พวกเขาทำไป

หยางหว่างและอิงอิงผู้เป็นภรรยาลุกขึ้นยืนแล้ว

หญิงชราถึงได้ยอมปล่อยมือ

หยางหว่างและภรรยาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

เด็กหนุ่มในอดีตผู้นั้น ดูเหมือนว่าเวลาเพียงชั่วพริบตา ตอนนี้ได้กลายมาเป็นคุณชายหนุ่มคนหนึ่งแล้ว เพียงแต่มองดูแล้วจะผอมและอิดโรยอยู่บ้าง ทว่ากลับเหมือนเซียนกระบี่สมชื่อมากกว่าเดิม ดีจริงๆ

คนทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในเรือน เฉินผิงอันย่อมช่วยปิดประตูใหญ่ให้หญิงชรา หยางหว่างและภรรยาก็ยิ่งยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ หญิงชราที่ถูกแย่งหน้าที่อดบ่นไม่ได้ บอกว่างานที่ใช้แรงไม่กี่ชั่งนี้ ไหนเลยต้องรบกวนคุณชายเฉินด้วย

หญิงชราบอกว่าจะไปก่อไฟทำอาหารมื้อดึกที่ห้องครัว เฉินผิงอันบอกว่าดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ทว่าหญิงชรากลับไม่ยอมตอบรับ สตรีแต่งงานแล้วจึงบอกว่านางเองก็จะไปทำกับแกล้มจานเล็กๆ ด้วยตัวเองเหมือนกัน ถือซะว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับคุณชายเฉินอย่างถูไถไปก่อน

หยางหว่างพาเฉินผิงอันไปนั่งในห้องโถงที่คุ้นเคย ตลอดทางก็เล่าถึงเหตุการณ์ในปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันจากไป

ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น

หยางหว่างที่ปีนั้นเกือบจะตกสู่วิถีมาร ตอนนี้ได้กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนอีกครั้ง แม้จะบอกว่าหลังจากถูกถ่วงรั้งอยู่บนมหามรรคาย่อมถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีเส้นทางอนาคตที่ถูกปูด้วยผ้าแพร แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้นที่เป็นผีชางซึ่งจะเป็นคนก็ไม่ใช่คน เป็นผีก็ไม่ใช่ผีแล้ว ก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ ต้องรู้ว่าเดิมทีหยางหว่างที่อยู่ในสำนักโองการเทพเคยถูกมองเป็นว่าที่เซียนดินโอสถทอง ถูกสำนักอบรมปลูกฝังให้ความสำคัญ ภายหลังเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น เพื่อด่านความรัก เขาเป็นฝ่ายสละทิ้งมหามรรคา สิ่งที่ได้มาและสูญเสียไประหว่างเรื่องราวในครั้งนี้ จะหวานหรือขม หยางหว่างล้วนรู้ชัดเจนดีอยู่กับใจตัวเอง เพียงแต่เขาไม่เคยเสียใจภายหลังก็เท่านั้น

ส่วนภรรยาที่เดิมทีถูก ‘กักขัง’ ไว้บนหอซิ่วโหลวก็ยิ่งได้กลับคืนมามีรูปโฉมเดิม อีกทั้งบนเส้นทางของการฝึกตนยังโชคดีกว่าสามีอย่างหยางหว่าง นางยังฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกหนึ่งขั้น ดังนั้นตอนนี้จึงสามารถนำร่างเดิมทิ้งไว้ในหอซิ่วโหลวของเรือนด้านหลัง แล้วใช้จิตหยินออกมาท่องยามราตรี หรือต่อให้ออกไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิฤดูใบไม้ร่วงก็ยังไม่เป็นปัญหา แทบไม่แตกต่างอะไรไปจากสตรีแต่งงานแล้วทั่วไปในโลกมนุษย์ ไม่ต้องถูกพายุลมกรดในฟ้าดินพัดกัดกินอยู่ทุกค่ำเช้า ไม่ต้องทนทรมานกับจิตวิญญาณที่กระเพื่อมสั่นสะเทือนอีกต่อไป

หยางหว่างถามถึงนักพรตหนุ่มจางซานเฟิงและมือดาบเคราดกสวีหย่วนเสีย เฉินผิงอันก็เล่าให้เขาฟังไปทีละเรื่อง

เฉินผิงอันเองก็ถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของเจ้าเมืองแยนจือและทายาทขุนนางอย่างหลิวเกาหวา หยางหว่างจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้ฟัง บอกว่าเมื่อหลายปีก่อนเจ้าเมืองหลิวได้เลื่อนขั้นจึงไปรับหน้าที่เป็นผู้ตรวจการมณฑลชิงโจวแคว้นไฉ่อี กลายไปเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาท่านหนึ่ง เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน นอกจากนี้บุตรสาวของเขาก็กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักโองการเทพแล้ว การที่เจ้าเมืองหลิวได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการมณฑลก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย

ส่วนหลิวเกาหวานั้น หลายปีมานี้ยังเคยมาเยี่ยมที่จวนอยู่สองครั้ง เมื่อเทียบกับความเสเพลในอดีต ชอบอาศัยข้ออ้างว่าอยากจะท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสวยน้ำใส ไม่ยินดีจะไปสอบชิงตำแหน่งขุนนางแล้ว ทุกวันนี้ก็ถือว่าสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ เพียงแต่ว่าผลการสอบระดับแคว้นก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก จึงยังมีสถานะเป็นแค่จวี่เหริน ดังนั้นครั้งที่สองที่มาเยือนจวนจึงดื่มเหล้าดับทุกข์ไปไม่น้อย บ่นให้ฟังว่า บิดาของเขายื่นคำขาดแล้วว่า หากยังสอบไม่ติดจิ้นซื่อจะให้เขาแต่งภรรยาเข้าบ้านก็พอ

เฉินผิงอันยังถามถึงเรื่องของผู้ฝึกตนอย่างอวี๋เวิงเซียนเซิง หยางหว่างบอกว่าบังเอิญยิ่งนัก อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองหลวง ตอนนี้อยู่ในเมืองแยนจือ อีกทั้งยังได้ยินมาว่าเขารับลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งที่ชื่อจ้าวหลวนมา พรสวรรค์ของนางดีเยี่ยม แต่ทว่าโชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย ท่านผู้เฒ่าก็มีเรื่องให้ต้องวุ่นวายใจเหมือนกัน ว่ากันว่าแคว้นแยนจือมีผู้นำเซียนซือบนภูเขาท่านหนึ่งที่ถูกชะตากับจ้าวหลวน หวังว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจะมอบศิษย์ของตนไปให้เขา หากตกลงจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ และยังยินดีจะเชื้อเชิญอวี๋เวิงเซียนเซิงให้ไปเป็นผู้ถวายงานของสำนักด้วย เพียงแต่อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้ตอบรับ

เฉินผิงอันฟังเงียบๆ มาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “เซียนซือท่านนี้ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร แล้วมีขอบเขตอะไร?”

แม้หยางหว่างจะเป็นผีชางมานานหลายปี รากฐานจิตวิญญาณและรากฐานในการฝึกตนล้วนถูกทำร้าย แต่ถึงอย่างไรก็เคยเป็นลูกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักโองการเทพ บวกกับที่ทุกวันนี้ไม่มีภาระใดๆ อีกแล้ว จึงเป็นเหตุให้ยามที่พูดถึงเหล่าผู้นำเซียนซือของแคว้นไฉ่อี ยังคงสามารถพูดคุยได้อย่างผ่อนคลายไร้ความยำเกรง เขายิ้มตอบว่า “คงเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อนได้เลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกร ดังนั้นจึงหลงระเริงลำพองใจ ทั้งบนภูเขาและล่างภูเขาต่างก็ร้อนเป็นไฟกันไปหมด อีกทั้งยังรับลูกศิษย์ใหม่ๆ เข้าสำนักมาอย่างบ้าคลั่ง มีทั้งดีและไม่ดี สำนักที่เดิมทียังถือว่ามีชื่อเสียงไม่เลว กลับสู้ในอดีตไม่ได้แล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปลองสืบหาข่าวเพิ่มอีกสักหน่อย”

หยางหว่างยิ้มกล่าว “คำพูดเหล่านี้ของข้า เดิมทีก็ได้ยินจากคนอื่นมาอีกที ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้”

สุราและกับแกล้มถูกยกขึ้นโต๊ะ

สุราคือสุราหมักเองที่ทุ่มเทความคิดและจิตใจไปมาก อาหารก็ครบทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ

สตรีแต่งงานแล้วและหญิงชราต่างก็พากันนั่งลง ในจวนแห่งนี้ไม่มีระเบียบที่คร่ำครึอะไรมากมาย

บางทีอาจเป็นเพราะอยากให้เฉินผิงอันดื่มเยอะๆ หน่อย หญิงชราจึงเอาจอกเหล้าพิเศษของแคว้นไฉ่อีให้กับนายท่านและฮูหยินของตัวเอง มีเพียงของเฉินผิงอันเท่านั้นที่ใช้ถ้วยเหล้าใบใหญ่

หยางหว่างลุกขึ้นยืนดื่มคารวะเฉินผิงอันอย่างนอบน้อมอีกครั้ง อิงอิงภรรยาของเขาและหญิงชราก็ลุกขึ้นตามไปด้วย

เฉินผิงอันที่มือหนึ่งถือถ้วยเหล้าจึงได้แต่ลุกขึ้นตาม กล่าวอย่างจนใจว่า “หากยังทำแบบนี้อีก คราวหน้าข้าคงไม่กล้ามาเป็นแขกแล้วจริงๆ”

หลังจากกระดกเหล้าดื่มจนหมด หยางหว่างก็พูดหยอกล้อว่า “รอให้คุณชายเฉินมาคราวหน้าค่อยว่ากัน”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าในถ้วยรวดเดียวหมด หญิงชราร้อนใจขึ้นมาทันที กลัวว่าเขาดื่มเร็วไปแล้วจะทำร้ายร่างกาย จึงรีบพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ค่อยๆ ดื่ม ค่อยๆ ดื่ม เหล้าไม่วิ่งหนีออกจากถ้วยหรอก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านยาย ตอนนี้ข้าคอแข็งแล้ว วันนี้อารมณ์ดี ดื่มให้มากสักหน่อย อย่างมากก็แค่เมาหลับไปเท่านั้น”

หญิงชรารินเหล้าใส่ถ้วยให้เฉินผิงอันพลางบ่นต่อ “ต่อให้คอแข็งแค่ไหนก็ยังต้องค่อยๆ ดื่ม ดื่มช้าหน่อยก็จะได้ดื่มได้เยอะหน่อยอย่างไรล่ะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าจะดื่มช้าๆ ข้าเชื่อฟังท่านยาย”

เฉินผิงอันเล่าเรื่องการเดินทางไกลของตัวเองให้พวกเขาฟังคร่าวๆ บอกว่าหลังจากไปจากแคว้นไฉ่อีก็ไปที่แคว้นซูสุ่ย จากนั้นก็นั่งโดยสารเรือตระกูลเซียนเลียบไปตามเส้นทางมังกรเดินสายนั้นไปยังนครมังกรเฒ่า จากนั้นก็นั่งเรือข้ามฟากไปที่ภูเขาห้อยหัวมารอบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้กลับมาที่แจกันสมบัติทวีปทันที แต่ไปที่ใบถงทวีปก่อน แล้วค่อยกลับมานครมังกรเฒ่าอีกครั้ง พอไปถึงแคว้นชิงหลวนแล้วถึงค่อยกลับบ้านเกิด ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่และทะเลสาบซูเจี่ยนนั้น เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถึง ระหว่างนี้เขาก็เลือกยกเอาเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าให้พวกเขาฟัง หยางหว่างกับสตรีแต่งงานแล้วฟังอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะหยางหว่างที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักที่มีอักษรคำว่าจงที่ยิ่งรู้ว่าการเดินทางไกลข้ามทวีปนั้นไม่ง่ายเลย ส่วนหญิงชรานั้น นางอาจไม่สนด้วยซ้ำว่าเฉินผิงอันพูดถึงความมหัศจรรย์มากมายที่มีอยู่บนโลกกว้างหรือพูดถึงเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในหมู่ชาวบ้าน นางล้วนชอบฟังทั้งสิ้น

ตลอดคืนนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปมากถึงสองจินกว่า ไม่ถือว่าน้อยเลยจริงๆ และครั้งนี้เขาก็ยังคงนอนพักในห้องที่เคยมาพักค้างแรมเมื่อคราวก่อน

เช้าวันที่สองเฉินผิงอันก็มานั่งอาบแดด คุยเล่นเป็นเพื่อนหญิงชราให้นานสักหน่อย เฉินผิงอันที่เดิมทีควรต้องออกเดินทางในวันที่สามถูกหญิงชรารั้งไว้อย่างสุดชีวิต จึงอยู่ต่ออีกวันหนึ่ง

รุ่งอรุณมาถึง ฝนฤดูใบไม้ร่วงพรำลงมาเป็นสาย

เฉินผิงอันสวมงอบอีกครั้ง ยืนอำลากับคนทั้งสามที่หน้าประตูของจวนโบราณ

ด้วยห้ามปรามหญิงชราที่บอกว่าแม้ฝนฤดูใบไม้ร่วงจะตกไม่แรง แต่อันที่จริงก็ทำร้ายร่างกายไม่ได้ นางยืนกรานจะให้เฉินผิงอันสวมชุดกันฝน เฉินผิงอันจึงได้แต่สวมใส่ไว้ ส่วนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ปีนั้นเป็นตัวเปิดเผยสถานะ ‘เซียนกระบี่’ ก็ถูกหญิงชรารินเหล้าที่หมักเองใส่ไว้จนเต็ม

ก่อนจะจากลากัน หญิงชราที่ยืนอยู่ใต้ชายคาก็กุมมือเฉินผิงอันอีกครั้ง “อย่ารังเกียจที่ยายพูดมากแล้ววันหน้าจะไม่อยากมาอีกล่ะ”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ข้าทั้งชอบดื่มเหล้าทั้งตะกละ ท่านยายไม่รู้หรอกว่าหลายปีมานี้ข้าคิดถึงอาหารและสุราของที่นี่ตั้งกี่ครั้ง”

หญิงชราก้มหน้าเช็ดน้ำตา “แบบนี้ก็ดี แบบนี้ก็ดี”

เฉินผิงอันประคองงอบบนศีรษะ เอ่ยอำลาเบาๆ แล้วสาวเท้าจากไปอย่างเชื่องช้า

หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง มือกระบี่หนุ่มพลันหันตัวกลับ เดินถอยหลัง โบกมืออำลาหญิงชราและสามีภรรยาคู่นั้น

หญิงชราตะโกน “คุณชายเฉิน คราวหน้าอย่าลืมพาแม่นางหนิงคนนั้นมาเป็นแขกของที่นี่ด้วยกันล่ะ!”

เฉินผิงอันหน้าแดงน้อยๆ ตะโกนตอบเสียงดัง “ได้เลย!”

ท่ามกลางม่านฝน แผ่นหลังของคนหนุ่มที่สวมงอบสานจากไม้ไผ่ สวมชุดกันฝนค่อยๆ จากไปไกล

หญิงชราเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง หยางหว่างกังวลว่านางจะทนรับไอเย็นจากฝนฤดูใบไม้ร่วงไม้ไหว จึงบอกให้หญิงชรากลับไปก่อน หญิงชรารอจนเงาร่างของคนหนุ่มผู้นั้นหายลับไปแล้วถึงกลับเข้าเรือน

อิงอิงสตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเรียกขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่?”

จากนั้นนางก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงไม่ได้พูดประโยคที่อยากจะพูดต่อ เพียงเอ่ยขออภัยว่า “สามีอย่าได้ตำหนิที่อิงอิงทำตัวหน้าเลือดไร้รสนิยมเลย”

ความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจของนางพลันหายวับไป เอ่ยพึมพำว่า “ไหนเลยจะควรให้คุณชายเฉินต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ท่านพี่ทำได้ดีแล้ว ไม่พูดถึงแม้แต่ครึ่งคำ และพวกเราก็ไม่ควรไม่รู้จักพอเช่นนั้นจริงๆ”

หยางหว่างกุมมือข้างหนึ่งของนาง ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเองก็หวังดีกับข้า”

สตรีแต่งงานแล้วพลันอารมณ์ดีขึ้นมา นางคลี่ยิ้ม “ท่านพี่ คนดีต้องได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน ใช่ไหม?”

หยางหว่างกล่าว “คนดีคนอื่น ข้าไม่กล้ายืนยัน แต่ข้าหวังว่าเฉินผิงอันจะต้องเป็นเช่นนี้”

สตรีแต่งงานแล้วคลี่ยิ้มหวาน “จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแค่คุณชายเฉินมาดื่มเหล้า มาเป็นแขกที่จวนก็ดีใจมากแล้ว”

หยางหว่างอืมรับหนึ่งคำ แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมวสันตฤดู”

ท่ามกลางม่านฝน

เฉินผิงอันเดินอ้อมเส้นทางมาถึงนอกศาลเทพภูเขาแห่งหนึ่งที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นใหม่แล้วถูกรับเข้าสู่ทำเนียบภูเขาแม่น้ำของราชวงศ์แคว้นไฉ่อี เขาเดินก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน

ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งยังเป็นเช้าตรู่ ในศาลเทพภูเขาที่ถูกสร้างขึ้นบนซากปรักของศาลเถื่อนจึงยังไม่มีผู้มีจิตศรัทธาคนใดมาเยือน

เฉินผิงอันปลดงอบลง สะบัดน้ำฝนทิ้ง เดินข้ามธรณีประตูเข้าไป

ไม่ได้จงใจอำพรางปณิธานหมัดและลมปราณของตัวเองอีก

เทพภูเขาในพื้นที่รีบเผยกายด้วยร่างทองทันที เขาคือแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะที่เรือนกายกำยำคนหนึ่ง เดินออกมาจากเทวรูปหลากสีสันด้วยความกระวนกระวายใจ กุมหมัดคารวะพลางเอ่ยว่า “เทพน้อยคารวะเซียนซือ”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “รบกวนท่านแล้ว ข้ามาที่นี่เพราะอยากจะถามสักหน่อยว่าภูเขาตระกูลเซียนในแถบนี้มีผู้ฝึกตนคนใดละโมบอยากได้ปราณวิญญาณของจวนหลังนั้นหรือไม่”

ทั้งไม่ใช่ภาษาทางการของแคว้นไฉ่อี แล้วก็ไม่ใช่ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีป แต่ใช้ภาษาทางการของต้าหลี

ตอนนี้การพูดภาษาทางการต้าหลีได้อย่างคล่องแคล่วล้วนเป็นสิ่งที่องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปทั้งหมดสมควรมี เทพภูเขายิ้มกระอักกระอ่วน กำลังจะใคร่ครวญหาคำพูดที่เหมาะสม คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่มีพลังอำนาจน่าตะลึงผู้นั้นจะสวมงอบใหม่อีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านเทพภูเขาช่วยดูแลให้ด้วย”

เทพภูเขาท่านนี้รู้สึกเพียงว่าตัวเองไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่ง จึงรีบกล่าวเสียงหนักทันที “ไม่กล้าพูดว่าจะดูแลอะไร แต่ขอให้เซียนซือโปรดวางใจ เทพน้อยก็เป็นเหมือนเพื่อนบ้านของสองสามีภรรยาหยางหว่าง ญาติที่อยู่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง เทพน้อยรู้ดีว่าควรทำเช่นไร”

เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ ก่อนจะจากไปเขาได้เอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้มว่า “ถือซะว่าข้าไม่เคยมา”

องค์เทพภูเขาท่านใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบพิธีการของราชสำนักแคว้นไฉ่อีซึ่งรับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์พื้นที่ฮวงจุ้ยแถบนี้รีบพยักหน้ารับ ในใจพลันกระจ่างแจ้ง

หากไม่ฉลาดมากพอ ลำพังแค่อาศัยคุณความชอบตอนยังมีชีวิตอยู่กับผลบุญที่สะสมมาหลังจากตายไปก็ไม่มีปัญญาจะช่วงชิงของว่างหอมกรุ่นชิ้นนี้มาครองได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกครองดูแลภูเขาแม่น้ำของพื้นที่หนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ต่างจากการปีนป่ายอยู่ในวงการขุนนางเลย

เฉินผิงอันออกมาจากศาลเทพภูเขา

ส่วนเทพภูเขาก็เดินวนเวียนอยู่ในตำหนักใหญ่ช้าๆ สุดท้ายตัดสินใจว่าวันหน้าจะไม่ไปตอแยจวนแห่งนั้นอีก ต่อให้ปราณวิญญาณจะมีมากแค่ไหนก็ไม่ใช่น้ำแกงที่เขาจะแบ่งเอามาได้

ขี่กระบี่ไปเยือนศาลบรรพจารย์

เฉินผิงอันไปเยือนเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อี ส่งมอบเอกสารผ่านด่านที่หน้าประตูเมือง เป็นเอกสารสำมะโนครัวใหม่เอี่ยมที่เว่ยป้อทำมาให้ แน่นอนว่าในสำมะโนครัวยังเป็นคนสกุลของเขตการปกครองหลงเฉวียน

สอบถามไปตลอดทาง จนกระทั่งรู้ที่พักของอวี๋เวิงเซียนเซิง

ที่นั่นคือตรอกเล็กเงียบสงบที่มีเพียงเสียงสายฝน

เฉินผิงอันเคาะประตู

เพียงไม่นานก็มีเด็กหนุ่มร่างผอมสูงท่าทางเงียบขรึมเดินออกมา พอเห็นเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มก็มีท่าทางลังเลใจ คล้ายไม่แน่ใจในตัวตนของเฉินผิงอันสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยทักทาย “จ้าวซู่เซี่ย”

เด็กหนุ่มร้องออกมาอย่างตกตะลึงระคนยินดี “ท่านเฉิน!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ มองประเมินเด็กหนุ่มร่างผอมสูงก็เห็นว่าปณิธานหมัดของอีกฝ่ายมีไม่มาก แต่กลับบริสุทธิ์ ตอนนี้น่าจะยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสาม แต่ยังอยู่ห่างจากการฝ่าทะลุขอบเขตอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธที่ทำให้คนมองออกแค่เพียงปราดเดียวเหมือนอย่างเฉินยวนจี แต่เฉินผิงอันกลับชอบ ‘ความหมาย’ บนตัวของจ้าวซู่เซี่ยนี้มากกว่า ดูท่าหลายปีที่ผ่านมานี้ จ้าวซู่เซี่ย ‘แอบเรียน’ ท่าเดินนิ่งหกก้าวไปจากเขา จะหมั่นฝึกฝนอยู่ไม่ขาด

เด็กหนุ่มก็คือจ้าวซู่เซี่ยที่ปีนั้นถือมีดผ่าฟืนปกป้องเด็กหญิงไว้สุดชีวิต

จ้าวซู่เซี่ยปิดประตู พาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในเรือนด้านหลังด้วยกัน เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “ปีนั้นสอนท่าหมัดนั้นให้เจ้า ฝึกครบหนึ่งแสนรอบแล้วหรือยัง?”

จ้าวซูเซี่ยเกาหัว เอ่ยอย่างเขินอายเล็กน้อย “ตามคำบอกของท่านเฉินในปีนั้น หนึ่งรอบถือเป็นหนึ่งหมัด ตลอดหลายปีมานี้ข้าไม่กล้าแอบอู้ แต่ก็เดินได้ช้ามากจริงๆ เพิ่งจะฝึกไปได้หนึ่งแสนหกหมื่นสามพันกว่าหมัดเท่านั้น”

เฉินผิงอันถาม “เคยประมือกับศัตรูแล้วหรือยัง? หรือมียอดฝีมือคอยชี้แนะให้หรือไม่”

จ้าวซู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่เคย”

เฉินผิงอันโล่งอก หากจ้าวซู่เซี่ยเคยผ่านการขัดเกลาที่ตัดสินเป็นตายมาก่อน ปณิธานหมัดจะถูกขัดเกลาจนไม่มีเหลี่ยมคม ยามออกหมัดจะยิ่งคล่องแคล่วและยิ่งนานก็ยิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหลายปีมานี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะฝึกได้แค่หนึ่งแสนหกหมื่นหมัด แต่หากไม่เคย นั่นก็แสดงว่าเขาเพียงแต่ออกหมัดไปอย่างเชื่องช้า เหมือนน้ำที่หยดลงหินทุกวัน แน่นอนว่าย่อมยากที่จะฝึกเดินท่าหมัดนี้ได้รวดเร็ว แต่ความช้าเช่นนี้ เฉินผิงอันกลับไม่กังวลใจ มีปณิธานหมัดอยู่ติดตัว ก็เหมือนกับสุราถ้วยนั้นที่ท่านยายยื่นส่งมาให้ ขอแค่ถือไว้นิ่งๆ ไม่ว่าอย่างไรสุราที่อยู่ด้านในก็ไม่หนีไปไหนสักหยดเดียว ปณิธานหมัดก็เช่นเดียวกัน แต่หากความคิดจิตใจเกิดเกียจคร้าน ปณิธานหมัดก็จะเบาและล่องลอย ประดุจสุราที่สาดกระเซ็นไปสี่ทิศโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย วันหน้าก็ยากที่จะข้ามผ่านด่านใหญ่ของขอบเขตสามไปได้ การฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสามของผู้ฝึกยุทธ เปลี่ยนจากขอบเขตหลอมเรือนกายเป็นหลอมลมปราณนั้น ยากอย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันเคยเผชิญกับความยากลำบากอย่างสุดแสนมาก่อน ปีนั้นตัวจูลู่เองก็ข้ามผ่านมันไปไม่ได้ ต้องอาศัยยาของร้านยาตระกูลหยางถึงจะฝ่าทะลุขอบเขตมาอย่างถูไถ ส่วนลูกศิษย์หญิงคนใหม่ที่หยางเหล่าโถวรับไว้นั้น ล้วนผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ทว่าสตรีที่เป็นผู้ฝึกยุทธเช่นเดียวกันสองคนนี้ กลับมีเส้นทางอนาคตในการเรียนวรยุทธที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

จ้าวซู่เซี่ยพาเฉินผิงอันมาถึงเรือนด้านหลังที่เงียบสงบ ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อและเด็กสาวหน้าตางามพิสุทธิ์คนหนึ่งยืนเคียงไหล่กันอยู่ใต้ชายคา

จ้าวซู่เซี่ยยิ้มกล่าว “ท่านเฉินมาแล้ว!”

เฉินผิงอันปลดงอบลง กุมหมัดยิ้มเอ่ยว่า “คารวะอวี๋เวิงเซียนเซิง”

จากนั้นก็หันไปมองจ้าวหลวนที่อายุเพิ่งจะถือได้ว่าเป็นเด็กสาว “หลวนหลวน ไม่เจอกันนานเลยนะ”

ชายชราลัทธิขงจื๊อที่เส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะแทบจำเฉินผิงอันไม่ได้

อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน

แม้จะบอกว่าจากลากันมานานหลายปี แต่ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อก็ยังยากที่จะนำบุรุษเรือนกายสูงเพรียว หน้าตาสุภาพอ่อนเยาว์ตรงหน้าผู้นี้ไปทับซ้อนรวมกับภาพของเด็กหนุ่มสะพายหีบไม้ไผ่ในความทรงจำคนนั้นได้

กลับเป็น ‘หลวนหลวน’ ของในปีนั้นที่น้ำตาอาบหน้า ทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ เรียกเสียงสั่นๆ ว่าท่านเฉินหนึ่งคำ

สำหรับเฉินผิงอัน

ไม่ว่านางจะซาบซึ้งหรือคิดถึงเขามากเท่าไหร่ก็ล้วนไม่เกินไป

ตลอดหลายปีมานี้นางจึงคิดถึงเขาคนนั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าบนเส้นทางของการฝึกตนจะเจอกับความน่าเบื่อหน่าย ความทุกข์ ความลำบาก ความอยุติธรรมหรือดีใจ นางก็จะต้องคิดถึงคนผู้นั้นของปีนั้นอยู่เสมอ

พี่ชายจ้าวซู่เซี่ยมักจะชอบเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อนาง เมื่อนางอายุมากขึ้นก็ยิ่งเก็บงำความคิดไว้มากขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้การล้อเลียนของพี่ชายเกินขอบเขต

จ้าวซู่เซี่ยมีนิสัยสุขุม ก็มีเพียงเวลาอยู่กับหลวนหลวนที่ไม่ต่างจากน้องสาวแท้ๆ ผู้นี้เท่านั้นที่ถึงจะไม่เคยปิดบังอารมณ์ใดๆ

คนทั้งสี่นั่งลงพร้อมกัน การกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่เรือนโบราณหลังนั้น ทุกคนดื่มเหล้า แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ทุกคนดื่มชา

ปราณวิญญาณเป็นเส้นๆ ที่ถูกฟูมฟักอยู่ในน้ำชาก็เพื่อการฝึกตนของจ้าวหลวน สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ยิ่งพรสวรรค์ดีเท่าไหร่ การก้าวเดินราบรื่นเท่าไหร่ การกินอยู่ก็ยิ่งต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากเท่านั้น

อวี๋เวิงเซียนเซิงที่ปีนั้นร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารในเมืองแยนจือมีแซ่อู๋ นามว่าซั่วเหวิน คือผู้ฝึกตนเฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง เฉินผิงอันรู้สึกเคารพเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางกล้าฝากฝังจ้าวซู่เซี่ยและหลวนหลวนไว้กับเขา

ดูจากการที่ชายชราลัทธิขงจื๊อปฏิบัติต่อหลวนหลวนและจ้าวซู่เซี่ยแล้วก็มองออกว่า เขาไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ

อีกทั้งตลอดหลายปีมานี้เฉินผิงอันก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง ยิ่งประสบการณ์ในการท่องยุทธภพเพิ่มพูนขึ้น ก็ยิ่งเข้าใจความชั่วร้ายของจิตใจคนได้ดีขึ้น นั่นยิ่งทำให้เขารู้ว่าการกระทำความดีในปีนั้น อันที่จริงแล้วไม่แน่ว่าอาจสร้างเป็นการปัญหาที่ไม่เล็กให้แก่ชายชราลัทธิขงจื๊อ

เพียงแต่เมื่อก้าวขึ้นเขาเริ่มฝึกตน

ทุกคนมักไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่เสมอ

ไม่อยู่ในยุทธภพก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องมากมายที่อาจเกี่ยวพันไปถึงการช่วงชิงและการงัดข้อกันในเรื่องใหญ่อย่างความเป็นความตาย ไม่อยู่บนภูเขา ต่อให้ไม่ถือว่าโชคดี เพราะชั่วชีวิตนี้จะไม่มีทางได้เห็นภาพอันงดงามตระการตาบนเส้นทางของการพิสูจน์ความเป็นอมตะ ไม่มีทางได้รับอิสระเสรีของการมีชีวิตยืนยาว แต่เหตุใดนั่นจะไม่ใช่ความโชคดีที่มั่นคงอีกอย่างหนึ่ง

อีกทั้งยิ่งพรสวรรค์ของจ้าวหลวนดีเท่าไหร่ นี่ก็หมายความว่าภาระที่ชายชราลัทธิขงจื๊อต้องแบกอยู่บนบ่าและในหัวใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทำอย่างไรถึงจะไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนของจ้าวหลวน? ทำอย่างไรถึงจะสามารถหาวิชาลับตระกูลเซียนที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกันมาให้จ้าวหลวนได้? ทำอย่างถึงจะรับประกันได้ว่าจ้าวหลวนจะสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้มกังวลกับเงินเทพเซียนที่ต้องเสียไป?

เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย

มีเพียงได้เดินทางไกลเป็นหมื่นลี้ ได้เห็นคนสารพัดรูปแบบ ได้พบเจอเรื่องราวหลากหลายแล้วเท่านั้น ถึงจะรู้อย่างแท้จริงว่าการเป็น ‘คนดี’ คนหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย และนั่นถึงจะทำให้เข้าใจความยากลำบากนานัปการบนโลกใบนี้เหมือนเผชิญมากับตัวเองได้อย่างแท้จริง

ดังนั้นก่อนจะเข้ามาในแคว้นไฉ่อี เฉินผิงอันจึงไปที่แคว้นกู่อวี๋มาก่อนรอบหนึ่ง ไปหาภูตต้นอวี๋ที่ผูกปมแค้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่ในอดีตอย่างใต้เท้าราชครูแคว้นกู่อวี๋ผู้นั้น

เพราะกังวลว่าภูตที่อยู่ในตำแหน่งสูงผู้นี้จะยังไปหาเรื่องจวนโบราณ นักฆ่าที่มาลอบฆ่าในแคว้นซูสุ่ยปีนั้น เฉินผิงอันยังคงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง

เมื่อไปถึงสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงซึ่งเป็นถิ่นของอีกฝ่าย ก็ง่ายดายมาก เฉินผิงอันไปหาเขาถึงบ้าน พบหน้ากันก็ต่อยให้อีกฝ่ายล้มคว่ำด้วยสามหมัด

ต่อยจนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บไม่เบา อย่างน้อยตบะที่มุมานะฝึกฝนมาสามสิบปีก็ไหลหายไปกับสายน้ำ

จากนั้นก็ถามเขาว่าจะยังตามตอแยไม่เลิกราอีกหรือไม่ หากแน่จริงก็ส่งนักฆ่ามาลอบฆ่าตนได้เลย

ราชครูแคว้นกู่อวี๋ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของบัณฑิต ตอนนั้นเลือดสดท่วมหน้า ล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก เขาตอบว่าไม่กล้า

ถึงอย่างไรตอนนั้นกระบี่บินสองเล่ม เล่มหนึ่งก็จ่ออยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา ส่วนอีกเล่มปลายกระบี่ก็ทิ่มตรงกับหัวใจ

เฉินผิงอันถึงได้จากมา

อีกทั้งยังจงใจไปนั่งรออยู่ในร้านน้ำชานอกประตูเมืองหลวงแคว้นกู่อวี๋ รอแผนเล่นงานตลบหลังของราชครูผู้นั้น

แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เฉินผิงอันถึงได้มาที่แคว้นไฉ่อี

เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งอึกแล้วก็พูดเข้าประเด็นทันที “ท่านอู๋ ได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกตนของแคว้นไฉ่อีอยากจะรับหลวนหลวนเป็นลูกศิษย์หรือ?”

อู๋ซั่วเหวินพยักหน้ารับ กล่าวอย่างเป็นกังวล “หากเซียนซือใหญ่ท่านนั้นตั้งใจจะถ่ายทอดวิชาเซียนให้แก่หลวนหลวนจริง ต่อให้ข้าจะตัดใจไม่ได้แค่ไหนก็ไม่มีทางทำให้หลวนหลวนพลาดโอกาสอันดีไป เพียงแต่ว่าการที่เซียนซือใหญ่ท่านนี้ยืนกรานจะให้หลวนหลวนขึ้นเขาไปฝึกตน ความเป็นไปได้ครึ่งหนึ่งนั้นน่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์ของหลวนหลวน ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง…เฮ้อ บุตรชายของเซียนซือใหญ่ท่านนี้คือคนเสเพลที่นิสัยแย่มาก เขาพบหลวนหลวนในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นไฉ่อี ช่างเถิด เรื่องสกปรกพวกนี้ ไม่พูดถึงดีกว่า หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะพาหลวนหลวนและซู่เซี่ยไปจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ไม่อยู่ในแคว้นหลายสิบแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีนี่ก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันถาม “ภูเขาของตระกูลเซียนและพ่อลูกคู่นั้นมีชื่อว่าอะไรกันบ้าง? ห่างจากเมืองแยนจือไปไกลหรือไม่? ทิศทางคร่าวๆ อยู่ตรงที่ใด?”

แม้อู๋ซั่วเหวินจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังตอบคำถามทีละข้ออย่างชัดเจน บอกว่าภูเขาเหมิงหลงแห่งนั้นห่างจากเมืองแยนจือไปหนึ่งพันสองร้อยกว่าลี้ แน่นอนว่านี่คือระยะทางที่ต้องเดินเท้าข้ามเขาลงห้วยไป

เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งถ้วยแล้วก็ลุกขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงสักหน่อย กลับมาแล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่ ไม่น่าจะนานเท่าไหร่”

อู๋ซั่วเหวินลุกขึ้นยืน ส่ายหน้ากล่าวว่า “คุณชายเฉิน อย่าได้วู่วาม เรื่องนี้ควรต้องวางแผนระยะยาว ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาเหมิงหลงเชี่ยวชาญในด้านการโจมตี อีกทั้งยังมีเทพเซียนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์…”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “วางใจเถอะ ข้าไปคุยด้วยเหตุผล หากคุยไม่รู้เรื่อง…ก็อีกเรื่องหนึ่ง”

มีคำพูดบางอย่างที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกมา

ในเมื่อเป็นเหตุผลที่สามารถนำมาใช้ได้ในตอนนี้ ก็ไม่ควรเก็บกดเอาไว้ พูดไปแล้วค่อยว่ากัน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาเหมิงหลง ส่วนกับบางคนที่ยังพูดด้วยไม่ได้ ก็เหลือค้างไว้ก่อน ยกตัวอย่างเช่นภูเขาตะวันเที่ยง สกุลสวี่นครลมเย็น วันใดวันหนึ่งก็จะต้องเหมือนเหล้าหมักเก่าแก่ที่ถูกดึงออกมาจากใต้ดิน

ส่วนจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลอย่างไร เขาเฉินผิงอันมีทั้งหมัด แล้วก็มีทั้งกระบี่

ไปที่ศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนแห่งนั้น สิ่งเดียวที่จะไม่ใช้คือฝีปาก

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วได้เห็นทัศนียภาพของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ชุยเฉิงกล่าวถึงมาแล้ว แล้วก็ได้ฟังหลักการเหตุผลข้อหนึ่งของผู้เฒ่า มีแค่ประโยคเดียวเท่านั้น

ร่ำสุรากับคนที่มีเหตุผล ออกหมัดรวดเร็วใส่คนที่ไร้เหตุผล นี่ก็คือยุทธภพที่เจ้าเฉินผิงอันสมควรมี ฝึกหมัดไม่ใช่แค่เพื่อนำมาใช้ต่อสู้บนเตียงเท่านั้น ต้องนำมางัดข้อกับวิถีของโลกใบนี้ ต้องสอนให้ทั้งบนและล่างภูเขาเจอหมัดเจ้าก็ต้องโขกหัวคำนับให้เจ้า!

สำหรับประโยคครึ่งแรก เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างยิ่ง ส่วนประโยคหลังนั้น เขารู้สึกว่าคงต้องรอปรึกษากันอีกหน่อย

เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ เขาไม่กล้าพูดเช่นนี้ ด้วยกลัวว่าจะโดนต่อยอีก พลังอำนาจของขอบเขตสิบขั้นสูงสุดของผู้เฒ่าในตอนนั้น เกรงว่าหากผู้เฒ่ากักเก็บหมัดของตัวเองไม่อยู่ อาจจะต่อยให้เขาตายได้จริงๆ

เห็นได้ชัดว่าอู๋ซั่วเหวินยังคงรู้สึกว่าไม่เหมาะ ต่อให้ศึกในเมืองแยนจือปีนั้น เฉินผิงอันที่เป็นเด็กหนุ่ม…ที่เป็นคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ จะแสดงออกได้อย่างโดดเด่นและรอบคอบสุขุมอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเจ้าประมุขของสำนักแห่งหนึ่ง ตอนนี้ก็ยิ่งไปผูกสัมพันธ์กับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีได้ ว่ากันว่าการที่เขาจะได้เป็นราชครูคนต่อไปก็ถือว่าเป็นของในกระเป๋าแล้ว เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีหน้ามีตาสุดขีด เฉินผิงอันตัวคนเดียวจะสามารถอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวบุกเข้าไปบนภูเขาของพวกเขาได้อย่างไร?

สำหรับคนในยุทธภพส่วนใหญ่ มีแต่หมัดที่ต้องกลัวคนหนุ่มมีกำลังวังชา แต่บนเส้นทางของการฝึกตนกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่กลายมาเป็นขอบเขตประตูมังกรได้นั้น นอกจากจะต้องมีตบะแล้ว มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์? ไม่มีที่พึ่งอยู่เบื้องหลัง?

จ้าวซู่เซี่ยกลับไม่ได้เป็นกังวลมากนัก คงเพราะรู้สึกว่าท่านเฉินที่สอนวิชาหมัดให้แก่เขา ไม่ว่าจะมีความสามารถแค่ไหนก็ล้วนไม่มากเกินไป

ส่วนจ้าวหลวนนั้นร้อนใจยิ่งกว่าอู๋ซั่วเหวินผู้เป็นอาจารย์เสียอีก นางไม่ทันได้สนใจสถานะหรือมารยาทใดๆ รีบเดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้ พูดด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ท่านเฉิน อย่าไปนะ!”

เฉินผิงอันมองชายชราลัทธิขงจื๊อ แล้วจึงหันมามองจ้าวหลวน ก่อนจะยิ้มอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ได้จะพาตัวไปตายสักหน่อย หากสู้ไม่ไหวก็แค่เผ่นหนีกลับมา”

จ้าวหลวนน้ำตาร่วงเป็นสายทันที “เมื่อครู่นี้ท่านเฉินยังบอกว่าจะไปพูดคุยด้วยเหตุผล”

เฉินผิงอันบื้อใบ้ทันใด รีบหันไปขยิบตาให้จ้าวซู่เซี่ย หมายจะให้เขาช่วยปลอบใจจ้าวหลวน นึกถึงไม่ถึงว่าเจ้าเด็กบื้อนี่จะสมองทึ่มทื่อ เอาแต่หัวเราะหึหึ ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่อย่างนั้น

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลงดื่มชากันใหม่”

น้ำตาของจ้าวหลวนในเวลานี้กลบดวงตาจนตาพร่าเลือนเสียยิ่งกว่าภูเขาเหมิงหลง (ขมุกขมัว/สลัวราง/พร่าเลือน) ที่มีไอหมอกปกคลุมตลอดทั้งปีเสียอีก “จริงหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ นางถึงได้ปล่อยชายเสื้อของเฉินผิงอัน แล้วกลับไปนั่งที่เดิมอย่างขลาดๆ

อู๋ซั่วเหวินเองก็นั่งลง เอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “คุณชายเฉิน ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะพาเด็กสองคนออกไปท่องภูเขาแม่น้ำเอง”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นตระกูลของท่านอู๋จะทำอย่างไร?”

อู๋ซั่วเหวินกล่าว “คิดดูแล้วผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งคงไม่หน้าหนาไร้ยางอายถึงเพียงนี้”

เฉินผิงอันมองอู๋ซั่วเหวิน

อู๋ซั่วเหวินก้มหน้าดื่มชา

ในใจของชายชราลัทธิขงจื๊อมีเพียงเสียงถอนหายใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร คำว่าออกเดินทางไกลก็แค่เอ่ยไปเพื่อไม่ให้หลวนหลวนกับซู่เซี่ยต้องเป็นกังวลและรู้สึกผิดเท่านั้น

เฉินผิงอันวางถ้วยชาในมือลงเบาๆ

เพียงชั่วพริบตา

ในห้องก็ไม่มีเงาร่างของเฉินผิงอันอยู่อีก

อู๋ซั่วเหวินที่ถือถ้วยชาไว้ในมือปากอ้าตาค้าง

จ้าวหลวนและจ้าวซู่เซี่ยก็ยิ่งหันมามองหน้ากันตาปริบๆ

เห็นเพียงว่าเงาร่างชุดเขียวนั้นไปยืนอยู่กลางลางบ้าน กระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกจากฝักมาแล้ว กลายเป็นเส้นแสงสีทองเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศสูง คนผู้นั้นดีดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่ยาว ขี่กระบี่แหวกม่านฝนมุ่งไปทางทิศเหนือ

หลังจากสติกลับเข้าร่างชายชราลัทธิขงจื๊อ เขาก็รีบดื่มชาระงับความตกใจ ในเมื่อห้ามปรามไม่อยู่ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้แล้ว

สีหน้าของหลวนหลวนเลื่อนลอย ความงามผุดพรายฉายชัด นางรีบเช็ดน้ำตา ประหนึ่งดอกสาลี่พร่างพิรุณ งดงามจนทำให้ใจคนหวั่นไหว ก็ไม่แปลกที่เจ้าขุนเขาน้อยของภูเขาเหมิงหลงจะหลงรักนางที่ยังอ่อนเยาว์อยู่มากตั้งแต่แรกพบ

จ้าวซู่เซี่ยเกาหัว หัวเราะหึหึ “ท่านเฉินก็จริงๆ เลย จะไปศาลบรรพจารย์ของคนอื่น ทำไมต้องทำท่ารีบร้อนเหมือนจะออกไปซื้อเหล้าด้วย”

บนภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีฝนตกหนัก แม้จะเป็นช่วงเที่ยงวัน แต่ฝนที่เทกระหน่ำลงมาก็ทำให้ฟ้าดินมืดมิดราวกับถูกปกคลุมด้วยม่านราตรีหนาหนัก

เป็นเหตุให้การปรากฏตัวของเส้นสีทองเส้นหนึ่งที่สุดขอบฟ้าแจ่มชัดสะดุดตาอย่างถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีเสียงครืนครั่นเหมือนเสียงฟ้าร้องแหวกอากาศพุ่งมาถึงด้วย

สำหรับผู้ฝึกตนภูเขาเหมิงหลงแล้ว คนตาบอดก็ดี คนหูหนวกก็ช่าง ล้วนรู้ชัดเจนดีว่ามีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งมาเยี่ยมเยือนถึงภูเขาแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version