บทที่ 533 มาดองอาจในการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ
เฉินผิงอันพลันลืมตาโพลง ขมวดคิ้วมุ่น เกือบจะหลุดด่าพ่อล่อแม่ออกไปแล้ว
ตอนนี้เป็นช่วงกลางดึกแล้ว ดวงจันทร์ลอยสูงอยู่กลางนภา
การนอนครั้งนี้หลับสนิทไปหน่อย
อีกอย่างหากเจ็บจนถึงขั้นที่ทำให้เฉินผิงอันอยากด่าแม่เช่นนี้ ก็น่าจะเจ็บมากจริงๆ
เลือดสดทั้งร่างหยุดไหลแล้ว ดินในหลุมใหญ่เกาะตัวเป็นโคลนเหนียว เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยก็เจ็บปวดปานจะขาดใจ
แต่เฉินผิงอันก็ยังสูดลมหายใจเข้าลึก พอจะทำความเข้าใจกับสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองได้คร่าวๆ ก็พลันลุกพรวดขึ้นนั่ง
รอบด้านไม่มีอะไรผิดปกติ
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นขอบเขตยอดเขาผู้นั้น เหตุใดถึงได้ลงมือ แต่กลับไม่ได้ฆ่าคน เฉินผิงอันคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
หรือว่าเป็นเพราะขนบธรรมเนียมของอุตรกุรุทวีป แค่รู้สึกขวางหูขวางตา ท่าเดินนิ่งของตน ก็เลยปล่อยหมัดใส่เสียอย่างนั้น?
ริมขอบของหลุมใหญ่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “หลับเต็มอิ่มแล้วรึ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ลุกขึ้นยืนช้าๆ
แม้แต่ท่าหมัดก็ยังไม่ได้ตั้ง แต่ปณิธานหมัดบนร่างกลับยิ่งบริสุทธิ์และเก็บรวบไว้ภายใน
ตรงริมขอบของหลุมใหญ่มีคนสวมชุดยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้าปรากฏตัว ก็คือ ผู้ฝึกยุทธเฒ่าคนนั้น
อู๋เฝิงเจี่ย ผู้ดูแลเฒ่าที่อำพรางตัวตนปิดบังชื่อแซ่อยู่ในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวมานานหลายปี บางทีหากไม่พูดถึงหลี่เอ้อร์ที่จู่ๆ ก็ลุกผงาดขึ้นมาบนโลก เขาก็คือหนึ่งใน สามผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบประจำท้องถิ่นของอุตรกุรุทวีป กู้โย่วแห่งราชวงศ์ต้าจ้วน
เหตุใดหลายๆ แคว้นโดยรอบซึ่งรวมถึงราชวงศ์ต้าจ้วนเองด้วยถึงมีเพียง ตำหนักเกล็ดทองที่มีแค่ก่อกำเนิดอ่อนแอคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์โดดเด่นอยู่สำนักเดียว? และเหตุใดตำหนักเกล็ดทองถึงได้อ่อนด้อยจนถึงขั้นที่ว่าถูกหรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมองเป็นภูเขาสวะที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ?
ก็เพราะผู้ฝึกยุทธอย่างกู้โย่วใช้สองหมัดต่อยให้เทพเซียนบนภูเขาของหลายสิบแคว้นแตกฮือ ถูกคนผู้นี้ขับไล่ออกไปจากขอบเขตแทบทุกคน
กู้โย่วเคยเอ่ยว่า ฟ้าดินกว้างใหญ่ เทพเซียนไสหัวไป
เอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมก็จำเป็นต้องมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ ถึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ปณิธานหมัดบนร่างของเจ้านับว่ายังพอใช้ได้ ฝึกท่าเดินนิ่ง หกก้าวมาเกินล้านครั้งแล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เกือบจะหนึ่งล้านหกแสนหมัดแล้ว”
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “มีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวตระกูลเล็ก ตอนอายุน้อยได้ ตำราวิชาหมัดผุๆ เล่มหนึ่งมา ก็เลยเห็นเป็นสมบัติล้ำค่า ฝึกมันมาตั้งแต่เด็ก?”
เห็นเพียงส่วนน้อยก็อนุมานไปได้ไกล
ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงคนใดก็ตามบนโลกไม่มีทางฝึกเรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นชาติกำเนิดของคนหนุ่มผู้นี้ต้องไม่ค่อยดีเท่าไรเป็นแน่
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เพิ่งจะฝึกวิชาหมัดตอนอายุประมาณสิบสี่ปี”
ผู้เฒ่ารู้สึกปลื้มใจเล็กน้อย “เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ยาก เพราะการออกหมัดก็คือ การฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย ขอแค่มีความมานะยืนหยัดสักหน่อย ล้านหมัดก็ล้วนสามารถทำสำเร็จได้ ความยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือยืนหยัดฝึกท่าเดินนิ่งนี้ อยู่ตลอดเวลา”
เฉินผิงอันมึนงงสับสนมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
แต่ผู้เฒ่าไม่มีจิตคิดสังหารตนอย่างแน่นอน และในความเป็นจริงแล้วพอกินหมัดของผู้เฒ่าเข้าไป เขาก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้
ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้อยู่ที่ร่างกายหรือจิตวิญญาณ แต่อยู่ที่ปณิธานหมัด อยู่ที่ใจคน
บัดนี้เฉินผิงอันกุมหมัดเบาๆ แล้วก็คลายออกเบาๆ รู้สึกว่าคำว่าแข็งแกร่งที่สุดของขอบเขตหกเป็นของในกระเป๋าของตัวเองแล้ว สำหรับเฉินผิงอันแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยนัก
ผู้เฒ่าเอ่ย “ข้าชื่อกู้โย่ว”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจทันใด รากฐานวิชาหมัดของตนมาจากตำราวิชาหมัดที่กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิงมอบให้ตนในปีนั้น ดังนั้นเขาจึงถามไปตามตรงว่า “วิชาหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้น?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “น่าจะเป็นลูกหลานตระกูลกู้ของข้าที่กระจายกันไปสี่ทิศแล้วพกพาไปยังบ้านเกิดของเจ้า ในอดีตเจอกับหายนะใหญ่ครั้งนั้น ตระกูลที่เดิมที ก็ไม่ใหญ่อยู่แล้วจึงแตกแยกกระจัดกระจาย ดั่งนกกาแตกฮือบินหนีหาย”
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “พออายุยืนยาวก็ยากที่จะเกิดใจพะวงห่วงหา คนในครอบครัวได้มากเกินไป ลูกหลานย่อมมีโชคของลูกหลาน ไม่อย่างนั้นจะยัง ทำอย่างไรได้อีก? ตาไม่เห็นก็สบายใจ เพราะไม่อย่างนั้นอาจต้องโมโหจนตายทั้งเป็น ก็ได้”
เฉินผิงอันกุมหมัดกล่าว “เฉินผิงอันแห่งแจกันสมบัติทวีปคารวะผู้อาวุโสกู้”
กู้โย่วยิ้มกล่าว “ให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งคุ้มกันเจ้านอนหลับอยู่เป็นครึ่งๆ วัน เจ้านี่ก็มีหน้ามีตาไม่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
กู้โย่วกวักมือ “จะเดินไปกับเจ้าสักช่วงระยะทางหนึ่ง ข้ายังมีธุระให้ต้องไปทำ ไม่มีเวลามามัวพูดคุยกับเจ้ามากนัก”
เฉินผิงอันเดินโซเซขึ้นเนินไป แล้วจึงไปเดินเคียงไหล่อยู่กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางท่านนั้น
กู้โย่วเอ่ย “ได้เป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดมากี่ครั้ง?”
เฉินผิงอันกล่าว “สองครั้ง แบ่งเป็นตอนขอบเขตสามกับขอบเขตห้า”
กู้โย่วส่ายหน้า “ถ้าพูดเช่นนี้ก็ห่างชั้นจากเฉาสือคนวัยเดียวกันที่อยู่ในแผ่นดินกลางมากนัก ไอ้หมอนี่แข็งแกร่งในทุกๆ ครั้ง ไม่เพียงเท่านี้ ยังแข็งแกร่งที่สุดอย่างที่ ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนอีกด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จะดีจะชั่วประมาณขอบเขตเก้าขอบเขตสิบก็ยังพอจะมีโอกาส”
กู้โย่วหันหน้ามามองอย่างกังขา “คนที่สอนวิชาหมัดให้เจ้าคือชุยเฉิงแห่งแจกันสมบัติทวีป? ไม่อย่างนั้นเด็กอย่างเจ้า เดิมทีก็ไม่ควรจะมีนิสัยใจคอเช่นนี้”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
กู้โย่วกล่าวอย่างคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “มิน่าเล่า แต่หลายปีก่อนเจ้าเอง ก็คงเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อยกระมัง? ก็จริง หากไม่ผ่านความทรมานเช่นนั้นมาก่อน ย่อมไม่มีทางเดินมาถึงวันนี้แน่”
กู้โย่วพลันถามว่า “ชุยเฉิงให้คำวิจารณ์ตำราหมัดเขย่าขุนเขาอย่างไร?”
เฉินผิงอันกล้าพูดแค่ครึ่งเดียว เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “วัตถุประสงค์ของปณิธานหมัดสูงส่งอย่างถึงที่สุด”
ผู้เฒ่าชุยบนเรือนไม้ไผ่ไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย ไม่มีเหตุผลให้ตนช่วยรับหมัด แทนเขาอย่างเปล่าประโยชน์
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ต่อให้ออกหมัดด้วยการสยบขอบเขตไว้ที่ขอบเขตยอดเขา สำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกตัวเล็กๆ อย่างเขาแล้ว ก็ยังหนักหนารุนแรงอย่างถึงที่สุดอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
กู้โย่วอืมรับหนึ่งที “ไม่เสียแรงที่เป็นผู้อาวุโสชุย สายตาดีอย่างถึงที่สุด”
ชุยเฉิงแห่งแจกันสมบัติทวีปเคยบุกเดี่ยวไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเพียงลำพัง แม้จะได้ยินมาว่ามีจุดจบอเนจอนาถอย่างมาก แต่ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธต่างทวีประดับสูงอย่างกู้โย่ว ในสายตาของเขาก็ยังเห็นว่าอีกฝ่ายคือวีรบุรุษที่แท้จริงอยู่ดี
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าวิชาหมัดของสองฝ่ายสูงหรือต่ำ ในเมื่อไม่เคยต่อสู้กันมาก่อน กู้โย่วก็ไม่มีความเคารพชื่นชมใดๆ ในตัวอีกฝ่าย แต่นอกจากนี้ หากพูดกันแค่อายุและการกระทำ จะให้เรียกชุยเฉิงว่าผู้อาวุโสชุยสักคำ ก็ไม่มีปัญหาใดๆ
แน่นอนว่าหากไม่เป็นเพราะคำวิจารณ์สองคำว่า ‘สูงส่งอย่างถึงที่สุด’ กู้โย่วก็คงไม่มีทางเปลี่ยนไปเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโส
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
กู้โย่วจึงเอ่ยว่า “พูดมาเถอะ”
เฉินผิงอันถามว่า “ผู้อาวุโสกู้กับเซียนกระบี่จีแห่งภูเขาวานรคำรามเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันหรือ?”
กู้โย่วเอ่ย “ศัตรูคู่อาฆาต ศัตรูแบบที่ทั้งสองฝ่ายต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตาย”
เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
เรื่องราวทางโลกซับซ้อน
ซับซ้อนตรงที่ว่าคนเลวฆ่าคนดี คนดีฆ่าคนเลว คนเลวก็ฆ่าคนเลว
นอกจากนี้ คนดีก็ยังฆ่าคนดีด้วยกัน
เรื่องหลายอย่างไม่เกี่ยวพันกับความถูกผิด หากไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงแล้ววิจารณ์ส่งเดช หรือไม่ก็ให้คำชี้แนะ อันที่จริงไม่ได้มีปัญหามากนัก แต่อย่าได้ตัดสินโดยเด็ดขาดว่าใครถูกใครผิด ใครดีใครเลว
กู้โย่วหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคงจะแค่เคยได้ยินเรื่องเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงราชวงศ์ต้าจ้วน บอกว่าเจียวยักษ์ของแม่น้ำอวี้ซีเหมือนจะเสียสติคิดจะทำให้น้ำท่วมกลบทับเมืองหลวง เพื่อสร้างวังมังกรอะไรขึ้นมากระมัง
แต่ข้ารู้ชัดเจนดีว่า เป็นจีเยว่ที่กำลังใช้แผนโจ่งแจ้งบีบให้ข้าเผยตัว ข้าไปก็ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ตามหาตัวข้ากู้โย่ว ข้าก็ต้องตามหาเขาจีเยว่อยู่ดี เฮอๆ ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาที่ในอดีตเคยเกือบแลกชีวิตกับข้า ร้ายกาจมากไหม?”
กู้โย่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า “แน่นอนว่าต้องร้ายกาจมาก ดังนั้นปีนั้นข้าถึงได้รับบาดเจ็บไปถึงรากฐานเรือนกายและจิตวิญญาณ หลบซ่อนตัว มานานหลายปีขนาดนี้ จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะวิชาหมัดของตัวเองไม่สูงมากพอ สามขอบเขตสำคัญของขอบเขตปลายทางอย่างปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน ตอนที่ข้าอยู่ต่ำกว่าขอบเขตสิบ ทุกก้าวที่เดินมาล้วนไม่เลว แต่พอเลื่อนสู่ขอบเขตปลายทาง ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังอดใจไม่ไหว คาดหวังมากเกินไปว่าจะชิง เข้าไปในขอบเขตในตำนานนั้นให้ได้ก่อนใคร ไอ้หนู เจ้าจงจำเอาไว้ว่า มีชีวิตอยู่ใน ยุคเดียวกับคนวัยเดียวกันอย่างเฉาสือ คือเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวัง แต่ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่ปกติมาก ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง หากมีโอกาสก็สามารถประมือกับเขาได้ แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นต้องไม่ถูกเขาต่อยตายด้วยสองสามหมัด หรือไม่ก็ถูกทำลายความมั่นใจทิ้งเสียก่อน ผู้ฝึกยุทธ หากความมั่นใจดิ่งลงเหว ทุกเรื่องก็ไม่ต้องหวังแล้ว ข้อนี้เจ้าต้องจำให้แม่น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน”
กู้โย่วพูดเหมือนชวนคุย “ในเมื่อกลัวตาย แต่ทำไมถึงมาเรียนหมัด?”
นี่เป็นคำถามที่ประหลาดมาก
กลัวตายถึงได้เรียนหมัด น่าจะเป็นเหตุผลที่ถูกต้องมากกว่า
เฉินผิงอันตอบ “ไม่ใช่ว่ากลัวตายจริงๆ แต่เป็นเพราะไม่อาจตายได้ ถึงได้กลัวตาย ฟังดูเหมือนกัน แต่อันที่จริงกลับไม่เหมือน”
กู้โย่วนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “มีเหตุผลมาก”
ในความเป็นจริงแล้ว นี่ก็คือจุดที่ทำให้กู้โย่วรู้สึกว่าแปลกประหลาดยากจะเข้าใจมากที่สุด
ตอนที่ผู้ฝึกยุทธหนุ่มรู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขาสามารถพูดได้ว่า ‘ตายไปแล้ว’ นั้น กลับกลายเป็นว่านั่นคือช่วงเวลาที่ปณิธานหมัดของเขาโชติช่วงมากที่สุด
นี่ไม่ใช่แค่การ ‘กลัวตาย’ แบบปกติทั่วไปแล้ว
ดังนั้นกู้โย่วมั่นใจมากเลยว่า หากคนหนุ่มผู้นี้ตายไป แล้วตนปลดปล่อย ดวงวิญญาณของเขาไป
ถ้าอย่างนั้นฟ้าดินแห่งนี้ก็จะมีผีวัตถุหยินที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดปรากฏขึ้นทันที ไม่เพียงแต่ไม่ถูกพายุลมกรดพัดพาให้สลายหายไป กลับยังเท่ากับว่าเป็นการแสวงหาการมีชีวิตรอดท่ามกลางความตายด้วย
รักตัวกลัวตายจนเกินจริงถึงขั้นนี้ คนหนุ่มจะต้องมีห่วงมากแค่ไหนกัน?
แต่คำพูดเหล่านี้ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
เขาปรากฎตัวครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่เคยเดินทางผ่านเมืองเล็กของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวคนนี้
ได้เคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายอย่างแท้จริงมาก่อน เพราะนั่น ถึงจะสามารถทำให้ปณิธานหมัดที่อยู่ใกล้กับคอขวดของเขาบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม
กู้โย่วพูดด้วยความหวังดีว่า “พอไปถึงทางทิศเหนือแล้ว เจ้าต้องระวังตัวสักหน่อย ไม่พูดถึงเจ้าเฒ่าประหลาดทางเหนือผู้นั้น ยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอีกคน ต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร มักจะฆ่าคนตามใจชอบเสมอ อีกทั้งเจ้ายังเป็นคนต่างถิ่น พอตายไปยังต้องทิ้งโชคชะตาบู๊ไว้ในอุตรกุรุทวีป หากพวกเขาคิดจะฆ่าเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายๆ แค่ไม่กี่หมัดเท่านั้น
หากเจ้าไม่เรียนรู้วิชาหลบหนีชั้นยอดอย่างจวนตัว ไม่อย่างนั้นก็ห้ามเปิดเผยขอบเขตวิถีวรยุทธที่แท้จริงของตนออกมาง่ายๆ ช่วยไม่ได้ คนดีคนเลวล้วนไม่เคยหยุดยั้งการฝึกตนเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกยุทธเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ฝ่ายหนึ่งแสวงหาปณิธานหมัดที่บริสุทธิ์ อีกฝ่ายหนึ่งแสวงหาความแท้จริงของจิตแห่งเต๋า พันธนาการของกฎเกณฑ์ แน่นอนว่ายังต้องมี แต่ผู้ฝึกตนทุกคนที่เดินไปบน ตำแหน่งสูง มีใครบ้างที่เป็นคนโง่ พวกเขาล้วนเชี่ยวชาญการหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ทั้งนั้น”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้าจะระวังแล้วระวังอีก”
กู้โย่วหยุดเดิน มองไปยังทิศไกล “ดีใจมากที่หมัดเขย่าขุนเขาถูกเจ้ารับเอาไปเรียน อีกทั้งยังมีหวังว่าจะนำพาความรุ่งโรจน์มาให้ บอกตามตรง ต่อให้ข้าจะเป็นคนเขียนวิชาหมัดนี้เอง แต่ก็ต้องเอ่ยประโยคหนึ่งว่า วิชาหมัดเล่มนี้ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลยจริงๆ มากสุดก็มีความหมายเพียงแค่นั้นเอง”
เฉินผิงอันพูดเสียงทุ้มหนัก “ผู้อาวุโสกู้ ข้ารู้สึกจากใจจริงว่าวิชาหมัดเขย่าขุนเขา มีความหมายยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุด!”
ต่อให้ปีนั้นที่เผชิญหน้ากับชุยเฉิงอยู่บนเรือนชั้นสองของภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอัน ก็ยังเคารพเลื่อมใสวิชาหมัดที่อยู่เคียงข้างเขามาวิชานี้มากอยู่ดี
กู้โย่วหันหน้ามามอง ยิ้มกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าพูดจาน่าฟังเช่นนี้ ข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็ไม่มีสมบัติตระกูลเซียนอะไรมามอบให้เจ้าหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “สามหมัดก็เพียงพอแล้ว หากมากกว่านี้คงรับไม่ไหว”
กู้โย่วตบไหล่เฉินผิงอัน “สามหมัดขอบเขตเก้าของกู้โย่ว แน่นอนว่ามีน้ำหนักพอใช้ได้แล้ว”
กู้โย่วพลันเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า บรรพบุรุษของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาอย่างข้า ก็ยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วสามารถเอาท่าเดินนิ่ง ยืนนิ่งและนอนนิ่งสามอย่างมาฝึก รวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้”
เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยตอบโต้
กู้โย่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อันที่จริงยังสามารถเพิ่มท่าฟ้าดินเข้าไปด้วยได้”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เดินโดยใช้หัวทิ่มพื้น?”
กู้โย่วเห็นว่าคนหนุ่มคล้ายจะคิดว่าสามารถทำเช่นนี้ได้จริงๆ ก็ตบไหล่เฉินผิงอันหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “เจ้าอย่าได้ฝึกหมัดจนทึ่มทื่อไปเสียเล่า ผู้ฝึกยุทธอย่างเราๆ ท่องอยู่ในยุทธภพก็ช่วยรักษาหน้าตาตัวเองไว้หน่อยได้ไหม? หากเจ้า ฝึกหมัดด้วยวิธีนี้ สตรีเห็นคนหนึ่งก็ตกใจวิ่งหนีไปคนหนึ่ง แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ คนที่ฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาจะไม่มีสาวงามในยุทธภพคอยชื่นชมเลื่อมใสได้อย่างไร!”
กู้โย่วพูดเรื่องเหล่านี้จบก็เอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไป สีหน้าคล้ายกำลังหวนระลึกถึงเรื่องในอดีต
คงเป็นเพราะทุกคนที่เดินท่องอยู่ในยุทธภพล้วนมีความเสียดายและความคิดคำนึงไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้อยู่เสมอกระมัง
เฉินผิงอันถูกฝ่ามือนั้นตบจนไหล่เอียงกะเท่เร่ เกือบจะทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น
รอจนเฉินผิงอันยืดตัวขึ้นตรง คนที่สวมชุดตัวยาวสีเขียวผู้นั้นก็ทะยานร่างขึ้นจากพื้น ล่องลอยไปไกลอย่างไร้เสียงแล้ว
เฉินผิงอันจ้องมองตามไปไม่ยอมถอนสายตากลับอยู่เป็นนาน
เฉินผิงอันรู้ดีว่า
การไปครั้งนี้ของกู้โย่ว คือการกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ
แต่บางที ภูเขาวานรคำรามอาจจะไม่มีเซียนกระบี่จีเยว่อยู่อีกแล้วก็ได้
นี่ก็คือชีวิตคน
เฉินผิงอันหยิบเอาหีบไม้ไผ่มาวางลงบนพื้น นั่งแปะลงไปบนนั้น แล้วจึงหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมา ค่อยๆ ดื่มเหล้าช้าๆ
ไม่ได้รีบร้อนเดินทาง รอให้พละกำลังกลับคืนมาสักสองสามส่วนก่อนค่อยว่ากัน
เจอกับสามหมัดนี้ หากสามารถฟื้นคืนกลับสู่ตบะขอบเขตหกในช่วงแรกได้ภายในเวลาหนึ่งเดือนก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่ได้เดินทางอยู่แล้ว เฉินผิงอันจึงถือโอกาสนี้คิดเรื่องบางอย่าง
เกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ผู้อาวุโสชุยเคยพูดอย่างกว้างๆ ให้ฟัง
ขอบเขตเจ็ดขอบเขตแปดตายที่บ้านเกิด ขอบเขตยอดเขาตายที่แคว้น ขอบเขตสิบปลายทางตายที่ทวีป
บนเส้นทางของการฝึกตน ต้องมีความจริงใจ
ก็เหมือนอย่างที่กู้โย่วเอ่ย การแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่นในหลายๆ ครั้ง ตนเองมักจะไม่รู้ตัวเสมอ
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง
นึกมาถึงท้ายที่สุด เฉินผิงอันที่ถือประคองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในมือก็เหม่อลอยไปเล็กน้อย
มีชีวิตอยู่ ทิศไกลที่อยากเดินทางไป ยังคงรอคอยตนอยู่ห่างไปไกล ดีจริงๆ
เพียงแต่ว่าคนบางคนที่อยู่ห่างไกล หากวันหน้าได้พบเจอตนแล้ว บางทีอาจไม่ค่อย ดีใจสักเท่าไร
ใกล้หน่อยก็ตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวา ไทเฮาต้าหลี
ห่างไปไกลหน่อยก็คือวานรย้ายขุนเขาแห่งภูเขาตะวันเที่ยง สกุลสวี่นครลมเย็น
และยังมีบางอย่างที่จำเป็นต้องดูซ้ำอีกหน่อย
ยังมีเรื่องบางอย่างที่ซ่อนอำพรางไว้เบื้องหลังลึกล้ำ
เรื่องราวต่างๆ สถานที่แต่ละแห่ง
เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่านิสัยชอบจดลงบนสมุดบัญชีเล่มเล็กของ เผยเฉียนที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขานั้น แท้จริงแล้วเหมือนกับอาจารย์ของนาง
เพียงแต่ว่าคนหนึ่งใช้พู่กันกับกระดาษมาจดบันทึก อีกคนหนึ่งแค่จดจำไว้ในใจ
……
ต่อให้เป็นพื้นที่ราบเรียบที่กว้างไกลแค่ไหน ก็ยังต้องได้พบเจอภูเขาอยู่ดี
กู้โย่วพลิ้วกายลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง
คนชุดดำหกคนที่สวมหน้ากากสีขาวหิมะ เหลือเพียงคนเดียวทื่นอยู่ที่เดิม อีกห้าคน ที่เหลือล้วนแยกย้ายกันไปสี่ทิศอย่างรวดเร็ว พยายามอยู่ให้ห่างไกลจากที่แห่งนี้
โชคดีที่ผู้เฒ่าสวมชุดตัวยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้าผู้นั้นไม่มีความคิดจะตามไปไล่ฆ่า
ผู้ฝึกตนของภูเขาเกอลู่ที่ยืนอยู่ที่เดิมกุมหมัดโค้งกายคารวะ “คารวะผู้อาวุโสกู้”
กู้โย่วถาม “จัดขบวนใหญ่ขนาดนี้เชียว เพื่อฆ่าคนหรือ? อย่าว่าแต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่กำลังจะฝ่าทะลุคอขวดคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขต เดินทางไกลก็ยังไม่พอให้พวกเจ้าฆ่า ภูเขาเกอลู่ไม่รักษากฎเกณฑ์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? หรือจะบอกว่า แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่เคยรักษากฎ ก็แค่เก็บกวาดได้สะอาดเอี่ยมเท่านั้น?”
คนที่คุมเชิงอยู่กับกู้โย่วก็คือผู้นำนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มนี้ ในฐานะผู้ฝึกตนก่อกำเนิด เผชิญหน้ากับผู้เฒ่าชุดเขียวคนนี้ บริเวณโดยรอบหน้ากากอันนั้นของเขากลับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ในอดีตกู้โย่วผู้ฝึกยุทธผู้ปกป้องราชวงศ์ต้าจ้วน เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างมาก นอกจากนี้ขอแค่เป็นคนที่เขาเลือกออกหมัดสังหารแล้วล่ะก็ จะต้องขุดลึกลงไปใต้ดินสามฉื่อ ตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก
หากภูเขาเกอลู่ทำให้กู้โย่วขุ่นเคืองใจ นั่นก็ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่ว่ามีคนหกคนตายไปบนภูเขาลูกนี้เท่านั้น
นักฆ่าภูเขาเกอลู่ผู้นี้ส่ายหน้าเอ่ยว่า “กฎของภูเขาเกอลู่ แน่นอนว่านับตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของพวกเราตั้งขึ้นมา ก็ไม่เคยมีการแหกกฎมาก่อน…”
นาทีถัดมา กู้โย่วเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งกุมลำคอของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้น แล้วยกตัวเขาขึ้นในชั่วพริบตา กู้โย่วไม่คิดจะเงยหน้าด้วยซ้ำ เพียงแค่มองตรงๆ ไปเบื้องหน้า “ใครขยับก่อน ตายก่อน”
อีกห้าคนที่เหลืออยู่ซึ่งออกห่างจากภูเขาลูกนั้นไปค่อนข้างไกลแล้วพลัน หยุดแน่นิ่ง ไม่ส่งเสียงใดๆ เหมือนจักจั่นในหน้าหนาว
กู้โย่วพูดเนิบช้า “หากก่อนที่ข้าจะออกหมัด พวกเจ้าล้อมสังหารคนผู้นี้ นั่นก็ช่างเถิด กฎเกณฑ์ของภูเขาเกอลู่จะมีค่าสักเท่าไรกันเชียว? แต่หลังจากที่ข้ากู้โย่วออกหมัดแล้ว พวกเจ้าไม่ได้รีบไสหัวไป ยังกล้ามีความคิดหวังจะเก็บตกของดีอยู่ที่นี่ คงเห็นข้า เป็นคนโง่สินะ? กว่าจะมีชีวิตอยู่มาถึงขอบเขตก่อกำเนิดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่ามันบ้าง?”
กู้โย่วขมวดคิ้ว เพียงแค่หิ้วตัวก่อกำเนิดน่าสงสารที่ไม่มีความคิดจะตอบโต้ผู้นั้นเอาไว้ แต่กลับไม่ได้ลงมือสังหารอีกฝ่ายทันที ราวกับว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เก็บตัวเงียบมานานหลายปีผู้นี้กำลังลังเลว่าควรจะเว้นชีวิตใครสักคนให้ไปรายงานข่าวต่อภูเขาเกอลู่ดีหรือไม่ หากเก็บตัวไว้ แล้วควรเลือกใครถึงจะค่อนข้างเหมาะสม กู้โย่วไม่อำพรางปราณสังหารบนร่างตัวเองแม้แต่น้อย มันเข้มข้นจนเหมือนจะจับต้อง ได้จริง พายุลมกรดแผ่ล้นออกไป ในรัศมีสิบจั้ง พืชหญ้าดินโคลนล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงที่ปลิวว่อนคละคลุ้ง
ชุดคลุมอาคมบนร่างของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่อยู่ในมือของผู้เฒ่าเกิดเสียงฉีกขาด ถี่ยิบดังมาเป็นระลอก
กู้โย่วดีดนิ้วง่ายๆ หนึ่งที
นักฆ่าของภูเขาเกอลู่ที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งก็ถูกลมกรดหนึ่งเสี้ยวทะลุหน้าผากจนเป็นรู ตายคาที่ทันที
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองต้องตายไปทั้งอย่างนี้
กู้โย่วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “จิตขยับก็ถือว่าเป็นการขยับ ความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนี้ อยู่ในหูของข้าผู้อาวุโสก็ดังเหมือนรัวกลอง ค่อนข้างจะหนวกหูไปสักหน่อย”
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนี้ไม่อาจเปิดปากพูดได้แล้ว จึงได้แต่ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสกู้ หากท่านฆ่าพวกเราทั้งหกคน ต่อให้ท่านมีวิชาหมัดเลิศล้ำขนาดไหน สามารถปกป้องคนหนุ่มผู้นั้นได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องเขา ได้ตลอดไป ภูเขาเกอลู่ของพวกเราไม่ได้มีขุนเขาอันเป็นที่ตั้งที่แน่นอน ผู้ฝึกตนของ แต่ละฝ่ายเร่ร่อนไม่อยู่กับที่ แน่นอนว่าผู้อาวุโสกู้สามารถไล่ฆ่าพวกเราได้ตามใจชอบ ใครก็ไม่อาจขัดขวางการออกหมัดของผู้อาวุโส หากปล่อยให้ผู้อาวุโสเจอเข้าคนหนึ่ง แน่นอนว่าก็ต้องตายคนหนึ่ง ทว่าระหว่างนี้ ขอแค่คนหนุ่มผู้นั้นไม่ได้อยู่ข้างกาย ผู้อาวุโส ต่อให้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วัน เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน! ข้ารับรองได้เลย!”
กู้โย่วเอ่ยถาม “ภูเขาเกอลู่ที่เป็นดั่งหนูวิ่งข้ามถนน เอามาข่มขู่ข้าผู้อาวุโสได้ด้วยหรือ? ใครมอบความกล้านี้ให้เจ้า? จีเยว่แห่งภูเขาวานรคำราม?”
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดยิ้มจืดเจื่อน “ผู้อาวุโสกู้ ข้าแค่กำลังพูดเรื่องจริงให้ท่านฟัง”
กู้โย่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ง่ายมาก ข้าก็แค่ป่าวประกาศออกไป รับปากจีเยว่ว่าจะไปเปิดศึกกับเขาบนภูเขาตี่ลี่ แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น เขาจีเยว่จำเป็นต้องสังหาร คนของภูเขาเกอลู่ให้สิ้นซากเสียก่อน ให้เวลาจำกัดเขาแค่หนึ่งปีก็แล้วกัน ศิษย์ลูก ศิษย์หลานบนภูเขาวานรคำรามกลุ่มนั้นของจีเยว่จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน เพราะจะได้เล่นแมวไล่จับหนูกับพวกเจ้า”
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ผู้อาวุโสกู้ ครั้งนี้พวกเรามารวมตัวกัน ไม่ได้เป็นการทำลายกฎจริงๆ คราวก่อนลงมือลอบฆ่าไม่สำเร็จ ก็ถือว่าเรื่องยุติลงแล้ว นี่ก็คือกฎเกณฑ์ที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่อาจเขย่าคลอนของภูเขาเกอลู่ ส่วนข้อที่ว่า เหตุใดพวกเราถึงได้มาที่นี่ ก็โปรดอภัยที่ข้าไม่อาจบอกได้ เพราะนี่ก็ยิ่งเป็นกฎสำคัญของภูเขาเกอลู่ หวังว่าผู้อาวุโสจะเข้าใจ”
กู้โย่วถามหนึ่งคำถาม “หากข้าเจอกับพวกเจ้าระหว่างทาง จะต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียวหรือไม่?”
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดไม่รู้ว่าเหตุใดผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบท่านนี้ถึงถามเช่นนี้ ทว่า ก็ได้แต่ตอบไปตามสัตย์จริง “แน่นอนว่าไม่”
กู้โย่วถามอีก “ตอนนี้เจ้าพูดย้ำถึงคำว่ากฎเกณฑ์ของภูเขาเกอลู่อะไรนั่นกับข้า อยู่ตลอด เพราะหวังให้ข้าเคารพกฎ ถ้าอย่างนั้นกฎเกณฑ์ของข้า เหตุใดพวกเจ้า ถึงไม่เห็นอยู่ในสายตา? อีกฝ่ายคือคนที่ข้าออกหมัดแต่ไม่ฆ่าให้ตาย แล้วพวกเจ้าก็รู้ตัวตนของข้าเป็นอย่างดี แค่จะอดทนข่มกลั้นไม่กี่วัน พวกเจ้าก็ไม่ยินดีจะทำงั้นหรือ? หรือว่าจะต้องให้ข้ายืนอยู่ตรงนี้ พูดเรื่องกฎเกณฑ์กับพวกเจ้าออกไปตามตรง ถึงจะทำให้พวกเจ้าเข้าใจกฎเกณฑ์ได้?”
กู้โย่วหัวเราะ “แปลกซะจริง ตั้งแต่เมื่อไรที่กฎเกณฑ์ของข้าผู้อาวุโสคือ ความมั่นใจที่ทำให้ลูกกระต่ายอย่างพวกเจ้าไม่ทำตามกฎเกณฑ์กันนะ?”
ระหว่างที่พูด หน้าผากของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้นก็ถูกบิดหัก แล้วร่างของเขา ก็ถูกโยนทิ้งลงบนพื้น
ขณะเดียวกันมือข้างที่ไพล่หลังก็ปล่อยหมัดออกไป ทำให้ทั้งโอสถทองและ ทารกก่อกำเนิดระเบิดแตกพร้อมกัน ไม่เหลือโอกาสรอดชีวิตอีกแม้แต่น้อย
การแผ่กระเพื่อมของลมปราณหลังจากที่โอสถทองและทารกก่อกำเนิดของ ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งระเบิดกระจุยกระจายในเวลาเดียวกัน พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล เดิมทีก็มากพอจะทัดเทียมกับพายุงวงช้างลูกหนึ่ง แต่กลับถูกกู้โย่ว ยกมือปัดทิ้งอย่างง่ายๆ
ผู้ฝึกตนภูเขาเกอลู่คนหนึ่งเริ่มร่ายใช้เวทดำดินหลบหนี แต่กู้โย่วกระทืบเท้าหนึ่งที อีกฝ่ายก็ถูกพายุลมกรดกระเทือนตายในเสี้ยววินาที เสียงอื้ออึงก็ดังออกมาจากใต้ดินเป็นระลอก ไม่เหลือความเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ยังเหลือนักฆ่าของภูเขาเกอลู่อีกสามคน พวกเขายังคงกระจายตัวอยู่ห่างไปไกล ทว่าแต่ละคนกลับไม่กล้าหายใจแรง
กู้โย่วเอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง หันหน้าไปมองยังทิศทางหนึ่งแล้วถอนหายใจ
เจ้าเด็กนั่นได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังมีการรับสัมผัสที่เฉียบไวขนาดนี้ได้อีก
หมัดเขย่าขุนเขาก็สอนเรื่องนี้เหมือนกันหรือ? ข้าที่เป็นคนเขียนวิชาหมัดนี้ เหตุใดถึงไม่รู้เลย?
คนชุดเขียวผู้หนึ่งพุ่งทะยานตัวยาวมาถึงภูเขาลูกนี้ เขาค้อมเอวลง หอบหายใจหนักหน่วง มือสองข้างค้ำยันหัวเข่า เมื่อเขาหยุดเดิน เลือดสดก็ไหลหยดลงเต็มพื้น
กู้โย่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นพวกไม่รู้จักเจ็บจริงๆ”
เฉินผิงอันยืดเอวขึ้นตรง สีหน้าซีดขาวปะปนไปกับคราบเลือด แล้วก็นั่งแปะลงไปบนพื้น ยกมือเช็ดหน้า “ผู้อาวุโส นี่คือ?”
กู้โย่วเอ่ย “ยังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “นักฆ่าจากภูเขาเกอลู่กลุ่มนี้ ข้าสัมผัสถึงพวกเขา ได้นานแล้ว และอันที่จริงก็ส่งกระบี่บินส่งข่าวไปให้สหายคนหนึ่งแล้ว ถ่วงเวลาอีกสักสองสามวันก็สามารถเป็นตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นรออยู่เบื้องหลังได้แล้ว”
กู้โย่วถาม “เพื่อนอะไร เพื่อนบนภูเขา? จะไม่กลัวเจ้าพวกแมลงวันที่ชอบบินวนตามติดเนื้อตัวคนอย่างภูเขาเกอลู่กลุ่มนี้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาเป็นว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งแล้วกัน แล้วก็มีความอดทนดีเลิศกว่าข้าเสียอีก ไม่กลัวคนพวกนี้จริงๆ รบกวนเขา ข้าก็ไม่ได้รู้สึกเกรงใจอะไร”
กู้โย่วพยักหน้ารับ
ก่อนเอ่ย “ครั้งนี้ข้าต้องไปจริงๆ แล้ว สามคนนี้ เหลือไว้ให้เจ้าป้อนหมัด?”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสกู้ ข้าไม่ไหวจริงๆ”
กู้โย่วยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นจะเอาอย่างไร?”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ วางฝ่ามือสองข้างไว้บนหัวเข่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ผู้น้อยได้เรียนรู้วิชาหมัดเขย่าขุนเขาที่เป็นต้นฉบับดั้งเดิมที่สุดในใต้หล้านี้จากผู้อาวุโส แล้วกัน!”
นักฆ่าของภูเขาเกอลู่ ต่อให้ตายก็ไม่ยอมเปิดปากแพร่งพรายความลับ ข้อนี้ เฉินผิงอันเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาก่อน
กู้โย่วเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “จะนั่งเรียนงั้นรึ? ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก!”
เฉินผิงอันโงนเงนลุกขึ้นยืน ร่างกายหยัดยืนได้ไม่มั่นคง ทว่าปณิธานหมัด กลับเที่ยงตรงอย่างถึงที่สุด
เหมือนการคัดตัวอักษรหลังจากที่เพิ่งอ่านหนังสือออก
ผู้เฒ่าสวมชุดตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้างอเข่าสองข้างลงเล็กน้อย บิดข้อมือ ฝ่ามือกุมเป็นหมัดแล้วปล่อยไปข้างหน้าช้าๆ มืออีกข้างที่กำหมัดกลับชักไปด้านหลัง “หมัดเขย่าขุนเขาของข้าให้ความสำคัญกับข้อที่ว่าหนึ่งหมัดต้านทานศัตรู หนึ่งหมัดปกป้องเจตจำนง เป็นเหตุให้ต่อให้ศัตรูที่เจอจะเป็นบรรพจารย์ของสามลัทธิ แต่ขอแค่ปณิธานหมัดไม่แหลกสลาย ตัวตายก็ยังปล่อยหมัดได้อีกหมัด! ต่อให้เจ้าจะมีวิชาเซียนเลิศล้ำค้ำฟ้าแค่ไหน ขุนเขากดลงมาเหนือหัวข้า หมัดเขย่าขุนเขาข้าก็จะผ่าภูเขา นั้นออก! นี่คือสิ่งที่ข้ากู้โย่วบรรลุตั้งแต่ตอนอยู่ขอบเขตเจ็ด ถึงได้เขียนคำนำของวิชาหมัดนี้ไปเช่นนั้น หากในอนาคตเจ้าเฉินผิงอันคิดจะเดินไปได้สูงยิ่งกว่าข้า ก็ควรมีความคิดยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้!”
นักฆ่าสามคนของภูเขาเกอลู่เริ่มเผ่นหนีไปอย่างบ้าคลั่ง บ้างคนก็ขี่ลมบินทะยาน บ้างคนก็วิ่งตะบึงแนบพื้นไป บางคนร่ายวิชาอภินิหารออกมาใช้ กลายร่างเป็น ควันเขียวที่กระจายตัว
เท้าข้างหนึ่งของผู้เฒ่าที่สวมรองเท้าผ้าเหยียบก้าวออกไป จากนั้นก็เดินท่าเดินนิ่งหกก้าวจบในรวดเดียวด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที แล้วปล่อยหมัดหนึ่งออกไป
จากนั้นก็เปลี่ยนท่าเดิน ปล่อยหมัดไปยังจุดหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนท่าเดินอีกครั้ง ยังคงเป็นหนึ่งหมัดที่ปล่อยขึ้นไปบนฟ้า
เฉินผิงอันเบิกตากว้างจ้องเขม็งไล่ตามเงาร่างของผู้เฒ่าที่สวมชุดคลุมตัวยาวไปติดๆ
นี่ต่างหากจึงจะเป็นหมัดเขย่าขุนเขาที่แท้จริง!
ไม่ใช่แค่หมัดสามหมัดที่กู้โย่วปล่อยออกมาด้วยตบะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเพียงเท่านั้น
และปณิธานหมัดของหมัดเขย่าขุนเขา แท้จริงแล้วกลับ…ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้!
ส่วนพายุหมัดนั้นจะไปร่วงลงตรงจุดใด ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร เฉินผิงอัน ไม่จำเป็นต้องหันไปดูแม้แต่น้อย
กู้โย่วเก็บหมัดยืนนิ่ง ถามว่า “เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “การชมวิชาหมัดเหมือนการฝึกกระบี่”
กู้โย่วหลุดหัวเราะพรืด “ฝึกกระบี่? ฝึกจนได้เป็นเซียนกระบี่แล้วอย่างไร ข้าเดินทางไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วนครั้งนี้ก็เพื่อสังหารเซียนกระบี่คนหนึ่ง”
เฉินผิงอันเกาหัว เอ่ยว่า “เคยมีคนบอกว่า ฝึกหมัดก็คือฝึกกระบี่”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายจ้า “ถูกต้อง!”
กู้โย่วพลันเอ่ยว่า “บอกได้ยากว่าวิชาหมัดของชุยเฉิงสูงหรือต่ำ แต่เรื่องการ ป้อนหมัดกลับธรรมดามากจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า รับรองว่าขอบเขตของเจ้า เฉินผิงอันจะต้องแข็งแกร่งทุกครั้ง!”
เฉินผิงอันอึ้งงันพูดต่อไม่ถูก
ริมฝีปากของเขาขยับเบาๆ แต่คำพูดบางอย่าง สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้พูดมันออกไป
กู้โย่วส่ายหน้า บอกเป็นนัยแก่คนหนุ่มว่าไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
สุดท้ายเฉินผิงอันทำเพียงแค่กุมสองมือเป็นหมัดอำลา
ส่วนกู้โย่วก็ใช้สองมือกุมหมัดบอกลา
ไม่เกี่ยวกับขอบเขตหรือว่าอายุ
หมัดเขย่าขุนเขาบนโลกใบนี้ ก่อนหน้ามีกู้โย่ว ภายหลังมีเฉินผิงอัน