Skip to content

Sword of Coming 480

บทที่ 480 นับแต่โบราณกาลมา นักดื่มเมาได้ยากที่สุด

บนชั้นสอง ผู้เฒ่าชุยเฉิงยังคงเปลือยเท้าอยู่ดังเดิม เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่ได้นั่งขัดสมาธิ แต่หลับตาพักผ่อน ตั้งกระบวนท่าหมัดแปลกตาที่เฉินผิงอันไม่เคยพบเห็นมาก่อน ฝ่ามือข้างหนึ่งกำเป็นหมัด อีกข้างหนึ่งแบออก หนึ่งอยู่สูง หนึ่งอยู่ต่ำ เฉินผิงอันไม่ได้รบกวนท่ายืนของผู้เฒ่า เขาปลดงอบลง ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ปลดเจี้ยนเซียนลงด้วย ก่อนจะนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง

ชุยเฉิงลืมตาขึ้น ยังคงไม่เปลี่ยนท่า เอ่ยเนิบช้าว่า “วิชาหมัดใต้หล้านี้ล้วนหนีไม่พ้นแข็งแกร่งกับนุ่มนวล วิชาหมัดของข้าเรียกได้ว่าแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ปีนั้นที่เดินทางท่องเที่ยวไปสี่ทิศ เจอวิชาหมัดที่นุ่มนวลมาไม่น้อย แต่ไม่เคยมีวิชาหมัดไหนที่คู่ควรกับคำว่านุ่มนวลอย่างถึงที่สุดมาก่อน”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “นอกจากตำราหมัดและกระบวนท่าแล้ว จิตใจก็ต้องสอดคล้องด้วย เมื่อเทียบกับวิชาหมัดของผู้อาวุโส หากไม่แข่งขันด้านความสูงต่ำของวิชาหมัด ความหนักเบาของปณิธานหมัดของทั้งสองฝ่าย คิดแต่จะฝึกให้ได้ถึงขอบเขตนุ่มนวลถึงขีดสุด น่าจะยิ่งยากเข้าไปอีก ลูกศิษย์ลัทธิเต๋าที่ฝึกตนอยู่บนภูเขายินดีเปลี่ยนมาฝึกหมัด ความเป็นได้ไปอาจมากกว่าหน่อย แต่กลับยากมากๆ ที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวในยุทธภพจะทำได้ กระบวนท่าเริ่มจากล่างสู่บน ปณิธานเริ่มจากในสู่นอก หากสภาพจิตไปไม่ถึงก็อย่าหวังว่าจะเดินไปถึงยอดเขา”

ชุยเฉิงเก็บท่าหมัด พยักหน้ากล่าวว่า “พูดอย่างนี้นับว่าพอถูไถไปได้ ดูท่าแล้วความสามารถในการบรรลุสัจธรรมแห่งหมัดของเจ้าจะดีกว่าเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนั้นเล็กน้อย”

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้ว คิดจะได้ฟังประโยคยาวๆ จากผู้เฒ่าสักประโยคหนึ่ง ระดับความยากนั้น เกรงว่าคงพอๆ กับปีนั้นที่เจิ้งต้าเฟิงได้คุยกับหยางเหล่าโถวเกินสิบคำ

ชุยเฉิงขยับตัวนั่งลง จ้องมองไปยังคนหนุ่มนิ่งๆ

หลังกลับมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน ผ่านการป้อนหมัดอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้ บวกกับการเดินทางท่องเที่ยวผ่านภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปมารอบหนึ่ง จึงไม่ได้มีสภาพอิดโรยสองข้างแก้มซูบตอบเหมือนเดิมอีกแล้ว เพียงแต่ว่าสายตาคือจุดศูนย์รวมจิตวิญญาณของคน สายตาของคนหนุ่มค่อนข้างจะลึกล้ำไปสักหน่อย ประหนึ่งบ่อน้ำมืดลึก หากไม่ใช่บ่อน้ำแห้งขอดที่มีเพียงความมืดดำ ก็เป็นบ่อน้ำที่น้ำเปี่ยมล้นจนยากที่จะมองเห็นทะลุไปถึงก้นบ่อได้

ชุยเฉิงเอ่ยถาม “หากมอบโอกาสให้เจ้าอีกครั้ง กาลเวลาหมุนย้อนกลับ สภาพจิตใจไม่แปรเปลี่ยน เจ้าควรจะจัดการกู้ช่านอย่างไร? ฆ่าหรือว่ายังคงไม่ฆ่า?”

เฉินผิงอันตอบ “ยังคงไม่ฆ่า”

ชุยเฉิงขมวดคิ้ว “ทำไมถึงไม่ฆ่า? ฆ่าไปก็ไม่ละอายใจต่อฟ้าดิน ความอึดอัดใจที่ต้องสังหารญาติใกล้ชิดกับมือของตัวเอง ต่อให้ต้องสะกดกลั้นไว้ในใจ แต่กลับมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะทำให้ในอนาคตเจ้าสามารถออกหมัดได้หนักกว่าเดิม ออกกระบี่ได้เร็วกว่าเดิม คนเรามีเพียงในใจเจ็บแค้นรุนแรงเท่านั้น ถึงจะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ว่าในใจวางมีดทื่อไว้เล่มหนึ่งแล้วนำมาใช้ขัดปณิธานให้สึกหลอ สังหารกู้ช่าน ได้ทั้งหยุดความผิดพลาด อีกทั้งยังประหยัดแรงกายแรงใจ หลังจบเรื่องเจ้าก็สามารถชดเชยแก้ไขได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้นต่อไป งานพิธีการทางศาสนาของทั้งสองลัทธิ กู้ช่านจะทำได้ดียิ่งกว่าเจ้าอย่างนั้นหรือ? เฉินผิงอัน! ข้าถามเจ้า ทำไมคนอื่นทำชั่ว คนอื่นถึงตายภายใต้หมัดใต้กระบี่ของเจ้าได้ แต่กู้ช่านที่มีพระคุณกับเจ้าเพราะข้าวหนึ่งชาม ตำราหนึ่งเล่ม ถึงตายไม่ได้?”

น้ำเสียงและคำพูดของผู้เฒ่ายิ่งนานก็ยิ่งรุนแรง ถึงท้ายที่สุด พลังอำนาจของชุยเฉิงก็ปานประหนึ่งขุนเขาที่กดทับลงมา จุดที่ประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทั้งๆ ที่ไม่มีปณิธานหมัดใดๆ อยู่บนร่างของชุยเฉิง อย่าว่าแต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเลย ตอนนี้เขาไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ กลับเหมือนอาจารย์ผู้เฒ่าของสำนักศึกษาที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อนั่งอยู่อย่างสำรวมเสียมากกว่า

“ไม่ละอายใจต่อฟ้าดิน? แม้แต่เฉินผิงอันของตรอกหนีผิงก็ยังไม่ใช่แล้ว แล้วยังคู่ควรพกกระบี่ท่องไปทั่วหล้า เพื่อพูดจากับฟ้าดินแห่งนี้แทนนางอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันกระตุกมุมปากคล้ายกำลังเย้ยหยัน “สังหารญาติตัวเองเพื่อผดุงคุณธรรมที่ทะเลสาบซูเจี่ยน? สังหารกู้ช่านไปแล้วก็จากมา ยากนักหรือ? ยากสิ แต่ยากเท่าสามปีที่ข้าเสียเวลาอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนงั้นหรือ? เปล่าเลย การเลือกของข้า สุดท้ายแล้วทำให้วิถีทางโลกของทะเลสาบซูเจี่ยนเปลี่ยนเป็นดีขึ้นบ้างหรือไม่? ใช่ หลังจากที่กู้ช่านมีชีวิตอยู่ต่อ ชดใช้ผลจากการกระทำชั่วร้ายที่เขาติดค้างเอาไว้ สันดานของเขาจะเปลี่ยนยาก สุดท้ายแล้วยังคงทำเรื่องชั่วช้า เป็นเหตุให้ยังกลายเป็นเรื่องร้ายเรื่องหนึ่งต่อวิถีทางโลกในอนาคตหรือไม่? ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ากำลังมองดูอยู่ ต่อให้ข้าเดินทางไกลไปถึงอุตรกุรุทวีป ทว่าก็ยังมีเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่ยังมองดู หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสีย หลิ่วเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว กวนอี้หรานแห่งนครน้ำบ่อก็ล้วนกำลังมองดูอยู่”

ผู้เฒ่ายังคงไม่พอใจกับคำตอบนี้ เรียกได้ว่ายิ่งเกิดโทสะ จึงถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล หมัดสองข้างวางไว้บนหัวเข่า เรือนกายโน้มเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย หรี่ตาพูดเสียงหนัก “ยากหรือไม่ยาก ควรจะปฏิบัติต่อกู้ช่านอย่างไร นั่นมันเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ข้าจะถามจิตดั้งเดิมของเจ้าอีกครั้ง! สรุปแล้วมีความต่างระหว่างคนใกล้ชิดกับห่างเหินหรือไม่? วันนี้เจ้าไม่ฆ่ากู้ช่าน วันหน้าเผยเฉียน จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงแห่งภูเขาลั่วพั่ว หลี่เป่าผิง หลี่ไหวแห่งสำนักศึกษา หรือข้าชุยเฉิงที่กระทำเรื่องชั่วร้าย เจ้าเฉินผิงอันจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที”

ชุยเฉิงถามอีก “ถ้าอย่างนั้นข้อสงสัยของเจ้าในตอนนี้ คืออะไร?”

“หลังจากพูดคุยกับเว่ยป้อแล้วก็ลดลงไปเรื่องหนึ่ง”

เฉินผิงอันตอบอีกว่า “ดังนั้นตอนนี้จึงคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด ทำอย่างไรถึงจะฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนกระบี่”

ชุยเฉิงยังคงส่ายหน้า “เด็กเล็กสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ ไม่มีทางได้ดิบได้ดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักร้อยปีพันปี ถึงเวลานั้นค่อยมาดูกันว่าใครกันแน่ที่ถูกต้อง?”

ชุยเฉิงชำเลืองตามองประตูห้องที่เฉินผิงอันไม่ได้ปิดลงคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา แล้วเอ่ยเย้ยหยันว่า “ดูจากท่าทางการเดินเข้าประตูมาของเจ้า ไม่เหมือนว่าจะมีความกล้าพอให้เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้เลย”

เฉินผิงอันตบท้อง “คำพูดวางโตบางอย่าง ถึงเวลาเข้าจริงๆ หากไม่พูดก็ไม่สบายใจ”

ชุยเฉิงพยักหน้ารับ “คงจะคันผิวหนังสินะ”

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้าใช่คนดีไหม?”

ชุยเฉิงพยักหน้ารับ “ใช่”

นอกจากจะผดุงคุณธรรมเพื่อความถูกต้องแล้ว ยังมีเมตตากับผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แน่นอนว่าต้องถือว่าเป็นคนดี

เฉินผิงอันถามอีก “รู้สึกว่าข้าคืออริยะผู้มีคุณธรรมหรือไม่?”

ชุยเฉิงชำเลืองตามองคนหนุ่ม “เหมือน”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนอกห้อง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นดูท่าคนฉลาดบนโลกใบนี้จะมีมากจริงๆ”

ชุยเฉิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างเบิกบานเป็นที่สุด ราวกับกำลังรอคอยประโยคนี้ของเฉินผิงอันอยู่

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “นักพรตเฒ่าตงไห่แห่งอารามกวานเต๋าวางแผนทำทุกวิถีทางเพื่อกรอกเส้นสายความรู้ให้แก่ข้า และข้าก็ยังเคยตั้งใจไปศึกษาศาสตร์แห่งตรรกะของลัทธิพุทธ รวมไปถึงความรู้อันเป็นรากฐานสายใหญ่ๆ หลายสายของลัทธิขงจื๊อ แน่นอนว่าเพื่อให้คลี่คลายสถานการณ์ไปได้ ก็เคยนึกถึงทฤษฎีคุณความชอบของราชครูชุยฉาน การคิดเรื่องเหล่านี้เปลืองแรงข้าอย่างมาก ข้ากล้าพูดแค่ว่าพอจะกระจ่างแจ้งบ้างในบางอย่าง แต่ก็ยังต้องพูดว่ามีความรู้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ทว่าระหว่างขั้นตอนนี้ข้ามีความคิดที่ประหลาดมากอย่างหนึ่ง…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ดึงแผ่นไม้ไผ่แผ่นหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เอามาวางไว้บนพื้นด้านหน้า ชี้นิ้ววาดเบาๆ ลงบนตำแหน่งตรงกลางของแผ่นไม้ไผ่ “หากบอกว่าตลอดทั้งฟ้าดินก็คือ ‘หนึ่ง’ อย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นสรุปว่าวิถีทางโลกนั้นดีหรือร้ายกันแน่ สามารถพูดได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ความคิดดีและความคิดชั่ว การทำดีและการทำชั่วของทุกคนที่นำมารวมกัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ชักคะเย่อกันเอง? หากวันใดฝ่ายหนึ่งชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว ก็จะพลิกฟ้าพลิกดิน เปลี่ยนมาเป็นการดำรงอยู่อีกอย่างหนึ่งแทน? ดีเลว คุณธรรม ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไป ก็เหมือนกับตอนนั้นที่วิถีแห่งเทพล่มสลาย สรวงสวรรค์พังภินท์ หลังจากได้รับโชควาสนาใหญ่ที่ทำให้คงความเป็นอมตะมิเสื่อมสลายเคียงข้างฟ้าดินแล้ว เดิมทีก็เป็นการตัดขาดจากโลกีย์วิสัยโดยสิ้นเชิง คนไม่ใช่คนอีกต่อไป ฟ้าดินก็ยิ่งแปรเปลี่ยน แล้วเกี่ยวอะไรกับ ‘ข้า’ ที่เหนือล้ำนอกโลกมานานแล้ว?”

ชุยเฉิงชี้ไปที่แผ่นไม้ไผ่เล็กบางเบื้องหน้าเฉินผิงอันแผ่นนั้น “บางทีคำตอบอาจจะมีอยู่นานแล้ว ไยต้องถามคนอื่น?”

เฉินผิงอันก้มหน้าลงมอง บนแผ่นไม้ไผ่สีออกเหลืองเขียนประโยคหนึ่งที่เขาเป็นผู้สลักด้วยตัวเอง ‘ความแข็งแกร่งอ่อนแอในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นอยู่ที่กำลังมากน้อย ชัยชนะและความพ่ายแพ้ในช่วงเวลายาวนานนั้นอยู่ที่หลักการเหตุผล’

เฉินผิงอันพึมพำ “แต่คนธรรมดาล่างภูเขาคนหนึ่ง หรือต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา จะมีสักกี่คนที่สามารถมองเห็น ‘กาลเวลาอันยาวนาน’ นี้ ทำไมการเป็นคนดีถึงได้ยากขนาดนั้น แล้วทำไมการใช้หลักการเหตุผลต้องจ่ายค่าตอบแทน เหตุใดชีวิตนี้ถึงรันทดจนได้แต่ต้องฝากความหวังไว้ที่ชาติหน้า เหตุใดการใช้หลักการเหตุผลยังต้องอาศัยสถานะ อำนาจ ม้าเหล็ก ตบะ หมัดและกระบี่”

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “คิดแล้วก็ไม่เข้าใจหรือ?”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบคำถาม

ชุยเฉิงลุกขึ้นยืน ชี้นิ้วไปยังด้านบน “คิดไม่เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไปถามคนที่อาจจะเข้าใจแล้ว ยกตัวอย่างซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้น ซิ่วไฉเฒ่าอาศัยความรู้เต็มท้องที่เขาพูดเองว่าไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ แต่ก็สามารถเชื้อเชิญให้มรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธมานั่งลงได้ เจ้าเฉินผิงอันมีสองหมัดหนึ่งกระบี่ ไม่สู้ลองทำดูเล่า”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น

ชุยเฉิงหดมือกลับมา ยิ้มกล่าวว่า “คำพูดวางโตเช่นนี้ เจ้าก็เชื่อหรือ?”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

ชุยเฉิงเอ่ยถาม “บัณฑิตคนหนึ่งที่อยู่ในยุคสันติสุข วิ่งไปชี้นิ้วด่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในกลียุคประชาชนทุกข์ยาก ด่าเขาว่าต่อให้รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้ แต่ก็ยังคงสังหารคนบริสุทธิ์ไปนับไม่ถ้วน ไม่ใช่คนดีอะไร เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “ไม่พูดถึงดีเลวที่เป็นรากฐาน ก็เป็นแค่คนเลวที่โง่เท่านั้น ประเด็นสำคัญนั้นอยู่ที่ ต่อให้เขาพูดถึงคุณงามความดีของอีกฝ่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับไม่ยอมรับ การที่พูดอย่างนั้นก็เพื่อสะดวกให้พูดครึ่งประโยคถัดไปเท่านั้น ถึงได้บอกว่าทั้งโง่ทั้งเลว”

ชุยเฉิงชี้ไปนอกห้อง “อาศัยคำตอบนี้ มาเยือนภูเขาลั่วพั่ว คนคนหนึ่งที่อยู่ระหว่างจะพบหรือไม่พบก็ได้ เกรงว่าคงยินดีที่จะพบเจ้าแล้ว หลังจากนี้ก็ดูที่ว่าเจ้าเต็มใจจะพบเขาหรือไม่ พบแล้วควรจะพูดคุยกันอย่างไร ล้วนเป็นเรื่องของพวกเจ้าเอง หลังออกจากประตูไปแล้ว จำไว้ว่าปิดประตูด้วย”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นบัณฑิตผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง ทั้งไม่ดูยากจน แล้วก็ไร้ซึ่งความสูงศักดิ์

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดอยู่นอกห้องแล้วปิดประตูลงเบาๆ ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อยืนพิงราวรั้ว ทอดสายตามองไปทางทิศใต้ เฉินผิงอันก็ยืนเคียงไหล่อยู่กับซิ่วหู่แห่งต้าหลีอดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งผู้นี้

ชุยฉานเป็นฝ่ายเดินลงเรือนไปก่อน เฉินผิงอันเดินตามติดไปเบื้องหลัง คนทั้งสองขึ้นเขาไปเยือนศาลเทพภูเขาที่อยู่บนยอดเขาด้วยกัน

เทพภูเขาซ่งได้พาร่างทองถอยหลบไปนานแล้ว

ออกมาจากเรือนไม้ไผ่ คนทั้งสองยังคงเดินเคียงไหล่ไปด้วยกันช้าๆ ขึ้นบันไดไปทีละก้าว

ประโยคแรกของชุยฉานกลับเป็นประโยคที่ไม่ตรงประเด็น “เว่ยป้อไม่มาแจ้งให้เจ้ารู้ล่วงหน้า เพราะข้าใช้อำนาจข่มเขาไว้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเกิดความคลางแคลงใจ”

เฉินผิงอันเอ่ย “แน่นอน”

ชุยฉานถาม “การเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันกล่าว “หากพูดตามมารยาทก็คือยังดี แม้ว่าจะมีชีวิตอเนจอนาถไปหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับผลเก็บเกี่ยวกลับมาเสียเลย บางครั้งกลับยังต้องขอบคุณเจ้า ถึงอย่างไรเรื่องร้ายก็ไม่กลัวว่าจะเกิดขึ้นเร็ว แต่หากให้เอ่ยคำพูดอาฆาต นั่นก็คือข้าจดลงบนบัญชีแล้ว วันหน้าหากมีโอกาสจะต้องทวงหนี้คืนจากราชครูแน่นอน”

ชุยฉานอืมรับหนึ่งคำ ไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย พูดเหมือนคุยกับตัวเองว่า “ฝูเหยาทวีปเริ่มเกิดความวุ่นวายแล้ว ใบถงทวีปได้รับโชคดีหลังโชคร้าย แผนการของปีศาจใหญ่หลายตนถูกเปิดโปงเสียแต่เนิ่นๆ กลับกลายเป็นว่าสถานการณ์เริ่มมั่นคง ส่วนทักษินาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุด มีเฉินฉุนอันอยู่ คิดว่าถึงอย่างไรก็คงไม่วุ่นวายเป็นแน่ สกุลลู่สำนักหยินหยางทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง บรรพบุรุษท่านหนึ่งยอมเผาผลาญตบะทั้งหมด ในที่สุดก็มอบผลลัพธ์ที่แน่ชัดอย่างหนึ่งให้แก่ศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ หากกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก ภูเขาห้อยหัวก็จะถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์เก็บกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัว มีความเป็นไปได้สูงว่าทักษินาตยทวีปและฝูเหยาทวีปจะกลายเป็นของในกระเป๋าของเผ่าปีศาจ ดังนั้นถึงเวลานั้นเผ่าปีศาจจะสามารถยึดครองโชคชะตาของสองทวีป หลังจากนั้นก็จะได้รับความมั่นคงในระยะสั้นๆ แล้วค่อยหันไปโจมตีทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเป็นหลัก ถึงเวลานั้นสรรพชีวิตจะวอดวาย ควันดินปืนลอยไกลเป็นหมื่นลี้ วิญญูชนและอริยะลัทธิขงจื๊อจะต้องตายดับนับไม่ถ้วน เมธีร้อยสำนักก็สูญเสียพลังต้นกำเนิดมหาศาลไม่ต่างกัน โชคดีที่บัณฑิตคนหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในสายบุ๋นใดๆ ของลัทธิขงจื๊อออกจากเกาะที่ตั้งตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวนอกมหาสมุทรมาแล้ว ใช้กระบี่ฟันผ่าด่านลับบางแห่ง สามารถรองรับผู้ประสบภัยได้เป็นจำนวนมาก ลูกศิษย์สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อของสามทวีปจึงเริ่มลงมือจัดเตรียมเรื่องการย้ายถิ่นฐานในอนาคตกันแล้ว”

ชุยฉานหยุดชะงักไปเล็กน้อย “นี่เป็นเพียงแค่ความจริงส่วนเดียวเท่านั้น ในนี้ยังมีแผนการที่ซับซ้อนอยู่อีก ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายคนกันเอง หรือเป็นฝ่ายในของใต้หล้าไพศาล ตัวของลัทธิขงจื๊อเอง การเดิมพันซึ่งเมธีร้อยสำนักเป็นหนึ่งในนั้น ล้วนต้องเรียกว่าปนกันยุ่งเหยิง นี่ยากกว่าการที่เจ้าจับดึงเอาหัวของเส้นสายซึ่งเป็นเส้นทางหัวใจของคนบางคนในทะเลสาบซูเจี่ยนขึ้นมามากนัก จิตใจคนแตกต่างกันไป ก็โทษไม่ได้ที่วิถีสวรรค์จะแปรปรวนไม่หยุดนิ่ง”

เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ ยื่นมือไปปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หมายจะดื่มเหล้าตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่ว่าก็หยุดการกระทำนั้นลงอย่างรวดเร็ว

ชุยฉานเดินขึ้นที่สูงไปทีละก้าวพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ความโชคดีอย่างใหญ่หลวงท่ามกลางความโชคร้าย ก็คือพวกเรายังมีเวลา”

ชุยฉานเอ่ย “ในจดหมายของชุยตงซานน่าจะไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้แก่เจ้ากระมัง คงมีความเป็นเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะรอให้อาจารย์อย่างเจ้ากลับมาจากอุตรกุรุทวีปเสียก่อนแล้วค่อยพูดถึง หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าเสียสมาธิยามที่ต้องฝึกกระบี่ สองก็เพราะเวลานั้น ศิษย์อย่างเขาที่ต่อให้จะใช้สถานะของชุยตงซาน แต่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปก็น่าจะถือว่ามีฐานะมีชื่อเสียงแล้ว จะได้เอามาโอ้อวดต่อหน้าอาจารย์ได้ ข้าถึงขั้นพอจะเดาได้คร่าวๆ ด้วยว่า เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะพูดกับเจ้าด้วยประโยคที่ว่า ‘อาจารย์วางใจได้ มีลูกศิษย์อยู่ แจกันสมบัติทวีปก็ยังคงอยู่’ ชุยตงซานจะรู้สึกว่านั่นเป็นสภาพการณ์ที่ทำให้เขาสบายใจอย่างมาก ตอนนี้ชุยตงซานลงมือทำเรื่องต่างๆ ด้วยความยินยอมพร้อมใจเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จึงดีกว่าการที่ข้าวางแผนให้เขายอมก้มหัวเป็นฝ่ายออกมาจากภูเขามากนัก ข้าเองก็จำเป็นต้องขอบคุณเจ้า”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด

ชุยฉานชำเลืองตามองปิ่นหยกที่เฉินผิงอันปักไว้บนมวยผม “เฉินผิงอัน ไม่รู้จะว่าเจ้าอย่างไรดี ตอนที่ต้องเฉลียวฉลาดและระมัดระวัง ปีนั้นก็ไม่เหมือนเด็กหนุ่ม ตอนนี้ก็ไม่เหมือนคนหนุ่มที่เพิ่งถึงวัยปักปิ่น แต่เวลาที่โง่เขลาขึ้นมา ก็เป็นดั่งเงาดำใต้โคมไฟ ไม่ว่าจะกับคนหรือกับสิ่งของก็ล้วนเหมือนกัน เหตุใดจูเหลี่ยนถึงต้องเตือนเจ้าว่าเสียงนกกระทาดังขึ้นกลางภูเขา? หากจิตใจเจ้าสงบนิ่งเหมือนอย่างตอนที่เจ้าลงมือทำเรื่องต่างๆ นิ่งดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ เหตุใดเจ้าต้องกลัวการบอกลากับสหายคนหนึ่งด้วย? บุญคุณความแค้นบนโลกก็ดี ความรักก็ช่าง ไม่ได้ดูที่ว่าพูดอย่างไร แต่ต้องดูที่ว่าทำอย่างไร”

“อีกอย่าง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ศึกที่นครมังกรเฒ่า คนที่ลงมือคือตู้เม่าขอบเขตบินทะยาน เป็นเรือกลืนกระบี่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเขา ดังนั้นแม้แต่แผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อที่นางมอบให้เจ้ายังแหลกสลายไปแล้ว หากเป็นปิ่นธรรมดาทั่วไปจะยังเหลือรอดอยู่ได้อย่างไร?”

ชุยฉานเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้าขึ้น “แค่มองต้นกำเนิดก็เห็นไปถึงอนาคต เอาแต่มองดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้าอยู่ตลอดเวลา จิตใจจึงเหมือนบุปผาพืชพรรณที่แตกหน่อหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ถ้าอย่างนั้นเงามืดที่อยู่ด้านหลังตัวเองจะไม่หันไปมองสักครั้งเลยหรือ?”

เฉินผิงอันยื่นมือไปลูบปิ่นหยก พอหดมือกลับมาก็ถามว่า “เหตุใดราชครูต้องเอ่ยถ้อยคำที่แสดงความจริงใจพวกนี้กับข้า?”

ชุยฉานยิ้มกว้างอย่างสง่างาม “ข้าครึ่งตัว ตอนนี้คือลูกศิษย์ของเจ้า ท่านปู่ของข้ายังมาอาศัยอยู่ในบ้านของเจ้า ในฐานะราชครูต้าหลี ควรจะแยกแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมให้ชัดเจนสักหน่อยดีไหม?”

เฉินผิงอันเชื่อ เพียงแต่ไม่เชื่อทั้งหมด

ชุยฉานเดินขึ้นไปบนยอดบนสุดของบันได แล้วหมุนตัวกลับไปมองทิศไกล

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชูขึ้นสูง เอ่ยประโยคหนึ่งว่าข้าขอดื่มเหล้าหน่อย จากนั้นก็นั่งลงบนขั้นบันได

ชุยฉานถาม “เจ้าคิดว่าใครจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลี? อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง? ซ่งจี๋ซินที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู? หรือว่าองค์ชายซ่งเหอที่เหนียงเนียงผู้นั้นลำเอียงเข้าข้าง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ชุยฉานจึงยิ้มเอ่ยว่า “ซ่งจ่างจิ้งเลือกซ่งจี๋ซิน ข้าเลือกซ่งเหอผู้เป็นลูกศิษย์ของตัวเอง จากนั้นก็ทำการค้าที่พบกันครึ่งทาง ทางทิศใต้ของสำนักศึกษากวานหูจะสร้างเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งขึ้นมาในสถานที่หนึ่ง ซ่งจี๋ซินจะได้รับสถาปนาขึ้นเป็นอ๋องที่ไปอยู่ในนครมังกรเฒ่า ขณะเดียวกันก็ปกครองเมืองหลวงใหม่แห่งนั้นอยู่ไกลๆ ด้วย ซึ่งระหว่างการตัดสินใจนี้ เหนียงเนียงที่กินอาหารเจอยู่ในตำหนักฉางชุนมาหลายปีผู้นั้นไม่กล้าสอดปากแม้แต่คำเดียว ไม่กล้าพูด กลัวตาย ตอนนี้น่าจะยังรู้สึกว่ากำลังฝันไป ไม่กล้าเชื่อว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้อยู่จริง อันที่จริงอดีตฮ่องเต้หวังว่าหลังจากที่จ่างจิ้งน้องชายของเขาขึ้นเป็นผู้รักษาการณ์แทนพระองค์แล้วจะรับตำแหน่งขึ้นครองบัลลังก์โดยตรง แต่ซ่งจ่างจิ้งกลับไม่รับปาก เขาเผาพระราชโองการฉบับนั้นทิ้งต่อหน้าข้าด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันที่ดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกแล้วก็เช็ดปาก “หากเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ล้วนปิติยินดี”

ชุยฉานถาม “ปีนั้นหลังจากที่เจ้าออกจากเมืองหงจู๋แล้วเดินทางลงใต้ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน เจ้ารู้สึกอย่างไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “คนตายเยอะมาก”

สายตาของเฉินผิงอันเดี๋ยวมืดดำเดี๋ยวสว่างมองไม่แน่ชัด เอ่ยเสริมไปอีกประโยคว่า “เยอะมาก!”

ชุยฉานยกเท้าขึ้นกระทืบเบาๆ “ความสุขความทุกข์ การพบพรากบนโลกใบนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่แบ่งแยกรวยจน หรือแม้กระทั่งน้ำหนักว่าหนักหรือเบา ล้วนพอๆ กันหมด แต่ตำแหน่งนั้น อันที่จริงกลับมีแบ่งแยกสูงต่ำ”

ชุยฉานถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเลือกต้าหลีเป็นที่ลงหลักปักฐาน? และเหตุใดฉีจิ้งชุนถึงต้องสร้างสำนักศึกษาซานหยาที่ต้าหลี? ตอนนั้นใช่ว่าฉีจิ้งชุนจะไม่มีทางเลือก อันที่จริงมีทางเลือกเยอะมาก และล้วนดีกว่านี้ทั้งสิ้น”

เฉินผิงอันเอ่ย “ข้ารู้แค่ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เล่าลือกันว่า อาจารย์ฉีคิดจะงัดข้อกับศิษย์พี่ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอย่างเจ้า ส่วนความจริงเป็นเช่นไร ข้าก็ไม่รู้แล้ว”

นับแต่โบราณกาลมา นักดื่มเมาได้ยากที่สุด

ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สิ่งที่ฉีจิ้งชุนชอบทำมากที่สุดในชีวิตนี้ก็คือเรื่องที่ต้องเหนื่อยยาก แต่กลับไม่ได้ผลประโยชน์ เกรงว่าความเคลื่อนไหวที่ข้าสร้างขึ้นในแจกันสมบัติทวีปคงรุนแรงเกินไป รุนแรงจนกระเทือนไปถึงซิ่วไฉเฒ่าที่ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องมาดูให้เห็นเองกับตาว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ถึงจะกล้าวางใจ เขาต้องมีความรับผิดชอบต่อสรรพชีวิตในหนึ่งทวีป เขารู้สึกว่าไม่ว่าพวกเราเป็นใคร ยามที่ไขว่คว้าแสวงหาเรื่องหนึ่ง หากจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน ขอแค่ตั้งใจแล้วตั้งใจอีก ก็จะสามารถทำผิดได้น้อยลง ส่วนเรื่องการแก้ไขความผิดและการชดเชยสิ่งที่ทำผิดไปนั้น ก็คือภาระหน้าที่ของคนเป็นบัณฑิต บัณฑิตจะเอาแต่พูดว่าจะตอบแทนบ้านเมืองอย่างเดียวไม่ได้ ข้อนี้ก็เหมือนกับเจ้าตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ชอบแบกภาระไว้บนบ่าตัวเอง ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ตายคราวนั้น จุดตายอยู่ที่ไหน? สังหารกู้ช่านไปโดยตรง ในอนาคตก็เป็นเซียนกระบี่ของเจ้าไป นั่นก็คือเรื่องงดงามที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่งแล้ว”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด

ชุยฉานยิ้มกล่าว “รู้ว่าเจ้าไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ย่อมต้องมีใจที่เห็นแก่ตัว”

ชุยฉานถาม “เคยคิดหรือไม่ว่า อาเหลียงสนิทกับฉีจิ้งชุนมากขนาดนั้น ปีนั้นตอนที่อยู่เมืองหลวงต้าหลี เหตุใดถึงยังไม่ฆ่าข้า แม้แต่อดีตฮ่องเต้ต้าหลีก็ยังไม่ฆ่า เพียงแค่ทำลายป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งนั้น แล้วยังมอบอายุขัยให้แก่อดีตฮ่องเต้อีกสามปี?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้สิ”

ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่สู้อิงตามทฤษฎีเส้นสายของนักพรตจมูกโคบางคนดู ลองนึกถึงเรื่องแน่นอนที่เจ้าเห็นอยู่ในสายตาแล้วให้มากหน่อย แล้วลองอนุมานดู อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ด้วยความรวดเร็วก่อนกำหนด เร็วกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ไปมาก เพราะอดีตฮ่องเต้ต้าหลีก็มีใจที่เห็นแก่ตัว เขาหวังว่าตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ จะได้เห็นชายหาดทะเลทักษิณของแจกันสมบัติทวีปร่วมกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีสักครั้ง”

ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่ง “แล้วลองมองภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ดู”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “สงครามใหญ่ที่ตัดสินว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะเป็นของใครในคราวนั้น ได้อาเหลียงเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ การอนุมานของสกุลลู่สำนักหยินหยางไม่ได้ดูที่ขั้นตอน แต่ดูแค่ผลลัพธ์เท่านั้น สุดท้ายแล้วก็เกิดข้อผิดพลาดครั้งใหญ่”

ชุยฉานขยับนิ้วเบี่ยงมาเล็กน้อย “แล้วใบถงทวีปเล่าเป็นอย่างไร”

เฉินผิงอันกล่าว “ดูเหมือนมีโชคดีที่คอยปกป้องทั้งทวีป เป็นเหตุให้แผนการของเผ่าปีศาจปรากฏให้เห็นแต่เนิ่นๆ จึงผ่านพ้นหายนะไปได้ หากสมมติว่าเผ่าปีศาจสามารถตีกำแพงเมืองได้แตกจริงๆ ใบถงทวีปก็จะไม่เหมาะให้กลายเป็นทิศทางแรกในการโจมตี อันตรายจะมุ่งหน้าเข้าหาทักษินาตยทวีปกับฝูเหยาทวีปมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหลัง”

ชุยฉานชี้ไปที่พื้น “อาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปพวกเราเป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาลเรา”

ชุยฉานถามอีก “อาณาเขตมีเล็กใหญ่ แล้วโชคชะตาของแต่ละทวีปมีแบ่งเล็กใหญ่ด้วยไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่มี

นิ้วของชุยฉานที่ชี้ไปบนพื้นดินขยับไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง “เจ้ากำลังจะไปเยือนอุตรกุรุทวีป ถ้าอย่างนั้นระยะห่างระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับใบถงทวีปก็ไม่ถือว่าไกลกันสักเท่าไหร่?”

เฉินผิงอันกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แน่น เอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ ที่เหลือก็เรียกได้ว่าใกล้มาก”

ชุยฉานยกมือขึ้น ชี้ไปที่ด้านหลัง “ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปพากันขี่กระบี่เร่งรุดเดินทางไปให้ความช่วยเหลือยังกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมืดฟ้ามัวดิน เจ้าเองก็เห็นกับตาใช่หรือไม่?”

เหงื่อผุดซึมที่หน้าผากของเฉินผิงอัน เขาพยักหน้ารับอย่างยากลำบาก

ชุยฉานคลี่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้ไม่โทษที่เจ้ามองสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าเหล่านี้ไม่ออก ถ้าอย่างนั้นตอนนี้หนึ่งในต้นตอของเส้นสายได้ปรากฏขึ้นแล้ว ข้าขอถามเจ้าก่อนว่า เจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่แห่งอารามกวานเต๋าคิดอยากจะแข่งกับมรรคาจารย์เต๋าว่าใครมีมรรถกถาสูงกว่าใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ชุยฉานถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดคนบนโลกถึงได้ชอบเรียกนักพรตเต๋าอย่างขบขันว่านักพรตจมูกโค?”

เฉินผิงอันกล่าว “เพราะมีคำเล่าลือบอกว่ามรรคาจารย์เต๋าเคยขี่วัวดำตัวหนึ่งท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้าแห่งต่างๆ”

ชุยฉานพูดปลงอนิจจังเสียงเบา “นี่คือหนึ่งในต้นตอของเส้น เจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนั้น เดิมทีก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่บนโลกมายาวนานที่สุด อายุของเขามากจนเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ถึง”

เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย ใช้สองมือนวดคลึงซีกแก้ม ฝ่ามือสองข้างเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

ที่แท้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าอารามกวานเต๋าอย่างนักพรตผู้เฒ่าตงไห่ก็เป็นเช่นนี้เอง

ชุยฉานยิ้มกล่าว “ไม่สู้เจ้าลองคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดนั่นดู หากเด็กหนุ่มของสำนักฝูจีที่เป็นผู้ไปเจอแผนการของปีศาจใหญ่ซึ่งเป็นคนนำฝั่งของต้นตอเส้นสายที่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไปมอบให้แก่ใบถงทวีป คือฝีมือของนักพรตเฒ่าเล่า? แน่นอนว่าเด็กหนุ่มคนนั้นย่อมไม่ได้ตั้งใจ แต่นักพรตผู้เฒ่ากลับมีใจแล้ว”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลับตาลง ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูมาสงบจิตใจ

ความคิดวุ่นวายวกวนประหนึ่งเกล็ดหิมะปลิวปราย

ต่อให้ไม่สนใจการดำรงอยู่หรือล่มสลายของใบถงทวีป แต่คนที่รู้จักเหล่านั้นเล่า จะทำอย่างไร?

“แนะนำเจ้าหนึ่งคำ อย่าได้วาดงูเติมขา เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า คนที่เดิมทีจะไม่ตาย อาจถึงขั้นได้รับโชคดีหลังโชคร้าย แต่พอเจ้าพูด เกินครึ่งกลับจะต้องกลายเป็นว่าสมควรตายและต้องตาย ก่อนหน้านี้ก็บอกไว้แล้วว่า โชคดีที่พวกเรายังมีเวลา”

เห็นได้ชัดว่าชุยฉานไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก เฉินผิงอันจะทำอย่างไร เขาไม่ถือสาแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ปีนั้นข้าเองก็เคยท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า และหนึ่งในความรู้อันเป็นรากฐานของข้า นอกจากทฤษฎีคุณความชอบที่ซิ่วไฉเฒ่าไม่เห็นดีเห็นงาม ยังมีทฤษฎีอีกสองคำว่าเล็กน้อยด้วย ดังนั้นก่อนหน้าที่ข้าจะเหยียบลงบนแจกันสมบัติทวีปก็ได้เชื่อมั่นในสองเรื่องแล้ว การโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเผ่าปีศาจเป็นสถานการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน! หากเผ่าปีศาจรุกรานเข้ามาในใต้หล้าไพศาลได้ การโจมตีใบถงทวีปก็เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว! ขอแค่ยึดใบถงทวีปไว้ได้ แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ จะนับเป็นอะไรได้? อุตรกุรุทวีปที่ยอดฝีมือผู้ฝึกกระบี่ถูกระดมพลออกมาเกินครึ่งเล่าจะนับเป็นอะไรได้?! ธวัลทวีปที่มีแต่พวกพ่อค้าเดินกันให้เกลื่อน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง จะมีความกล้าหาญสักเท่าไหร่กันเชียว?”

ชุยฉานโบกมือเป็นวงกว้าง “อย่างน้อยพื้นที่ของสามทวีปก็จะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาในเสี้ยววินาที! หากธวัลทวีปเลือกจะประเมินสถานการณ์รอดูการเปลี่ยนแปลง เลือกจะยอมแพ้โดยที่ไม่สู้รบ ต่อให้ถอยไปหนึ่งก้าว ธวัลทวีปเลือกจะเป็นกลาง ไม่ให้ความช่วยเหลือใครทั้งนั้น เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งด้อยลง อีกฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น ใครกันที่จะสูญเสียมากกว่า? เมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าปีศาจก็จะได้ครอบครองดินแดนที่แท้จริงและโชคชะตาของกี่ทวีป? นี่ถือว่าลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงแล้วหรือไม่? นับรวมกันแล้วใต้หล้าไพศาลมีแค่กี่ทวีปเอง? จากนั้นเผ่าปีศาจก็หันไปวางแผนฮุบกลืนหลิวเสียทวีป (หลิวเสียมีสามความหมาย หนึ่งคือแสงเรืองรองบนก้อนเมฆที่สลายหายไป สองคือชื่อของเหล้าเซียนชนิดหนึ่ง สามหมายถึงสุราเลิศรส) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คิดจริงๆ หรือว่าจะเป็นอย่างที่พวกอวดฉลาดบางคนคิดไว้ว่า ขอแค่เผ่าปีศาจบุกเข้ามาได้ก็จะปิดประตูตีสุนัข? กลับกลายเป็นว่าใต้หล้าไพศาลจะสามารถฉวยโอกาสนี้ยึดครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ในรวดเดียว?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ “ข้าเข้าใจแล้ว”

ไม่เพียงแต่เข้าใจว่าเหตุใดชุยตงซานถึงได้ถามคำถามนั้นตอนที่อยู่สำนักศึกษาซานหยา

ยังเข้าใจด้วยว่าเหตุใดปีนั้นอาเหลียงถึงไม่ได้ลงมือเข่นฆ่าราชวงศ์ต้าหลีให้สิ้นซาก

ชุยฉานแผดเสียงหัวเราะดังลั่น เขากวาดตามองไปรอบด้านพลางเอ่ยว่า “ต่างก็บอกกันว่าข้าชุยฉานมีจิตใจทะเยอทะยาน คิดจะผลักดันให้ความรู้ของตัวเองเป็นที่นิยมไปทั่วทวีป? แค่เป็นราชครูของหนึ่งแคว้นในหนึ่งทวีปก็ถือว่าจิตใจทะเยอทะยานแล้วหรือ?”

ใบหน้าของชุยฉานเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน จุ๊ปากโคลงศีรษะ “หนึ่งหมัดต่อยหนึ่งขุนเขาทลาย หนึ่งกระบี่สังหารพันหมื่นคน ร้ายกาจนักหรือ? สาแก่ใจนักหรือ? ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ เจ้าเฉินผิงอันสามารถรอดู นับนิ้วคำนวณได้เลย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของใบถงทวีปแห่งนั้นไม่สนหรอกว่าเจ้าจะดีหรือเลว ถึงท้ายที่สุดแล้วจะเหลือภูเขาสักกี่ลูก จะเหลือเทพเซียนรอดชีวิตสักกี่คน! แล้วค่อยมาดูกันว่าเผ่าปีศาจที่กรูกันขึ้นฝั่งของใบถงทวีปจะเก็บเงินหรือไม่ จะมีเหตุผลหรือไม่”

มุมปากของชุยฉานกระตุกขึ้น “ทุกอย่างล้วนต้องมีกลับคืน”

ชุยฉานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งทำเป็นมีดที่ตวัดฟันลงเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว “ตอนนั้นที่อาเหลียงอยู่เมืองหลวงต้าหลีไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับข้าแม้แต่คำเดียว แต่ตอนนั้นข้าก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่า อาเหลียงเชื่อว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดนั่นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน ก็เหมือนฉีจิ้งชุนในปีนั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าพวกเขายอมรับคนอย่างข้าชุยฉานหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงต้องการให้บัณฑิตทุกคนในใต้หล้าไพศาล และพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างพวกนั้นได้เบิกตาดูดีๆ ว่า ข้าชุยฉานอาศัยกำลังของคนคนเดียว ถ่ายโอนทรัพยากรของหนึ่งทวีปมาเป็นกองกำลังของหนึ่งแคว้น ใช้นครมังกรเฒ่าเป็นจุดศูนย์กลาง สร้างเส้นแนวป้องกันที่เป็นกำแพงเหล็กขึ้นริมมหาสมุทรทักษิณของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างไร!”

พอชุยฉานสะบัดชายแขนเสื้อ ลมก็พัดกระโชกแรง ก้อนเมฆเคลื่อนแตกออกจากกัน

ยอดเขาของภูเขาลั่วพั่วพลันมีเมฆหมอกลอยหนาขมุกขมัว

ฟ้าดินมืดดำ ยื่นฝ่ามือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ค้นพบว่าใต้ฝ่าเท้าของตัวเองเริ่มค่อยๆ มีภาพภูเขาแม่น้ำของแต่ละพื้นที่ลอยขึ้นมา กระจัดกระจายดั่งดวงดาว ประหนึ่งแสงตะเกียงที่จุดในหมื่นครัวเรือนของหมู่ชาวบ้าน

ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ใบถงทวีปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ กุรุทวีปที่แย่งคำว่าอุตรไป ธวัลทวีปที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ทวีปเกราะทองทางตะวันตก และหลิวเสียทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

สุดท้ายถึงเป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เป็นประหนึ่งดวงเดือนซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยดวงจันทร์

ท้องฟ้ากลมแผ่นดินสี่เหลี่ยม

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเดิมทีใต้หล้าไพศาลก็เป็นหนึ่งใน ‘เศษชิ้นส่วน’ อยู่แล้ว ใต้หล้ามืดสลัวที่มีลัทธิเต๋าเฝ้าพิทักษ์ หรือใต้เปลี่ยวร้างก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ยังคงไม่ได้ถามคำถามนั้นออกมา เพราะว่าตัวเองมีคำตอบแล้ว

เหตุใดเจ้าชุยฉานถึงไม่ป่าวประกาศเรื่องนี้แก่ใต้หล้า

เพราะพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ต่อให้ฟังก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเชื่อ

หากคำพูดของเขาตรงตามความจริง เผ่าปีศาจก็ย่อมมีแผนการรับมือรออยู่ก่อนแล้ว

ชุยฉานเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่นพร้อมยิ้มบางเบา “เคยมีคำทำนายโบราณอย่างหนึ่งที่ไม่แพร่หลายนัก เกรงว่าคนที่เชื่อก็คงเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ตอนที่ข้าเป็นเด็กหนุ่มเคยเปิดตำราไปเจอประโยคนั้นโดยบังเอิญ ตอนที่เห็นก็ยังรู้สึกว่าตัวเองติดค้างสุราคนผู้นั้นหนึ่งจอกจริงๆ คำทำนายนั้นก็คือ ‘สำนักแห่งศาสตร์ครอบครองใต้หล้า’ ไม่ใช่สำนักแห่งศาสตร์ของนักศาสตร์อาคมสายรองของสำนักหยินหยาง แต่เป็นศาสตร์แห่งการคำนวณที่เป็นความรู้ระดับล่างสุดในบรรดาเมธีร้อยสำนัก สำนักศาสตร์ที่ถูกคนดูแคลนยิ่งกว่าสำนักการค้าที่ต่ำต้อยเสียอีก ผลประโยชน์ที่ได้จากทฤษฎีความรู้อันเป็นเป้าประสงค์ถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นได้แค่รางลูกคิด…ของนักบัญชีอย่างสำนักการค้าเท่านั้น”

“ความรู้มากมายของพวกเราสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าบกพร่องตรงที่ใด? อยู่ที่ไม่สามารถคิดคำนวณได้ ไม่พูดถึงเส้นสาย แต่โน้มเอียงไปทางการถามใจตัวเองมากกว่า ชอบแสวงหามหามรรคาในจุดสูงที่ว่างเปล่า ไม่ยินดีวัดเส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ถูกต้องแม่นยำ เป็นเหตุให้เมื่อคนรุ่นหลังปฏิบัติตามทฤษฎีความรู้ เริ่มออกเดิน จึงเกิดปัญหา ส่วนเหล่าอริยะทั้งหลายก็ไม่เชี่ยวชาญ แล้วก็ไม่ยินดีจะอธิบายอย่างละเอียด แค่สามพันถ้อยคำที่มรรคาจารย์เต๋าทิ้งไว้ก็รู้สึกว่ามากพอแล้ว ศาสดาพุทธก็ยิ่งไม่มีการทิ้งตัวอักษรใดๆ ไว้ ความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้นของพวกเราก็เป็นหลักคำสอนที่ลูกศิษย์เจ็ดสิบสองคนช่วยกันรวบรวมขึ้นเป็นคัมภีร์”

ชุยฉานหันมามองเฉินผิงอันที่จิตใจแกว่งไกว “เหตุใดเจ้าเฉินผิงอันถึงต้องเผชิญความยากลำบากมากขนาดนั้นในทะเลสาบซูเจี่ยน? เพราะเจ้ารู้หลักการเหตุผลน้อย? คนและเรื่องราวที่พบเจอมามีน้อย? ทฤษฎีเรื่องการเรียงลำดับขั้นตอนของซิ่วไฉเฒ่า แย่? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”

เฉินผิงอันไม่ยินดีจะพูดเรื่องนี้ให้มากความ

แต่กลับถามว่า “เหตุใดถึงต้องเปิดเผยความลับสวรรค์พวกนี้กับข้า?”

ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก่อนที่สถานการณ์หมากในทะเลสาบซูเจี่ยนจะเริ่มต้นขึ้น ข้ามีข้อตกลงกับตัวเอง ขอแค่เจ้าชนะ ข้าก็จะพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ถือว่าเป็นการตัดขาดกับเจ้าและฉีจิ้งชุน”

เฉินผิงอันถาม “ชนะ? เจ้ากำลังพูดเรื่องตลกอยู่หรือ?”

ชุยฉานพยักหน้ารับ “ก็คือเรื่องตลก”

ชุยฉานสะบัดชายแขนเสื้อ ภาพอาณาเขตของภูเขาแม่น้ำก็หายวับไปในชั่วพริบตา เขาพูดเสียงหยันว่า “เจ้า ฉีจิ้งชุน อาเหลียง ซิ่วไฉเฒ่า และยังมีเฉินชิงตู เฉินฉุนอันในอนาคต เรื่องที่พวกเจ้าทำไม่เรียกว่าเป็นเรื่องตลกในสายตาของคนมากมายที่ชอบเรียกตัวเองว่าคนฉลาดหรอกหรือ?”

ชุยฉานหันหน้ามามองคนหนุ่มที่สวมชุดเขียว ปักปิ่นหยก รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ผู้นี้ มือกระบี่ จอมยุทธพเนจร บัณฑิต?

ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปที่หัวสมองของตัวเอง แล้วกล่าวว่า “สถานการณ์หมากล้อมของทะเลสาบซูเจี่ยนสิ้นสุดลงแล้ว แต่ชีวิตคนไม่ใช่สถานการณ์หมากล้อมอะไรทั้งนั้น ไม่สามารถเริ่มใหม่ได้ทุกครั้ง ดีหรือเลว อันที่จริงล้วนยังอยู่ในนี้ของเจ้า ดูตามเส้นสายสภาพหัวใจของเจ้าในตอนนี้ หากยังเดินตามเส้นทางนี้ต่อไป การประสบความสำเร็จก็ไม่แน่เสมอไปว่าต้องต่ำ แต่ถูกกำหนดมาแล้วว่าเจ้าจะทำให้คนบางส่วนผิดหวัง แต่ก็จะทำให้คนบางส่วนดีใจ และทั้งสองฝ่ายที่ไม่ว่าจะผิดหวังหรือดีใจก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับดีเลวเช่นกัน แต่ข้ากล้าแน่ใจเลยว่า เจ้าต้องไม่ยินดีรับรู้คำตอบนั้น ไม่อยากรู้ว่าสองฝ่ายที่ว่าเป็นใครบ้าง”

เฉินผิงอันมองราชครูต้าหลีท่านนี้

เขาเหมือนกับเด็กหนุ่มชุยตงซานจริงๆ แต่กลับกลายเป็นคนสองคนโดยสิ้นเชิงแล้ว

ชุยฉานยิ้มเอ่ย “แม้แต่เจ้าเฉินผิงอันยังเหมือนอริยะผู้มีคุณธรรมแล้ว วิถีทางโลกช่างมหัศจรรย์จริงๆ บอกตามตรง ข้ากลับรู้สึกเสียใจนิดๆ กับการเลือกของตัวเองในตอนนั้นแล้ว ความรุ่งเรือง การล่มสลายของใต้หล้า เกี่ยวบ้าอะไรกับข้าด้วย?”

ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เอ่ยออกมาตามความรู้สึก ในที่สุดชุยฉานจึงเอ่ยสองประโยคที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ใหญ่ออกมา

“จวนหรูหราโอ่อ่า หอสูงร้อยจั้ง ประคองแสงจันทร์หนึ่งดวงได้ไหว หมู่ชาวบ้านร้านตลาด ตักน้ำกลับบ้าน ก็พกแสงจันทร์สองดวงกลับไปไหวเช่นกัน”

“นับแต่โบราณมา นักดื่มเมาได้ยากที่สุด”

เฉินผิงอันกลับลงไปนั่งบนขั้นบันไดอีกครั้ง ปลดน้ำเต้าลงมา ยกมืออยู่หลายครั้ง ทว่ากลับไม่ได้ดื่มเหล้าสักอึก

ชุยฉานเอ่ย “ในใจของเจ้า ฉีจิ้งชุนที่เป็นบัณฑิต อาเหลียงที่เป็นมือกระบี่ ประหนึ่งดั่งดวงตะวันดวงจันทราบนนภาที่คอยชี้นำทางให้แก่เจ้า ช่วยให้เจ้าเดินทางได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน ตอนนี้ข้าบอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า จุดจบของฉีจิ้งชุนเป็นอย่างไร เจ้าก็ได้รู้แล้ว การออกกระบี่ของอาเหลียง รวดเร็วสาแก่ใจหรือไม่ เจ้าเองก็รู้ดี ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือว่าหลังจากนี้จะเดินไปอย่างไร?”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบคำถาม

ชุยฉานจึงจากไป

เพราะคำตอบเป็นอย่างไร อันที่จริงชุยฉานไม่ได้สนใจนัก

เฉินผิงอันทิ้งตัวนอนหงาย กอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนร่าง หลับตาลง

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคที่สลักอยู่บนผนังร้านเหล้าหวงเหลียงของภูเขาห้อยหัว ตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ เหมือนไส้เดือนเลื้อย

เป็นประโยคที่อาเหลียงเขียนให้อาจารย์ฉี

ยุทธภพไม่มีอะไรดี ก็มีเพียงสุราที่นับว่ายังใช้ได้

เฉินผิงอันพลันลืมตา ลุกขึ้นยืน พูดในใจตัวเอง

เส้นแสงสีทองยาวเส้นหนึ่งพุ่งออกจากเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วมาถึงยอดเขา ถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในฝ่ามือ ปลายกระบี่ชี้ลงเบื้องล่าง ตวัดเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาเบาๆ สุดท้ายยื่นมือที่ถือกระบี่ไปด้านหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่มีสุราก็พอ พอมากๆ แล้ว”

เฉินผิงอันถือกระบี่ลงจากภูเขาพลางกระดกดื่มเหล้าติดๆ กัน หลังจากปล่อยตัวดื่มอย่างเต็มที่ เขาก็เมามายจริงๆ จึงเดินโซซัดโซเซ ตอนที่เดินผ่านเรือนของพวกจูเหลี่ยนก็เจอเข้ากับเฉินยวนจีที่กำลังฝึกหมัดอยู่ใต้แสงจันทร์พอดี

พอนางได้กลิ่นเหล้าคลุ้งตลบทั่วกายเขา ม่านตาดำก็หดตัวเข้าหากัน หยุดท่าหมัด สะบั้นปณิธานหมัดกะทันหันอีกครั้ง

เฉินผิงอันยิ้มเดินผ่านมา หลังจากเดินเซจากมาไกลแล้ว เขาที่อยู่บนทางเส้นเล็กในผืนป่าก็ไม่ได้หยุดเดิน แต่หันหน้ากลับไป เอ่ยว่า “เฉินยวนจี หมัดของเจ้า ไม่ได้เรื่องจริงๆ”

เฉินยวนจีหลับตาลงข้างหนึ่ง ยื่นนิ้วออกไป หมายจะพูดอะไรบางอย่าง

เสียงตึงดังขึ้น

เฉินผิงอันล้มลงหลังเสียง

เฉินยวนจีทอดถอนใจอยู่ในใจ จะแสร้งเป็นยอดฝีมือ พูดจาวางโตไปทำไมกันนะ

เห็นเพียงว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มคนนั้นรีบก้มลงหยิบกระบี่เซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมา ฝีเท้าก้าวได้เร็วกว่าเดิมเยอะมาก

เห็นไหม ก่อนหน้านี้แกล้งเมาชัดๆ

เฉินยวนจีหันหน้าไปมองเรือนที่พักของเทพเซียนผู้เฒ่าจูแวบหนึ่ง รู้สึกเจ็บใจแทนอีกฝ่าย ต้องมาเจอกับเจ้าขุนเขาที่ไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้ ช่างเหมือนคนขึ้นเรือผิดมาขึ้นเรือโจรจริงๆ

ตรงริมหน้าผา เฉินผิงอันนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะหิน ใบหน้าที่ร้อนผ่าวแนบติดกับผิวโต๊ะที่เย็นน้อยๆ ทอดสายตามองไปไกลทั้งอย่างนั้น

เขากะพริบตาปริบๆ โคลงศีรษะ รู้สึกว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไป

ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนยังมีคนกล้าทะยานลมเดินทางไกลมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ด้วยหรือ?

ห่างไปไกลมาก รุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพาดผ่านอากาศมาด้วยพลังอำนาจน่าตะลึง คิดดูแล้วคงจะสร้างความตกอกตกใจให้กับผู้ฝึกตนบนภูเขามากมาย

เฉินผิงอันหลับตาลง ไม่คิดจะสนใจแล้ว

อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วจะยังต้องกลัวอะไร

เขาจึงหมดสติไปทั้งอย่างนี้

ค่ำคืนนี้มีเด็กหนุ่มชุดขาวที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงคนหนึ่งที่คล้ายถูกผีมอมเมาจิตใจ เพื่อจะได้พบหน้าอาจารย์สักครั้งถึงได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารและสมบัติอาคมทั้งหมดที่มี เร่งรุดเดินทางกลับเหนือ แล้วก็ยิ่งต้องรีบเร่งเดินทางกลับใต้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version