Skip to content

Sword of Coming 470

บทที่ 470 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า

ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงเกินไป พลังอำนาจดุดันน่าเกรงขาม ประเด็นสำคัญคือดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ไม่เหมือนสหายที่จะมาเยี่ยมเยือนเพื่อพูดคุยเรื่องในวันวานกับภูเขาเหมิงหลงเลยแม้แต่น้อย

ที่น่ากระอักกระอ่วนมากไปกว่านั้นคือ ดูเหมือนภูเขาเหมิงหลงจะไม่มีสหายที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนกระบี่เช่นนี้ด้วย

ภูเขาเหมิงหลงเปิดใช้ค่ายกลพิทักษ์ภูเขาอย่างไม่ลังเล ใช้ศาลบรรพจารย์เป็นแกนกลางของค่ายกลใหญ่ เดิมทีบรรยากาศก็มืดมนเพราะฝนที่เทกระหน่ำอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีไอหมอกสีขาวผุดลอยจากตีนเขา แผ่ปกคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ หากมองจากด้านในไปภายนอก การมองเห็นของคนบนภูเขากลับเปลี่ยนมาเป็นแจ่มชัดราวกับเวลากลางวัน หากมองจากข้างนอกมาด้านใน นายพรานคนตัดฟืนทั่วไป ยามที่มองมายังภูเขาเหมิงหลงจะเห็นเป็นเพียงสีขาวขมุกขมัว มองไม่เห็นเค้าโครงของภูเขาด้วยซ้ำ

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแสงสีขาวยาวหลายสิบจั้งอีกหลายเส้นพุ่งออกมาจากศาลบรรพจารย์ ลอดทะลุไปตามม่านฝนไอหมอกของภูเขาอย่างไม่เป็นระเบียบ

ตั้งท่าพร้อมรับมือ

ผู้ฝึกตนที่กุมอำนาจหลายคนบนภูเขาเหมิงหลงต่างออกมาจากจวนของตัวเอง มารวมตัวกันที่ศาลบรรพจารย์ ส่วนลึกในใจย่อมหวังให้เซียนกระบี่ที่พลังอำนาจสะท้านฟ้าผู้นั้นเป็นมิตร มิใช่ศัตรู

ผู้ฝึกตนเจ้าสำนักภูเขาเหมิงหลง ลวี่อวิ๋นไต้ บุตรชายลวี่ทิงเจียว ต่างก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของแคว้นไฉ่อี คนหนึ่งอาศัยตบะ คนหนึ่งอาศัยบิดา

ข้างกายพ่อลูกมีผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้น ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์และเค่อชิงผู้ถวายงานรวมแล้วหลายสิบคน ทุกคนต่างก็อารมณ์หนักอึ้ง

ทุกคนได้แต่มองดูเส้นแสงสีทองเส้นนั้นขยับเข้ามาใกล้ภูเขาเหมิงหลงเรื่อยๆ โดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย

จะให้ออกไปทักทายคนที่มาเยือนก็คงไม่ใช่เรื่องสมควรกระมัง?

ผู้ฝึกกระบี่ที่ทั้งจนที่สุด แล้วก็ทั้งรวยที่สุดในใต้หล้า ในฐานะหนึ่งในสี่ผีใหญ่ที่ตอแยด้วยยากที่สุดบนภูเขา อีกทั้งลำดับยังอยู่เป็นอันดับต้น รับมือด้วยยากก็เพราะพลังสังหารของพวกเขารุนแรง ไม่เพียงแต่ออกกระบี่รวดเร็ว ยังเผ่นหนีได้ไวอีกด้วย แต่จำเป็นต้องรู้เรื่องหนึ่ง การเผ่นหนีได้ไวที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหลังจากที่พวกเขาสังหารคนไปแล้ว

หากเป็นในอดีต บางทีภูเขาเหมิงหลงอาจจะยังคงหวาดกลัวอยู่เหมือนเดิม แต่คงไม่ถึงขั้นร้อนใจเป็นทุกข์เหมือนสูญเสียบิดาเช่นนี้ นี่เป็นเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยจริงๆ กระดูกสันหลังอย่างราชสำนักล่างภูเขาและสนามรบต่างก็ถูกทุบตีจนหักไปแล้ว ความกล้าของผู้ฝึกตนบนภูเขาก็เหมือนถูกทุบจนเละตามไปด้วย ภูเขาใกล้เคียงสมัครสมานสามัคคีกันเพื่อต้านทานศัตรู สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำก็คอยให้ความช่วยเหลือ บ้างก็เรียกใช้ทหารล่างภูเขาโดยพลการเพื่อสร้างอำนาจข่มขวัญศัตรู สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นหมอกควันที่จางหายไป ไม่อาจทำได้อีกแล้ว

ถึงอย่างไรทุกวันนี้ฟ้าก็เปลี่ยนสีไปแล้ว

กฎเกณฑ์ตระกูลเซียนหลายข้อที่ผ่านมานานหลายร้อยหลายปี ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่สะเทือน จู่ๆ กลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

เนื่องจากทุกวันนี้ยังต้องคอยไปคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนของต้าหลีอยู่เนืองๆ ถ้ำสถิตบนภูเขาในหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีจึงค้นพบว่าขอบเขตและพลังอำนาจของตนไม่ต่างจากกระดาษเปียก

กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ ช่วยจิ้มหมอนปักลายบุปผา (เปรียบเปรยถึงคนที่มีดีแต่เปลือก แท้จริงแล้วไม่มีความสามารถใดๆ ) ให้แตกไปได้หลายใบ

ตอนนี้ทั้งบนและล่างภูเขา ทุกคนล้วนไม่ต่างจากนกหวาดเกาทัณฑ์

บนสนามรบ ในอดีตแคว้นไฉ่อีถือเป็นหนึ่งในแคว้นมากมายของภาคกลางทวีปที่ทหารม้ามีพลังการต่อสู้เลิศล้ำเป็นหนึ่ง พลทหารราบเกราะหนักของแคว้นกู่อวี๋ ทหารม้าติดอาวุธเบาของแคว้นซงซีพุ่งทะยานรวดเร็วราวกับสายลม แคว้นซูสุ่ยที่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการศึกจัดหาชัยภูมิ พอเผชิญหน้าเข้ากับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี หากไม่เลือกที่จะอยู่นิ่งเฉย ก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน หลังจบเรื่องติดต่อกับแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งที่สู้รบไม่ยอมถอยอย่างแคว้นสือหาว แคว้นเหมยโย่วที่อยู่ไปทางใต้ยิ่งกว่า จึงรู้ว่าส่วนใหญ่ก็ล้วนถูกกองทัพม้าเหล็กภายใต้การนำของซูเกาซาน เฉาผิงสร้างปัญหาให้ไม่น้อย หันกลับมามองหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีเป็นหนึ่งในนั้น ทหารชายแดนอ่อนปวกเปียกต้านทานศัตรูไม่ไหว กลายมาเป็นตัวตลกของผู้คน ว่ากันว่าแม่ทัพขึ้นชื่อคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยที่เดิมทีมีคุณูปการทางการสู้รบอย่างเกรียงไกร หลังจากพ่ายแพ้อย่างอนาถ ก็ว่ากันว่าอันที่จริงแล้วเขาเรียนกลศึกมาจากซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีทั้งหมด จนใจที่ฝีมือย่ำแย่ ความหวังสูงสุดในชีวิตนี้ก็คือหวังว่าจะได้พบหน้าซ่งจ่างจิ้งสักครั้ง จะได้ขอความรู้เรื่องแก่นแห่งยุทธวิธีมาจากองค์เทพแห่งกองทัพต้าหลีท่านนี้ด้วยความนอบน้อมจริงใจ ดังนั้นจึงมี ‘เรื่องเล่าที่งดงาม’ ของการกลับคืนสู่วงศ์วานเกิดขึ้น

เพียงแต่พี่ใหญ่ก็อย่าได้หัวเราะเยาะพี่รองเลย (เป็นประโยคเปรียบเปรยว่าทุกคนต่างก็เหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง) แคว้นไฉ่อีเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แคว้นไฉ่อีที่ขึ้นชื่อว่าทหารสวมเกราะแกร่งกร้าวที่สุด ในสงครามครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่เข้าร่วมรบเลยสักครั้ง นอกจากนี้เชื้อพระวงศ์แคว้นไฉ่อียังชอบป่าวประกาศแก่ภายนอกว่ามีเซียนดินโอสถทองเฝ้าพิทักษ์เมืองหลวง มักจะกระจายข่าวที่ชวนให้สับสนมึนงง ทำให้คนไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จออกมา ดังนั้นผู้ฝึกตนแคว้นไฉ่อีในอดีตจึงมักหวังว่าจะสามารถหลุบตาลงต่ำมองเหยียดภูเขาของอีกหลายสิบแคว้นที่เหลือได้

เพียงแต่เมื่อกองทัพม้าเหล็กพุ่งทะยานมาถึง จะดีจะชั่วแคว้นกู่อวี๋ก็เป็นตัวแทนที่อยู่ชายแดน จึงระดมทหารหมื่นกว่านายให้มาปะทะกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีซึ่งๆ หน้า และผลลัพธ์ก็ไม่ต้องคาดเดาให้มากความ เพียงนิ้วเดียวของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็ยังหนากว่าขาของแคว้นกู่อวี๋เสียอีก สำหรับเรื่องนี้แคว้นกู่อวี๋ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย แคว้นไฉ่อีเห็นท่าไม่ดี จึงยอมยกธงขาวเร็วยิ่งกว่าแคว้นกู่อวี๋ ทูตของต้าหลียังไม่ทันเข้ามาในอาณาเขต พวกเขาก็ส่งตัวทูตตัวแทนของกองทัพซึ่งมีเจ้ากรมพิธีการเป็นผู้นำเป็นฝ่ายไปหากองทัพม้าเหล็กต้าหลีด้วยตัวเอง แน่นอนว่ายินดีจะเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่ง นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เมื่อต้าหลีเริ่มสำรวจรวบรวมเทียบวงศ์ตระกูลของแต่ละแคว้นแต่ละภูเขา คนบนโลกถึงได้ค้นพบว่าที่แท้แคว้นกู่อวี๋อำพรางตนอย่างลึกล้ำ ซุกซ่อนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรของราชวงศ์จูอิ๋งไว้คนหนึ่ง จึงถูกเลขาธิการฝ่ายบู๊ของต้าหลีร่วมมือกันสังหาร การเข่นฆ่าครั้งนั้นสะท้านสะเทือนไปทั่วทิศ กลับกลายเป็นว่าแคว้นไฉ่อีหากไม่เป็นเพราะลวี่อวิ๋นไต้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นประตูมังกร จึงพอจะทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นแค่ขอบเขตชมมหาสมุทรก็กลายเป็นผู้นำเซียนซือของแคว้นหนึ่งได้แล้ว นอกจากคนทั่วทั้งราชสำนักของแคว้นกู่อวี๋จะดูแคลนแคว้นไฉ่อีที่กระจอกงอกง่อยแล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาและชาวยุทธของแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ติดกันก็คงต้องมีคนหัวเราะจนฟันร่วงกันบ้าง

ลวี่อวิ๋นไต้คือผู้เฒ่าที่แต่งกายหรูหราสวมกวานสูงคนหนึ่ง ลักษณะภายนอกของเขาดูดีอย่างยิ่ง

ส่วนลวี่ทิงเจียวนั้นคือคุณชายรูปงามที่กรอบดวงตาเว้าลึกลงไปเล็กน้อย เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาของเขานับว่าไม่เลว บวกกับที่อาศัยการแต่งกายสมดั่งคำว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง เขาสวมชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะที่เป็นของวิเศษชั้นเยี่ยมซึ่งมีนามว่า ‘หลูฮวา’ (ดอกอ้อ) อยู่ในวัยสามสิบปี แต่มองดูแล้วกลับเหมือนคนอายุยี่สิบ ไม่ว่าจะอาศัยการทุ่มเงินเทพเซียนจึงได้ขอบเขตของทุกวันนี้มา หรืออาศัยพรสวรรค์ของตัวเอง แต่จะดีจะชั่วภายนอกเขาก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตห้าคนหนึ่ง บวกกับที่ชอบท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำ มักจะเรียกสหายที่เป็นลูกหลานชนชั้นสูงในแคว้นไฉ่อีให้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อยๆ ดังนั้นเมื่ออยู่ในแคว้นไฉ่อีจึงถือว่าไม่เลวแล้ว และในราชวงศ์โลกมนุษย์เขาก็มีคุณสมบัติเพียงพอให้ถูกบรรยายด้วยคำว่า อายุน้อยแต่มีความสามารถ หล่อเหลาสง่างามแล้ว

แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนที่แท้จริง โดยเฉพาะในสายตาของเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขุนเขาที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นไฉ่อี ลวี่ทิงเจียวผู้นี้ย่อมไม่นับเป็นอะไรได้ จิตแห่งมรรคาไม่หนักแน่นมากพอ หลงใหลในกามตัณหา มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปท่ามกลางกลิ่นเครื่องประทินโฉม ไม่เป็นโล้เป็นพาย หากวันหน้าลวี่อวิ๋นไต้มอบภูเขาเหมิงหลงไว้ในมือของบุตรชายผู้นี้จริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งภายในขึ้นมาก็เป็นได้

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปเงียบๆ บอกว่าการที่ภูเขาเหมิงหลงสามารถป่ายปีนตีสนิทแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงคนหนึ่งของสกุลซ่งต้าหลีได้อย่างราบรื่น และมีหวังจะได้กลายเป็นราชครูแคว้นไฉ่อีคนถัดไป ก็เป็นเพราะลวี่ทิงเจียวช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้แก่บิดาลวี่อวิ๋นไต้ หากนี่เป็นความจริง ก็ต้องเรียกว่าเขาคือคนคมในฝักอย่างแท้จริง

นักพรตวัยชราที่แก่หง่อม ในมือถือไม้เท้าคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าประมุข ขออภัยที่ข้าแก่แล้วหูตาฟ้าฝาง มองขอบเขตที่แท้จริงของผู้มาเยือนไม่ออก นั่นใช่…เซียนดินในตำนานหรือไม่?”

ลวี่อวิ๋นไต้พูดด้วยสีหน้าเปิดเผยตรงไปตรงมา ยิ้มถามกลับว่า “ผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน?”

ดูเหมือนผู้ฝึกตนเฒ่าจะรู้สึกว่าตนหลอกตัวเองให้ตกใจไปเอง ในเมื่อมีค่ายกลคอยปกป้อง อีกทั้งยังอยู่ในศาลบรรพจารย์ของตัวเอง ก็ไม่ควรจะว้าวุ่นจนเสียกระบวนเช่นนี้ จึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “นั่นก็น่าตะลึงพรึงเพริดเกินจริงไปแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น”

สตรีหน้าตางดงามที่ห้อยกระบี่โบราณไว้ตรงเอวผู้หนึ่งแค่นเสียงหัวเราะหยัน “ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ผ่านทางมาแล้วอย่างไร เขาจะกล้าบุกค่ายกลของภูเขาเหมิงหลงเข้ามาเลยหรือ? คิดว่าภูเขาเหมิงหลงของพวกเราเป็นมะพลับนิ่มที่จะบีบเล่นได้ตามใจชอบจริงๆ หรือไร?!”

ลวี่ทิงเจียวชำเลืองตามองหน้าอกที่ดุจขุนเขาตั้งตระหง่านของสตรีโตเต็มวัยผู้นี้แล้วหรี่ตาลง แต่เพียงไม่นานก็ดึงสายตากลับคืน อันที่จริงขอบเขตของผู้ถวายงานคนนี้ไม่นับว่าสูงนัก เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่ในฐานะของผู้ฝึกตน นางกลับเชี่ยวชาญวิชาการควบคุมกระบี่ของอาจารย์กระบี่ในยุทธภพ นางเคยมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง นั่นคืออาศัยวิชาควบคุมกระบี่อันสูงสุดแสร้งทำเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิต ทำให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยตกใจเผ่นหนีไป เป็นเพราะนางนิสัยโมโหร้าย ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มีเรือนกายงดงามเสียเปล่า ลวี่ทิงเจียวเสียดายอย่างถึงที่สุด ไม่อย่างนั้นปีนั้นตนก็คงไม่ยอมถอย ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจให้มากขึ้นสักหน่อย แต่หลังจากที่สถานการณ์ใหญ่ของแคว้นไฉ่อีมั่นคงแล้ว พ่อลูกได้พูดคุยกัน บิดาจึงตกปากรับคำตนว่าขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตได้ บิดาก็สามารถเป็นพ่อสื่อให้ ถึงเวลานั้นลวี่ทิงเจียวก็จะสามารถเป็นคู่บำเพ็ญตนกับนางทางพฤตินัย แต่ไม่ใช่ทางนิตินัย หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือรับอีกฝ่ายเป็นอนุภรรยานั่นเอง

ผู้ฝึกตนหนุ่มที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงซึ่งพรสวรรค์ไม่เลวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกตนต้าหลีที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครพวกนั้นจะไม่จัดการหน่อยหรือ?”

แม้ว่าคืนนี้จะได้มายืนอยู่ที่นี่ แต่เนื่องด้วยลำดับศักดิ์ต่ำชั้น ดังนั้นตำแหน่งที่ยืนจึงค่อนไปทางด้านหลัง เขาก็คือศิษย์เอกของสตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่พกกระบี่ผู้นั้น เขาสะพายกระบี่เล่มหนึ่งที่ศาลบรรพจารย์มอบให้ เพราะเขาคือผู้ฝึกกระบี่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังเป็นแค่ขอบเขตสาม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เผาผลาญเงินเก็บของอาจารย์จนแทบหมดสิ้น แล้วยังต้องพยายามบำรุงด้วยความอบอุ่นเล่มนั้นเพิ่งจะเป็นตัวอ่อนกระบี่เท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ยังอ่อนแออยู่มาก ดังนั้นพอเห็นมาดที่เซียนกระบี่ผู้นั้นหอบลมห่มฟ้าตรงเข้ามา ผู้ฝึกตนหนุ่มจึงทั้งเลื่อมใส ทั้งอิจฉา ใจนึกอยากจะให้คนผู้นั้นหัวทิ่มเข้ามาในค่ายกลใหญ่ภูเขาเหมิงหลง แล้วถูกกระบี่บินของตนสังหารจนตายคาที่ ไม่แน่ว่ากระบี่ยาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่อาจตกมาเป็นของส่วนตัวของเขา เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาเหมิงหลงก็มีเพียงตนคนเดียวเท่านั้น ไม่มอบให้เขา หรือจะให้มากินธูปอยู่ในศาลบรรพจารย์?

เส้นสีทองที่อยู่ห่างไปไกลสุดขอบฟ้า ยิ่งนานก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นทุกที

อีกฝ่ายขี่กระบี่แหวกอากาศมาพร้อมเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณภูเขาแม่น้ำของภูเขาเหมิงหลงถูกชักนำจนสั่นสะเทือนตามไปด้วย กระบี่บินหกเล่มที่ปกป้องค่ายกลก็สั่นสะท้านตามไปเบาๆ วิถีโคจรที่เดิมทีแน่นหนาเพราะเคลื่อนไปตามการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้ากลับเริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย

ลวี่อวิ๋นไต้เอ่ยเบาๆ “หากยินดีหยุดอยู่นอกค่ายกลก็ยังดี เพราะมีความเป็นไปได้ว่าไม่ได้มาชำระแค้น”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

นักพรตวัยชราที่ถือไม้เท้าคนนั้นพยายามเบิกตากว้างมองไปไกล คิดจะวิเคราะห์ตบะคร่าวๆ ของอีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน จะได้รู้ว่าควรรับมือแบบใดไม่ใช่หรือ? เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแสงกระบี่เส้นนั้นจะเจิดจ้าแสบตาอย่างถึงที่สุด ทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างเขาถึงกับรู้สึกปวดกระบอกตา อีกนิดเดียวน้ำตาก็จะไหลออกมาจากดวงตาของผู้ฝึกตนเฒ่าแล้ว นี่ทำให้เขาตกใจจนรีบหันหน้าหนี ขออย่าให้เซียนกระบี่ผู้นั้นเข้าใจผิดคิดว่าเขาท้าทายเลย ถึงเวลานั้นหากเขาเลือกตนให้เป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดูขึ้นมา คงต้องตายอย่างอยุติธรรม จึงรีบเปลี่ยนมาใช้สองมือกุมไม้เท้าหัวมังกรที่ทำจากไม้แดงเอาไว้ ค้อมตัวลง ก้มหน้าพึมพำ “เหตุใดบนโลกถึงได้มีแสงกระบี่ที่คมกริบขนาดนี้ อยู่ห่างไปตั้งหลายสิบลี้ กลับมีอานุภาพเจิดจ้าพร่าตาได้ขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน เจ้าประมุข ไม่อย่างนั้นพวกเราเปิดประตูต้อนรับแขกดีกว่าไหม หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการวาดงูเติมขา เดิมทีนี่อาจเป็นเซียนกระบี่ที่แค่ผ่านทางมา แต่ภูเขาเหมิงหลงของพวกเราดันเปิดใช้ค่ายกล อาจถูกเขามองเป็นการท้าทาย หากเขาปล่อยกระบี่ลงมา…”

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ยิ่งพูดก็ยิ่งใจฝ่อตัวสั่น เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงยุง หากใครที่หูไม่ดีหน่อยก็ไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลย

ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร อีกทั้งยังเป็นผู้นำของผู้ฝึกตนในหนึ่งแคว้น แน่นอนว่าลวี่อวิ๋นไต้ย่อมได้ยินคำพูดของอาจารย์อาตัวเองที่พยายามจะประจบเอาใจทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน เขาจึงยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์อาหง อีกฝ่ายตั้งใจมาหาเรื่องภูเขาเหมิงหลงของพวกเรา ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย”

ขนาดอาจารย์อาหงท่านนั้นยังไม่อาจมองแสงกระบี่เส้นนั้นตรงๆ ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายน้อยอย่างลวี่ทิงเจียว สตรีขอบเขตถ้ำสถิตและลูกศิษย์ที่นางภาคภูมิใจผู้นั้นเลย

สุดท้ายจึงเหลือแค่ลวี่อวิ๋นไต้เพียงคนเดียวที่สามารถมองจ้องแสงกระบี่นั้นได้

ลวี่อวิ๋นไต้คล้ายกำลังบอกเตือนทุกคน แล้วก็ยิ่งคล้ายว่ากำลังพึมพำกับตัวเอง “มาแล้ว”

ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า

แสงกระบี่ที่ส่องแสงพร่างพราวสาดสะท้อนให้ม่านฝนอึมครึมที่พาดผ่านระหว่างฟ้าดินเจิดจ้าราวกับเวลากลางวันนั้น ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ภูเขาเหมิงหลงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เซียนกระบี่ไม่ทราบนามที่ขี่กระบี่มาถึงผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นค่ายกลพิทักษ์ภูเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาไม่ได้หยุดชะงักหรือมีการลังเลใจใดๆ แสงกระบี่พลันขยายใหญ่แล้วส่องแสงสว่างจ้า นาทีนี้ แม้แต่ลวี่อวิ๋นไต้ก็ยังต้องหรี่ตาลงเพื่อหลบแสงกระบี่ที่ระเบิดพร่างพราวนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

หนึ่งกระบี่แหวกทะลุค่ายกลพิทักษ์ภูเขาที่ได้ทั้งป้องกันและจู่โจมของภูเขาเหมิงหลงเข้ามา ประหนึ่งมีดผ่าก้อนเต้าหู้ พุ่งมาเป็นเส้นตรง ชนเข้าที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาอย่างจัง

กระบี่บินพิทักษ์ภูเขาหกเล่มที่เคยสร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้แก่ภูเขาเหมิงหลงขัดขวางไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังดูเหมือนจะหวาดเกรงกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่โดยสัญชาตญาณ แต่ละเล่มถึงได้ส่ายแกว่ง ทำท่าจะร่วงมิร่วงแหล่

จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลังจากขี่กระบี่แหวกค่ายกลมาแล้ว แสงยาวสีทองที่แผ่ลามจากขอบฟ้ามาถึงภูเขาเหมิงหลงเส้นนั้นกลับยังไม่สลายหายไป

ความยาวของปราณกระบี่นี้ ความโชติช่วงของปณิธานนี้ ช่างน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง

สายลมและสายฝนถูกหนึ่งคนหนึ่งกระบี่พัดหอบมาถึง ลมพายุพัดกระโชกแรงอยู่บนยอดเขา ปราณวิญญาณเหมือนเดือดพล่าน เป็นเหตุให้ทุกคนของภูเขาเหมิงหลงที่เว้นจากลวี่อวิ๋นไต้ซึ่งเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกร ต่างก็จิตวิญญาณสั่นไหว หายใจไม่คล่องคอ ผู้ฝึกตนบางส่วนที่ขอบเขตไม่สูงพอก็ถึงขั้นเซถอยหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มที่อาศัยคุณสมบัติของผู้ฝึกกระบี่ถึงสามารถมายืนอยู่นอกศาลบรรพจารย์ผู้นั้นที่หากไม่ถูกอาจารย์แอบดึงชายแขนเสื้อไว้ เกรงว่าป่านนี้คงล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้นแล้ว

และเวลานี้เอง ภูเขาเหมิงหลงถึงได้มองเห็นรูปโฉมของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างชัดเจน สวมชุดสีเขียว เรือนกายสูงเพรียว อายุยังน้อย

เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นพลิ้วกายลงบนพื้น กระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าก็พุ่งกลับเข้าฝักกระบี่ด้านหลัง ทุกอย่างนี้พลิ้วไหวดุจเมฆคล้อยดุจสายน้ำไหลริน เสร็จสิ้นในกระบวนท่าเดียว

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินหน้ามาอย่างเชื่องช้า เขาชำเลืองตามองลวี่อวิ๋นไต้ที่ยังถือว่าคงความสุขุมเอาไว้ได้ รวมไปถึงลวี่ทิงเจียวที่สวมชุดขาวซึ่งกลอกตาลอกแลกไม่อยู่นิ่งผู้นั้นแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วันนี้มาเยือนภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้า ก็เพื่อจะบอกพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าคือผู้พิทักษ์มรรคาของจ้าวหลวนแห่งเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีของพวกเจ้า เข้าใจแล้วหรือยัง?”

ผู้ฝึกตนเฒ่าแซ่หงที่ถือไม้เท้าไว้ในมือเวลาปกติก็เก็บตัวเงียบอย่างสันโดษ เขายอมรับชะตากรรมมานานแล้ว จึงมอบอำนาจทั้งหมดออกไป แต่ก็อาศัยสถานะอาจารย์อาของเจ้าประมุข ถึงได้มีชีวิตที่สงบสุขในช่วงบั้นปลาย ไม่เคยสนใจเรื่องทางโลกใดๆ เวลานี้จึงรีบพยักหน้ารับ จะไปสนกับมารดามันทำไมว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ข้าแสร้งทำเป็นเข้าใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่เป็นอาจารย์กระบี่เชี่ยวชาญวิชาควบคุมกระบี่ปากคอแห้งผาก เห็นได้ชัดว่าเกิดความขลาดกลัวขึ้นมาแล้ว ความมั่นใจและความหยิ่งทระนงที่แสดงออกว่า ‘แค่คนต่างถิ่นคนหนึ่งจะทำอะไรข้าได้’ ก่อนหน้านี้ เวลานี้หายวับไปไม่เหลืออยู่อีกเลย

ลูกศิษย์ที่นางภาคภูมิใจซึ่งเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกัน’ กับแขกผู้มาเยือนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังนางก็ยิ่งไม่มีแม้แต่ความกล้าจะสบตากับศัตรูตรงๆ ด้วยซ้ำ

ลวี่อวิ๋นไต้หรี่ตาลง ในใจเกิดข้อกังขา แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่เอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบก้าว

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้าน่าสนใจไม่น้อย คนที่ไม่เข้าใจแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ คนที่เข้าใจกลับแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร…”

หยุดชะงักไปครู่ เฉินผิงอันกวาดสายตามองผ่านทุกคน “นี่ก็คือศาลบรรพจารย์ของพวกเจ้ากระมัง?”

ในใจลวี่อวิ๋นไต้กำลังชั่งน้ำหนัก แต่สีหน้ากลับแสดงถึงความเดือดดาลรุนแรง “ผู้อาวุโสท่านนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง ยังไม่ทันพูดกันให้ชัดเจน ก็คิดจะใช้อำนาจมากดข่มผู้อื่นแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันหันหน้ามาน้อยๆ สีหน้าเช่นนี้ของลวี่อวิ๋นไต้ไม่อาจโกหกใครได้จริงๆ เฉินผิงอันคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่แสร้งทำเป็นอ่อนนอกแข็งในนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่คิดจะยึดชิงเหตุผลว่าตัวเองมีคุณธรรมนั้นกลับเป็นเรื่องจริง คำพูดที่ลวี่อวิ๋นไต้อยากพูดจริงๆ แต่กลับไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา อันที่จริงก็คือตอนนี้บนภูเขาของแคว้นไฉ่อีอยู่ภายใต้การปกครองของต้าหลี เขาต้องการให้ตนชั่งน้ำหนักให้ดี ตอนนี้อาณาเขตเกินครึ่งของแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว ต่อให้เจ้าจะเป็น ‘ผู้ฝึกกระบี่’ แต่จะกำเริบเสิบสานได้นานสักเท่าใด

เฉินผิงอันจึงพูดกับลวี่อวิ๋นไต้ด้วยภาษาทางการของต้าหลีว่า “ข้าเป็นคนของต้าหลี ดังนั้นที่พึ่งของพวกเจ้า หากโชคไม่ดีเป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีพอดีล่ะก็ นั่นก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลเสมอไป แน่นอนว่าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับราชสำนักต้าหลีก็ถือว่าธรรมดาอย่างยิ่ง”

ลวี่ทิงเจียวสบถด่ามารดาอีกฝ่ายอยู่ในใจ

คำพูดที่เสแสร้งนี้ ด้วยสันดานหญ้าบนยอดกำแพงของคนกลุ่มใหญ่บนภูเขาเหมิงหลงของตน จะยังมีสักกี่คนที่มองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่มีร่วมกัน ผู้คนจะสมัครสมานสามัคคีกันอีกได้อย่างไร

ในเรื่องของการฝึกตน เขาลวี่ทิงเจียวเป็นเศษสวะอย่างแท้จริง คำเล่าลือที่ผู้คนภายนอกพูดกันไม่ใช่เรื่องเท็จเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงบิดาเขาก็จนใจกับเรื่องนี้มากเหมือนกัน แต่เดิมทีปณิธานของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่การพิสูจน์ความเป็นอมตะบนภูเขาอยู่แล้ว มันอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา จึงถอยมาเลือกในลำดับรอง หากให้เป็นเจ้าประมุขที่ไม่ต้องลงมือรบราฆ่าฟันกับคนอื่นด้วยตัวเอง ลวี่ทิงเจียวก็คิดว่าตนมีความสามารถเหลือเฟือ

คำพูดประโยคถัดมาของเฉินผิงอันถือว่าเปิดประตูแล้วเห็นภูเขา (เปรียบเปรยถึงการพูดตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม เข้าเรื่องเข้าเนื้อทันที) อย่างยิ่ง อันที่จริงหากจะพูดให้ถูกก็คือผลักประตูเข้าไปก็เห็นภูเขาเหมิงหลงนั่นเอง “ในฐานะผู้ปกป้องมรรคาของจ้าวหลวน ข้าเดินทางมาเยือนภูเขาเหมิงหลงครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาพูดจาไร้สาระกับพวกเจ้า จะถามพวกเจ้าสองพ่อลูกคำเดียวว่า วันหน้าพวกเจ้าคนหนึ่งจะยังละโมบในพรสวรรค์การฝึกตนของจ้าวหลวน ส่วนอีกคนหนึ่งจะยังน้ำลายสอในความงามของแม่นางน้อยอีกหรือไม่ พวกเจ้าแค่ตอบมาว่าใช่ หรือไม่ใช่ก็พอ”

ลวี่อวิ๋นไต้สีหน้าดำทะมึน

ชั่วชีวิตนี้เขาเกลียดการทำอะไรโผงผางตรงไปตรงมาอย่างนี้ที่สุด

ลวี่ทิงเจียวกำลังจะพูดจาเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีและหาเหตุผลข้ออ้างให้ภูเขาเหมิงหลงสักหน่อย

คิดไม่ถึงว่ามือกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นกลับยิ้มพูดขึ้นมาก่อนว่า “จะเตือนพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หลักการเหตุผลและถ้อยคำที่สับปลับเจ้าเล่ห์ ทำนองว่าเจ้าลวี่อวิ๋นไต้แน่ใจว่าจ้าวหลวนคือหยกงามวัตถุดิบชั้นเลิศในการฝึกตน ภูเขาเหมิงหลงจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท ตั้งใจอบรมปลูกฝัง ไม่มีทางคิดร้ายกับนางเด็ดขาด หากนางไม่ยินดีขึ้นเขามาจริงๆ ก็จะไม่บังคับ ยิ่งไม่มีทางจับญาติของอู๋ซั่วเหวินมาเป็นตัวประกัน อีกทั้งถอยไปพูดกันหนึ่งก้าว สตรีงามเพียบพร้อมย่อมเป็นที่หมายปองของบุรุษ ถึงอย่างไรตอนนี้ลวี่ทิงเจียวก็ยังไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินจ้าวหลวนจริงๆ แล้วจะกล่าวโทษเอาผิดเขาได้อย่างไร อีกทั้งต้าหลียังมีกฎกำหนดไว้ว่าบนภูเขาไม่อาจก่อการวิวาทขึ้นก่อนโดยพลการ ไม่อย่างนั้นจะถูกซักไซ้เอาความผิด เรื่องสกปรกพวกนี้ ข้าล้วนเข้าใจดี พวกเจ้ามีเวลาว่างสามารถนำมาใช้สิ้นเปลืองไปกับพวกมันได้ แต่ข้ายุ่งมาก ดังนั้นตอนนี้ข้าจะถามเจ้าแค่คำถามก่อนหน้านั้น ตอบข้ามาว่าใช่หรือไม่ใช่”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกจากชายแขนเสื้อมานวดคลึงข้างแก้มแล้วเอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ไม่ได้ ความเคยชินที่ต้องพูดจ้อก่อนจะตีกันแบบนี้ จะฝึกให้ติดเป็นนิสัยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต่างจากหม่าขู่เสวียนในปีนั้นได้อย่างไร”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง

ก่อนจะพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว”

เฉินผิงอันยื่นมือออกมา

เจี้ยนเซียนในฝักกระบี่ที่สะพายอยู่ด้านหลังออกจากฝักเสียงดังเคร้งเหมือนเสียงครูดของโลหะ แล้วถูกเขานำมากำไว้ในมือ

จากนั้นก็โบกกระบี่ไปข้างหน้าอย่างสบายๆ

ลงมืออย่างเรียบง่าย ทว่าปราณกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ในเจี้ยนเซียนเล่มนั้นกลับไม่เรียบง่ายตามไปด้วย

ศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงถูกฟันแบ่งออกเป็นสองส่วน

แต่ก็ไม่ถึงกับล้มครืนลงมาทั้งหมด

พวกคนที่มีประสบการณ์การเข่นฆ่าที่โชกโชนสักหน่อย ล้วนไม่ได้หันไปมอง

มีเพียงลูกนกหัดบินบนภูเขาอย่างผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสามเท่านั้นที่หันหน้ากลับไปมองผลลัพธ์จากการออกกระบี่นั้นด้วยท่าทางที่แข็งทื่อเล็กน้อย

เฉินผิงอันยกมือตวัดอ้อมไปด้านหลัง สอดกระบี่กลับเข้าฝัก

และเวลานี้เอง ลวี่อวิ๋นไต้คล้ายจะจับเบาะแสอะไรบางอย่างได้ จึงคิดจะลองเสี่ยงอันตรายยืนยันดูให้แน่ใจ ดังนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งที่อยู่ในชายแขนเสื้อของเขาจึงขยับเบาๆ

ภูเขาเหมิงหลงพลันสั่นสะเทือนครืนครั่น แต่กลับไม่ใช่ศาลบรรพจารย์สิ่งปลูกสร้างใหญ่โตโอ่อ่าแห่งนั้นที่เกิดเรื่อง แต่เป็นตำแหน่งเดิมที่เซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นยืนอยู่ที่พื้นดินปริแตก ไม่เห็นร่างของเขาเหลืออยู่แล้ว

วินาทีที่ลวี่อวิ๋นไต้คิดจะลงมือนั้นเอง มืออีกข้างที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันได้คีบยันต์ย่อพื้นที่ออกมานานแล้ว

ระยะห่างแค่ยี่สิบก้าว

ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหมิงหลงของพวกเจ้าแต่ละคนช่างห้าวหาญยิ่งนัก กล้ายืนอยู่ใกล้กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แทบจะต้องเข่นฆ่าแลกชีวิตกับปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลทุกเมื่อเชื่อวันขนาดนี้?

เรือนกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรแข็งแกร่งมิอาจทำลายขนาดนั้นเชียวหรือ?

หลังเสียงปังกัมปนาทผ่านพ้นไป

เฉินผิงอันก็มายืนอยู่ตรงตำแหน่งใกล้กับจุดที่ลวี่อวิ๋นไต้ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ส่วนเจ้าประมุขภูเขาเหมิงหลง ผู้นำเซียนซือแห่งแคว้นไฉ่อีผู้นี้กลับปลิวคว้างออกไปเหมือนว่าวที่สายป่านขาด เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ร่วงกระแทกห่างไปไกลหลายสิบจั้ง

จุดที่สายตาเฉินผิงอันมองไปถึง ทุกคนซึ่งรวมถึงผู้ฝึกตนเฒ่าแซ่หงและลวี่ทิงเจียวต่างก็เริ่มพากันถอยกรูดออกห่าง

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที กระบี่บินชูอีสืออู่ที่กระเหี้ยนกระหือรือกันอยู่นานแล้วทยอยกันพุ่งออกมา เส้นแสงสองกลุ่มแหวกอากาศเป็นทางยาว แยกกันไปปักตรึงฝ่ามือสองข้างของลวี่อวิ๋นไต้ แล้วจากนั้นเสียงโหยหวนก็ดังตามมา

ในสายตาของเฉินผิงอัน คิดดูแล้วผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรผู้นี้คงมีชีวิตราบรื่น เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝนอยู่ในแคว้นไฉ่อีมาจนเคยชิน ไม่เคยได้เจอกับความยากลำบากมานานแล้ว ถึงได้ทนความเจ็บปวดจากบาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้

เพราะฉะนั้นถึงได้ไม่ต่างจากเผยเฉียนสักเท่าไหร่?

เฉินผิงอันมองไปยังลวี่ทิงเจียว ถามว่า “เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้นำ ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”

ลวี่ทิงเจียวกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเซียนกระบี่คือผู้ปกป้องมรรคาของจ้าวหลวนผู้นั้น ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหมิงหลงของพวกข้า ไม่ว่าใครก็ตาม วันหน้าขอแค่ได้พบเจอจ้าวหลวน จะต้องเป็นฝ่ายหลีกทางหลบลี้ไปให้ไกล!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้าคงจะปากยอมใจไม่ยอมอยู่เป็นแน่ คิดดูแล้วน่าจะยังมีท่าไม้ตายที่ยังไม่เอาออกมาใช้ แต่ไม่เป็นไร ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ในเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีสักสองสามวัน หากไม่ส่งคนก็ต้องส่งจดหมายมา สรุปก็คือต้องมีคำตอบที่แสดงความจริงใจให้แก่ข้า ไม่อย่างนั้นข้าอาจต้องกลับมาที่ภูเขาเหมิงหลงอีกครั้ง”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองศาลบรรพจารย์ที่ยังซ่อมแซมได้แห่งนั้น สายตาของเขามืดดำ เป็นเหตุให้เจี้ยนเซียนที่อยู่ด้านหลังร้องอย่างเบิกบานอยู่ในฝัก ประหนึ่งมีเสียงมังกรสองตัวร้องสอดรับกัน แสงสีทองไหลรินออกมาจากในฝักกระบี่อย่างต่อเนื่อง ปราณกระบี่ประหนึ่งธารน้ำเส้นเล็กไหลริน ภาพเหตุการณ์นี้แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่ายิ่งทำให้คนใจสั่นขวัญผวา

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สงบจิตใจให้มั่นคง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “อย่าถ่วงเวลาการฝึกตนของข้า!”

เฉินผิงอันหันตัวกลับ ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างเหมือนกลุ่มควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่พุ่งออกไปจากยอดเขาแล้วร่วงดิ่งลง เจี้ยนเซียนพุ่งออกจากฝัก จากนั้นก็ทะยานตัวขึ้นสูง พุ่งแหวกทะลุชั้นเมฆออกไป

ในสายตาของผู้ฝึกตนภูเขาเหมิงหลง ไม่รู้ว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นใช้วิธีการใด กระบี่บินแต่ละเล่มของค่ายกลพิทักษ์ภูเขาที่เชี่ยวชาญการโจมตีกลับพากันร่วงลงมาระเนระนาด สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างถึงที่สุด

บุรุษแปลกหน้าชุดเขียวที่ใช้หนึ่งกระบี่แหวกผ่าค่ายกลพิทักษ์ภูเขาเหมิงหลงผู้นี้ ขี่กระบี่มาเยือน แล้วก็ขี่กระบี่กลับไป

……

เซียนกระบี่จากไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งปราณกระบี่เสียดแทงกระดูกให้ล้อมวนอยู่บริเวณโดยรอบยอดเขานอกศาลบรรพจารย์

คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสามนั่งแปะลงกับพื้น เหงื่อแตกท่วมร่าง

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตรีบพุ่งเข้าไปประคองเขาขึ้นมา ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นที่ยังไม่จางหายไปเช่นกัน แต่ก็ยังคงปลอบใจลูกศิษย์ที่ตัวเองฝากความหวังไว้มากด้วยเสียงที่ถูกกดให้แผ่วต่ำว่า “อย่าให้จิตแห่งกระบี่ถูกทำร้าย อย่าให้จิตวิญญาณวุ่นวายสับสน รีบปลอบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นให้ดี ไม่อย่างนั้นบนมหามรรคาต่อจากนี้เจ้าจะเจอแต่อุปสรรค…แต่หากสามารถสยบความตระหนกลนและความผวาพรั่นพรึงนั้นเอาไว้ได้ กลับจะกลายเป็นเรื่องดี แม้ว่าอาจารย์จะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่ก็เคยได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่ปราบมารในใจ เดิมทีก็เป็นวิธีที่ใช้ขัดเกลากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่ง นับแต่โบราณมาก็มีคำกล่าวที่ว่ากลึงกระบี่ริมทะเลสาบหัวใจ…”

ลูกศิษย์สายตาเลื่อนลอย ยังดีที่อาจารย์ช่วยตักเตือน เขาถึงได้คืนสติกลับมาอย่างมึนงง ตอนนี้เขายังไม่ไปสนใจภาพเหตุการณ์ประหลาดในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่เอาไว้บำรุงกระบี่บิน ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มรีบท่องคาถาที่ถ่ายทอดมาจากศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลงอยู่ในใจ โคจรปราณวิญญาณ พยายามทำให้จิตใจของตัวเองสงบได้มากที่สุด

ไม่มีใครสนใจอาจารย์และศิษย์สองคนนี้แล้ว

เพราะทุกคนต่างไปมุงล้อมอยู่รอบกายเจ้าประมุขอย่างลวี่อวิ๋นไต้ ลวี่อวิ๋นไต้สีหน้าซีดเผือดแทบไม่มีสีเลือด แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงรากฐานของเรือนกายและจิตวิญญาณ ตั้งใจบำรุงแค่ไม่กี่ปีก็สามารถกลับคืนสู่จุดสุงสุดได้อีกครั้ง นี่ก็คือความโชคดีในความโชคร้าย หากเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกรก็ถูกคนเล่นงานให้ขอบเขตถดถอยกลับไปที่ชมมหาสมุทร บวกกับที่ศาลบรรพจารย์ถูกฟันออกเป็นสองท่อน นี่จะส่งผลกระทบต่อชะตาชีวิตอย่างที่มองไม่เห็น ถ้าเป็นอย่างนั้นภูเขาเหมิงหลงก็คงต้องขวัญหนีกระเจิดกระเจิงกันจริงๆ แล้ว

ลวี่อวิ๋นไต้โบกมือ “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ พรุ่งนี้ข้าจะมาปรึกษากับพวกเจ้าที่ศาลบรรพจารย์…ที่จวนอู้อ่ายของข้า”

ทุกคนจึงพากันจากไปด้วยความคิดที่แตกต่างหลากหลาย

ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า

ลวี่ทิงเจียวเดินไปทางศาลบรรพจารย์พร้อมกับบิดา ค่ายกลปกป้องภูเขายังต้องมีคนไปปิด ไม่อย่างนั้นทุกๆ หนึ่งก้านธูปก็จะต้องผลาญเงินร้อนน้อยไปหนึ่งเหรียญ

บนถนนมีเส้นเส้นหนึ่งที่กว้างหนึ่งนิ้วทอดยาวออกไป จากนั้นก็ไปแบ่งให้ศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงที่อยู่ตรงหน้าผ่าออกเป็นสองท่อน

ลวี่อวิ๋นไต้หยุดเท้าอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ ถามว่า “เจ้ามองอะไรออกหรือไม่?”

ลวี่ทิงเจียวส่ายหน้า

ลวี่อวิ๋นไต้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ปราณกระบี่ที่หนักขนาดนั้น เพียงแค่ออกกระบี่ง่ายๆ กลับทิ้งร่องรอยกระบี่ที่เป็นระเบียบเช่นนี้เอาไว้ ทำได้อย่างไร? โดยทั่วไปแล้ว เขาน่าจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และในความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่เซียนกระบี่โอสถทองอะไร แต่เป็น…ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ไม่อิงตามหลักการทั่วไปเลยแม้แต่น้อย วิธีการที่เขาใช้เป็นของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ แต่พลังอำนาจกลับเป็นของผู้ฝึกกระบี่ รากฐานของเขาโดยละเอียด ตอนนี้ยังบอกได้ยาก แต่หากคิดจะมาเล่นงานภูเขาเหมิงหลงที่มีบารมีอำนาจอยู่แค่ในแคว้นไฉ่อีของพวกเรากลับเพียงพอมากแล้ว ทิงเจียว ในเมื่อความสัมพันธ์กับแม่ทัพหม่าผู้นั้นเป็นเจ้าที่สานมาได้สำเร็จ ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงมีทางเลือกสองทาง”

ลวี่ทิงเจียวยิ้มเจื่อน “เชิญท่านพ่อกล่าว”

ลวี่อวิ๋นไต้เอามือกุมหัวใจ ไอไม่หยุด เขาโบกมือบอกเป็นนัยให้บุตรชายรู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าว่า “อันที่จริงล้วนเป็นการเดิมพันทั้งสิ้น หนึ่ง เดิมพันในผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แม่ทัพหม่าที่มีที่พึ่งเป็นหนึ่งในแซ่สกุลของเสาคานค้ำยันแคว้นต้าหลี ยินดีรับเงินแล้วทำงานให้ ช่วยออกหน้าให้แก่ภูเขาเหมิงหลง อิงตามคำพูดประโยคนั้นของข้าลงมืออย่างรวดเร็วฉับไว ใช้คำว่ากฎเกณฑ์ไปสังหารคนหนุ่มผู้นั้นโดยเร็ว ถึงเวลานั้นหากอู๋ซั่วเหวินจะตายไปอีกคนแล้วจะนับเป็นอะไรได้ จ้าวหลวนก็ต้องกลายมาเป็นสตรีของเจ้าอยู่ดี และภูเขาเหมิงหลงของพวกเราก็จะมีเด็กรุ่นหลังที่มีหวังจะเป็นเซียนดินโอสถทองเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง หากจะทำเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับเจ้าคนแซ่หงก็ลงจากภูเขาไปหาแม่ทัพหม่าทันที ข้อสอง เดิมพันกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือเรามาเจอกับตะปูแข็งที่ไม่ควรไปหาเรื่อง แล้วก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องยอมรับชะตากรรม รีบส่งคนไปที่เมืองแยนจือ ยอมรับผิดกับอีกฝ่าย เงินที่ควรต้องควักจ่ายก็จ่าย ไม่ต้องมีความลังเลใดๆ ความโลเลใจเอาแน่เอานอนไม่ได้ นั่นต่างหากจึงจะเป็นข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุด”

ลวี่ทิงเจียวมีสีหน้าขมขื่น “เกี่ยวพันกับการดำรงอยู่และล่มสลายของสำนัก รวมไปถึงควันธูปในศาลบรรพจารย์สกุลลวี่ของพวกเรา ท่านพ่อ ควรเป็นท่านที่ต้องตัดสินใจไม่ใช่หรือ?”

ลวี่อวิ๋นไต้ส่ายหน้า “ตอนนี้ข้ามองสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เจ้าถูกข้าปฏิเสธ จนได้แต่อาศัยตัวเองไปเดิมพันกับแม่ทัพบู๊ต้าหลีลับหลังภูเขาเหมิงหลง ผลเป็นอย่างไร คนทั้งภูเขาเหมิงหลงต่างก็คิดผิด มีเพียงเจ้าที่คิดถูก ข้ารู้สึกว่าตอนนี้โลกอยู่ในช่วงกลียุค ไม่ใช่ว่าใครที่ขอบเขตสูงแล้วจะต้องพูดจามีน้ำหนักเสมอไป ดังนั้นพ่อยินดีจะเชื่อลางสังหรณ์ของเจ้าอีกสักครั้ง หากเดิมพันแล้วแพ้ก็คือแพ้ หากเดิมพันแล้วชนะก็ได้รางวัลก้อนใหญ่ หากแพ้ ควันธูปขาดสะบั้น หากชนะ เจ้าถึงจะถือว่าเป็นสหายที่แท้จริงของแม่ทัพหม่า ส่วนก่อนหน้านั้นก็แค่ว่าเจ้าอาศัยโอกาส ส่วนเขาก็หยิบยื่นทำทานมาให้เท่านั้น ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้าอาจจะยังสามารถอาศัยโอกาสนี้ไปตีสนิทกับแซ่สกุลของนายพลเอกนั่นก็ได้”

ลวี่ทิงเจียวเอ่ยเบาๆ “หากคนผู้นั้นเป็นคนของต้าหลีจริงๆ ล่ะ?”

ลวี่อวิ๋นไต้หลุดหัวเราะพรืด “คนกันเองแล้วอย่างไร? อาจารย์อาหงผู้นั้นจงรักภักดีกับภูเขาเหมิงหลงและสกุลลวี่ของเรามากนักหรือ? แซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นอย่างเฉาหยวนแห่งต้าหลีของพวกเขาปรองดองสามัคคีกันนักหรือไง? แม่ทัพหม่าผู้นั้นจะไม่มีคู่ต่อสู้ที่ไม่ถูกชะตาอยู่ในกองทัพบ้างเลยหรือ? สังหาร ‘เซียนกระบี่’ ที่ไม่เคารพกฎคนหนึ่ง ใช้สิ่งนี้มาสร้างบารมีให้กับตัวเอง ก็ถือว่าเขาแม่ทัพหม่าหยัดยืนอยู่ในแคว้นไฉ่อีได้อย่างมั่นคงแล้ว อีกทั้งจะกลายเป็นคนที่โดดเด่นขึ้นมาในบรรดาสหายร่วมงานระดับเท่าเทียมกันที่ทำหน้าที่ ‘ดูแลบ้านเมือง’ เหมือนกัน เขาเองก็กำลังเดิมพันอยู่ไม่ใช่หรือ!”

ลวี่ทิงเจียวถามหยั่งเชิง “ฟังจากน้ำเสียงของท่านพ่อ เหมือนจะโน้มเอียงไปยังทางเลือกข้อแรก?”

ลวี่อวิ๋นไต้ถอนหายใจ บุตรชายของตนผู้นี้ นอกจากพรสวรรค์จะธรรมดา ไร้ความหวังด้านการฝึกตนแล้ว ข้อบกพร่องอีกอย่างหนึ่งก็คือเจ้าเล่ห์เกินไป ฉลาดเกินไป หลายๆ ครั้งแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่หากเป็นช่วงเวลาบางอย่างก็ยากจะบอกได้แล้ว สามารถพูดได้ว่ามุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ แล้วก็เรียกได้ว่าคอยดูสถานการณ์เพื่อรอประเมินการเปลี่ยนแปลง แต่คนที่ฉลาด ส่วนใหญ่มักจะกลัวตาย กลัวที่จะต้องแบกรับภาระเสมอ เหตุใดตอนนั้นลวี่อวิ๋นไต้ถึงได้อดทนข่มกลั้น สู้สุดชีวิตเพื่อจะฝ่าทะลุไปยังขอบเขตประตูมังกรให้ได้ ก็เพราะกังวลว่าวันหน้าลวี่ทิงเจียวจะไม่อาจสยบผู้คนได้ สายของสกุลลวี่ เมื่ออยู่บนภูเขาเหมิงหลง อำนาจใหญ่กลับตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นสตรีผู้มีลูกศิษย์เป็นผู้ฝึกกระบี่ หรืออาจารย์อาหงที่จู่ๆ วันใดอาจเกิดสนใจอำนาจขึ้นมาอีก ตอนนี้ก็มีเค่อชิงผู้ถวายงานคนใหม่เพิ่มเข้ามาอีกไม่น้อย แต่ละคนต่างก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ไม่อย่างนั้นจำนวนคนที่ควรมาปรากฏตัวนอกศาลบรรพจารย์ในคราวนี้ก็น่าจะมีคนเพิ่มมาอีกเจ็ดแปดคนถึงจะถูก

จู่ๆ ลวี่อวิ๋นไต้ก็ถ่มเสลดปนเลือดออกมาหนึ่งคำ มองดูเหมือนน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับถือเป็นเรื่องดี

ตรงหน้าอกคล้ายถูกเปิดโล่งขึ้นอีกหลายส่วน ลมปราณในร่างก็ไม่ถึงขั้นหยุดชะงักไม่ไหลลื่นเหมือนเดิมอีก

ลวี่อวิ๋นไต้พลันเบิกตากว้าง พุ่งทะยานไปที่หน้าผา เมื่อเพ่งสายตามองไปก็เห็นเพียงว่ากระบี่บินขนาดจิ๋วเล่มหนึ่งลอยอยู่ห่างจากหน้าผาไปไม่ไกล ยันต์แผ่นหนึ่งเพิ่งจะเผาไหม้จนหมดสิ้น

ลวี่อวิ๋นไต้กระทืบเท้า ในที่สุดก็เริ่มลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นยันต์แม่ลูกขานเสียง! ต่อให้ไม่ใช่ ยันต์บนโลกมีนับร้อยนับพันชนิด แต่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นยันต์ที่มีประสิทธิผลเดียวกันนี้

จิตใจชั่วช้าอำมหิตอย่างแท้จริง!

แล้วก็จริงดังคาด ม่านฝนที่อยู่นอกค่ายกลภูเขาและแม่น้ำมีแสงกระบี่แหวกอากาศมาถึงอีกครั้ง

ผู้เฒ่าถือไม้เท้าที่เพิ่งเดินกลับไปถึงหน้าประตูใหญ่ของจวนตัวเองยืนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม เพื่อแสดงการให้ความเคารพ

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่กว่าจะให้ลูกศิษย์ทำจิตใจให้มั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าพอเสียงฟ้าร้องและแสงกระบี่นั่นย้อนกลับมาที่ภูเขาเหมิงหลงอีกครั้ง นางก็ค้นพบว่าลูกศิษย์หนุ่มลมหายใจวุ่นวาย ใบหน้าไม่น่ามองยิ่งกว่าเจ้าประมุขที่โดนไปหนึ่งหมัดและสองกระบี่เสียอีก

สตรีพกกระบี่กัดฟัน จับด้ามกระบี่ที่พกเอาไว้ พุ่งกลับไปที่ยอดเขา คิดจะสู้ตายกับคนผู้นั้น!

หากรากฐานมหามรรคาของลูกศิษย์ถูกทำลาย จิตแห่งกระบี่ถูกฝุ่นเกาะนับแต่นี้ ก็ไม่มีอนาคตอะไรให้คาดหวังกันอีกแล้ว หรือจะให้นางต้องกลายไปเป็นเมียน้อยอุ่นเตียงให้เจ้าลวี่ทิงเจียวผู้นั้นจริงๆ ?!

บนยอดเขาภูเขาเหมิงหลง

คนหนุ่มชุดเขียวพลิ้วกายลงบนยอดเขาอีกครั้ง ครั้นจึงตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที ชูอีกระบี่บินที่แอบซ่อนตัวอยู่นอกหน้าผาก็บินวูบกลับเข้าไปในน้ำเต้า

ครั้งนี้กระบี่ยาวคร้านจะกลับเข้าฝักแล้ว มันค่อยๆ เลื่อนระดับตำแหน่งของตัวเองขึ้น สุดท้ายมาลอยอยู่ข้างกายของเฉินผิงอัน มือที่กำลังจะคลายของเฉินผิงอันจึงกุมด้ามกระบี่ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังลวี่อวิ๋นไต้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบรรพจารย์

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่ทัพหม่าใช่ไหม? ไม่สู้ข้ากับพวกเจ้าสองพ่อลูกไปเยี่ยมเขาด้วยกันเลยดีไหม?”

ชายแขนเสื้อสองข้างสั่นกระเพื่อมไม่หยุด คำพูดคำจาและสีหน้าล้วนเป็นมิตรผ่อนคลาย แต่พลังอำนาจกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะปลายกระบี่ที่ปราณกระบี่สีทองถึงกับมารวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำ หยดติ๋งลงบนพื้นแล้วก็แผ่ขยายลามไปอย่างรวดเร็ว ทอประกายแสงเจิดจ้าบาดตา

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยค ‘อย่าถ่วงเวลาการฝึกตนของข้า’ ก่อนหน้านั้นขึ้นมา ลวี่ทิงเจียวพลันแข้งขาอ่อนยวบ

ลวี่อวิ๋นไต้กุมสองมือเป็นหมัด โค้งตัวลงต่ำอย่างถึงที่สุด “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ พวกเรายอมแพ้ ยอมทั้งกายและใจ! หากผู้อาวุโสไม่เชื่อ ข้าลวี่อวิ๋นไต้สามารถไปที่ศาลบรรพจารย์ ใช้เลือดหัวใจสามหยดจุดธูปสามดอก ใช้นามของเหล่าบรรพบุรุษให้คำสัตย์สาบานต่อสวรรค์”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปากพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีศาลบรรพจารย์ก่อนถึงจะจุดธูปได้กระมัง?”

นับตั้งแต่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลวี่อวิ๋นไต้รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนี้

ศาลบรรพจารย์ไม่ใช่สถานที่ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่เป็นชีวิตครึ่งหนึ่งของถ้ำสถิตตระกูลเซียนบนภูเขาทั้งหมด!

สีหน้าของลวี่ทิงเจียวก็ยิ่งแปรเปลี่ยนไปไม่แน่นอน คิดอยากจะแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นดั่งทางตันในเวลานี้ให้ได้

เฉินผิงอันพลันจ้องไปที่ลวี่อวิ๋นไต้เขม็ง ถามว่า “ชีวิตของลวี่ทิงเจียวกับการดำรงอยู่ของศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลง เจ้าจะเลือกอะไร?”

ลวี่ทิงเจียวร้อนใจราวกับมีไฟลน ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น น้ำตาอาบน้ำ เอ่ยวิงวอนว่า “ท่านพ่อ นี่คือแผนการชั่วร้ายยุแยงให้แตกแยก! ท่านอย่าได้เชื่อฟังคำเขาง่ายๆ …”

ลวี่อวิ๋นไต้มองสบตาเฉินผิงอัน ไม่ได้หันไปมองบุตรชาย เขายกมือขึ้นช้าๆ

การกระทำที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าไม่ได้คิดจะทุบไหที่แตกให้แหลกเพื่อแตกหักกับเซียนกระบี่ท่านนี้

จิตใจของลวี่ทิงเจียวสะท้านสะเทือนอย่างหนัก พลิกตัวกลิ้งถอยไปด้านหลังอย่างสุดชีวิต พยายามจะหนีไปให้ได้ ชุดคลุมอาคมหลูฮวาบนร่างตัวนั้นช่วยเขาได้ไม่น้อย ความเร็วนั้นไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกตนชมมหาสมุทรคนใดเลย

ต่อให้โอกาสที่จะหนีไปสุดขอบฟ้าจะมีน้อยนิด แต่ลวี่ทิงเจียวจะเอาแต่นั่งรอความตายไม่ได้ อีกทั้งยังต้องตายเพราะถูกบิดาสังหารอยู่นอกศาลบรรพจารย์อีกด้วย

นิสัยเหี้ยมอำมหิตของบิดา เขาที่เป็นบุตรชายจะไม่รู้ได้อย่างไร สามารถอาศัยการสังหารเขามาทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีเรื่องเลยได้จริงๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องผ่านด่านยากตรงหน้านี้ไปให้ได้

นอกจากนี้ลวี่ทิงเจียวก็ยังมีความหวังอยู่เสี้ยวหนึ่งว่าตัวเองจะโชคดี ขอแค่รอดพ้นไปจากการมองเห็นของเซียนกระบี่ผู้นี้ ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่บิดาเขาจะพลาดโอกาสในการลงมือ ถึงเวลานั้นก็เป็นคราวของบิดาผู้ใจดำที่ต้องเผชิญหน้ากับการคิดบัญชีย้อนหลังจากเซียนกระบี่ผู้นั้นแล้ว

เฉินผิงอันชำเลืองตามองลวี่ทิงเจียวที่ถูกลวี่อวิ๋นไต้เล็งจับลมปราณได้แต่ไกลๆ แวบหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ลวี่อวิ๋นไต้ ไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์เถอะ แล้วเรื่องนี้จะถือว่าแล้วกันไป ผู้ที่ฝึกตนยังต้องพิถีพิถันในเรื่องการทำความดีสะสมบุญ ทั้งด้านการกระทำและยิ่งต้องทั้งด้านจิตใจด้วย”

ลวี่อวิ๋นไต้รีบหดมือลง หมุนตัวกลับ เดินก้าวยาวๆ ไปยังศาลบรรพจารย์ ข่มกลั้นความเศร้าขมขื่นในใจเอาไว้ สลายค่ายกลภูเขาแม่น้ำออก เผชิญหน้ากับป้ายวิญญาณและภาพเหมือนที่อยู่ด้านใน ดึงเลือดหัวใจออกมาสามหยด จุดธูปเทพที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับสามดอกเงียบๆ ใช้วิชาลับตระกูลเซียนที่เล่าลือกันว่าต่อให้ตามหาไปถ้วนทั่วทุกหนแห่งก็ยังหาได้ไม่พบ ทำตามที่ตกปากรับคำไว้ก่อนหน้านี้ เซ่นไหว้บรรพบุรุษ มือถือธูป เอ่ยคำสาบานเสียงดัง

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตผู้นั้นมาถึงยอดเขา

จึงได้ยินคำสาบานที่ดังแว่วมาจากในศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลงพอดี

ในสายตาของนางกลับเห็นเป็นเงาร่างของเซียนกระบี่ชุดเขียวที่บนมวยผมปักปิ่นหยก ตรงเอวห้อยรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ลมฝนบนภูเขาที่พัดโชยเป็นระลอกพัดพาให้เส้นผมและชายแขนเสื้อของคนหนุ่มปลิวสะบัดไม่หยุด

คนผู้นั้นถอยกรูดออกไปด้านหลัง เหยียบลงบนกระบี่เซียนใต้ฝ่าเท้าที่ตามติดเขาเป็นเงาเบาๆ แสงทองเปล่งวาบ วาดเส้นวงขนาดใหญ่ออกไปกลางอากาศเหนือภูเขาเหมิงหลง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

ประหนึ่งมีเซียนยุคบรรพกาลท่านหนึ่งถือพู่กันวาดวงกลมขนาดใหญ่ลงบนโลกมนุษย์

ไม่เพียงแต่สตรีผู้นี้เท่านั้นที่จิตวิญญาณแกว่งไกว ผู้ฝึกตนแทบทุกคนบนภูเขาเหมิงหลงก็ล้วนเกิดความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันนี้ขึ้นมาในใจ จิตใจสะท้านสะเทือนไม่หยุด

มาดของเซียนกระบี่ตรึงลึกลงไปในใจจนไม่อาจลึกไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

ทว่าห่างออกไปไกล หนึ่งคนหนึ่งกระบี่พลันแหวกม่านฝนและทะเลเมฆหนาหนักออกมา ฟ้าดินสว่างจ้า ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ลอยสูงอยู่กลางนภา

เฉินผิงอันเปลี่ยนจากท่ายืนมาเป็นท่านั่งลอยตัวกลางอากาศที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดเล็กน้อย เนื่องจากลมปราณของเขาเชื่อมโยงอยู่กับเจี้ยนเซียน จึงสามารถนั่งได้อย่างมั่นคง แต่ไม่ได้จิตใจเชื่อมโยงเหมือนยามที่ผู้ฝึกกระบี่ควบคุมกระบี่ ไม่ได้ถึงขอบเขตที่เล่าลือกันในตำนานว่าเซียนกระบี่ดุจดั่ง ‘เชื่อมโยงถ้ำสวรรค์’ อย่างแน่นอน

นี่เป็นท่าหมัดท่าใหม่ในตำราเขย่าขุนเขา เป็นท่านั่ง มีชื่อว่าศพนั่ง

เพราะในตำราหมัดบันทึกไว้ว่า องค์เทพยุคบรรพกาลนั่งอยู่ในสรวงสรรค์ดุจศพนั่ง

เฉินผิงอันสามารถ ‘บังคับกระบี่’ เดินทางไกล อันที่จริงเขาก็แค่ยืนอยู่บนเจี้ยนเซียนเท่านั้น แล้วก็ต้องทนรับความทรมานจากการโดนลมแรงพัดกระโชกใส่ นอกจากจะเป็นเพราะเรือนกายเขาแข็งแกร่งเหนือคนทั่วไปแล้ว ยังต้องยกความดีความชอบให้กับท่านั่งที่แน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขานี้ด้วย

ชุยเฉิงเคยกล่าวว่ากระบวนท่าหมัดนั้นไร้ชีวิต ไม่ถือว่าสูงส่ง แค่ต้องดูที่สภาพจิตใจของคนฝึกหมัดว่าสามารถสร้างชีวิตจิตวิญญาณออกมาได้หรือไม่ เมื่อสามารถบ่มเพาะฟูมฟักพลังออกมาได้แล้ว กระบวนท่าหมัดขั้นเริ่มต้นที่ธรรมดาสามัญก็สามารถพาเดินตรงไปสู่ปลายทางของวิถีวรยุทธได้เช่นกัน

ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง

มือกระบี่ชุดเขียวนั่งอยู่บนกระบี่เซียนเล่มนั้น ทั้งคนและกระบี่ กระบี่และจิตใจ ล้วนใจกระจ่างดุจแสงสว่างอันเรืองรอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version