Skip to content

Sword of Coming 532

บทที่ 532 หมัดของขอบเขตยอดเขาค่อนข้างหนัก

คนชุดเขียวผู้หนึ่งเดินอยู่บนเส้นทางที่ทวนกระแสของลำน้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรเส้นนั้นขึ้นไปเบื้องบน ไม่ได้จงใจเดินเลียบริมน้ำฟังเสียงน้ำไหลมอง ผืนสายน้ำ เพราะถึงอย่างไรเขาก็จำเป็นต้องสังเกตการณ์ขนบธรรมเนียมและนิสัย ใจคอของผู้คนในพื้นที่ ภูเขาน้อยใหญ่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำของแต่ละแห่งให้ละเอียด ดังนั้นจึงมักจะต้องเดินอ้อมเส้นทางไปบ่อยๆ การเดินทางจึงไม่ถือว่า เร็วนัก

ยามที่เขาตัดสินใจว่าจะทำเรื่องเรื่องหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไม่เคยคิดว่ายากลำบาก แต่คนข้างกายกลับสามารถวางใจได้เต็มที่ หากเป็นคนที่อายุยังไม่มาก ยังเรียกได้ว่าอยู่ท่ามกลางโชคดีแต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีโชคด้วยซ้ำ

คงเป็นเพราะเกิดและเติบโตมาในระดับล่างของหมู่ชาวบ้าน เฉินผิงอันจึงมีความอดทนและความยืดหยุ่นเป็นเลิศ

ระหว่างทางเฉินผิงอันพบเจอกับเรื่องราวหนึ่งที่ชวนให้ขบคิดอย่างลึกซึ้ง

มีครั้งหนึ่งเฉินผิงอันพักค้างแรมอยู่ในโรงเตี๊ยมใกล้กับศาลเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่งในแคว้นฝูฉวี ยามจื่อ (ห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ก็ได้ยินเสียงรัวกลองสนั่นฟ้าที่มีเพียงผู้ฝึกตนและภูตผีเท่านั้นที่ถึงจะได้ยินดังมาเป็นระลอก ปราการ กีดขวางโลกมืดพลันถูกเปิดออก ภายใต้การนำทางของขุนนางผีกุ่ยไชจากแต่ละฝ่าย ผีและวิญญาณที่อยู่ใกล้กับเขตการปกครองก็ทยอยกันเข้ามาในเมืองอย่างมีระเบียบ มาเข้าร่วมการประชุมยามราตรีของเทพอภิบาลเมืองที่หนึ่งเดือนจะจัดสองครั้ง ซึ่งถูกเรียกขานว่าการไต่สวนยามราตรี โดยที่ท่านเทพอภิบาลเมืองจะทำการตรวจสอบคุณความชอบหรือความผิดพลาดของพวกภูตผีวัตถุหยินที่อยู่ภายใต้เขตการปกครองของตัวเอง

เฉินผิงอันออกจากโรงเตี๊ยมมาเงียบๆ มาหยุดอยู่นอกประตูของศาล เทพท่องทิวาราตรีสองท่านที่ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล ป้องกันไม่ให้พวกภูตผีทำเอะอะเสียงดังเพ่งสายตามองมา แล้วก็รีบโค้งตัวคารวะ ไม่ได้เรียกอย่างเคารพนอบน้อมว่าเซียนซืออะไร แต่เรียกคำหนึ่งว่าท่านอาจารย์ด้วยสีหน้าท่าทางที่เคารพยำเกรง

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน แล้วก็ถามว่าตนสามารถเข้าร่วมรับฟังการ ไต่สวนยามราตรีของท่านเทพอภิบาลเมืองได้หรือไม่

เทพท่องทิวารีบหมุนตัวกลับไปรายงานทันที พอได้รับคำอนุญาตจากท่านเทพอภิบาลเมือง ขุนนางผู้พากษาฝ่ายบุ๋นและขุนนางฝ่ายหยินหยางซึ่งเป็นขุนนางหลัก ทั้งสามท่านแล้ว ถึงได้รีบมาเชื้อเชิญให้ผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นผู้นี้เข้าไปด้านใน

ในห้องโถงใหญ่ ท่านเทพอภิบาลเมืองนั่งอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ตำแหน่งสูง ขุนนาง ผู้พิพากษาบุ๋นบู๊และขุนนางหลักของฝ่ายงานทั้งหลายประจำศาลเทพอภิบาลเมืองต่างก็นั่งเรียงกันตามลำดับ เป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยกันตัดสินลงโทษภูตผีและวัตถุหยินมากมาย หากมีใครที่ไม่ยอมรับคำตัดสิน อีกทั้งยังไม่ได้เป็นพวกอำมหิตชั่วร้ายที่มี โทษใหญ่ชัดเจน ก็จะอนุญาตให้พวกมันไปร้องทุกข์กับผู้บังคับการของตัวเองเช่นซานจวิน (คำเรียกผู้ปกครองภูเขา) แห่งขุนเขาใหญ่ หรือฝู่จวิน (คำเรียกผู้ปกครองประจำพื้นที่/ประจำศาล อย่างเช่นพวกเจ้าเมือง) แห่งศาลเทพวารี ถึงเวลานั้น ซานจวินและฝู่จวินก็จะส่งขุนนางโลกมืดให้มาตรวจสอบคดีนี้ซ้ำอีกครั้ง

เฉินผิงอันไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่เทพอภิบาลเมืองตั้งใจสั่งให้คนยกออกมาให้ แต่นำเก้าอี้ไปวางไว้ด้านหลังเสาสีแดงตนหนึ่ง แล้วนั่งอยู่ตรงนั้น หลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา

เมื่อวัตถุหยินตนหนึ่งตะโกนเสียงดังว่าตัวเองถูกใส่ร้าย ไม่ยินดีรับคำตัดสิน เฉินผิงอันถึงได้ลืมตาขึ้น เงี่ยหูรอฟังคำตอบโต้ของเทพอภิบาลเมืองท่านนั้น

ที่แท้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ วัตถุหยินตนนั้นก็คือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ยังไม่ได้รับตำแหน่งหน้าที่อย่างเป็นทางการ เคยไปขุดเจอโครงกระดูกใหญ่กองหนึ่งที่นอกเมืองโดยบังเอิญ เขาจึงเก็บเอามาทำพิธีฝังให้เรียบร้อย วัตถุหยินรู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำเป็นการสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ จึงเกิดกังขาว่าเหตุใดนายท่านทั้งหลายของศาล เทพอภิบาลเมืองถึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่สามารถใช้สิ่งนี้มาลดทอนความผิดพลาดของตนเองได้ นี่ก็คือความอยุติธรรมที่ใหญ่เทียมฟ้า เขาจะต้องไปร้องทุกข์ต่อฝู่จวินของศาลเทพวารี หากฝู่จวินยังไม่สนใจ ขุนนางของแต่ละฝ่ายปกป้องพรรคพวกกันเอง เขาก็จะขอเสี่ยงเอาโอกาสที่จะได้กลับไปจุติใหม่มาเดิมพัน แต่ก็ต้องไป ตีกลองร้องทุกข์ให้จงได้ จากนั้นก็จะฟ้องร้องต่อซานจวินของขุนเขากลางแคว้นฝูฉวี ให้นายท่านซานจวินช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้กับตน ลงโทษเทพอภิบาลเมืองที่บกพร่องต่อหน้าที่อย่างหนัก

เทพอภิบาลเมืองตวาดอย่างเดือดดาล “เทพอภิบาลเมืองในโลกคอยตรวจสอบดูแลสรรพชีวิตในโลกคนเป็น การกระทำของพวกเจ้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีใจทำความดีก็ควรทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ตั้งใจทำความชั่วก็ไม่ควรถูกลงโทษ! เจ้าจะไปตีกลองร้องทุกข์กับฝู่จวินซานจวินที่ไหนก็ช่างเถิด เพราะพวกเขาก็ต้องอิงตามการตัดสินของคืนนี้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้แน่นอน!”

วัตถุหยินตนนั้นทรุดตัวลงนั่งอย่างห่อเหี่ยว

ช่วงปลายยามอิ๋น (ตีสามถึงตีห้า) ไก่กำลังจะขัน

การไต่สวนยามราตรีของเทพอภิบาลเมืองก็ปิดฉากลง

เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมเสามายืนอยู่ในห้องโถง หันน้าไปทางท่านเทพอภิบาลเมืองที่สวมชุดขุนนางซึ่งลายปักมีแค่สองสีคือสีขาวและสีดำ แล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะขอตัวลากลับไป

ท่านเทพอภิบาลเมืองมาส่งเขาถึงหน้าประตูใหญ่ของศาลด้วยตัวเอง

พอมาถึงหน้าประตู เทพอภิบาลเมืองที่ลังเลอยู่ชั่วขณะก็หยุดเดินแล้วถามว่า “ท่านอาจารย์เข้ามาในเขตชวีเจียงก็เพื่อเข้าไปเปิดเส้นทางลงเขาของต้นไม้ยักษ์ให้กับคนงานตัดไม้ของเชื้อพระวงศ์ที่เข้าไปตัดไม้ในภูเขาลึกหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยทำอย่างนั้นจริง เห็นว่าเส้นทางคดเคี้ยวสายนั้น มีปราณสกปรกแผ่อบอวลก็เลยอดไม่ไหว”

เทพอภิบาลเมืองถอนหายใจ “เดิมทีคนงานสองคนในนั้นควรจะตายระหว่าง การขนไม้ คนหนึ่งถูกไม้ยักษ์บดทับจนตาย อีกคนหนึ่งผลัดตกหน้าผาตาย ดังนั้น การกระทำนี้ของท่านอาจารย์จึงเท่ากับว่าช่วยชีวิตคนทั้งสองเอาไว้ แต่ท่านอาจารย์ รู้หรือไม่ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการสะสมบุญกุศลมากกว่า หรือเป็นการสร้างผลกรรมมากกว่ากันแน่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อท่านเทพอภิบาลเมืองเอ่ยปากเช่นนี้ ก็แสดงว่า ต้องเป็นอย่างหลังที่มากกว่า”

เทพอภิบาลเมืองมองผู้ฝึกตนคนนี้อยู่พักหนึ่ง แล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “การที่ท่านอาจารย์ ได้เป็นอาจารย์ เทพน้อยอย่างข้าก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว”

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองโลกมนุษย์ ทั้งมองเรื่องราว และยิ่งเป็นการมองจิตใจ

เทพอภิบาลเมืองถอนหายใจ “คนบนโลกกระทำการดั่งการสะสมน้ำให้เป็น ลำคลอง น้ำในลำคลองก็สามารถไหลเข้าสู่ผืนนา หล่อเลี้ยงช่วยเหลือชาวประชา ทว่าหากไม่ระวังน้ำก็อาจเอ่อล้นกลายเป็นอุทกภัย บางทีน้ำที่ทะลักทำนบก็อาจทำให้ คนจมน้ำตายนับไม่ถ้วน พริบตาเดียวความชอบและความผิดพลาดก็พลิกกลับ สลับตำแหน่งจนคนไม่ทันตั้งตัว ในเมื่อท่านอาจารย์ขึ้นเขาฝึกตนก็ควรจะต้องระมัดระวังให้มาก แน่นอนว่าเทพน้อยฐานะต่ำต้อยคำพูดไม่มีน้ำหนัก ไม่ถือว่า มีวิสัยทัศน์ใดๆ ยังคงหวังว่าคำพูดเหล่านี้ของเทพน้อยจะไม่ทำให้จิตใจของ ท่านอาจารย์วุ่นวายสับสน ไม่เช่นนั้นเทพน้อยย่อมมีโทษมหันต์”

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง

เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมแล้วก็จุดไฟตะเกียง คัดคัมภีร์ลัทธิพุทธที่หนึ่งหน้าเท่ากับหนึ่งเล่มแผ่นนั้นเพื่อทำจิตใจให้สงบ

พอหยุดพู่กันก็เก็บกระดาษ พู่กันและคัมภีร์แผ่นนั้นลงไป

ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว

เฉินผิงอันเป่าแสงไฟให้ดับ เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่าง

กฎเกณฑ์บนมหามรรคาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำ หากศึกษาอย่างละเอียดจะค้นพบว่าอันที่จริงแตกต่างไปจากกฎที่ลัทธิขงจื๊อตั้งเอาไว้มาก ไม่ได้สอดคล้องกับความดีเลวตามความหมายของโลกมนุษย์

ค่อยๆ เดินขึ้นสูงไปบนภูเขา ยิ่งนานวันก็ยิ่งคล้ายกับผู้ฝึกตน นี่คือเส้นทางที่จำเป็นต้องเดิน

นี่ก็เหมือนที่ทุกคนล้วนต้องเติบโตในทุกๆ วัน

อันที่จริงเฉินผิงอันอารมณ์ไม่เลวนัก

เดินทางผ่านภูเขาสายน้ำมามากมายเพียงนั้น สั่งสมวัตถุน้อยใหญ่มาก็มาก ทรัพย์สมบัติเต็มเปี่ยมอุดมสมบูรณ์

เฉินผิงอันเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อภูเขาลั่วพั่วในอนาคต

ไม้เด่นต้นเดียวมิใช่วสันต์ บุปผาเบ่งบานเต็มสวนต่างหากจึงจะเป็นทัศนียภาพ อันงดงามที่เฉินผิงอันคาดหวังว่าจะได้เห็นมากที่สุด

เฉินผิงอันออกจากเขตการปกครองเดินทางไปในอาณาเขตของแคว้นฝูฉวีต่ออีกครั้ง

ไม่มีปิ่นหยก แล้วก็ไม่มีงอบไม้ไผ่ มีเพียงหีบไม้ไผ่ที่สะพายไว้ด้านหลัง ชุดเขียว ไม้เท้าเดินป่า เดินทางไกลอยู่เพียงลำพัง

วันนี้ในศาลแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำ เฉินผิงอันเข้าไปจุดธูปไหว้แล้วก็เห็นว่าตำหนักด้านหลังของศาลมีต้นป่ายโบราณอายุพันปีอยู่ต้นหนึ่ง ขนาดใหญ่จนต้องให้ ชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนโอบถึงจะโอบได้มิด ร่มใบหนาครึ้มปกคลุมไปครึ่งลานกว้าง ด้านข้างต้นไม้มีป้ายศิลาก้อนหนึ่งตั้งอยู่ เป็นผู้มีความสามารถด้านการประพันธ์ของแคว้นฝูฉวีที่เขียนเนื้อหา และที่ว่าการในท้องถิ่นทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างช่างให้มาแกะสลัก แม้ว่าจะถือเป็นป้ายใหม่ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันเก่าแก่ อ่านเนื้อหาบนป้ายศิลาแล้วถึงได้รู้ว่าต้นป่ายโบราณต้นนี้ต้องผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางสงครามมาหลายครั้งท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน แต่ก็ยังสามารถตั้งตระหง่านได้ดังเดิม

เฉินผิงอันชอบเนื้อหาที่อยู่บนป้ายศิลาจึงปลดหีบไม้ไผ่เขียวลงมา หยิบกระดาษ พู่กันและแท่นฝนหมึกออกมา ใช้หีบไม้ไผ่ต่างโต๊ะ แล้วเริ่มคัดลอกเนื้อหาเหล่านั้น

เนื้อหาบนแผ่นศิลามีมาก แต่เฉินผิงอันกลับตั้งใจคัดทุกคำ โดยไม่ทันรู้ตัวก็เข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้ว

ทางศาลมีกฎห้ามเข้ายามวิกาล ทว่าคนเฝ้าศาลไม่เพียงแต่ไม่มาไล่เขา กลับกัน ยังช่วยกันกับเด็กประจำศาลยกม้านั่งมาให้สองตัว เอาวางไว้ฝั่งซ้ายขวาของป้ายศิลา แล้วจุดตะเกียง ช่วยส่องป้ายหินให้สว่างไสว รอบนอกของแสงไฟถูกคลุมด้วย กระดาษโปร่งบางที่ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ประณีต ป้องกันไม่ให้ลมพัดไฟดับ

เฉินผิงอันเห็นภาพนี้แล้วก็รีบวางพู่กันลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งคารวะแสดงการขอบคุณ

ผู้เฒ่าผู้ดูแลศาลโบกมือด้วยรอยยิ้ม บอกเป็นนัยแก่แขกผู้นี้ว่าเชิญคัดลอกตัวอักษรต่อได้ตามสบาย และยังบอกอีกว่าในศาลมีห้องพักรับรองให้กับแขกที่จะมาค้างแรมด้วย

ผู้เฒ่าสั่งความเด็กน้อยหนึ่งคำ ฝ่ายหลังก็ถือกุญแจนั่งงีบหลับรออยู่ด้านข้าง

เด็กน้อยเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจึงมายืนอยู่ด้านหลังคนผู้นั้นดูเขาคัดตัวอักษร ตัวอักษรน่ะหรือ ไม่ดีไม่เลว เพียงแต่ว่าตั้งใจคัดอย่างมาก ตัวอักษรที่เขียนเป็นระเบียบอย่างยิ่ง แต่ก็มองไม่ออกว่าดีสักเท่าไร เขาเคยไปเที่ยวที่ศาลของสถานที่อื่น เมื่อเทียบกับศาลบ้านตนแล้วก็มีหน้ามีตากว่ามาก ล้วนมีผลงานของนักประพันธ์ ผู้มีชื่อเสียงฝากไว้บนฝาผนัง นั่นต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าสง่างาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีนักประพันธ์ท่านหนึ่งที่เมามายถือจอกสุรา ตวัดพู่กันเขียนตัวอักษรแบบหวัด ลงบนผนัง ทำให้คนมองจิตใจส่ายไหวได้อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นตัวอักษรแบบหวัดที่เขียนลงบนผนัง แต่กลับถูกวงการนักประพันธ์ของแคว้นฝูฉวีขนานนามให้เป็น ภาพมังกรเฒ่าโปรยพิรุณภาพหนึ่ง

ตัวอักษรของคนหนุ่มชุดเขียวลัทธิขงจื๊อผู้นี้ดูๆ ไปแล้วก็ไม่เท่าไร ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันคัดลอกเนื้อหาบนแผ่นศิลาเสร็จแล้วก็เก็บหีบไม้ไผ่ เอากลับสะพายขึ้นหลังอีกครั้ง แล้วจึงเข้าพักที่ห้องรับรองแขก ส่วนข้อที่ว่าจะแสดงการขอบคุณอย่างไร คิดไปคิดมาแล้ว พรุ่งนี้ก่อนจะจากไปก็คงได้แต่บริจาคค่าธูปค่าน้ำมันให้ทางศาลเพิ่มขึ้นเท่านั้น

เด็กน้อยอ้าปากหาวไม่หยุด เกือบจะรู้สึกว่ามีแมลงคลานเข้าไปนอนหลับในหูของตนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ตำหนิว่าแขกคนนี้อืดอาดชักช้า เพราะในศาลมีการแกะสลัก ก้อนหินและบทประพันธ์บนฝาผนังมากมาย ดังนั้นที่นี่จึงมักจะมีบัณฑิตมาคัดลอกตัวอักษรอยู่เป็นประจำ เด็กประจำศาลอายุไม่มาก แต่กลับมีประสบการณ์โชกโชน อีกทั้งนิสัยของท่านปู่คนเฝ้าศาลก็แปลกประหลาด

เขาจะเลื่อมใสและปฏิบัติต่อบัณฑิตอย่างดีเสมอมา ฟังจากคำบอกเล่าของศิษย์พี่หลายคนในศาล ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของท่านปู่คนเฝ้าศาลไม่รู้ว่าได้รับรองบัณฑิตที่เดินทางไปสอบที่เมืองหลวงหรือไม่ก็ท่องเที่ยวผ่านทางมาแล้วกี่มากน้อย น่าเสียดายที่ฮวงจุ้ยของศาลธรรมดา ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่มีบัณฑิตคนใดสอบติดกระดานทองคำ ได้กลายเป็นขุนนางชั้นสูงของแคว้นฝูฉวี แต่ศาลแห่งอื่น มีที่ใดบ้าง ที่ไม่เคยมีบัณฑิตซึ่งมีเส้นทางอนาคตราบรื่นยาวไกลช่วยนำพาชื่อเสียงของศาลที่เคยไปเยือนไปป่าวประกาศให้เป็นที่รู้จัก

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในระเบียงแล้วก็ยืนนิ่ง หันหน้ากลับไปมองด้านหลัง

ใบของต้นป่ายพันปีระริกไหว

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พึมพำว่า “ลมเย็นแสงจันทร์กระจ่างกิ่งไม้ส่ายไหว สงสัยว่าจะเป็นแสงรัศมีแห่งกระบี่ของเซียนกระบี่”

เด็กประจำศาลอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “เป็นบทกวีที่ดีเลยนี่นา คุณชายไปอ่านเจอมาจากตำราเล่มไหน?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลืมแล้ว”

เด็กประจำศาลกล่าวอย่างเสียดาย “หากเป็นบทกลอนที่เกิดจากความรู้สึกของคุณชายก็คงจะดี วันหน้าข้าจะได้บอกให้ท่านปู่คนเฝ้าศาลหาคนที่เขียนตัวอักษรสวยๆ มาเขียนไว้บนผนัง จะได้เป็นการเพิ่มควันธูปให้แก่ศาลของเราได้บ้าง”

เฉินผิงอันมองไปทางต้นป่ายโบราณแล้วก็ส่ายหน้า

เด็กเฝ้าศาลยังนึกว่าคุณชายต่างถิ่นที่สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจรผู้นี้บอกว่าบทกลอนนั้นไม่ได้แต่งจากความรู้สึกของเขา จึงเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย ไปกันเถอะ ข้าจะพาท่านไปที่พัก รีบพักผ่อนแต่หัววัน ห้องรับรองไม่ใหญ่มาก แต่ว่า สะอาดสะอ้าน วางใจเถอะ ข้าเป็นคนเก็บกวาดเอง รับรองว่าไม่มีมดแมลงสักตัว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กเฝ้าศาลก็เอ่ยเบาๆ อีกว่า “หากคุณชายบังเอิญเห็นเข้า ก็อย่าเอาไปฟ้องท่านปู่คนเฝ้าศาลล่ะ”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม พยักหน้าอืมรับหนึ่งที แล้วเดินตามเด็กประจำศาลเข้าไปยังห้องพักรับรอง

ตรงต้นป่ายโบราณ กิ่งไม้ส่ายไหวระริก

ภูตไม้โบราณที่ใกล้จะได้กลายร่างเป็นคนตนนั้นอัดอั้นตันใจจนเกือบจะน้ำตาไหล นึกอยากจะกดหัวทึ่มๆ ของเด็กประจำศาลผู้นั้นเอาไว้แล้วเขกมะเหงกลงไปแรงๆ ปลุกให้อีกฝ่ายคืนสติ

เจ้าเด็กโง่เง่า เหตุใดถึงได้สมองทึบแบบนี้ รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้ศาลเสียโชควาสนาที่ใหญ่ขนาดไหนไป?

หากเชื้อเชิญให้เซียนกระบี่ท่านนั้นเขียนบทกวีบทนั้นลงบนผนังของศาลได้ ไม่แน่ว่ามันอาจจะได้เดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว! ส่วนควันธูปและฮวงจุ้ยของศาล แน่นอนว่าต้องเป็นดั่งเรือที่ลอยสูงตามน้ำขึ้นได้อย่างไม่รู้จบรู้สิ้น

เหล่าขุนนางระดับสูงในราชสำนักแคว้นฝูฉวีสิบคนสามารถเทียบเคียงกับน้ำหมึกที่ตวัดอย่างง่ายๆ จากมือคนผู้นี้งั้นหรือ?

เพียงแต่ว่าเมื่อครู่นี้เซียนท่านนั้นส่ายหน้าให้มัน มันจึงไม่กล้าพูดอะไร หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำให้เซียนที่ข้ามดินแดนมาท่านนี้เกิดเดือดดาล กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี

กลางดึกของคืนนี้ เฉินผิงอันยังคงฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว ขณะเดียวกันก็ยังฝึกท่า ยืนนิ่งเจี้ยนหลูและท่านอนนิ่งเชียนชิวไปพร้อมกันด้วย

ระหว่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ปณิธานหมัดก็ไหลรินไปทั่วทั้งร่าง

ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างคนก็มีการฝึกตนอีกแบบหนึ่งเกิดขึ้น

ฝึกทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมกันโดยไม่เสียเวลา

จิตของเฉินผิงอันขยับไหวเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ลืมตาขึ้น ยังคงพาจิตใจจมจ่อมอยู่กับการฝึกเดินนิ่งต่อไป

วันนี้ผู้เฒ่าเฝ้าศาลได้พบบุรุษชุดเขียวคนหนึ่งในความฝัน ด้านหลังของเขาสะพายกิ่งของต้นป่ายโบราณกิ่งหนึ่ง ประหนึ่งจอมยุทธพเนจรที่พกกระบี่ คนผู้นี้บอกตัวตนของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เขาก็คือร่างจำแลงของแม่ทัพป่ายต้นที่อยู่ในเรือนด้านหลังของศาล เขาขอร้องให้คนเฝ้าศาลบอกให้คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นทิ้ง บทประพันธ์บทหนึ่งเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอร้องให้เซียนซือที่เดินผ่านมาค้างแรมที่ศาลท่านนั้นทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ ถ้อยคำที่ใช้เต็มไปด้วย ความจริงใจ บุรุษชุดเขียวแทบจะหลั่งน้ำตาระหว่างที่พูด

หลังจากที่ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลสะดุ้งตื่นจากความฝันก็ถอนหายใจหนึ่งที ราวกับ ไม่ต้องการจะทำให้คนอื่นลำบากใจ รู้สึกว่ายากเกินกว่าจะเปิดปากขอตัวอักษรจากบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นได้ แต่ใคร่ครวญอยู่นาน นึกถึงว่าต้นป่ายอยู่เคียงข้างศาลมานานเป็นพันปี และในประวัติศาสตร์ก็เคยแสดงความศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ผู้คนเล่าลือกันไปว่ามันให้การปกป้องคุ้มครองศาลมามากมาย ดังนั้นผู้เฒ่าจึงสวมเสื้อสวมรองเท้า เดินออกจากห้องท่ามกลางม่านตรี เพียงแต่ว่าพอไปถึงห้องรับรองแขกเขาก็เดินวนเวียนอยู่อีกนาน สุดท้ายผู้เฒ่าก็ไม่ได้เคาะประตู แต่หมุนตัวเดินไปทางต้นป่ายโบราณแล้วพูดเบาๆ ว่า “เซียนป่าย ขอโทษที่ข้าไม่ได้เปิดปากขอร้องคนเขาอย่างที่ท่านบอก การกระทำของเซียนยากจะคาดการณ์ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ยินดีทิ้งผลงานเอาไว้ด้วยตัวเอง คิดดูแล้วก็คงเป็นเพราะศาลแห่งนี้สะสมบุญมาไม่มากพอ โชควาสนาจึงยังไม่ได้รับ การเติมเต็ม”

ต้นป่ายโบราณเงียบงัน มีเพียงเสียงถอนหายใจที่ดังลอยมา แต่กระนั้นก็ไม่ได้บังคับให้ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลเปลี่ยนความคิด

จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้หยุดท่าหมัด แล้วยิ้มอย่างเข้าใจ

เฉินผิงอันเชื่อมาโดยตลอดว่า สถานที่แห่งหนึ่งหากลมและน้ำไม่ถูกต้องเที่ยงตรง สาเหตุนั้นก็ยังคงอยู่ที่คน ไม่ได้อยู่ที่ความขลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยังต้องเอาเรื่องของลำดับขั้นตอนมาพูดกัน สมกับคำที่คนในโลกกล่าวว่าภูเขาเขียวยังอยู่ก็ไม่ต้องกลุ้มว่าจะไม่มีฟืนให้เผาไฟ

และคำว่าภูเขาเขียวนั้นก็หมายถึงใจคน

นี่จึงเป็นเหตุให้มีคนชุดเขียวพลิ้วกายล่องลอยไปดุจสายลม พริบตาเดียวก็มาหยุดยืนอยู่ข้างกายคนเฝ้าศาล แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่เรื่องง่ายๆ ไม่ต่างจากการยกมือ”

ภูตต้นป่ายโบราณที่ฝึกตนมาเป็นพันปี แต่ก็ยังไม่อาจจำแลงร่างเป็นคนได้อย่างสมบูรณ์ปรากฎกายด้วยรูปลักษณ์ของบุรุษชุดเขียว ร่างกายและจิตวิญญาณยังคงล่องลอยไม่หยุดนิ่ง เขาคุกเข่าลงโขกหัวคำนับ “ขอบพระคุณท่านเซียนที่มีเมตตา”

ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลก็รู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อย เตรียมจะค้อมเอวคำนับขอบคุณ

แต่เฉินผิงอันที่รับการกราบไหว้จากภูตไม้โบราณตนนั้นอย่างเปิดเผย

กลับยื่นมือออกไปขัดขวางการคารวะขอบคุณของผู้เฒ่า

นี่ไม่ใช่เพราะว่าภูตไม้ไม่ใช่คน จึงต่ำต้อยกว่าคนหนึ่งระดับ

แต่เป็นเพราะเมื่ออยู่บนมหามรรคาแล้วได้รับความเมตตากรุณา การกราบไหว้แสดงการขอบคุณของภูตพืชหญ้าทั้งหลาย แท้จริงแล้วก็มีสำหรับโชควาสนาบน มหามรรคาที่ได้มาไม่ง่ายนั้น

ก่อนหน้านี้ได้ฟังการไต่สวนยามราตรีของศาลเทพอภิบาลเมือง เฉินผิงอันจึงเข้าใจเรื่องหนึ่งได้อย่างกระจ่างแจ้งเหมือนเมฆหมอกที่บดบังเคลื่อนออกเผยให้เห็นแสงจันทร์

ผู้ฝึกตน ยิ่งคาดหวังให้ความคิดใสกระจ่างมากเท่าไร ก็ยังจำเป็นต้องมีต้นกำเนิด ที่ใสสะอาดเสียก่อน

เฉินผิงอันบอกให้ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลและภูตต้นป่ายโบราณรอคอยสักครู่ เขากลับไปที่ห้องพักรับรอง หยิบเอากระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา ทรุดตัวนั่งอย่างสำรวม กลั้นหายใจทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ขีดเขียนบทกวีบทนั้นลงไปบนกระดาษยันต์ หลังจากสะพายหีบไม้ไผ่เรียบร้อยก็ย้อนกลับมายังที่ตั้งของต้นป่ายในตำหนักหลัง ของศาล มอบมันให้กับบุรุษชุดเขียวแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สามารถนำยันต์ แผ่นนี้ไปฝังไว้ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างรากต้นไม้กับรากภูเขา วันหน้าก็แค่ค่อยๆ หล่อหลอมมันไป บนมหามรรคา โชคและเคราะห์ไม่แน่นอน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับจิตใจดั้งเดิม การฝึกตนวันหน้าก็จงปฏิบัติตนให้ดี เรื่องดีๆ ก็จะถือกำเนิด”

บุรุษชุดเขียวใช้สองมือประคองรับยันต์สีทองแล้วคำนับขอบคุณอีกครั้ง ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล พูดจาสะอื้นไม่เป็นคำ

เฉินผิงอันจึงบอกลาจากมา ไม่ได้พักค้างแรมอยู่ที่ศาลอีก แสงจันทร์กระจ่าง แสงดาวบางตา แสงจันทราอยู่บนไหล่แล้วก็อยู่บนหีบไม้ไผ่

หันกลับไปมอง ผู้เฒ่าคนเฝ้าศาลและภูตไม้ชุดเขียวยังคงยืนมองส่งตนอยู่ตรงนั้น เฉินผิงอันจึงโบกมือแล้วออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง

ดีเลย ได้ประหยัดค่าธูปค่าน้ำมันไปก้อนหนึ่ง

ไม่ขาดทุน

เฉินผิงอันหัวเราะพลางเร่งเดินทางต่อ ยามดึกสงัดไร้เงาผู้คน เขาใช้ท่าเดินนิ่ง หกก้าวเดินไปเบื้องหน้าช้าๆ

ไม่แบ่งแยกกลางวันกลางคืน ไร้ข้อต้องห้ามใดๆ

เรื่องราวทางโลกก็เป็นเช่นนี้ เรื่องของโชควาสนา ต่างก็มีจำนวนที่คงที่

ศาลแห่งนี้ได้พบเจอกับเขาเฉินผิงอัน บางทีนี่อาจจะเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งของพวกเขา

แต่ศาลแห่งอื่นที่ต่อให้จะมีฮวงจุ้ยแตกต่างไปจากที่แห่งนี้ แต่เมื่อเจอกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่นิสัยแตกต่าง การมองโลกแตกต่าง ก็อาจได้เจอกับโชควาสนาที่เหมาะสมได้เช่นกัน กลับกลายเป็นว่าเจอกับเขาเฉินผิงอัน อาจได้แค่เดินสวนไหล่ผ่านกันไป

บนมหามรรคามีเส้นทางนับพันนับหมื่น ทุกเส้นทางล้วนมุ่งขึ้นสู่ที่สูง

ดังนั้นคนบนเส้นทางเดียวกันถึงได้มีน้อยและยากจะพานพบเช่นนี้

จากนั้นเฉินผิงอันก็มาหยุดอยู่ริมลำน้ำสายใหญ่ที่เป็นอาณาเขตของขุนเขากลางแคว้นฝูฉวี นั่งตกปลาอยู่ข้างผู้เฒ่าคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าฝ่ายหลังก็เป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าขอบเขตไม่สูง มีขอบเขตแค่ประตูมังกรเท่านั้น ทว่ากลับจัดขบวนยิ่งใหญ่เอิกเกริก ข้างกายมีสาวใช้และเด็กรับใช้มากมาย คันเบ็ดตกปลาไผ่เขียววางเรียงรายเป็นแถว ส่วนเหยื่อตกปลาก็ยิ่งเตรียมมานับไม่ถ้วน ถาดใหญ่ๆ วางเรียงติดกัน คาดว่าต่อให้เป็นปลาที่ตัวใหญ่แค่ไหนในลำน้ำใหญ่แห่งนี้ก็สามารถถูกป้อนให้อิ่มหนำได้ ผู้เฒ่าตกปลาเห็นว่าคนหนุ่มชุดเขียวน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสี่ห้าคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่ชอบตกปลา จึงสั่งให้สาวใช้คนหนึ่งยกเหยื่อถาดใหญ่มาให้ สาวใช้ยิ้มเอ่ยว่าคุณชายไม่ต้องเกรงใจ นายท่านของตนมักใจกว้างกับสหายนักตกปลาที่พบเจอกันโดยบังเอิญเสอ และยังพูดอีกประโยคหนึ่งว่า หากไม่ปั้นเหยื่อถาดใหญ่ ก็ยากที่จะตกปลาตัวใหญ่ได้ ตอนที่สาวใช้วางถาดใบใหญ่แล้วเอ่ยประโยคเหล่านี้กับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรง พูดคล้อยตามไปว่ามีเหตุผล ท่านผู้เฒ่าจะต้องเป็นยอดฝีมือด้านการตกปลาคนหนึ่งอย่างแน่นอน แรกเริ่มเฉินผิงอันยังรู้สึก ไม่สบายใจที่ตนรับเหยื่อล่อตระกูลเซียนถาดใหญ่ขนาดนี้มาจากคนอื่น จึงตะโกน เสียงดังสอบถามฉายาของเซียนซือผู้เฒ่าคนนั้น

ผู้เฒ่าจึงหัวเราะร่าเอ่ยว่า “สหายบนภูเขาล้วนชอบเรียกข้าผู้อาวุโสว่า เถียนไห่เจินเหริน!” (เถียนไห่แปลว่าถมทะเล/เติมทะเลให้เต็ม)

เฉินผิงอันชำเลืองตามองถาดใบใหญ่เงียบๆ ในใจคิดว่าอยู่ในยุทธภพก็ดี อยู่บนภูเขาก็ช่าง มีแต่พ่อแม่ที่ตั้งชื่อผิด ไม่มีฉายาที่ตั้งผิดจริงๆ

ผู้เฒ่าตกปลาได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่ายังตกปลาประหลาดของลำน้ำใหญ่ชนิดหนึ่งที่เขาต้องการไม่ได้

เข้าสู่ช่วงสนธยา มีเรือหอเรือนขนาดยักษ์ลำหนึ่งล่องเลียบชายฝั่งของลำน้ำใหญ่ผ่านมา บนเรือมีคนสวมเสื้อเกราะยืนเรียงรายอย่างน่าเกรงขาม เรือหอเรือนแล่นทวนกระแสน้ำ ความเคลื่อนไหวรุนแรง ทำให้คลื่นลูกยักษ์ตีกระทบชายฝั่ง คันเบ็ดตกปลาที่วางไว้บนฝั่งล้มระเนระนาดไปเจ็ดแปดอัน

ผู้เฒ่าจึงสบถด่าเสียงดังด้วยพลังเสียงเต็มเปี่ยม

มีแม่ทัพบู๊ร่างกำยำสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนหนึ่งเดินออกมาจากในเรือหอเรือน ในมือถือทวนเหล็ก พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม เขาจ้องมองมายังผู้เฒ่าที่นั่งตกปลาอยู่ริมชายฝั่งเขม็ง

สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวังว่า “นายท่าน ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นฝูฉวีคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่หาได้ยากมาก”

“คือเกาหลิงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นฝูฉวี!”

ผู้เฒ่าเพ่งสายตามองไปให้เห็นชัดๆ แล้วก็ต้องกระทืบเท้าพูดอย่างรีบร้อนว่า “มารดามันเถอะ ดันไปเหยียบขี้หมาที่แข็งเหมือนเหล็กเข้าเสียแล้ว ได้ยินมาว่า ไอ้หมอนี่นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร พวกเรารีบเก็บคันเบ็ดแล้วถอยกันเร็วเข้า!”

ทางฝั่งของเรือหอเรือน ข้างกายของแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แคว้นฝูฉวีมีสตรีคนหนึ่งเดินออกมา เกาหลิงก้มหน้าลงกระซิบข้างหูนาง ฝ่ายหลังพยักหน้ารับ แล้วจึงทะยานตัวเบาๆ ขึ้นไปยืนอยู่บนราวระเบียงของเรือ ตั้งท่าเตรียมพร้อม

เฉินผิงอันเก็บคันเบ็ดช้าๆ

บทสนทนาระหว่างแม่ทัพบู๊ร่างกำยำกับสตรีผู้นั้นบนเรือหอเรือน ดังเข้าหูเขาอย่างชัดเจน

สตรีผู้สูงศักดิ์ที่มีเรือนกายอ้อนแอ้นคนนี้ได้ยินว่าผู้เฒ่าตกปลาเป็นผู้ฝึกตนอิสระของแคว้นอื่น มีสมญานามว่าเถียนไห่เจินเหริน นิสัยเอื่อยเฉื่อย เป็นผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรที่มีแต่ขอบเขตที่ว่างเปล่า เพราะพลังการต่อสู้อ่อนด้อย นางจึงบอกให้แม่ทัพบู๊เกาหลิงไปลองประมือกับอีกฝ่ายดูสักหน่อย ไม่ต้องฆ่าเขา แค่สั่งสอนสักรอบก็พอ ยกตัวอย่างเช่นซ้อมให้เขาร่อแร่ปางตาย จากนั้นก็หาโอกาส ดูสิว่าจะสามารถรับเข้ามาเป็นเค่อชิงของจวนนางได้หรือไม่

แม่ทัพบู๊ลังเลอยู่เล็กน้อย บอกว่าคนผู้นี้อาจไม่เต็มใจ เพราะเขาปฏิเสธการ เชื้อเชิญให้ไปเป็นผู้ถวายงานของฮ่องเต้แคว้นชิงอวี้มาหลายครั้งแล้ว

สตรีร้องอ้อหนึ่งที

แม่ทัพบู๊เข้าใจความนัยจากน้ำเสียงนั้นได้ทันที

ตัวของแคว้นฝูฉวีเองไม่ได้มีอำนาจมากนัก แต่มีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ และสตรีที่อยู่ ข้างกายเขาซึ่งมีทั้งสถานะที่ร่ำรวยสูงศักดิ์ แล้วก็มีทั้งกลิ่นอายตระกูลเซียนผู้นี้ ก็คือหนึ่งในตัวเชื่อมโยงระหว่างแคว้นฝูฉวีกับที่พึ่งแห่งนั้น

แม้ว่าเกาหลิงจะมองดูเหมือนคนอายุแค่สามสิบปี แต่แท้จริงกลับอายุหกสิบปีแล้ว ตำแหน่งขุนนางของเขาในแคว้นฝูฉวีไม่ถือว่าสูงที่สุด เป็นแค่แม่ทัพระดับสามชั้นโท แต่หมัดของเขาต้องแข็งที่สุดอย่างแน่นอน

วันนี้ปล่อยหมัดนี้ออกไป ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนจากระดับสามชั้นโทมาเป็นระดับสามชั้นเอกก็ได้

ดังนั้นเกาหลิงจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ข้าว่าเจ้าอย่าหวังจะหนีเลย ไม่สู้ขึ้นมาดื่มสุราบนเรือสักจอกแล้วค่อยว่ากัน!”

แม่ทัพบู๊สวมชุดเกราะท่านนี้กดปลายเท้าลงหนักๆ เรือหอเรือนก็พลันโน้มเอียงไปข้างหนึ่ง เสียงเสื้อเกราะกระทบกันดังเคร้งคร้าง ทหารสวมชุดเกราะเหล่านั้นไม่มีเวลามามัวสนใจความเป็นระเบียบอะไรอีกแล้ว รีบยื่นมือออกไปจับราวระเบียงไว้แน่น

เกาหลิงพลิ้วกายลงบนผิวน้ำของลำน้ำใหญ่ เหยียบน้ำมุ่งหน้าไปยังชายฝั่ง

ปล่อยทวนหนึ่งออกไป

ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง หากรู้กาลเทศะสักหน่อยก็ควรจะยอมแพ้ แต่หากไม่รู้กาลเทศะก็ยิ่งดี ตนจะได้แสดงฝีมือต่อหน้าสตรีผู้นั้นสักคำรบหนึ่ง

เพียงแต่ว่าไม่รอให้เกาหลิงขึ้นฝั่ง เขาก็พลันตาพร่าลาย จากนั้นก็รู้สึกจุก ตรงหน้าอก

ร่างถอยกรูดกลับไปทางเรือ

ที่แท้ก็เป็นคนชุดเขียวผู้หนึ่งที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับพุ่งเข้ามาอยู่เบื้องหน้า เกาหลิงในชั่วพริบตา ฝ่ามือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายตบลงบนเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน ของเขา ตอนที่เกาหลิงพุ่งตัวมารวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ตอนที่ถอยกรูดกลับไป ก็ยิ่งว่องไวดุจพายุลมกรด ข้างหูเกิดเสียงลมดังหวีดหวิว

คนผู้นั้นตบฝ่ามือออกมาเบาๆ ร่างของเกาหลิงก็ลอยขึ้นไปพลิ้วตกลงบนหัวเรือ โซเซอยู่สองสามก้าวกว่าจะหยัดยืนได้มั่นคง

หลังจากที่ปล่อยฝ่ามือหนึ่งออกมาเบาๆ คนชุดเขียวก็อาศัยแรงดันนี้ถอยออกไปหลายจั้ง ชายแขนเสื้อใหญ่พลิกตลบ ร่างหมุนกลับอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว ก็ย้อนกลับไปบนฝั่ง พลิ้วกายหยัดยืนนิ่ง

สีหน้าของเกาหลิงมืดทะมึน ลังเลว่าควรจะตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน ดีหรือไม่ เรื่องที่คิดจะเอาชนะอีกฝ่ายนั้นไม่ต้องหวัง แต่หากทำให้นางรู้สึกขายหน้า ก็เป็นเขาเกาหลิงที่ทำงานได้ไม่ดี แบบนั้นจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ชวน กระอักกระอ่วนมากที่สุด ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีกับเขาทั้งนั้น

สตรีข้างกายเขาดวงตาเป็นประกาย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องถือสา ยิ่งไม่ต้องตอแยเอาเรื่อง อาจารย์เคยบอกเองว่า จะดูแคลนล่างภูเขาไม่ได้ ระหว่างสายน้ำขุนเขามักจะมียอดฝีมือปรากฏตัวอยู่เสมอ ไม่เสียแรงที่ข้าลงเรือที่ท่าเรือ หัวมังกรแคว้นชิงหลวน จงใจเลือกเส้นทางน้ำที่ระยะทางยาวไกลนี้ ในที่สุดก็ทำให้ข้าได้เห็นคนมหัศจรรย์นอกโลกแล้ว แค่ได้เห็นก็ถือว่าได้กำไรแล้ว”

เกาหลิงระบายลมหายใจโล่งอก

บนชายฝั่ง

คนผู้นั้นกุมหมัดมาทางเรือหอเรือนคล้ายจะขออภัย

เกาหลิงอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางกุมหมัดคารวะกลับคืนไปเช่นกัน

ดวงตาของสตรียิ่งสาดประกายเจิดจ้า นางพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าตัวดี น่าสนใจจริงๆ เกาหลิง ข้าจะถือว่าเจ้าสร้างคุณความชอบหนึ่งครั้ง!”

เรือหอเรือนค่อยๆ จากไปช้าๆ

ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นคิดจะผูกมิตรกับอีกฝ่าย แต่กลับเพิ่งสังเกตเห็นในฉับพลันว่าเงาร่างชุดเขียวนั้นหายไปแล้ว

จะทำอย่างไร?

ผู้ฝึกตนเฒ่านวดคลึงปลายคาง จากนั้นก็ออกคำสั่งให้เริ่มเคลื่อนย้ายสถานที่ สั่งความให้เด็กรับใช้และสาวใช้ย้ายถาดใหญ่ทั้งหมดไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งก็คือตำแหน่งที่เซียนชุดเขียวผู้นั้นนั่งตกปลา ที่นั่นต้องเป็นพื้นที่มงคลฮวงจุ้ยดี อย่างแน่นอน

พอเขาทรุดตัวลงนั่งก็พลันรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย สมกับเป็นสถานที่ที่ต้องตาเซียนผู้หนึ่งจริงๆ เห็นได้ชัดว่าลมแม่น้ำที่ลอยมาปะทะใบหน้าหอมหวานกว่าที่เดิมที่เขานั่งอยู่ตั้งหลายส่วน

ห่างไปไกล

เฉินผิงอันออกเดินทางต่ออีกครั้ง

เขาอ้อมเส้นทางเล็กน้อย ไปเดินอยู่บนพื้นที่ราบเรียบที่การมองเห็นเปิดกว้าง

เฉินผิงอันพลันหยุดเดิน เก็บหีบไม้ไผ่ใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

ทว่าครู่หนึ่งต่อมา เฉินฺผิงอันก็ขมวดคิ้วคิดหนัก หรือว่าเขาแค่รู้สึกไปเอง?

เฉินผิงอันเดินหน้าไปช้าๆ

……

หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของคนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงทุกคน

เกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนี้ ในยุทธจักรต่างก็มีคำเล่าลือที่แตกต่างกันไป

บ้างก็บอกว่าการที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นไม่เคยแต่งภรรยาก็เป็นเพราะว่าตอนหนุ่ม ที่ออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังทิศเหนือเคยเจ็บปวดเพราะความรักมาก่อน ไปชอบสตรีที่ภายหลังได้เป็นไทเฮาของแคว้นจิ่งหนัน น่าเสียดายที่สวรรค์ไม่จับคู่ ผู้เฒ่าจันทรา ไม่ร้อยด้ายแดง คนทั้งสองจึงไม่อาจเคียงคู่อยู่ด้วยกัน

ผู้อาวุโสหวังตุ้นเองก็เป็นคนที่รักเดียวใจเดียว จึงหันมาทุ่มเทด้านการเรียนวรยุทธแทน กลายเป็นความไม่โชคดีของหวังตุ้นเพียงคนเดียว แต่กลับเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ของยุทธภพแคว้นอู่หลิง

และยังมีคนบอกว่าเหล้าโซ่วเหมยที่หมู่บ้านภูเขาหมักเองนั้น แท้จริงแล้วเป็น สูตรเหล้าหมักที่เซียนทิ้งไว้ ผู้ฝึกยุทธดื่มหนึ่งไหก็จะสามารถเพิ่มพลังได้หลายปี ดังนั้นเหล่าลูกศิษย์ที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นเป็นผู้อบรมสั่งสอน แต่ละคนถึงได้โดดเด่นมากฝีมือ เพราะต่างก็ได้แช่ตัวอยู่ในถังเหล้าของเหล้าโซ่วเหมย

และยังมีเรื่องเล่าลือบอกว่าในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวมีพื้นที่ต้องห้ามที่การป้องกันเข้มงวด เต็มไปด้วยกลไกลับอยู่แห่งหนึ่ง ด้านในวางวิชาลับการเรียนวรยุทธเล่มหนึ่งที่หวังตุ้นเป็นผู้เขียนเองเอาไว้ ไม่ว่าใครที่ได้ไปครองก็สามารถกลายเป็นยอดฝีมือ อันดับหนึ่งในยุทธภพได้ ได้วิชาดาบไปก็จะสามารถทัดเทียมกับวิชาดาบของฟู่โหลวไถ หากได้วิชากระบี่ไปครองก็จะไม่พ่ายแพ้ให้แก่วิชากระบี่ของหวังจิ้งซาน

แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องโกหก คนนอกพูดกันจนน้ำลายแตกฟอง แต่กลับทำให้คนกันเองไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ลู่จัวหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหวังตุ้นระอาใจต่อเรื่องนี้อย่างมาก เพียงแต่ว่า ดูเหมือนอาจารย์จะไม่เคยถือสาในเรื่องพวกนี้

ลู่จัวคือคนที่พรสวรรค์ไม่ได้เรื่องที่สุดในบรรดาเพื่อนร่วมสำนัก ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ช้า เวทกระบี่ วิชาดาบ วิชาหมัด ไม่เพียงแต่ช้า อีกทั้งคอขวดยังใหญ่เหมือนยอดเขา ล้วนไร้ความหวังที่จะฝ่าทะลุไปได้ มองไม่เห็นแสงสว่างแม้สักเสี้ยว แม้ว่าอาจารย์จะกล่าวปลอบใจเขาเป็นประจำ แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวอาจารย์เอง ก็อับจนปัญญาเหมือนกัน ถึงท้ายที่สุดลู่จัวเองก็ยอมรับชะตากรรม ตอนนี้ผู้ดูแล ผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกเรือนไปอยู่ไกลบ้าน ตลอดหลายปีมานี้ หวังจิ้งซานศิษย์พี่ที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมจึงจำเป็นต้องแบกรับภาระหน้าที่ต่างๆ ในหมู่บ้าน ถือเป็นการถ่วงเวลาการฝึกตนอย่างแท้จริง

อันที่จริงลู่จัวร้อนใจยิ่งกว่าหวังจิ้งซานเองด้วยซ้ำ ด้วยรู้สึกว่าหวังจิ้งซานควรจะออกไปท่องยุทธภพ ไปลับคมกระบี่นานแล้ว ดังนั้นลู่จัวจึงเริ่มหันมาจัดการงานจุกจิกทางโลกที่มากมายดุจขนวัวของหมู่บ้าน คิดว่าในอนาคตจะได้ช่วยผู้ดูแลเฒ่าและ ศิษย์พี่หวังได้บ้าง ให้เขาช่วยแบกรับภาระมาสักสองส่วนก็ยังดี

ตื่นนอนยามเหม่า (ตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า) ฝึกเดินนิ่งหรือไม่ก็ฝึกกระบี่ ฝึกดาบจนถึงยามเฉิน (เจ็ดโมงถึงเก้าโมง) กินอาหารเช้าแล้วก็ไปหาผู้ดูแลเฒ่า ดูแลบัญชี จดบัญชี คำนวณบัญชี ดูจดหมายที่ส่งไปกลับระหว่างหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว สถานการณ์ของกิจการมากมาย ค่าใช้จ่ายของเหล่าลูกศิษย์ในจวน ล้วนจำเป็นต้องขอความรู้จากผู้ดูแลเฒ่าทั้งสิ้น ประมาณยามซื่อ (เก้าถึงสิบเอ็ดโมงเช้า) ก็จบบทเรียนที่เหมือน ชั้นเรียนของเด็กประถม แล้วก็ไปดูศิษย์น้องเล็กฝึกกระบี่ หรือไม่ก็ศิษย์น้องหญิง ฝึกดาบพักหนึ่ง สถานที่คือภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว เพราะที่นั่น เงียบสงบ

อาจารย์ทั้งหลายที่เคยมาสอนในอดีตล้วนมีความรู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับรั้งใครไว้ไม่อยู่สักคน

พวกเขาล้วนมาอยู่ที่นี่แค่ปีครึ่งปีแล้วก็จากไป บ้างก็เป็นคนที่ลาออกจากวงการขุนนางเพราะอายุมากเกินไป บ้างก็ไม่มีตำแหน่งขุนนาง แต่เป็นนักประพันธ์อิสระที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่ในวงการวรรณกรรมอยู่บ้าง สุดท้ายอาจารย์จึงจ้างจวี่เหรินคนหนึ่งที่ไม่มีความหวังในการสอบเคอจวี่มาสอน จากนั้นก็ไม่มีการเปลี่ยนอาจารย์อีก เวลาที่จวี่เหรินคนนั้นขอลาหยุดกับทางหมู่บ้าน ลู่จัวก็จะรับหน้าที่เป็นอาจารย์ สอนหนังสือแทน

ตอนกลางวันลู่จัวจะถ่ายทอดวิชาดาบ หมัดและกระบี่ของสำนักให้กับลูกศิษย์กลุ่มหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกับลู่จัวต่างก็ต้องมีเวลาในการฝึกตน ดังนั้นลู่จัวจึงกลายมาเป็นคนที่เรียกใช้งานได้ง่ายที่สุด แต่สำหรับเรื่องนี้ลู่ตัวกลับไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกเป็นปลื้มที่ตัวเองพอจะช่วยเหลือคนอื่นได้บ้าง

ชีวิตทุกวันนี้ของลู่จัวก็คือการทำเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยพวกนี้ ดูเหมือนว่าเพียงแค่ชั่วไม่กี่พริบตา จากชั่วเวลาท้องฟ้าเป็นสีขาวเหมือนพุงปลาก็เปลี่ยนมาเป็นแสงสียามสนธยาที่นกกาพากันกลับรังแล้ว มีเพียงยามซวีผ่านไป (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) ฟ้าดิน มืดมัว สรรพสิ่งถูกปกคลุมภายใต้ความสลัวราง ลู่จัวถึงจะมีโอกาสทำเรื่องของตัวเองได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่นอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ด หรือไม่ก็พลิกเปิดรายงานภูเขาแม่น้ำของอาจารย์เพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องราวแปลกประหลาดของเทพเซียนบนภูเขาบางคน พออ่านจบแล้วก็ไม่มีความเพ้อฝันคาดหวังอะไร มีเพียงแค่ความเคารพนับถืออยู่ห่างๆ เท่านั้น

วันนี้ลู่จัวเดินถือโคมไฟออกตรวจตราหมู่บ้านยามค่ำคืนด้วยตัวเอง เป็นแค่การทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น แม้ว่าเรื่องเล่าลือในยุทธภพจะมีมากมายหลากหลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เคยมีคนที่ไม่รักษากฎบุกเข้ามาในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว

ตรงภูเขาด้านหลัง ศิษย์น้องเล็กยังคงมุมานะฝึกวิชากระบี่

ลู่จัวไม่ได้ส่งเสียงรบกวน เขาเดินจากมาเงียบๆ ระหว่างที่เดินก็ฝึกท่าเดินนิ่ง ไปด้วย เป็นกระบวนท่าหมัดขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่ฝึกมานานหลายปีแล้ว ศิษย์พี่หญิงฟู่โหลวไถและศิษย์พี่ชายหวังจิ้งซานต่างก็ชอบเอาเรื่องนี้มาหยอกล้อเขา

เพราะวิชาหมัดนี้ไม่ได้เป็นวิชาหมัดที่ถ่ายทอดมาจากหวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว แต่เป็นวิชาหมัดแบบหยาบๆ ที่เขาได้มาโดยบังเอิญตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม อาจารย์หวังตุ้นไม่ถือสาที่ลู่จัวฝึกวิชาหมัดนี้ เพราะหวังตุ้นเคยเปิดตำราเล่มนั้นอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่มีผลร้าย แต่ความหมายก็มีไม่มากนัก ในเมื่อลู่จัวชอบก็ปล่อยให้เขา ฝึกหมัดไปตามตำรา และในความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหวังตุ้นและศิษย์พี่ ชายหญิงของเขาต่างก็คิดถูกแล้ว ทว่าตัวลู่จัวเองไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาเปล่า ก็เท่านั้น

ระหว่างทางที่ลงจากภูเขา ก็เจอกับผู้ดูแลเฒ่าหลังค่อมที่ยืนอยู่บันไดขั้นล่างสุด คล้ายกับกำลังรอคอยตน

ลู่จัวรีบเดินลงภูเขาไปอย่างรวดเร็ว

รูปโฉมของผู้ดูแลเฒ่าผอมเพรียว สวมชุดตัวยาวสีเขียว แต่ผู้เฒ่ามักจะไอบ่อยๆ ราวกับว่าในอดีตได้ทิ้งต้นตอโรคร้ายเอาไว้โดยที่ไม่เคยรักษาให้หายดีได้

ขาข้างหนึ่งของผู้เฒ่ากะเผลกน้อยๆ แต่เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก

ผู้เฒ่าแซ่อู๋ นามว่าเฝิงเจี่ย เป็นชื่อที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก นอกจากคนรุ่นเดียวกับลู่จัวแล้ว คนหนุ่มสาวและเด็กๆ รุ่นหลังต่างก็ไม่มีใครรู้ชื่อของผู้เฒ่าแล้ว นับตั้งแต่ ฟู่โหลวไถลูกศิษย์ใหญ่ของหวังตุ้นมาจนถึงลู่จัวและศิษย์น้องเล็ก ต่างก็ชอบเรียก ผู้เฒ่าว่าท่านปู่อู๋ ตอนที่ลู่จัวเป็นเด็กหนุ่มแล้วเพิ่งได้เข้ามาในหมู่บ้านวันแรก ผู้ดูแลเฒ่าก็มาทำงานอยู่ในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวอยู่ก่อนแล้ว ว่ากันว่าหมู่บ้านมี อายุมากเท่าไร ผู้ดูแลผู้เฒ่าที่อยู่ในหมู่บ้านก็อยู่มานานเท่านั้น

ลู่จัวพูดเสียงเบา “ท่านปู่อู๋ ลมกลางคืนพัดแรง เรื่องการออกมาเดินลาดตระเวนในหมู่บ้านยามค่ำคืนนี้ ให้ข้าทำเองเถอะ”

ผู้เฒ่าโบกมือ แล้วออกเดินลาดตระเวนไปพร้อมกับลู่จัวต่ออีกครั้ง เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลู่จัว ข้าจะพูดกับเจ้าสองเรื่อง เจ้าอาจจะค่อนข้าง…ผิดหวัง อืม ต้องผิดหวังแน่”

ลู่จัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับว่าผู้ดูแลเฒ่าในคืนนี้แตกต่างไปจากปกติ ในอดีตความรู้สึกที่ผู้เฒ่ามอบให้กับคนอื่นก็คือความชราภาพโรยรา คล้ายแสงเทียนริบหรี่ที่อยู่ท่ามกลางสายลม มีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาว อันที่จริงนี่ทำให้ลู่จัวเป็นกังวลอย่างมาก บางทีอาจเป็นเพราะลู่จัวไม่มีความหวังว่าจะได้เดินไปบนยอดเขาของการฝึกวรยุทธแล้ว ดังนั้นถึงได้คิดถึงเรื่องที่นอกเหนือไปจากการเรียนวรยุทธมากหน่อย ยกตัวอย่างเช่นสภาพการณ์ของผู้เฒ่าในช่วงบั้นปลายชีวิต พวกเด็กๆ จะมีโอกาสร่วมสอบเคอจวี่หรือไม่ รสชาติของอาหารมื้อสิ้นปีในหมู่บ้านปีนี้จะเข้มข้นยิ่งกว่าเดิมหรือไม่

ผู้เฒ่าเอ่ยเนิบช้า “ลู่จัว อันที่จริงเจ้ามีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน อีกทั้งหากในอดีตโชคดีได้เจอกับผู้ถ่ายทอดมรรคา เส้นทางอนาคตของเจ้าก็จะไม่ใช่เล็กๆ น่าเสียดายก็แต่ที่ได้มาเจอกับหวังตุ้นอาจารย์ของเจ้า เลยหันมาเรียนวรยุทธแทน นี่เท่ากับเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรสวรรค์อย่างแท้จริง”

ลู่จัวหัวเราะ กำลังจะบอกว่าไม่เป็นไร ผู้เฒ่ากลับโบกมือตัดบทคำพูดของลู่จัว “อย่าเพิ่งพูดว่าไม่เป็นไร นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าลู่จัวยังไม่เคยเห็นมาดของเทพเซียนบนภูเขากับตาตัวเองอย่างแท้จริงมาก่อน ฉีจิ่งหลงคนหนึ่ง แน่นอนว่าขอบเขตไม่ต่ำแล้ว เขาเป็นเพียงแค่สหายที่พบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพของเจ้า แล้วฉีจิ่งหลงคนนั้นยังเป็นตัวประหลาดน้อยที่ไม่ใช่บัณฑิต แต่กลับปราดเปรื่องรอบรู้ ดังนั้นจึงถือว่า เจ้ายังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องการฝึกตนบนภูเขาจริงๆ มาก่อน”

ลู่จัวไม่อาจหาคำใดมาตอบโต้

ผู้เฒ่าเอ่ยต่อไปว่า “นอกจากนี้พรสวรรค์การฝึกวรยุทธของเจ้าลู่จัวก็ธรรมดาจริงๆ ธรรมดามากๆ ดังนั้นคอขวดในการเรียนวรยุทธของเจ้าคือเป็นด่านกีดขวางทางไปอย่างแท้จริง ตอนนี้เจ้าผ่านมันไปไม่ได้ ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะผ่านไปไม่ได้ ชั่วชีวิต”

ลู่จัวถอนหายใจ รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “ท่านปู่อู๋ ในใจข้ารู้ดียิ่งกว่าใครเลยล่ะ”

ผู้เฒ่าเองก็รู้สึกเสียใจอย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน “ในหมู่บ้านมีเด็กอยู่มากมาย แต่ข้ากลับถูกใจนิสัยใจคอของเจ้ามากที่สุด ดังนั้นข้าถึงได้ทำให้เจ้าได้ตำราหมัด เล่มนั้นไปโดยบังเอิญ ทว่าใต้หล้านี้มีเรื่องราวมากมายที่น่าจนใจเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าลู่จัวเป็นคนดีแล้วชีวิตจะต้องราบรื่นเสมอไป ช่วงที่เป็นเด็กหนุ่มก็สู้ศิษย์พี่ชายหญิงของเจ้าไม่ได้ พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เจ้าก็ยังได้แต่มองดูศิษย์น้องชายหญิงของเจ้าทิ้งห่างไปไกลเหลือเพียงฝุ่นไว้ด้านหลัง จนกระทั่งแก่ จนกระทั่งตาย ไม่แน่ว่าแม้แต่ลูกศิษย์ของ พวกเขา ศิษย์หลานทั้งหลายของเจ้า เจ้าก็อาจจะยังสู้ไม่ได้

ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะผิดหวังหรือไม่ แต่ข้าผิดหวังมาก ไม่ได้ผิดหวังในเรื่องของจิตใจคน แต่ผิดหวังกับเรื่องราวทางโลก”

ลู่จัวรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย

ผู้เฒ่าหันหน้ามามองลู่จัวแวบหนึ่ง “ลู่จัว จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายว่า เจ้ายินดีหรือไม่ที่จะต้องเป็นคนไร้ความสามารถไปชั่วชีวิต ได้เป็นแค่ผู้ดูแลของหมู่บ้าน ปีแล้วปีเล่าในอนาคต ความมีหน้ามีตา เกียรติยศทั้งหลาย ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้า?”

ลู่จัวขบคิดอย่างละเอียดแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรจริงๆ ข้าจะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลของหมู่บ้านให้ดี”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ดีมาก แล้วเจ้าก็อย่าได้ดูแคลนตัวเอง มีคนอย่างเจ้าคอยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ใต้หล้าถึงจะมีความหวังที่ยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม มีวีรกรรมอัน เกรียงไกรเกิดขึ้นได้มากมาย เพราะฉะนั้นความผิดหวังน้อยนิดของข้าก่อนหน้านี้ จึงไม่มีค่าพอให้พูดถึง มีลู่จัวหลายๆ คนถึงจะเป็นความหวังของวิถีทางโลกใบนี้ คำพูดวางโตเช่นนี้หลุดออกมาจากปากของตาเฒ่าสกปรกอู๋เฝิงเจี่ยของหมู่บ้าน ดูเหมือนว่าหน้าไม่อายมากเลย ใช่หรือไม่?”

ลู่จัวหัวเราะ ทั้งไม่ยินดีเอ่ยถ้อยคำที่ผิดต่อมโนธรรมในใจของตัวเอง แล้วก็ไม่ยินดีจะทำร้ายจิตใจของผู้เฒ่า จึงได้แต่เลือกพบกันครึ่งทาง “ยังดี”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน เขาในเวลานี้ ไหนเลยจะยังมีท่าทางแก่ชราเสื่อมสภาพอยู่อีก

อินทรียืนเหมือนหลับ พยัคฆ์เดินเหมือนป่วย ก็คือวิธีที่พวกมันใช้จิกคน ขย้ำคน

“ในเมื่อเจ้าผ่านการทดสอบใหญ่ทางด้านจิตใจของข้าได้แล้ว ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ควรเปลี่ยนมาเดินขึ้นที่สูง ไม่ควรปล่อยให้ปณิธานความฮึกเหิมถูกขัดเกลาไปด้วยเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง!”

ผู้เฒ่าเอ่ย “คืนนี้ข้าจะไปจากหมู่บ้าน หลบๆ ซ่อนๆ มานานหลายปี ก็ควรจะตัดสินใจให้เด็ดขาดเสียที ที่ห้องบัญชีของข้ามีจดหมายทิ้งไว้สองฉบับ ฉบับหนึ่งคือวัตถุหนักบนภูเขา อีกฉบับหนึ่งคือตำราลับตระกูลเซียน ฉบับหนึ่งเจ้านำไปมอบให้หวังตุ้น บอกกับเขาว่า เขาถ่วงเวลาลูกศิษย์อย่างเจ้ามานานหลายปีแล้ว ควรปล่อยมือจากเจ้าได้แล้ว อีกฉบับหนึ่งเจ้าพกไว้ติดตัว ไปหาฉีจิ่งหลง วันหน้าก็ไปฝึกตน ไปเป็นเทพเซียนอยู่บนภูเขา! ขนาดลู่จัวที่ยินดีเป็นผู้ดูแลของหมู่บ้านไปตลอดชีวิต ยังสามารถทำให้วิถีทางโลกมีความหวังมากกว่าเดิมได้ ถ้าอย่างนั้นลู่จัวที่ยินดีเดิน ขึ้นเขาฝึกตนฝึกกระบี่ แน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์ต่อวิถีทางโลกยิ่งกว่า”

ลู่จัวมีหน้าตะลึงลานรับมือไม่ถูก

ผู้เฒ่าเอามือข้างหนึ่งจับหัวลู่จัว มืออีกข้างหนึ่งกำหมัดต่อยเข้าที่หน้าอกของเขา ทำให้ลู่จัวบาดเจ็บสาหัสทันที จิตวิญญาณแกว่งไกว ทว่ากลับไม่อาจเปิดปากพูด อะไรได้ เจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด

“อย่างอื่นนั้นดีหมด ก็แค่นิสัยอิดออดชักช้าที่ข้าไม่ชอบใจที่สุด เจ้าลู่จัวไม่ไป ช่วงชิงพื้นที่หนึ่งบนยอดเขา หรือจะหลีกทางให้พวกผู้ฝึกลมปราณที่เทียบกับตะพาบสักตัวไม่ได้พวกนั้น?!”

ผู้เฒ่าจ้องมองลู่จัวที่เกือบจะหมดสติแล้วพูดเสียงทุ้มหนัก “แต่หากเจ้าอยากเดินไป บนเส้นทางของการฝึกตน ก็มีแต่ต้องสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะเสียก่อน! จำไว้ว่าเมื่อกัดฟันอดทนผ่านมันไปได้ ทุกอย่างก็ล้วนมีความหวัง หากผ่านไปไม่ได้ ก็สามารถเป็นผู้ดูแลของหมู่บ้านได้อย่างสบายใจ”

เมื่อผู้เฒ่าปล่อยมือออก ลู่จัวก็ล้มไปกองบนพื้นลุกไม่ขึ้นอีก โคมไฟในมือหล่นร่วงลงพื้นดิน

ลู่จัวกระอักเลือดไม่หยุด

ผู้เฒ่าทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ชื่ออู๋เฝิงเจี่ยอะไรทั้งนั้น นี่ก็เป็นแค่ชื่อของจอมยุทธคนหนึ่งที่ตายไปตอนท่องยุทธภพยามเป็นเด็กหนุ่ม ปีนั้นเพื่อช่วยขอทานน้อยข้างทางที่ถูกล้อรถบดทับ เขาถึงได้ต้องตายคาที่ เจ้าเป๋น้อยผู้นั้นฝึกวิชาหมัดไม่หยุดมาตลอดชีวิต ก็เพื่อพิสูจน์ให้ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาท่านนั้นรู้ว่า การที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่คนหนึ่งสละชีวิตของตัวเองช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่ทั่วร่าง มีแต่แผลเหวอะหวะเต็มตัวนั้น คุ้มค่าแล้ว!”

ลู่จัวรู้สึกเพียงว่าลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเฮือกนั้นค่อยๆ สลายหายไป เจ็บปวดจนยากจะทานทน แต่กระนั้นก็ยังกัดฟันแน่น พยายามรับฟังคำพูดทุกคำของผู้เฒ่าให้ชัดเจน

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิชาหมัดหยาบๆ ที่ข้าบรรลุมาด้วยตัวเอง ถึงอย่างไร ก็ยังดูธรรมดาในสายตาของคนทั่วไป ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์อะไร ตอนนี้ลองมองย้อนกลับไปดู วิชาหมัดและกระบวนท่าหมัดทั้งหมดที่บันทึกไว้ในตำราดูธรรมดาอยู่มากจริงๆ ดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตาฝึกวิชาหมัดจนอายุสี่สิบกว่าปี ถึงได้สามารถอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวป่าวประกาศแก่จวนตระกูลเซียนที่เป็นผู้นำของหนึ่งทวีปนั้นว่าข้าจะ แก้แค้น ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะหาว่าข้าเป็นมดแดงที่คิดจะเขย่าต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้จักเจียมตน! ดีมาก ถ้าอย่างนั้นรากฐานปณิธานหมัดชุดนั้นของข้าก็อยู่ที่มดแดงย้ายภูเขาลงมหาสมุทร! น่าเสียดายที่เจ้าลู่จัวฝึกตำราหมัดมานานหลายปี แต่กลับยังไม่อาจสำเร็จในขั้นพื้นฐาน ไม่อาจสร้างปณิธานหมัดไว้บนร่างได้ ไม่เป็นไร บนโลกมีเส้นทางสายใหญ่มากมาย แค่เจ้าลู่จัวเป็นคนดีก็พอ จะใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร”

สุดท้ายผู้เฒ่าประกอบสองนิ้วแล้วเคาะลงบนหน้าผากของลู่จัวเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายหมดสติไป เพราะถึงอย่างไรลู่จัวก็ไม่จำเป็นต้องเรียนวรยุทธเพื่อเดินขึ้นสู่ที่สูงอีกแล้ว จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตวิญญาณเช่นนี้หรือไม่ ไม่มีความหมายอีกแล้ว จิตวิญญาณแผ่กระเพื่อมไม่หยุดนิ่งจึงจะเป็นกุญแจสำคัญในการฝึกตนบนภูเขาภายภาคหน้า

ผู้เฒ่าที่สวมชุดยาวสีเขียวลุกขึ้นยืน พึมพำกับตัวเองว่า “ชื่อจริงของข้าผู้อาวุโส แซ่กู้นามโย่ว”

ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะ “ก่อนจะไปต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับเจ้าคนแซ่จีของภูเขาวานรคำรามผู้นั้น ดูเหมือนว่าควรจะไปพบคนหนุ่มผู้นั้นเสียก่อน หากว่าตายไป ก็ถือซะว่าเป็นการคืนตำราหมัดเขย่าขุนเขาให้แก่ข้า หากไม่ตาย…หึหึ ดูเหมือนว่า จะยากอยู่มาก”

ผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงเย็น “ข้าเองก็ไม่คิดจะรังแกคนอื่น ในเมื่อเจ้ากำลังช่วงชิงตำแหน่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลอง กดขอบเขตลงมา ใช้แค่…ขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธมาออกหมัดก็แล้วกัน”

……

บนทุ่งราบกว้าง

เฉินผิงอันรู้สึกผิดปกติมากขึ้นทุกที

อันตรายมหาศาลขุมหนึ่งแผ่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน

จะหลบก็หลบไม่ได้ จะหนีก็หนีไม่พ้น

นี่เป็นครั้งที่สองของการเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว

ครั้งแรกก็คือตอนที่อยู่ตีนเขาของยอดเขาเจิงหรงแล้วได้เจอกับจีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำราม

เฉินผิงอันไม่มีความหวาดกลัวลนลานใดๆ กลับกลายเป็นว่าจิตใจของเขานิ่งสนิทราวผืนน้ำได้ในเสี้ยววินาที

นอกขีดจำกัดการมองเห็นของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าสวมชุดตัวยาวสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ที่เดิม หลับตาทำสมาธิอยู่เป็นนาน

เมื่อเขาลืมตาขึ้น ก้าวออกมาหนึ่งก้าว

ทุกอย่างเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง

แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที บนพื้นดินก็เหมือนมีสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิมาระเบิดเปรี้ยงปร้าง

บนเส้นเส้นหนึ่ง

เฉินผิงอันหรี่ตาลง

ยันต์ในชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง ชุดคลุมอาคมจินหลี่ กระบี่บินสองเล่ม ต่อให้เป็นเจี้ยนเซียน ยามนี้ก็ล้วนถือเป็นของนอกกายของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจสร้างประโยชน์ใดๆ ได้

เฉินผิงอันเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง

อย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง!

ปณิธานหมัดถูกกลั่นหลอมจนหนาข้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

เฉินผิงอันเริ่มวิ่งตะบึงเป็นเส้นตรงพุ่งไปด้านหน้า

หากคิดจะถอยหรือหลบเลี่ยง ปณิธานหมัดบนร่างจะลดหายไปส่วนหนึ่ง และโอกาสรอดชีวิตก็จะน้อยลงส่วนหนึ่ง

ปณิธานหมัดลดน้อยลงก็เท่ากับว่ายอมแพ้

ท่องอยู่ในยุทธภพ การยอมแพ้มักจะนำมาสู่ความตายเสมอ

หนึ่งหมัดแลกเปลี่ยนกัน

เฉินผิงอันพลันกระเด็นหวือออกไปหลายสิบจั้ง เขาทิ้งร่างลงบนพื้นกะทันหัน แต่ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งแรงกระแทกที่พาร่างถอยกรูดออกไปได้ พื้นรองเท้าถูกครูดหายไปหมด

กระดูกของทั้งร่างราวกับคลายตัวออกจากกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า ทว่าปณิธานหมัดที่ปล่อยออกไปกลับถูกตัดสะบั้น!

คนผู้นั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ยังคงก้าวเดินมาด้านหน้าอย่างสบายๆ ราวกับปล่อยให้เฉินผิงอันเปลี่ยนลมปราณบริสุทธิ์ที่แท้จริงเฮือกนั้นได้ตามใจชอบ ตัวเขา พลิ้วกายตามหลังมา ก่อนจะปล่อยหมัดออกมาอีกหนึ่งหมัด

เฉินผิงอันที่เส้นสายตาพร่าเลือนถูกหมัดต่อยแสกหน้าอย่างจังอีกครั้ง

ร่างกระเด็นหวือลอยลิ่วไปอีกรอบ

ไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้เอาคืนแม้แต่น้อย

ทว่าคนที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวผู้นั้นกลับกระโดดตัวขึ้นสูงกลางอากาศ แล้วปล่อยหมัดลงมาอีกครั้ง

หมัดนี้ต่อยลงบนหัวใจของเฉินผิงอัน

บนพื้นดิน ปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่ยักษ์

ร่างของเฉินผิงอันอาบไปด้วยเลือด ล้มไปกองกับพื้น

เลือดเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกทั่วร่าง ช่องโพรงลมปราณ

ล้วนตกอยู่ในสภาพที่ใกล้จะแหลกสลายเต็มที

ผู้เฒ่าที่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาผู้นั้นทำเพียงแค่ยืนอยู่ ริมขอบของหลุมใหญ่ เอาสองมือไพล่หลัง ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ไม่ออกหมัดอีก เพียงแค่หลุบตาลงต่ำมองคนเลือดในหลุมผู้นั้น

เห็นเพียงว่าคนหนุ่มที่อันที่จริงได้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ยื่นนิ้วซ้ายข้างหนึ่งออกมาเบาๆ จากนั้นก็พยายามจะใช้ข้อศอกยันพื้น ดิ้นรนลุกขึ้นยืน

ผู้เฒ่าชุดเขียวที่มีสีหน้าเย็นชาทำเพียงแค่มองการดิ้นรนเล็กๆ น้อยๆ ตามจิตใต้สำนึกของผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนนั้น

จากที่คนหนุ่มผู้นั้นยกศอกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้หลังของตัวเองลอยพ้นจากพื้นดิน แต่ก็ต้องทรุดลงไปเหมือนเดิมทุกครั้ง จนกระทั่งสามารถใช้มือทั้งสองยันพื้นแล้วลุกขึ้นยืนโงนเงนได้สำเร็จ ก็ต้องเสียเวลาไปถึงครึ่งก้านธูปเต็มๆ

ผู้เฒ่าหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ขอแค่เจ้าสามารถเดินขึ้นมาแล้วปล่อยหมัดใส่ข้าได้ เจ้าก็สามารถรอดชีวิตแล้ว”

คนหนุ่มที่อันที่จริงไม่เหลือจิตสำนึก หลงเหลือเพียงสติปัญญาแห่งชะตาชีวิต เสี้ยวหนึ่งผู้นั้นก้มหน้าค้อมเอวลง สองแขวนแกว่งส่าย เดินโซเซมาเบื้องหน้า

ยี่สิบก้าวก็เดินออกมาจากเนินลาดเอียงของหลุมใหญ่ได้ เหมือนเด็กน้อยที่แบกตะกร้าไม้ไผ่ขนาดใหญ่ยักษ์เดินขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรท่ามกลางแสงแดดแผดเผา

เดินขึ้นที่สูงทีละก้าว คนหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดเพิ่งจะยกมือข้างหนึ่งขึ้น

ผู้เฒ่ากลับเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ขอโทษที เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี”

ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมยาวสีเขียวรองเท้าผ้ายกมือข้างหนึ่งขึ้น เหวี่ยงหมัดต่อยให้ คนหนุ่มตรงหน้ากลับลงไปในก้นหลุมอีกครั้ง

ผู้เฒ่าเดินลงหลุมใหญ่ไปทีละก้าว หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “ยิ่งอายุมาก ขอบเขตยิ่งสูง ก็ยิ่งกลัวตายงั้นรึ? มิน่าเล่าหลังจากขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเป็นดั่ง ดอกราตรีที่เบ่งบานชั่วข้ามคืนผ่านพ้นไปแล้ว ขอบเขตสี่ขอบเขตห้าก็ล้วนไม่อาจ ช่วงชิง คำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าว่าเจ้าตายๆ ไปซะเลยจะดีกว่า โชคชะตาบู๊น้อยนิดนั่น ให้ใครดันไม่ให้ ดันมามอบให้คนอย่างเจ้า ข้าผู้อาวุโสยังรู้สึกว่าเป็นเสนียดต่อตำราหมัดของข้าด้วยซ้ำ”

คนที่ปางตายผู้นั้นไร้เสียงตอบรับ

ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว จากนั้นก็ก้มหน้าลง เห็นว่านิ้วของคนผู้นั้นขยับเบาๆ อีกครั้ง

ผู้เฒ่าหัวเราะ

ดีมาก!

นี่เรียกว่าตัวตาย แต่ปณิธานหมัดยังมีชีวิต

ความหมายเล็กๆ น้อยๆ นี้

กลับเป็นความหมายยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจเสแสร้งได้มากที่สุด!

ผู้เฒ่าแผดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างสาสมใจ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version